ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
perfection

อ้่านตำรา ลอกการบ้าน มาฟันธง

โพสต์แนะนำ

shapeimage_22.png

 

The World Has Never Seen Anything Like This In History

 

ตอนนี้มึน จะซื้อขึ้นเห็นบาทอ่อน ก็กลัวทองดิ่งนรก จะซื้อลงเห็นนักวเคราะห์บอกว่าขึ้นแล้ว ก็กลัวจะขึ้นดอย

แต่ผมว่าลงต่อ มันยังไม่ถึงเวลาจะขึ้น เพราะกราฟหายไปท่อนนึง ประมาณ 150$ เพราะห้องนี้เป็นห้องโบราณคดี

จะพูดถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะอดีตมันทำซ้ำๆ และที่เห็นได้ชัดกองทุนทองคำของไอ้แมงมุม ปรับพอร์ตตลอด

และเมื่อมันลงมาถึงจุดหนึ่ง จีนจะเป็นผู้เข้าไปซื้อกันเต็มที่ รอซักเดี๋ยว ทองจะต้องขึ้น

ถูกแก้ไข โดย fairy

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ป๋าพูดเมื่อปี 2011 สุดยอดไม๊ค่ะคุณ

 

วิกฤติฟองสบู่ คือ อะไร

 

ในความคิดของเด็กขายของ ขายของเร่ไปเรื่อยๆ ที่มีถนนหนทาง ก็ต้องคิดและมองอย่างพื้นๆ ชาวบ้าน คงไม่ใช่นักวิชาการสักเท่าไหร่

ก็ทนๆ อ่านหน่อยนะครับ อุตสาห์เขียน

 

เด็กขายของคงจะให้ความหมายของคำว่า ฟองสบู่ ว่าเป็นภาวะ "เว่อร์ๆ" ของ ราคาทองคำในตลาดที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะเจาะจง

เออ แล้วเมื่อไหร่ล่ะ ที่คิดว่า ราคาทองคำตลาดโลกได้ " เว่อร์ " ใกล้ถึงจุดที่เริ่มเกิด "บุ๋มๆ ผุดๆๆพุ่ย" แล้ว ความยากก็อยู่ตรงนี้แหละ

และอาจจะสับสนลังเลมากขึ้นไปอีก เป็นระยะ หรือ เป็นช่วงๆ ว่า มันจะเอายังไงของมันว่ะ Sideway ออกหัวหรือก้อย ออกบนหรือล่าง

เพราะลีลาท่าทางช่วงเวลา มันแตกดัง บึ้ม แทบจะเหมือน "แผ่นดินไหว" แบบไหนแบบนั้น อยากมาก็มา ทันทีทันใด ตามยุคสมัย

เทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์ กดคำสั่งซื้อขาย ประมวลผลเป็นวินาที

 

เรื่องฟองสบู่ "แตก" กองทุนต่างประเทศทั้งหลายที่เป็นขาใหญ่ๆ ที่ทำการ ซื้อและขายกันในตลาดทุนทั้งหมด "ชอบการพนัน "

เพราะฉะนั้นฟองสบู่ ของ ทองคำ หากจะเกิดก็มักจะต้องเกิดควบคู่กับการ "เก็งกำไร" ด้วยเช่นกัน ฉะนั้นให้ดูให้ดีว่า

ผีพนันเริ่มเข้าสิงตลาดทองหรือยัง หากเริ่มสิงกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันเมื่อไหร่ ก็เตรียม " นับถอยหลัง " กันได้

 

นักลงทุนที่เกี่ยวกับเงินทุน จะมีนิสัย " ตามแห่ หรือ ไทยมุง " ซ.ต.พ. ฟองสบู่ ทองคำ อาจจะเริ่มเข้าสู่จุด " บุ๋มๆ ผุดๆๆพุ่ย ของฟอง "

ก็เมื่อผู้คนเริ่มรู้สึกว่า ทองคำ ดีที่สุด ดีกว่าอะไร เป็นตัวแทนของอนาคต อนาคตสดใส ทุกคนก็แห่ตามกันไป กลายเป็น "จิตวิทยามวลชน"

ที่ชักนำแมงเม่าเข้าสู่กองไฟ เมื่อนั้นก็คือ "จุดแตกดังโพละ"ของฟองสบู่นั่นเอง

 

เด็กขายของ คาดว่า เริ่มปีใหม่ปีนี้ จนถึงตอนนี้ ส่วนใหญ่ยังไม่ "หลงใหลได้ปลื้ม " หรืออาจ " ผิดหวัง " นักลงทุนทองคำบางคน

ในตลาดทองคำ อย่างเด็กข่ายของ คงได้ฉายาว่า " แมงเม่าปีกแข็ง " (อย่างน้อยก็แข็งขึ้นกว่าเมื่อต้นปีที่แล้ว!)

 

และด้วยเหตุนี้ ฟองสบู่จึงคงยังไม่แตกในเร็วๆ นี้ แต่ที่ เด็กขายของ ข้องใจเป็นอย่างมาก ค่าเงินบาท ที่ผันผวนมากๆ อาทิตย์นี้แข็ง อีก

อาทิตย์หนึ่งอ่อน ตอนเช้าอ่อน ตอนบ่ายแข็ง ขาดเสถียรภาพเป็นอย่างมาก จากสภาพความเป็นจริงของประเทศไทย และตามท้องถนน

ที่เด็กขายของเร่ขายของจนได้สัมผัสมาในช่วง อาทิตย์ที่ผ่านมา ช่วงหวยออก สื่อหนังสือพิมพ์ลงแนวทางเดียวกันหมด ในขณะที่

ตัวเลขสลับกันแล้วนะ อย่างนี้ เด็กขายของ คาดและคิดว่า " วิญญาณนักพนัน " ของพี่ไทยเริ่มกลับมา ฮึกเฮิม ฮึ่มๆ

 

อันนี้ก็สุดยอดค่ะป๋า

ในมุมมองคิดต่างเกี่ยวกับเรื่องทอง : ก็ต้องมองว่า ทองจะลง

 

สิ่งที่จะทำให้ทองคำมีราคาต่ำลงมาอีกคือ การป้อนความหวานขายความเชื่อให้กับ อเมริกันชน ทราบว่า เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว และรัฐบาล

จะระดมสรรพสิ่งทุกๆ อย่างเพื่อเสริมเพิ่มความมั่งคั่งให้กับอเมริกันชนของประเทศสหรัฐทุกคน ที่ ประธานาธิบดีฯ โอบามา แถลงต่อรัฐสภาไป

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐ ได้พิมพ์เงินออกมาเพิ่มจำนวนมหาศาล เพื่อซื้อกลับ พันธบัตรรัฐบาล เป็นระลอกๆ เพื่อเพิ่ม Cash Flow

กระแสหมุนเวียนเงินสด ให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงินจำนวนมหาศาลในระบบ ยิ่งหมุนมากเท่าไหร่ รัฐบาล ก็จะได้ประโยชน์ กลับมา ทั้งในรูปแบบของ ภาษีต่างๆ, การเพิ่มการจ้างงานในภาคการผลิตต่างๆ ซึ่งจะเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในการจ่ายสวัสดิการ

คนว่างงาน และจะไปเพิ่ม GDP ของสหรัฐให้เพิ่มมากขึ้น หนี้สินจำนวนมากที่เกิดจากการออกพันธบัตรก็จะเป็นการชำระดอกเบี้ย โดยใช้เงิน

ที่ถูกพิมพ์ขึ้นมาโดยไม่มีทุนสำรองหนุน หรือไม่ก็ ออกพันธบัตรชุดใหม่มาทดแทน ใช่ครับ สหรัฐฯ ไม่มีทางจะหาเงินมาถอดถอนพันธบัตรที่

ออกมาได้ ทางออกที่กำลังจะตามมาคือการ ขายอาวุธ หรือ ขายเทคโนโลยี่ชั้นสูง หรือ อาจจะทำการสร้างเชื้อโรคขึ้นมา เพื่อหาโอกาส

ขายยาวัคซีนที่ป้องกันในราคาแพง ให้กับประเทศเป้าหมายที่มี ระบบการเงินที่แข็งแกร่ง ผู้ที่รับเคราะห์ ก็คือ ชาวโลกทุกๆ คน

 

สาเหตุ 1 รัฐบาลพิมพ์เงินจำนวนมากเพื่อเข้ามาซื้อพันธบัตร ภายใน 6 เดือน ซึ่งอาจจะไม่เพียงพอ แล้วก็จะมี QE3 ตามมา เพื่อให้สหรัฐพิมพ์เงิน

เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้เงินดอลล์ล้นระบบการเงิน นั้นก็หมายถึง อาจจะมีการลดค่าเงินดอลล์ เกิดขึ้นได้ ซึ่งถ้ามีการลดค่าเงิน เป็น 1US$ = 10 บาท ราคาทองคำอาจจะเหลืออยู่ที่บาทละ 6,000 - 7,000 บาท อีกรอบก็ได้ หลังจากที่เคยมีมาแล้วเมื่อปี 2000

 

สาเหตุ 2 ที่จะทำให้ทองคำมีราคาลดลงคือการพยายามเพิ่มอัตราดอกเบี้ย เพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ จากการโยกย้ายเงินที่ล้นระบบมายังประเทศเป้าหมาย เพื่อกอบโกยผลตอบแทนทั้งตลาดหุ้น ตลาดทุน โดยเข้ามาปั่น มาสร้างราคา แล้วสร้างสถานการณ์ว่า เศรษฐกิจประเทศนั้นเจริญเติบโต จาก ดัชนีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์หลายๆประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมทั้งประเทศไทย โดยไม่มี มาตราการอะไรจากธนาคารกลางประเทศนั้นๆ มาปกป้องเงินล้นที่เข้ามาได้ และจะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอีกมาก ถ้าธนาคารกลางประเทศนั้น ไม่เตรียมการรับมือให้พร้อม ซึ่งประเทศไทย ได้มีการเตรียมแผนปกป้องบางส่วนไปแล้ว

 

สาเหตุ 3 คืออันตรายจากการล่มสลายของกองทุนบางบริษัท ที่ไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของ World Fund และ World Fund ต้องการที่จะเข้าฮุบกิจการ หรือ ควบรวมกับบริษัทกองทุน ที่ควบคุมไปแล้ว และส่งผู้บริหารที่มีอายุน้อยที่ชอบเสี่ยง และ เชื่อฟัง มากกว่าคนที่มีอายุแล้ว โดยการให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า แลกกับการบริหารกองทุนตามคำสั่งที่ World Fund ต้องการ โดยอาจมีคำสั่ง ให้ดำเนินการ สร้างการปั่นราคาทองให้ขึ้น แล้ว ก็ให้อีกกองทุน ปั่นราคาทองให้ลง สลับกันไปจนนักลงทุนต่างชาติ มองแนวโน้มทิศทางผิดพลาด เนื่องจาก เป็น อุปสงค์เทียม และ อุปทานเทียม ไม่ใช่ ของแท้ ซึ่ง ณ. เวลานั้นเกิดขึ้น ความเชื่อมั่นต่อทองก็จะถูกลดลง โดยหันไปหาแร่ธาตุใหม่ๆ ที่ราคายังไม่สูงจนเกิดไป ซึ่งทำให้ เปอร์เซนต์

ของผลตอบแทน น้อยนิด

 

สาเหตุ 4 คือ ความอ่อนไหวของค่าของเงิน Euro ที่อาจจะถึงกับมีการยกเลิกสกุลเงิน Euro ไปเลยก็เป็นไปได้ ถึงแม้ทางออกนี้อาจจะยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง แต่การตกต่ำขาดความเชื่อถือ Euro ทำให้เงินไหลเข้าสู่เงินสกุล US Dollar และ เงินหยวน (จีน )ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ซึ่งจะทำให้ราคาทองตลาดโลก ลดลงขนาดที่เมื่อเร็วๆ นี้ เมื่อวันศุกร์ แค่ คณะกรรมการท่านหนึ่ง ใน ธนาคารกลางยุโรป เอ่ยวลีที่ว่า จะต้องมีการพิจารณาปรับเพิ่มขึ้นดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ ก็ทำให้ราคาทองโลกลดลงภายในพริบตาแบบแนวดิ่งถึง US$30 - US$40

 

สาเหตุผล 5 คือความเป็นไปได้ที่หลายประเทศอาจจะต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ หรือ จากการคุกคามค่าเงิน ซึ่งนักการเมืองสามานย์จะไม่มีวันยอมให้ขึ้นโดยอ้างสาเหตุสารพัด เพื่อไม่ให้ผลตอบแทนที่ตัวเองได้ จาก บริษัทฯ ที่มีผลกระทบกับการขึ้นดอกเบี้ย งดการจ่าย เพราะบริษัทฯ ที่กู้ยืมเงินมาลงทุนในบริษัทฯหรือบริษัทฯ ที่อยู่ในตลาดหุ้น จะได้รับผลกระทบจากการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งจะทำให้

เหมือนการปรับลด กำไร ที่จะต้องแบ่งให้ เป็นธรรมเนียมปฎิบัติ ในการป้องกันรักษาผลประโยชน์ การดำเนินนโยบายทางการเงินที่ถูกต้อง

จะทำให้ราคาทองคำลดลงอย่างมาก เพราะดอกเบี้ยเงินฝากที่สูง จะกลับมาเป็นมาตราฐานใหม่อีกครั้งหนึ่ง แทนที่จะต้องรับความเสี่ยงในราคาทอง อีกต่อไป

 

สาเหตุที่ 6 คือการที่นักลงทุนหันมาให้ความสำคัญนวัติกรรมอื่นๆ ที่อาจจะเกิดในสินค้าเกษตรกรรม ในฐานะของ Asset class ที่สำคัญในการจัด Portfolio การที่ราคายางพารา น้ำมันปาล์ม หรือสินค้าภาคการเกษตรมีราคาสูงขึ้นทุกๆ ปี ในสภาพแวดล้อมของวิกฤตโลกในปีที่ผ่านมา ทำให้ performance ของกองทุนที่ลงทุนในทองคำ หันมาหาสินค้าเกษตรกรรมมากขึ้น และ เทขายสัญญาทองคำ ออกมา เป็นจำนวนมาก หรือแม้แต่ ทองคำแท้ๆ ก็ถูกขายออกมาเหมือนกันกองทุนต่างๆจะพากันหันมาเล่นสินค้าเกษตรกรรมเพิ่มขึ้น

 

สาเหตุที่ 7 คือ การใช้ในอุตสาหกรรมจะลดน้อยลง โดยหันไปหาแร่ธาตุอื่นๆ ที่ใช้ทดแทนได้ และราคาถูกกว่า ในขณะที่ประเทศจีน และ อินเดีย เจอวิกฤตเงินเฟ้อถึงขั้นรุนแรง โดยมีการเพิ่มดอกเบี้ยสำรองธนาคารฯ ไปแล้วเมื่อปี 2553 ก็เป็นจำนวนหลายครั้ง และการเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อก็จะทำให้ความต้องการถือครองทองคำลดลง โดยหันไปหาปัจจัยอื่นๆ ที่ดีกว่า มีผลตอบแทนมากกว่า ในปริมาณ

เงินทุนที่ใช้เท่ากัน ความต้องการทองคำเพื่อนำมาแสดงสถานะทางสังคมจะลดลง ทองคำต่างๆ ที่ถูกเก็บเอาไว้ก็จะถูกขายออกสู่ตลาด เป็นการ

เพิ่ม Supply ให้เพิ่มมากขึ้นทั้ง ในจีนและอินเดีย โดยเฉพาะจีนที่แก้กฏหมายอนุญาตให้มีร้านขายทองได้ ก็เพื่อเป็นแหล่งปล่อยทองสู่ตลาดของ รัฐบาล เพราะกิจการทุกๆอย่างในจีน เกิดขึ้นได้ ต้องมีรัฐบาลยินยอม หรือมีเอี่ยวด้วยทั้งนั้น

 

สาเหตุที่ 8 คือ Supply and Demand อันเกิดจากการเทขายของ กองทุน ETF SPDR หรือ IMF หรืออาจจะมี ECU กองทุนเหล่านี้จะทะยอยเอาทองคำออกมาขายเมื่อไหร่ ราคาทองคำก็ลดลงทุกที เพราะเปรียบเสมือน ทิศทางของนักลงทุนทั้งโลก แต่ปริมาณทองคำจริง Physical Gold กลับมีน้อยลง ในขณะทองกระดาษ Paper Gold มีมากขึ้น ซึ่งเมื่อปริมาณ Paper Gold ยิ่งมากเท่าไหร่ การดิ่งเหวของราคาทอง Physical Gold ก็ยิ่งเร็วขึ้นตาม แล้วเมื่อถึงเวลานั้นทั้ง 2 อย่างก็หมดเสน่ห์ในการลงทุน หรือ จะถูกเมินจากนักลงทุนทั่วโลก

********************************************************************************************

ป๋าพูดปี2013 สุดยอดกว่าค่ะ

การลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย “ทองคำ” ที่เป็นสินทรัพย์ยอดฮิตในช่วง 1-2 ที่ผ่านมา ย่อมทำให้เกิดภาพฯ สวยหรูว่าเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุด ยามเกิดสงครามค่าเงิน ธนบัตรสกุลต่างๆ จะล้นโลก เพราะแต่ละประเทศพิมพ์เงินออกมา ราคาทอง มีแต่ขึ้นอย่างเดียวเท่านั้น แต่พอ Fed บอกว่า จะยกเลิกพิมพ์เงิน หรือ กองทุนทองคำ เทขายทอง หรือ Gold Future เพิ่มสัญญาฯ ขา Short " ราคาทองร่วง " ร่วงมาตลอด .........

