ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

ป๋าอย่างงี้ทิ้งของแล้วรอช้อนต่ำ หรือซื้อถัวดี

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณค่ะเฮียขายของ(ต้าเกอ)สำหรับข่าว...คติเตือนตัว...คติเตือนใจ...อาทิตย์นี้สดวกเข้ามาพอดี...

 

ขอบคุณ...ขอบคุณ...ขอบคุณ...(ที...ทามค่ะ :rolleyes: :rolleyes: :rolleyes: )

ครับ ! สวัสดีครับ คุณย่าหยา น้ำทะเล ก็ยังขึ้น ยังลง ทุกๆ วันอยู่นะครับ แต่ประโยคขอบคุณ กล่าวแบบที่นิยมใช้ในโพยฯ ก็ได้ " Thank You Three Times " หรือ " ขอบคุณ 3 ครั้ง " 5555555555 แรกๆ ผมก็ไม่เชื่อว่าจะมีแบบนี้เกิดขึ้น พอมีคนเอา You Tube ให้ดู " ไม่เชื่อ ก็ต้องทึ่งครับ " พูดเสร็จแบบไม่เขิน ไม่รู้สึกตัวด้วยนะ

 

ป๋าอย่างงี้ทิ้งของแล้วรอช้อนต่ำ หรือซื้อถัวดี

สำหรับคำที่อยากบอกเจ้ฯ นั้นคือ " เจ้ฯ ซื้อเข้ามาที่ 1715 ในช่วงเวลาที่เงินบาท 30.6x จึงไม่น่ามีความจำเป็นต้อง Stop Loss เนื่องจาก เจ้ฯ เล่นออนไลน์ ซึ่ง ระบบออนไลน์ นั้น สามารถหาช่วงจังหวะในการขาย เพื่อเกิดกำไรนิดๆ หน่อยๆ ได้ ขนาดไม่เกิน 50 บาทต่อบาททอง ในช่วงเวลาที่อาจมีการเปลี่ยนแปลง เพียงขอให้เจ้ฯ เช็คราคาเท่านั้น คือ

1. 2 ทุ่มครึ่ง

2. 5 ทุ่ม

 

แต่ที่เด็กขายของ บ่นจาก กราฟฯ + ข่าวสาร + ประวัติศาสตร์ คือการซื้อขายทองแท่ง ณ. ร้านทองตู้แดง ซึ่งจะไม่ได้รับอานิสงค์จากการขึ้นลงในเวลากลางคืน จึงมองที่สัญญาน MACD ที่บ่งบอกว่า ความน่าจะเป็นที่แดงแท่งต่อไป คือ ต่ำกว่า 1713 ยังจะมีจังหวะเกิดขึ้น ในเช้าวันอังคาร

 

จากคำถาม ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน แค่บ่นให้ฟังว่า : รอจนเส้น 7,5,2 สีแดงอยู่บนสีดำ ค่อยซื้อ เพราะก็มีความเป็นไปได้อีกเข่นกันว่า " เมื่อเส้นแดงอยู่เหนือเส้นดำ ปิดตลาดแท่งต่อไป คือ เขียว

 

จึงสรุปว่า " ของเก่าถือรอขาย เมื่อพอมีกำไร และ อย่าพึ่งซื้อถัว จนเส้น 7,5,2 เปลี่ยนแดงให้กลับใจ "

 

ตัวอย่าง ทองแท่งร้านอาแปะ ที่เด็กขายของซื้อเข้า ก็ยังคงถือต่อไป เพราะ ในช่วง 3 วันทำการในอาทิตย์หน้า ก่อนสหรัฐฯ จะหยุด วันขอบคุณพระเจ้า ถ้าขายตอนนี้ ได้เงินคืน 24,850 บาท เกรงว่า เวลาราคา Spot ลดลงมา แต่เจอ ค่าเงินบาท และ อาแปะกั๊กราคา จะเสียเวลาเดินทางไปเยาวราช โดยซื้อกลับที่ราคาเท่าขาย คือ 24,850 บาท

 

ทองแท่งออนไลน์ กับ ทองแท่งซื้อร้านทองตู้แดง จังหวะได้เปรียบเสียเปรียบต่างกัน เจ้ฯ ดูกราฟ จังหวะเด้งตอนกลางคืน ช่วงเปิดตลาดสหรัฐฯ มีเกิดขึ้น ออนไลน์ จึงดีตรงนี้แหล่ะ ที่เปิดให้ขายได้เวลานั้น

ถูกแก้ไข โดย เด็กขายของ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณจากใจเลยป๋า ตอนนี้ไม่เล่นเกินตัวแล้ว เพราะเวลาผิดทางไม่มีเวลา ก็อ๊วกเหมือนกัน :uu

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณจากใจเลยป๋า ตอนนี้ไม่เล่นเกินตัวแล้ว เพราะเวลาผิดทางไม่มีเวลา ก็อ๊วกเหมือนกัน :uu

 

ดีใจกะเจ้. ที่สำคัญมันไม่เครียดเจ้. น้องนุ่งในบ้านนี้อยากเห็นเจ้กลับมา สนุกสนานลั้ลลา.

 

ที่สำคัญเราต้องรักษาเงินทุนเราพร้อมทั้งขึ้นละลง. ขอให้เจ้ลั้ลลาาาาาาาาาา

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

อรุณสวัสดิ์คะ เฮียNamchiang เฮียเด็กขายของ เพื่อนๆ :01

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

โอบามา-คองเกรสเปิดเจรจา (19/11/2555)

ตัวแทนจากสองพรรคการเมืองสหรัฐฯ เริ่มต้นเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิด "หน้าผาการคลัง" ให้ได้ก่อนสิ้นปี โดยประธานาธิบดีบารัก โอบามา ยื่นข้อเสนอเพิ่มรายได้จากภาษีเป็นมูลค่า 1.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเวลา 10 ปี

 

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ประเด็นเรื่องภาษีจะเป็นเรื่องหลักของการเจรจาระหว่างตัวแทนจากพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงการเกิด "หน้าผาการคลัง" (fiscal cliff) หรือช่วงเวลาที่โครงการลดหย่อนภาษีตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช จะสิ้นสุดลง ประกอบกับการปรับลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่หลายฝ่ายกังวลว่าจะฉุดเศรษฐกิจสหรัฐฯ กลับเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง

 

