ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

กสิกรไทยคาดเงินบาทสัปดาห์หน้าเคลื่อนในกรอบ29.60/29.90บาทต่อดอลลาร์

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2010 เวลา 09:54 น. กอง บก.ออนไลน์ ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปภาวะตลาดเงินสัปดาห์ที่ผ่านมา (15-19 พ.ย.) เงินบาทในประเทศ (Onshore) ฟื้นตัวกลับมาแข็งค่าในช่วงปลายสัปดาห์ เงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงต้น-กลางสัปดาห์เข้าใกล้ระดับ 30.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ท่ามกลางความต้องการเงินดอลลาร์ฯ ของนักลงทุนเพื่อปรับโพสิชั่นก่อนสิ้นปี ขณะที่ ความกังวลต่อปัญหาหนี้ของไอร์แลนด์ สัญญาณคุมเข้มทางการเงินของจีน (จีนปรับขึ้นสัดส่วนเงินสำรองตามกฎหมายอีก 0.50% ในวันที่ 19 พ.ย.) และความวิตกเกี่ยวกับมาตรการควบคุมเงินทุนของทางการหลายประเทศในเอเชีย (รวมถึงไทย) ก็เป็นปัจจัยกระตุ้นแรงเทขายหุ้นและสกุลเงินในภูมิภาคเอเชียด้วยเช่นกัน กระนั้นก็ดี เงินบาทฟื้นตัวกลับมาแข็งค่าขึ้น และสามารถลดช่วงติดลบลงบางส่วนในช่วงปลายสัปดาห์ ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ เผชิญแรงขายทำกำไร ท่ามกลางความหวังเกี่ยวกับแผนการช่วยเหลือทางการเงินสำหรับไอร์แลนด์จาก EU/IMF สำหรับในวันศุกร์ เงินบาทปิดตลาดปลายสัปดาห์ที่ระดับ 29.92 เทียบกับระดับ 29.81 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (12 พ.ย.)

 

ในสัปดาห์หน้า (22-26 พฤศจิกายน 2553) งินบาทในประเทศอาจเคลื่อนไหวในกรอบประมาณ 29.60-29.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยจะต้องจับตาการประกาศข้อมูล GDP ประจำไตรมาส 3/2553 ของไทย กระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ และทิศทางของสกุลเงิน/ตลาดหุ้นในภูมิภาค รวมถึงทิศทางของเงินดอลลาร์ฯ ซึ่งอาจขึ้นอยู่กับตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ อาทิ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ยอดขายบ้านใหม่-บ้านมือสอง รายได้-รายจ่ายส่วนบุคคล เดือนต.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจัดทำโดยรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนเดือนพ.ย. รายงาน GDP ประจำไตรมาส 3/2553 (ครั้งที่ 2) จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และรายงานการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟดเมื่อวันที่ 2-3 พ.ย.2553 ทั้งนี้ ตลาดการเงินสหรัฐฯ จะปิดทำการในวันพฤหัสบดีที่ 25 พ.ย. เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แนวโน้มหุ้นไทยสัปดาห์หน้ามีโอกาสปรับตัวขึ้น

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2010 เวลา 10:07 น. กอง บก.ออนไลน์ ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ

บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย และศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปภาวะตลาดทุนรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (15-19 พ.ย.) ระบุว่า ตลาดหุ้นไทย “ดัชนี SET ฟื้นตัวท้ายสัปดาห์ หลังนักลงทุนคลายกังวลต่อปัจจัยลบ ผนวกกับตลาดได้รับผลบวกจากแรงซื้อ LTF/RMF”

 

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 1,008.77 จุด ปรับตัวลดลง 0.99% จาก 1,018.86 จุด ในสัปดาห์ก่อนหน้า แต่ปรับขึ้น 37.33% จากสิ้นปี 2552 ขณะที่ มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสัปดาห์ลดลง 17.03% จาก 232,147.70 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อนหน้า มาอยู่ที่ 192,623.36 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ลดลงจาก 46,429.54 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 38,524.67 ล้านบาท โดยนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิที่ 2,850.74 ล้านบาท ขณะที่บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ นักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิที่ 1,022.40 ล้านบาท 949.79 ล้านบาท และ 878.55 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 269.32 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 1.58% จาก 265.12 จุด ในสัปดาห์ก่อนหน้า และปรับตัวเพิ่มขึ้น 25.09% จากสิ้นปีก่อน

