ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

คุณเด็กขายของคะ อยากทราบว่า พระราชวังไกลกังวล และสุนัขทรงเลี้ยง เป็นอย่างไรบ้าง จะมีอันตรายหรือเสียหายจากคลื่นยักษ์บ้างหรือไม่ พอจะหาข้อมูลได้ไหมคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดี ปีใหม่คะ่เฮียขายของ กัปตัน GB2514 arthas มดแดง กบจ๊า pasaya และเพื่อนๆทุกๆคนปีหน้าฟ้าใหม่ขอให้ทุกๆคนหลุดจากดอยนะคะ

 

เพิ่งรู้ว่าวันนี้ตลาดปิด ถึงว่า กราฟไม่เคลื่อนไหม

 

ปีใหม่ของไทย ออนไลน์ ปิด 4 วัน

ขอเป็นปีนี้ แค่ลงจากดอยครึ่งทาง ได้มั๊ยคะ ขอให้คุณเกี้ยมอี โชคดีปีใหม่เช่นกันค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

12.55 น. $1598 สัญญาณไม่ค่อยดีมาอีกแล้ว รอดูพรุ่งนี้ครับ (มีบางตลาดเปิดอยู่)

 

14.22 น. ดันกลับมา $1612 กราฟ 90 องศามาอีกแล้ว

ถูกแก้ไข โดย GB2514

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

By Chris Oliver

HONG KONG (MarketWatch) -- Gold futures dropped slightly in Asian trade Monday, drifting back toward the $1,600-per-ounce level amid an extended holiday weekend for markets around the region. Gold for February delivery GC2G -0.12% eased $1.60, or 0.1%, to $1,609.00 per troy ounce on Comex. Market cues were limited, as many major bourses around the region remained closed for the holidays.

 

But in possibly supportive news for the metal, a senior researcher at the People's Bank of China said Beijing should use its foreign-exchange stockpile to buy gold as a hedge against inflation. The central bank's research director Zhang Jianhua was cited as saying Monday in the central bank publication Financial News that gold purchases should be ramped up when prices drop, although he gave no indication of what proportion of the nation's $3.2 trillion forex reserve should be allocated to investments in gold.

 

ประเด็นในข่าวสารชิ้นนี้ คือ จีนจะนำทุนสำรองมาซื้อทอง เพื่อป้องกันเงินเฟ้อ ส่วนจุดราคาที่เขาจะซื้อ บอกว่า price drop ราคาลดลง คำๆ นี้ มันจะคือราคาอะไร ? แล้วเมื่อไหร่คือราคาที่พอใจเข้าซื้อ ?

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

ออสเตรเลีย ฉลองคริสต์มาสท่ามกลางสภาพอากาศเลวร้าย

 

เมื่อวานนี้ ออสเตรเลีย ต้องฉลองวันคริสต์มาส ท่ามกลางสภาพอากาศเลวร้าย ทั้งพายุหมุนเขตร้อน ทอร์นาโด และพายุลูกเห็บ พัดกระหน่ำหลายพื้นที่ทางภาคเหนือและภาคใต้ ส่งผลให้เที่ยวบินบางส่วนในเมลเบิร์นต้องถูกยกเลิก ส่วนการฉลองคริสต์มาสที่ซิดนีย์เป็นไปอย่างราบรื่น หลังช่วงหลายวันก่อน ซิดนีย์ต้องเผชิญกับฝนตกหนักและลมหนาวหลงฤดู ด้านสำนักงานอุตุนิยมวิทยา เตือนว่าช่วง 2-3 เดือนนี้ ภาคตะวันออกของออสเตรเลียมีโอกาสสูงที่จะเกิดฝนตกหนัก จากอิทธิพลของปรากฏการณ์ลานีญา

 

ข้อมูลข่าวและที่มา

 

ผู้สื่อข่าว : จีรธิดา คำสวน / สวท   Rewriter : จีรธิดา คำสวน / สวท

สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th

 วันที่ข่าว : 26 ธันวาคม 2554

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

เกิดเหตุระเบิดรุนแรงในกรุงแบกแดดของอิรัก ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก

 

เจ้าหน้าที่และผู้สื่อข่าวรายงานว่า มือระเบิดฆ่าตัวตายขับรถยนต์คันหนึ่งเข้าใกล้กระทรวงมหาดไทยในกรุงแบกแดดของอิรัก และเกิดระเบิดขึ้นช่วงเช้าวันนี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก แต่ยังไม่ทราบจำนวนผู้เสียชีวิตที่ชัดเจน เจ้าหน้าที่กล่าวว่า เหตุระเบิดเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 11.30 น. วันนี้ ตามเวลาประเทศไทย ในเขตบาบ อัล-ชาร์จี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีการระดมรถพยายาบาลและเฮลิคอปเตอร์เข้าไปยังพื้นที่ดังกล่าว ด้านเจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยกล่าวว่า เหตุระเบิดที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของมือระเบิดฆ่าตัวตาย ทั้งนี้ เหตุรุนแรงครั้งล่าสุดเกิดขึ้นหลังเกิดเหตุระเบิดหลายครั้งทั่วกรุงแบกแดดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 60 คน 