 

อดีตที่หอมหวานหลงไหล ที่ราคาพุ่งสูงขึ้นไม่หยุด เพราะ ทองคำ มีลักษณะพิเศษที่ให้ความรู้สึกปลอดภัย เพิ่มขึ้นเสมอในระยะยาว ตามอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นตลอดเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา แต่มีข้อดีก็ย่อมต้องมีข้อเสีย นั่นคือ แม้ทองคำจะไม่เคยพ่ายแพ้เงินเฟ้อเลย แต่มันก็ไม่เคยชนะ สำหรับคนที่แสวงหาความมั่นคงและเกลียดกลัวความเสี่ยง ก็อาจรู้สึกพึงพอใจกับทางเลือกเก็บทองคำ แต่จุดที่สำคัญคือ " ราคาซื้อเข้าสูงเกินไปหรือเปล่าจากฐานความจริง " ........

 

ปัญหาของการลงทุนในทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ ก็คือ ราคาทองคำในวันที่ซื้อ.......ที่นิยมบอกว่า " ซื้อเข้าไปเถอะ ซื้อได้ทุกราคา " คิดดูนะว่า แม้ในระยะยาวราคาทองคำจะเคลื่อนไหวตามเงินเฟ้อ แต่ในระยะสั้นราคาทองคำอาจสูงหรือต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อไปมากมาย ดังนั้น หากผู้ซื้อได้ราคาทองคำที่สูงกว่าเงินเฟ้อ ในระยะยาวผู้ซื้อก็จะได้ผลตอบแทนที่น้อยกว่าเงินเฟ้อ เพราะต้องหักต้นทุนส่วนที่ซื้อมาแพงเกินไปทิ้ง หรือเปล่า........

 

ยกตัวอย่าง ในระหว่างปี 1971-1980 เมื่อราคาทองคำ มีราคาทะยานสูงขึ้นจาก 400 บาทไปจนกระทั่งถึง 10000 บาท แล้วนักลงทุนโชคร้ายเข้าซื้อที่ราคาสุงสุดคือ 10000 บาท หลังจากนั้นราคาทองคำได้ตกรูดอย่างต่อเนื่องจนเกือบจะแน่นิ่งอยู่ในระดับราคา 5000 บาท ยาวนานถึง 20 ปี พึ่งมาเริ่มฟื้นตัวเมื่อปี 2002 หากคิดผลตอบแทนในช่วง 20 ปี นักลงทุนย่อมขาดทุนถึง 50 % ซึ่งไม่ใช่ข่าวดีสำหรับคนที่เกลียดกลัวความเสี่ยงเลย ถึงแม้จะหารเฉลี่ยต่อปีแบบไม่ทบต้นจะได้รับผลขาดทุนเพียง 2.5 % แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า หากเพียงฝากเงินไว้เฉยๆ ก็คงไม่ประสบภาวะขาดทุนเช่นนี้ แถมยังได้ดอกเบี้ยอีกด้วย

 

แต่เด็กขายของก็เชื่อว่า จะต้องมีคนเถียงอยู่ในใจ เพราะโดนมาหลายหนแล้ว จึงเถียงคอเป็นเอ็น ว่า เมื่อปล่อยให้เวลาผ่านไปยาวกว่านี้ จนกระทั่งถึงปี 2012 เห็นไหม ราคาพุ่ง ราคาพุ่ง...........นักลงทุนย่อมจะพลิกกลับมาได้กำไร เพราะราคาจะขึ้นไปสูงสุดถึง 27200 บาท ผลตอบแทน 275 % เมื่อคิดหารเฉลี่ยต่อปีแบบไม่ทบต้นแล้ว เมื่อเวลาผ่านไป 32 ปี ย่อมได้รับผลตอบแทนโดยประมาณ 8 % ซึ่งนับว่าน่าพอใจเลยทีเดียว

 

แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า ราคา 27200 เป็นราคาในช่วงสูงที่สุด เป็นราคาที่ทองคำมีราคาสูงกว่าเงินเฟ้อ แบบขาดปัจจัยพื้นฐานที่ถูกหลักเศรษฐศาสตร์ อุปสงค์และอุปทานจริง เพราะเกิดจาก " ทองกระดาษ Gold Future " ดังนั้น ภาวะนี้จะอยู่ได้ไม่นาน ในที่สุดเมื่อราคาตกลงมาในระดับที่ใกล้เคียงกับอัตราเงินเฟ้อ ก็อาจจะซ้ำรอยปี 1980 ที่ราคาตกลงจากจุดสูงสุดถึง 50 % นั่นก็คือ ราคาทองคำอาจจะตกไปอยู่ที่ประมาณ 13500 บาท .......... ผลตอบแทนก็จะเหลือ 4.2 % ยังไม่นับว่า ถ้าต้องถือทองคำต่อไปอีกเกือบ 20 ปีกว่าจะถึงขาขึ้นรอบใหม่ ผลตอบแทนจะเหลือเท่าไร ผมแค่ประเมินแค่เป็นรอบฯ จากในอดีตเท่านั้นนะครับที่ 20 ปี เรื่องจริงเป็นแบบไหน ไม่ทราบ เพียงไม่อยากให้เกิดความประมาท เพ้อ และ โลภ

 

 

 

บางคนก็คิดยาวๆ เก็บยาวๆ ได้เลย เก็บเป็นสมบัติให้รุ่นลูกรุ่นหลาน. จึงต้องคิดแบบนี้ จากเรื่องในอดีต เข้าซื้อทองคำในจังหวะเวลาที่เหมาะสม นั่นคือ ระดับราคาประมาณ 5000 บาท ในปี 2000 ซึ่งระดับราคาทองคำอยู่ในภาวะที่ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ แล้วมาขายในระดับราคาประมาณ 20000 บาท (ไม่ได้ขายที่จุดสูงสุด) เราย่อมได้กำไรถึง 400 % ในเวลาเพียง 12 ปีเท่านั้น หากคิดเป็นผลตอบแทนแบบไม่ทบต้นย่อมได้ที่ประมาณ 33 % ..........แล้วสถานการณ์แบบนี้ ที่เป็นอยู่แบบนี้ ราคาที่เหมาะสม ที่จะถือยาวๆๆ เท่าไหร่..................หมื่นต้นๆ หรือเปล่า

 

โดยสรุปแล้ว ราคาทองคำมีรอบวัฏจักรของตัวเอง นั่นคือ ในช่วงเวลาหนึ่งจะมีการเพิ่มขึ้นของราคาที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ ขณะที่อีกช่วงเวลาหนึ่งจะมีการเพิ่มขึ้นของราคาที่ต่ำกว่าเงินเฟ้อ ซึ่งเมื่อคิดจนครบรอบแล้ว ก็จะได้การเพิ่มขึ้นของราคาที่ใกล้เคียงกับอัตราเงินเฟ้อ ดังนั้น หากเราต้องการซื้อทองคำเพื่อลงทุนระยะยาวมาก หรืออย่างต่ำ 10 ปี เราก็ควรที่จะเลือกซื้อในช่วงเวลาที่ทองคำมีระดับการเพิ่มขึ้นของราคาที่ต่ำกว่าเงินเฟ้อ เพื่อที่ว่าเมื่อครบรอบวัฎจักรแล้ว เราก็จะได้กำไรมากกว่าเงินเฟ้อ

 

เด็กขายของบ่นอะไร มักจะมีหน่วยงานขาประจำมาแย้งเสมอ พวกเขาอาจแย้งอีกว่า หากซื้อทองเมื่อ 4-5 ปีก่อน แล้วมาขายที่ราคาสูงสุด 27,200 บาท ก็ทำกำไรให้นักลงทุนเป็นกอบเป็นกำ ไม่ใช่เหรอเพราะมันเกิดขึ้นจริงๆ แล้วคนที่พึ่งเข้าไปซื้อที่ราคาเฉียดสูงสุด เป็นไงตอนนี้ ?..........ทำให้ ต้องไม่ลืมว่าราคาทองคำจะมีช่วงเวลาที่ราคาสูงเกินกว่าอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระยะหนึ่ง ดังนั้น ราคาที่สูงแล้ว ก็จะสูงขึ้นอีกได้ อย่างน้อยก็ช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนจะหมดรอบวัฎจักรแล้วกลับไปสู่ระดับราคาปกติ สำหรับนักลงทุนที่เน้นแบบเก็งกำไร ยอมรับความเสี่ยงที่จะขาดทุนได้ การเข้าไปย่อมสมเหตุสมผล ......... แต่สำหรับนักลงทุนมือใหม่ เฮโลแห่ตาม.....ที่เกลียดกลัวความเสี่ยง ทนยอมได้ผลตอบแทนไม่สูงมากนัก แต่เชื่อกันว่า ทองคำจะมีความปลอดภัยและมั่นใจ.........

