ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ginger

หัวใจทองคำกับรอยหยักของสมอง

โพสต์แนะนำ

 

 

Thanong Fanclub

7 hours ago

 

(3) สวิสเป็นแหล่งฟอกทองให้พวกนาซี

 

ฮิตเลอร์จะยึดทองประเทศอื่นและเอามาขายทอดตลาดได้ไม่สะดวกถ้าไม่มีการบริการจากทางสวิส Bank for International Settlements และBank of England

 

สวิสเซอร์แลนด์เป็นกลางช่วงสงครามโลกครั้งที่สองทางด้านการเมือง แต่ทางด้านการเงิน เล่นไพ่ทุกใบ สวิสเป็นศูนย์กลางการเงิน Swiss National Bankรับฝากทองคำมากที่สุดในโลก

 

ทองนาซีจึงฟอกผ่านสวิสซะส่วนใหญ่ โดยมีบีไอเอส และแบงค์อออิงแลนด์รับรู้อยู่เบื้องหลัง

 

ทองนาซีฟอกผ่านสวิส100ตัน แต่หลังสงครามเอาคืนมาได้แค่ 4ตัน ที่เหลือหายเข้าไปในกลีบเมฆ

 

บอกแล้วว่าเรื่องทองเป็นเรื่องของเจ้าพ่อโลกตัวจริง

 

ย่อหน้าสุดท้ายภาคฝรั่งที่ยกมา เป็นคำพูดของรัฐบุรุษอังกฤษWinston Churchill ที่ยกย่องความเป็นกลางของสวิสระหว่างสงคราม แต่บอกใบ้ตอนท้ายว่าที่แท้เป็นพันธมิตรของอังกฤษ

 

thanong fanclub

 

3/8/2013

 

 

 

Brute force was the general tactic, but when it came to managing and selling their gold loot the Nazis needed the ‘cooperation’ of other institutions.

 

Those implicated in the latest headline story are of course the Bank of International Settlements and the Bank of England.

 

The Bank of England’s documents, and diary of Norman Montagu (Governor at the time), imply that the central bank was carrying out instructions from its customer, the BIS.

 

Still to this day the British central bank and the BIS have roles in the gold market that are shrouded in secrecy and are often called into question.

 

Switzerland, a neutral force in during the Second World War, is also implicated in this tale. Wikipedia estimates that 100 tons of Nazi gold were laundered through Switzerland, with just 4 tons ever being recovered post-war.

 

Prior to the war the Swiss National Bank had been the largest gold distribution centre in Europe. The neutral Swiss accepted gold from the Nazis (as they had from all other nations), who were in need of somewhere to place their stash of gold and other assets so as to sell on the international market, but the issue of taking payment in gold stolen from the victims of such a brutal regime continues to haunt the country.

 

As historians have explained in the past, given Switzerland’s political and geographic position, the small country had little choice but to communicate and trade with the Germans. Winston Churchill wrote, ‘What does it matter whether she has been able to give us the commercial advantages we desire or has given too many to the Germans to keep herself alive? She has been a democratic state, standing for freedom in self-defence among her mountains, and in thought, in spite of race, largely on our side.’

 

http://therealasset.co.uk/nazi-gold-bullion/?cref=46649e0b

 

 

1003495_149411008588615_484641026_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Thanong Fanclub

 

about an hour ago

 

 

"เราทำการค้าโดยไม่มีสงคราม และเราก็ทำสงครามโดไม่มีการค้าไม่ได้"

 

ลองหาอ่านหนังสือ Merchant Kings: When Companies Ruled the World, 1600-1900

 

Stephen R. Brown

St. Martin’s Press , 2009

 

 

ิวิจารณ์หนังสือเล่มนี้

http://yaleglobal.ya.../merchant-kings

 

มีข้อความในจดหมายที่Jan Pieterzoon Coen (ประมาณปี1614) ซึ่งเป็นชาวดัตช์ผู้บุกเบิกDutch East India Companyในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เขียนหาเจ้านายที่น่าสนใจยิ่ง ถือว่าเป็นคำภีร์

 

"ใต้เท้า จำต้องทราบโดยประสบการณ์แล้วว่าการทำการค้าในเอเซีย ต้องได้รับการผลักดันและอยู่ภายใต้การปกป้องของอาวุธยุโธปกรณ์ของใต้เท้า และอาวุธเหล่านี้ต้องซื้อหายมาได้จากกำไรของการค้าขาย เพื่อว่าเราไม่สามารถทำการค้าโดยไม่มีสงคราม และทำสงครามโดยไม่มีการค้าไม่ได้"

 

"Your Honours should know by experience that trade in Asia must be driven and maintained under the protection and favour of Your Honours' own weapons, and that the weapons must be paid for by the profits from the trade; so that we cannot carry on trade without war, no war without trade."

 

พอเห็นโจ ไบเด็นมาเยี่ยมสิงคโปร์เมื่ออาทิตย์กว่าๆมาแล้ว ทำให้นึกถึงประโยคนี้ของJan Pieterzoon Coen.<p>

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

Thanong Fanclub

36 minutes ago

 

Bank of Englandโดนจอร์จ โซรอสตีหลังหักในปี1992จริงหรือ?

 

สืบจากคอมเม้นท์ของคุณAthaporn Komkham เกี่ยวกับคำสารภาพของนักเก็งกำไรค่าเงินที่โจมตีค่าเงินปอนด์จวนจะหมดตัวแล้วในช่วงปี1992 แต่กลับเอาชนะBank of Englandในโค้งสุดท้าย เพราะว่าBank ofEnglandยอดลดค่าเงิน

 

คุณAthaporn Komkhamเขียน " ก่อนไทยถูกโจมตีค่าเงินบาท ก็มีการโจมตีค่าเงินปอนด์นะครับ แล้วทำสำเร็จก็เลยฮึกเหิม นานมากๆแล้วเคยอ่านหนังสือชื่อประมาณคำสารภาพของนักปั่นหุ้น ที่คนเขียนอยู่ในแก๊งโจมตีค่าเงินปอนด์ เขาเล่าว่าโจมตีครั้งแรกแล้วอังกฤษออกมาปกป้องค่าเงิน พวกเขาถอดใจคิดว่าเจ๊งแน่ นอนไม่หลับ แล้วจู่ๆอังกฤษก็ประกาศลดค่าเงินปอนด์ซะงั้น จากจะเจ๊งกลายเป็นกำไรแบบส้มหล่น......"