ข้อมูลข่าวและที่มา

 

ผู้สื่อข่าว : พรทิพย์ แสงมหาชัย   Rewriter : พรทิพย์ แสงมหาชัย

สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th

 วันที่ข่าว : 26 ธันวาคม 2554

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

ปตท. คาด สถานการณ์ราคาน้ำมันรอบสัปดาห์นี้ จะผันผวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

ปตท. คาด สถานการณ์ราคาน้ำมันรอบสัปดาห์นี้ จะผันผวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังนักลงทุนเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังฟื้นตัว จากยอดขายบ้านและสถานการณ์ความไม่สงบของหลายประเทศ

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดย ฝ่ายบริหารความเสี่ยงราคาและวิเคราะห์ตลาดต่างประเทศ วิเคราะห์แนวโน้มราคาน้ำมันสัปดาห์ที่ 19 - 23 ธันวาคม 2554 ว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent) เฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นจะอยู่ที่ 106-107 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบเวสเท็กซัส (WTI) เฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 97- 98 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดิบดูไบ (Dubai) เฉลี่ยปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ก่อนอยู่ที่ 104 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยราคาน้ำมันยังมีความผันผวนและเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าอุปทานน้ำมันอาจตึงตัว หลังอิหร่านเริ่มปฏิบัติการซ้อมรบตามแผนเป็นระยะเวลา 10 วัน บริเวณพื้นที่ฝั่งตะวันออกของช่องแคบ Hormuz ซึ่งสร้างความกังวลว่าอาจมีการปิดช่องแคบดังกล่าว เพื่อตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตก อีกทั้งสถานการณ์ความไม่สงบในอิรักหลังเกิดเหตุการณ์ลอบวางระเบิดในกรุงแบกแดด ซึ่งอาจกระทบต่อการผลิตและส่งออกน้ำมันของประเทศ ประกอบกับตลาดน้ำมันได้รับแรงหนุน หลังจากข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ออกมาแข็งแกร่ง โดยยอดขายบ้านใหม่ในเดือน พฤศจิกายน 2554 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 ซึ่งทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังฟื้นตัว นอกจากนั้นประเทศจีน อาจปรับลดสัดส่วนเงินสำรอง ของธนาคารพาณิชย์ลงอีกในปี พ.ศ. 2555 เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในระบบธนาคาร อย่างไรก็ตามประเทศคูเวต ระบุ ปริมาณการผลิตน้ำมันเฉลี่ยเดือน ธันวาคม 2554 จะเพิ่มขึ้น 4 แสนบาร์เรลต่อวัน หรือร้อยละ 15 จากเดือนก่อน และแสดงความพร้อมที่จะเพิ่มกำลังการผลิตในเดือน มกราคม 2555 หากมีความต้องการในตลาด ทั้งนี้ ให้จับตามองตัวเลขดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ ที่จะประกาศในกลางสัปดาห์นี้

ข้อมูลข่าวและที่มา

 

ผู้สื่อข่าว : ปัทมา สุทธิประทีป /สวท.   Rewriter : กัลยา คงยั่งยืน

สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th

 วันที่ข่าว : 26 ธันวาคม 2554

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

สื่อมวลชนทำเนียบรัฐบาล ตั้งฉายารัฐบาลประจำปี 2554 รัฐบาลได้รับฉายา ทักษิณส่วนหน้า

 

สื่อมวลชนทำเนียบรัฐบาล ตั้งฉายารัฐบาลประจำปี 2554 รัฐบาลได้รับฉายา ทักษิณส่วนหน้า ส่วนนายกรัฐมนตรี ได้รับฉายา นายกฯนกแก้ว

สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล ตั้งฉายารัฐบาล ประจำปี 2554 ดังนี้

 

ฉายารัฐบาล คือ ทักษิณส่วนหน้า ซึ่งมาจากการบริหารงานของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่สามารถสลัดภาพว่ามีพี่ชายอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อยู่เบื้องหลังได้ จนรัฐบาลชุดนี้เปรียบเหมือนศูนย์บัญชาการส่วนหน้าของพ.ต.ท.ทักษิณ

 

ฉายาของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คือ นายกฯนกแก้ว มีที่มาจากการที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นผู้หญิงที่มีความสวย บุคลิกดี มีความโดดเด่น คล้ายกับนกแก้วที่มีสีสันสวยงาม แต่ต้องมีพี่เลี้ยงคอยประกบดูแลอย่างใกล้ชิด บทบาทที่แสดงต่อสาธารณชนก็พูดตามบทที่มีคนเขียนหรือบอกให้พูดเท่านั้น

 

ฉายาของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คือ ทักษิโด้โชว์ห่วย เนื่องจากแต่งกายและมีบุคลิกดีคล้ายผู้ชายใส่ “ทักซิโด” เมื่อถึงเวลาแสดงผลงานกลับสอบตก “โชว์ห่วย” จนมีเสียงเรียกร้องภายในพรรคให้ปรับออกจากตำแหน่ง

