ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
perfection

อ้่านตำรา ลอกการบ้าน มาฟันธง

โพสต์แนะนำ

มันเล่น Copy 1980 มาเลยทีเดียว

จากตีสูงสุดที่ 1900

ตามสถิติ จุดต่ำสุดจะประมาณ 2-2.5 เท่าครับ(ผมว่าขา A)

และจะเด้ง (ขา B )ที่ 1.5 เท่า

*ไม่ได้คิดจากทฤษฏีแต่คิดจาก สถิติเก่า

** ส่วนตัวไม่เชื่อว่าจะหมดฤดูเล่นไป 20 ปีเหมือนสมัยก่อน สมัยนี้มันออนไลน์ทั่วโลก

แต่อาจมีซึมหรือเป็นการพักฐานแรกในรอบขึ้นใหญ่ไม่มีใครรู้

 

เวลาอะไรที่ลงเร็วและแรง จะมีการเด้งเร็วและแรงตามทฤษฏี Elliot Wave เพียงแต่

http://www.richersto...tt/ELTHEORY.htm

 

1 มันจะเด้งตรงกลางขาลง

2 มันจะเด้งตรงเกือบล่างสุด

3 มันเด้งตรงข้างล่างสุด

 

ส่วนตัวใครที่คิดสะสมทอง แบบเงินเย็นจริงๆ

รอให้เกิดจุดต่ำสุดAแล้วเด้งBก่อน และ รอขา C ที่ต่ำกว่าจุด A นี่แหละครับ Safe ลงก็ลงอีกไม่มาก (ไม่เข้าใจABC Link Elliot Wave)

ถูกแก้ไข โดย perfection

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขออภัยนะครับ ที่นานๆเข้ามาที

 

จากจุดสูงสุด ซึ่งมองว่า จะเกิดจุด B ที่ 1300 หรือประมาณ 1.5เท่าจาก 1900จุด 1280-1300 ซึ่งเป็นค่าคาดการณ์ครับไม่ถูกครับ

 

จุดที่น่ากลัวคือ Cครับที่ 800-1000 จุด หรือประมาณ 2-2.5เท่าของ 1900

 

ทุกอย่างเป็นค่าคาดการณ์ สถานะการณ์ตอนนี้ถ้าเศรษฐกิจจะฟื้นนะครับ ทองก็ไม่ใช่สินทรัพย์ปลอดภัยอีกต่อไป

 

ปล การลงทุนมีความเสี่ยง ควรพิจารณา และวิเคราะห์ให้เยอะๆ

 

ปล2 ผมมองว่าทองไม่ใช่ทรัพย์สินปลอดภัย

ถูกแก้ไข โดย perfection

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

มุมมองทองปี 2554

สวัสดีครับสมาชิก Thaigold ทุกท่าน อาจจะไม่คุ้นชื่อกันเท่าไหรนะครับ เนื่องจากเป็นสมาชิกใหม่ เห็นพี่ ๆ เพื่อน ๆ และน้อง ๆ ใน Thaigold แบ่งปันความรู้ และมุมมอง เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ แล้วก็อยากที่จะร่วมแชร์บ้าง เลยขออนุญาติที่จะร่วมแสดงความคิดผ่านกระทู้ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ หวังว่ารุ่นพี่ทุกท่านจะไม่รังเกียจนะครับ

สำหรับเรื่องการวิเคราะห์ราคาทองคำ โดยส่วนตัวนั้นสนใจทั้ง 2 ศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางด้านพื้นฐาน และปัจจัยทางด้านเทคนิค จึงจะขอนำเสนอทั้งสองรูปแบบ ถ้าสมาชิกท่านใดมีความเห็นแตกต่างหรือเพิ่มเติมส่วนที่ตก ๆ ขาด ๆ รบกวนที่จะปรับปรุง แก้ไขให้ครบถ้วนสมบูรณ์ด้วยนะครับ จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง

ในกระทู้แรกอยากจะเล่าความกว้าง ๆ ด้วยภูมิปัญญาอันน้อยนิด ถึงทิศทางราคาทองคำในช่วงปี 2554 จากปัจจัยทางพื้นฐาน ซึ่งหลายท่านอาจจะเคยชินกับการลงทุนในกรอบสั้น ๆ จนขาดเวลาที่จะถอยกลับมามองภาพใหญ่และอาจจะทำให้พลาดช่วงตอนสำคัญไปได้

โดยส่วนตัวมุมมองราคาทองคำในกรอบปีนี้จะยังสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับนักลงทุน รวมถึงสร้างความท้าทายแก่บรรดากรูรูในการคาดเดาราคาทองอย่างแน่นอน แต่ส่วนตัวยังเชื่อว่าในกรอบ 3-6 เดือนราคายังคงอยู่ในกรอบแนวโน้มขาขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งมีแนวความคิดที่สนับสนุนดังนี้ครับ

1. การปรับเพิ่มขึ้นของปริมาณเงิน (สภาพคล่องในระบบ) ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หลังจากที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจในสหรัฐ ทำให้เกิดการผ่อนคลายเชิงนโยบายทั้งการเงินและการคลังอย่างมหาศาล โดยเฉพาะการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้ปริมาณเงินในระบบเพิ่มขึ้นและส่งผลต่อมูลค่าของสกุลเงิน และแนวความคิดในการเสริมสภาพคล่องยังคงไม่หมดไป ในช่วงปีที่ผ่านมาทุกท่านคงเคยได้ยินคำว่า QE2 (Quantitative easing Package 2) เป็นการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลเพื่อที่จะลดระดับของอัตราผลตอบแทน ที่ใช้เป็นอัตราผลตอบแทนอ้างอิงในตลาดในลงต่ำลงมา ในวงเงินกว่า 6 แสนล้านดอลล่าร์ โดยเป็นการทยอยซื้อในช่วงเวลาประมาณ 6-8 เดือน สิ้นสุดเดือน 6 ปี 2554 ซึ่งก่อนหน้านั้นธนาคารกลางสหรัฐได้ดำเนินการเข้าซื้อใน QE1 แล้วกว่า 1.7 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐ และยังมีการพูดกันถึง QE3 ซึ่งโดยส่วนตัวเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ ถ้าเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงครึ่งแรกของปียังคงไม่เป็นที่น่าพอใจ ทำให้แนวโน้มของปริมาณดอลล่าร์ในระบบยังคงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะผลต่อราคาทองคำอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยการอ่อนค่าลงของดอลล่าร์จะทำให้ราคาทองคำที่กำหนดเป็นสกุลเงินดอลล่าร์ปรับเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของปริมาณเองก็ส่งผลต่อราคาสินทรัพย์โดยร่วมเช่นกัน

2. แนวโน้มเพิ่มเฟ้อที่ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจัยสำคัญมาจากราคาสินค้าเกษตรและราคาพลังงานเป็นสำคัญ โดยราคาน้ำมันในตลาดโลกในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาขยับเพิ่มขึ้นจากราคาเปิดในปี 2552 ประมาณ 43 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับปัจจุบันประมาณ 90 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรล และยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอนาคต แม้อัตราการใช้น้ำมันจะชะลอลงจากกำลังการใช้ของประเทศในฝั่งตะวันตกอย่างสหรัฐ และยุโรปเนื่องจากกำลังเจอกับวิกฤติเศรษฐกิจ แต่ในฝั่งตะวันออกกลับเติบโตอย่างรวมเร็ว โดยเฉพาะจีน อินเดีย และรัสเซีย ที่ระดับรายได้ของชนชั้นกลางมีการปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งเมื่อมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นย่อมส่งผลให้มีการบริโภคเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัว และส่งผลต่อความต้องการในการใช้พลังงาน ขณะอัตราการผลิตยังมีแนวโน้มคงที่แม้หลายประเทศจะเริ่มมีการส่งออกน้ำมันเพิ่มมากขึ้นก็ตาม แต่ส่วนที่น่ากังวลจริง ๆ น่าจะมาจากเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นจากราคาสินค้าเกษตร หลังจากเกิดภาวะโลกร้อนทำให้ความถี่ในการเกิดภัยธรรมชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตร และส่งให้ราคาปรับเพิ่มขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ขณะที่ความต้องการอาหารเองก็ปรับเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากจากความต้องการของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่เพิ่มมากขึ้น อย่างจีนและอินเดีย ทำให้แนวโน้มเงินเฟ้อที่เกิดจากราคาอาหารเป็นอีกประเด็นที่น่าจับตา แต่คำถามคือเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นแล้วเกี่ยวกับทองคำอย่างไร ซึ่งมุมนี้อยากให้มองเป็น 2 ประเด็นครับ อย่างแรกถ้าเราใช้วิธีทางสถิติย้อนหลังไป 30-40 ปี จะเห็นว่าอัตราเงินเฟ้อโดยรวมกับราคาทองคำมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ประกอบกับความเชื่อของนักลงทุนในตลาดที่คิดว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ใช้ในการต่อสู้กับเงินเฟ้อ จึงทำให้เวลาที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญก็จะทำให้นักลงทุนสะสมทองคำเพิ่มเติมและส่งผลต่อราคาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ประเด็นที่สองเมื่อเวลาเราพูดถึงเงิน เราก็จะนึกถึงธนบัตร เงินดอลล่าร์ เงินบาท เงินยูโร ซึ่งวิธีในการคิดอัตราเงินเฟ้ออย่างง่ายคือดูที่ตัว CPI Index หรือดัชนีราคาผู้บริโภค ซึ่งเป็นการนำเอาการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าในตลาดมาเทียบกับปีฐานและคิดการเปลี่ยนแปลงเป็นเปอร์เซ็นและถ่วงน้ำหนักสินค้าแต่ละหมวด หมายความว่าอำนาจซื้อของเงินลดลงถ้าอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นนั้นเอง ดังนั้นเมื่อแนวโน้มอำนาจซื้อของเงินมีความเป็นไปได้ที่จะลดลงในอนาคต นักลงทุนอาจจะเปลี่ยนการถือครองสกุลเงินไปเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าด้วยตัวของมันเองอย่างทองคำ และส่งผลต่อราคาเช่นกัน