 

คำถามคือBank of Englandแพ้พวกโจมตีค่าเงิน นำทัพโดยจอร์ โซรอสจริงหรือ หรือว่าแกล้งแพ้

 

อังกฤษเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรป และเข้ามาร่วมระบบexchange rate mechanism ในเดือนตุลาคมปี 1990 ระบบERMนี้ เป็นกลไกให้ค่าเงินของประเทศสาชิกยุโรปได้เข้าร่วมเพื่อลดความผันผวนของค่าเงิน เพราะค่าเงินจะถูกกำหนดให้เคลื่อนไหวในแบนด์ที่แคบๆ ไม่ให้ผันผวน ถือว่าเป็นการวอร์มอัปก่อนที่จะเลิกเงินสกุลตัวเองเพื่อใช้เงินสกุลร่วม

 

ต้องเข้าใจว่าอังกฤษไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินใหญ่ทวีปยุโรป เพราะอยู่บนเกาะโดเดี่ยวและก็เป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ด้วย เรื่องอะไรจะลดตัวเองมาร้วมสังฆกรรมกับประเทศกะเรกะราดอื่นๆในยุโรปด้วยการใช้เงินสกุลร่วม

 

อยู่ในERMไปไม่ถึงสองปี ค่าเงินปอนด์โดนพวกนักเก็งกำไรค่าเงินโจมตี นำทัพโดยซอรอส โดยที่พวกนี้เดิมพันว่าเศรษฐกิจอังกฤษอ่อนแอ จำเป็นต้องลดค่าเงินปอนด์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยในการส่งออก

 

ซอรอสเทเงินหมดหน้าตักเดิมพันว่าปอนด์ต้องลดค่าเงิน เหมือนกับที่เขาทำต่อมาอีกกับค่าเงินบาทเมื่อช่วงปลายปี1996 ครึ่งปีแรกของ1997 ขายforwardบาท จนกระทั่งธนาคารแห่งประเทศไทยเจ้ง ไม่เหลือเงินทุนสำรองระหว่างประะเทศ และจำต้องลดค่าเงินบาท

 

ในวันที่ 16 เดือนกันยายน 1992ค่าเงินปอนด์crash และอังกฤษเอาเงินปอนด์ออกจาก ERM

 

ซอรอสกลายเป็นตำนาน ได้รับการขนานนามว่าบุรุษผู้ดัดหลังBank of Englandจนหลังหัก เพราะได้กำไรจากสงครามเงินครั้งนี้ถึง1พันล้านปอนด์หรือ12ปอนด์ต่อทุกๆผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กชาวอังกฤษ

 

ซอรอสเป็นนายผู้ยิ่งใหญ่ในจักรวาล และBank of Englandเป็นนายของนายใหญ่ในจักวาล ไม่น่าจะมาหักล้างกัน

 

หรือว่าเป็นกลลวงเพื่อว่าอังกฤษจะยังคงรักษาอธิปไตยในการพิมพ์เงินปอนด์ ไม่ต้องใช้เงินสกุลยูโรร่วม เหมือนประเทศยุโรปอื่นๆที่งี่เง่าทั้งหลาย

 

เพราะหลังจากนั้นอังกฤษจะมีข้ออ้างตลอดเวลาว่าไม่พร้อมในการเข้าร่วมยูโร จะเข้าเมื่อถึงเวลา หรือพร้อมกว่านี้ หรือไม่ก็จะต้องทำประชามติเสียก่อน

 

อังกฤษเล่นละครถ่วงเวลาจนเงินยูโรเกิดในวันที่ 1 มกราคม ปี1999 โดยที่อังกฤษไม่ได้เป็นสมาชิกเขตยูโ และจนป่านนี้ก็ไม่ได้ร่วม

 

ในเมื่ออังกฤษมีอาชีพพิมพ์เงิน จะให้ทิ้งแท่นพิมพ์เงินปอนด์ให้โง่ได้อย่างไร

 

เป็นละครหรือเปล่าให้ลองคิดเล่นๆกันดู

 

Thanong Fanclub

 

Pound sterling's forced withdrawal from the ERM[edit source | editbeta]

 

Main article: Black Wednesday

The United Kingdom entered the ERM in October 1990, but was forced to exit the programme within two years after the pound sterling came under major pressure from currency speculators, including George Soros. The ensuing crash of 16 September 1992 was subsequently dubbed "Black Wednesday". There has been some revision of attitude towards this event given the UK's strong economic performance after 1992, with some commentators dubbing it "White Wednesday".[1]

Some commentators, following Norman Tebbit, took to referring to ERM as an "Eternal Recession Mechanism",[2] after the UK fell into recession in 1990. The UK spent over £6 billion trying to keep the currency within the narrow limits with reports at the time widely noting that Soros's individual profit of £1 billion equated to over £12 for each man, woman and child in Britain[3][4][5] and dubbing Soros as "the man who broke the Bank of England".

Britain's membership of the ERM was also blamed for the prolonging of the recession at the time,[6] and Britain's exit from the ERM was seen as an economic failure which contributed significantly to the defeat of the Conservative government of John Major at the general election in May 1997, despite the strong economic recovery and significant fall in unemployment which that government had overseen after Black Wednesday.[7]

 

http://en.wikipedia.org/wiki/European_Exchange_Rate_Mechanism

 

 

64721_149475565248826_838791818_n.png

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Thanong Fanclub

กลลวงเบื้องหลังการล้มBarings Bank??

 

เบื้องหลังการล้มของBarings Bankในปี1995 ธนาคารอังกฤษที่มีสาขาที่สิงคโปร์ ก็เป็นข้อที่น่าจะตั้งข้อสงสัยได้ว่าเป็นกลลวงต่อจาก การcrashของเงินปอนด์ออกจากExchange Rate Mechanismของระบบการเงินยุโรป หรือเปล่า

 

ย้อนกลับไปอ่านข่าวใหม่ เห็นว่ามันไม่น่าท่จะเป็นไปได้ที่นายนิค ลีสันปกปิดฐานะการเงินที่แท้จริงของBaringsได้เป็นเวลานาน ขณะที่เขาขาดทุนไปเรื่อยๆจากการเทรดฟิวเจอรส์ รเท่าที่จำได้เล่นทองแดงฟิวเจอรส์หนัก ที่ตลาดสิงคโปร์

 

ท้ายที่สุดปิดไม่อยู่ เพราะpositionsมันขาดทุนป่องออกมาเรื่อยๆ เมื่อความจริงถูกเปิดออกมา Barings เจ้ง $1.3พันล้าน โดยฝีมือของนายลีสันคนเดียว

 

ทำได้ไง คนๆเดียว ปิดนานหลายเดือน ฝ่าตรวจสอบนอนหลับ??