 

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ได้รับฉายา กุมารทองคะนองศึก เพราะทำงานตามคำสั่งและทำเพื่อประโยชน์ของผู้เลี้ยงเท่านั้น และชอบเข้าไปเกี่ยวข้องกับหลายเรื่องที่ไม่ใช่งานในความรับผิดชอบของตัวเอง หวังเพียงสร้างประเด็นข่าว และยังมีความคึกคะนองพร้อมที่จะประกาศศึกกับใครก็ได้

 

นายกิตติรักษ์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้รับฉายา ปุเลง..นอง ซึ่งล้อมาจากคำว่า “บุเรงนอง” ที่เป็นแม่ทัพใหญ่ในนิยาย “ผู้ชนะสิบทิศ” เช่นเดียวกับนายกิตติรัตน์ ที่เป็นขุนพลด้านเศรษฐกิจ แต่การทำงานของนายกิตติรัตน์ กลับเป็นไปอย่างติดๆขัดๆ ไม่ราบรื่นเหมือนกับปุเลงไปเรื่อยๆ

 

นอกจากนี้ยังมีรัฐมนตรีอีกจำนวนมากที่ถูกตั้งฉายา อาทิ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้รับฉายา อินทรีหลงป่า นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ฉายา ปึ้ง”เป้าเป๊ะ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรี ฉายา ประแจปากตาย นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ฉายา ไอเดียกระฉอก นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ฉายา ขงเบ๊ นายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฉายา ผีเจาะปลอด

สำหรับวาทะแห่งปี คือ “น้ำตาที่ไหลไม่ได้มาจากความอ่อนแอ ใครไม่โดนไม่รู้ มันเป็นอารมณ์ร่วม” ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ 

ข้อมูลข่าวและที่มา

 

ผู้สื่อข่าว : พรหมธิดา ทิพยานนท์   Rewriter : บรมบถ เพ็ญสวัสดิ์

สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th

 วันที่ข่าว : 26 ธันวาคม 2554

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บจ.ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส บอกว่า ราคาทองดีดตัวขึ้นเป็นสัปดาห์แรกหลังจาก 2 สัปดาห์ก่อนหน้าปรับตัวลงแรงกว่า 100 ดอลลาร์ แต่การฟื้นตัวขึ้นในสัปดาห์ก่อนมีปริมาณค่อนข้างน้อย รวมทั้งมูลค่าการซื้อขายในตลาดต่างๆก็มีไม่มาก เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มหยุดการซื้อขายช่วงเทศกาลคริสต์มาส และอาจต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี

 

ส่วนนักลงทุนที่ยังซื้อขายอยู่ส่วนใหญ่ ก็ยังไม่มั่นใจสถานการณ์ในยุโรปเกี่ยวกับมาตรการแก้ไขปัญหาต่างๆ รวมทั้งอาจมีรายงานข่าวด้านลบที่อาจนำมาสู่การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศสมาชิกตามมา ค่าเงินยูโรจึงยังมีแนวโน้มอ่อนค่าลง และทำให้ราคาทองคำ โลหะเงินปรับตัวขึ้นได้ยากในการซื้อขายช่วงนี้ โดยภาพการเคลื่อนไหวทางเทคนิคของราคาทองซึ่งยังไม่สามารถกลับขึ้นไปยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ได้ ราคาทองคำจึงยังมีแนวโน้มที่จะปรับฐานลงต่อ

 

แนวรับสำหรับการเก็งกำไรระยะสั้นยังอยู่ที่ 1,590-1,600 ดอลลาร์ ส่วนแนวต้านที่ 1,620-1,625 ดอลลาร์ ยังเป็นระดับแนวต้านที่คาดว่าจะมีแรงขายกลับออกมามาก จนราคาทองยังจะไม่สามารถผ่านขึ้นไปได้

 

อย่างไรก็ตาม คืนนี้ตลาดการเงินของสหรัฐ อังกฤษ และอีกหลายประเทศจะปิดทำการในวันคริสต์มาส การเคลื่อนไหวของราคาทอง โลหะเงิน รวมทั้งตราสารอื่นๆ คงมีแนวโน้มที่จะแกว่งตัวแคบต่อเนื่องจากวันศุกร์ และคาดว่าการเคลื่อนไหวโดยรวมในสัปดาห์นี้ก็คงเป็นในลักษณะเดียวกันนี้ต่อเนื่องไปจนถึงสัปดาห์หน้า

 

ที่มา : money channel (วันที่ 26 ธันวาคม 2554)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

จับตาแก้หนี้ยุโรป

 

บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย และบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปภาวะตลาดทุนรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนี SET ปรับขึ้นเล็กน้อย โดยได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อ LTF/RMF และแรงซื้อจากต่างชาติ โดยดัชนีปิดที่ระดับ 1,037.37 จุด เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.32% จากสัปดาห์ก่อน