3. ความต้องการทองคำในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้นซึ่งในประเด็นนี้ก็ต้องแบ่งออกเป็น 3 ส่วนเช่นกัน อย่างแรกในภาคธนาคารกลางเริ่มมีการกลับมาสะสมทองคำเพิ่มขึ้น โดยถ้าเรามองย้อนหลังไป 10-20 ปีก่อนหน้าจะเห็นว่าภาคธนาคารกลางมีการขายทองคำออกอย่างต่อเนื่อง ขณะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านกลับมีการลดลงของการขายทองออกอย่างเห็นได้ชัด โดยมีหลายประเทศที่กลับมีการสะสมเพิ่มอย่างเห็นได้ชัด อย่างจีน อินเดีย รัสเซีย ศรีลังกา เป็นต้น ซึ่งก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เนื่องจากประเทศเหล่านี้มีเงินทุนสำรองเพิ่มขึ้น การรักษาระดับความสมดุลของเงินทุนสำรองถือเป็นเรื่องที่จำเป็น เนื่องจากถ้าเราย้อนมองไปในช่วงเกิดวิกฤติสหรัฐ ดอลล่าร์ปรับอ่อนค่าลงอย่างมากดังนั้นประเทศที่มีการสำรองเป็นสกุลเงินดอลล่าร์สูง ๆ จะได้รับผลกระทบจากการอ่อนค่าอย่างมาก ดังนั้นแนวความคิดในการปรับพอร์ตเงินสำรองจึงเป็นที่พูดถึงกันอย่างแพร่หลาย ประเด็นที่สอง การเพิ่มขึ้นของราคาทองคำในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีค่าเฉลี่ยผลตอบแทนที่สูงมาก โดยเมื่อเทียบราคาเปิดในช่วงต้นปี 2550 ที่ระดับ 636 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ กับราคาปัจจุบันแถว 1,360 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ หรือ 114% ในช่วงเวลาเพียง 4 ปี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีผู้สนใจเข้ามาลงทุนในทองคำเพิ่มขึ้น โดยเงินที่ไหลเข้ามาสู่ตลาดทองคำยิ่งส่งผลให้ราคาทองคำเพิ่มขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยสัดส่วนความต้องการทองคำเพื่อการลงทุนในตลาดโลกในช่วงปี 2550 อยู่ที่ประมาณ 20% เมื่อเทียบกับความต้องการใช้ทองคำทั้งหมด แต่กลับเพิ่มขึ้นมาในช่วงปี 2552 อยู่ที่ประมาณ 40% สะท้อนให้เห็นได้ชัดความพฤติกรรรมของผู้ลงทุนมีการเปลี่ยนแปลงไป และปัจจัยสุดท้ายมาจากความต้องการทองคำจากการใช้จริงทั้งในด้านของการใช้เป็นเครื่องประดับ ซึ่งการเพิ่มขึ้นมาจากกลุ่มประเทศเกิดใหม่อย่างจีนและอินเดียเป็นสำคัญ เนื่องจากชนชั้นกลางมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นประกอบกับวัฒนธรรมของสองประเทศนี้มีความผูกผันกับทองคำเป็นอย่างมาก ส่งผลให้การซื้อทองคำเพื่อใช้เป็นเครื่องประดับและของขวัญจะเพิ่มขึ้นส่วนนี้ นอกจากนั้นการกลับมาของอุตสาหกรรมอิเล็คทรอนิคที่ชะลอตัวในช่วงวิกฤติจะทำให้การใช้ทองคำที่เป็นส่วนประกอบของพวก semi-conductor มีเพิ่มมากขึ้น

4. ความเสี่ยงในตลาดการลงทุน โดยเฉพาะประเด็นปัญหาหนี้ในยุโรปที่เชื่อว่าจะยังคงสร้างแรงกดดันต่อตลาดการลงทุน และสกุลเงินยูโรต่อเนื่องไป เนื่องจากปัญญานี้ค่อนข้างลึกอยู่ทีเดียว เนื่องจากเป็นปัญหาในเชิงโครงสร้าง การใช้เวลาในการแก้ไขอาจจะกินเวลานาน 2-3 ปี ประกอบกับประเทศในกลุ่มยูโรโซนนั้นขาดเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาโดยตรง ซึ่งโดยส่วนใหญ่เวลาที่ประเทศประสบปัญหาหนี้ภาครัฐ วิธีที่ง่ายที่สุดในการแก้ปัญหาคือการลดค่าเงินตัวเองลง แต่ 16 ประเทศในกลุ่มยูโรโซนไม่สามารถทำได้ เนื่องจากใช้สกุลเงินร่วมกัน ทำให้ไม่สามารถกำหนดนโยบายทางการเงินเองได้ ประกอบกับหลายประเทศอย่างกรีซและโปรตุเกส รวมถึงไอร์แลนด์ยังคงมีระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับต่ำ แต่ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มได้อย่างเต็มที่เนื่องจากต้องตัดลดรายจ่ายเพื่อควบคุมระดับหนี้ ในประเด็นนี้เองอาจจะทำให้เศรษฐกิจมีปัญหาอย่างหนักและกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ในที่สุด

ทำให้โดยรวมแล้วแนวโน้มของราคาทองคำในระยะสั้นยังคงได้รับผลดีจากปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าวมา

 

ฟันธง ปี2556 4 ข้อดี เรียงใหม่แบบกลับด้านพูดเป็นข้อเสีย

ถูกแก้ไข โดย perfection

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

bullandbear.jpg

ธรรมชาติตลาดกระทิง(Bull Market)

วันนี้ปากกาขายดีแน่ๆ เซียนทำหักกันหลายคน ทองคำและเงิน (Gold and Silver)

โดนทุบราคาลงมาอย่างหนักถึง 30$ ภายในคืนเดียว เหตุการณ์ลักษณะแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่

เคยเกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง นั่นเพราะราคาทองคำไม่ได้ขึ้นเป็นเส้นตรง ทุกวันๆ

ถึงจุดหนึ่งมันจะมีการปรับฐาน-พักตัว แต่ในระยะยาวแล้ว

“ทุกอย่างยังเหมือนเดิม”

ปัจจัยพื้นฐานไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง อารมณ์ของตลาดต่างหากที่เปลี่ยน สิ่งเหล่านี้เป็น “ธรรมชาติ”

การลงแรงๆ ของราคาทองคำ หลายต่อหลายครั้งในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ไม่ได้มีความหมายอะไร

(สุดท้ายก็ขึ้นคืนกลับมาตลอด)การลงของทองคำเมื่อวานก็เช่นกัน

นั่นทำให้ผมเคยเตือนเพื่อนๆสมาชิกว่า อย่าเพิ่งเข้าเทรด Gold Future เพราะการลงแรงๆ

ลักษณะนี้เกิดขึ้นได้เป็นเรื่องธรรมดา แต่Margin เราจะโดนกวาดทิ้ง หากเราขายตัดขาดทุนหรือ

ไม่สามารถหาเงินมาเติมหลักประกันได้จนโดนบังคับขาย (Force Sell) นั่นเท่ากับว่า

เราจะโดนเชิญให้ออกจากตลาด

ใครที่อ่านบทความผมแล้วเห็นว่าทองจะขึ้น เลยซื้อสัญญา Gold Future เยอะๆเข้าไว้

บางทีอาจจะไม่ได้ง่ายและไม่ได้เป็นอย่างที่คิด

วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจและศึกษาธรรมชาติของตลาดกระทิงกันก่อนลงสู่สนามครับ

ขึ้นชื่อว่ากระทิง นั้นต้อง “พยศ” แน่ๆ หากคิดจะขึ้นขี่ จึงต้องรู้วิธี.

