ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

จีที เวลธ์ สรุปภาวะ Precious Metals Futures ภาคเช้าวันนี้ (2 กรกฎาคม 2556) ราคาทองคำในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้น US$19.66 ต่อออนซ์ ปิดที่ระดับ US$1,252.80 ต่อออนซ์ (Gold spot) ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นกว่า 2% และทำระดับสูงสุดของวันจันทร์ที่ US$1,260

 

โดยได้รับแรงหนุนจากคำสั่งซื้อตามปัจจัยทางเทคนิคและการปิดสถานะขายเพื่อรับ รู้กำไร หรือ Short covering หลังราคาทองคำปรับตัวลงทำระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปีที่ US$1,180 ในสัปดาห์ก่อนจากแรงกดดันเรื่องการชะลอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคตของ สหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ตลาดจับตามองตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราว่างงานของสหรัฐฯ ซึ่งหากออกมาดีกว่าคาดจะเป็นแรงกดดันต่อความกังวลการชะลอกมาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจสหรัฐฯ ค่าเงินดอลลาร์และราคาทองคำ นอกจากนี้ยังต้องติดตามผลการประชุม ECB ในวันพฤหัสฯ หลังประธาน ECB เคยกล่าวถึงความเป็นไปได้ในการใช้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากติดลบหากจำเป็น กองทุน SPDR รายงานการถือครองทองคำลดลง 1.2 ตัน ที่ระดับ 968.3 ตัน

 

ราคาทองคำโลกเช้านี้ (Gold Spot) เคลื่อนไหวใกล้ระดับ US$1,250 โกลด์ฟิวเจอร์สัญญาสิ้นสุดอายุเดือนสิงหาคม 2556 (GFQ13) ราคาเปิดเช้านี้ที่ 18,590 บาท ส่วนราคาทองคำที่ประกาศโดยสมาคมค้าทองคำวันนี้ ราคาเสนอซื้อ 18,400 บาท ราคาเสนอขาย 18,500 บาท เพิ่มขึ้น 200 บาท

 

แนวโน้มทองคำ นายกมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ จำกัดและผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวว่า การฟื้นตัวของราคาทองคำเกิดจากแรงซื้อตามปัจจัยทางเทคนิค และแรงซื้อกลับในช่วงเปิดไตรมาสใหม่โดยราคาทองคำปรับตัวตามตลาดพันธบัตร สหรัฐฯ ในช่วงวันศุกร์ต่อเนื่องวันจันทร์ซึ่งถ้าความสัมพันธ์ของราคาทองคำกับราคา พันธบัตรสหรัฐฯ ยังมีทิศทางเดียวกันการชะลอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการซื้อพันธบัตรอาจจะ ส่งผลในเชิงลบ โดยสัปดาห์นี้อยากให้จับตาที่ตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ ในช่วงปลายสัปดาห์ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางราคาทองคำในระยะสั้น

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ(วันที่ 2 กค.56)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ข่าววิ่ง - ข่าววิ่ง

ดอลลาร์พุ่งขึ้นเคลื่อนไหวที่กรอบบนของ 99 เยนในการซื้อขายเช้านี้ที่ตลาดปริวรรตเงินตราโตเกียว ขณะที่เทรดเดอร์ระมัดระวังการซื้อขายก่อนวันหยุดในสหรัฐ และการเปิดเผยข้อมูลตำแหน่งงานที่สำคัญในสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายสัปดาห์

ในช่วงเที่ยงวันนี้ตามเวลาในญี่ปุ่น ดอลลาร์เคลื่อนไหวที่ 99.59-99.62 เยน เมื่อเทียบกับ 99.63-99.73 เยนที่ตลาดนิวยอร์ก และ 99.59-99.60 เยนที่ตลาดโตเกียวเมื่อเวลา 17.00 น. ของเมื่อวานนี้

ทางด้านยูโรเคลื่อนไหวที่ 1.3058-1.3062 ดอลลาร์ และ 130.06-130.08 เยน เมื่อเทียบกับ 1.3060-1.3070 ดอลลาร์ และ 130.11-130.21 เยนที่ตลาดนิวยอร์ก และ 1.3046-1.3047 ดอลลาร์ และ 129.93-129.97 เยนที่ตลาดโตเกียวในช่วงเย็นวานนี้