 

ด้านมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดลง 12.33% จากสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 20,905.42 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติ และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ ขณะที่นักลงทุนรายย่อย และนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 267.32 จุด เพิ่มขึ้น 0.09% จากสัปดาห์ก่อน

 

ดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวนระหว่างสัปดาห์ก่อนจะปิดบวกขึ้นเล็กน้อย ขณะที่การซื้อขายเป็นไปอย่างเบาบาง ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้ยุโรป โดยแรงหนุนจากแรงซื้อ LTF และ RMF แรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีของสหรัฐ และเยอรมนี ถูกหักล้างด้วยแรงขายทำกำไร และการชะลอการลงทุนก่อนเข้าสู่ช่วงเทศกาลปลายปี

 

สำหรับแนวโน้มสัปดาห์นี้ (26-30 ธ.ค.54) มองว่า ดัชนีอาจยังแกว่งขึ้นต่อ โดยได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อ LTF และ RMF รวมถึงการทำราคาก่อนปิดสิ้นงวดบัญชี (Window Dressing) อย่างไรก็ตาม อาจมีแรงขายทำกำไรก่อนสิ้นปีด้วยเช่นกัน สำหรับรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องชี้วัดตลาดที่อยู่อาศัย และความเชื่อมั่นผู้บริโภค นอกจากนี้คงต้องติดตามพัฒนาการวิกฤติหนี้ยุโรป และการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจรายเดือนของทางการไทย ทั้งนี้ บริษัท หลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด คาดว่าดัชนีจะมีแนวรับที่ 1,017 และ 1,006 จุด ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,052 และ 1,078 จุด ตามลำดับ

 

ขณะที่ค่าเงินบาทขยับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ โดยได้รับแรงหนุนจากทิศทางการไหลเข้าของเงินทุนในส่วนที่เกี่ยวกับการประกันภัย (หลังเหตุการณ์น้ำท่วมในไทย) และจากแรงซื้อคืนสินทรัพย์เสี่ยงของนักลงทุน หลังการประมูลพันธบัตรรัฐบาลสเปนได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐหลายรายการออกมาแข็งแกร่งกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ อย่างไรก็ดี ความต้องการเงินดอลลาร์ในช่วงใกล้สิ้นเดือนของกลุ่มผู้นำเข้า และประเด็นวิกฤติหนี้ยุโรปชะลอทิศทางการแข็งค่าของเงินบาทไว้บางส่วน ในวันศุกร์ (23 ธ.ค.) เงินบาทอยู่ที่ระดับ 31.27 จาก 31.32 บาทต่อดอลลาร์ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (16 ธ.ค.)

 

สำหรับแนวโน้มสัปดาห์นี้ (26-30 ธันวาคม 2554) เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ 31.20-31.50 บาทต่อดอลลาร์ โดยคงต้องจับตาพัฒนาการของวิกฤติหนี้ยูโรโซน ตลอดจนการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อเขตชิคาโกเดือน ธ.ค. ยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขายเดือน พ.ย. และดัชนีราคาบ้านรายงานโดยสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์เดือน ต.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ อนึ่ง ตลาดการเงินทั้งในและต่างประเทศอาจเริ่มมีการซื้อ-ขายที่เบาบาง เพราะเข้าใกล้ช่วงวันหยุดคริสต์มาสและปีใหม่

 

โดย บ้านเมืองออนไลน์ (วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2554)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หลังจากที่พยายามทัดทานไม่นำมาตรการเสริมสภาพคล่องทางการเงินอย่างที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกานำมาใช้สู้วิกฤติการเงินในปี 2551 แต่สุดท้ายเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา (21 ธ.ค.) ธนาคารกลางยุโรป หรือ อีซีบี ก็ยอมรับว่าได้อัดฉีดเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำวงเงินรวมเกือบ 6.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 489,2000 ล้านยูโร (กว่า 19.8  ล้านล้านบาท) เข้าสู่ระบบธนาคารของสหภาพยุโรปแล้ว  ซึ่งความเคลื่อนไหวครั้งนี้จุดประกายความหวังว่าเม็ดเงินที่ถูกเสริมเข้าสู่ระบบให้ช่วยบรรเทาปัญหาสินเชื่อตึงตัวในยุโรปลงได้

 

 เดอะ นิวยอร์ก ไทม์ส รายงานว่า แม้ยังเร็วเกินไปที่จะชี้วัดผลเชิงบวกในระยะยาว แต่อย่างน้อยการขยับตัวของอีซีบีในเรื่องนี้ก็เป็นจุดหักเหที่ช่วยคลี่คลายสถานการณ์วิกฤติหนี้ให้กับภูมิภาคยุโรปที่ต้องเผชิญกับปัญหานี้มาเป็นเวลาเกือบ 2 ปีแล้ว ทั้งยังส่งผลสร้างความกังวลให้กับตลาดการเงินทั่วโลกและสร้างปัจจัยเสี่ยงให้กับการเติบโตของเศรษฐกิจโลกเป็นอย่างยิ่ง