 

Barings ถูกเลหลังขายทอดตลาดอย่างรวดเร็ว ด้วยราคา$1 เท่านั้น โดยผู้ซื้อยอมรับหนี้ที่สูงกว่าทรัพย์สินของแบงค์ไป

 

อย่างไร การล่มสลายของBarings เป็นอีกข้ออ้างหนึ่งที่มีน้ำหนักของทางอังกฤษว่าไม่พร้อมเข้าร่วมยูโร เพราะระบบตรวจสอบดูแลความมั่นคงของสถาบันการเงินอังกฤษ อ่อนแอ จำต้องปฏิรูป ปล่อยให้คนอย่างนายลีสันคนเดียว ทำเอาแบงค์เจ้งทั้งระบบได้อย่างไร

 

ดีดลูกคิดแล้วให้Bank of Englandเจ้งยอมเสียท่า ด้วยการยอมแพ้ยกธงขาวให้นายซอรอสกำไรไป1พันล้านปอนด์จากการทุบเงินปอนด์ในปี1992 และให้นายนิค ลีสันทำBaringsเจ้งไป$1.3พันล้าน ค่อนข้างจะคุ้ม

 

เพราะว่าอังกฤษจะได้ไม่ต้องเข้าไปร่วมสังฆกรรมตายหมู่ด้วยการใช้เงินสกุลร่วมยูโร รักษาแท่นพิมพ์เงินปอนด์เอาไว้ได้

 

ด้วยเหตุนี้Bank of England, US Federal Reserve, Bank of Japanจึงอยู่ในฐานะที่จะก่อสงครามการเงินโลกหลังวิกฤติ2008เป็นต้นมาด้วยการประสานมือกันทำQE พิมพ์เงินให้เกิดฟองสบู่การเงินทั่วโลก ก่อนที่จะชักเงินกลับอย่างปัจจุบันทันด่วน

 

เกมลับลวงพรางข้างหน้าจะยังคงระทึกใจมากกว่านี้ เราเตือนคุณแล้ว

 

 

 

 

The bank collapsed in 1995 after one of the bank's employees, Nick Leeson, lost £827 million ($1.3 billion) due to speculative investing, primarily in futures contracts, at the bank's Singapore office.

 

อ้างอิง

http://en.wikipedia.org/wiki/Barings_Bank

 

http://flirtingwithdisaster.net/the-collapse-of-barings_284.html

 

 

943687_149479688581747_523394112_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เครือข่ายกลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

"ความโมโห พาตัวตกต่ำ

อย่าไปโมโหโกรธผู้อื่น

มันเป็นไฟ มันจะไหม้หัวใจเจ้าของเอง

ถ้าเขาไม่ดี มันเป็นเรื่องของเขา

ไม่ใช่เรื่องของเรา"

 

หลวงปู่ท่อน ญาณธโร

วัดศรีอภัยวัน จ.เลย

 

 

1012447_572225842823717_973078090_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Thanong Fanclub

Catherine Austin Fitts ผู้บริหารการเงินชื่อดังเชื่อว่าสหรัฐฯจะก่อสงครามก่อนที่ระบบเศรษฐกิจจะพัง

 

เธอบอกว่า ที่น่าเป็นกังวลใจมากที่สุดคือการล่มสลายของระบบการเงิน แต่สำทับว่า เธอไม่เชื่อว่าคนที่คุมทหารหรือรัฐบาลสหรัฐฯต้องการจะเห็นระบบการเงินพังมากไปกว่าการก่อสงคราม

 

"พวกเขาจะก่อสงคราม พวกเขาจะต้องเอาใครสักคนลง" Catherine ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการของSolari Inc & Solari Report พูด

 

Catherine ให้สัมภาษณ์usawatchdog.com ว่าขณะนี้มีการชักกะเย่อกันระหว่างระบบใหม่ที่กำลังเกิด และระบบเก่าที่กำลังดิ้นรนและกำลังจะตาย

 

"สมมุติว่า เรามีบริษัทUSA สหรัฐอเมริกา และเราก็ตั้งอีกบริษัทหนึ่งขึ้นมา ชื่อBreakaway Civilization อารยะธรรมที่แยกตัวออกไป เราขนทรัพย์สินเราออกจากUSA และใส่เข้าไปใน Breakaway Civilization เราทิ้งภาระทุกอย่างในสหรัฐ รวมทั้งเงินบำนาญ ในเศรษฐกิจUSA เก่า

 

"ฉันคิดว่าการยึดเงินฝากกำลังจะมา มันไม่ใช่เพียงแต่ว่า เราจะถอนเงินฝากของเราได้หรือเปล่า แต่ประเด็นคือเหตุการณ์จะรุนแรงแค่ใหน"

 

http://usawatchdog.c...e-austin-fitts/

 

----------------------

 

 

Thanong Fanclub

การลดค่าเงินบาทในอดีตของไทย การลดค่าเงินคือการถูกทำโทษ

นิตยสารผู้จัดการ( พฤศจิกายน 2527)

 

 

บังเอิญค้นเจอ พัฒนาการของระบบการเงินไทยจากเงินพดด้วง มาตรฐานเงิน silver standard มาสู่มาตรฐานทองทำ gold standardไม่ทราบผู้แต่ง แต่ตีพิมพ์ในนิตยสารผู้จัดการเมื่อเก้าปีมาแล้ว ขออนุญาติเอามาลงให้อ่านทั้งเรื่องดังต่อไปนี้เป็นตอนๆ

 

 

คนที่เคยศึกษาประวัติศาสตร์การเงินของประเทศไทยเรา คงจะทราบว่า ระบบการเงินของไทยเรานั้น เป็นระบบที่มีความแน่นอนมั่งคงไม่เลวทีเดียว กล่าวคือ เป็นระบบที่ใช้เงินเป็นมาตรฐาน ที่ศัพท์ทางการเงินเรียกว่า "มาตราเงิน"(Silver Standard) มาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว โดยถือเอาเงินพดด้วงบ้าง เงินฮางบ้าง เป็นหน่วยมาตรฐาน และมีเบี้ยเป็นเงินปลีก ซึ่งเงินหน่วยมาตรฐานและเงินปลีกเหล่านี้ ได้พัฒนาเรื่อยมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยามาจนกระทั่งสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ตอนต้น โดยตัวเงินที่เป็นหน่วยมาตรฐานทำด้วยเนื้อเงินจริงๆ ด้วยเหตุนี้ เราจึงเรียกมันว่า "เงิน" เรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้

 

คงมีแต่เงินปลีกเท่านั้นที่มิได้ทำด้วยเนื้อเงิน หากใช้หอยเบี้ยบ้าง เหรียญทองแดงบ้าง ซึ่งมีหลายขนาด ชนิดต่างๆ ของเงินเหรียญมีราคาจากต่ำไปหาสูง ดังนี้คือ โสฬส, อัฐ, เสี้ยว, ซีก, เฟื้อง, (ทั้งหมดทำด้วยทองแดง), สลึง, บาท, ตำลึง, ชั่ง ทำด้วยเนื้อเงิน แค่เหรียญบาท แล้วต่อไปก็ 4 บาท เป็น 1ตำลึง, 20 ตำลึง เป็น 1 ชั่ง

 

ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น รัฐบาลสยามยังใช้ "มาตราเงิน" เป็นมาตรฐานในระบบเงินตราสยาม และในการกำหนด "ค่าแลกเปลี่ยน" หรือ "ค่าปริวรรต" (Exchange Value) ของเงินก็ยังคงถือเอาปริมาณเนื้อเงินของเหรียญบาทมาเทียบค่ากับเนื้อเงินของเงินตราต่างประเทศในสมัยนั้น

 