 

******** การลงทุนทองคำ ก็เช่นเดียวกับการลงทุนประเภทอื่น เมื่อราคาสินทรัพย์ยังอยู่ในระดับต่ำ มีจังหวะลดลงต่ำ ก็ไม่มีใครสนใจ ไม่มีข่าวดี ไม่มีคุณค่าใด หากเมื่อราคาเริ่มทะยานขึ้น คนก็จะเริ่มสนใจ แต่ช่วงนี้ วัฎจักรของทองคำ ถดถอย

 

ฟันธง ป๋าสุดยอด เป็นครู การเงิน การทองค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ลอกการบ้านของทิศทางทองปี 2010 ช่วงเวลาทอง ราคาคล้ายๆตอนนี้ เพื่อใครดูแล้วมีไอเดีย

วันนี้ลอกของแรง เฮียกัมพลเลยจะโดนเปล่าค่ะนิ

 

 

Quote

 

เมื่อ: มิถุนายน 10, 2010, 09:28:49 am

 

เมื่อวาน ไม่ยอมขึ้น แต่ลงทดสอบแนวรับแทน โดยหลุดลงไปถึง 1221 เหรียญ ก่อนจะดีดกลับขึ้นมายืนแถว 1230+ เหรียญในช่วงเช้า ภาพรวมถือว่าพอทน ยังไม่หลุดครับ เราเข้าซื้อไว้ ก็ถือต่อไป หลุดแล้วค่อยว่ากันอีกที

 

วันนี้ให้ดู chart แนวรับ หลุดจาก 1226 เหรียญไป ด่านต่อไปยังมีแข็งๆอีกที่ 1217 เหรียญ บริเวณ trendline ที่หลุดขึ้นมา กับ 1207 เหรียญ trendline ขาขึ้นย่อยรอบนี้

 

ถ้าหลุดลงต่ำกว่า 1226 ไปอีก ไม่ใช่ขึ้นไม่ได้อีกนะครับ เพียงแต่อาการมันจะไม่พุ่ง ถือไว้แล้ว ลุ้นเหนื่อย ถอยไปตั้งหลักดีกว่า

แต่ตอนนี้ ยังไม่หลุด ถือลุ้นต่อไปก่อน

 

gold100610.gif

 

 

 

//////////////////////////////////////////////////////////////////////

ราคาตอนไ

snapback.pngkumponys, เมื่อ 06 กันยายน 2011 - 07:37, พูดว่า:

 

เมื่อวานวันหยุดอเมริกา หาคนทุบไม่เจอ ราคาเลยค่อยๆล่องลอยขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่เข้าไปเฉียดแนวต้านระดับ high เดิม 1911 เหรียญ เพราะต้องรอพี่ใหญ่เป็นคนนำ sleep.gif

เลข 1911 เหรียญนี่ ถือว่าอาถรรพณ์สำหรับอเมริกานะครับ เดาใจยาก ว่าพี่แกจะเอาเลขนี้แก้แค้น ทุบราคาทองลงมาอีกรอบจากตรงนี้ หรือจะเอาเป็นเลขตัดสินชะตาดอลล่าร์ ไม่ทราบได้ ส่วนตัวเดาว่า มันจะเป็นอันหลัง เพราะดอลล่าร์ตอนนี้ แข็งเสียเหลือเกิน คงไม่ใช่สิ่งพึงปรารถนาของอเมริกาในยามนี้

 

มาดูกราฟกันต่อ วันนี้ ราย 4 ชม เช่นเดิม ดูจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ มีด่าน 1888 เหรียญ ที่กลายมาเป็นแนวรับเพิ่มอีกแนว และวันนี้ แนว stoploss ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 1866 เหรียญ ตามแนว trendline

 

จริงๆ ตาม chart รายวัน ราคาตรง 1866 เหรียญนี่ น่าสนใจ เพราะเป็นแนวเส้น ma5 วัน อ่อ อย่าลืมนะ ว่าผมเล่นเลขสวย ที่จริง ต่ำมาแถว 1870 เหรียญ ก็ถือว่า น่าสนแล้ว ส่วนตัว ดูมุมมองรายวันประกอบ จึงเชื่อว่า มันจะหลุดต่ำไปกว่านี้ได้ยาก

 

ราคาที่ยืนได้แถวนี้อีกวัน สัญญาณ MACD ในรายวันจะเป็นสัญญาณซื้อ ราคาที่ย่อลง จึงควรตีตั๋วโดดขึ้นขบวนไว้ก่อน ส่วนใครจะรอสัญญาณ ก็อาจจะทำได้ แต่เท่าที่เห็นในอดีตที่ผ่านมา คงทราบกันดีนะครับว่า รอแล้ว บางที ซื้อไม่ลง เพราะมันหนีไปซะไกลลิบ dry.gif

 

สรุป แนวรับ 1888 1877* 1866 แนวต้าน 1911* 1940 1969

 

sidewayup.gifระยะสั้น 1877-1911

upstrong.gifระยะกลาง ->1969

upstrong.gifระยะยาว ->2041

 

 

gold110906.gif

:D :D :D

 

ฟันธง เฮียใจดีไม่แบนหนูนะ เฮียคนดีที่หนึ่งค่ะ

ถูกแก้ไข โดย perfection

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ของปัจจุบัน ค่ะ ลอกหน่อยนะเฮีย

ราคาทองคำ หลุดทำ low ใหม่จนได้ แต่ต่ำกว่าที่ผมคาดไว้เยอะ เหมือนแนวใกล้ๆ 1300 เหรียญจะไม่มีความหมายอะไรเลย

- หลุดแนวรับใกล้ๆ 1300 เหรียญ แนวต่อไป มองแทบไม่เห็น นอกจากตรง 1276 เหรียญที่เมื่อสักครู่ ก็ยังหลุดอยู่ดี วันนี้ low ต่ำสุดอยู่แถว 1270 เหรียญ หลุดอีก ก็คงต้องปรับตัวเลข เล็งใกล้ๆ 1200 เหรียญกันไปเลย

- กรณีดีดกลับขึ้นมาได้ ด่านหินด่านแรก คือประมาณ 1300-1320 เหรียญนี่แหละ กลับมาได้ ไม่น่าไปไหนได้ไกลกว่านี้

- สัญญาณ RSI divergence ให้เห็นชัดเจนในรายวัน เป็นสัญญาณความหวังที่อาจทำให้ราคาทองคำกลับมาได้ แต่ราคายังดิ่งไม่เลิก หาขาไม่เจอแบบนี้ เข้าไปรับ อาจได้ราคาต่ำสุด หรืออาจกำลังเข้ารับมีดที่กำลังร่วงก็ได้ทั้งนั้น

 

ส่วนตัว เดา -> 1300 -> 1285

 

สรุป แนวรับ 1270* 1218 1200 แนวต้าน 1301* 1322

 

gold130621.gif

 

เอาไฮสุด มาเปรียบโลค์สุดตอนนี้ แบบเอาไฮกลับหัวมา หางโลคปัจจุบันมันยังสั้นๆยังไงไม่รู้

ดูแล้วหนาวแล้วค่ะ

ถูกแก้ไข โดย perfection

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

โอว! เห็นกราฟชัดๆแล้วหนาวจัง ยังงัยขอขึ้นก่อนนะครับ

ขอบคุณครับ สำหรับข้อมูลดีๆทีมอบให้

งั้นไป 1302 ก่อนเลยแล้วกัน แล้วค่อยลงนะครับ สงสารร้านทอง

เพราะครั้งต่อไป 1155$ มีให้เห็นแน่ครับ

1013668_190711147760090_1998225334_n.jpg

ถูกแก้ไข โดย fairy

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณครับ เห็นกราฟกลับหัวแล้วต้องหาผ้าห่ม