 

ดัชนีหุ้นไทยปิดเหนือระดับ 1,000 จุดอีกครั้ง หลังนักลงทุนคลายความกังวลบางส่วนต่อปัจจัยลบ ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นในวันจันทร์ นำโดยแรงซื้อกลับหุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคาร ก่อนที่ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลดลงในวันอังคารและวันพุธ มาปิดที่ระดับต่ำกว่า 1,000 จุด จากความวิตกในหลายปัจจัย ทั้งการคาดการณ์ว่าจีนจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย ปัญหาหนี้ของไอร์แลนด์ รวมถึงความเป็นไปได้ที่หลายประเทศ รวมถึงไทย อาจจะออกมาตรการสกัดเงินทุนไหลเข้า จากนั้น ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยปิดเหนือ 1,000 จุดอีกครั้งในวันพฤหัสบดีและบวกขึ้นอีกในวันศุกร์ จากความกังวลเกี่ยวกับปัจจัยลบต่างๆ ที่คลายตัวลง นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการลงทุนของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) รวมทั้งตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือน ต.ค. ที่ยังขยายตัวต่อเนื่องที่ 15.7%

 

สำหรับแนวโน้มในสัปดาห์หน้า (22-26 พ.ย. 2553) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยและบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีน่าจะผันผวนในกรอบแคบโดยมีโอกาสปรับตัวขึ้น (Sideway up) ส่วนหนึ่งจากแรงหนุนของเม็ดเงินจากกองทุน LTF/RMF โดยปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ การรายงานตัวเลข GDP ไตรมาส 3/2553 ของไทยโดยสศช.ในวันจันทร์ การตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ในวันที่ 29 พ.ย. ตลอดจนการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อาทิ ตัวเลข GDP ไตรมาส 3/2553 (ครั้งที่ 2) ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน และยอดขายบ้านใหม่ นอกจากนี้ ยังต้องติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับประเด็นการแก้ปัญหาหนี้ของไอร์แลนด์ ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 978 และ 952 จุด ขณะที่ แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,021 1,031 และ 1,055 จุด ตามลำดับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รู้ทิศทาง "ทองคำ น้ำมัน หุ้น" ปี 2554 ก่อนลงทุน

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2010 เวลา 09:00 น. ถิรัต คุณานิธิพงศ์ ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ

เมื่อวานนี้ (19 พ.ย.) สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ จัดเสวนาหัวข้อ “ก่อนเล่นต้องรู้ ทิศทางพลังงาน ทองคำ และหุ้น” ในงาน Set in the City 2010 โดยเชิญวิทยากร 3 ท่าน คือ คุณสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ คุณวัชรพงศ์ ใสสุก ผู้อำนวยการสำนักแผนกิจการและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) คุณฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ฟิวเจอร์ส จำกัด ร่วมสะท้อนมุมมองทิศทางราคาพลังงาน ทองคำและหุ้น เพื่อเป็นแนวทางแก่นักลงทุนในปี 2554

 

 

 

**** เลขาสมาคมวิเคราะห์หลักทรัพย์แนะสูตรปรับสัดส่วนลงทุนในพอร์ต

 

