ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

อ่าน “เหนือเมฆ2 : มือปราบจอมขมังเวทย์”

 

http://www.manager.co.th/Drama/ViewNews.aspx?NewsID=9560000001410

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

'หุบเหวการคลัง'ขวากหนามใหม่ใหญ่กว่าหน้าผา (07/01/2556)

"หุบเหวการคลัง"ขวากหนามใหม่ที่ใหญ่กว่า"หน้าผาการคลัง" โจทย์ใหญ่ที่ "โอบามา"ต้องเผชิญ

 

ประธานาธิบดีบารัก โอบามาและสมาชิกสภาคองเกรสสังกัดพรรครีพับลิกัน มีแนวโน้มที่จะเผชิญกับความขัดแย้งด้านงบประมาณครั้งใหญ่ในช่วง 2 เดือนข้างหน้า แม้ทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุข้อตกลงกันในการหลีกเลี่ยงภาวะ fiscal cliff

 

สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ซึ่งพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากได้อนุมัติข้อตกลงหลีกเลี่ยง fiscal cliff เมื่อวานนี้ตามเวลาไทย ซึ่งเหตุการณ์นี้ ถือเป็นชัยชนะของปธน.โอบามา ซึ่งให้สัญญาว่าจะแก้ไขปัญหาด้านงบประมาณด้วยการขึ้นภาษี คนรวย

 

อย่างไรก็ดี ข้อตกลงที่ผ่านสภาผู้แทนวันพุธ (2 ธ.ค.) ถือเป็นการปูทางไปสู่ความขัดแย้งในช่วง 2 เดือนข้างหน้าในเรื่องการตัดงบรายจ่ายของรัฐบาล และการเพิ่มเพดานหนี้ของรัฐบาลสหรัฐ โดยสมาชิกพรรครีพับลิกันหลายคนประกาศว่า จะใช้การอภิปรายเรื่องเพดานหนี้เป็นเครื่องมือในการกดดันให้รัฐบาลตัดงบรายจ่ายครั้งใหญ่ หลังจากสมาชิกพรรครีพับลิกันกลุ่มนี้ไม่พอใจที่ข้อตกลง fiscal cliff แทบไม่ได้ช่วยจำกัดยอดขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลาง

 

สมาชิกพรรครีพับลิกัน เชื่อว่า พวกเขามีอำนาจในการเจรจาต่อรองเหนือกว่า ปธน.โอบามาในเรื่องการเพิ่มเพดานหนี้ในเดือนก.พ. เนื่องจากความล้มเหลวในการบรรลุข้อตกลงดังกล่าวอาจส่งผลให้สหรัฐผิดนัดชำระหนี้ หรือทำให้มีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐลงอีกครั้ง

 

ความขัดแย้งเรื่องเพดานหนี้ระหว่างพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน เคยส่งผลให้สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐลงจาก AAA สู่ AA+ ในเดือนส.ค. 2554

 

อย่างไรก็ดี ปธน.โอบามาและสมาชิกสภาคองเกรสพรรคเดโมแครต อาจจะมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้นหลังจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครีพับลิกันจำนวนหลายสิบคนได้ยอมอ่อนข้อให้กับพรรคเดโมแครตด้วยการลงคะแนนเสียงสนับสนุนมาตรการเพิ่มอัตราภาษีครั้งใหญ่เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีเมื่อวานนี้

 

กระนั้น ความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ลงระหว่างผู้นำพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน บ่งชี้ว่า การเจรจาต่อรองจะดำเนินไปอย่างยากลำบากในอนาคต โดยโจ ไบเดน รองประธานาธิบดีสหรัฐ และมิทช์ แมคคอนเนล ผู้นำวุฒิสมาชิกพรรค รีพับลิกัน ต้องเข้ามาช่วยจัดทำข้อตกลงขั้นสุดท้ายในเรื่อง fiscal cliff

 