ดอลลาร์ยังคงแข็งค่าอย่างหนักเมื่อเทียบกับเยน หลังจากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) รายงานว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตของสหรัฐในเดือนมิ.ย.ขยายตัวแตะ 50.9 จาก 49.0 ในเดือนพ.ค. โดยดัชนีที่สูงกว่า 50 แสดงให้เห็นว่าภาคการผลิตสหรัฐมีการขยายตัว

 

ที่มา : ทันหุ้น(วันที่ 2 กค.56)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สัญญาณจากเจ้าหน้าที่เฟดจับตาลดคิวอีในเดือนก.ย.(02/07/2556)

ข่าววิ่ง - ข่าววิ่ง

ความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการปรับลดหรือยุติมาตรการคิวอี ยังเป็นประเด็นที่ส่งผลต่อตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลก ซึ่งล่าสุดเจ้าหน้าที่เฟดพูดถึงกรอบเวลาที่แน่ชัดมากขึ้น

 

นายเจเรมี สไตน์ ผู้ว่าการคนหนึ่งของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า เดือนก.ย. อาจเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับเฟดในการพิจารณาปรับลดวงเงินในการเข้าซื้อตราสารหนี้ตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ซึ่งเฟดจำเป็นต้องพิจารณาความคืบหน้าทางเศรษฐกิจในระยะยาว แทนที่จะมุ่งความสนใจไปที่ตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดเพียงช่วงเดียว

 

 

การแถลงของนายสไตน์ได้รับความสนใจจากนักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุน ในขณะที่นายสไตน์ยกตัวอย่างของการปรับตัวในทางที่ดีของตลาดแรงงานสหรัฐนับตั้งแต่เฟดเริ่มดำเนินมาตรการคิวอี3 นับตั้งแต่ปลายเดือนก.ย. 2555

 

 

การแถลงของนายสไตน์และของนายเจฟฟรีย์ แลคเกอร์ ประธานเฟด สาขาริชมอนด์ สอดคล้องกับถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดคนอื่นในช่วงต้นสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นความเห็นเพื่อคลายความกังวลในตลาดที่มีต่อการปรับลดขนาดคิวอี

 

 

อย่างไรก็ดี นายสไตน์และนายแลคเกอร์แสดงความเห็นที่ชัดเจนกว่าเจ้าหน้าที่เฟดคนอื่นในประเด็นที่ว่า เฟดอาจจะปรับลดขนาดคิวอีเมื่อใด

 

 

ก่อนหน้านี้ มีสัญญาณจากเจ้าหน้าที่เฟดมีความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ ในขณะที่นายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโก ยกเลิกความเห็นเดิมที่ว่าเฟดอาจจะยุติการเข้าซื้อตราสารหนี้ก่อนสิ้นปีนี้ โดยนายวิลเลียมส์กล่าวว่า "ยังเร็วเกินไปที่จะปรับลดขนาดโครงการในช่วงนี้"

 

 

ปัจจุบัน เฟดเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันจากสัญญาจำนอง (MBS) ในอัตรา 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน โดยมาตรการนี้ช่วยอัดฉีดสภาพคล่องจำนวนมากเข้าสู่ตลาด การเงิน และช่วยหนุนราคาสินทรัพย์ทั้งราคาหุ้นและพันธบัตรในช่วงที่ผ่านมา

 

 

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นในวันศุกร์ หลังจากนายสไตน์แสดงความเห็นดังกล่าว โดยก่อนหน้านั้น อัตราผลตอบแทนทรงตัวในช่วงเช้า

 

 

ทั้งนี้ ตลาดการเงินร่วงหนักในช่วงหลายวันก่อนหน้านี้ หลังจากนายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟด กล่าวในวันที่ 19 มิ.ย. ว่า เฟดอาจจะปรับลดขนาดคิวอีในช่วงต่อไปในปีนี้ และอาจจะยุติคิวอีในกลางปีหน้า ตราบใดที่เศรษฐกิจสหรัฐประสบความคืบหน้าตามความคาดหมาย โดยคาดว่าอัตราการว่างงานมีแนวโน้มร่วงลงสู่ระดับราว 7% ในช่วงกลางปีหน้า

