ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ginger

หัวใจทองคำกับรอยหยักของสมอง

โพสต์แนะนำ

Monday, 5 August 2013

 

ธุรกิจโจร-Sunset Industry

 

« ฮอร์โมนกับการลงทุน | Main

 

ผมเพิ่งย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านที่ปลูกใหม่บนพื้นที่บ้านเดิมในซอยรางน้ำเมื่อ 3-4 เดือนที่ผ่านมา แต่ก็ถูกขโมยงัดแงะเข้าบ้านถึง 2 ครั้งเข้าไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่ตลอดเวลาเกือบ 30 ปีที่ผ่านมาโจรไม่เคยเข้าบ้านเลย วิเคราะห์แล้วผมคิดว่าสาเหตุคือ หนึ่ง บ้านหลังเก่านั้นเป็นบ้านชั้นเดียวและใช้วัสดุพื้น ๆ ไม่มีการตกแต่งอะไรเลย ดังนั้น โจรจึงคิดว่าไม่มีของอะไรให้ขโมย แต่บ้านหลังใหม่นี้สวยงาม เจ้าของคงมีเงินและคงมีทรัพย์สินมีค่าที่จะลักได้ ข้อสอง ก็คือ กำแพงบ้านยังไม่ได้ติดเหล็กแหลมและหน้าต่างบ้านก็ไม่ได้ติดเหล็กดัด ดังนั้น เป็นการง่ายที่จะปีนเข้าไปและงัดหน้าต่างกระจกเข้าบ้าน โชคยังดี ผมติดสัญญาณป้องกันขโมยไว้ ดังนั้น โจรจึงไม่สามารถลักของมีค่าไปได้ทั้งสองครั้ง แต่ผมเองก็คิดต่อไปว่า เอาเข้าจริง ๆ เราก็ไม่มีของมีค่าอะไรที่ควรแก่การขโมย อย่างมากก็เครื่องเสียงราคาไม่เกิน 3-4 พันบาทซึ่งไปขายต่อก็อาจจะได้แค่ 1-2 พันบาทเป็นอย่างมาก สิ่งที่กลัวไม่ใช่ของแต่เป็นเรื่องความปลอดภัยในชีวิตของคนในบ้าน ความคิดต่อมาของผมก็คือ นี่คือ “สัจธรรม” หรือเปล่าที่ว่าเมืองไทยนั้นเต็มไปด้วย อาชญากรรมและมันไม่มีทางลดลงมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

โดยความบังเอิญ ผมได้อ่านพบว่า อาชญากรรมในประเทศพัฒนาแล้ว ที่แต่เดิมย้อนหลังไป 20-30 ปี ก็มีความคิดแทบจะเป็น “สัจธรรม” ว่ามีแต่จะเพิ่มขึ้นนั้น บัดนี้ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่ามันไม่เป็นความจริง เพราะสถิติอาชญากรรมในประเทศพัฒนาแล้วทั่วโลกมีการลดลงต่อเนื่องมาประมาณ 20 ปีแล้วรวมถึงปีที่เศรษฐกิจตกต่ำคนตกงานเกือบ 20% อย่างในปัจจุบัน คนไทยที่ยังคิดว่าเมืองนิวยอร์คโดยเฉพาะในบางย่านนั้นเป็นเขตอันตรายที่เดินแทบไม่ได้นั้นแสดงว่าเขาคงไม่ได้ติดตามการเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ เพราะนิวยอร์คเดี๋ยวนี้ปลอดภัยมาก เช่น สถิติรถหายเคยสูงถึงปีละเกือบ 150,000 คันเมื่อประมาณ 20 ปีก่อน เดี๋ยวนี้เหลือแค่ปีละ 10,000 คัน สถิติอาชญากรรมรุนแรงอื่น ๆ ก็ลดลงน่าจะเหลือแค่ 20-30% จากอดีต อาชญากรรมบางอย่างแทบจะสูญพันธุ์ไปเลย ที่ดูเหมือนว่าน่าจะยังมีอยู่บ้างก็น่าจะเป็นเรื่องของการล้วงกระเป๋าโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวในบางเมืองหรือการลักของในห้างร้าน นอกจากนั้นก็อาจจะเป็นเรื่องของการโกงหรือต้มตุ๋นที่ไม่ได้มีอาการของความรุนแรงต่อร่างกาย

สาเหตุที่อาชญากรรมลดลงอย่างต่อเนื่องมานานนั้นมีการวิเคราะห์กันมาก ที่โดดเด่นและน่าจะมีผลจริง ๆ ในระดับหนึ่งก็เช่น ข้อแรก คนในประเทศพัฒนาแล้วแก่ตัวลง คนที่ก่ออาชญากรรมนั้นมักจะมีอายุระหว่าง 16- 24 ปี ดังนั้นอาชญากรรมจึงมีน้อยลง อย่างไรก็ตามสถิติในเมืองใหญ่บางแห่งที่มีคนอายุระดับนั้นมากขึ้นก็ไม่แสดงว่าอาชญากรรมเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ดังนั้น เรื่องอายุคนจึงเป็นเพียงเหตุผลหนึ่งเท่านั้น เหตุผลต่อมาก็คือ เรื่องการที่กฎหมายอนุญาตให้มีการทำแท้งได้ในสหรัฐในช่วงทศวรรษ 1970 ซึ่งทำให้เด็กที่เกิดโดยแม่ที่ยากจนและไม่เป็นที่ต้องการลดลง นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้อาชญากรรมที่อาจจะเกิดจากเด็กกลุ่มนี้ลดลง แต่นี่ก็คงไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงเพราะบางประเทศเช่นในอังกฤษก็อนุญาตให้มีการทำแท้งได้ก่อนหน้านั้นนานแต่สถิติอาชญากรรมก็ยังลดลงต่อเนื่อง