:excl: ธรรมชาติ ข้อที่ 1 : ตลาดกระทิงเวลาขึ้น-ขึ้นบันได / แต่เวลาลง–ลงลิฟท์

อาจารย์ผมสอนไว้ว่า ในภาวะตลาดขาขึ้นนั้น ราคาจะทำการไต่ระดับค่อยๆขึ้นๆ ใช้เวลาพอสมควร

แต่เวลาลงนั้นจะลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว สาเหตุที่เป็นแบบนี้ก็เพราะ

ตลาดจะทำการ “กำจัดผู้เล่นที่มาทีหลังให้ออกจากตลาดไปก่อน”

สังเกตจากล่าสุด ราคาทองคำใช้เวลาถึง 1 อาทิตย์กว่าจะปรับขึ้น 400 บาท (ถือว่าขึ้นเร็วแล้วนะครับ)

แต่เวลาลง 400 บาทนั้น เกิดขึ้นได้ภายในคืนเดียว

“เปรียบไปก็เหมือนกระทิงตัวนี้ จะสะบัดคนให้ตกจากหลังมันให้มากที่สุดก่อน แล้วค่อยวิ่ง”

นักลงทุนที่รอให้ราคาตลาดขึ้นไปเรื่อยๆ จนมั่นใจว่าขึ้นแน่ๆ แล้วค่อยซื้อจึง

มักจบลงโดยการ “ตัดขาดทุน” ผู้เล่นที่จิตใจไม่มั่นคง และปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล+ปัจจัยพื้นฐาน

จึงมักจะเป็นผู้แพ้ และจบลงด้วยการเสียตังค์

ตรงกันข้ามกับตลาดหมี (Bear Market) ตลาดนี้เวลาขึ้น-ขึ้นลิฟท์ แต่เวลาลง-ลงบันได

ราคาจะปรับตัวขึ้นแรง เพื่อเรียกความมั่นใจให้กับนักลงทุนว่าราคาขึ้นแน่ๆ จนกระโจนเข้าใส่

แต่หลังจากนั้นก็เป็นแค่การขึ้นหลอก ค่อยๆตกกลับลงมาเรื่อยๆ ไม่ให้เรารู้ตัว

:excl: ธรรมชาติข้อที่ 2 : ในตลาดกระทิงคุณต้องกล้าซื้อเมื่อมันลง

“Buy the dip" คือหัวใจสำคัญในการเข้าสู่ตลาด

เหมือนอย่างที่ วอร์เรน บัฟเฟต เคยพูดไว้ว่า “ต้องกล้าในเวลาที่คนอื่นกลัว” ในภาวะ ที่คนส่วนมากในตลาด

นั้นมีการเทขายอย่างรุนแรง (Sell off) หากเรามองที่อีกด้าน มีคนจำนวนหนึ่ง “รับซื้อ” อยู่

หากไม่มีคนซื้อก็เกิดการซื้อขายไม่ได้) คนเหล่านี้เป็นใคร ?? ทำไมมองต่างจากคนอื่น ??

คนเหล่านี้คือ ผู้เล่นที่ฉลาด (Smart Money) กล้าซื้อในเวลาที่คนอื่นไม่ซื้อ

สำหรับตลาดทองคำนั้น บอกได้เลยว่า ยิ่งลงแรง เราควรจะดีใจ

เพราะยิ่งลงมาก หมายความว่า ประตูแห่งโอกาสเปิดกว้างมากขึ้นตามไปด้วย

(The bigger sell off The bigger buying opportunity)

ใช้จังหวะแบบนี้เติมทองคำในพอร์ทของคุณ แล้วกอดมันไว้แน่นๆ นะครับ

:excl: ธรรมชาติข้อที่ 3 : “เซอร์ไพรส์” ทองขึ้น !

พวกเรามักจะคอยติดตามและอ่านข่าวกันอย่างหนัก เพื่อที่จะได้คาดเดาราคาได้ถูก แท้จริงแล้ว

 

ราคาต่างหากที่กำหนดข่าว -ไม่ใช่ข่าวกำหนดราคา

หลายต่อหลายครั้งนักลงทุนแม้จะติดตามอ่านข่าวทุกสำนัก ก็ยังขาดทุน นั่นเพราะ ราคามันจะวิ่งลงหรือขึ้นก่อน

ข่าวค่อยตามมาสนับสนุน ทีหลังเป็นแบบนี้อยู่ทุกครั้งไป เราจึงคิดไปว่า "ตลาดที่เราลงทุนอยู่นี่ สมเหตุสมผลจริงๆ"(มีข่าวรองรับตลอด)

แต่หากเป็นอย่างนั้นจริง คนที่จะกำไรจากการลงทุนมากที่สุด ควรจะเป็น นักข่าว

เพราะเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้เร็วกว่าคนอื่น แต่ก็ยังเห็นมานั่งอ่านข่าวให้เราฟังทุกวันเหมือนเดิม

ไม่ใช่ว่าเราจะไม่ศึกษาหาข้อมูลนะครับ แต่ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่การอ่านข่าว

แต่อยู่ที่การ เอาข่าวมาวิเคราะห์ ถึงผลที่จะตามมาในอนาคตมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นความน่าเชื่อถือของข่าวก็มีส่วนสำคัญ

หลายปีที่ผมเฝ้าติดตาม ตลาดทองคำ หลายต่อหลายครั้งทองขึ้นในช่วงเวลาที่เราคาดไม่ถึง

ทำให้เราประหลาดใจและซื้อไม่ทันอยู่บ่อยๆ การไม่มีทองคำติดพอร์ทเลยทำให้เราพลาดโอกาสแบบนี้

 

:excl: ธรรมชาติ ข้อที่ 4 : หากไม่หวังกินรอบเล็ก ก็จะไม่พลาดรอบใหญ่

เทรนหลักของตลาดทองคำ คือ “ขึ้น” ลองมาย้อนดูกันครับ

10 ปี

au3650nyb.gif

 

5 ปี

au1825nyb.gif

 

ปีเดียว

au0365nyb.gif

 

หรือจะแค่ 6 เดือน

au0182nyb.gif

พอเราถอยห่างออกมาดู กราฟในระยะกลางและระยะยาวแล้ว ก็พบว่า ทิศทาง เป็นไปในลักษณะเดียวกันคือ “ขึ้น”

“การซื้อแล้วถือรออย่างอดทน จะทำให้เราได้ผลตอบแทน ที่ดีกว่าการ ซื้อๆขายๆ เข้าๆออก พยายามจะทำรอบ”

คนที่ยืนยันเรื่องนี้ได้ดีที่สุดคือ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนที่ใครหลายๆคนยึดเป็นต้นแบบ

ดร.บอกว่า การลงทุนก็เหมือนการขับรถ จุดหมายปลายทางคือความสำเร็จ

บางครั้งระหว่างทาง เลนที่เราขับมันดูติดขัดเหลือเกินเมื่อเทียบกับเลนข้างๆ

พอเราเห็นอย่างนี้ เราจึงชอบ “เปลี่ยนเลน”

เคยมั๊ยครับ ? เลนข้างๆ วิ่งฉิว แต่พอเราเปลี่ยนเลนไปเท่านั้น

ติดทันทีเลย ส่วนเลนเก่าของเราวิ่งแซงไปซะอย่างงั้น

 

:rolleyes: การที่เราเห็น คันอื่นพยายามเปลี่ยนเลนไปมาบ่อยๆ

ดูเหมือนเค้าจะไปได้ไวกว่าเรา เอาเข้าจริงๆ อาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้

 

:rolleyes: การซื้อทองคำแล้วติดดอยไม่ได้กำไร เทียบกับคนอื่น

ซื้อๆขายๆ เล่นรอบ ทำกำไรบ่อย ๆ เหมือนเค้าจะไปไวกว่าเรา ท้ายที่สุด พอทองขึ้นเค้าอาจจะ

ไม่ได้กำไรเหมือนอย่างที่เราคิดก็ได้

นอกจากนี้การเปลี่ยนเลน ปาดแซงบ่อยๆ ยังเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ (ขาดทุน) อีกด้วย

ด้วยเหตุนี้ การลงทุนที่ดี บางทีมันน่าเบื่อครับ เปรียบเหมือนเรา วิ่งเลนขวาเลนเดียวไปเลย

มันติดบ้างช้าบ้าง “รอเถอะครับ”

ปลอดภัยคุ้มค่ารอและถึงจุดหมายปลายทางแน่นอน

หากยังไม่ชัดเจน ผมอยากจะเทียบกับการ “หุงข้าว” พอร์ททองคำของเรานั้น

หากว่าอยากจะให้สุกงอมและออกมาสวยน่ารับประทาน ต้องให้เวลามันครับ

หากคุณใจร้อนเปิดฝาหม้อดูบ่อยๆ สุดท้าย คงได้กินข้าวแข็งๆ

อดใจรอ จนสวิตซ์ มันดีดเองเถอะครับ รับรองข้าวสวยฟูได้ที่แน่ๆครับ.