ประธานาธิบดีบารัก โอบามา มีกำหนดเรียกตัวแทนจากทั้งสองพรรคเข้าพบหารือในประเด็นดังกล่าวเป็นครั้งแรกภายหลังจากได้รับการเลือกตั้งกลับเข้ามาสู่ทำเนียบขาวเป็นสมัยที่สองในวันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน โดยตัวแทนจากทั้งสองพรรคประกอบด้วยนายจอห์น เบห์เนอร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร และนายมิตช์ แมคคอนเนล ผู้นำวุฒิสภาเสียงข้างน้อยจากพรรครีพับลิกัน ร่วมด้วยนางแนนซี เพโลซี ผู้นำผู้แทนราษฎรพรรคเดโมแครต และนายแฮร์รี รีด ผู้นำวุฒิสภาเสียงข้างมากจากพรรคเดียวกัน

 

ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องของภาษี ประธานาธิบดีโอบามาต้องการเพิ่มรายได้จากภาษีเป็นมูลค่า 1.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในช่วง 10 ปีข้างหน้า ผ่านการจำกัดการลดหย่อนภาษี และเพิ่มอัตราการเก็บภาษีจากผู้มีรายได้สูง ขณะที่ทางฝ่ายรีพับลิกันต้องการให้มีการต่ออายุการลดภาษีสำหรับผู้มีรายได้ทุกระดับออกไป และเรียกร้องให้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของโครงการด้านสิทธิประโยชน์ต่างๆ (entitlement programs)

 

นายทิโมธี ไกธ์เนอร์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ กล่าวว่า การขึ้นภาษีสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้สูงเป็นหัวใจสำคัญของข้อเสนอเรื่องการลดการขาดดุลของรัฐบาล เนื่องจากรายได้จากการจำกัดการลดหย่อนภาษีเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพออย่างแน่นอน "ประธานาธิบดีไม่พร้อมที่จะต่ออายุการลดภาษีสำหรับผู้มีรายได้สูง" นายไกธ์เนอร์กล่าวถึงนโยบายที่ดำเนินการมาตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีบุชและกำลังจะสิ้นสุดอายุลงสิ้นปีนี้

 

ทีมงานของนายโอบามากล่าวว่า โอบามาต้องการให้ทางฝ่ายรีพับลิกันรับข้อเสนอที่ผ่านวุฒิสภาเมื่อเดือนกรกฎาคมปีก่อน นั่นคือการต่ออายุการลดหย่อนภาษีเงินได้ ยกเว้นกลุ่มผู้มีรายได้เกินกว่า 200,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคู่สามีภรรยาที่มีรายได้เกิน 250,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเด็นที่พรรครีพับลิกันไม่เห็นด้วย

 

อย่างไรก็ดีมีการพูดถึงแนวทางที่ทั้งสองฝ่ายอาจจะสามารถประนีประนอมกันได้ อาทิเช่น การเพิ่มระดับรายได้ของกลุ่มที่จะถูกเก็บภาษีเพิ่มจาก 250,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 500,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเพิ่มอัตราภาษีเงินได้สูงสุดจาก 35% ในปัจจุบันเป็นระดับที่ต่ำกว่า 39.6% ซึ่งเป็นระดับที่นายโอบามาต้องการ เป็นต้น

นอกจากการตัดสินใจในเรื่องของรายได้จากภาษีแล้ว อีกส่วนหนึ่งของหน้าผาการคลังที่นักการเมืองสหรัฐฯ ต้องเจรจาเพื่อหาข้อสรุปร่วมกันให้ได้ก่อนสิ้นปี 2555 คือเรื่องของการลดค่าใช้จ่ายมูลค่า 1.09 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้โดยอัตโนมัติในวันที่ 2 มกราคม 2556 ตามเงื่อนไขการเจรจาเรื่องการเพิ่มเพดานหนี้เมื่อปีก่อนถ้าไม่มีการปรับเปลี่ยนแก้ไข

 

ทั้งประธานาธิบดีโอบามาและนักการเมืองจากพรรครีพับลิกันยืนยันชัดเจนว่าไม่ต้องการให้การลดค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายก็ยังมีความเห็นที่แตกต่างกัน โดยพรรครีพับลิกันคัดค้านการลดค่าใช้จ่ายด้านการทหาร และต้องการเปลี่ยนไปลดค่าใช้จ่ายของโครงการด้านนโยบายภายในประเทศแทน ซึ่งพรรคเดโมแครตไม่เห็นด้วย

สำนักงบประมาณของสภาคองเกรสประเมินว่า ถ้าการเจรจาหลีกเลี่ยงการเกิดหน้าผาการคลังล้มเหลว และสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับการขึ้นภาษีและลดค่าใช้จ่ายตามกำหนด จะก่อให้เกิดความสูญเสียต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ประมาณ 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และทำให้เศรษฐกิจตกอยู่ในภาวะถดถอย อีกทั้งการว่างงานมีโอกาสพุ่งขึ้นถึงระดับ 9%

บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส กล่าวว่า ถ้าสหรัฐฯ ตกหน้าผาการคลัง มูดี้ส์จะจับตามองว่าเศรษฐกิจจะรับมือกับความตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นในทันทีอย่างไร และจะยังคงแนวโน้มด้านลบต่ออันดับเครดิตของสหรัฐฯ เอาไว้

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 32 ฉบับที่ 2,793 วันที่ 18-21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

 

 

ผู้นำสภาคองเกรสสหรัฐมั่นใจฝ่า Fiscal Cliff ได้ (19/11/2555)

ผู้นำสภาฯคองเกรสมั่นใจฝ่า Fiscal Cliff ได้

 

ผู้นำพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตในสภาคองเกรสของสหรัฐ ยืนยันหลังจากประชุมนานกว่า 1 ชั่วโมงกับประธานาธิบดีบารัก โอบามาว่า พวกเขาจะหาทางออกร่วมกันเกี่ยวกับเรื่องภาษีและการใช้จ่าย ซึ่งจะทำให้พวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาหน้าผาการคลังหรือ fiscal cliff ได้ ซึ่งปัญหาดังกล่าว อาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐกลับเข้าสู่ภาวะถดถอย

 

นายแฮรี รีด ผู้นำเสียงข้างมากของวุฒิสภาและนางแนนซี เพโลซี ผู้นำเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งทั้งสองคน เป็นสมาชิกพรรคเดโมแครต กล่าวว่า พวกเขาตระหนักถึงความจำเป็นในการควบคุมการใช้จ่าย

 

ส่วนนายจอห์น โบห์เนอร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐซึ่งสังกัดพรรครีพับลิกันและนายมิทช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำพรรครีพับลิกันในวุฒิสภา กล่าวว่า พวกเขาตกลงที่จะหารือเกี่ยวกับรายได้ของรัฐบาล โดยทั้งสองพรรคมีแนวโน้มที่จะทำการเจรจาต่อรองที่ตึงเครียด เป็นเวลาหลายสัปดาห์ก่อนครบกำหนดเส้นตายในวันที่ 31 ธ.ค.