 

 ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐบาลของสหรัฐฯและนักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกต่างก็พยายามกระตุ้นเตือนให้อีซีบีตัดสินใจนำมาตรการเฉียบขาดในลักษณะนี้มาใช้นานแล้ว แม้ว่าในส่วนของบรรดาผู้นำประเทศยุโรปจะยังไม่สามารถสรุปแผนระยะสั้นที่เป็นรูปธรรมออกมาใช้คลี่คลายปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศสมาชิกรวมทั้งสถานภาพที่อ่อนแอลงของธนาคารพาณิชย์ในยุโรป

 

 นายคาร์ล บี. ไวน์เบิร์ก หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ บริษัทที่ปรึกษา ไฮ ฟรีเควนซี อิโคโนมิคส์ ให้ความเห็นว่า เขารู้สึกตะลึงกับวงเงินช่วยเหลือที่อีซีบีปล่อยกู้ให้กับธนาคารพาณิชย์ และนั่นก็เป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่า อีซีบีกำลังเดินหน้าพลิกผันหายนะทางการเงินของยุโรปอย่างเต็มกำลัง  นักวิเคราะห์บางรายก็มองว่า ความเคลื่อนไหวของอีซีบีในครั้งนี้เป็นการให้ความช่วยเหลือแบบหนุนหลัง ซึ่งเป็นการสร้างแหล่งเงินกู้ในยามคับขันให้กับบรรดาธนาคารพาณิชย์ เช่นเดียวกับที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือ เฟด เคยใช้มาแล้วในช่วงแก้ไขวิกฤติการเงินในสหรัฐฯเมื่อปี 2551 หลังจากที่วาณิชธนกิจใหญ่ เลห์แมน บราเธอร์ส ประสบภาวะล้มละลาย ซึ่งการกระทำของเฟดในครั้งนั้น ได้รับการชื่นชมว่าช่วยพลิกผันสถานการณ์ทำให้ผลกระทบไม่แผ่กว้างสร้างหายนะให้กับระบบเศรษฐกิจในวงกว้าง

 

 สำหรับวงเงินกู้ระยะ 3 ปีที่อีซีบีปล่อยให้กับธนาคารพาณิชย์ยุโรปดังประกาศเมื่อวันพุธที่ผ่านมานั้น เป็นเงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยเริ่มที่ 1 % ซึ่งนับว่าเป็นดอกเบี้ยอัตราต่ำที่ธนาคารพาณิชย์ยุโรปไม่สามารถหาได้จากตลาดในเวลานี้ รายงานข่าวระบุว่า ธนาคารพาณิชย์ของยุโรปมีความจำเป็นต้องได้รับเงินกู้ช่วยเหลือเพื่อนำไปใช้รีไฟแนนซ์เงินกู้มูลค่ารวมๆกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ที่กำลังจะครบกำหนดชำระในปี 2555  นอกจากนี้ เงินกู้ของอีซีบียังช่วยผ่อนคลายแรงกดดันให้กับธนาคารผู้ออกพันธบัตรให้กับรัฐบาลในประเทศที่กำลังประสบปัญหาการคลังในยุโรป โดยเฉพาะอิตาลีและสเปน ซึ่งรัฐบาลประเทศเหล่านี้ไม่สามารถขอกู้เงินจากกองทุนของอีซีบีได้โดยตรง  นักวิเคราะห์กล่าวว่า มาตรการของอีซีบีในการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำระยะเวลา 3 ปีให้กับธนาคารพาณิชย์อาจช่วยกระตุ้นให้ธนาคารเหล่านี้นำเงินที่ได้มาบางส่วนไปลงทุนซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นซึ่งให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของอีซีบี ยกตัวอย่าง พันธบัตรรัฐบาลสเปนระยะเวลา 2 ปี ให้ผลตอบแทนสูงที่ระดับ 3.64 %      

 

 นายมาริโอ ดรากี ประธานอีซีบีคนใหม่ ได้แสดงจุดยืนมาตลอดว่าเขาไม่สนับสนุนวิธีการหนุนหลังประเทศที่ประสบปัญหาทางการคลังด้วยการให้อีซีบีเข้าไปซื้อพันธบัตรของรัฐบาลประเทศเหล่านี้โดยตรงอย่างไม่มีขอบเขตจำกัด อย่างไรก็ตาม มูลค่าวงเงินสูงมากของการปล่อยกู้โดยอีซีบีให้กับธนาคารพาณิชย์ของยุโรปดังที่ข่าวระบุว่ามีจำนวนถึง 523 ธนาคาร ได้แสดงให้เห็นว่า เขาพร้อมแล้วที่จะให้การสนับสนุนทางอ้อมแก่รัฐบาลเหล่านี้ผ่านทางธนาคารพาณิชย์ของแต่ละประเทศ

 