:excl: ธรรมชาติ ข้อที่ 5 :อย่าปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล

ทุกอย่างที่ผมได้พูดมา ในทุกบทความ คือ“สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจริง” หากว่าคุณเชื่อและรู้แบบนี้แล้ว

สิ่งเดียวที่จะขัดขวางไม่ให้คุณได้เข้าร่วมในโอกาสทอง (จริงๆ) ครั้งนี้

ก็คงเหลือแต่ “อารมณ์” ของคุณเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

นักลงทุน หลายคนที่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะปล่อยให้อารมณ์เข้ามาครอบงำเหนือเหตุผลที่ตัวเองรับรู้

แผนการที่วางเอาไว้เลยพังไม่เป็นท่า

เลิกทรมานตัวเองด้วยการจ้องราคาอยู่หน้าคอมพ์แล้วลุ้นระทึกไปกับมันเถอะครับ

มองไปในระยะยาวดีกว่า ไม่วุ่นวายใจ-หลับสบายทุกคืนครับ

 

ตลาดทองคำปี 2011 ผมเชื่อว่า ราคาสวิงไปมาต้องมีอยู่แล้ว

การขึ้นลง ระดับ 5-10% นั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้

แต่เนื่องจากฐานของทองคำมันกว้างขึ้น

เช่น

- ทองบาทละ 10,000 : ขึ้นลง 5-10% คือ 500-1000 บาท

- แต่ตอนนี้ทองบาทละ 20,000 : ขึ้นลง 5-10% เลยกลายเป็น 1,000-2,000 บาท

การเคลิ่อนไหวระดับนี้อาจจะดูหวือหวา แต่เราต้องทำใจรับมันให้ได้ เพราะท้ายที่สุด

ทิศทางยังเป็นขาขึ้น

ในปี 2011 นี้ผมขอคาดการณ์แบบ "ถ่อมตัวและกลัวผิด" ว่า

อย่างน้อย เราน่าจะได้เห็น ราคาทองคำที่ระดับ 22,000-23,000 ต่อบาท

แต่หากเข้า Mania Phase แล้ว ระดับราคาที่ว่านี้ถือว่าจิ๊บๆ ครับ

 

ปล. ลุ้นเหนื่อยเลยครับสำหรับเป้าของลุงจิม : Widget ผมแจ้งเตือนว่าเหลือเวลาอีกเพียง 9 วัน

ผมเฝ้านับมา ตั้งแต่ 400 กว่าวัน ก็จะขอลุ้นกับลุงไปจนถึงที่สุดหละครับ ตามกันต่อไป

ถูกแก้ไข โดย perfection

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ลอกข้อมูลมาฟันธงจาก ท่านอาจารย์ทนง ขันทอง

 

การเงินQE เกิดการพิมพ์เงินเพื่อวัตถุประสงค์ของปัญหาที่สหรัฐประสบอยู่คือ

 

1.แก้ปัญหา Suprime ราคาบ้านตกตำมากหมาย รัฐบาล ออกบอร์น เพื่อมาซื้อหนี้เสียอสังหริมทรัพย์ที่สถาบันการเงินประสบอยู่จนในปัจจุบัน รัฐเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ที่สุดของประเทศ (ตัวเอง) ราคาปี 2007 ประมาณ 1 พันค่ะ

 

2. การแก้ปัญหา วิเทศธนกิจ การเงิน ของ lehman brother ทำให้เกิดการเลิกจ้าง คนตกงาน และ ประเทศขาดกำลังซื้อ ราคาทองประมาณ 1900 ค่ะ

 

การเงิน QE สหรัฐก็เล่นนอกระบบ โดยใช้ความเป็นมหาอำนาจ พิมพ์ธนบัตรเอง แต่ถ้าเป็นไทยล่ะก็ ไทยไม่ได้เป็นมหาอำนาจ ต้องกู้ IMF แล้วก็ได้วางกฎระเบียบให้ประหยัด ง่ายๆก็สรุปคือ มหาอำนาจ ออกระเบียบให้เราถอยหลัง แต่ สหรัฐไม่ทำอย่างที่บอกให้เฟคบอกให้เราทำ แกเล่นพิมพ์ธนบัตรในคอมพิวเตอร์เลย ไม่มีกฎระเบียบ ไม่ต้องรัดเข็มขัดอะไร พิมพ์มาตั้งแต่ QE1 QE2 และ QE 3 เป็นเงิน 16 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ แบบหน้าตาเฉยๆเลยค่ะ

 

ผลการออกตั้งแต่ QE ทำให้ประเทศอื่นๆ ออกตาม เพราะรู้ว่า เงินดอลลาร์จะต้องทะลักเข้าประเทศ ประเทศต่างๆก็ปั๊มเงินมาลอยๆเพื่อรับการทะลักของดอลล่าร์ ข้อมูลสิ้นสุดเมื่อปีที่2012แล้วรวมกัน 9 ล้านล้านเหรียญยูเอส อังกฤษแสบสุด สิ้นปีที่แล้ว ปั๊มเงินในคอม บาร์ล้านชีท 844% ญี่ปุ่นboj 42 % ECB(EUR)216% FED404% (3.4ล้านๆเหรียญ ก่อนวิกฤษ2007แค่แปดแสน) cny (จีน) 520%

 

----ทองคำนั้นขึ้นมาเป็น10สิบกว่า ถึง 2008 ขึ้นได้เพราะ ประเทศต่างๆ ฮั้วกันปั้มเงินมา เมื่อปั๊มเงินมาก เงินเฟ้อ ด้อยค่าลง จึงทำให้ทองแพงขึ้น

----แล้วปี 2009 เกิด QE แล้ว เงินก็ยิ่งท่วม ประเทศอื่นๆที่บาร์ล้านขีทน้อย ยิ่งพิมพ์เงินมากขึ้น ทำไมทองลง บอกได้ว่า แบบฟันธง QE มันประสบความสำเร็จ

 

 

หลักการที่จะใช้ทองขึ้นทองลงมีดังนี้ค่ะ

 

ทองขึ้นเพราะ

 

สำคัญลำดับที่ 1. เกิดความไม่มั่นคงใน เศรษฐกิจ เกิดสงคราม

รองลงมาลำดับที่ 2. เกิดการแสวงหาหรือ ได้รับความสนใจ จากประชาชน และเป็นทีมาในสิบกว่าปีนี้มีเงินกระดาษมาอยู่ในระบบ

รองลงมาลำดับที 3. คนกลัวเงินเฟ้อ เงินด้อยค่าลง

 

ทองลงเพราะ

 

ความสำคัญลำดับที่ 1. เกิดความมั่งคงเป็นเศรษฐกิจ ประเทศมั่นคงไม่มีสงคราม

ความสำคัญลำดับที่ 2. ไม่มีความต้องการหรือแสวงหาหรือ ได้รับความสนใจของประชาชน

ความสำคัญสำดับที่ 3. เงินฝึด เงินหายากมากขึ้น

 

ถ้าจะตั้งคำถามว่า ถ้าดิฉันพิมพ์เงินได้ ประเทศดิฉันก็พิมพ์เงินมาซื้อทองสิค่ะ จะได้ทองฟรีๆ

ตอบได้ว่า 55555 คุณกำลังเข้าใจผิด การพิมพ์เงินมาลอยๆ คุณไม่สามารถมาซื้อทองได้มากๆหลอก ทองขึ้นทองลงเป็นแค่เกมส์ในระบบการเงินของโลก

คุณรู้ป่าว spdr มี 1000 ต้น มันน้อยนิดถ้าเปรียบเทียบกับ ทองในคลังของประเทศต่างๆของโลก ทุกประเทศรวมกันมี 3 หมื่นตัน รวมทองทั่วโลกมี7หมื่น7พันตัน

 