เหตุผลประการที่สามที่มีการพูดกันอีกก็คือ การเลิกใช้สารตะกั่วในน้ำมันเบนซิน เพราะมีความเชื่อกันว่าสารตะกั่วทำให้คนก้าวร้าวก่ออาชญากรรมง่าย แต่นี่ก็คงเหมือนกับกรณีอื่น ๆ ที่ว่าถ้ามันเลิกใช้มานานแล้ว สถิติก็ไม่น่าจะลดลงต่อไปอีก เหตุผลข้อที่สี่นั้นผมไม่แน่ใจว่าจะใช้ได้ไหมเพราะเขาบอกว่าเป็นเพราะเด็กรุ่นใหม่นั้นไม่ค่อยก้าวร้าว มีนิสัยดีขึ้น และจำนวนคนที่ยังอาศัยอยู่กับพ่อแม่ทั้งที่อายุกว่า 30 ปีแล้วโดยเฉพาะในยุโรปสูงขึ้นมาก อย่างไรก็ตาม สถิติของคนที่ถูกจับเพราะก่ออาชญากรรมเป็นครั้งแรกในอังกฤษนั้นลดลงถึง 44%

ดูเหมือนว่าเหตุผลที่น่าจะมีน้ำหนักที่สุดที่ทำให้อาชญากรรมลดลงก็คือ โอกาสหรือความคุ้มค่าของการก่ออาชญากรรม นั่นก็คือ ในอดีตนั้น สินค้าที่เป็นทรัพย์สินต่าง ๆ มักมีราคาแพงและเฉพาะคนที่มีรายได้สูงพอเท่านั้นที่มีปัญญาซื้อมาใช้ เช่น รถยนต์ เครื่องเล่นวิดีโอหรือเครื่องเสียง เครื่องประดับต่าง ๆ ซึ่งทำให้คนอยากขโมย แต่ต่อมาสิ่งเหล่านั้นก็ดูเหมือนจะถูกลงมาเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับรายได้ของคน ดังนั้น มันจึงอาจจะดูไม่ค่อยคุ้มนักที่จะทำ ประกอบกับเหตุผลที่สำคัญก็คือ เทคโนโลยีในการป้องกันและตามจับโจรนั้นมีการพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดและต้นทุนถูกมากเช่นกล้อง CCTV และระบบสัญญาณกันขโมยตามบ้านและห้างร้าน เป็นต้น สิ่งนี้ทำให้อาชญากรรมลดลงเนื่องจากผลตอบแทนที่จะได้รับถ้าทำสำเร็จลดลง ในขณะเดียวกันโอกาสที่จะถูกจับได้ ทั้งในช่วงที่ก่ออาชญากรรมและหลังจากการกระทำแล้วสูงขึ้นมาก พูดง่าย ๆ Low Return แต่ High Risk หรือผลตอบแทนต่ำแต่ความเสี่ยงสูง ดังนั้นเขาก็ไม่อยากทำ

ในประเทศไทยเองนั้น ผมไม่มีสถิติการเกิดอาชญากรรมว่าเป็นอย่างไร ถ้าดูแนวโน้มจากประเทศพัฒนาแล้วก็น่าจะต้องค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะการจี้ปล้นและการลักขโมย อย่างไรก็ตาม สถิติที่ดูแล้วไม่น่าที่จะลดลงในช่วงเร็ว ๆ นี้ก็คือเรื่องของยาเสพติดที่ดูเหมือนว่าผลตอบแทนจะสูงมากซึ่งทำให้อาชญากรอยากหรือกล้าที่จะเสี่ยง เช่นเดียวกัน อาชญากรรมที่เกี่ยวกับการหลอกลวงทางด้านการเงินโดยเฉพาะผ่านทางอินเตอร์เน็ตน่าจะสูงขึ้นเนื่องจากผลตอบแทนสูงและระบบการป้องกันและตามจับยังไม่ได้มีการพัฒนามากนัก เช่นเดียวกัน การหลอกลวงโดยอ้างอิงความเชื่อและอิทธิปาฏิหาริย์เพื่อให้คนหลงเชื่อและจ่ายเงินให้แก่อาชญากรก็น่าจะยังคงดำเนินต่อไปไม่ลดลง เหตุผลก็เพราะเราไม่มีมาตรการที่มีประสิทธิผลพอในการป้องกันและตามจับ พูดถึงเรื่องเหล่านี้แล้วก็ทำให้นึกถึงการลงทุนในตลาดหุ้นที่ผมคิดว่าอาจจะมีการประกอบอาชญากรรมอยู่ไม่น้อยโดยที่เราไม่รู้หรือทำอะไรไม่ได้ด้วย เหตุผลก็เพราะผลตอบแทนนั้นสูงลิ่วแต่ความเสี่ยงกลับไม่มาก บทลงโทษเองก็ไม่สูงนัก