ตัวอย่างเช่น เมื่อเอาเนื้อเงินของเหรียญดอลลาร์เม็กซิโกมาเปรียบเทียบกับเนื้อเงินของเหรียญบาทไทยแล้วก็ปรากฏว่า เงิน 3 ดอลลาร์ของเม็กซิโก มีค่าเท่ากับเงินเหรียญบาทสยาม 5 บาท

 

ดังนั้น เมื่อธนาคารในกรุงสยามเวลานั้นต้องการเอาเงินตราสยามไปใช้จ่าย ก็ต้องเอาเหรียญเงินเม็กซิโกไปแลกเอาเหรียญเงินบาท และเงินปลีกตามอัตราราคาดังกล่าว

 

ส่วนการเทียบค่าของเงินเหรียญบาทสยามกับเงินตราต่างประเทศสำหรับประเทศที่ถือมาตราทองคำนั้น เช่น เงินปอนด์สเตอร์ลิงค์ของอังกฤษ เงินเหรียญดอลลาร์ของสหรัฐอเมริกา เป็นต้น ก็ให้คำนวณปริมาณเนื้อทองในเงินเหรียญของสกุลนั้นๆ เทียบค่าออกมาเป็นราคาเงินเสียก่อน แล้วจึงคิดอัตราแลกเปลี่ยนออกมาตามปริมาณเนื้อเงินเหรียญบาทของสยาม

 

ที่กล่าวมานั้น เป็นสภาพการที่เป็นมาอย่างราบรื่นตั้งแต่ปี พ.ศ.2440 ย้อนหลังขึ้นไป แต่แล้วตั้งแต่ปี พ.ศ.2414 เป็นต้นมา สถานการณ์ปั่นป่วนเริ่มก่อตัวขึ้นมา โดยมีการขุดพบแร่เงินกันมากขึ้น ทำให้มีผู้ผลิตเหรียญเงินออกมาใช้กันมาก จนส่งผลกระทบกระเทือนไปยังประเทศที่ใช้ "มาตราเงิน" ในระบบการเงินของตน แปลว่า ระบบเหรียญเงินกำลังประสบกับปัญหาเงินเฟ้อเข้าให้แล้ว

 

 

http://info.gotomanager.com/news/printnews.aspx?id=9459

 

 

995457_149619181901131_614938708_n.jpg

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Thanong Fanclub

2. สยามเริ่มเข้าสู่มาตราทองคำ

 

จากวิกฤติการณ์ของการใช้มาตราเงินดังกล่าว รัฐบาลสยามในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จจพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยคำแนะนำช่วยเหลือของที่ปรึกษาชาวอังกฤษ ประจำกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ จึงได้เริ่มจัดระบบการเงินเสียใหม่ ด้วยการออกจาก "มาตราเงิน" เข้าสู่ "มาตราทองคำ" (Gold Standard) โดยเลิกรับแลกเปลี่ยนเหรียญเงินดอลลาร์เม็กซิโกอย่างที่แล้วๆ มาเป็นรับแลกเปลี่ยนเหรียญทองปอนด์สเตอร์ลิงค์ที่นำเข้าบัญชีของรัฐบาลสยาม ในกรุงลอนดอน แล้วให้ธนาคารมารับเงินบาทจากกรมพระคลังของกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ

 

ทั้งนี้ ได้เริ่มปฏิบัติการตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2445 เป็นต้นมา เพื่อรักษาค่าของเงินบาทไม่ให้ตกต่ำลงไปอีก ด้วยการเชื่อมโยงค่าของเงินบาทสยาม ไว้กับค่าของเงินปอนด์สเตอร์ลิงค์ของอังกฤษ ในอัตรา 17 บาท ต่อ 1 ปอนด์สเตอร์ลิงค์

 

อย่างไรก็ดี เนื่องจากการเข้าสู่มาตราทองคำของรัฐบาลสยามในตอนนั้น เป็นช่วงระยะของการทดลอง โดยอาศัยการผูกค่าของเงินบาทไว้กั บเงินปอนด์สเตอร์ลิงค์ของอังกฤษ

 

แต่เนื่องจากพลังทางเศรษฐกิจของไทยยังไม่เทียบได้กับพลังเศรษฐกิจของอังกฤษ ค่าแลกเปลี่ยนของเงินบาทสยามกับเงินปอนด์สเตอร์ลิงค์ของอังกฤษ จึงขึ้นๆ ลงๆ ผันแปรไปตามตลาดการเงินของอังกฤษ

 

โดยในระยะแรกๆ ปรากฏว่า เงินบาทสยามมีค่ามาก ถึงกับมีอัตราแลกเปลี่ยนเป็น 8 บาท ต่อ 1 ปอนด์สเตอร์ลิงค์ (ในปี พ.ศ.2414) แต่ต่อมาเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2445 ค่าของเงินบาทไทย ในตลาดการเงินกลับตกต่ำลงมาเป็น 21 บาทต่อ 1 ปอนด์สเตอร์ลิงค์

 

เหตุที่ค่าของเงินบาทตกต่ำลงเช่นนั้น ก็เพราะรัฐบาลสยามในสมัยนั้น ยังไม่มีทุนสำรองทองคำหรือเหรียญทองปอนด์สเตอร์ลิงค์ มากพอที่จะนำออกมารับซื้อขายแลกเปลี่ยนกับเงินบาทได้ ประกอบกับอุปสงค์เงินบาทยังมีน้อย ค่าแลกเปลี่ยนของเงินบาทจึงได้ตกต่ำลงไปดังกล่าวแล้ว ด้วยเหตุนี้ เพื่อให้การใช้ "มาตราทองคำ" ของสยามมีระบบที่มั่นคงแข็งแรง รัฐบาลในสมัยนั้นจึงได้ตราพระราชบัญญัติมาตราทองคำ ร.ศ.127 ออกมาใช้เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2451 เพื่อเปลี่ยนระบบการเงินจาก มาตราเงิน เข้าสู่ มาตราทองคำ ตามหลักสากลนิยมของสมัยนั้นอย่างจริงจัง

 

และโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติดังกล่าวนี้ กระทรวงพระคลังมหาสมบัติได้ออกประกาศกำหนด "ค่าทองคำ" ของเงิน 1 บาทให้มีค่าเท่ากับ ทองคำบริสุทธิ์หนัก 55.8 เซนติกรัม

 

และด้วยการเทียบกับค่าทองคำของเงินปอนด์สเตอร์ลิงค์ ก็กำหนดให้เงินสยาม 13 บาท มีค่าเท่ากับเงินอังกฤษ 1 ปอนด์สเตอร์ลิงค์ พร้อมกันนั้น ก็มีการจัดตั้งทุนสำรองทองคำขึ้นไว้ด้วย เพื่อรักษาค่าของเงินบาทสยาม และรักษาค่าแลกเปลี่ยนต่างประเทศของเงินบาทให้อยู่ในอัตราที่มั่นคงแน่นอน ระบบการเงินของสยามในสมัยนั้น นับว่ามั่นคงแน่นอนและมีเสถียรภาพมากที่สุด

 

http://info.gotomanager.com/news/printnews.aspx?id=9459

 