ด้านนักวิเคราะห์ กล่าวเตือนว่า ปัญหาเรื่องเพดานหนี้จะไม่คลี่คลายลงไปอย่างง่ายดาย โดยเกร็ก แวลเลียร์ หัวหน้านักยุทธศาสตร์การเมืองของโปโตแมค รีเสิร์ช กรุ๊ป กล่าวว่า "ถึงแม้ตลาดและผู้เสียภาษีส่วนใหญ่อาจพึงพอใจกับการก้าวผ่านปัญหาหน้าผาการคลัง แต่ปัญหาความขัดแย้งเรื่องเพดานหนี้จะเป็นภัยคุกคามตลาดที่ใหญ่กว่าหน้าผาการคลัง เนื่องจากความกังวลเรื่องการผิดนัดชำระหนี้จะเพิ่มสูงขึ้นในเดือนก.พ. และจะมีความวิตกเกี่ยวกับ การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือด้วย

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ (วันที่ 4 มกราคม 2556)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ดอลลาร์ทรงตัวเทียบเยนเช้านี้ หลังสหรัฐเผยตัวเลขจ้างงานพุ่งเกินคาด (07/01/2555)

สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเคลื่อนไหวเกือบทรงตัวในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตราโตเกียวช่วงเช้าวันนี้ หลังจากที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปีในการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ เพราะได้แรงหนุนจากตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรที่ขยายตัวได้ดีเกินคาดของสหรัฐ

 

ณ เวลา 09.00 น.ตามเวลาโตเกียว ดอลลาร์เคลื่อนไหวอยู่ที่ 88.20-88.23 เยน เมื่อเทียบกับระดับที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ที่ 88.11-88.21 เยน

 

ขณะที่สกุลเงินยูโรเคลื่อนไหวอยูที่ 1.3067-1.3069 ดอลลาร์สหรัฐ และ 115.27-115.29 เยน เมื่อเทียบกับระดับที่ตลาดนิวยอร์กที่ 1.3065-1.3075 ดอลลาร์สหรัฐ และ 115.16-115.26 เยน

 

สกุลเงินดอลลาร์ได้แรงหนุนหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรปรับตัวเพิ่มขึ้น 155,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. ขณะที่อัตราว่างงานอยู่ที่ระดับ 7.8% ซึ่งบ่งชี้ถึงสัญญาณการขยายตัวในตลาดแรงงานสหรัฐ

 

ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับที่ ADP Employer Services รายงานไว้ก่อนหน้านี้ว่า ภาคเอกชนทั่วสหรัฐมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 215,000 รายในเดือนธ.ค. ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 130,000 ราย

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 7 มกราคม 2555)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นักเศรษฐศาสตร์คาดวิกฤตแรงงานสหรัฐอาจยืดเยื้อนานถึงปี 2564 (07/01/2555)

นางเฮดี เชียร์ฮอล์ซ นักเศรษศาสตร์แห่งสถาบันนโยบายเศรษฐกิจกล่าวว่า วิกฤตแรงงานสหรัฐอาจจะยืดเยื้อนานถึงอีกใน 9 ปีข้างหน้า หากอัตราการขยายตัวของการจ้างงานยังอยู่ในระดับปัจจุบัน

 

สถิติอัตราว่างงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติสหรัฐยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขปรับทบทวนในเดือนที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้น 155,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นตัวเลขใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยที่ 153,000 ตำแหน่งในช่วง 11 เดือนแรกของปี

 

“อัตราการขยายตัวของการจ้างงานในเดือนธันวาคมจะยังไม่สามารถอุดช่องว่างในตลาดแรงงานได้ไปจนถึงปี 2564" นางเชียร์ฮอล์ซกล่าว

 

นางเชียร์ฮอล์ซระบุว่า อันที่จริง เศรษฐกิจสหรัฐมีช่องว่างตำแหน่งงาน 9 ล้านตำแหน่ง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ว่างลงนับตั้งแต่ช่วงเศรษฐกิจถดถอยในปี 2550 ผนวกกับตำแหน่งงานที่ควรจะเพิ่มขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของแรงงาน แต่ไม่มีการขยายตัวในช่วงดังกล่าว

 

วิกฤตแรงงานซึ่งคาดว่าจะยุติลงในปี 2564 ส่งผลให้อัตราว่างงานทำสถิติอยู่ในระดับสูงเป็นเวลา 14 ปีติดต่อกัน ขณะที่สถานการณ์การจ้างงานในเดือนธันวาคมทำสถิติอัตราว่างงานที่อยู่ในระดับสูงเป็นปีที่ 5 ติดต่อกันนับตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2550 และนานกว่า 3 ปีติดต่อกันนับตั้งแต่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวในปี 2552