 

 

อย่างไรก็ดี การแถลงของนายสไตน์ในวันศุกร์ทำให้เทรดเดอร์มุ่งความสนใจไปยังการประชุมกำหนดนโยบายของเฟดในวันที่ 17-18 ก.ย. ถึงแม้เฟดจะจัดการประชุมก่อนหน้านั้นในวันที่ 30-31 ก.ค.

 

 

นายสไตน์ ซึ่งเป็นสมาชิกผู้มีสิทธิออกเสียงในคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) กล่าวว่า "วิธีการที่ดีที่สุดสำหรับเอฟโอเอ็มซี คือ การแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ในการตัดสินใจในเดือนก.ย. นี้ เอฟโอเอ็มซีจะให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกแก่ข่าวจำนวนมากที่ออกมานับตั้งแต่เฟดเริ่มต้นคิวอี 3 และจะไม่ให้ความสำคัญมากเกินไปกับตัวเลขเศรษฐกิจใดๆ ก็ตามที่ออกมาในช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อนการประชุมในเดือนก.ย."

 

 

นายสไตน์ กล่าวว่า ตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงต้นเดือนก.ย. "จะยังคงมีความสำคัญต่อการตัดสินใจในอนาคต" ถึงแม้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะไม่ใช่ตัวเลขที่มีบทบาทสำคัญที่สุดต่อการตัดสินใจกำหนดนโยบายในเดือนก.ย.

 

 

"ถ้าหากตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาอยู่ในภาวะเลวร้ายและได้รับการยืนยันจากข่าวร้ายเพิ่มเติมในเดือนต.ค. และเดือนพ.ย. สิ่งนี้ก็จะบ่งชี้ว่า การบรรลุเป้าหมายอัตราการว่างงานที่ 7 % อาจจะล่าช้าออกไป และจะมีการขยายส่วนที่เหลือของโครงการนี้ออกไปตามภาวะนั้น"

 

 

ถ้อยแถลงของนายสไตน์ส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อการคาดการณ์ในตลาด โดยนายไมเคิล เฟโรลี หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์สหรัฐของ เจพี มอร์แกน กล่าวว่า "ถ้อยแถลงของนายสไตน์ไม่ใช่สิ่งที่จะมองข้ามได้ โดยง่าย และคำกล่าวของเขาบ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่สมาชิกเอฟโอเอ็มซี บางคน อาจจะตัดสินใจเลือกเดือนก.ย.ไปแล้ว"

 

 

อัตราการว่างงานในสหรัฐ อยู่ที่ 7.6% ในเดือนพ.ค. ซึ่งนายสไตน์ ตั้งข้อสังเกตว่า อัตราการว่างงานเคยอยู่ที่ 8.1% เมื่อเฟดเปิดโครงการเข้าซื้อตราสารหนี้ในปี 2012 และเขากล่าวว่าตัวเลขการจ้างงานใหม่ ในแต่ละเดือนพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 

 

นายสไตน์ กล่าวว่า เฟดสามารถระบุเจาะจงมากกว่านี้เกี่ยวกับแผนการดำเนินคิวอี 3 เมื่อใดก็ตามที่เฟดใกล้จะบรรลุเป้าหมาย และกล่าวอีกว่าตารางเวลาที่นายเบอร์นันเก้ระบุออกมานั้น แสดงให้เห็นถึง "เต็มใจมากยิ่งขึ้นที่จะพูดถึงสิ่งที่เอฟโอเอ็มซี กำลังแสวงหา"

 

 

อย่างไรก็ดี นายสไตน์กล่าวย้ำว่า การปรับลดคิวอี 3 ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจเป็นสำคัญ และกล่าวว่าสิ่งนี้ ไม่ได้เป็นสัญญาณว่ามีการปรับเปลี่ยนนโยบาย แต่เป็นเพียงการสร้างความกระจ่างให้แก่นักลงทุน