 

นับตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.ปีหน้าเป็นต้นไป มาตรการปรับขึ้นภาษีและการปรับลดค่าใช้จ่ายวงเงินประมาณ 6 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงการปรับลดโครงการด้านกลาโหม และโครงการต่างๆในประเทศลงราว 1.09 แสนล้านดอลลาร์ จะเริ่มมีผลบังคับใช้หากสภาคองเกรส ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะใช้มาตรการใดที่มีความรุนแรงน้อยกว่าแทน

 

ทั้งสองพรรคมีความตั้งใจ ที่จะรับประกันต่อสาธารณะว่า สหรัฐจะไม่เกิดความขัดแย้งด้านงบประมาณซ้ำรอย เหมือนที่เคยส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและนักลงทุนในปีที่ผ่านมา

 

ด้านนายเจย์ คาร์นีย์ โฆษกทำเนียบขาว เปิดเผยเมื่อวันเสาร์ตามเวลาสหรัฐว่า ประธานาธิบดีโอบามา จะประชุมกับผู้นำสภาคองเกรสอีกครั้งในวันศุกร์ที่ 23 พ.ย.หลังวันหยุดเทศกาลขอบคุณพระเจ้า เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางหลีกเลี่ยงวิกฤติหน้าผาการคลังหรือ fiscal cliff ซึ่งหากสภาคองเกรสและทำเนียบขาว ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการลดหนี้และยอดขาดดุลงบประมาณ ภายในสิ้นปีนี้ ก็จะส่งผลให้ต้องมีการปรับลดค่าใช้จ่ายลงอย่างมาก และมีการปรับขึ้นภาษีซึ่งเชื่อว่า จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ (วันที่ 19 พฤศจิกายน 2555)

ถูกแก้ไข โดย เด็กขายของ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กรีซพ้นผิดนัดชำระหนี้ (19/11/2555)

กรีซพ้นผิดนัดชำระหนี้ หลังขายบอนด์ครบ 5 พันล้านยูโร

 

 

สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะของกรีซ (PDMA) ประกาศว่า กรีซสามารถจำหน่ายตั๋วเงินคลังประเภทอายุ 1 เดือนและ 3 เดือนเพิ่มขึ้นอีก 937 ล้านยูโร

(1.19 พันล้านดอลลาร์) เมื่อวานนี้ ซึ่งเมื่อรวมตัวเลขดังกล่าวเข้ากับรายได้จากการประมูลตั๋วเงินคลังในวันอังคาร กรีซสามารถระดมทุนได้ครบตามจำนวน

5 พันล้านยูโร ซึ่งจำเป็นต้องใช้ในการไถ่ถอนตราสารหนี้ของรัฐบาลที่ครบกำหนดในวันนี้ (16 พฤศจิกายน)

 

วันอังคารที่ผ่านมา สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะสามารถขายตั๋วเงินคลังประเภท 1 เดือน และ 3 เดือนได้ในวงเงิน 4.062 พันล้านยูโร (5.14 พันล้านดอลลาร์) ซึ่งรวมถึงการขายตั๋วเงินคลังในการประมูลแบบไม่แข่งขันราคา (non-competitive bids) ในวงเงิน 937 ล้านยูโร ในวันเดียวกัน

 

ส่วนเมื่อวานนี้สามารถขายตั๋วเงินคลังประเภท 1 เดือนในวงเงิน 637 ล้านยูโร และตั๋วเงินคลังประเภท 3 เดือนในวงเงิน 300 ล้านยูโร

 

การขายบอนด์หาเงินให้ได้ 5 พันล้านยูโร ทำให้กรีซมีเงินเพียงพอที่จะชำระหนี้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนในวันนี้ หลังจากที่เงินในคลังหลวงร่อยหรอลงจนเกือบอยู่ในสภาพถังแตก ในขณะที่กลุ่มรัฐมนตรีคลังยูโรโซนเลื่อนประชุมอนุมัติเงินช่วยเหลืองวดถัดไปสำหรับกรีซ เป็นวันที่ 20 พฤศจิกายน

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ (วันที่ 17 พฤศจิกายน 2555)

 

ถกงบประมาณอียูส่อเค้าล่ม (19/11/2555)

ถกงบประมาณอียูส่อเค้าล่ม

 

สหภาพยุโรป (อียู) เสี่ยงประสบปัญหาใหม่อีกในสัปดาห์นี้ เนื่องจากการประชุมสุดยอดอียูวาระพิเศษ ว่าด้วยงบประมาณระยะยาวมีแนวโน้มจะเกิดการเผชิญหน้าอย่างรุนแรงและอาจถึงขั้นล่ม

 

นักการทูตอียู เผยว่า ผู้นำ 27 ชาติอียู เริ่มประชุมวาระพิเศษเรื่องงบประมาณอียูในอีก 7 ปีข้างหน้า ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา หลังจากการเจรจาหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเผยให้เห็นถึงความแตกแยกอย่างรุนแรงระหว่างกลุ่มสนับสนุนมาตรการตัดลดค่าใช้จ่าย และกลุ่มต่อต้าน คาดว่า จะไม่มีใครเดินออกจากการประชุมอย่างพอใจ ต่อให้สามารถบรรลุข้อตกลงได้และมีความเป็นไปได้ว่าอาจเกิดการแตกหัก

 

นักการทูต ระบุว่า แต่ละชาติ ต่างยกผลประโยชน์ของประเทศเหนือผลประโยชน์ร่วมของกลุ่ม โดยนายเฮอร์มาน แวน รอมเปย ประธานอียู เสนอเมื่อสัปดาห์ก่อนให้ลดงบประมาณปี 2557-2563 ลง 75,000 ล้านยูโร (ราว 3 ล้านล้านบาท) เหลือ 1.047 ล้านล้านยูโร (ราว 41.88 ล้านล้านบาท) แต่นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน ของอังกฤษ เสนอให้ลดถึง 200,000 ล้านยูโร (ราว 8 ล้านล้านบาท)

 

ขณะที่สเปนและอิตาลี ร้องเรียนว่า จะถูกตัดความช่วยเหลือ 20,000 ล้านยูโร (ราว 800,000 ล้านบาท) และ 10,000 ล้านยูโร (ราว 400,000 ล้านบาท) ตามลำดับ หากลดงบประมาณตามข้อเสนอของ นายรอมเปย เช่นเดียวกับกลุ่มผู้รับรางวัลโนเบล ที่เดินทางไปยื่นหนังสือร้องเรียนต่ออียูที่กรุงบรัสเซลส์ของเบลเยียม ไม่ให้ลดงบประมาณด้านการวิจัยและนวัตกรรม