 

การว่างงานอย่างยาวนาน ซึ่งหมายถึงผู้ที่ตกงานติดต่อกันนานกว่า 27 สัปดาห์ ยังคงเป็นปัญหาที่สำคัญ โดยประชาชนเกือบ 3 ล้านคนเป็นผู้ว่างงานติดต่อกันยาวนาน และสิ่งที่แย่ไปกว่านั้นก็คือยิ่งว่างงานนานขึ้นก็ยิ่งหางานได้ยากขึ้น เนื่องจากนายจ้างเชื่อว่า ทักษะต่างๆอาจจะสูญเสียไปหากไม่ได้ใช้ติดต่อกันทุกๆวัน

 

แต่อย่างไรก็ดี นายเบอร์นาร์ด บูมอห์ล หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของอีโคโนมิค เอาท์ลุค กรุ๊ป และแขกรับเชิญประจำในรายการ Nightly Business Report ของสถานีโทรทัศน์พีบีเอสระบุว่า มาตรวัดเศรษฐกิจต่างๆบ่งชี้ว่าสหรัฐกำลังเดินมาถูกทางแล้ว นับตั้งแต่ตลาดที่อยู่อาศัยไปจนถึงความแข็งแกร่งของภาคธนาคารและสินเชื่อผู้บริโภค

 

นายบูมอห์ลคาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวในปีนี้ หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐได้ผ่าทางตันปัญหางบประมาณค่าใช้จ่าย

 

“บริษัทที่มีเงินสดสำรองจำนวนมากยังคงรอนำเงินไปลงทุน" เขากล่าว พร้อมกับเสริมว่า บริษัทต่างๆจะเริ่มจ้างพนักงานเพิ่มหลังมีความชัดเจนเกี่ยวกับการปรับลดงบประมาณค่าใช้จ่ายของรัฐบาลและประเด็นอื่นๆด้านการคลังอันเนื่องมาจากความขัดแย้งในรัฐสภา สำนักข่าวซินหัวรายงาน

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 5 มกราคม 2555)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตลาดหุ้นเอเชียผันผวนเช้านี้ ขณะข้อมูลแรงงานสหรัฐดีเกินคาด

 

 

ตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวอย่างผันผวนเช้านี้ ขณะที่ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐขยายตัวได้ดีเกินคาด

ดัชนี MSCI Asia Pacific Index (MXAP) เคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยที่ระดับ 131.83 จุด เมื่อเวลา 9.31 น.ตามเวลาโตเกียว

ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 10,743.69 จุด เพิ่มขึ้น 55.58 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 7,797.05 จุด ลดลง 8.94 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,012.15 จุด เพิ่มขึ้น 0.21 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,233.94 จุด เพิ่มขึ้น 8.72 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,692.97 เพิ่มขึ้น 0.39 จุด และดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียเปิดวันนี้ที่ 4,726.80 จุด เพิ่มขึ้น 3.00 จุด

หุ้นฮอนด้า มอเตอร์ บวก 1.1% ขณะที่หุ้นซัมซุง และ แอลจี ดิสเพลย์ ลดลงกว่า 1.4%

กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรปรับตัวเพิ่มขึ้น 155,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. ขณะที่อัตราว่างงานอยู่ที่ระดับ 7.8% ซึ่งบ่งชี้ถึงสัญญาณการขยายตัวในตลาดแรงงานสหรัฐ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตลาดหุ้นไทยสะดุดหลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณอาจยุติมาตรการ QE3 ก่อนกำหนด ราคาทองคำทรุดตัวลงแตะ 1,640 ดอลลาร์สรอ./ออนซ์ ดัชนีตลาดอ่อนตัวลงจากแรงขายทำกำไรระยะสั้นและความวิตกในมาตรการ QE3 แรงซื้อที่กลับเข้ามาในหุ้นกลุ่มธนาคารและที่ดิน หนุนดัชนีตลาดหุ้นไทยกลับขึ้นมาปิดในแดนบวกที่ 1,416.66 จุด เพิ่มขึ้น 8.25 จุด มูลค่าการซื้อขาย 4.73 หมื่นล้านบาท ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบเกือบ 17 ปี จากเม็ดเงินลงทุนที่ยังมีแนวโน้มไหลเข้าตลาดหุ้นไทย ท่ามกลางความเสี่ยงจากปัจจัยทางเทคนิคในระยะสั้น