 "นี่เหมือนกันเป๊ะกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ โดยมาตรการของเฟดในปี 2551" ไวน์เบิร์กกล่าว ด้วยการที่เฟดออกมาซื้อหนี้เสียและสินทรัพย์ที่มีปัญหาจากสถาบันการเงินที่กำลังซวนเซ ประกอบกับการอัดฉีดเงินกู้ให้กับธนาคาร รัฐบาลสหรัฐฯ ก็สามารถซื้อเวลาให้บรรดาสถาบันการเงินที่มีปัญหาได้ชำระสะสางบัญชีงบดุลของตนเองและสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินขึ้นมาได้อีกครั้ง

 

 อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ระบุว่า สถานการณ์ในยุโรปมีความยากลำบากมากกว่านั้น เพราะไม่เพียงธนาคารพาณิชย์เท่านั้นที่มีความจำเป็นด้านเงินกู้ หากแต่ตัวรัฐบาลของประเทศยุโรปที่ประสบปัญหาการคลังเอง ก็มีความต้องการเงินกู้เข้ามาช่วยคลี่คลายปัญหาซึ่งคาดว่าความต้องการเงินกู้ในส่วนของรัฐบาลนั้นจะสูงถึง 1.1 ล้านล้านยูโรป (ประมาณ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ในปี 2555 ที่กำลังจะมาถึง

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ (วันที่ 26 ธันวาคม 2554)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

WTI ขยับขึ้น ขานรับตัวเลขเศรษฐกิจ - ปัญหาด้านอุปทานยังต้องจับตา"

๑ ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบ ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ที่ตลาดนิวยอร์ก ส่งมอบเดือน ก.พ. ปรับเพิ่มขึ้น 0.15เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ปิดที่ 99.68 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล  ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ที่ตลาดลอนดอน ส่งมอบเดือน ก.พ. ปรับเพิ่มขึ้น 0.07เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ปิดที่ 107.96 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

+ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯประจำเเดือนพ.ย.ประกาศเมื่อวันศุกร์ออกมาเป็นไปในทิศทางบวก ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แก่นักลงทุนทั้งในตลาดน้ำมันดิบและตลาดหุ้น แม้ปริมาณการซื้อขายจะค่อนข้างบางตาในวันสุดท้ายก่อนเข้าเทศกาลวันหยุดคริสต์มาส โดยดัชนีอุตสหกรรมดาวโจนส์ปรับเพิ่มขึ้นถึง124.42 จุด ไปปิดที่12294จุด

+ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนปรับเพิ่มขึ้น 3.8% หลังจากทรงตัวในเดือนต.ค. นำโดยความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากอุตสาหกรรมเครื่องบิน โดยบริษัทโบว์อิ้งมียอดสั่งซื้อเครื่องบินพาณิชย์ทั้งสิ้น 96 ลำ อย่างไรก็ตามการจับจ่ายใช้สอยในภาคธุรกิจนับว่าค่อนข้างชะลอตัว เนื่องจากไม่มีการลงทุนใหม่ๆเพิ่มเติมเท่าไรนัก

+ การใช้จ่ายของผู้บริโภคออกมาทรงตัว โดยปรับขึ้นเล็กน้อยที่ 0.1% เช่นเดียวกับการเติบโตของรายได้ในภาคครัวเรือน อย่างไรก็ตามนักเศรษฐศาสตร์ยังคงยืนยันว่า เศรษฐกิจไตรมาส4 ของสหรัฐฯน่าจะโตได้ที่ 3% จากไตรมาสก่อนหน้าซึ่งขยายตัวที่ 1.8%

+ ยอดขายบ้านใหม่ปรับเพิ่มขึ้น 1.6% หรือ 3.15 แสนหลังคาเรือน โดยมูลค่าเฉลี่ยต่อยูนิตอยู่ที่ 2.141 แสนเหรีญสหรัฐฯ ปรับลดลง 3.8% จากเดือนก่อนหน้า

+ ตลาดยังคงกัวลกับปัญหาอุปทานน้ำมันดิบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศอิรักและอิหร่านซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ หลังจากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดเหตุลอบวางระเบิดที่กรุงแบกแดดของอิรัก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 50 คน และข่าวอิหร่านส่งกองกำลังทหารเข้าไปทำการซ้อมรบที่ช่องแคบฮอร์มุซ

+ จีนปรับกลยุทธ์ในการนำเข้าน้ำมันดิบสำหรับเดือนมกราคม  โดยหันไปซื้อน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง แอฟริกา และ รัสเซีย เพื่อชดเชยน้ำมันดิบจากอิหร่านที่คาดว่าอาจมีปัญหาททางด้านอุปทาน และปัญหาในการทำธุรกรรมทางการเงิน จากมาตการการคว่ำบาตรที่เข้มงวดขึ้นของสหรัฐฯและประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป

- ปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปคงคลังของจีนสิ้นสุด ณ เดือนพ.ย.ปรับเพิ่มขึ้น โดยตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการจากสำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เพิ่มขึ้น 3.6% นับป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน เนื่องจากการบริโภคที่ลดลง 0.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 53 มาอยู่ที่ 20.36 ล้านตัน