 

ด้านนางคริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ระบุว่า เป็นเรื่องสำคัญที่การประชุมยูโรกรุ๊ปในสัปดาห์นี้เกี่ยวกับกรีซ จะนำไปสู่ข้อตกลงที่จะทำให้เศรษฐกิจของกรีซมีการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนมากขึ้น และบรรดาผู้กำหนดนโยบายของยุโรป ต้องดำเนินนโยบายที่จะช่วยหนุนเศรษฐกิจยูโรโซนในปีหน้าด้วย

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ (วันที่ 19 พฤศจิกายน 2555)

ถูกแก้ไข โดย เด็กขายของ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บรรดารัฐและหลายเมืองในสหรัฐ หวั่นได้รับผลกระทบจากปัญหา Fiscal Cliff หรือหน้าผาการคลัง

 

 

รัฐบาลของรัฐต่างๆและเทศบาลเมืองต่างๆของสหรัฐประกาศเตือนรัฐบาลกลางสหรัฐว่า รัฐและเมืองเหล่านี้อยู่ในสถานะที่อ่อนแอ และจะไม่สามารถรับมือกับผลกระทบครั้งใหม่ได้ ถ้าหากสภาคองเกรสไม่ดำเนินมาตรการแก้ไขภาวะ fiscal cliff หรือภาวะที่มาตรการปรับขึ้นภาษีและปรับลดงบรายจ่ายวงเงิน 6 แสนล้านดอลลาร์ของรัฐบาลกลางสหรัฐ จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในต้นปีหน้า หากสภาคองเกรสไม่สามารถบรรลุข้อตกลงก่อนสิ้นปีนี้

 

นายกเทศมนตรี 14 คนของเมืองใหญ่ในสหรัฐได้เดินทางไปยังสภาคองเกรสเมื่อวานนี้ เพื่อแสดงความกังวลดังกล่าว ในขณะที่รัฐและเมืองหลายแห่งในสหรัฐ ยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งที่แล้ว ซึ่งส่งผลให้การจ้างงานและรายได้ด้านภาษีในรัฐและเมืองเหล่านี้ลดลงไปเป็นจำนวนมาก

 

ศูนย์พิว เซ็นเตอร์ ออน เดอะ สเตทส์ เปิดเผยผลการศึกษาว่า รัฐบาลท้องถิ่นบางเขตจะมีสถานะย่ำแย่กว่าเขตอื่นๆ โดยนายเกร็ก สแตนตัน นายกเทศมนตรีเมืองฟีนิกซ์ รัฐอริโซนา กล่าวว่า ถ้าหากเกิดภาวะ fiscal cliff ภาวะดังกล่าวก็จะส่งผลให้การจ้างงานลดลง จนทำให้เศรษฐกิจกลับเข้าสู่ภาวะถดถอย และจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงในทางจิตวิทยาด้วย และไม่คิดว่าสหรัฐจะสามารถผ่านพ้นภาวะนี้ไปได้

 

ถ้าหากเกิดภาวะ fiscal cliff รัฐบาลกลางสหรัฐ ก็จะปรับลดงบประมาณลงโดยอัตโนมัติในช่วงต้นปีหน้า โดยการตัดงบนี้มีชื่อเรียกว่า sequester และสมาชิกสภาคองเกรสหลายคนกำลังหาหนทางสกัดกั้นสิ่งนี้อยู่

 

นายสแตนตัน ประเมินว่า sequester อาจส่งผลให้รัฐอริโซนาสูญเสียตำแหน่งงานในอุตสาหกรรมอาวุธและการบินจำนวน 38,000 ตำแหน่ง ขณะที่ ศูนย์พิว ระบุว่า การปรับลดตำแหน่งงานด้านอาวุธจะสร้างความเสียหายต่อรัฐเวอร์จิเนีย, รัฐแมรีแลนด์ และรัฐฮาวาย แต่รัฐโอเรกอนจะแทบไม่ได้รับผลกระทบ

 

ศูนย์พิว ระบุว่า sequester จะส่งผลให้งบประมาณของรัฐบาลกลางที่จัดสรรให้กับรัฐต่างๆลดลงราว 18 % ในปี 2556 ซึ่งรวมถึงงบประมาณด้านการศึกษาและการเคหะ แม้รายได้ของรัฐต่างๆฟื้นตัวขึ้นในช่วงนี้ แต่ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย และส่งผลให้รัฐเหล่านี้อยู่ในสถานะที่เปราะบางหากต้องเผชิญกับแรงกดดันทางการคลังอีกครั้ง

 

นายไมเคิล ลีชแมน ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยงบประมาณรัฐในศูนย์งบประมาณและนโยบายสำคัญ (CBPP) ระบุว่า ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมารัฐต่างๆในสหรัฐได้ปลดพนักงาน 600,000 ราย และลดงบรายจ่ายลงรวมกันราว 5 แสนล้านดอลลาร์ ถึงแม้ไม่เกิดภาวะ fiscal cliff แต่รัฐเหล่านี้ ก็จะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลกลางลดลงอยู่แล้วจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า เป็นผลจากกฎหมายควบคุมงบประมาณที่ออกมาในปี 2554

 

นายลีชแมนกล่าวว่า "ขณะนี้รัฐต่างๆไม่สามารถปรับตัวรับภาระต้นทุนใหม่จำนวนมากที่จะมีการโอนจากรัฐบาลกลาง"

 

ศูนย์พิว ระบุด้วยว่า รายได้ราว 1 ใน 3 ของรัฐต่างๆมาจากงบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐในปัจจุบัน โดยเทียบกับสัดส่วน 1 ใน 4 ในปี 2543 ซึ่งนายลีชแมน กล่าวว่า กรณีที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้กับรัฐเหล่านี้ ไม่ใช่ sequester แต่เป็นกฎหมายงบประมาณที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครีพับลิกันลงมติในช่วงต้นปีนี้ เพราะร่างกฎหมายนี้ กำหนดให้มีการปรับลดงบประมาณนอกภาคกลาโหม ที่ไม่จำเป็นลงในระดับที่รุนแรงถึง 3 เท่าของระดับการปรับลดใน sequester

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ (วันที่ 17 พฤศจิกายน 2555)

 

 

นักวิเคราะห์หั่นคาดการณ์ศก.สหรัฐ (19/11/2555)

นักวิเคราะห์ปรับลดตัวเลขคาดการณ์ศก.สหรัฐจากปัจจัยหน้าผาการคลัง

 