ถูกแก้ไข โดย บอนไซ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

snapback.pngจูกัดเหลี่ยง, เมื่อ 19 มกราคม 2011 - 13:01, พูดว่า:

 

อันข้าน้อยคิดว่า กำลังข้าศึกครานี้มิอาจดูเบา อันกำลังของเราที่มีก็มิอาจที่จักมีชัยอย่างเบ็ดเสร็จได้

พิชัยสงครามกล่าวไว้ เมื่อมิอาจจะมีชัยเหนือข้าศึกได้ ก็จงทำให้ข้าศึกมิอาจรุกกลับได้ กลศึกครานี้จึงเน้นรุกรับสลับไป ทำกำไรใกล้แนวต้าน แล้วถอยร่นมาเก็บอีกครั้งแถวแนวรับ

รอจนสามารถหักด่านสำคัญ (แนวต้านหลัก) จึงจักรวบรวมกำลังเข้าทำโรมรันให้มีชัยต่อไป ^^

 

ปล.ยินดีครับ ถ้าความรู้อันน้อยนิดของผมจะมีประโยชน์กับผู้อื่นบ้างก็ยินดีครับ

 

 

ลอกคำคม ท่านมาเป็นกลยุทธิ์ ใช้ในพลานี้

ถูกแก้ไข โดย perfection

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

#3pongacku

  • av-755.jpg

โพสต์ 21 มิถุนายน 2010 - 04:48

วิธีการออกจากการลงทุนมี 3 รูปแบบ

จริงๆแล้ว เราก็ใช้วิธีนี้ในการเข้าก็ได้ครับ

1 การเข้าออกไม้เดียว นิยมใช้กับการลงทุนทั่วไป โดยเรามีความมั่นใจในอ่านการลงทุนนั้นๆ และใช้กับการลงทุนกลางน้ำ

อธิบายเพิ่มเติม คือการเข้าออก 100% ของที่จำนวนเงินที่เราต้องการลงทุน

เวลาเข้า เหตุผลที่เรานิยมใช้ วิธีนี้จุดที่ 3 คือคุณเข้าช้าแล้วมีโอกาสผิดพลาดสูงหากแบ่งเข้าขอบอกเลยโอกาสทำกำไรจะต่ำมากๆ

เวลาออก เหตุผลที่เรานิยมใช้คือ มั่นใจและเก่งด้านการอ่านจังหวะเข้าและไม่กลัวที่จะขายหมูมากนัก เราก็ใช้ระบบในการตัดสินใจนะครับ

 

รูปที่ให้คือจุด 1-3 นะครับ

อธิบายเพิ่มเติม

จุดที่1 คือจุดสะสมกำลัง (การลงทุนควรเข้าจุดนี้แต่คุณต้องอ่าน Value มันออกซึ่งถ้าเป็นหุ้นคงง่ายกว่าทองถ้าคุณอ่านงบดุลและคาดการณ์มันได้)

จุดที่2 ต้นน้ำขาขึ้น (การลงทุนควรเข้าจุดนี้ ขึ้นจากจุดสะสมกำลัง)

จุดที่3 กลางน้ำ (ควรตัดสินใจถ้ายังมีGAP ในการลงทุนพอควร)

 

รูปย่อ

  • post-755-069510500%201277071084_thumb.png

#4pongacku

  • av-755.jpg

  • 2 การเข้าออกโดยทยอยแบ่งเป็น % เข้า นิยมใช้จุดที่2ตอนต้นน้ำและจุดที่1ช่วงสะสมกำลัง เราจะแบ่งพอร์ตเป็นส่วนๆเท่าๆกันแล้วทยอยเข้าเป็นไม้ๆ

เวลาเข้า อันนี้คงต้องอธิบายหน่อยเช่น เราแบ่งพอร์ตเป็น 3ส่วนเท่าๆกัน และกำหนดเข้า ทุกๆ0.5 บาท

ไม้แรก เราลงทุน 20บาท หาก ราคาตกไปกว่า 19บาท Cutloss หากวิ่งไป 20.5ตัดสินใจเข้าอีกไม้

ไม้สอง เราลงทุน 20.5 หากราคาตกไปที่ 19.5 เราCutloss 2 ไม้หากวิ่งไป 21 เราก็ตัดสินใจเข้าอีกไม้

*ขอสังเกตุไม้แรกเราจะเลื่อนCutloss แล้ว ตามราคาที่วิ่งขึ้นสูงสุด

ไม้ที่สาม เราลงทุน 21 บาท หากตกไปที่ 20บาท เราจะCutloss 3 ไม้ หากราคาวิ่งไป24บาท ทุกไม้จะcutloss ที่ 23 บาทครับ

*ขอสังเกตุไม้แรกและไม้สองเราจะเลื่อนCutloss แล้ว ตามราคาที่วิ่งขึ้นสูงสุด

 

เวลาออก ก็อาจใช้ร่วมกับระบบต่างๆ เช่น%port,Moving Avg,ค่าความSwing จะพูดอีกทีในส่วนนั้นครับ

รูปย่อ

post-755-058567800%201277070529_thumb.png

 

#5pongacku

โพสต์ 21 มิถุนายน 2010 - 04:49

3 การเข้าออกแบบปีรามิดคว่ำ-หงาย พูดง่ายๆคือการแบ่งเข้าออกแบบมากไปน้อยหรือน้อยไปมาก

เช่น (40% 30% 20% 10%),(50%,30%,20%),(60%,40%),(70%,30%)

 

เวลาเข้า เรานิยมใช้แบบปิรามิดหงาย(มาก=>น้อย) จุดที่1ช่วงสะสมกำลังและจุดที่2ตอนต้นน้ำ จุดที่3ช่วงกลางน้ำ พูดง่ายๆทุกช่วงที่สามารถลงทุนได้ยกเว้นปลายน้ำ

เรานิยมแบบปิรามิดคว่ำ(น้อย=>มาก) จุดที่1ช่วงสะสมกำลังและจุดที่2ตอนต้นน้ำ เท่านั้น ถ้าเข้าช่วงกลางน้ำ ถือว่ามีความเสี่ยงมาก

 

เวลาออก เรานิยมใช้แบบปิรามิดหงาย(มาก=>น้อย) สถานะการณ์ที่เราจะออกแบบนี้ต่อเมื่อมันใกล้เป้าหมายที่กำหนดมากเช่นทองวิ่งไป 122X ในสมัยก่อนซึ่งทำ New High ทั้งๆที่เป้าหมายประมาณ 1250 ดังนั้นเราจะออกมากก่อนแล้วมันดันลงมาอีกขั่นเราก็ค่อยๆออกจนหมด

 

สรุป วิธีออกแบบนี้นิยมใช้กับจุดที่ใกล้เป้าหมาย หรือ ช่วงเวลาที่ราคาทุบหนักมากและมี Volume

เรานิยมแบบปิรามิดคว่ำ(น้อย=>มาก) รูปแบบนี้นิยมใช้ต่อเมื่อเราคิดว่ายังไม่ถึงเวลาหรือเป้าหมายเราจะได้เล่นรอบไปในตัวและไม่ทำport ใหญ่เสียหายครับ

 

รูปย่อ

post-755-027666300%201277070565_thumb.png

 

#6pongacku

โพสต์ 21 มิถุนายน 2010 - 04:53

วิธีกำหนดจุดออก มี 3วิธี

แก้ไขนะครับ ขอโทษด้วยครับ ใช้วิธีนี้จะง่ายกว่าครับ

วิธีUpdate High จากราคาปิด

1 เริ่มจากคุณลงทุนซื้อทองหุ้นหรือการลงทุนใด ให้คิดจุดนั้นเป็นสูงสุด

2 หากราคาปิดอีกวันสูงกว่าที่คุณซื้อ ให้เปลี่ยนราคานั้นเป็นจุดสูงสุด

3 จะ บันทึกราคาสูงสุดที่เกิดขึ้น หลังปิดวันเท่านั้นครับ

ยกตัวอย่างเช่น

วันแรกเราซื้อหุ้น 20 บาท จุด Cutเรา 19 บาทหากราคาปิดที่20.5

วันที่2 ราคาCutคือ19.5 หากราคาปิดตกไปที่ 20.3

วันที่3 ราคาCutคือ 19.5 คิดจาก High หลังซื้อเดิม หากราคาปิดที่20.8

วันที่4 ราคา Cutคือ19.8 หากราคาปิดเท่ากับ 21.5

วันที่5 ราคา Cutคือ 20.5 หากราคาปิด 21.2

วันที่6 ราคาCutคือ 20.5 ครับ

หากราคาระหว่างวันตกลงมาเลยจุด Cut ให้ออกครับ

* ใช้กับวิธีการใช้%Port , การคำนวนค่าผันผวน

 