 

1098303_149619825234400_989935691_n.jpg

 

Thanong Fanclub

 

3. การลดค่าของเงินสมัยมาตราทองคำ

 

ในสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 (พ.ศ.2455-2460) ระบบจักรวรรดินิยมของประเทศมหาอำนาจทางอุตสาหกรรมยังมีอยู่ ประเทศมหาอำนาจอุตสาหกรรมที่มีเมืองขึ้น และเมืองอาณานิคมของตนเอง จึงมักทำการค้าระหว่างประเทศภายในอาณาจักรแห่งระบบจักรวรรดิของตนเช่น อังกฤษ ก็ทำการค้าระหว่างประเทศภายในอาณาจักรแห่งระบบจักรวรรดิของตน ฝรั่งเศส ก็ทำการค้าภายในอาณาจักรจักรวรรดินิยมของตน ฮอลันดา หรือดัทช์ ก็ทำการค้าภายในจักรวรรดินิยมของตน ฯลฯ ดังนั้น ปัญหาการชำระดุลการค้าระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นในแต่ละอาณาจักรจักรวรรดินิยม จึงทำกันที่ธนาคารในนครหลวง อันเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดินิยมนั้นๆ เช่น จักรวรรดินิยมอังกฤษ ก็ชำระดุลการค้าส่วนที่ขาดดุล-เกินดุล กันที่ธนาคารในกรุงลอนดอน

 

จักรวรรดินิยมฝรั่งเศษ ก็ทำกันในกรุงปารีส

 

จักรวรรดินิยมฮอลันดา ก็ทำกันในกรุงอัมสเตอร์ดัม เป็นต้น นานๆ สักครั้ง จึงจะมีการค้าระหว่างจักรวรรดิกับจักรวรรดิกัน ฉะนั้นปัญหาเกี่ยวกับการชำระเงินตามดุลการค้า จึงไม่ค่อยมี

 

สำหรับประเทศสยามนั้น แม้จะมิได้เป็นเมืองขึ้นหรือเมืองอาณานิคมของมหาอำนาจอุตสาหกรรมใดก็ตาม แต่ในด้านการค้าต่างประเทศแล้ว ผู้ที่มีอำนาจอิทธิพลมากที่สุด ก็ได้แก่ อังกฤษกับฝรั่งเศส ด้วยเหตุนี้ ธนาคารอังกฤษ (คือ ธนาคารฮ่องกงและเชี่ยงไฮ้ แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น) กับธนาคารของฝรั่งเศส (คือ ธนาคารบังก์เดอ แล็ง โดชิน) จึงเป็นธนาคารแรกที่เข้ามาตั้งขึ้นในกรุงเทพฯ

 

แต่อย่างไรก็ดี เนื่องจากกรุงสยามในสมัยนั้น เป็นประเทศกสิกรรม 100% พลเมืองส่วนใหญ่เป็นชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน

การค้าต่างประเทศทั้งหมด จึงอยู่ในกำมือของพ่อค้าอังกฤษกับพ่อค้าฝรั่งเศสเป็นส่วนมาก

และโดยที่พ่อค้าทั้ง 2 ชาตินี้มีธนาคารของตนเองอยู่แล้วในกรุงเทพฯ

การหักบัญชีชำระเงินทางการค้าจึงทำกันโดยผ่านทางธนาคารของประเทศพ่อค้าเหล่านั้น

 

วัตถุทางการค้าระหว่างประเทศของกรุงสยาม ที่พ่อค้าอังกฤษและฝรั่งเศสใช้ในการส่งออก ก็ได้แก่

ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ที่สำคัญได้แก่ ข้าว ต่อมาก็มี ยาง และแร่ดีบุก ส่วนสินค้าเข้าก็มีสินค้าทางอุตสาหกรรม

แต่ก็มีไม่มากนัก เนื่องจากอุปสงค์ยังมีน้อย ผู้ที่ต้องการสินค้าประเภทนี้ก็มีแต่เจ้านายในรั้วในวัง

และพวกอำมาตย์ราชบริพารชั้นสูงเท่านั้น กรุงสยามจึงมีแต่สินค้าออกมากกว่าสินค้าเข้าอยู่ตลอดเวลา คือ มีดุลการค้าเกินดุล

 

เมื่อสภาพทางเศรษฐกิจการค้าเป็นเช่นนี้ความจำเป็นที่จะต้องลดค่าของเงินบาท จึงไม่มี จนกระทั่งมาถึงสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจทางอุตสาหกรรมที่เข้าร่วมในสงครามโลกดังกล่าวอันมี อังกฤษ ฝรั่งเศส

และสหรัฐอเมริกา ฝ่ายหนึ่งกับเยอรมนี ออสเตรีย ฮังการี และตุรกี อีกฝ่ายหนึ่ง ต่างประสบกับภาวะวิกฤติ

ซึ่งส่งผลกระทบมาถึงกรุงสยามในปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 6 ต่อกับต้นรัชกาลที่ 7

 

จากวิกฤติการณ์ดังกล่าวนั้นเอง เพื่อพยุงฐานะทางการเงินเอาไว้ อังกฤษจึงได้ลดค่าทองคำแห่งเงินปอนด์สเตอร์ลิงค์ของตนลงมา

 

เงินบาทของสยาม แม้จะยึดค่าตามมาตราทองคำก็ตาม แต่เนื่องจากในช่วงนั้น ราคาทองคำในตลาดลอนดอนสูงขึ้น

ประกอบกับเงินบาทไทยผูกค่าต่างประเทศไว้กับปอนด์สเตอร์ลิงค์ ฉะนั้นเมื่องเงินปอนด์สเตอร์ลิงค์ลดค่าลงมา

ที่ปรึกษากระทรวงพระคลังมหาสมบัติของกรุงสยามในสมัยนั้น ซึ่งเป็นชาวอังกฤษ

จึงแนะนำให้รัฐบาลสยามลดค่าทองคำของเงินบาทลงมาตามอย่างเงินปอนด์ของอังกฤษด้วย

 

พอจะกล่าวได้ว่า พอลดค่าเงินบาทของไทย ในสมัยที่ไทยถือมาตราทองคำนั้น ไม่ใช่ลดลง

เนื่องจากสาเหตุของการขาดดุลการค้า และดุลการชำระเงินแต่อย่างใด

 

หากลดลงเพราะราคามาตรฐานของทองคำสูงขึ้น หรือไม่ก็ลดลงเพราะเงินตราของประเทศที่เงินบาทไทยไปผูกค่าอยู่ด้วยนั้น

(คือเงินปอนด์สเตอร์ลิงค์ และตั้งแต่ปี พ.ศ.2481 เป็นต้นมาได้ไปผูกค่าไว้กับเงินดอลลาร์ของสหรัฐฯ ด้วย

โดยคำนวณตามปริมาณทองคำบริสุทธิ์ของเหรียญดอลลาร์สหรัฐ)