รอยเตอร์ เผยผลสำรวจระบุว่า นักวิเคราะห์ปรับลดตัวเลขคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐประจำไตรมาส 1 ของปี 2556 เป็นผลจากความไม่แน่นอนในเรื่อง fiscal cliff หรือภาวะที่มาตรการปรับขึ้นภาษีและปรับลดงบรายจ่ายวงเงิน 6 แสนล้านดอลลาร์ของรัฐบาลสหรัฐจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในต้นปีหน้า หากสภาคองเกรสไม่สามารถบรรลุข้อตกลงภายในปีนี้

 

เดือนนี้ ถือเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันที่นักวิเคราะห์ปรับลดตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจประจำไตรมาส 1 ของปี 2556 ลงจากเดิม แต่นักวิเคราะห์คาดว่า ยอดค้าปลีกในสหรัฐอาจเพิ่มขึ้นเกือบ 4 %ในเทศกาลวันหยุดช่วงเดือนพ.ย.-ธ.ค.ปีนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว และคาดว่าค่าจ้างในสหรัฐอาจเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วขึ้นเล็กน้อย

 

รอยเตอร์ สำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์กว่า 60 รายในวันที่ 9-15 พ.ย. พบว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจจะเติบโต 1.6 % เมื่อเทียบเป็นรายปีในไตรมาส 4 โดยตัวเลขนี้ลดลงจากระดับ 1.8 % ที่คาดการณ์ไว้ในโพลล์เดือนต.ค. และคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจเติบโต 1.5 % ในไตรมาส 1/2556 ลดลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ 1.6 % แต่โพลล์ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจเติบโต 2.1 % ในไตรมาส 2/2556

 

ผลสำรวจคาดด้วยว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจเติบโต 2 % สำหรับช่วงตลอดปี 2556 ซึ่งใกล้เคียงกับตัวเลขคาดการณ์อัตราการเติบโตสำหรับปีนี้

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ (วันที่ 17 พฤศจิกายน 2555)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

จับตาสามปัจจัยเสี่ยง เศรษฐกิจปี 2556 (19/11/2555)

นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ "แนวโน้มเศรษฐกิจปี 2556" เปิดงานสัมมนา เรื่อง "สแกนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 56 โอกาสและความท้าทายใหม่"

 

ซึ่งจัดโดยหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งมีสาระอันเป็นประโยชน์จึงนำเสนอ ณ ที่นี้อีกครั้ง

รองผู้ว่าการ ธปท. ได้กล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ว่า แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่เริ่มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ได้แก่ จีนและสหรัฐฯ และกลุ่มที่ยังคงอ่อนแอคือ ยุโรปและญี่ปุ่น ดังนั้น อนาคตจีนจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในตลาดโลกมากขึ้น อีกทั้งกลุ่มตลาดเกิดใหม่ที่ยังเติบโต แต่เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ยังต้องพึ่งพาการส่งออกไปยังประเทศอุตสาหกรรมหลัก ( G3) หากเศรษฐกิจของ G3 ยังมีแนวโน้มซบเซาต่อไปจึงยากที่จะเลี่ยงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น

ปีหน้าโต 4.6 %

" เช่นเดียวกับเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะภาคส่งออกจะยังได้รับผลกระทบและเป็นความเสี่ยง จึงคาดหวังการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ ทั้งด้านการบริโภคและการลงทุนช่วยขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยโดยรวมเติบโตได้ในอัตรา 4.6% โดยมีปัจจัยหนุนหลักๆ มาจากรายได้ภาคครัวเรือน การจ้างงาน และความเชื่อมั่นนักลงทุนที่อยู่ในเกณฑ์ดี

 

ส่วนภาครัฐเริ่มมีความชัดเจนเรื่องแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน บวก ภาวะการเงินที่ยังคงผ่อนคลาย เห็นได้จากต้นทุนการกู้ยืมที่อยู่ในระดับต่ำ (พันธบัตรระยะยาว 5-10 ปีที่อยู่ในระดับต่ำ) ธนาคารพาณิชย์เองมีสภาพคล่องสูงยังมีความพร้อมที่จะปล่อยสินเชื่อ นักลงทุนยังมีความต้องการออกหุ้นกู้ทำให้คาดว่าจะช่วยพยุงกำลังซื้อและการลงทุนในประเทศให้มีต่อเนื่องและช่วยทดแทนภาคส่งออกได้ส่วนหนึ่ง" นางผ่องเพ็ญ กล่าวตอนหนึ่ง และกล่าวถึงอัตราเงินเฟ้อว่า แม้ปัจจุบัน อยู่ในระดับต่ำไม่น่ากังวล ( 3.32%) แต่ต้องจับตา 2 ปัจจัยกระทบหลัก 1.การปรับโครงสร้างราคาพลังงานของประเทศ ซึ่งในปัจจุบันยังมีความไม่แน่นอนสูง และ 2. การปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวันทั่วประเทศตั้งแต่ต้นปีหน้า ซึ่งจะส่งผลต่อต้นทุนการผลิตของภาคธุรกิจในระยะต่อไป

 

-จับตา 3 ปัจจัยเสี่ยงหลัก

รองผู้ว่าการ ธปท. ยังได้กล่าว แม้เศรษฐกิจไทยยังคงแข็งแกร่ง แต่ยังมีโอกาสไม่เป็นไปตามคาด จาก 3 ปัจจัยเสี่ยง คือ 1. แนวโน้มการฟื้นตัวและพัฒนาการด้านต่างๆ ของเศรษฐกิจโลก ซึ่งขึ้นอยู่กับการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ระบบการเงิน และหนี้สาธารณะ เช่น แม้ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ จะชี้ถึงการสานต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ด้วยการเมืองที่แบ่งเป็น 2 ขั้วความเป็นไปได้ในการต่ออายุมาตรการกระตุ้นทางการคลังของสหรัฐฯ (Fiscal cliff)ที่จะสิ้นสุดในปลายปี ซึ่งมีผลถึง 3.5% ต่อจีดีพี

" หากไม่สามารถตกลงกันได้ (พรรคเดโมแครตกับริพับลิกัน) อาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ กลับเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้งในปีหน้า (หดตัว0.3%) หรือหากเลือกต่ออายุมาตรการทั้งหมดหรือบางส่วนออกไป สิ่งที่น่าเป็นกังวลตามมาคือเพดานหนี้สาธารณะที่จะส่งผลต่ออันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ" นางผ่องเพ็ญย้ำ