ปัจจัยที่จะส่งผลกระทบ

หน้าผาทางการคลัง (Fiscal Cliff) พ้นวิกฤติหลังสภาคองเกรสสหรัฐฯสามารถผ่านกฎหมายงบประมาณ ตลาดหุ้นทั่วโลกขานรับในทางบวกหลังหน้าผาทางการคลังผ่านพ้นไปได้ นักลงทุนยังกังวลกับแผนการตัดลดงบประมาณรายจ่ายที่รอการพิจารณาในสภาผู้แทนสหรัฐฯ

ตลาดหุ้นผวารายงานเฟดประจำเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยกรรมการบางคนเห็นว่ามาตรการซื้อพันธบัตรเดือนละ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์สรอ./เดือน ควรยุติภายในปี 2556 สร้างความกังวลให้กับนักลงทุน ต่างนำหุ้นและทองคำออกเทขาย ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง ขณะที่ราคาทองคำทรุดตัวลงแตะ 1,640 ดอลลาร์สรอ./ออนซ์

เศรษฐกิจยุโรปฟื้นตัวอย่างช้าๆ ค่าเงินสกุลยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลดอลลาร์สรอ. อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของกรีก และสเปนลดลง สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของ นักลงทุนเริ่มกลับมา อัตราว่างงานของสเปน ลดลง หากไม่มีอาการแทรกซ้อนของปัญหาใหม่ เชื่อว่าเศรษฐกิจในกลุ่มยูโรมีแนวโน้ม ฟื้นตัวอย่างช้าๆ

สภาพคล่องที่เกิดจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยุโรปและญี่ปุ่น มีแนวโน้มที่จะไหลเข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเชียและตลาดหุ้นไทย เนื่องจากเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องดีกว่ ภูมิภาคอื่นๆ

 

อ่านต่อตามลิงค์

 

http://www.thunhoon.com/highlight/119841/119841.html

ถูกแก้ไข โดย เด็กขายของ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

โหราศาสตร์หุ้น..ปี งูเล็ก ระวัง SET Index พุ่งสุด-ลงสุด

 

 

เปิดคำพยากรณ์ตลาดหุ้นปีมะเส็ง ธาตุน้ำ ปี 2556 ผ่าน 3 ความคิด ทั้งในมุม “โหราศาสตร์“ อาจารย์ช้าง..ทศพร ศรีตุลา เจ้าของฉายา “ซินแสไฮโซ“ กับอีกสองเซียนหุ้นรายใหญ่ “นพ.บุญ วนาสิน“ และ “เสี่ยปู่“ สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล พร้อมใจฟันธงดัชนีหุ้นประเทศไทยมุ่งหน้าสู่ “ขาขึ้น“

นับว่าเหนือความคาดหมายอย่างยิ่งสำหรับตลาดหุ้นไทยปีมะโรง (2555)หักปากกาบรรดา "เซียนหุ้น" ที่ออกมาตั้งโต๊ะทำนายว่า SET Index ปีที่ผ่านมา "ไม่น่าจะรุ่ง" จากปัจจัยวิกฤติหนี้สาธารณะในกลุ่มประเทศยูโรโซนที่ยืดเยื้อ เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกายังไม่ฟื้นตัว และเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง

แต่ตลาดหุ้นไทยกลับสร้างสถิติครั้งใหม่ในรอบ 16 ปี ทะยานจาก 1,025 จุด ขึ้นไปยืนเหนือ 1,300 จุดได้สำเร็จ ดัชนีย้อนกลับไปในปี 2539 และเป็นการปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องติดต่อกันถึง 4 ปีเต็ม (2552-2555) ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ในปี 2555 นักโหรศาสตร์ทำนายว่า ปีมะโรง ธาตุน้ำ ตามคำทำนายอาจเกิดเหตุการณ์ "น้ำท่วมใหญ่" ซ้ำรอยในปี 2554 มีเพียง "อาจารย์ช้าง" ทศพร ศรีตุลา เจ้าของฉายา "ซินแสไฮโซ" ที่ออกมาทำนายว่า เมืองไทยควรระมัดระวังเรื่อง "ไฟ"มากกว่า "น้ำ" ย้อนดูคำทำนาย "ซินแสไฮโซ" เมื่อปีที่แล้ว เจ้าตัวเคยพยากรณ์ไว้ว่า ในวันที่ 7 กันยายน 2555 ดาวเสาร์จะย้ายตำแหน่ง ฉะนั้นมีโอกาสที่ราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 1,500-1,600 เหรียญต่อออนซ์ เป็น 1,700 เหรียญต่อออนซ์ และยังทำนายอีกว่า ราคาหุ้น Facebook ของ Mark Zuckerberg จะปรับตัวลดลง นักลงทุนจะ "เจ๊ง" กันถ้วนหน้า เพราะเจ้าของโดนดาวเสาร์ครอบงำ