ผมไม่รู้ว่าสถิติการเกิดอาชญากรรมของไทยลดลงหรือยังใน พ.ศ. นี้ อาจจะยังเพิ่มอยู่ แต่ผมเชื่อว่าในที่สุดก็น่าจะลดลง เพราะผมไม่เห็นว่าเราจะแตกต่างจากประเทศที่พัฒนาแล้วตรงไหนยกเว้นรายได้ที่ในที่สุดเราก็น่าจะตามไปทันระดับของเขาในวันนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่คนไทยเชื่อก็คือ การคอร์รัปชั่นในวงราชการไม่มีลดมีแต่จะเพิ่มขึ้น ผมเองก็ไม่รู้ว่านี่เป็นเรื่องจริงไหม แต่สิ่งที่ผมคิดก็คือ มันก็มีความเป็นไปได้ว่าการคอร์รัปชั่นในที่สุดก็น่าจะต้องค่อย ๆ ลดลง ว่าที่จริงประเทศที่เจริญแล้วแม้แต่ในอเมริกาครั้งหนึ่งก็มีการคอร์รัปชั่นกันมาก เช่นเดียวกัน ประเทศในเอเชียเช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฮ่องกงนั้น ในสมัยก่อนก็มีการคอร์รัปชั่นกันมากเหมือนกัน แต่เมื่อประเทศเจริญขึ้นและมีการสร้างระบบที่ป้องกันและต่อต้าน การคอร์รัปชั่นก็ลดลงไปมาก เรียกว่าเป็น “อุตสาหกรรมตะวันตกดิน” ไปเลย พูดแบบนี้หลายคนอาจจะมีความเห็นแย้งอย่างแรง เขาอาจคิดว่าในระบบการเมืองและนักการเมืองแบบไทย การคอร์รัปชั่นนั้นมีแต่จะมากขึ้นจนประเทศอาจ “ล้มละลาย” หรือ “สิ้นชาติ” ผมเองก็ไม่รู้ว่าการคอร์รัปชั่นของไทยจะลดลงได้อย่างไร ผมเพียงแต่รู้ว่าอะไรที่มัน “Impossible” หรือที่เราคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เช่นเรื่องการลดลงของอาชญากรรมนั้น มันก็เป็นไปแล้ว การคอร์รัปชั่นนั้น ว่าที่จริงมันก็เป็นอาชญากรรมอีกแบบหนึ่ง เมื่อถึงเวลา มันก็ควรต้องค่อย ๆ ลดลง พูดถึงตรงนี้ผมเองก็นึกว่า ตกลงมันเกี่ยวข้องกับการลงทุนไหม? บอกตรง ๆ ยังนึกไม่ใคร่ออก เรื่องหนึ่งที่จะอ้างได้ก็คือ บทความเรื่องนี้อาจจะสอนให้รู้ว่า อุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่ทุกคนเชื่อกันขนาดเป็น “สัจธรรม” ว่ามันต้องไปเพียงทางเดียวเท่านั้น มันก็อาจจะเปลี่ยนกลับทางได้อย่างไม่น่าเชื่อ ไม่มีอะไร Impossible ทั้งด้านที่ดีและร้าย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Wealth Station

อัพเดทช่วงบ่าย

มองขึ้น มองขึ้นจากแรงซื้อในวันศุกร์

หากยังไม่หลุด 1283 มองขึ้นเป้า 1339 1349 1360

และถ้าหลุด 1283 ก็มอง 1266 1244 โดยให้แนวย่อยที่ 1313 1304

ส่วนตัวมองว่า 1320 เป็นแนวชะลอตัวได้แต่แรงขายไม่มาก ซึ่งต้องมองว่าอาจแค่ทรงตัวไม่หลุด 1300 - 1305 ก็ได้ และถ้ายังไม่หลุดแนวหนุนระยะสั้น 1300 - 1305 ก็มีสิทธิทำทรงสวยๆผ่าน 1320 ไปได้

ในทางตรงกันข้ามถ้าจะเป็นกรณีลง คือต้องถอยลงเรื่อยๆ และกลับมาต่ำกว่า 1300 โดยเฉพาะถ้าแท่งเทียนเป็นแบบ "อีกาสามตัว"จากแนว 1320 นี้

โดยรวมแล้วตลาดเงินสหรัฐก็กลับมาที่เดิมหลังยิลด์บอนด์บวกรอตัวเลขในวันพฤหัสกับศุกร์ ค่าเงินบาทยังทรงตัวในระดับ 31.20 - 31.40 บาท แนวโน้มอ่อนค่าโดยมีความสัมพันธ์กับสถานการณ์บ้านเมืองยิ่งรุนแรงเงินบาทยิ่งอ่อน

 

76007_571640686207744_2034328402_n.png

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

Thanong Fanclub

about an hour ago

 

จีนเตรียมบอมบ์ระบบการเงินโลก โดยเลิกผูกหยวนกับดอลล่าร์แต่จะผูกหยวนกับทองแทน

 

นาย Yao Yudong สมาชิกคนหนึ่ของคณะกรรมการนโยบายการเงินของ ธนาคารกลางของจีน หรือThe People's Bank of China