เธอได้กล่าวถึงเศรษฐกิจจีนว่า แม้เติบโตต่อเนื่อง แต่โอกาสขยายตัวในระดับ 8-9 % เป็นไปได้ยาก เพราะจีนพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น อยู่มาก คิดเป็นสัดส่วนเกินกว่า 43 % ของการส่งออกรวม ที่มีอยู่ประมาณ 30-40 ของรายได้ประชาชาติ (จีเอ็นพี) ขณะที่ จีนหันมาให้ความสำคัญกับหันมาพึ่งพาการจับจ่ายใช้สอยในประเทศสร้างเสถียรภาพและการกระจายรายได้ระหว่างคนเมืองและชนบทมากขึ้นเพื่อปรับสมดุลของเศรษฐกิจ ส่วนยุโรปยังไม่มีความชัดเจนกระบวนการแก้ไขปัญหาสะท้อนถึงภาวะถดถอยที่ยังคงเกิดขึ้นในปีหน้า

 

-เงินทุนจะไม่ไหลเข้าไทยมากนัก

" เงินทุนที่จะไหลเข้ามาสู่กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ คือ ลาตินอเมริกา เนื่องจากที่ผ่านมาตลาดภูมิภาคเอเชียและไทยมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้าทั้งการลงทุนตรง และการลงทุนในหลักทรัพย์โดยเฉพาะตราสารหนี้ไทยที่สัดส่วนการลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นถึง 10-11% จากเดิมมีสัดส่วนเพียง 3-4% ผลดีคือทำให้ต้นทุนอัตราดอกเบี้ยระยะยาวในประเทศถูกลงและเป็นโอกาสภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ปกติ" เธอกล่าวตอนหนึ่งและต่อว่า

" เชื่อว่าในระยะถัดไปเงินทุนต่างชาติจะไม่ไหลเข้ามาในไทยมากนักเพราะสถานการณ์เศรษฐกิจขณะนี้ไม่ได้เติบโตสูงเทียบเท่าช่วงก่อนหน้า อีกทั้งราคาสินทรัพย์ไทยเพิ่มสูงขึ้นจากอัตราส่วนราคาหลักทรัพย์ต่อผลตอบแทน(PE ratio)เดือนตุลาคมขึ้นมาอยู่ที่ 17.5 เท่าสูงกว่าระดับค่าเฉลี่ย 5 ปีก่อนซึ่งเคยอยู่ที่ 13.3 เท่า รวมถึงธปท.ออกมาตรการผ่อนคลายให้ธุรกิจไทยไปลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้น จึงเชื่อว่าผลกระทบต่อค่าเงินบาทจึงไม่น่ารุนแรงเทียบเท่าช่วงปี 2552-2553 ที่แข็งค่าขึ้นกว่า 10% และต่อไปธปท.จะปล่อยให้เงินบาทเป็นไปตามกลไกตลาดมากขึ้น

ส่วนปัจจับเสี่ยงลำดับที่ 3 ที่รองผู้ว่าการ ธปท. ระบุว่าต้องจับตาคือ " การจับจ่ายใช้สอยในประเทศทั้งจากภาคธุรกิจและครัวเรือน ที่จะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญให้กับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เศรษฐกิจโลกและการส่งออกยังอ่อนแอ โดยเฉพาะในระยะต่อไป มาตรการเสริมที่จะมากระตุ้นจากภาครัฐนั้นไม่ควรสะดุดลง รวมทั้งการใช้จ่ายด้านต่างๆ โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐ ตลอดจนปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจ เช่น ต้นทุนการกู้ยืมที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ในการช่วยเป็นแรงสนับสนุนให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจดำเนินต่อไปได้แม้ไม่หวือหวาร้อนแรง แต่ก็ราบรื่น "

 

-ไม่มีฟองสบู่ภาคอสังหาฯ

ส่วนภาคอสังหาริมทรัมทรัพย์ นางผ่องเพ็ญ ชี้ว่าจะขยายตัวตามทิศทางเศรษฐกิจที่คงเติบโตต่อเนื่อง โดยทั้งสินเชื่อและโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยยังไม่พบสัญญาณความไม่สมดุลด้านราคาและปริมาณที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้ายังสอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงและต้นทุนที่สูงขึ้น สะท้อนกำลังซื้อที่เกิดจากความต้องการที่แท้จริงมากกว่าการเก็งกำไร ขณะที่ผู้กู้เองมีความสามารถในการชำระหนี้และธนาคารพาณิชย์ไม่ผ่อนมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อโดยให้ความสำคัญต่อคุณภาพสินเชื่ออยู่

นอกจากนี้ ความกังวลต่อการเก็งกำไรในภาคอสังหาฯจากผลกระทบของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณระยะที่ 3 (คิวอี 3) ของสหรัฐฯนั้น แม้เห็นผลไม่ชัด แต่ความแตกต่างจากฮ่องกงและสิงคโปร์ และการวิเคราะห์ข้อมูลในอดีตพบว่า การเคลื่อนไหวของตลาดอสังหาฯ ไม่มีความสัมพันธ์กับการไหลเข้าออกของเงินลงทุนจากต่างประเทศมากนัก

 

-การดำเนินนโยบายการเงิน

สำหรับแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินในระยะข้างหน้านั้น ธปท. ยึดหลักการกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ยด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจอย่างรอบคอบและรอบด้าน และคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการสนับสนุนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และการรักษาสมดุลในภาคการเงินควบคู่กันไป ถ้าพิจารณาแล้วพบว่าความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจมีเพิ่มขึ้นหรือเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อและเสถียรภาพทางการเงินยังอยู่ในระดับที่ไม่น่าเป็นกังวลนโยบายการเงินก็พร้อมที่จะผ่อนปรนเพิ่มเติม เพื่อช่วยสนับสนุนให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจดำเนินได้ต่อไปอย่างราบรื่น ในขณะเดียวกัน หากความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อมีมากขึ้น รวมถึงหากพบสัญญาณความไม่สมดุลเกิดขึ้นในระบบการเงิน ธปท. ก็อาจจะต้องใช้นโยบายการเงินรวมทั้งมาตรการเสริมเพื่อดูแลเสถียรภาพของเศรษฐกิจในระยะยาว

"ธปท.จะดูแลเศรษฐกิจได้เพียงภาพรวมเท่านั้น แต่ในภาคธุรกิจเอกชนจะต้องดูแลตัวเอง ไม่ควรหยุดนิ่ง ต้องปรับตัวและรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นตลอดเวลา ติดตามข่าวสาร ไม่ควรวางใจ และต้องเตรียมตัวให้พร้อม"นางผ่องเพ็ญฝากการบ้านทิ้งท้ายให้ภาคเอกชน

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 32 ฉบับที่ 2,793 วันที่ 18-21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

TheBullionDesk, Reuters, Infoquest และ CNBC

 

ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อคืนวันศุกร์ และตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาเรียกได้ว่าราคาทองคำปรับตัวลดลงอย่างมากถึง 1% อันเนื่องมาจากสัญญาณเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัวลง รวมไปถึงความกังวลในเรื่องภาวะถดถอยในเศรษฐกิจสหรัฐ และการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ นอกจากนี้ข่าวต่างๆ เกี่ยวกับที่ยูโรโซนเข้าสู่ภาวะถดถอย ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาน่าผิดหวัง และนายเบน เบอร์นันเกมีมุมมองที่เป็นลบต่อสภาพการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัย ทุกสิ่งล้วนเป็นตัวมีอิทธิพลต่อทองคำทั้งสิ้น โดยสัญญาส่งมอบเดือนธันวาคมปรับตัวสูงขึ้น 90 เซนต์ ปิดตลาด COMEX ที่ระดับ 1,714.7 เหรียญ/ออนซ์ ด้วยปริมาณการซื้อขายเท่ากับค่าเฉลี่ย 30 วัน

 

ราคาทองคำปรับตัวลดลงเนื่องจากดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลงในระยะ 2 สัปดาห์มากที่สุดในรอบประมาณ 6 เดือน ซึ่งนักวิเคราะห์ต่างๆ กล่าวว่า มีความกังวลเกี่ยวกับการที่เศรษฐกิจสหรัฐอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยหากมีการเพิ่มภาษีและตัดลดการใช้จ่ายเกิดขึ้น ซึ่งนั่นจะส่งผลต่อตลาดทุกตลาด ทั้งนี้ ความรุนแรงของการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นล่าสุดได้ส่งผลตอความกังวลของนักลงทุนในทองคำว่า การที่ราคาทองคำมีการปรับตัวตามการเคลื่อนไหวขอตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่องจะบังคับให้นักลงทุนต้องเทขายทองคำออกไป

 

TD Bank precious metals กล่าวในรายงานว่า การเทขายอย่างหนักใน call spread ของสัญญา Options ระหว่างราคา 1,700 ถึง 1,670 เหรียญสำหรับค่าพรีเมี่ยมต่ำๆ ชี้ให้เห็นว่า เดียเลอร์มีการคาดหวังว่าตลาดคงไม่ปรับตัวลงไปมากกว่านี้

 

ตลาดหุ้นต่างๆ ของสหรัฐปรับตัวสูงขึ้นเมื่อวันศุกร์ หลังจากผู้นำทางรัฐสภาได้แก่พรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตประชุมกับนายบารัก โอบามา เมื่อวันศุกร์ โดยทางรัฐสภามีการให้คำปฏิญาณว่าจะจัดตั้งมาตรการเกี่ยวกับภาษีและค่าใช้จ่ายที่เป็นสามัญเพื่อให้สามารถดักหน้าภาวะ Fiscal Cliff ที่ใกล้จะเกิดขึ้น

 

สิ่งที่ยังเป็นตัวสนับสนุนอยู่อีกประเด็นหนึ่งก็คือ ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในตะวันออกกลางอันเนื่องมาจากยังคงมีการปะทะกันระหว่างอิสราเอลและกองกำลังทหารปาเลสไตน์อยู่ ซึ่งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอลกล่าวว่า ปฏิบัติการโจมตีในกาซาจะยังคงดำเนินต่อไป พร้อมเผยว่ากองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) กำลังเตรียมความพร้อมที่จะขยายปฏิบัติการโจมตีดังกล่าว โดยกองทัพอิสราเอลยังคงบุกโจมตีกาซาต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 เมื่อวานนี้ ส่งผลให้มีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตแล้ว 52 คน อย่างไรก็ตาม นายบัน คี-มูน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติได้เรียกร้องให้กองกำลังทหารอิสราเอลและปาเลสไตน์ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่อียิปต์ เพื่อหยุดยิงในทันที โดยกล่าวว่า การสู้รบที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นจะส่งผลกระทบต่อพลเรือน

 

ในสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำปรับตัวลดลงจากการรายงานสภาทองคำโลก หรือ World Gold Council ที่รายงานว่า ปริมาณความต้องการทองคำทั่วโลกลดลง 11% ในไตรมาสที่ 3 จากระดับสถิติในช่วงเดียวกันของเมื่อปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ปริมาณความต้องการการลงทุนในทองคำยังคงฟื้นตัวได้ดีขึ้น ด้วยปริมาณการถือครองทองคำของกองทุน SPDR เพิ่มขึ้นใกล้กับระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ทำไว้เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

 

CFTC รายงานว่า ในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 13 พฤศจิกายน นักเก็งกำไรต่างๆ ได้เพิ่มการลงทุนทองคำในสถานะ Long Position สุทธิ จากระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือนที่ทำไว้เมื่อสัปดาห์หนึ่งก่อนหน้านี้

 

นายวิตโตริโอ กริลลิ รัฐมนตรีการคลังและเศรษฐกิจของอิตาลีกล่าวกับสำนักข่าว CNBC ว่าอิตาลีกำลังสร้างความก้าวหน้าที่ดีในแผนการปฏิรูปเศรษฐกิจ แต่ก็ยังคงจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงลึกด้วย

 

นางคริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการไอเอ็มเอฟ กล่าวในฐานะประธานการประชุมกับกลุ่มผู้นำยุโรปว่า ข้อตกลงระหว่างกลุ่มเจ้าหนี้ของกรีซในวิธีการลดหนี้สินขนาดใหญ่ ควรทำให้เกิดขึ้นจริงที่ไม่ใช่แค่เพียงความคิดต้องการจะทำ โดยนางลาการ์ดได้ยกเลิกการเดินทางเยือนเอเชียในพม่า เพื่อกลับไปร่วมประชุมกับยูโรกรุ๊ปในวันอังคารสำหรับประเด็นของกรีซ ซึ่งเธอจะพยายามผลักดันให้เกิดการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนสำหรับหนี้สินของกรีซเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะทำลายสภาพเศรษฐกิจของกรีซด้วย

 

cleardot.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดิ์ดี รายงานตัวครับ ทุกท่าน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

**SETร่วง แรงขายต่างชาติถ่วงตลาด

 

 

 

 

สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า แนวโน้มหุ้นไทยวันนี้ปรับลง แรงขายต่างชาติถ่วงตลาด รอดูปัจจัยต่างประเทศ

 

 

*นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ คาดหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสปรับลดลง หลังยังไม่มีปัจจัยหนุน