ได้ลดลง ดังกรณีวิกฤติการณ์หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ดังได้กล่าวมาแล้ว กลับลดลงอีก 1 หรือ 2 ครั้ง

ก่อนหน้าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2

 

http://info.gotomana...ws.aspx?id=9459

 

เพราะฉะนั้น การลดค่าของเงินบาทไทยในสมัยโน้นจึงไม่ค่อยมีการกระทำกันบ่อยนัก

ค่าของเงินบาทไทยจึงมีเสถียรภาพมั่นคงมานานแสนนาน ผู้เขียนจำได้ว่า ในสมัยโน้น ก๋วยเตี๋ยวชามละ 3 สตางค์

ตั้งแต่เป็นนักเรียนชั้นมัธยมต้นมาจนกระทั่งเข้าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย การลดค่าเงินบาท สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

 

 

 

 

 

 

1005923_149621571900892_279756470_n.jpg

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Thanong Fanclub

4. การลดค่าเงินบาท สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

 

ในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติ และสถาบันการเงินขึ้นมา 2 สถาบัน คือ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) ซึ่งมีหน้าที่ดูแลระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินระหว่างประเทศ และจัดสรรเงินสำรองให้แก่ประเทศสมาชิก เพื่อใช้จ่ายในการชำระเงินตามดุลชำระเงินระหว่างประเทศ และธนาคารเพื่อการบูรณะและพัฒนาการ หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า ธนาคารโลก (World Bank) เพื่อให้กู้ยืมเงินแก่ประเทศสมาชิกในการใช้จ่ายเพื่อบูรณะและพัฒนาการหลังสงคราม

 

บรรดาประเทศที่เป็นสมาชิกของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ต่างยึดมั่นตามกติกาหรือกฎบัตรของสถาบันที่เรียกกันว่า "สัญญาแบรตตัน วู้ด" ซึ่งกำหนดให้ประเทศสมาชิกใช้ระบบเงินตราเป็น "มาตราทองคำ" โดยแต่ละประเทศจะต้องมีทองคำสำรองเงินตราของตน ตามจำนวนที่จำเป็น และมอบอำนาจให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ มีอำนาจโอนทองคำสำรองของประเทศที่มีดุลชำระเงินขาดดุล เข้าไปในกองทุน เพื่อจัดชำระให้แก่ประเทศที่มีดุลชำระเงินเกินดุลต่อไป

 

การใช้มาตราทองคำระหว่างประเทศตามสัญญาแบรตตัน วู้ด ได้ดำเนินมาด้วยความเรียบร้อย ในระยะเวลาร่วม 20 ปี จนกระทั่งภาวะตลาดทองคำเกิดความปั่นป่วน ทำให้เป็นการยากที่จะกำหนดราคามาตรฐานที่แน่นอนของทองคำได้ ทางสถาบันกองทุนการเงินระหว่างประเทศจึงได้เปลี่ยนระบบการเงินระหว่างประเทศจาก "มาตราทองคำ" มาเป็น "สิทธิเบิกถอนพิเศษ" (Specail Drawing Right) ที่มักเรียกกันว่า "ทองคำกระดาษ" ที่กำหนดค่ากันขึ้นมา และใช้เป็น "เงินกองกลาง" เพื่อการหักหนี้ระหว่างประเทศที่มีดุลชำระเงินขาดดุลกับประเทศที่มีดุลชำระเงินเกิน

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ การลดค่าของเงินจึงแทนที่จะเป็นไปตามสถานภาพของราคามาตรฐานทองคำ หรือตามฐานะทางการเงินของประเทศมหาอำนาจที่ตนเอาค่าของเงินไปผูกพันไว้ด้วย จึงกลับกลายว่า เป็นไปตามสถานภาพทางการค้าระหว่างประเทศ ของประเทศเจ้าของเงินนั้นเอง กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การที่ประเทศสมาชิกของกองทุนการเงินระหว่างประเทศจำต้อง "ลดค่าของเงิน" ก็เพื่อเป็นการทำโทษที่ประเทศนั้นมี "ดุลชำระเงินขาดดุล" เพราะการลดค่าของเงินในประเทศใด จะทำให้ค่าของเงินประเทศนั้น "ต่ำลง" ในตลาดต่างประเทศ และค่าของเงินของประเทศที่ตนเอาเงินไปผูกไว้นั้นมี "ค่าสูงขึ้น"

 

ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่า เมื่อปีที่แล้วมาประเทศไทยมีดุลชำระเงินขาดดุล 17.8% ของยอดรวมงบการเงินสถาบันกลาง คือ กองทุนการเงินเห็นว่า ประเทศไทยไม่สามารถหาเงินมาชำระดุลชำระเงินของประเทศ ส่วนที่ขาดอยู่นั้นได้ ประเทศไทยก็ต้องกู้เงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศไปชำระดุลส่วนที่ขาดนั้นเป็นจำนวน 17.8% ของยอดรวมแห่งงบดุลการเงินของประเทศ เมื่อเป็นเช่นนี้ ประเทศไทยในฐานะเป็นสมาชิกของกองทุนการเงินระหว่างประเทศก็ต้องปฏิบัติตามกติกา คือ ลดค่าของเงินลงไป 17.8% เพื่อให้ค่าของเงินบาทลดต่ำลง 17.8% ในตลาดแลกเปลี่ยนเงิน หรือเพื่อให้ค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นหน่วยเงินสากลในการชำระหนี้ระหว่างประเทศ ได้สูงขึ้น 17.8% เช่นกัน

 

เพราะฉะนั้น การที่ประเทศไทยต้องลดค่าของเงิน ก็คือที่ประเทศไทย "ถูกทำโทษ" จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศนั่นเอง

 

ปัญหามีว่า มีใครตัวไหนบ้าง ที่ทำให้ประเทศต้อง "ถูกทำโทษ" ในครั้งนี้?

 

http://info.gotomanager.com/news/printnews.aspx?id=9459

 

 

47715_149622965234086_1267587507_n.jpg THANKS

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หมุนตามโลก

 

ดีทรอยต์ล้มละลาย

 

ใครจะไปคิดว่า “ดีทรอยต์” เมืองใหญ่ในรัฐมิชิแกน ทางเหนือของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีชื่อเสียงด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ระดับโลกจะประสบชะตากรรม กลายเป็นเมืองใหญ่ของอเมริกาที่ยื่นขอศาลคุ้มครองล้มละลาย เปิดทางไปสู่การต่อสู้กันอย่างยืดเยื้อในชั้นศาล ระหว่างคณะผู้บริหารเมืองดีทรอยต์กับเจ้าหนี้ด้วยมูลค่าหนี้สินถึง 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 565,020 ล้านบาท บรรดาเจ้าหนี้ ราว 100,000 ราย รวมทั้งกองทุนบำนาญต่างกลัวว่า ทางการเมืองดีทรอยต์จะไม่มีเงินจ่าย ภายหลัง ริค สไนเดอร์ ผู้ว่าการรัฐมิชิแกนประกาศชัดเจนว่า ดีทรอยต์ล้มละลาย