ได้ออกมาแสดงความคิดเป็นผ่านบทความว่า ได้เวลาแล้วที่โลกจะกลับไปปัดฝุ่นรื้อฟื้นระบบBretton Woods system

เพื่อความมั่นคงของระบบการเงินโลก และลดการผันผวนของสภาพคล่อง

 

นายหยาวยังได้เรียกร้องให้ทางกองทุนการเงินระหว่างประเทศเพิ่มบทบาทตัวเองมากขึ้น

ในด้านความร่วมมือทางด้านการเงินและการสอดส่องดูแลระบบสถาบันการเงินให้มีความมั่นคง

 

ต้องเข้าใจว่าระบบBretton Woods Systemคือกลไกระเบียบการเงินโลกหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

ที่อังกฤษจัดตั้งขึ้นมาโดยให้ดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของโลกและให้สหรัฐฯอเมริกาเป็นมหาอำนาจโลกแต่เป็นผู้เดียว

แทนที่จักรวรรดิต่างๆที่ล้มไป เพราะต่งก็บอบช้ำกับทั้งสงครามโลก1และ 2

 

ภายใต้ข้อตกลงนี้ ประเทศต่างๆจะใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ fixed exchange rate systemภายใต้มาตรฐานทองคำ โดยอิงกับดอลล่าร์ที่อิงกับทองอีกทีด้วยอัตราแลกเปลี่ยน$35ต่อทองคำหนึ่งออนซ์ หลังสงครามโลกสหรัฐฯมีทองสำรองมากที่สุดในโลก รวยมากๆมีทองถึง20,000กว่าตัน มากกว่าจักรวรรดิใดๆที่ผ่านมา

 

ระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่แบบนี้ดีต่อเสถียรภาพค่าเงิน ไม่ผันผวน เงินเฟ้อแทบไม่มี

 

แต่อเมริกามือเติบ พิมพ์เงินเกินทองคำสำรอง และไดขายทองออกมา เพราะก่อสงครามไม่มีวินัยการเงินการคลัง

ทองสำรองค่อยๆร่อยหรอลดลงมาเหลือประมาณ8,000กว่าตันจากช่วง1971จนถึงปัจจุบัน

 

แต่พอประธานาธิบดีนิกสันเลิกระบบมาตฐานทองคำปี1971โดยดอลล่าร์จะไม่อิงทองหรือทรัพย์สินใดๆ คือพิมพ์ออกมาดื้อๆกลางอากาศ จับจากนั้นโลกเข้าสู่ระบบการเงินกระดาษFiat Currency System

 

ค่าเงินบาทที่เคยอิงกับดอลล่าร์ที่อิงทอง ก็เปลี่ยนมาเป็นระบบcurrency reserves system

คือทุนสำรองระหว่างประเทศทั้งหมด$172,000ล้าน ที่หนุนบาท มีดอลล่าร์ ยูโร เยน เงินอาเซี่ยนและทองเล็กน้อย

หนุนอยู่ในตะกร้าเงินของcurrency reserves ที่โดยเนื้อแท้แล้วเป็นกระดาษทั้งนั้น ไม่มีสินทรัพย์อะไรหนุนหลัง

 

บาความของzerohedge.comที่ยอกมานี้บอกว่า จีนคงจะไม่เอาspecial drawing rights SDR

หรือเงินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศเป็นเงินสกุลหลักของโลกที่อาจจะมาแทนดอลล่า

ในกรณีที่ดอลล่าร์ไปต่อต่อไม่ไหวเพราะการทำคิวอีตลอดกาลของเฟดเพื่อซื้อหนี้รัฐบาลกลางสหรัฐฯที่เอาไม่อยู่

 

จากตารงจะเห็นได้ว่าเงินสกุลหลักของโลกไม่จีรังถาวร เงินโปรตุเกสเป็นสกุลหลักของโลกช่วงคศ 1400s

ยุคล่าอาณานิคมต้นๆผ่านกองทัพเรือรบที่เกรียงไกร เงินเสปนขึ้นมาแทนช่วง1575

ตามมาด้วพวกดัชท์ ฝรั่งเศส ในช่วงศตวรรษที่18 อังกฤษยิ่งใหญ่สุดในศตวรรษที่ 19ด้วยเงินปอนด์เป็นสกุลหลักของโลก

และอเมริกามายิ่งใหญ่หลังสงครามโลกครั้งที่สองจนถึงทุกวันนี้ด้วยเงินดอลล่าร์

 

แต่ดอลล่าร์กำลังจะปีกหัก เหมือนเงินสกุลหลักของโลกอื่นๆในอดีต

คงไม่ต้องเดามาค่าเงินที่จะมาแทนดอลล่าร์ต่อไป คือหยวนนั่นเอง

 

 

thanong fanclub

5/8/13

 

http://www.zerohedge.com/news/2013-08-04/did-china-just-fire-first-salvo-towards-new-gold-standard

 

 

1001897_149902258539490_1535884231_n.png

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Thanong Fanclub

 

about an hour ago

 

 

2) ระยะ2 ปีที่ผ่านมา จีนสร้างระบบการเงินหยวนที่คึกคักมากเพื่อล้มระบบดอลล่าร์

 

 

เมื่อถึงเวลาที่เหมาะ น่าจะเร็วมากกว่าช้า จีนจะลอยหยวนจากการผูกติดกับดอลล่าร์ในปัจจุบัน