 

 

นายสไตน์เคยสร้างความประหลาดใจต่อตลาดในเดือนก.พ. เมื่อเขากล่าวเตือนว่า มีสัญญาณบ่งชี้ว่ามาตรการเข้าซื้อสินทรัพย์จำนวนมากกำลังส่งเสริมภาวะฟองสบู่ในราคาจังค์บอนด์และตลาดอื่นๆ

 

 

อย่างไรก็ดี นายสไตน์กล่าวในวันศุกร์ว่า ถึงแม้เสถียรภาพทางการเงินควรมีบทบาทต่อการตัดสินใจกำหนดนโยบายการเงิน แต่ผลประโยชน์ของคิวอี3 ก็บดบังต้นทุนของคิวอี3 ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเงิน

 

 

ทางด้านนายแลคเกอร์มุ่งความสนใจไปที่การประชุมเฟดในเดือนก.ย. เช่นกัน โดยกล่าวว่าการประชุมเฟดในเดือนก.ย. "เป็นตัวเลือกอันหนึ่ง"

 

 

นายแลคเกอร์ เป็นหนึ่งในสมาชิกสายเหยี่ยวของเฟด และเคยกล่าววิจารณ์คิวอี 3 มาโดยตลอด โดยกล่าวว่า เป็นสิ่งที่ฉลาดที่นายเบอร์นันเก้ชี้แจงความเห็นของเฟดที่มีต่อการเข้าซื้อตราสารหนี้ในอนาคต แต่นายแลคเกอร์กล่าวย้ำว่า นโยบายการเงินของเฟดจะยังคงเป็นนโยบายแบบผ่อนคลาย ในขณะที่เฟดชะลอ "อัตราการกระตุ้นเศรษฐกิจ" อย่างไรก็ดี นายแลคเกอร์ไม่มีสิทธิออกเสียงในเอฟโอเอ็มซี ในปีนี้

 

 

ทางด้านนายวิลเลียมส์ ซึ่งเป็นสมาชิกผู้มีสิทธิออกเสียงในเอฟโอเอ็มซีในปีนี้ ไม่ได้ระบุถึงช่วงเวลาที่ต้องการให้เฟดปรับลดคิวอี โดยกล่าวเพียงว่าการปรับลดคิวอีจะเป็นสิ่งที่เหมาะสม "ในจุดใดจุดหนึ่งในอนาคต" และกล่าวอีกว่าถ้าหากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ต่ำกว่าที่คาด สิ่งนี้ก็อาจบ่งชี้ถึงความจำเป็นในการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่ลดลง

 

 

นายวิลเลียมส์ กล่าวว่า การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในระยะนี้เป็นความเคลื่อนไหว "ที่เป็นประโยชน์ต่อตลาด" เพราะสิ่งนี้บ่งชี้ว่า ตลาดไม่ได้คาดการณ์อีกต่อไปว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำตลอดไป

 

 

นายวิลเลียมส์ กล่าวว่า การดีดตัวขึ้นอย่างฉับพลันของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรบ่งชี้ว่า นักลงทุนบางรายเคยชะล่าใจมากเกินไปในช่วงก่อนหน้านี้ ในเรื่องอัตราผลตอบแทนที่ระดับต่ำ และแสดงให้เห็นว่าเคยเกิดภาวะฟองสบู่ ในบางส่วนของตลาดการเงินในช่วงก่อนหน้านี้

 

 

นายวิลเลียมส์ กล่าวว่า "การขจัดภาวะฟองสบู่บางส่วนออกไปจากตลาด ถือเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตลาด"

 

ที่มา : สิทธิชัยหยุ่น(วันที่ 2 กค.56)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ฝรั่งวิเดายามบ่าย กล่าวว่า " ต้องระวัง แนวโน้มขึ้นไม่แน่ชัด ผันผวนสูง "

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดียามบ่ายครับ

 

นึกว่าวันนี้จะไม่มีวิเคราะห์ยามบ่ายซะแล้ว

 

ขอบคุณป๋า มาก ๆ ครับผม

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ราคาทองผันผวนหนัก! อินเดียวอนประชาชนหยุดซื้อเก็งกำไร

 

 

ข่าวต่างประเทศ RYT9.COM -- อังคารที่ 2 กรกฎาคม 2556 17:42:48 น.