ราคาน้ำมันดิบดูไบ ที่ตลาดสิงคโปร์ ส่งมอบเดือน ก.พ. ปรับเพิ่มขึ้น 0.49 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 106.52 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

 

๑ ทิศทางราคาน้ำมันระยะสั้น

ไทยออยล์คาด ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 102- 110 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนเวสต์เท็กซัสเคลื่อนไหวที่กรอบ 95 - 103 เหรียญฯ  โดยตลาดยังคงต้องจับตาดูสถานการณ์ในประเทศผู้ผลิตน้ำมันดิบอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็น อิหร่าน อิรัก และ คาซัคสถาน เพราะหากเหตุการณ์มีความรุนแรงขึ้น อาจจะส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมันดิบและการขนส่งน้ำมันได้

 

๑ ราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์

ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบดูไบ ประกอบกับอุปทานน้ำมันเบนซินออกเทนสูงในจีนที่ค่อนข้างตึงตัว อย่างไรก็ตามตลาดน้ำมันเบนซินออกเทนต่ำได้รับแรงกดดันหลังความต้องการจากญี่ปุ่นเริ่มปรับลดลง

 

ราคาน้ำมันดีเซล ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบดูไบ อีกทั้งยังมีความต้องการอยู่มากในตลาดจร จากทางประเทศอินเดีย และอินโดนีเซีย

 

๑ ปัจจัยที่น่าจับตามอง

• ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่

วันจันทร์: -- (วันหยุดชดเชยวันคริสมาสต์)

วันอังคาร: ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค

วันพุธ: ยอดขายบ้านมือสอง

วันพฤหัส: ยอดผู้ขอรับสิทธิประโยชน์จากการว่างงาน และสัญญาซื้อขายบ้านรอปิดการขาย

วันศุกร์: ดัชนีชี้วัดภาคการผลิตของเมืองชิคาโก

• รายละเอียดข้อตกลงการปฏิรูประบบเศรษฐกิจและการคลังในกลุ่มยุโรปให้มีความเข้มงวดขึ้น ที่จะต้องจัดทำให้แล้วเสร็จภายในเดือน มี.ค. 55  ซึ่งล่าสุดมีข่าวว่า มีบางประเทศในยุโรป เช่น สวีเดน เริ่มเปลี่ยนท่าทีไม่อยากเข้าร่วมข้อตกลงนี้แล้ว

• รายละเอียดของกองทุนช่วยเหลือถาวร ESM ที่จะเริ่มดำเนินการในเดือน ก.ค. 55 รวมทั้ง ข้อตกลงที่จะปล่อยกู้ให้กับ IMF เพิ่มเติมหลังประเทศกลุ่มผู้ใช้เงินยูโร (ยูโรโซน) ตกลงปล่อยกู้ไปแล้วมูลค่า 1.5 แสนล้านยูโร เมื่อ 19 ธ.ค. ที่ผ่านมา

• ความคืบหน้าของรายละเอียดแผนช่วยเหลือฉบับใหม่แก่กรีซ 130 พันล้านยูโร จาก EU/IMF/ECB ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงกลางเดือน ม.ค. 55 รวมทั้ง เงินช่วยเหลืองวดใหม่อีก 8 พันล้านยูโร ที่มีกำหนดจ่ายใน ธ.ค. นี้ ตลอดจน ความคืบหน้าในการออกพันธบัตรกรีกใหม่มูลค่า 7 หมื่นล้านยูโร เพื่อจ่ายชำระหนี้ในส่วนของผู้ถือพันธบัตรกรีกจากภาคเอกชน 

• ความตึงเครียดระหว่างชาติตะวันตกและอิหร่าน หลังชาติตะวันตกออกมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านเพิ่มเติม เพื่อกดดันให้อิหร่านยกเลิกโครงการนิวเคลียร์ ซึ่งอาจจะทำให้อิหร่านออกมาตอบโต้ด้วยการปิดช่องแคบเฮอร์มุส ซึ่งเป็นเส้นทางการเดินเรือขนส่งน้ำมันที่สำคัญ

• การปฏิวัติรอบสองในอียิปต์จะเกิดขึ้นหรือไม่ หลังการประท้วงทวีความรุนแรงขึ้น อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภารอบแรกเมื่อวันที่ 28 พ.ย. ผ่านไปได้ด้วยดี แต่ต้องรอผลการเลือกตั้งอีก 2 ครั้ง ในเดือน ธ.ค. และต้นปีหน้า

 