และกลับไปผูกกับทองคำที่ จีนได้กว้านซื้อจากทั่วโลกเป็นกอบเป็นกำในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

 

ตอนนี้จีนอาจจะมีทอง7,000-10,000ตันแล้ว เพียงพอที่จะหนุนหยวนในระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่

 

มาตรฐานทองคำที่จีนจะนำมาใช้ จะทำให้ค่าเงินหยวนค่อนข้างมีเสถียรภาพ

ผิดกับระบบการเงินที่ตั้งอยู่บนรากฐานของกระดาษfiat currency systemและหนี้ในระบบแบงค์ credit system ประเทศอื่นๆ

เช่นไทย ถ้าหันมาผูกค่าเงินกับจีน จะมีสเถียรภาพกว่าดอลล่าร์ที่กำลังพิมพ์ออกมามั่วๆ ไม่มีวันจบสิ้น

 

หยวนก็จะพัฒนาเป็นเงินสกุลหลักของภูมิภาคนี้ และของโลก แข่งกับเงินดอลล่าร์และยูโรที่กำลังเปลี๊ยลง

เพราะเศรษฐกิจอ่อนแอ หนี้สูง แบงค์ล้มละลาย

 

thanong fanclub

5/8/13

 

ข่าวต่อไปนี้ เกี่ยวกับข้อตกลงการเงินที่จีนทำประเทศต่างระยะสองปีที่ผ่านมา โดยไม่อิงดอลล่าร์

 

"China Takes Another Stab At The Dollar, Launches Currency Swap Line With France",

 

"BOE and the PBOC announced a currency swap",

 

"Australia And China will Enable Direct Currency Convertibility",

 

"World's Second (China) And Third Largest (Japan) Economies To Bypass Dollar, Engage In Direct Currency Trade",

 

"China, Russia Drop Dollar In Bilateral Trade",

 

"China And Iran To Bypass Dollar, Plan Oil Barter System",

 

"India and Japan sign new $15bn currency swap agreement",

 

"Iran, Russia Replace Dollar With Rial, Ruble in Trade, Fars Says", "India Joins Asian Dollar Exclusion Zone, Will Transact With Iran In Rupees", and

 

"The USD Trap Is Closing: Dollar Exclusion Zone Crosses The Pacific As Brazil Signs China Currency Swap"

 

 

http://www.zerohedge.com/news/2013-08-04/did-china-just-fire-first-salvo-towards-new-gold-standard<span

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Thanong Fanclub

 

40 minutes ago

 

 

3) แล้วจีนจะพาหยวนไปถึงพระจันทร์ได้อย่างไร ในเมื่อระบบการเงินเป็นฟองสบู่

 

ยุโรปเป็นฟองสบู่ที่แตกแล้ว ยังไม่ฟื้น แต่ตั้งท่าจะพิมพ์เงินถ้าสถานการณ์เลวร้ายลงไป

สหรัฐฯเป็นฟองสบู่รอบสองโดบลุงเบนปั่นขึ้นมาใหม่หลังฟองสบู่ลูกแรกแตกไปเมื่อปี2008

ญี่ปุ่นฟองสบู่แตกแล้วปี1990ตอนนี้ยังไม่ฟื้น แต่ญี่ปุ่นกำลังจะสร้างฟองสบู่ใหม่ผ่านQE จีนเองก็มีฟองสบู่หนักในภาคการเงิน

 

ตกลงฟองสบู่ทั้งนั้น ทุกคนรู้ว่ากำลังเล่นเกมการเงินฟองสบู่อยู่ เพื่อสร้างภาพลวงตาของการเติบโตของเศรษฐกิจ ประเด็นคือใครจะหลอกชาวบ้านได้นานกว่ากัน กว่าความจริงจะถูกเผยออกมา หรือฟองสบู่แตก

 

ที่น่ากังวลที่สุดคือญี่ปุ่น อาจจะแตกก่อน ถ้ารัฐบาลพิมพ์เงินและเอาดอกเบี้ยไม่อยู่ ตลาดบอนด์ถล่มเมื่อใด ญี่ปุ่นก็จบ จะเป็นระเบิดการเงิโลกลูกต่อไป ต่อจากLehman Brothers

 

จีนเตรียมพร้อมลอยหยวนโดยดิงมาตรฐานทองคำ ภายใต้ระบบการเงินคงที่ก็เพื่อรอรับวันที่การเงินญี่ปุ่นระเบิดออกมานั่นเอง

 

จีนไม่สนแรงกดดันสหรัฐฯที่ต้องการให้หวนแข็งค่าขึ้นเพื่อลดการขาดดุลของสหรัฐ แต่ระบบแบงค์ภายในน่ากัลวลกว่า

จากตารางเห็นได้ชัดว่าเครดิตในระบบแบงค์เพิ่มอย่างก้าวกระโดดจาก90%ต่อจีดีพีปี1997 มาเป็น240%ต่อจีดีพีในปี 2013

 

พวกระบบธนาคารเงาน่าเป็นห่วง เพราะว่าแบงค์เลี่ยงกฎระเบียบด้วยการตั้งบริษัทลูก แล้วปล่อยกู้เก็งกำไรอย่างสนุกสนานในช่วงที่ผ่านมา