 

ดูรูปทั้งหมด

อินเดียวอนประชาชนหยุดซื้อทองคำ หลังเกิดปัญหาขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างหนัก

เว็บไซท์บลูมเบิร์กดอทคอม รายงานว่า รัฐบาลอินเดีย ได้ขอความร่วมมือประชาชนให้หยุดการซื้อทองคำ พร้อมทำการตรวจสอบการเก็งกำไรทองคำอย่างเข้มงวดมากขึ้น หลังการขึ้นภาษีนำเข้าทองคำไม่สามารถลดความต้องการซื้อทองคำได้ ส่งผลต่อการแก้ปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด

 

โดยเมื่อเดือนที่ผ่านมา เงินรูปีอ่อนค่าลง 4.9% ถือเป็นการอ่อนค่าลงมากที่สุด เมื่อเทียบกับอีก 78 สกุลเงินทั่วโลก หลังธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ส่งสัญญาณที่จะลดวงเงินมาตรการ QE

 

ด้านนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิที่ตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้อินเดียแล้ว 7.1 พันล้านดอลลาร์ ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ส่งผลให้อินเดียขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมากที่สุดในประวัติการณ์

 

อินโฟเควสท์ โดย ณัฐชญา อัครยรรยง อีเมล์: natchaya@infoquest.co.th--

 

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รอข่าวนะคะป๋า ขอบคุณค่ะ

โรบินสัน บางรัก จะปิดปรับปรุงสิ้นเดือนนี้. ควรเก็บเงินสำรองไว้ ลุยซื้อสินค้าลดราคาพิเศษ 90 % เลหลังไม่ขนไปสาขาอื่น ****** ข่าวแบบนี้ ไหวม๊ะ ป้าฯ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สรุปภาวะตลาด Gold Future By GT Wealth Management 2 ก.ค. 56 (ภาคบ่าย)

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ ThaiPR.net -- อังคารที่ 2 กรกฎาคม 2556 17:38:54 น.

กรุงเทพฯ--2 ก.ค.--GT Wealth Management

ราคาทองคำในตลาดโลกปรับขึ้นมาเคลื่อนไหวบริเวณกรอบแนวต้านที่ US$1,260-1,265 ต่อออนซ์ (Gold spot) โดยเป็นการทำ Technical Rebound ขึ้นมา หลังปรับตัวลงอย่างหนักในสัปดาห์ที่แล้ว แต่ประเด็นเรื่องมาตรการ QE จะยังคงเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำต่อ โดยติดตามตัวเลขการว่างงานในวันศุกร์นี้ ซึ่งหากออกมาดีกว่าที่คาด จะกดดันราคาทองคำให้ลดลง ทางด้านยุโรปการเจรจาขอความช่วยเหลือของกรีซ กับกลุ่ม Troika ยังคงไม่ได้ข้อสรุป และมีความเสี่ยงที่ IMF อาจถอนตัวจากการช่วยเหลือครั้งนี้ และติดตามการประชุม ECB ในวันพฤหัสฯนี้ โดยหากมีมาตรการผ่อนคลายออกมาเพิ่มเติม อาจส่งผลดีต่อราคาทองคำในระยะสั้น ในแง่ของสภาพคล่องที่อาจจะเพิ่มขึ้น ส่วนคืนนี้ติดตามแถลงประธาน FOMC นาย Dudley และ Powell ซึ่งแนวคิดสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (Dovish) ค่าเงินบาทเริ่มแข็งค่าอีกครั้ง หลังหลุดระดับ 31 บาทต่อดอลลาร์ ด้านกองทุน SPDR รายงานการถือครองทองคำลดลง 1.2 ตัน ที่ระดับ 968.3 ตัน

 

 

สัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำสิ้นสุดอายุเดือนสิงหาคม 2556 (GFQ13) ปิดที่ระดับ 18,620 บาท ปริมาณการซื้อขาย 1,627 สัญญา