สุดท้ายคำนายล้วนเป็นความจริง !"เดี๋ยวนี้นักลงทุนและนักวิเคราะห์นิยมนำหลักโหรศาสตร์มาผสมผสานกับการลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น เห็นได้จากตลอดปีงูใหญ่ มีบริษัทหลายแห่งเชิญผมไปพูดเกี่ยวกับเรื่องหุ้นมากมาย" อาจารย์ช้าง..ทศพร ศรีตุลา กล่าวทักทาย กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ก่อนเปิดตำราทำนายตลาดหุ้น และเศรษฐกิจปีมะเส็ง (งูเล็ก) ให้ฟัง

อาจารย์ช้าง กล่าวว่า ปี 2556 ตามตำราจะตรงกับนักษัตร "ปีมะเส็ง" ธาตุน้ำ ซึ่งจะ "ปะทะ" (ชง) กับนักษัตร "ปีกุน" (หมู) มากที่สุด ส่วนปีมะเส็ง ปีวอก (ลิง) ปีขาล (เสือ) จะเป็น "ปีร่วมชง" แม้ปีนี้จะเป็นธาตุน้ำ แต่ยังควรระมัดระวังเรื่องไฟเหมือนปีก่อน โอกาสเกิดเหตุเพลิงไหม้ใหญ่ๆ ยังมีให้เห็นอยู่ ถ้าจะดู "ดวงเมือง" แบบไทยจะเริ่มในช่วงวันสงกรานต์ โดยตำแหน่งการเปลี่ยนแปลงของดวงดาวจะเริ่มตั้งแต่กลางปี 2556 ผมให้คำนิยามปีมะเส็งว่าเป็น "ปีคูณสอง" เพราะดาวเสาร์กับดาวราหูมาเจอกันในวันที่ 10 ธันวาคม 2555 ซึ่งใช้เวลาเป็นร้อยปี กว่าจะมาเจอกัน ดาวเสาร์กับดาวราหู ต่างมีความรุนแรงด้วยกันทั้งคู่ ทำให้พลังทุกอย่างมัน "คูณสอง" แต่ถ้าดูในแบบจีนจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2556 ตำแหน่งของดวงดาวมาทับตำแหน่งเดิมทั้งหมด ทำให้ฮวงจุ้ย "คูณสอง" เหมือนกัน ด้านดีก็ดีสุดๆ มุมแย่ก็ร้ายสุดๆฉะนั้นในปี 2556 จะเป็นปีแห่ง "ความไม่พอดี" ถ้าในแง่ของการลงทุนจะเป็น "ปีแห่งความผันผวนอย่างรุนแรง" จะผันผวนมากน้อยแค่ไหนให้เทียบกับปีที่ผ่านมา

โหรช้าง เปิดกระเป๋าหยิบ iPad ส่วนตัวขึ้นมาเพื่อบอกเล่าว่า ในปี 2556 ปัจจัยที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ หรืออาจตลอดทั้งปี 2556 คือ ข้อ 1.เรื่องการเมืองจะไม่เรียบง่าย ไม่หมูเหมือนปีมะโรง การเมืองจะวุ่นวายจะเกิดการสับสน หรือมีการเปลี่ยนแปลง ทุกคนจะเริ่มเห็นตั้งแต่ในช่วงไตรมาส 2 หรือประมาณเดือน พฤษภาคม-กรกฎาคม ช่วง 3 เดือนนี้