#7pongacku

โพสต์ 21 มิถุนายน 2010 - 04:54

1 กำหนดจาก % Port

ง่ายมากครับ คุณสามารถกำหนดการออกตามพอร์ตที่มูลค่าลดลง ณ ตำแหน่งซื้อครับ

3% , 5% , 7% ใช้ร่วมกับวิธีออกได้ทั้ง3รูปแบบครับ ใช้ร่วมกับการ Update ราคาสูงสุดที่ขึ้นไปได้นะครับ

 

ข้อดี ง่ายสะดวกและรวดเร็วและมีการ updateตลอดเวลาตามราคาสูงสุด

ข้อเสีย มันยังไม่เหมาะกับดารลงทุนที่มีความผันผวนสูง แต่ถ้าเราจะใช้ให้คุณดูค่าเฉลี่ยความผันผวนของราคาไว้หน่อยเพื่อเลือก%ขาดทุนให้เหมาะสม หากเลือกไม่เหมาะสมแทนที่คุณจะหนีได้คุณอาจกลับกลายเป็นขายหมู

 

ข้อบ่งชี้ ระยะสั่นดี ระยะกลางดี ระยะยาวปกติ ความน่ากลัวหากมีการกระชากราคาโดยเจ้าเป็นคนทำคุณจะขายหมูทันที

 

ปล การกำหนดการออก แบบ% Port นิยมเพราะง่ายและกำหนดค่าความเสียหายของ Port ไว้เลยแต่จะไม่เข้ากับ หน่วยลงทุนที่มีความผันผวนสูงมาก

ปล2 จากประสบการณ์ที่ได้ใช้งาน เวลาราคาขึ้นไปสูงสุด ท่านควรทอนราคามา 1 ช่องเช่นสูงสุด คือ 25 ให้ทอนมาเป็น 24.9 และหักด้วย 3%,5%,7%

 

#8pongacku

โพสต์ 21 มิถุนายน 2010 - 04:55

2 กำหนดจาก Moving Average หลายท่านสงสัยว่าทำอย่างไร วิธีนี้เป็นที่นิยมของนัก เล่นในส่วนหนึ่งโดยค่าเฉลี่ยของระยะเวลา 20 50 100 200 แล้วแต่เราจะกำหนด

เราใช้ร่วมกับ 3 วิธีออกได้ทั้งหมด และการใช้วิธีนี้จะมีกราฟที่เราต้องดู แต่ละเส้นจะถูก Update อยู่แล้วเราไม่จำเป้นต้องไปดูค่าสูงสุดเลย

 

ข้อดี ง่ายสะดวกและรวดเร็วมันupdate ให้ในกราฟของมันครับ

ข้อเสีย หากคุณใช้ไม่เหมาะสมแล้วน่าจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี แต่เราสามารถลดทอนได้โดยการใช้การแบ่งออกเป็น % ได้ครับ และมันเกิดจากค่าเฉลี่ยมันจะช้าหน่อยครับ

 

ข้อบ่งชี้ ระยะสั่นไม่ดี ระยะกลางปกติ ระยะยาวใช้ได้ดี

 

รูปย่อ

  • post-755-023799600%201277070911_thumb.png

#9pongacku

โพสต์ 21 มิถุนายน 2010 - 04:56

3กำหนดจากการSwingของราคา หรือคำนวนจากการผันผวนของราคา ภาษาอังกฤษคือ True Range(ATR)

เราใช้ร่วมกับ 3 วิธีออกได้ทั้งหมด

 

ข้อดี ค่อนข้างดีมีโอกาสเล่นรอบได้ลักษณะเหมือนกับ %Port

ข้อเสีย มีการกระชากตัวของราคา มันมีผลทำให้คลาดเคลื่อน แต่จะดีมากหากคุณมีการตัดสินใจในการเล่นรอบและอ่านจังหวะเข้าเก่ง

 

ข้อบ่งชี้ ระยะสั่นดี ระยะกลางดี ระยะยาวปกติ ความน่ากลัวหากมีการกระชากราคาโดยเจ้าเป็นคนทำคุณจะขายหมูทันที

 

 

#10pongacku

โพสต์ 21 มิถุนายน 2010 - 04:56

ปล

การเทรดทองแท่ง ควรใช้ MOVING AVERAGE

การเทรดฟิวเจอร์ ควรใช้ %Port และขยายวงเงินให้มีผลกระทบกับPort ที่สามารถรับได้ด้วยครับ

การเทรดหุ้น สามารถใช้ได้ 3วิธี

 

ขออีกทีครับระบบนี้

" วินัย ไร้ความรู้สึก วางแผนที่จะออก"

ถูกแก้ไข โดย perfection

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ได้ความรู้มากขอบคุณครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณนะคะ ขอฝากนิดค่ะ ทำไมหทั้งเวปเข้าได้แต่ห้องนี้ กับห้องจานซี นอกนั้นเข้าไม่ได้เลยค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

LG.gif home.gif

ELBRAND.gif

ทฤษฏี Elliott Wave สร้างขึ้นโดย Ralph Nelson Elliott ซึ่งเขาได้พัฒนามาจาก Down Theory โดยเนื้อหาบทสรุปของทฤษฎีนี้คือ Pattern ของราคาหุ้นมันจะมีพฤติกรรมเป็นลักษณะลูกคลื่น ซึ่งสามารถแจงรายละเอียดในหลักการได้ดังนี้

next.gif

ถ้ามีแรงกระทำย่อมมีแรงโต้ตอบ ซึ่งอนุมานในการเล่นหุ้นคือ เมื่อหุ้นมีขึ้น มันก็ต้องมีลง และเมื่อมันลงถึงจุดนิ่งแล้ว มันก็พร้อมที่จะขึ้นในรอบต่อไป ซึ่งภาษานักวิเคราะห์หุ้นทั้งหลายเขาเรียกว่าหุ้นรีบาวน์ ( rebound ) และหุ้นปรับฐาน ( retrace )

next.gif

Elliott Wave ประกอบด้วยลูกคลื่นในขาขึ้น 5 ลูก ( 1-2-3-4-5) และลูกคลื่นในขาลง 3 ลูก (a-b-c) ในช่วงขาขึ้นเราเรียกว่า Impulse ส่วนขาลงเราเรียกว่า Correction

next.gif

ในหนึ่งรอบหรือ cycles ของ Elliott Wave นั้นจะเป็น series ของ impulse และ correction

.....จากนิยามข้างต้นสามารถแสดงด้วยกราฟดังข้างล่าง และแนะนำว่าคุณต้องจำ pattern นี้เอาไว้ให้แม่นยำ wave 1,2,3,4,5,a,b,c

wavecount.gif

จากกราฟจะเห็นว่าจุดสูงสุดของรอบจะอยู่ที่คลื่นลูกที่ 5 ส่วนจุดเริ่มต้นคือคลื่นลูกที่ 1 ในช่วงที่หุ้นเป็นขาขึ้น การขึ้นยังไม่แรงเท่าที่ควร เพราะนักลงทุนหรือนักเล่นหุ้นต่างคอยดูเชิงซึ่งกันและกัน ราคาหุ้นก็จะไต่ขึ้นมาที่คลื่นลูกที่ 1 หลังจากนั้น ก็จะมีนักเล่นหุ้นบางกลุ่มที่คอยจังหวะขายหุ้
โดยที่หวังกำไรไม่มากนัก หรือ อย่างน้อยก็ขาดทุนไม่มาก ทำให้หุ้นปรับฐาน( retrace ) ลงมาเล็กน้อยที่คลื่นลูกที่ 2

หลังจากราคาหุ้นได้ปรับฐานมาที่คลื่นลูกที่ 2 แล้ว ในช่วงนี้เอง volume การซื้อขายเริ่มมากขึ้น ทำให้นักเล่นหุ้นอื่นๆมองเห็นแนวโน้มทิศทางของหุ้นตัวนี้ จึงเริ่มเข้าซื้อหุ้นด้วย volume ที่มาก ทำให้ราคาหุ้นปรับตัว ( rebound ) สูงขึ้นมาก โดยทฤษฏีแล้ว คลื่นลูกที่ 3 จะเป็นคลื่นลูกที่สูงที่สุด