 

สัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำสิ้นสุดอายุเดือนสิงหาคม 2556 ขนาด 10 บาท (GF10Q13) ปิดที่ระดับ 18,620 บาท ปริมาณการซื้อขาย 5,392 สัญญา

 

แนวโน้มทองคำ นายกมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ จำกัดและผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวว่า การฟื้นตัวของราคาทองคำเกิดจากแรงซื้อตามปัจจัยทางเทคนิค และแรงซื้อกลับในช่วงเปิดไตรมาสใหม่ โดยราคาทองคำปรับตัวตามตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ในช่วงวันศุกร์ต่อเนื่องวันจันทร์ซึ่งถ้าความสัมพันธ์ของราคาทองคำกับราคาพันธบัตรสหรัฐฯ ยังมีทิศทางเดียวกันการชะลอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการซื้อพันธบัตรอาจจะส่งผลในเชิงลบ โดยสัปดาห์นี้อยากให้จับตาที่ตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ ในช่วงปลายสัปดาห์ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางราคาทองคำในระยะสั้น

 

GT Wealth Management

www.gtwm.co.th

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สรุปสภาวะตลาดทองคำแท่ง และโกลด์ฟิวเจอร์ส วันที่ 2 กรกฎาคม 2556 โดย YLG

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ ThaiPR.net -- อังคารที่ 2 กรกฎาคม 2556 17:37:58 น.

กรุงเทพฯ--2 ก.ค.--PRDD

สภาวะตลาดวันที่ 2 กรกฎาคม 2556 ราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบที่ระดับ 1,251.23—1,267.20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่โกลด์ฟิวเจอร์ส GFQ13 อยู่ที่ 18,630 บาท โดยราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 770 บาท จากวันก่อนหน้าที่ระดับ 17,860 บาท ขณะที่ซิวเวอร์ฟิวเจอร์ SVQ13 อยู่ที่ 640 บาท โดยราคาไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อนหน้าที่ระดับ 640 บาท

 

 

(หมายเหตุ: ข้อมูลนี้จัดทำขึ้น ณ เวลา 15.59 น.ของวันที่ 02/07/13)ออกมา คือ ออกมา คือ

 

แนวโน้มวันที่ 3 กรกฎาคม 2556

ราคาทองคำมีการฟื้นตัวขึ้นได้บ้าง หลังราคาทองคำแกว่งตัวผันผวนโดยปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยราคาดิ่งลงสร้างระดับต่ำสุดใหม่ โดยไหลลงจนเข้าเขต Oversold ทดสอบแนวรับที่ระดับ 1,180 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้เห็นการดีดตัวในลักษณะการ Technical Rebound ขณะที่คาดการณ์ที่ว่าการอุปโภคทองคำของจีนจะมีปริมาณมากกว่า 1,000 ตันในปีนี้ หลังจากแตะระดับ 800 ตันในช่วงครึ่งปีแรกเป็นปัจจัยบวก และ ข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรม (PMI) ในยูโรโซนของมาร์กิต พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 16 เดือนในเดือนมิถุนายนถือเป็นสัญญาณบ่งชี้การฟื้นของภาคการผลิตของยุโรป ได้เป็นปัจจัยบวกต่อสกุลเงินยูโรและราคาทองคำ แต่การขยับขึ้นของราคาทองคำ ยังถูกแรงกดดันจากโรงกษาปณ์ของสหรัฐระบุว่า ยอดขายเหรียญทองคำอเมริกันอีเกิลร่วงลงสู่ระดับ 57,000 ออนซ์ในเดือนมิถุนายน แม้นว่าราคาทองคำจะดิ่งลงต่ำกว่าช่วงที่ผ่านมา โดยหากเทียบกับยอดขายในเดือนเมษายนที่ราคาทองคำการดิ่งค่อนข้างมากเช่นกัน ยอดขายเหรียญทองอเมริกันอีเกิลพุ่งสูงขึ้นถึง 209,500 ออนซ์ ข้อมูลดังกล่าวจะตอกย้ำความวิตกที่ว่า แรงซื้อเหรียญทองคำและ เครื่องประดับจำนวนมากของกลุ่มนักลงทุนรายย่อยอ่อนกำลังลงเพราะเมื่อราคาดิ่งลงอีกแต่ยังไม่มีแรงซื้อเข้ามา นักลงทุนจะเห็นได้ว่ากระแสข่าวเหล่านี้มีผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาค่อนข้างมากจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตามวายแอลจีประเมินว่าราคาทองคำหากไม่สามารถยืนเหนือแนวต้านสำคัญบริเวณ 1,275 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อาจเกิดแรงขายทางเทคนิคออกมาให้ราคาทองคำอ่อนตัวลงมาอีกครั้ง แต่หากราคาสามารถยืนแนวรับบริเวณได้ในโซน 1,240 หรือ 1,226 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เชื่อว่าราคาทองคำจะสามารถดีดตัวขึ้นต่อไปได้