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า สำหรับตลาดหุ้นปัจจัยที่จะส่งผลตามหลักแล้วมีอยู่ 2 อย่าง คือเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งในปีหน้าปัจจัยที่จะเป็นบวกก็คือสภาพเศรษฐกิจที่ยังโตได้ 4-5% หากมองสถิติย้อนหลังจะเห็นว่าหากปีไหนจีดีพีโตได้เกิน 3% ธุรกิจต่างๆก็จะมีผลประกอบการที่ดี ขณะที่ปัจจัยที่เป็นโอกาสและอาจจะสร้างปัญหาได้ก็คือเงินทุนที่จะไหลเข้ามาเ ซึ่งถ้าไหลเข้ามามากๆ แล้วเกิดมีเหตุที่ไปกระทบกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนเข้าก็อาจจะทำให้ต่างชาติถอนเงินเหล่านี้ออกไปอย่างรวดเร็วได้ และจะส่งผลต่อตลาดหุ้นและอัตราแลกเปลี่ยนอย่างมาก

 

ส่วนปัจจัยในด้านลบยังมองว่าปัญหาเศรษฐกิจของชาติในยุโรปและสหรัฐฯ ยังคงสร้างความผันผวนให้กับตลาดอยู่ นอกจากนั้นมาตรการที่ออกมาเพื่อสกัดเงินร้อนของประเทศต่างๆ ก็เริ่มมีมากขึ้นอย่างเช่นเมืองไทยที่มีการออกมาตรการเพื่อเข้าควบคุมอสังหาฯก็เป็นการส่งสัญญาณว่าจากนี้จะเริ่มมีมาตรการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เริ่มสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น ส่วนปัจจัยลบสุดท้ายก็คือเรื่องการเมืองที่จะมีการเลือกตั้งกันในปีหน้า หากเกิดความไม่เรียบร้อยก็จะส่งผลต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นแน่นอน

 

ส่วนดัชนีหุ้นในปีหน้า เท่าที่สำนักวิจัยฯประเมินไว้ คาดว่าในช่วงร้อนแรงที่สุดดัชนีอาจจะปรับถึง 1,200 จุด ขณะที่วันที่แย่ที่สุดก็อาจจะตกลงมาที่ 907 จุดได้ โดยหากปรับถึง 1,200 จุดแล้ว P/E ปรับขึ้นไปถึง 16 เท่าก็ถือว่าสูงมากแล้วควรจะระมัดระวัง เพราะมองว่าผลประกอบการของบริษัทยังรองรับไม่ทัน การจะดึงรายรับจาก 5 ปีข้างหน้ามาใช้ประเมินด้วยถือว่าเร็วเกินไป

 

ส่วนกลยุทธ์ในการลงทุนนั้นถ้าหากดัชนีอยู่ที่ราวๆ1,000จุด ก็แนะนำให้ลงทุนในหุ้น 20% ทองคำ 20% แต่ถ้าหุ้นปรับลงไปเหลือ 900 กว่าจุด ก็อาจจะเพิ่มสัดส่วนหุ้นเป็น 25% ได้ ส่วนหุ้นที่น่าสนใจคือกลุ่มพลังงานและน้ำมันที่คิดว่ายังมี upside เพิ่มได้อีก กลุ่มนี้น่าจะมีสัดส่วนซัก 20% ของหุ้น นอกจากนั้นกองทุนอสังหาริมทรัพย์ก็ถือว่าน่าสนใจอาจจะลงทุนในส่วนนี้ได้ 20-30% ของพอร์ตการลงทุน และถ้าไม่ชอบความเสี่ยงมากก็ยังมีกองทุนตราสารหนี้ที่น่าจะมีไว้

 

**** วายแอลจีชี้ราคาทองยังปรับขึ้นอีก 2 ปี ไม่เกินปลายปีหน้าได้เห็นที่ 1,600ดอลลาร์

 

คุณฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ฟิวเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า ช่วงนี้เห็นได้ชัดว่าราคาทองคำสูงขึ้นมาอย่างมาก และถ้าหากไม่ใช่เพราะเงินบาทแข็งค่าแล้ว ทองคำก็จะมีราคาราวๆ บาทละ 22,000 บาท ซึ่งสาเหตุที่ราคาทองพุ่งขึ้นก็เนื่องจากราคาทองมีความสัมพันธ์กับภาวะเศรษฐกิจที่แบ่งได้เป็น 3 ช่วงคือ

 