ราคาหุ้นปรับตัวมาที่คลื่นลูกที่ 3 ทำให้นักเล่นหุ้นมีกำไรเป็นกอบเป็นกำ จึงเริ่มทะยอยขายหุ้นออกมา ราคาหุ้นก็เริ่ม retrace มาที่คลื่นลูกที่ 4 การปรับฐานของราคาหุ้นมาที่คลื่นลูกที่ 4 นี้ ดูเหมือนว่ามันน่าจะหยุดขึ้นต่อไป แต่ทั้งนี้ยังมีนักเล่นหุ้นบางกลุ่มที่ตกขบวนรถไฟ และยังมีความเชื่อว่าหุ้นตัวนี้สามารถวิ่งต่อได้ จึงเข้าไล่ซื้ออีกรอบหนึ่ง ทำให้หุ้นสามารถวิ่งต่อไปได้จนถึงคลื่นลูกที่ 5 แต่โดยพฤติกรรมแล้ว คลื่นลูกที่ 5 จะมีขนาดสั้นกว่าลูกที่ 3 เนื่องจากความกล้าๆกลัวๆของนักเล่นหุ้นทำให้ตัดขาย หรือทำกำไรเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว

.เมื่อราคาหุ้นปรับตัวมาที่จุดสูงสุดคือคลื่นลูกที่ 5 แล้ว และมีการขายทำกำไรกันออกมา ทำให้ราคาหุ้นปรับฐานลงมาที่คลื่น a, การขายรอบนี้นักเล่นหุ้นจะประสานเสียงหรือร่วมมือร่วมใจกันขายหุ้นออกมาปริมาณมาก หรือบางครั้งเกิด panic เล็กๆ เมื่อหุ้นปรับฐานมาที่คลื่น a นักเล่นหุ้นบางคนจะมองว่าราคาหุ้นมันถูกลงจึงเข้าซื้อทำให้ราคาหุ้น rebound เล็กน้อยไปที่คลื่นลูกที่ b แต่การขึ้นครั้งนี้มันขึ้นไม่แรง เพราะมันยังไม่สามารถเอาชนะใจคนอื่นๆได้ พอขึ้นไม่แรงก็ขายดีกว่า ทำให้มีการขายหุ้นกันออกมาทำให้ราคาหุ้นปรับฐานลงที่คลื่น c

หลังจากจบคลื่น c แล้วก็ถือว่ามันครบรอบหรือ cycle ของหุ้นอย่างสมบูรณ์ ผมขอทวนนะครับ คลื่น Elliott Wave ประกอบด้วยหุ้นขาขึ้น ( impulse) คลื่นลูกที่ 1,2,3,4,5 ส่วนหุ้นขาลง ( correction ) มีคลื่นลูก a,b,c

การเข้าใจพฤติกรรมของหุ้นโดยอาศัยหลัก Elliott Wave จะทำให้เรารู้สถานะและแนวโน้มของมัน ทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้นในการ trade

จากที่กล่าวข้างต้นเป็นเพียง Basic Concept เท่านั้น แต่มันยังมีความซับซ้อนมากกว่านี้ โดยที่หุ้นขาขึ้นลูกที่ 1,2,3,4,5 สามารถรวบเป็นคลื่นลูกที่ 1 และหุ้นขาลง a,b,c สามารถรวบเป็นคลื่นลูกที่ 2 ได้ เช่นกราฟด้านล่าง

apple.gif

Capsum.gif

การที่หุ้นมัน rebound หรือ retrace นั้น ถามว่ามันจะขึ้นไปถึงไหน และ มันจะลงมาถึงไหน ตรงจุดนี้ก็มีทฤษฎีที่อธิบายได้เช่นกันนั่นคือ Fibonacci Numbers ซึ่งเป็นเนื้อหาที่สามารถเขียนเป็นหนังสือหรือคู่มือเป็นเล่มหนาประมาณ 1 นิ้วได้ ซึ่งผมไม่สามารถนำมาอธิบายในที่นี้ได้ แต่ก็ขอนำเอาผลของมันมาใช้เลยดีกว่าครับ

Fibonacci Numbers เป็นตัวเลขที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับธรรมชาติ เป็นตัวเลขที่เรียกได้ว่ามหัศจรรย์เลยทีเดียว ตัวเลขที่เราสามารถนำมาใช้ได้เลยมีดังนี้

แบบทศนิยม

แบบเปอร์เซ็นต์ 0.236 23.60 % 0.382 38.20 % 0.500 50.00 % 0.618 61.80 % 0.764 76.40 % 1.000 100.00 % 1.382 138.20 % 1.618 161.80 % 2.618 261.80 % 4.236 423.60 % ......

. metastock.gif

หลายคนคงพอจะคุ้นกับตัวเลขพวกนี้บ้างนะครับ อย่างน้อยนักวิเคราะห์หุ้นหลายสังกัดก็นิยม หรือพูดถึงกันมากเช่น หุ้นกำลังปรับฐานลงมาในระดับ 38.20% ซึ่งก็คือแนวรับที่นักวิเคราะห์จะทำนายได้ว่าราคาหุ้นมันมีแนวรับที่ระดับราคาเท่าไหร่ ซึ่งอันที่จริงนักวิเคราะห์ก็ไม่ใช่หมอดู หรือนักคำนวนที่เก่งกาจเท่าไหร่ (ต้องขอโทษที่กล่าวเช่นนี้ ) เพราะเราสามารถใช้โปรแกรมวิเคราะห์หุ้นมาใช้หาจุดแนวรับ แนวต้านโดยใช้ tool ได้มากมาย รวมทั้ง Fibonacci Numbers ที่กล่าวไว้เช่นกัน โปรแกรมที่นิยมสุดๆก็คือ Meta Stock ซึ่งปัจจุบันล่าสุดได้พัฒนาไปถึง Version 8.00 แล้ว ราคาก็ประมาณหมื่นกว่าบาท แต่คิดว่ามันมีประโยชน์ก็เลยแนะนำกัน

เราลองมาดูตัวอย่าง Fibonacci Numbers ที่ใช้ใน Meta Stock กันดูบ้าง

Fibosamp.gif

จากกราฟราคาหุ้นข้างต้น เป็นตัวอย่างจริงของหุ้น BBL เมื่อราคาหุ้นมันขึ้นจากจุดที่ 1 ไปจุดที่ 2 และมันก็ปรับฐาน retrace ลงมา ทีนี้หากเราไม่มีวิชาติดตัวถามว่าราคาหุ้นมันควรจะลงมาเท่าไหร่ก็ไม่สามารถจะคาดคะเนได้ แต่หากเรามีวิชาติดตัว คุณคงบอกได้นะครับว่าแนวรับมันควรจะอยู่ที่ไหน

ถ้าเราใช้ Meta Stock เราก็จะได้แนวรับหลายระดับได้แก่ แนวรับที่ 23.6% , 38.2%, 50.0%, 61.80% ในที่นี้แนวรับมันหยุดที่ 50% ที่ราคาใกล้ๆ 48 และหลังจากนั้นมันก็ rebound ขึ้นต่อไป โดยที่ตัวเลขแนวรับที่เกิดขึ้น Meta Stock จัดการให้ทั้งหมด

.แน่นอนครับเราคงไม่ได้ใช้เจ้า Fibonacci Numbers เพียงอย่างเดียวมาวิเคราะห์หุ้น ถ้าจะให้ดีเราควรนำเอา indicators ตัวอื่นๆมาวิเคราะห์ด้วยเช่นกัน ซึ่ง indicators พวกนี้ศึกษาได้จากหนังสือที่เกี่ยวกับ technicalanalysis ได้หลายเล่มในท้องตลาด

ตัวอย่างข้างล่างเป็นการนำเอา indicator เช่น MACD ( Oscillator ) มาประกอบในการวิเคราะห์ เพื่อหาว่าคลื่นของ ELLIOTT มันวิ่งไปถึงคลื่นลูกที่ 5 หรือยัง ซึ่งจะสังเกตุเห็นว่าเส้นสีแดงที่ลากเชื่อมระหว่างจุด 3 และ 5 มีทิศทางขึ้น ในขณะที่เส้นแดงที่ลากเชื่อมระหว่างจุดยอดของ MACD มีทิศทางลง ลักษณะนี้เรียกว่าเกิด divergence คือมันมีทิศทางสวนทางกัน เช่นนี้ก็จะสามารถ forecast ได้ว่ากราฟหุ้นได้มาถึงจุดสูงสุดคลื่นลูกที่ 5 แล้ว

sample.gif

 

impulse.gif

Upword.gif

 