อันดับ ประเทศ/องค์กร ปริมาณทองคำ

(ตัน) สัดส่วนของ

ทุนสำรองระหว่างประเทศ 1 22px-Flag_of_the_United_States.svg.png สหรัฐอเมริกา 8,133.5 76.6% 2 22px-Flag_of_Germany.svg.png เยอรมนี 3,396.3 73.7% - 22px-Logo_imf.png กองทุนการเงินระหว่างประเทศ 2,814.0 3 22px-Flag_of_Italy.svg.png อิตาลี 2,451.8 73.4% 4 22px-Flag_of_France.svg.png ฝรั่งเศส 2,435.4 71.8% 5 22px-Flag_of_the_People%27s_Republic_of_China.svg.png จีน 1,054.1 1.8% 6 20px-Flag_of_Switzerland.svg.png สวิตเซอร์แลนด์ 1,040.1 15.3% 7 22px-Flag_of_Iran.svg.png อิหร่าน 907 42.0% 8 22px-Flag_of_Russia.svg.png รัสเซีย 883.2 9.2% 9 22px-Flag_of_Japan.svg.png ญี่ปุ่น 765.2 3.5% 10 22px-Flag_of_the_Netherlands.svg.png เนเธอร์แลนด์ 612.5 61.9% 11 22px-Flag_of_India.svg.png อินเดีย 557.7 09.6% - 22px-Logo_European_Central_Bank.svg.png ธนาคารกลางยุโรป 502.1 35.0% 12 22px-Flag_of_the_Republic_of_China.svg.png ไต้หวัน 422.4 5.9% 13 22px-Flag_of_Portugal.svg.png โปรตุเกส 382.5 89.2% 14 22px-Flag_of_Venezuela.svg.png เวเนซุเอลา 372.9 67.7% 15 22px-Flag_of_Saudi_Arabia.svg.png ซาอุดีอาระเบีย 322.9 3.3% 16 22px-Flag_of_the_United_Kingdom.svg.png สหราชอาณาจักร 310.

 

ทองในตลาดขึ้นลงมันเป็นภาพลวงตา เป็นการขึ้นลงของตลาดทุน ไม่มีไนยะใดใดกับ ทองในคลังของแต่ล่ะประเทศ ในแต่ละประเทศ เค้ามีนักเศษฐศาสตร์ มากหมายเค้าใช้การเปรียบเทียบทองคำประเทศเค้ากับประเทศอื่นๆ ไม่ได้ใช้ ราคาในตลาดทุนที่ขึ้นหรือลงค่ะ จึงสรุปได้ว่า คุณพิมพ์เงินมามากหมายอะไรเท่าไร ก็ไม่เกี่ยวว่าทองจะขึ้น จะลงทองขึ้นเพราะ

หลักคือไม่มีความมั่นคงทางเศรษกิจ ทองลงหลักเพราะเศษฐกิจมันดีขึ้น

 

 

สรุป ทองลงตั้งแต่มีQE หนึ่ง สอง สาม เพราะ เศรษฐกิจดีขึ้น บอกขึ้นการที่ประเทศต่างๆพิมพ์เงินลอยๆมา10ปีว่าจะทำให้เงินเฟ้อ สังเกตุได้ ช่วงแรก ลงช้า แต่มีความเร็วขึ้น จาก 1900 มา 1500 ปีกว่า 1500มา1180 หกเดือน จึงสรุปได้เศษฐกิจที่ใช้ QE มันได้ผล การกลัวเงินเฟ้อเพราะพิมพ์แบงค์มาลอยๆ ที่ทำให้ทองขึ้นมา 10 ปี ก็มีเหตุผลน้อยกว่า

เศษฐกิจดีขึ้น

 

คำถามสำคัญคือ ทองไปสุดสุด เมื่อไรค่ะ

เมื่อโลกกลับภาวะการที่ เกิดปัจจัยทั้งสามที่ทำให้ทองลงจบไปคือและมีปัจจัยขาขึ้นเริ่มเข้ามา

 

ความสำคัญลำดับที่ 1. เกิดความมั่งคงเป็นเศรษฐกิจ ประเทศมั่นคงไม่มีสงคราม

ความสำคัญลำดับที่ 2. ไม่มีความต้องการหรือแสวงหาหรือ ได้รับความสนใจของประชาชน

ความสำคัญสำดับที่ 3. เงินฝึด เงินหายากมากขึ้น

 

สรุปคือ ประเทศมั่นคงคนมีงานทำ สหรัฐพอได้ ยุโรปพอได้ คิวอีประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง การเกร็งกำลังทองคำกระดาษแบบการพนันน้อยลง และคนดีกำลังใช้จ่าย

โดยถ้าเรา เอา สหรัฐเป็นแบบ คือ เค้าเอา QE มาเพื่ออะไร ถ้าคนในประเทศสหรัฐตัวเลขซื้อบ้านเพิ่มขึ้น การเงินการธนาคารมีกำไร งบดุล ออกมาไม่ลบหนี้เสียน้อยลง

ราคาทองก็จะขึ้น แต่คงไม่มีการขึ้นกระโดดแบบครั้งที่แล้ว เพราะ ครั้งที่แล้วขึ้นเพราะ ความไม่มั่นคงทางเศรษกิจซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญสุดทำให้ราคาขึ้นแรงและเร็ว

การขึ้นครั้งนี้ จะขึ้นเพราะ ไม่ได้เป็นปัญหาเศรษกิจ แต่จะขึ้นเพราะ คนมีกำลังซื้อมากขึ้น และ อาจเกิดความกลัวเงินเฟ้อ ก็จะขึ้นแบบตามเงินเฟ้อหรือมากกว่าเล็กน้อยค่ะ ถ้าแต่ละประเทศส่งออกดีก็อาจมีการเก็บทองให้มีปริมาณมากขึ้น

 

หลายคอลัม บอกว่าทองจะขึ้นเพราะ เศษฐกิจสหรัฐมีปัญหาอีกรอบในความเห็นส่วนตัวไม่ถูกต้องค่ะ

 

มาฟันธงให้ฟังแบบลอก ตำรา คนอื่นค่ะ

ถูกแก้ไข โดย perfection

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณตรับ วิเตราะหฺดีมากครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณบทวิเคราะห์ดีดีครับ

ถูกแก้ไข โดย คิดดี

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทองคำ

 

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

 

 

ทองคำ (อังกฤษ: gold) คือธาตุเคมีที่มีหมายเลขอะตอม 79 และสัญลักษณ์คือ Au (มาจากภาษาละตินว่า aurum) จัดอยู่ในกลุ่มธาตุโลหะมีสกุลชนิดหนึ่ง ทองคำเป็นธาตุโลหะทรานซิชันสีเหลืองทองมันวาวเนื้ออ่อนนุ่ม สามารถยืดและตีเป็นแผ่นได้ ทองคำไม่ทำปฏิกิริยากับสารเคมีส่วนใหญ่ ทองคำใช้เป็นทุนสำรองทางการเงินของหลายประเทศ ใช้ประโยชน์เป็นเครื่องประดับ งานทันตกรรม และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

 

เนื้อหา

[ซ่อน]

คุณสมบัติของทองคำ

 

220px-Or_Venezuela.jpg

 

magnify-clip.png

ทองคำ

 

มีความแวววาวอยู่เสมอ ทองคำไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนดังนั้น เมื่อสัมผัสถูกอากาศสีของทองจะไม่หมองและไม่เกิดสนิม มีความอ่อนตัว ทองคำเป็นโลหะที่มีความอ่อนตัวมากที่สุด ด้วยทองเพียงประมาณ 2 บาท เราสามารถยืดออกเป็นเส้นลวดได้ยาวถึง 8 กิโลเมตร หรืออาจตีเป็นแผ่นบางได้ถึง 100 ตารางฟุต เป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดี ทองคำเป็นโลหะชนิดหนึ่งที่สามารถนำไฟฟ้าได้ดี สะท้อนความร้อนได้ดี ทองคำสามารถสะท้อนความร้อนได้ดี ได้มีการนำทองคำไปฉาบไว้ที่หน้ากากหมวกของนักบินอวกาศ เพื่อป้องกันรังสีอินฟราเรด

มนุษย์รู้จักทองคำมาตั้งแต่ประมาณ 5,000 ปี เป็นความหมายแห่งความมั่งคั่ง จุดหลอมเหลว 1064องศาเซลเซียส และจุดเดือด 2970 องศาเซลเซียส เป็นโลหะที่มีค่าที่มีความเหนียว (Ductility) และความสามารถในการขึ้นรูป (Malleability) คือจะยืดขยาย (Extend) เมื่อถูกตีหรือรีดในทุกทิศทาง โดยไม่เกิดการปริแตกได้สูงสุด ทองคำบริสุทธิ์หนัก 1 ออนซ์สามารถดึงเป็นเส้นลวดยาวได้ถึง 80 กิโลเมตร ถ้าตีเป็นแผ่นก็จะได้บางเกินกว่า 1/300,000 นิ้ว ส่วนความกว้างจะได้ถึง 9 ตารางเมตร