1.ช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ จะเห็นได้ว่าเมื่อเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ราคาทองพุ่งขึ้นมา 200 เหรียญ เมื่อมีวิกฤติดูไบและที่กรีซราคาก็เพิ่มขึ้นมาอีกรอบละ 200 เหรียญ ซึ่งก็เนื่องจากคนเกิดความไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจ จึงหันมาลงทุนในทองคำที่ถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย

 

2.ช่วงเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว ซึ่งน่าจะได้เริ่มเห็นใน 2 ปีข้างหน้า ที่คนจะเริ่มลดการถือทองคำลง และหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ก็จะเป็นช่วงเวลาที่ราคาทองคำจะค่อนข้างนิ่ง และ

 

3.ช่วงเศรษฐกิจบูม ช่วงนี้ก็จะเป็นช่วงที่ทองคำราคาขึ้นเพราะเมื่อเศรษฐกิจดีน้ำมันก็จะราคาพุ่ง ปัญหาเงินเฟ้อจะตามมา ฉะนั้นคนก็จะเข้าซื้อทองคำเพื่อป้องกันปัญหาเงินเฟ้อ ราคาทองคำก็จะสูงในช่วงนั้นอีก

 

นอกจากปัจจัยเรื่องภาวะเศรษฐกิจที่กล่าวมา ราคาทองคำในขณะนี้ยังมีความต้องการที่มากขึ้นจากนักลงทุนเองที่เปลี่ยนทัศนคติจากการซื้อทองเพื่อออมมาเป็นเพื่อการลงทุนมากขึ้น ขณะเดียวกันธนาคารกลางของประเทศต่างๆก็เข้าซื้อทองคำมากขึ้นเพื่อทดแทนเงินดอลลาร์ที่อ่อนลง แต่ด้านซัพพลายก็มีปริมาณ 2,500 ตันต่อปีเท่าเดิม

 

จากปัจจัยโดยรวมๆที่ได้กล่าวมา จึงประเมินว่าในช่วงอีก 2 ปีข้างหน้าราคาทองคำจะยังเป็นขาขึ้นอยู่ อาจจะมีการปรับลงมาบ้างแต่ก็ถือเป็นการปรับฐานลงมาเพื่อรอปรับขึ้นไปใหม่อย่างในปีนี้ที่ปรับขึ้นไปสูงถึง 1,424 ดอลลาร์ก่อนจะลดลงมา โดยราคาในปีหน้าก่อนกลางปีน่าจะได้เห็นราคาอยู่ราวๆ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ และก่อนสิ้นปีหน้าน่าจะอยู่ประมาณ 1,600ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์

 

ส่วนปัจจัยที่จะกระทบต่อราคาทองคำจนราคาตกนั้น ในระยะสั้นๆก็อาจจะมีบ้างอย่างเช่น หากเศรษฐกิจของสหรัฐฯ กลุ่มยุโรปดีขึ้น ทองก็จะราคาตกลงไปบ้างซึ่งเป็นเรื่องกระทบผู้ที่เน้นลงทุนระยะสั้น แต่ในระยะยาวถ้ามองว่าเศรษฐกิจโลกจะเป็นเช่นนี้อยู่ก็เห็นว่าราคาจะขึ้นต่อไปอีกประมาณ 2 ปี จากนั้นราคาก็อาจจะค่อยๆลดลงมาทีละนิดไม่ใช่ตกลงมาอย่างรวดเร็ว รวมถึงเรื่องค่าเงินบาทก็จะมีผลต่อนักลงทุนระยะสั้นๆเช่นกัน แต่หากเป็นระยะกลางหรือยาวแล้ว ถ้าประเมินว่าเงินบาทจะอยู่ที่ 28 ต่อดอลลาร์และทองสามารถปรับไปอยู่ที่ราวๆ 1,500 เหรียญ/ทรอยออนซ์ ก็จะยังได้ผลตอบแทนเป็นบวกอยู่ดี

 

****บางจากประเมินปีหน้าราคาน้ำมันปรับขึ้นเล็กน้อย

 