 

กลยุทธ์การลงทุน ทางวายแอลจีมีมุมมองว่า ราคาทองคำระยะสั้นอาจการเคลื่อนไหวในกรอบในลักษณะ Sideway ในระยะสั้นซึ่งยังมีโอกาสทดสอบแนวต้านต่อไปที่ 1,275 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยความผันผวนของราคาและการแกว่งตัวของราคาอาจลดลงบ้างจากช่วงที่ผ่านมา ซึ่งหากราคาทองคำมีการปรับตัวลดลงมา ไม่หลุดแนวรับแนะนำนักลงทุนสามารถเก็งกำไรระยะสั้น โดยให้เน้นไปที่การเข้าซื้อ ทั้งนี้ประเมินแนวรับไว้ที่ 1,240 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยมีแนวรับถัดไปอยู่ที่ 1,226 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และ เมื่อราคามีการปรับตัวสูงขึ้น นักลงทุนที่สะสมทองคำไว้อาจขายทำกำไรบ้างส่วนออกมาบ้างเพื่อลดความเสี่ยง

 

ทองคำแท่ง (96.50%)

แนวรับ 1,240 (18,110บาท) 1,226 (17,910บาท) 1,216 (17,760บาท)

แนวต้าน 1,275 (18,630บาท) 1,288 (18,820บาท) 1,300 (18,990บาท)

GOLD FUTURES (GFQ13)

แนวรับ 1,240 (18,300บาท) 1,226 (18,100บาท) 1,216 (17,950บาท)

แนวต้าน 1,275 (18,820บาท) 1,288 (19,010บาท) 1,300 (19,180บาท)

SILVER FUTURES (SVQ13)

แนวรับ 19.35 (629บาท) 19.00 (618บาท) 18.80 (612บาท)

แนวต้าน 20.10 (652บาท) 20.45 (663บาท) 20.70 (670บาท)

หากต้องการทราบทิศทางราคาทองคำและแนวทางลงทุนทองคำ ขอคำปรึกษาเพิ่มเติมจากทีมที่ปรึกษาการลงทุนด้านโกล์ดฟิวเจอร์ส โทร.02-687-9999 และการลงทุนด้านทองคำแท่ง โทร.02-687-9888 หรือwww.ylgbullion.com

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เงินบาทปิด 30.92/95 แกว่งแคบตามภูมิภาค รอปัจจัยใหม่

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 2 กรกฎาคม 2556 17:32:37 น.

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 30.92/95 บาท/ดอลลาร์ ใกล้เคียงกับช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 30.94/96 บาท/ดอลลาร์

 

 

วันนี้เงินบาทแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบ เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่ที่จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทมากนัก โดยยังเป็นการเคลื่อนไหวตามทิศทางค่าเงินในภูมิภาค โดยวันนี้เงินบาทแข็งค่าสุดที่ 30.89 บาท/ดอลลาร์ และอ่อนค่าสุดที่ 30.98 บาท/ดอลลาร์

 