 

 

ช่วงขาขึ้นประกอบด้วยคลื่น 1,2,3,4,5 สังเกตว่าคลื่นลูกที่ 2,4 เป็นคลื่นช่วงปรับฐานย่อย ส่วนคลื่น 1,3,5 เป็นคลื่น rebound แต่ถ้ามองเป็น Channel แล้ว ภาพรวมมันเป็น Uptrend

Upword1.gif

 

 

vicious%20W2.gif

 

 

ลักษณะของคลื่นลูกที่ 2 จะปรับฐานโดยจะไม่ต่ำกว่าจุดเริ่มต้นของ คลื่นลูกที่ 1

การปรับฐานคลื่นลูกที่ 2 นั้นเกิดจากขายเพื่อหนีต้นทุน เนื่องจากก่อนการเกิดคลื่นลูกที่ 1 มันผ่าน downtrend มาก่อน ทำให้พอหุ้นมีการ rebound ขึ้นมาที่ลูกคลื่นที่ 1 ได้ นักเล่นหุ้นบางกลุ่มก็ยอมขายขาดทุนออกมา ทำให้ราคาหุ้นตก และปรับฐานเป็นคลื่นลูกที่ 2

stops.gif

 

 

 

การ form ตัวคลื่นลูกที่ 3 นั้นจะสังเกตุได้จากยอดของคลื่นลูกที่ 1จะเป็นแนวต้านที่สำคัญ หากมันไม่สามารถทะลุผ่านจุดนี้ไปได้ นั่นแสดงว่าคลื่นลูกที่ 3 นั้นมันมีปัญหา หรือผิดพลาด แต่ถ้าลูกคลื่น สามารถทะลุผ่านแนวต้านนี้ ไปได้แสดงว่าการ form ตัวเป็นคลื่นลูกที่ 3 น่าจะสมบูรณ์

W3prog.gif

 

 

 

ส่วนมากแล้วคลื่นลูกที่ 3 จะเป็นคลื่นที่แรงที่สุด ดังนั้นหากราคาหุ้นมันทะลุยอดของคลื่นลูกที่ 1 พร้อมทั้งเกิด Gap กระโดดอยู่เหนือยอดคลื่นลูกที่ 1 ได้ ย่อมแสดงถึงทิศทางของหุ้นกำลังเข้าสู่ Bullish state อย่างคึกคัก

TradeW3.gif

 

 

 

สาเหตุที่คลื่นลูกที่ 3 เป็นคลื่นลูกที่ร้อนแรงที่สุดนั้น ก็เพราะว่านักเล่นหุ้นต่างก็มองเห็นทิศทาง ของมันอีกทั้งยังเกิด gap ของราคาหุ้นด้วย ทำให้นักเล่นหุ้นที่พลาดโอกาสซื้อ ณ จุดต่ำสุดนั้น ต้องรีบกระโดดเข้ามาร่วมวงด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองต้องตกขบวน

vicioussell.gif

 

 

เมื่อคลื่นลูกที่ 3 ได้ไต่ระดับขึ้นมามากแล้ว นักเล่นหุ้นกลุ่มแรกที่ซื้อหุ้นไว้ ณ ระดับราคาช่วงต่ำสุด ก็เริ่มทะยอยขายทำกำไรออกมา ทำให้ราคาหุ้นมีการปรับฐานเกิดคลื่อนลูกที่ 4

ส่วนนักเล่นหุ้นกลุ่มที่ไม่ได้ซื้อหุ้น ณ ระดับราคาต่ำสุดยังไม่ได้ขายหุ้นออกมาก อีกทั้งยังมีการซื้อเฉลี่ยต้นทุนด้วย และเชื่อว่าโอกาสที่หุ้นจะขึ้นยังมีอยู่ จึงเข้าซื้อ ทำให้ราคา rebound ขึ้นไปเป็นคลื่นลูกที่ 5 แต่การ form ตัวเป็นคลื่นลูกที่ 5 จะไม่คึกคักเท่ากับคลื่นลูกที่ 3 แล้วจุด peak ของ uptrend ก็มาหยุด ณ คลื่นที่ 5

 

 

 

 

 

 

corrective.gif

ช่วงขาลง downtrend เป็นช่วงที่คาดคะเนได้ยากพอสมควร นักเล่นหุ้นบางคนสามารถทำกำไรจาก price gainging ได้ในช่วงหุ้นขาขึ้น แต่ก็ต้องขาดทุนในช่วงหุ้นขาลง เพราะการพยากรณ์ หรือ คาดคะเนหุ้นขาลงมันจะยุ่งยากและซับซ้อนกว่าช่วงขาขึ้น

หุ้นขาลงประกอบด้วยคลื่นลูกที่ A,B,C ซึ่งการปรับทิศทางลง แบ่งเป็น

  • Simple Correction


  • Complex Correction

simplecorr.gif

Simple Correction หรือเรียกว่า zig-zag ก็ได้ โดยการปรับทิศทางลงของหุ้นประกอบด้วยคลื่นลูกที่ A,B,C ทั้งนี้คลื่นลูก B จะ retrace ไม่เกิน 75% ของคลื่น A.และคลื่น C จะมีขนาดมากกว่าหรือเท่ากับคลื่น A

Fibonacci.gif

 

WAVE
-B

ปกติจะมีขนาดของคลื่นเป็น 50% ของคลื่น A และไม่ควรเกิน 75% ของคลื่น A

WAVE
-C

เป็นไปได้ตามกรณี

= 1.00 เท่าของ คลื่น A.

= 1.62 เท่าของ คลื่น A.

= 2.62 เท่าของ คลื่น A.

Zigzag.gif

 

นี่คือรูปแบบตัวอย่างของ ZIG-ZAG Correction

Complex Correction

มีด้วยกัน 3 รูปแบบ

  • FLAT
  • IRREGULAR
  • TRIANGLE

Flat Correction

ลักษณะนี้จะมีรูปแบบเหมือน sideway ออกไปด้านข้าง โดยคลื่นลูก A,B,C จะอยู่ในแนวราบออกด้านข้าง

flat.gif flat1.gif

flat2.gif

Irregular

irregular.gif

รูปแบบนี้คลื่น B จะ retrace เกินขนาดของคลื่น A

Triangle Correction :

triangular.gif

รูปแบบของ Triangle Corrections จะformตัวขึ้นเป็นรูป 3 เหลี่ยม โดยลากเส้นเชื่อมแนวต้าน และลากเส้นเชื่อมแนวรับ เส้นทั้งสองจะ form ตัวเป็นรูปสามเหลี่ยมที่ภายในมีคลื่น a,b,c,d,e

ถ้าหุ้นอยู่ในช่วง uptrend มันก็จะทะลุผ่านแนวต้านสามเหลี่ยมและก็วิ่งขึ้นต่อไป
triangular1.gif

ถ้าหุ้นอยู่ในช่วง down trend มันก็จะทะลุผ่านแนวรับสามเหลี่ยมและก็ล่วงลง

suggest.gif

การนำ Elliott Wave มาวิเคราะห์หุ้นนั้นนับว่ามันมีประโยชน์มากทีเดียว แต่เชื่อหรือไม่ครับว่า คนสิบคนกำหนดหรือสร้าง Elliott Wave ไม่เหมือนกันคือ บางคนระบุราคาหุ้นตอนนั้นเป็นคลื่นลูกที่ 3 แต่บางคนก็ระบุเป็นคลื่นลูกที่ 5 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ และเครื่องมือที่นำมาประกอบการวิเคราะห์

กราฟที่ระบุจุด Buy-Sell ที่ RicherStock นำเสนอนั้น ได้ผ่านขบวนการใช้ Elliott Wave Analysis แล้ว และนำเอาผลมา plot ลงในกราฟเพื่อบอกจุด turning point ซึ่งนั่นก็คือจุดต่างๆของคลื่น Elliott นั่นเอง ดังนั้นคุณสามารถนำเอาจุด Buy-Sell ไปใช้ประโยชน์ในการ trade ได้โดยขอให้ดูวิธีการใช้ใน Profit Making Manual

สิ่งสำคัญที่ขอเน้นนะครับคือ ไม่ว่าเราจะมีเครื่องมือที่ดีเลิศอะไรก็ตาม แต่สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดคือ DISICIPLINE อย่าลืมนะครับ discipline ต้องยึดมั่นให้ดีแล้วคุณจะประสบความสำเร็จ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...