ที่มา :ฐานเศรษฐกิจ (วันที่ 26 ธันวาคม 2554)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีเช้าวันอังคารที่ กราฟทองเริ่มขยับ แต่เป็นการขยับลงตั้งแต่เช้า เพื่อนๆ ที่ตั้งใจรอซื้อช่วงสิ้นปี โดยใช้เงิน โบนัส ก็คงต้องลุ้นต่อไป ในสถานการณ์ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิมปีที่แล้วหรือไม่ ซึ่งเดาดูแล้ว " มันมาแน่ " ดูจาก ปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าเข้ามา ทั้งฝั่งยูโรโซน, อังกฤษ, ตะวันออกกลาง และสหรัฐอเมริกา เพราเงื่อนไขที่ ราคาทองผูกติดกับสกุลเงินดอลล์สหรัฐฯ และทิศทางราคาทองเดินตามค่าเงินยูโรในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้ ประเทศอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศดังกล่าว แต่มีภาวะการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี เช่น บราซิล, อินเดีย, รัสเซีย, ซาอุดิอาราเบีย หรือ จีน ที่มีทุนสำรองระหว่างประเทศ เป็นสกุลเงินยูโร และ ดอลล์สหรัฐฯ ทำการลดสัดส่วนการถือครอง 2 สกุลนี้ลงมาระดับหนึ่ง พร้อมกับมีการทำสัญญาการซื้อการขาย โดยสกุลเงินระหว่างกันมากยิ่งขึ้น เช่น จีนและญี่ปุ่น ที่ทำข้อตกลงการค้าในสกุลเงินหยวน ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย ที่มีการทำข้อตกลงการค้า และ การเงิน กว่า 70,000 ล้านหยวน ก็ประมาณ 350,000 ล้านบาท หรือ แม้แต่กรณีเมื่อวานนี้ ที่ธนาคารกลางจีน ออกมากล่าวว่า จีนจะเข้าซื้อทองคำ เมื่่อราคาลดลง โดยได้เตรียมเงินสดไว้แล้ว ( เงินสด อาจจะเป็น เงินยูโร และ ดอลล์สหรัฐ ก็ได้ )

 

ดังนั้น ถ้า ยูโรโซน และ สหรัฐอเมริกา จะขายทองออกมา และ กดราคาให้ตกลง ปริมาณมากเท่าใด ก็เดาว่า แรงซื้อ หรือ Demand ก็มีไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน แถมอาจมีมากกว่า เพราะปริมาณเงินมีมากเช่นกันที่ไม่อยากมีไว้ เพราะความผันผวนมีมากกว่า และ ผูกติดกันใน 2 สกุลเงินมากเกิน จนกลายเป็นความไม่พอดี แต่ทุกอย่างที่เป็นเรื่องจรืง ก็ต้องรอคอยต่อไป ว่า ผลลัพธ์จะออกเป็นอย่างไร เพราะ มันคือ คาด และ คิด และ เดา ทั้งนั้น

 

มาต่อเรื่องข่าวสารเช้านี้ กันครับ

 

ค่าของเงินเยนแข็งส่งผลบริษัทในญี่ปุ่นล้มละลายเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 30

 

- บริษัทในญี่ปุ่นล้มละลายเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 30 ในปีนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากการแข็งค่าของเงินเยน เว็บไซต์ของบรรษัทกระจายเสียงเอ็นเอชเคของญี่ปุ่นหรือรายงานโดยอ้างถ้อยแถลง บริษัทวิจัยสินเชื่อ ไทโคกุ ดาตาแบงก์ที่รายงานว่า มีบริษัท 79 แห่งที่มีหนี้สิน 10 ล้านเยน หรือกว่า 4 ล้านบาทเพราะไม่สามารถจัดการกับสถานการณ์เงินเยนแข็งค่าขึ้น ผลสำรวจครั้งนี้รวบรวมข้อมูลของบริษัทต่างๆ ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงวันที่ 21 ธันวาคมที่ผ่านมา และพบว่าบริษัทที่ล้มละลายในปีนี้เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 36 บริษัทวิจัยดังกล่าวระบุว่า ธุรกิจที่ล้มเหลวเกิดจากการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศและในประเทศตกต่ำ เนื่องจากสินค้าที่ขายมีราคาแพงกว่าสินค้าชนิดเดียวกันจากต่างประเทศ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

มีผู้ซื้อบ้านหลังแรกต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ของอังกฤษ

 

บริษัทฮาลิแฟกซ์ในเครือลอยด์ส แบงกิ้งรายงานว่า จำนวนผู้ซื้อบ้านหลังแรกในอังกฤษดิ่งลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ แม้ราคาบ้านจะลดลงมาถึงระดับที่สามารถซื้อหาได้ง่ายขึ้นในรอบ 8 ปี บริษัทดังกล่าวคาดว่ามีผู้ซื้อบ้านหลังแรกราว 187,000 คนในปีนี้ ลดลงร้อยละ 7 จากเมื่อปีก่อน และนับว่าปีนี้ถือเป็นระดับต่ำที่สุดตั้งแต่ที่เริ่มบันทึกมาเมื่อปี 2517  

ข้อมูลข่าวและที่มา

 

ผู้สื่อข่าว : รักษ์ธานินทร์ ทองประเสริฐ   Rewriter : รักษ์ธานินทร์ ทองประเสริฐ

สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th

 วันที่ข่าว : 26 ธันวาคม 2554

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...