ทางด้าน นายวัชรพงศ์ ใสสุก ผู้อำนวยการสำนักแผนกิจการและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า ในส่วนของราคาน้ำทัน สิ่งที่จะกำหนดทิศทางราคาโดยหลักการแล้วก็เป็นเรื่องเศรษฐกิจโลก เนื่องจากพลังงานที่ใช้จะมาจากน้ำมันเป็นส่วนใหญ่ ฉะนั้นราคาน้ำมันจะขึ้นหรือลงก็ขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานในตลาด ซึ่งอุปสงค์ก็คือการขยายตัวของเศรษฐกิจ ถ้าหากประเทศใดขยายตัวมากก็ต้องมีการบริโภคและใช้พลังงานมาก ก็ต้องใช้น้ำมันสูงไปด้วย

 

ส่วนปัจจัยที่สองจะส่งผลต่อราคาก็คือเรื่องผู้ผลิตว่าจะมีการผลิตอย่างเพียงพอหรือไม่ โดยในแง่การผลิตแล้วเนื่องจากราคาน้ำมันในปัจจุบัน ที่ระดับเฉลี่ย 75-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ถือว่าเป็นราคาที่ผู้ผลิตพอใจ ทั้งในกลุ่ม OPEC หรือ Non-OPEC ก็ตามเพราะว่าต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งก็เป็นจุดที่เหมาะสม รวมทั้งผู้บริโภคก็รับไหวอย่างในไทยราคาน้ำมันก็อยู่ราวๆ 30 บาทต่อลิตร แต่หากราคาขึ้นสูงไปอย่างเช่น 120 ดอลลาร์/บาร์เรล ผู้บริโภคก็มีปัญหา และส่งผลต่อผู้ผลิตเช่นกัน

 

นอกจากนั้นก็ยังมีปัจจัยเสริมอย่างอื่นที่ทั้งคาดเดาได้และคาดเดาไม่ได้ สิ่งที่คาดเดาได้ก็อย่างเช่นราคาที่จะปรับตามฤดูกาล โดยในหน้าหนาวก็จะมีปริมาณการใช้น้ำมันสูงขึ้นเนื่องจากจะมีการเดินทางเยอะและจะต้องใช้น้ำมันในการทำความร้อนสร้างความอบอุ่น หรือในฤดูร้อนราคาน้ำมันเบนซินจะแพงเพราะว่าเป็นช่วงหยุดพักผ่อนก็มีการเดินทางท่องเที่ยวเยอะ แต่ในช่วงหน้าฝนปริมาณการใช้ก็น้อยลงอาจเพราะมีน้ำท่วม ส่วนในสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ก็เช่นการเกิดสงคราม หรือความไม่สงบในประเทศผู้ผลิตน้ำมัน รวมถึงพายุ ภัยพิบัติที่ส่งผลต่อแหล่งผลิต เป็นต้น

 

สำหรับราคาน้ำมันในปีหน้า เมื่อดูจากปัจจัยพื้นฐานแล้วราคาน้ำมันก็น่าจะอยู่ที่ระดับ 75-90 เหรียญต่อบาร์เรลหรือเฉลี่ยที่ 83 เหรียญ แพงกว่าในปีนี้ที่เฉลี่ยทั้งปีที่ 76 เหรียญ แต่ถึงราคาจะปรับขึ้นแต่ก็ยังเป็นระดับที่ผู้บริโภคพอรับได้อยู่ ส่วนสาเหตุที่ราคาจะปรับขึ้นแต่ไม่มากก็เนื่องจากประเทศจีนที่มีการขยายตัวของเศรษฐกิจสูงมาก ความต้องการใช้พลังงานก็สูงทั้งในภาคอุตสาหกรรมและการขนส่ง แต่ขณะเดียวกันประเทศสหรัฐฯก็ยังไม่น่าจะฟื้นตัวได้มากนัก คงจะต้องใช้เวลาอีก 1-2 ปีกว่าจะกลับมาขยายตัวได้ตามปกติ

 