ทองคำบริสุทธิ์ไม่ว่องไวต่อการเกิดปฏิกิริยาเคมี จึงทนต่อการผุกร่อนและไม่เกิดสนิมกับอากาศ แต่ทำปฏิกิริยากับสารเคมีบางชนิด เช่น คลอรีน ฟลูออรีน น้ำประสานทอง

คุณสมบัติเหล่านี้ประกอบกับลักษณะภายนอกที่เป็นประกายจึงทำให้ทองคำเป็นที่หมายปองของมนุษย์มาเป็นเวลานับพันปี โดยนำมาตีมูลค่าสำหรับการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศและใช้เป็นวัตถุดิบที่สำคัญสำหรับวงการเครื่องประดับ

ทองคำได้รับความนิยมอย่างสูงสุดในวงการเครื่องประดับทองคำ เพราะเป็นโลหะมีค่าชนิดเดียวที่มีคุณสมบัติพื้นฐาน 4 ประการซึ่งทำให้ทองคำโดดเด่น และเป็นที่ต้องการเหนือบรรดาโลหะมีค่าทุกชนิดในโลก คือ

  • งดงามมันวาว (lustre) สีสันที่สวยงามตามธรรมชาติผสานกับความมันวาวก่อให้เกิดความงามอันเป็นอมตะ ทองคำสามารถเปลี่ยนเฉดสีทองโดยการนำทองคำไปผสมกับโลหะมีค่าอื่นๆ ช่วยเพิ่มความงดงามให้แก่ทองคำได้อีกทางหนึ่ง
  • คงทน (durable) ทองคำไม่ขึ้นสนิม ไม่หมอง และไม่ผุกร่อน แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไป 3000 ปีก็ตาม
  • หายาก (rarity) ทองเป็นแร่ที่หายาก กว่าจะได้ทองคำมาหนึ่งออนซ์ (31.167 gram) ต้องถลุงก้อนแร่ที่มีทองคำอยู่เป็นจำนวนหลายตัน และต้องขุดเหมืองลึกลงไปหลายสิบเมตร จึงทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูง เป็นเหตุให้ทองคำมีราคาแพงตามต้นทุนในการผลิต
  • นำกลับไปใช้ได้ (reuseable) ทองคำเหมาะสมที่สุดต่อการนำมาทำเป็นเครื่องประดับเพราะมีความเหนียวและอ่อนนิ่มสามารถนำมาทำขึ้นรูปได้ง่าย อีกทั้งยังสามารถนำกลับมาใช้ใหม่โดยการทำให้บริสุทธิ์ (purified) ด้วยการหลอมได้อีกโดยนับครั้งไม่ถ้วน

การเกิดของแร่ทองคำ

 

สรุปจากเอกสารของกรมทรัพยากรธรณี ได้มีการแบ่งการเกิดของแร่ทองคำออกเป็น 2 แบบ ตามลักษณะที่พบในธรรมชาติได้ดังนี้

  • แบบปฐมภูมิ คือกระบวนการทางธรณีวิทยา มีการผสมทางธรรมชาติจากน้ำแร่ร้อน ผสมผสานกับสารละลายพวกซิลิก้า ทำให้เกิดการสะสมตัวของแร่ทองคำในหินต่างๆ เช่น หินอัคนี หินชั้น และหินแปร มีการพบการฝังตัวของแร่ทองคำในหิน หรือสายแร่ที่แทรกอยู่ในหิน ซึ่งส่วนใหญ่จะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
  • แบบทุติยภูมิหรือลานแร่ คือการที่หินที่มีแร่ทองคำแบบปฐมภูมิได้มีการสึกกร่อน และถูกน้ำพัดพาไปสะสมตัวในที่แห่งใหม่ เช่น ตามเชิงเขา ลำห้วย หรือในตะกอนกรวดทรายในลำน้ำ

แหล่งแร่ทองคำปฐมภูมิในไทย

แหล่งแร่ทองคำทุติยภูมิในไทย

หน่วยน้ำหนักของทองคำ

  • กรัม : ใช้กันเป็นส่วนใหญ่ ถือว่าเป็นหน่วยสากล
  • ทรอยเอานซ์ : ใช้ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย
  • โทลา : ใช้กันทางประเทศแถบตะวันออกกลาง อินเดีย ปากีสถาน
  • ตำลึง : ใช้ในประเทศที่ใช้ภาษาจีน เช่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง
  • บาท : ใช้ในประเทศไทย
  • ชิ : ใช้ในประเทศเวียดนาม

การแปลงน้ำหนักทองคำ

ทองคำความบริสุทธิ์ 96.5% (มาตรฐานในประเทศไทย)[1]

  • ทองรูปพรรณ น้ำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.16 กรัม
  • ทองคำแท่ง น้ำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.244 กรัม

ทองคำความบริสุทธิ์ 99.99%

  • ทองคำ 1 กิโลกรัม เท่ากับ 32.1508 (ทรอย) ออนซ์
  • ทองคำ 1 (ทรอย) ออนซ์ เท่ากับ 31.1040 กรัม[2]
  • 1 ทรอยออนซ์ เท่ากับ 1.097 ออนซ์ (ปกติ)
  • 12 ทรอยออนซ์ เท่ากับ 1 ทรอยปอน
  • 1 ทรอยปอน เท่ากับ 373 กรัม

การลงทุนทองคำ

 

การตั้งราคาทองในประเทศไทยจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ Goldspot และ USD-THB

  • Goldspot คือ ราคาทองต่างประเทศ มีการซื้อขายทองโดยใช้เงินสกุลดอลล่าร์
  • USD-THB คือ อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์

การตั้งราคาทองในประเทศไทย

มีสูตรคำนวณดังนี้

สูตรคำนวณราคาทองคำ = (spot gold + 2) x อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท x 0.4729

ประโยชน์อื่น

ด้านอวกาศ

ในทางอวกาศได้มีการนำทองคำมาใช้เป็นชุดนักบินอวกาศและแคปซูล เพื่อป้องกันไม่ให้นักบินอวกาศกระทบกับรังสีในอวกาศที่มีพลังงานสูง นอกจากนี้ยังมีการใช้ทองคำบริสุทธิ์เคลือบกับเครื่องยนต์ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ หมวกเหล็ก เกราะบังหน้า และอุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้ในอวกาศ เนื่องจากทองคำที่มีความหนา 0.000006 นิ้ว จะมีคุณสมบัติช่วยสะท้อนรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์ไม่ให้ทำลาย หรือลดประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์เหล่านี้ ด้านทันตกรรม

มีการใช้ทองคำเพื่อการครอบฟัน เชื่อมฟัน หรือการเลี่ยมทอง และยังมีการใช้ในการผลิตฟันปลอมด้วย เนื่องจากทองคำมีความคงทนต่อการกัดกร่อน การหมองคล้ำ และยังมีความแข็งแรงอีกด้วย โดยจะใช้ทองคำผสมกับธาตุอื่น เช่น แพลทินัม ด้านอิเล็กทรอนิกส์

มีการนำทองคำมาใช้เป็นวัสดุที่ทำหน้าที่สัมผัสในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น เครื่องคิดเลข โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากทองคำมีค่าการนำไฟฟ้าสูง และมีความคงทนต่อการกัดกร่อน จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และอายุการใช้งานของเครื่องไฟฟ้าเหล่านั้น

ถูกแก้ไข โดย perfection

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คำทำนาย

 

ราคาทองจะเห็นตัวเลข1111ภายในปี2013นี้ ฟันธง

 

 

ข้อมูลจากบทความสามบทความที่ผมเคยเขียนไว้ มาแปะไว้ด้านล่าง ยาวก็ไม่ต้องอ่านก็ได้ ดูมันจะยุ่งยาก ผลลัพธ์ของเรื่องผมฟันธงให้ไปแล้ว ชัวร์ ฟันธง

 

 

 

 

ทองวิ่งราคาเหมือนดู ดี้ดี เป็นขาขึ้น กราฟ เหตุการณ์ สร้างให้มันเป็นขาขึ้น ตารา ก็แสดงว่า เป็นขาขึ้น แต่ผมดูประวัติศาสตร์มันไม่ใช่

ทองจะขึ้น ทำไม รีรี้รอรอ วนไปวนมา ทวนขึ้นทวนลง แบบนี้ สร้างกระแสให้ราคาขึ้นยากๆแบบนี้ เจ้ามือ เอาขึ้นก็โดนต้านสิ ถ้าจะเอาขึ้นจริงๆ

 

ถ้าเจ้ามือ เจ้าใหญ่ แบบ โครต โง่ เลย ทำแบบนี้

 

หรือว่า.........