 

แต่เดฟ บิง นายกเทศมนตรีเมืองดีทรอยต์บอกว่า ข้าราชการของเมืองยังคงทำงานต่อไป พร้อมกับจะมีการจ่ายเงินเดือนเหมือนเดิม ปัญหาของเมืองดีทรอยต์ ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากการถอนตัวออกไปจากเมืองของอุตสาหกรรมหลายแห่ง และบริการสาธารณะก็ใกล้ล้มละลาย รวมทั้งอสังหาริมทรัพย์ (บ้าน อาคาร ที่ดิน) ถูกปล่อยร้างราว 70,000 แห่ง เมืองดีทรอยต์ได้หยุดการชำระหนี้มาตั้งแต่เดือนที่แล้ว เพื่อให้การบริหารเมืองเดินหน้าต่อไป

 

ขณะเดียวกัน คณะผู้บริหารของดีทรอยต์ก็เปิดเจรจากับบรรดาเจ้าหนี้ควบคู่ไปด้วย โดยแต่งตั้ง เควิน ออร์ เป็นผู้จัดการฝ่ายฉุกเฉิน เขาเสนอเงื่อนไขให้เจ้าหนี้รับเงิน 10 เซนต์ทุกหนึ่งดอลลาร์ ที่ทางการเมืองดีทรอยต์เป็นหนี้

 

ขณะที่ กองทุนบำนาญ 2 แห่งไม่เห็นด้วยกับแผนการดังกล่าว ทำให้คณะผู้บริหารดีทรอยต์ตัดสินใจยื่นขอศาลคุ้มครองล้มละลาย ประเด็นนี้ได้กลายเป็นเรื่องใหญ่ แม้แต่ทำเนียบขาวยังเฝ้าติดตามสถานการณ์ในเมืองดีทรอยต์อย่างใกล้ชิด

 

นักวิเคราะห์ต่างหวาดหวั่นว่า ธุรกิจต่าง ๆ อาจชิ่งหนีและถอนตัวออกไปจากดีทรอยต์ แต่เจเนอรัล มอเตอร์ (จีเอ็ม) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของอเมริกาไม่เชื่อว่า การยื่นขอศาลคุ้มครองล้มละลายจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจรถยนต์ในดีทรอยต์

 

คณะผู้บริหารดีทรอยต์ดิ้นรนต่อสู้กับปัญหาทางการเงิน และปัจจัยอื่น รวมทั้งการลดลงอย่างฮวบฮาบของประชากรเมืองดีทรอยต์ โดยระหว่างปี 2543 ถึง 2553 จำนวนประชาชนในดีทรอยต์ลดลงไปถึง 250,000 คน เนื่องจากการโยกย้ายถิ่นฐานออกไปจากเมือง

 

ขณะที่ ตัวเลขประชากรของดีทรอยต์เมื่อปี 2555 อยู่ที่ 701,475 คน และทุกวันนี้เหลือไม่ถึง 700,000 คนแล้ว นอกจากนี้ อัตราการฆาตกรรมก็พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 40 ปี ตำรวจท้องถิ่นขาดแคลนกำลังพลอย่างเพียงพอในการรับมือกับอาชญากร ไม่เพียงแค่นั้นทางการดีทรอยต์ยังเผชิญเรื่องทุจริตอื้อฉาวรุมเร้ามาเป็นเวลาหลายปี

 

ดีทรอยต์จึงเป็นเมืองล่าสุดของสหรัฐที่ยื่นขอศาลคุ้มครองล้มละลายในรอบไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หลังจากเมื่อปี 2555 เมือง 3 แห่งในรัฐแคลิฟอร์เนีย คือสตอคตัน, แมมมอธ เลคส์ และซาน เบอร์นาร์ดิโอ ต่างยื่นขอศาลคุ้มครองล้มละลาย

 

เมืองดีทรอยต์ยังเผชิญวิบากกรรมถูกสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ “สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์” (เอสแอนด์พี) ปรับลดความสามารถในการชำระหนี้โดยทั่วไป จากระดับ “ซีซี” เป็น “ซี” ซึ่งอยู่เหนือระดับการผิดนัดชำระหนี้เพียงขั้นเดียว และภาพรวมถูกปรับให้เป็นลบ

 

ในอดีต ดีทรอยต์เคยเป็นเมืองใหญ่อันดับ 4 ของสหรัฐ แต่ประชากรลดลงไปอย่างฮวบฮาบมากกว่าครึ่งจากจำนวน 1.8 ล้านคน เมื่อปี 2493 เหลือเพียงแค่ 685,000 คนในทุกวันนี้ ลูกจ้างรายหนึ่งของดีทรอยต์ กล่าวยอมรับว่า คณะผู้บริหารของเมืองทำงานไร้ประสิทธิภาพอย่างมาก

 

แต่แอลลานา วิลเลียมส์ วัย 32 ปี ซึ่งทำงานที่มหาวิทยาลัยเวย์น สเตท กล่าวว่า การยื่นขอศาลคุ้มครองล้มละลายเป็นการเดินมาถูกทางแล้ว ส่วนอเล็กซานดร้า กัลลาเกอร์ วัย 16 ปี ที่อาศัยอยู่ในแถบชานเมืองดีทรอยต์ คิดว่า ดีทรอยต์เป็นเมืองสวยงาม แต่เธอหวังว่า สักวันดีทรอยต์จะฟื้นตัวและกลับสู่ภาวะปกติ.

 

เลนซ์ซูม, คอลัมน์สังคมโลก

เดลินิวส์ออนไลน์, พฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม 2556

http://www.dailynews.co.th/article/80/221201

 

581717_679015608793486_1750514307_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

26 พุทธศตวรรษ

"ธรรมะยามเช้า" ไม่มีวันอาทิตย์สำหรับ...ชายผู้นี้

 

"อย่าพึ่งท้อ ถ้ายังพอ...จะมีหวัง

อย่าหันหลัง ถ้ายังไม่...ถึงจุดหมาย

อย่าหมดหวัง ถ้ายังมี...ลมหายใจ

อย่าโวยวาย ถ้ายังไม่...รู้ความจริง"

อันชีวิต ของเราท่าน...นั้นไม่แน่

ย่อมเปลี่ยนแปร เลื่อนไหล...ไม่ถอยหลัง

เกิดแล้วดับ ร่วมแล้วจาก...รักแล้วชัง

จะจีรัง คงเส้นวา...หาไม่มี

 

^_______^

BY : เด็กวัด

 

 

1000586_321118188024295_1855549921_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

276598_141826422680407_2119081232_q.jpg

 

Thanong Fanclub

47 minutes ago

 

IMFคือเด็กแจกไพ่ให้เจ้าของบ่อน

 

 

ขออธิบายบทบาทของไอเอ็มเอฟ เป็นโพสท์ใหม่ก็แล้วกัน ไม่รู้ว่าจะเปรียบเทียบถูกหรือเปล่า ลองอ่านดู

 