"เงินบาทวันนี้ขยับน้อย เคลื่อนไหวแค่ 10 สตางค์ เป็นการเคลื่อนไหวตาม currency อื่นๆ...ตอนนี้ก็ยังคงเป็นข่าวเดิมเรื่อง QE3 ว่าจะจบหรือไม่จบ ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะมีผล หากตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดี ก็มีแนวโน้มว่า QE จะจบ ดอลลาร์ก็แข็ง แต่พอตัวเลขไม่ดี ดอลลาร์ก็กลับด้านกัน" นักบริหารเงิน กล่าว

 

นักบริหารเงิน คาดว่า วันพรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 30.90-31.10 บาท/ดอลลาร์

 

* ปัจจัยสำคัญ

- ปิดตลาดเย็นนี้ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 99.75 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 99.55 เยน/ดอลลาร์

 

- ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.3030 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.3051 ดอลลาร์/ยูโร

 

- ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,463.98 จุด เพิ่มขึ้น 12.08 จุด, +0.83%

- สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติซื้อสุทธิ 626.25 ลบ.(SET+MAI)

- นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธาน บลจ.เอ็ม เอฟ ซี(MFC) และกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทในปีนี้มีแนวโน้มอ่อนค่าลง แต่ก็ยังขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศและการเมืองในระยะต่อไป แต่เบื้องต้นมองว่าค่าเงินบาทในปีนี้น่าจะอยู่ในกรอบ 30.00-31 บาท/ดอลลาร์ หากไม่มีปัญหาในส่วนของภาคครัวเรือน

 

- ตลาดหุ้นยุโรปวันนี้เปิดตลาดทรงตัว โดยดัชนี Stoxx 600 อ่อนตัว 0.1% แตะ 288.12 เมื่อเวลา 8.05 น.ตามเวลาลอนดอน ทั้งนี้นักลงทุนรอดูการเปิดเผยข้อมูลกิจกรรมการก่อสร้างของอังกฤษและยอดสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐ

 

- "บาร์เคลย์ส แคปิตอล" ปรับลดคาดการณ์ราคาทองเฉลี่ยสำหรับปี 2556 ลงสู่ระดับ 1,393 ดอลลาร์/ออนซ์ จากเดิมที่ 1,483 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากอุปสงค์ที่อ่อนแอลง นอกจากนี้ บาร์เคลย์สยังปรับลดราคาทองเฉลี่ยในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ ลงมาอยู่ที่ 1,200 ดอลลาร์/ออนซ์ด้วย

 

- ธนาคารโลก(World Bank) ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซียลงสู่ระดับ 5.9% จากก่อนหน้านี้คาดไว้ที่ 6.2% โดยมีสาเหตุจากอุปสงค์ในประเทศและการส่งออกสินค้าที่ชะลอลง ขณะเดียวกันยังได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อมาอยู่ที่ 7.2% หลังจากเดือนก่อนรัฐบาลอินโดนีเซียได้ปรับขึ้นราคาเชื้อเพลิงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี

 

- "The Banker" นิตยสารด้านการธนาคารและการเงิน จัดอันดับให้ธนาคารดิ อินดัสเทรียล แอนด์ คอมเมอร์เชียล แบงก์ ออฟ ไชน่า (ICBC) เลื่อนขั้นจากอันดับ 3 ขึ้นมาครองอันดับ 1 ของธนาคารชั้นนำระดับโลกในปีนี้ โดย The Banker วัดจากเงินทุนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 15% ซึ่งการดำเนินงานของ ICBC แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าครั้งใหม่ท่ามกลางศักยภาพธนาคารจีนที่กำลังเติบโต

 

- คณะผู้แทนจากเจ้าหนี้ระหว่างประเทศของกรีซได้เดินทางไปยังกรุงเอเธนส์ เพื่อหารืออีกครั้งกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลกรีซเกี่ยวกับมาตรการใหม่ ซึ่งจะปูทางสำหรับการเบิกจ่ายเงินช่วยเหลืองวดต่อไปแก่กรีซในช่วงฤดูร้อนนี้

 

อินโฟเควสท์ โดย กษมาพร กิตติสัมพันธ์/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--

 

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดียามเย็นค่ะทุกคน

ป๋า...ไม่ชอบหลักหน่วยรับต้านชุดนี้เลย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...