ตอนนี้ทางการจีนกำลังจัดการเรื่องนี้อยู่ ถ้าจัดการไม่เร็วเวลาการเงินญี่ปุ่นระเบิดจะกระทบจีนและทั่วโลก

 

ถึงตอนนั้นจะวัดดวง หรือวัดฝีมือกันระหว่างสหรัฐฯ ยุโรป และจีนว่าใครจะต้านทานแรงระเบิดจากญี่ปุ่นได้ดีกว่ากัน ระบบรีเซ็ทจะเป็นอย่างไร

และใครพร้อมกว่ากันที่จะก้าวออกมาเป็นมหาอำนาจที่แท้จริงเพื่อเขียนร่างและเป็นผู้นำในระบบการเงินโลกใหม่

 

ด้วยทองคำสำรองที่เกือบจะมากที่สุดในโลก จีนคงจะคิดว่าน่าจะผ่านระบบรีเซ็ทได้บอบช้ำน้อยกว่ามหาอำนาจอื่นๆ

เพราะว่าโครงสร้างเศรษฐกิจไม่เรื้อรังถลำลึกเหมือนมหาอำนาจในโลกเก่า

 

Thanong Fanclub

 

 

999515_149905628539153_1937223014_n.jpg

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Thanong Fanclub

อนาคตรูเบิ้ล-หยวน-รูปี แจ่มใสกว่ายูโร-ดอลลาร์

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

โค้งสุดท้ายชิงประธานบอร์ดแบงก์ชาติ

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Thanong Fanclub

เฟดจะขาดทุน$192,000ล้านจากการทำQEบอนด์รัฐบาล

 

พอดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯขึ้น66% ในระยะ3เดือนที่ผ่านมา กองทุนหรือนักลงทุนที่ถือบอนด์รัฐบาลขาดทุนบักโกรก

 

เฟดก็ขาดทุนอ่วมจากการทำQEบอนด์รัฐบาล

 

ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม เฟดถือพันธบัตรรัฐบาล$1.98ล้านล้าน

 

หรือประมาณกว่าครึงหนึ่งของงบดุลบัญชีของเฟดที่มีขนาดทั้งหมด$3.6ล้านล้าน

 

ที่เหลือคือmortage-backed securitiesที่เฟดทำQEกับพวกธนาคารพานิชย์

 

Scott Minerd,แห่ง Guggenheim Partners คำนวนว่า ถ้าต้องลงตามบัญชี ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลที่ขึ้นไป ทำให้เฟดขาดทุนประมาณ$192,000ล้าน

 

นี้เป็นตัวเลขขาดทุนทางบัญชี ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง ถ้าเฟดต้องขายพันธบัตรออกมา ถึงจะขาดทุนจริง

 

ไม่รู้เมื่อไหร่ คงต้องอั้นให้ถึงที่สุด

 

 

BOND LOSSES AT FEDERAL RESERVE TOP $192 BILLION

 

The yield on 10-year U.S. Treasuries (^TNX) has surged 66% over the past three months. And bond investors, especially those with jumbo-sized positions, are getting hammered. How much money has the Federal Reserve lost?

 

At the end of July, the Federal Reserve held $1.98 trillion in U.S. Treasuries. (See chart below) That figure represents just over half of the Fed's $3.6 trillion balance sheet.

 

Scott Minerd, the Global Chief Investment Officer at Guggenheim Partners notes:

 

"Our estimate shows that the spike in bond yields since the first quarter of this year has caused a mark-to-market loss of $192 billion on the Fed’s holding assets...."

http://www.etfguide.com/commentary/1095/Bond-Losses-at-Federal-Reserve-Top-$192-Billion/

 

 

999172_149976145198768_834526512_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Thanong Fanclub

แล้วเฟดจะเอาดอกเบี้ยอยู่หรือเปล่า

 

ฺBill Fleckenstein แห่งFleckenstein Capital ได้ตั้งข้อสังเกตุว่าดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐฯเริ่มไต่ขึ้น ไม่ใช่มาจากการที่เฟดยึกยักไปมาอย่างเดียวเรื่องนโยบายQE แต่เพราะว่าตลาดบอนด์กำลังจะเอาแท่นพิมพ์จากเฟดไป หมายความว่า เฟดเริ่มจะสกัดไม่ให้ดอกเบี้ยขึ้นไม่ได้

 

ดอกเบี้ยพันธบัตร5ปีได้ขยับขึ้น 62 basis points อยู่ระดับสูง1.60% ตอนนี้อยู่ระดับ1.47%

 

ถ้าลุงเบน เบอร์นันเก้บอกว่าจะไม่ลดการทำQEในเดือนกันยายน และถ้าพันธบัตรอายุ5ปีราคาไม่ตีกลับ หรืออีกในแง่หนึ่ง ถ้าดอกเบี้ยไม่ลดลง80basis points นายFleckensteinสรุปว่า กรณีนี้จะถือได้ว่าเฟดสูญเสียการควบคุมตลอดบอนด์ไป

 

พูดง่ายๆ เอาไม่อยู่

 

thanong fanclub

5/8/13

 

The 10-year rates are not too far from the highs they saw in the wake of the start of the Fed's "tapering" talk.

 

Regular readers know my view is that these rates have backed up not simply because of Fed jawboning, but also because of the fact that the bond market is potentially in the early stages of taking away the printing press from the Fed. Five-year rates have risen from about 62 basis points to a high of 1.60%, and are now around 1.47%.