 

 

 

บอนไซ, เมื่อ 20 กรกฎาคม 2013 - 12:07, พูดว่า:บทความสัปดาห์นี้ก็ขอเสนอแบบประวัติศาสตร์แบบเล่าๆให้ข้อคิดถูกผิดก็ไม่มีใครจะรู้ได้พิจารณากันนะครับ

ทองปี 2013 เป็นทองแห่งประวัติศาสตร์ สูตรต่างๆ ร้อยพันแปด ปากกาทุกปากกาถูกหักเรียบร้อยขอเริ่มจาก

เดือน เมษา ฮาวาย จุดหักขาขึ้นขาลง

ไม่มีใครเชื่อทองคำวันนั้นจะลงจาก 1550 ได้ เป็นจุดที่แข็งที่สุดของราคา ในปัจจุบันถึง เดือน กรกฎาคม 2013 ก็ยังหาจุดแข็งที่สุด 1550 เท่าไม่มี

จุดนี้แข็งสุดสุดตะลึงกันทั่วทั้งโลก ลงจาก 1550 มายัง 1321 ซึ่งราว 229 จุด คิดได้เป็นการลงราว 15 เปอร์เซนต์ แล้วก็ขึ้นทันทีจากแรงต้านรุนแรง

ของการซื้อของ ประเทศจีนและอินเดีย ขึ้นไป 15 วัน 17 เมษา ถึง ราวต้นเดือน พฤษภาคม 2013 จนราคาใกล้ 1500 ราว 1485 ทุกคนพูดว่า เป็นขาขึ้นของ

ทองแล้วใช่ไม๊ พูดกันได้สองวัน

วันที่ 9 พฤษภา ทองก็ลงมา ถึง 21 พฤษภา ถึง ราว 1345 ประมาณนั้น ทุกคนบอก นิวโลค์แน่ ราคาจะลงไปถึงไหน แล้ว ทองขึ้นสองวันจาก 21-23 พฤษภา

คนมายัง 1418 ซึ่ง ก็ขึ้นลงเล็กน้อย นิ่ง มาแตะถึง 1425 เป็นจุดสูงสุด การขึ้นครั้งนี้ จาก 1345 มาก 1425 ราว 80 จุด

ราวๆ 19 พฤษภา ทองนิ่งประมาณ 2 เดือน แล้วก็ลงครั้งใหญ่ 19-28 มิถุนายน ทองลงจาก 1425 ซึ่งเป็นจุด 61.8 เป็นเซนต์ มายัง 1180 เป็นการลง

จาก 1425 มา 1185 เป้นการลงครั้งใหญ่ที่สุดของปีครับ 240 จุด ลงมากว่าเดือน เมษา แต่ เจ้ามือได้เงินน้อยกว่า ครั้งเมษาครับ

*****************************************

28 มิถุนายน ทองขึ้น 1250 แล้ว ลง 1220 ในวันที่ 4 กรกฎาคม แล้วก็ขึ้นมาจาก 1220 มาถึง 1300 ลง 1270 แล้วก็มา 1300

โดยสรุป ปัจจุบัน ราคา ประมาณ 1295

****************************************************************************************

สรุป โดยราคาวิ่งแนวบน ราคา 1280 ถึง 1300 ประมาณ หนึ่งอาทิตย์ จึงสรุปได้แน่นอนว่า ราคานี้ เป็นราคาที่ยังเพิ่ง วิ่งได้หนึ่งอาทิตย์ เวลายังสะสมไม่พอที่จะให้มันลง

การสะสมราคา ในครั้งแรก ในครั้งที่สอง ใช้เวลา ราว 2 เดือน 1390-1425 แล้วถึงมีการลงครั้งใหญ่ จาก 1425 มา 1180 ผู้เขียนในความคิดเห็นส่วนตัว ทองจะวิ่งในตำแหน่ง 1290 - 1330 ราวอีก อย่างน้อย 1 อาทิตย์

***ถ้าทองลงในสองอาทิตย์ คือ ลง ภายในเดือน กรกฎาคม 2013 ทองจะลงไม่ถึงนิวโลค์ เดิม 1180***

***ถ้าทองลงในต้นเดือน สิงหา ไม่เกินวันที่ 10 สิงหาคม ทองจะลง ไปทำ นิวโลค์ ราว 1120- 1150***

***ถ้าทองลงใน วันที่ 11 สิงหา ถึง 31 สิงหา ทองจะไปทำ นิวโลค์ ราว 1050-1080***

โอกาศทองขึ้นเป็นขาขึ้น โอกาศในความคิดส่วนตัว ไม่น่าจะมีครับผม

*************************************************************************************************

 

บอนไซ, เมื่อ 30 กรกฎาคม 2013 - 18:19, พูดว่า:

ผมมองทองหลังจากการวิ่งระดับ1187 ในวันที่28 ต่ำสุด ขึ้นมาที่ 1250 ภายใน1 อาทิตย์ และ ลงกลับไป 1210 ลง 40 จุด เหมือนทำสองขา แล้วขึ้นมาจากนั้น 5-29 ไค่ระดับขึ้นมา

ประมาณ 100-120 จุด มาที่ 1330 ในปัจจุบัน มีคำถามว่า ทองขึ้นมาเกือบเดือนเป็นอย่างไร ผมไม่เถียงครับ ว่า ตามเทรดแล้ว ขาขึ้น ทำสองขา ต้องบอกว่าทองกำลังขึ้น น่าสนใจที่จะลงทุน ก็ใช่ ***ราคสูงกว่าโลค์ครั้งที่แล้ว 1321 ก็ไม่ผิด ผมอยากแชร์ปัจจัยราคาดังต่อไปนี้นะครับ

***กรณีขึ้นเพื่อลงแรง ราคาจะต้องไม่วิ่งสูงได้เกินกว่า ครั้งที่สูงสุดครั้งที่แล้วคือ 1424 ราคา 61.8 เปอร์เซนต์ ที่ลงมา ของครั้งที่แล้ว ถ้าราคายังไม่ถึง ต้องสัญนิฐานก่อนเลยว่า น่าจะมีราคาลงแรง ถามว่า ไต่ไปเรื่อยถึง 1424 น่าจะใช้เวลาเท่าไร ก็ตอบได้เลยว่า สิ้นเดือน สิงหานี้ น่าจะถึง ตลอดระยะเวลาที่ไต่ขึ้น จะต้องไม่มีการลง 50 จุด (มาจากขาสองที่ลง 40 จุด)

ถ้าลง 50 จุด บอกสัญญานว่า ทอง กำลังลงแรง

***กรณีทองจะยึดเยื้อแบบนี้ หรือไม่ ตอบได้เลยไม่ ไม่ยึอเยื้อ แน่นอน จะเห็นการเปลื่ยนแปลง ไม่เกิน สิงหาคม เพราะครั้งที่แล้ว ที่ทุบ ก็ประมาณ 2 เดือน

***ถามว่า ทองขาขึ้น มีสัญญานอะไรให้เห็น

ตอบ ทองต้องใต่ระดับ เร็วขึ้น เร็วขึ้น สรุปเป็นมโนชภาพมั่วๆได้ว่า

1.เห็น 1350 ก่อนวันที่ 10 สิ่งหา ในวันใดวันหนึ่ง

2.เห็น 1375 ก่อนวันที่ 20 สืงหา ในวันใดวันหนึ่ง

3. เห็น 1400 ก่อนวันที่ 25 สิงหา ในวันใดวันหนึ่ง

4. เห็นเกิน 1424 ก่อนจะขึ้นเดือน กันยายน

รักนะ วิเคราะห์เท่าที่คิดว่าจะเป็น น่าจะไป

หมายเหตุ วันเวลา สิ่งหาคม ถ้ามันไม่ใกล้เคียงราคาที่เป็นขาขึ้น ผมมันใจ จะลงหนักมาก เพราะมันลงหนักทวีคุณ มาเร็วขึ้น ลงหนักขึ้นเรื่อยๆมาสองปี แล้ว

ถูกแก้ไข โดย บอนไซ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

....

ถูกแก้ไข โดย บอนไซ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คำทำนาย

 

ราคาทองจะเห็นตัวเลข1111ภายในปี2013นี้ ฟันธง

 

 

ข้อมูลจากบทความสามบทความที่ผมเคยเขียนไว้ มาแปะไว้ด้านล่าง ยาวก็ไม่ต้องอ่านก็ได้ ดูมันจะยุ่งยาก ผลลัพธ์ของเรื่องผมฟันธงให้ไปแล้ว ชัวร์ ฟันธง

 

 

บอนไซ, เมื่อ 01 สิงหาคม 2013 - 07:30, พูดว่า:

 

ทองวิ่งราคาเหมือนดู ดี้ดี เป็นขาขึ้น กราฟ เหตุการณ์ สร้างให้มันเป็นขาขึ้น ตารา ก็แสดงว่า เป็นขาขึ้น แต่ผมดูประวัติศาสตร์มันไม่ใช่

ทองจะขึ้น ทำไม รีรี้รอรอ วนไปวนมา ทวนขึ้นทวนลง แบบนี้ สร้างกระแสให้ราคาขึ้นยากๆแบบนี้ เจ้ามือ เอาขึ้นก็โดนต้านสิ ถ้าจะเอาขึ้นจริงๆ

 

ถ้าเจ้ามือ เจ้าใหญ่ แบบ โครต โง่ เลย ทำแบบนี้

 

หรือว่า.........