ส่วนคำแนะนำต่อนักลงทุนนั้นก็มีหลักง่ายๆว่าถ้าหากคิดว่าราคาน้ำมันจะสูงขึ้นอยู่ในปีหน้า ก็ควรลงทุนเพราะว่าบริษัทน้ำมันก็จะคาดว่าราคาจะขึ้นเช่นกัน อย่างเช่นปีนี้เฉลี่ย 76 ดอลลาร์ ก็จะเก็บสต็อกไว้เพื่อจำหน่ายในปีหน้าที่ราคา 83 ดอลลาร์ ก็สามารถทำกำไรจากตรงนี้ได้ด้วย นอกจากนั้นต้องดูที่ค่าการกลั่นเป็นว่าอย่างไร บางครั้งราคาน้ำมันที่สูงมากก็ไม่ได้แปลว่าจะได้ผลกำไรดี แต่จะต้องเป็นระดับราคาขายที่เหมาะสมกับผู้บริโภค และมีความห่างของราคาน้ำมันดิบกับราคาขายในระดับที่สร้างผลตอบแทนให้บริษัทน้ำมันน่าพอใจด้วย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

etFเมื่อวันก่อนขายทองไป4.56ตัน ผ่านไป24ชม.ก็ซื้อคืนอีก3.04ตัน

post-237-098079800 1290232287.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ผมไม่เคยเล่นหุ้นครับ เริ่มต้นด้วยทอง ต่อมาก็เซ็ท50ฟิวเจอร์ เห็นเล่นหุ้นอาจจะรู้ อยากถามว่า MT4ของSET50ที่ผมดูนี้ มันเป็นราคาเรียลไทม เวลาซื้อขายราคาของฟิวเจอร์มันจะต่างกัน2-3จุด บางครั้งราคาจะมากกว่า--บางครั้งก็น้อยกว่าราคาเรียลไทม อยากทราบว่า มันมีโปร์แกรมที่ดูเซ็ท50ฟิวเจอร์โดยตรงไหม

หรือใครทราบช่วยตอบหน่อยก็ได้นะครับ ขอบคุณจ้า

 

อาจารย์ปู่ทองใหม่ครับ เดิมโปรแกรม mt4 ของ millennium ที่ใช้ดู set50 ที่อาจารย์ปู่ใช้อยู่ก็เคยสามารถใช้ดู set50 Futures ได้ด้วยครับ โดยเลือกไปที่โฟลเดอร์ Asian Futures ในตาราง symbols แต่ตอนหลังเขาถอดออกไปเสียแล้ว ผมก็พยายามหาดูว่ามี mt4 ของที่อื่นที่ดูได้อีกไหม ก็ไม่พบเลยครับอาจารย์ปู่ ถ้าหาได้แล้วจะรีบแจ้งให้ทราบครับ

สรุปว่าตอนนี้ โบรคเกอร์ mt4 ของต่างประเทศที่สามารถดูตลาดหุ้นไทยได้ก็มีแค่ 3 เจ้า คือ broco ใช้ดู set millennium ใช้ดู set50 และ exness ใช้ดูหุ้นไทยรายตัว(ไม่ครบทุกตัว) เท่านั้นเองครับ

:ph34r:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สำหรับ set50 futures ของไทย มีกราฟฝีมือคนไทย คุณ คุราคุง แห่งห้องสินธร พันทิพ ทำเอาไว้ครับ ไม่ได้ใช้ mt4 แต่ใช้ฟังก์ชั่นกราฟของ google มีอินดี้ง่าย ๆ พวก ma bb macd rsi sto เท่านั้น และไม่ใช่ realtime แต่เป็นแค่ end of day อาจารย์ปู่ลองไปดูก็ได้ครับ อาจจะช่วยได้บ้าง

 

http://mychart.tk/stock-chart/S50Z10/

 