 

So, even though the Fed has made a serious attempt to tell folks that, while it might taper, it surely won't actually tighten for years, the bond market has been unable to rally very far. If Fed Chairman Ben Bernanke makes it clear that he is not going to taper (or is unable to) in September, and if the 5-year note doesn't recapture a huge chunk of this rally (by trading down to, say, 80 basis points), I think a case can be made that the Fed has lost control of the bond market.

 

 

http://money.msn.com/bill-fleckenstein/post--it-all-goes-back-to-bonds

 

 

563887_149982521864797_1851623845_n.jpg

 

 

 

Thanong Fanclub

22 minutes ago

 

การอัดเครดิตให้ขยายตัวในยามเศรษฐกิจตกต่ำไม่ได้ช่วยให้เศรษฐกิจฟื้น

 

"จะแก้ภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง ด้วยวิธีการบังคับให้มีการขยายตัวของเครดิต ก็คือความพยายามที่จะแก้ความชั่วร้ายด้วยวิธีการที่ทำให้ความชั่วร้ายเกิดขึ้นแต่ต้น เพราะว่าพวกเรากำลังประสบความยากลำบากจากการผลิตที่ไปในทิศทางที่ผิด และเราต้องการสร้างทิศทางที่ผิดนั้นอีก โดยวิธีการนี้จะนำพาเราไปสู่วิกฤติที่หนักหน่วงขึ้นไปอีก เมื่อเครดิตที่ขยายตัวนั้นต้องสิ้นสุดลง."

 

Friedrich Hayek 1933

 

 

 

 

"To combat depression by a forced credit expansion is to attempt to cure the evil by the very means which brought it about; because we are suffering from a misdirection of production, we want to create further misdirection - a procedure which can only lead to a much more severe crisis as soon as the credit expansion comes to an end."

 

Friedrich Hayek, 1933

 

 

933922_149986455197737_1722687732_n.jpg

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Kimheeng 9999 ...THANKS

แนวรับ-แนวต้าน วันจันทร์ที่ 6/8/56 (รอบเช้า)

R2=1320

R1=1310/1314

S1=1300

S2=1297

 

แนวโน้มราคาทองวันนี้ มี 2 สัญญาณทางเทคนิค คือ

 

1. สัญญาญ Over Sold กับลักษณะ Pattern ที่คล้ายๆ Double Bottom ส่งสัญญาณขึ้น

 

2. สัญญาณของลักษณะเส้น Moving Average ส่งสัญญาณลง

 

หากดูความสอดคล้องจากรายงานตัวเลข ทำให้คาดได้ว่าวันนี้ราคาทอง เคลื่อนไหวอยู่น่าจะในกรอบแนวรับแนวต้านที่ให้ โดยเคลื่อนไหวจากสัญญาณที่ 1 ก่อน แถวแนวต้าน1 หรือ2 จากนั้นกลับมาเป็นสัญญาณที่ 2 ต่อ

 

สำหรับผู้ที่ติดดอยสูงกว่า 1320 USD/Oz. อย่าเพิ่งคาดหวังอะไรมากในสัปดาห์นี้50:50 ไม่ต่างอะไรกับผู้ที่คาดหวังให้ราคาทอง"ต่ำกว่า" 1200 USD/Oz. ในสัปดาห์นี้ อาจเป็นไปได้ยาก (ทำใจอย่างเดียว)

 

และหากยังไม่งอนกัน ติดตามบทความรอบเย็น คุณอาจจะพบคำตอบของการรอคอย......โชคดีทุกท่าน

 

 

533940_343706989094615_791209696_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

“คิด” เพื่อหาความเป็นที่สุด

โดย : แจ็ค มินทร์ อิงค์ธเนศ

บทบาทของผู้นำยุคปัจจุบันเด่นชัดขึ้นทุกระดับธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเอสเอ็มอีที่เพิ่งเริ่มต้นไปจนถึงองค์กรระดับโลกล้วนต้องอาศัยผู้นำเป็นหลัก

ในการเติบโตไปสู่ทิศทางที่ถูกที่ควร และมีเป้าหมายที่ทำให้คนในองค์กรต้องการเอาชนะให้ได้ด้วยกัน

เพราะธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องการอยู่ร่วมกันเป็นสังคมในกลุ่มคนตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปจึงมีผู้นำถูกเลือกขึ้นมานำกลุ่มโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว และเมื่อสังคมซับซ้อนขึ้นจึงมีผู้นำระดับต่างๆ เกิดขึ้นมามากมาย ทั้งผู้นำชุมชน ผู้นำธุรกิจ ผู้นำอุตสาหกรรม ไปจนถึงระดับผู้นำประเทศและภูมิภาค

ยิ่งแข่งขันสูงอย่างทุกวันนี้ บทบาทผู้นำก็ยิ่งมีมากขึ้น ยิ่งความผันผวนเป็นองค์ประกอบหลักก็ยิ่งทำให้การตัดสินใจของผู้นำมีอิทธิพลต่อการชี้อนาคตขององค์กรได้ทันที การจัดสรรเวลาของผู้นำจึงถือเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด

แต่ปัญหาใหญ่ที่ผู้นำเกือบทุกองค์กรต้องประสบก็คือ “ไม่มีเวลา” เพราะความสับสนวุ่นวายในการบริหารงานทำให้ต้องใช้เวลาไปกับปัญหาเฉพาะหน้าเป็นหลัก รวมถึงงานประจำ งานเอกสาร ฯลฯ ทำให้ผู้นำเหลือเวลาสำหรับวิเคราะห์ปัญหาต่างๆ และกำหนดวิสัยทัศน์ได้ไม่มากนัก

น่าเสียดายว่าผู้นำทุกคนล้วนต้องการเวลาสำหรับวิเคราะห์ปัญหาและสถานการณ์ต่างๆ ที่กำลังประสบอยู่ รวมถึงการระดมความคิดเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสม เพื่อตัดสินใจรับมือปัญหาที่กำลังมาถึงได้ทันเวลา

การสำรองเวลาเป็นประจำเพื่อ “คิด” จึงถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้บริหาร ซึ่งผมแนะนำให้ใช้เวลาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ชั่วโมง โดยให้เริ่มเตรียมกระดาษ ดินสอ ปากกาไว้ให้พร้อมในตอนเช้า เพื่อเขียนสิ่งที่คิดได้ทุกรูปแบบ ทั้งที่เกี่ยวข้องกับงานและชีวิตประจำวันโดยไม่จำกัดรูปแบบ

สิ่งที่เขียนอาจเกี่ยวข้องกับตัวเราวันนี้ สัปดาห์นี้ หรือภายในปีนี้ก็ไม่เกี่ยง ขอเพียงให้คิดโดยไม่มีข้อจำกัด ไม่ต้องคิดว่าทำแบบนี้จะถูกหรือไม่ หรือจะเป็นไปได้หรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องที่ต้องการทำ หรือทำให้สิ่งต่างๆ ดีขึ้น

วิธีคิดแบบนี้จะช่วยให้เราพรั่งพรูสิ่งที่อยู่ในสมองออกมาได้ทั้งหมด ยิ่งคิดมากขึ้นจะทำให้คิดถึงกระบวนการที่จะทำให้สิ่งที่เคยคิดนั้นเป็นจริงขึ้นมาได้ เพราะยิ่งความคิดตกผลึกเท่าไรก็จะยิ่งคิดถึงความเป็นไปได้มากขึ้นและตัดความคิดที่เป็นไปไม่ได้ออกไปเองทีละน้อย

ทักษะการคิดแบบนี้จะช่วยให้สกัดหาความคิดที่เป็น “ที่สุด” ของตัวเราได้ และทำให้วางแผนรับมือกับเรื่องต่างๆ ทั้งชีวิตประจำวันและหน้าที่การงานได้ดีขึ้นโดยไม่หลงไปกับเรื่องที่เป็นกระแสอยู่ในสังคมปัจจุบันที่อาจทำให้ไขว้เขวได้ง่าย

ยกตัวอย่างเช่นปัญหาค่าแรงขั้นต่ำ หรือเงินเดือนระดับปริญญาตรีที่ 15,000 บาทก็ทำให้สังคมหันไปมุ่งเน้นเรื่องบริโภคนิยมมากขึ้น หรือเน้นเรื่องวุฒิกันเป็นหลักจนอาจมองข้ามเรื่องอื่นๆ เช่นประสบการณ์และความสามารถไป ซึ่งคนที่มองทะลุปัญหาดังกล่าวก็ย่อมได้เปรียบและยังคงก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคงกว่า

การฝึกทักษะการคิด ยังช่วยให้จัดลำดับความสำคัญของงานแต่ละอย่างได้มากขึ้นด้วย เพราะงานที่ส่งผลต่อตัวเองหรือต่อองค์กรสูงสุดก็ควรให้ความสำคัญมากสุด ไม่ใช่ให้เวลากับแต่ละงานเท่าๆ กันแล้วเน้นทำให้มากที่สุด ซึ่งไม่ใช่ปัจจัยที่จะทำให้ประสบความสำเร็จได้เลย

Tags : แจ็ค มินทร์ อิงค์ธเนศ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Wealth Station

ทิศทางราคาทองปรับตัวลงหลุด 1300 เหรียญลงมา ทำให้แรงซื้อที่หนุนขึ้นมาในวัศุกร์เสียทรงและมีความหมายน้อยลง

ถึงตอนนี้ทำให้ต้องมองถึงแนวรับหลักในระดับภาพรวมที่ 1244 1260 1280 เหรียญว่าจะรับอยู่ที่แนวไหนให้มีช่วงรีบาวด์ก่อนลงต่อ

ถ้าลงมาตั้งหลัก 1260 แล้วขึ้นต่อได้มีลุ้น 1400 แต่ถ้าทำไม่ได้และลงหนักถึง 1244 คงยากที่จะไปถึง 1400 ได้

สำหรับวันนี้ถ้าหลุด 1290 - 1295 คงไปรอซื้อที่ 1275 - 1280

กลยุทธ์สำหรับวันนี้ยังถือเอสต่อได้ แนะนำปิดบริเวณ 1280 และรอคอยมองหาจุดซื้อ ในกรณีที่มีแรงซื้อหนุนกลับ 1305 - 1310 จะเป็นจุดที่เปลี่ยนใจมองขึ้น

 

21653_571956162842863_786916609_n.png

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...