เข้ามาสู่ตลาด โดยแรงขายของนักลงทุนต่างชาติจะยังกดดันภาพรวมการลงทุน

ขณะที่ยังต้องจับตาประเด็นจากต่างประเทศ ทั้งปัญหาหนี้กรีซ และวิกฤติหน้าผา

การคลัง (fiscal cliff)

*ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับตัวขึ้นในวันศุกร์ โดยดัชนีดาวโจนส์ ปิดบวก 0.37% ขณะที่

ได้แรงหนุนจากความหวังที่ว่า นักการเมืองสหรัฐจะหาทางออกร่วมกันได้ในการแก้ไข

วิกฤติหน้าผาการคลัง แม้การปรับตัวขึ้นของตลาดไม่เพียงพอที่จะชดเชยการร่วงลง

ในสัปดาห์นี้ก็ตาม

*ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดเมื่อวันศุกร์ บวก 1.22

ดอลลาร์ มาที่ 86.67 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่เหตุเพลิงไหม้ที่แท่นผลิตน้ำมันใน

อ่าวเม็กซิโก และความขัดแย้งที่ลุกลามระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตนส์ทำให้เกิด

ความวิตกเกี่ยวกับปริมาณน้ำมัน

*วันศุกร์ต่างชาติขายสุทธิ 1.25 พันล้านบาท จากวันพฤหัสบดีขายสุทธิ 1.33 พันล้านบาท

*เช้านี้บาท/ดอลลาร์ อยู่ที่ 30.71/73 เมื่อวันศุกร์อยู่ที่ 30.72/79

*นักวิเคราะห์มองแนวรับที่ 1,260 ส่วนแนวต้านที่ 1,285 จุด

 

 

"เท่าที่ดูยังไม่มี factor ที่เป็นบวกหนุนตลาด สิ่งที่กังวลเป็นเรื่องการขายของ ต่างชาติ...อีกทั้งจะมีม็อบในช่วงสุดสัปดาห์ และยังต้องจับตาดูปัจจัยจากต่างประเทศด้วย" นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าว

 

 

เขา กล่าวว่า ตามสถิติในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา พบว่าส่วนใหญ่นักลงทุนต่างชาติจะขายสุทธิในช่วงเดือนพ.ย. ขณะที่ปัจจัยหนุนจากเงินกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) และเงินกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(RMF) น่าจะเข้ามาหนุนตลาดอย่างเด่นชัดในช่วงเดือนธ.ค.

 

นอกจากนี้ ยังต้องจับตาปัจจัยจากต่างประเทศ ทั้งกรณีการประชุมยูโรกรุ๊ป 17 ประเทศในวันที่ 20 พ.ย.เกี่ยวกับกรณีกรีซ และต้องติดตามการแก้ไขวิกฤติหน้าผาการคลังของสหรัฐ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้น่าจะยังทำให้ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังมีความผันผวน และมีโอกาสจะปรับตัวลงได้

 

เขา ยังเห็นว่านักลงทุนยังคงจับตาการวินิจฉัยของศาลปกครองกลาง กรณี ใบอนุญาตโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3G ด้วย

 

ดัชนีตลาดหุ้นสำคัญ

*ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันศุกร์ ปิดบวก 6.11 จุด หรือ 0.48% มาที่ 1,280.13

ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 24,793.67 ล้านบาท

*ตลาดหุ้นสหรัฐปิดทำการเมื่อวันศุกร์ ปิดบวก 45.93 จุด หรือ 0.37% มาที่

12,588.31 และดัชนีแนสแดค ปิดบวก 16.19 จุด หรือ 0.57% มาที่ 2,853.13

*ตลาดหุ้นในภูมิภาคเช้านี้ ส่วนใหญ่บวก โดยตลาดหุ้นสิงคโปร์ บวก 0.18%,ญี่ปุ่น

บวก 1.36%, เกาหลีใต้ บวก 0.95%, ไต้หวัน ลบ 0.04% และตลาดหุ้นฮ่องกง

บวก 0.54%

 

จับตาหุ้น

*TISCO ตั้งเป้าสินเชื่อปีหน้าโต 12-15%, มองยอดขายรถยนต์ 1.1-1.2 ล้านคัน

*THAI เผยเคบิน แฟคเตอร์ ต.ค.ที่ 73.5% เพิ่มจาก 65.7% ต.ค.ปีก่อน

*THCOM เผยศึกษานำ"ลาวเทเลคอม"เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นลาว,คาดสรุปปีหน้า

*RML หลังตลท.ให้วางเงินสดเต็มจำนวนก่อนซื้อตั้งแต่ 19 พ.ย.-7 ธ.ค.

*HMPRO หนังสือพิมพ์เผยผู้บริหารคาดปีนี้ยอดขายโตมากกว่าเป้าหมายที่ 15% จากปีก่อน

ที่มา ทันหุ้น

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

*ทำเนียบขาวเปิดเผยในวันเสาร์ตามเวลาสหรัฐว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามา

จะประชุมกับผู้นำสภาคองเกรสอีกครั้งในวันศุกร์ที่ 23 พ.ย.หลังวันหยุดเทศกาลขอบคุณ

พระเจ้า เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางหลีกเลี่ยงวิกฤติหน้าผาการคลังหรือ fiscal

cliff ซึ่งหากสภาคองเกรสและทำเนียบขาวไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการลดหนี้

และยอดขาดดุลงบประมาณภายในสิ้นปีนี้ ก็จะส่งผลให้ต้องมีการปรับลดค่าใช้จ่ายลง

อย่างมาก และมีการปรับขึ้นภาษี ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย

*ผู้นำพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตในสภาคองเกรสของสหรัฐยืนยันหลังจาก

ประชุมนานกว่า 1 ชั่วโมงกับประธานาธิบดีบารัค โอบามาเมื่อวันศุกร์ว่า พวกเขา

จะหาทางออกร่วมกันเกี่ยวกับเรื่องภาษีและการใช้จ่าย ซึ่งจะทำให้พวกเขาสามารถ

หลีกเลี่ยงปัญหา fiscal cliff

 

*ผู้ว่าการธปท.กล่าวว่า ขณะนี้ ธปท.เริ่มติดตามสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองอย่าง

ใกล้ชิด โดยมองว่าปัจจัยความไม่สงบทางการเมืองก็ถือเป็นความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจ

และความเคลื่อนไหวทางการเมืองใกล้กับกำหนดการประชุมกนง. ในวันที่ 28 พ.ย.นี้

จะมีการยกประเด็นการชุมนุมขับไล่รัฐบาลขององค์การพิทักษ์สยาม เข้าไปประกอบการ

ตัดสินใจในแง่เศรษฐกิจและนโยบายการเงินในระยะต่อไปด้วย (นสพ.โพสต์ทูเดย์)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...