:ph34r:

post-835-003828200 1290247832.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
em0009.gif ขอบคุณอ.ทองใหม่คร้า em0009.gif em0009.gif cd08785a.gif 04a97f13.gif วันจันทร์ไปตรวจสุขภาพ ขอให้ผลออกมาดีนะคร้าจารย์ เพราะจารย์รักษาสุขภาพอยู่แล้ว เป็นอีก1กำลังใจให้จารย์คร้า 04a97f13.gif 04a97f13.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

etFเมื่อวันก่อนขายทองไป4.56ตัน ผ่านไป24ชม.ก็ซื้อคืนอีก3.04ตัน

 

มีนัยยะ อะไรหรือเปล่าเนี่ย เพิ่งขาย แล้วมาซื้อคืน :ph34r:

 

ปล. อาจารย์ ว่าไงคะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อาจารย์ปู่ทองใหม่ครับ เดิมโปรแกรม mt4 ของ millennium ที่ใช้ดู set50 ที่อาจารย์ปู่ใช้อยู่ก็เคยสามารถใช้ดู set50 Futures ได้ด้วยครับ โดยเลือกไปที่โฟลเดอร์ Asian Futures ในตาราง symbols แต่ตอนหลังเขาถอดออกไปเสียแล้ว ผมก็พยายามหาดูว่ามี mt4 ของที่อื่นที่ดูได้อีกไหม ก็ไม่พบเลยครับอาจารย์ปู่ ถ้าหาได้แล้วจะรีบแจ้งให้ทราบครับ

สรุปว่าตอนนี้ โบรคเกอร์ mt4 ของต่างประเทศที่สามารถดูตลาดหุ้นไทยได้ก็มีแค่ 3 เจ้า คือ broco ใช้ดู set millennium ใช้ดู set50 และ exness ใช้ดูหุ้นไทยรายตัว(ไม่ครบทุกตัว) เท่านั้นเองครับ

:ph34r:

ขอบคุณมากครับคุณงูดิน ไม่เจอตั้งนาน คิดว่าหายไปไหนเสียแล้ว สุดยอดเลย ตอบตามที่ผมอยากจะถามอยู่พอดี ตอนนี้ผมสมัครเล่นเซ็ท50ฟิวเจอร์แล้ว แต่ราคามันไม่ตรงกับเรียลไทม์ พอดูกราฟราคาที่เรียลไทม์ พอเห็นจะทำกำไรได้สัก4ซ่า5จุด พอมาดูราคาเซ็ท50ฟิวเจอร์ อ้าว..มันห่างจากราคาที่เรียลไทม์ตั้ง3-5จุด ทำให้เล่นไม่ถูกเลยครับ.............จะรอคอยครับหากคุณงูดินหาได้ ขอบคุณครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

มีนัยยะ อะไรหรือเปล่าเนี่ย เพิ่งขาย แล้วมาซื้อคืน :ph34r:

 

ปล. อาจารย์ ว่าไงคะ

ไม่ว่าครับ เคราะจ้า...............

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ไม่ว่าครับ เคราะจ้า...............

 

แหม ๆๆ ขอความเห็นหน่อยก้อมะดะ คริ คริ

 

ปล. เพิ่งทาน MK มา เลย แวะมาแซวจารย์หน่อย เด๋วน้อยใจ ปิด กระทู้อีก :rolleyes:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อ.ทองใหม่ค่ะ ที่บอกว่ากราฟแพ้ปัจจัยพื้นฐานและจิตวิทยาแนวโน้มตลาด หมายถึงปัจจัยก่อให้จิต

วิทยาแนวโน้มตลาด หรือจิตวิทยาอาจเกิดขึ้นโดยไม่ใช่ปัจจัย เช่นข่าวลือต่าง ๆค่ะ และหากกราฟกำลังอยู่ทิศทางขึ้น หากมีข่าวมากระทบแรง ๆ เช่นจีนขึ้นดอกเบี้ย อาจทำให้กราฟเปลี่ยนเทรนได้เลยใช่มั้ยค่ะ หรือจะเป็นแค่ลงช่วงสั้น แล้วขึ้นใหม่ค่ะ กรณีนี้ข่าวนี้ถือเป็นปัจจัยพื้นฐานหรือไม่ค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...