 

 

บอนไซ, เมื่อ 20 กรกฎาคม 2013 - 12:07, พูดว่า:บทความสัปดาห์นี้ก็ขอเสนอแบบประวัติศาสตร์แบบเล่าๆให้ข้อคิดถูกผิดก็ไม่มีใครจะรู้ได้พิจารณากันนะครับ

ทองปี 2013 เป็นทองแห่งประวัติศาสตร์ สูตรต่างๆ ร้อยพันแปด ปากกาทุกปากกาถูกหักเรียบร้อยขอเริ่มจาก

เดือน เมษา ฮาวาย จุดหักขาขึ้นขาลง

ไม่มีใครเชื่อทองคำวันนั้นจะลงจาก 1550 ได้ เป็นจุดที่แข็งที่สุดของราคา ในปัจจุบันถึง เดือน กรกฎาคม 2013 ก็ยังหาจุดแข็งที่สุด 1550 เท่าไม่มี

จุดนี้แข็งสุดสุดตะลึงกันทั่วทั้งโลก ลงจาก 1550 มายัง 1321 ซึ่งราว 229 จุด คิดได้เป็นการลงราว 15 เปอร์เซนต์ แล้วก็ขึ้นทันทีจากแรงต้านรุนแรง

ของการซื้อของ ประเทศจีนและอินเดีย ขึ้นไป 15 วัน 17 เมษา ถึง ราวต้นเดือน พฤษภาคม 2013 จนราคาใกล้ 1500 ราว 1485 ทุกคนพูดว่า เป็นขาขึ้นของ

ทองแล้วใช่ไม๊ พูดกันได้สองวัน

วันที่ 9 พฤษภา ทองก็ลงมา ถึง 21 พฤษภา ถึง ราว 1345 ประมาณนั้น ทุกคนบอก นิวโลค์แน่ ราคาจะลงไปถึงไหน แล้ว ทองขึ้นสองวันจาก 21-23 พฤษภา

คนมายัง 1418 ซึ่ง ก็ขึ้นลงเล็กน้อย นิ่ง มาแตะถึง 1425 เป็นจุดสูงสุด การขึ้นครั้งนี้ จาก 1345 มาก 1425 ราว 80 จุด

ราวๆ 19 พฤษภา ทองนิ่งประมาณ 2 เดือน แล้วก็ลงครั้งใหญ่ 19-28 มิถุนายน ทองลงจาก 1425 ซึ่งเป็นจุด 61.8 เป็นเซนต์ มายัง 1180 เป็นการลง

จาก 1425 มา 1185 เป้นการลงครั้งใหญ่ที่สุดของปีครับ 240 จุด ลงมากว่าเดือน เมษา แต่ เจ้ามือได้เงินน้อยกว่า ครั้งเมษาครับ

*****************************************

28 มิถุนายน ทองขึ้น 1250 แล้ว ลง 1220 ในวันที่ 4 กรกฎาคม แล้วก็ขึ้นมาจาก 1220 มาถึง 1300 ลง 1270 แล้วก็มา 1300

โดยสรุป ปัจจุบัน ราคา ประมาณ 1295

****************************************************************************************

สรุป โดยราคาวิ่งแนวบน ราคา 1280 ถึง 1300 ประมาณ หนึ่งอาทิตย์ จึงสรุปได้แน่นอนว่า ราคานี้ เป็นราคาที่ยังเพิ่ง วิ่งได้หนึ่งอาทิตย์ เวลายังสะสมไม่พอที่จะให้มันลง

การสะสมราคา ในครั้งแรก ในครั้งที่สอง ใช้เวลา ราว 2 เดือน 1390-1425 แล้วถึงมีการลงครั้งใหญ่ จาก 1425 มา 1180 ผู้เขียนในความคิดเห็นส่วนตัว ทองจะวิ่งในตำแหน่ง 1290 - 1330 ราวอีก อย่างน้อย 1 อาทิตย์

***ถ้าทองลงในสองอาทิตย์ คือ ลง ภายในเดือน กรกฎาคม 2013 ทองจะลงไม่ถึงนิวโลค์ เดิม 1180***

***ถ้าทองลงในต้นเดือน สิงหา ไม่เกินวันที่ 10 สิงหาคม ทองจะลง ไปทำ นิวโลค์ ราว 1120- 1150***

***ถ้าทองลงใน วันที่ 11 สิงหา ถึง 31 สิงหา ทองจะไปทำ นิวโลค์ ราว 1050-1080***

โอกาศทองขึ้นเป็นขาขึ้น โอกาศในความคิดส่วนตัว ไม่น่าจะมีครับผม

*************************************************************************************************

 

บอนไซ, เมื่อ 30 กรกฎาคม 2013 - 18:19, พูดว่า:

ผมมองทองหลังจากการวิ่งระดับ1187 ในวันที่28 ต่ำสุด ขึ้นมาที่ 1250 ภายใน1 อาทิตย์ และ ลงกลับไป 1210 ลง 40 จุด เหมือนทำสองขา แล้วขึ้นมาจากนั้น 5-29 ไค่ระดับขึ้นมา

ประมาณ 100-120 จุด มาที่ 1330 ในปัจจุบัน มีคำถามว่า ทองขึ้นมาเกือบเดือนเป็นอย่างไร ผมไม่เถียงครับ ว่า ตามเทรดแล้ว ขาขึ้น ทำสองขา ต้องบอกว่าทองกำลังขึ้น น่าสนใจที่จะลงทุน ก็ใช่ ***ราคสูงกว่าโลค์ครั้งที่แล้ว 1321 ก็ไม่ผิด ผมอยากแชร์ปัจจัยราคาดังต่อไปนี้นะครับ

***กรณีขึ้นเพื่อลงแรง ราคาจะต้องไม่วิ่งสูงได้เกินกว่า ครั้งที่สูงสุดครั้งที่แล้วคือ 1424 ราคา 61.8 เปอร์เซนต์ ที่ลงมา ของครั้งที่แล้ว ถ้าราคายังไม่ถึง ต้องสัญนิฐานก่อนเลยว่า น่าจะมีราคาลงแรง ถามว่า ไต่ไปเรื่อยถึง 1424 น่าจะใช้เวลาเท่าไร ก็ตอบได้เลยว่า สิ้นเดือน สิงหานี้ น่าจะถึง ตลอดระยะเวลาที่ไต่ขึ้น จะต้องไม่มีการลง 50 จุด (มาจากขาสองที่ลง 40 จุด)

ถ้าลง 50 จุด บอกสัญญานว่า ทอง กำลังลงแรง

***กรณีทองจะยึดเยื้อแบบนี้ หรือไม่ ตอบได้เลยไม่ ไม่ยึอเยื้อ แน่นอน จะเห็นการเปลื่ยนแปลง ไม่เกิน สิงหาคม เพราะครั้งที่แล้ว ที่ทุบ ก็ประมาณ 2 เดือน

***ถามว่า ทองขาขึ้น มีสัญญานอะไรให้เห็น

ตอบ ทองต้องใต่ระดับ เร็วขึ้น เร็วขึ้น สรุปเป็นมโนชภาพมั่วๆได้ว่า

1.เห็น 1350 ก่อนวันที่ 10 สิ่งหา ในวันใดวันหนึ่ง

2.เห็น 1375 ก่อนวันที่ 20 สืงหา ในวันใดวันหนึ่ง

3. เห็น 1400 ก่อนวันที่ 25 สิงหา ในวันใดวันหนึ่ง

4. เห็นเกิน 1424 ก่อนจะขึ้นเดือน กันยายน

รักนะ วิเคราะห์เท่าที่คิดว่าจะเป็น น่าจะไป

หมายเหตุ วันเวลา สิ่งหาคม ถ้ามันไม่ใกล้เคียงราคาที่เป็นขาขึ้น ผมมันใจ จะลงหนักมาก เพราะมันลงหนักทวีคุณ มาเร็วขึ้น ลงหนักขึ้นเรื่อยๆมาสองปี แล้ว

 

ขอบคุณวิเคราะห์บทความดีดีมาลงค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...