IMFคือม้าไม้ที่ยึดครองระบบการเงินโลกนี้เอง ผ่านการควบคุมดุลบัญชีไหลเข้า ไหลออก

โดยอังกฤา สหรัฐฯให้ไอเอ็มเอฟ เป็นตัวกลางในการปรับbalance of payments

โดยศูนย์กลางการเงินNew Yorkได้เปรียบเพราะเป็นเงินสกุลหลัก ดอลล่าร์เลยชักกะเย่อเงินสกุลอื่นสนุกมือ

ชาวบ้านเจอทั้งเฟอ้ ทั้งโดนฮุบกิจการและทรัพยากรธรรมชาติ

 

พูดง่ายๆไอเอ็มเอฟเป็นเด็กในบ่อนรับแจกไพ่ ให้เจ้ามืออเมริกาที่พิมพ์ชิบ chipเพื่อการพนันคือดอลล่าร์ออกมา

ประเทศต่างๆคือคนเล่นพนันหวังรวยเร็ว economic growth, prosperity, democracy

เข้ามาในบ่อนเล่นพนันในระบบการเงินโลก จะเล่นเกมนี้ต้องแลกทรัพยากระรรมชาติ แรงงาน ผลผลิต

หยาดเหงื่อและน้ำตาเป็นชิบอเมริกาเพื่อเล่นพนันทั้งวงเล็กวงใหญ่ กำไรก็มีดุลเป็นบวก surplus ค่าเงินแข็ง ยิ้มเริงร่า

ขาดทุนก็มีดุลเป็นลบdeficit ค่าเงินอ่อน ขาดดุลมากๆค่าเงินก็หลุด นั่งร้องไห้ไม่มีใครคอยซับน้ำตาให้

 

แต่ชิบดอลล่าร์ไม่ลดค่า เพราะมีดีมานด์คือคนเข้าเล่นพนันแลกชิบตลอดเวลาในบ่อน มันเป็นกฎเหล็ก

 

 

ไอเอ็มเอฟเก็บค่าต๋งใส่ในหน้าตักจากพวกนักพนันแสวงหาความร่ำรวยeconomic growthทั้งหลาย

แต่อเมริกา อังกฤษเป็นเจ้าของไอเอ็มเอฟตัวจริง พวกที่มีดุลบวกเยอะใส่มากหน่อยเช่น ญี่ปุ่น

ตอนนี้จีน ส่วนพวกกระจอกงอกง่อยอย่างพี่ไทยใส่น้อยหน่อย ไม่ได้มีปากมีเสียงอะไร คอยเสี่ยงโชคไป ขายทรัพยากระรรมชาติ

ที่ดินของบรรพบุรุษไปแลกชิบเล่นพนัน

 

 

พอนักพนันคนใหนเล่นเจ้ง ไอเอ็มเอฟเด็กแจกไพ่จะมาเยี่ยม พร้อมมือปืนบอดี้การ์ดคนคุมบ่อน กล้ามโต วางมาดเข้ม

อ้อพี่ไทยนี้เองมือเติบ ยืมเงินคนอื่นในบ่อนมาเล่นมากไป หมุนเงินไม่ทัน เจ้าหนี้เลยทวงเงินคืนตอนปี2540 จนเจ้ง

 

ไอเอ็มเอฟมีหน้าที่ปรับดุลชำระเงิน หรือเงินหมุนให้กลับสู่สภาพปกติ เพื่อว่าจะกลับมาเล่นพนันต่อไปได้

แต่ต้องเจ็บตัว โดนลงโทษต้องลดค่าเงิน 25บาทเคยแลกชิบพลาสติคได้หนึ่งอัน

ต้องหามาใหม่เป็น50บาทเพื่อมาแลกชิบอันเดิมได้หนึ่งอัน เพื่อปรับดุล เพราะลดไปก็ออนเซล

ของขาย ขายตัวถูกๆ ที่ดินทรัพย์สินบรรพบุรุษขายเลหลัง อีแร้งอีกาลงมาโฉบแทะ

ได้เงินใหม่เข้ามาค่อยๆฟื้นจากการเจ็บตัวโดนลงโทษ

 

ก่อนจะโยนเศาเงินให้ บอดี็การ์ดไอเอ็มเอฟลากพี่ไทยเข้าห้องน้ำอัดซะน่วม เล่นพนันขาดทุน มือเติบ แล้วไม่มีจ่าย ตุ๊บๆๆๆ

 

แล้วไอเอ็มเอฟก็เปิดเครดิตวงเงินให้พี่ไทย$17.2พันล้าน เงินนี้ก็มาจากเม็ดเงินของนักพนันบ่อนคนอื่นๆ ที่ยกมาให้ไอเอ็มเอฟช่วยคนที่เล่นไพ่เจ้ง เพราะคนเจ้งจะได้กลับมาเป็นไม่เจ้ง จะได้เล่นไพ่ด้วยกันต่อ เข้าไอซียูรักษาตัวหน่อยจากการโดนตึ๊บ เดี๋ยวไม่มีคนเล่นด้วย

 

เจ้ามือไอเอ็มเอฟ อเมริกา อังกฤษ เป็นเจ้าของบ่อนใหญ่ นั่งคุมเกมสูบซิการ์สบายอารมณ์ ดูจอมอนิเตอร์

ว่าใครจะออกนอกลู่นอกทาง ก็ให้บอดีการ์ดไปเก็บ ลิเบีย อิรัคจะแยกวงจากบ่อน เล่นไม่เอาน้ำมันตัวเองมาแลกซิบ

หน่อยแหนะจะแลกเป็นยูโร เป็นทองดีน่าร์ เลยโดนบอดี็การ์ดถล่มเละ จนไ่ฟื้นทุกวันนี้

 

ตอนนี้พี่ไทยกำลังซ่า เคยโดนตึ็บเข้าโรงพยาบาลไอซียูแล้วไม่รู้จักเข็ดหลาบ เดิ่มพันใหม่ แทงทีแลกชิบเป็นกระตั๊ก

รู้ทั้งรู้เจ้ามือไม่มีเสีย เจ้ามือเจ้งไม่เป็น เพราะพิมพ์ชิบมาให้ใช้ตลอด ไม่ต้องปรับดุลชำระเงินอะไร

ไหลออกมากก็พิมพ์ไปเรื่อยๆ QEชิบ จนจะฉิบหายช่างมัน แล้วเดี๋ยวก็ลากชิบที่ไว้ตามที่ต่างๆกลับมาให้ไอ้พวกนักพนันเจ้งอีกที

 

สงสัยไม่นานบอดี็การ์ดจะมาเยี่ยมพี่ไทยอีก เล่นเดิมพันสูงแบบนี้ ลูกโป่งทั้งนั้น พูดแล้วหวาดเสียว ตึ๊บๆๆๆๆๆๆ

 

 

554022_149643358565380_1501657452_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

1011550_450743658366284_715596555_n.jpg

บุปผา นานาพรรณา

ป๋ม รักจริงฮัป

Ray of life and love

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...