ข้อ 2.ยักษ์ใหญ่ระดับโลกจะมีปัญหา อาจเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา แม้วันนี้จะได้ผู้นำคนเดิม และดวงชะตาของ บารัก โอบามา ประธานาธิบดีคนที่ 44 จะอยู่ในเกณฑ์ดี (บารัก โอบามา เกิดวันที่ 4 สิงหาคม 1961) แต่เชื่อว่าบุคคลที่ทำหน้าที่ดูแลนโยบายการเงินของสหรัฐจะมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะ เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โอกาสที่เขาจะตกงานมีสูงมาก เพราะดวงชะตาของเขาชงเต็มๆ เขาเกิดราศีพิจิก นักษัตรปีมะเส็ง วันที่ 13 ธันวาคม 2496 ดวงในแง่ของราศีก็ไม่ดี ในด้านนักษัตรยิ่งแย่ใหญ่ ฉะนั้นหากเขายังเป็นประธานเฟด "บารัก โอบามา" น่าเป็นห่วง แต่ถ้าเปลี่ยนตัวแล้วก็ต้องมาดูดวงชะตาคนใหม่อีกครั้งว่าจะเข้ากันได้หรือไม่

ข้อ 3.ประเทศจีน ซึ่งถือเป็นยักษ์ใหญ่ของโลก อาจมีปัญหาเกิดขึ้นเช่นกัน เพราะ สี จิน ผิง ผู้นำคนใหม่ของจีน ดวงชะตาไม่ค่อยดี เขาเกิดราศีกุมภ์ นักษัตรปีมะเส็ง วันที่ 1 มีนาคม 2496 แม้ราศีกุมภ์ในปีนี้จะเป็น 1 ใน 3 ของราศีที่มีโชคของตำแหน่ง (ราศีเมถุน ราศีกุมภ์ และราศีธนู) แต่ด้วยความแรงของดวงดาว ทำให้เขามีอุปสรรคมากมาย ยิ่งอดีตผู้นำไม่มาช่วยเป็นเทนเนอร์อาจทำให้การทำงานของเขามีปัญหา แม้ "สี จิน ผิง" จะเป็นคนที่มองการณ์ไกล ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีของเขา แต่หากคนรอบตัวไม่สามารถสนองนโยบายได้ประเทศจีนมีปัญหาแน่นอน

ส่วนข้อ 4.ดวงชะตาของประเทศอินเดียจะมาแรงแซงแถบยุโรป แรงในมุมไม่ดีนะ! เพราะ มานโมฮัน ซิงห์ นายกรัฐมนตรีดวงชะตาไม่ดีเท่าไร เขาเกิดวันที่ 26 กันยายน 2479 นักษัตรปีวอก ซึ่งก็อยู่ในขบวนการชงของเรา (หัวเราะ) ถ้าคนนี้ยังอยู่ในตำแหน่ง ปัญหาในประเทศอินเดียจะหนัก ซึ่งเศรษฐกิจการลงทุนที่มีมูลค่ามหาศาล อาจมีการพลิกผันได้ง่าย

สุดท้าย คือ แถบยุโรปอาจเกิดปัญหาหนัก เพราะ มาริโอ้ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ดวงชะตาไม่ดี เขาเกิดวันที่ 3 กันยายน 2490 นักษัตรปีกุน เรียกได้ว่าเป็นเจ้าภาพของการชงในปีมะเส็ง (หัวเราะ)

จากปัจจัยทั้งหมดจะทำให้โลกเกิดความวุ่นวาย ซึ่งเมืองไทยก็จะโดนไปด้วย แต่เราโชคดีนิดหน่อยตรงที่เรื่องส่งออกสินค้าเกษตรกรรมของเรายังดีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นข้าว หรือยางพารา ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ฉะนั้นหากเราจัดการปัญหาภายในได้ โดยเฉพาะความขัดแย้ง ทางการเมืองภาวะเศรษฐกิจคงไปต่อได้ จริงๆ ห่วงเรื่องนี้มากเลย ถ้ามวลชนรวมตัวกันเมื่อไร เงินลงทุนจะไหลเข้าประเทศเพื่อนบ้านแน่นอน

ถามว่าปัจจัยทั้งหมดจะส่งผลให้ตลาดหุ้นเมืองไทยเป็นอย่างไร "หมอช้าง" ตอบว่า SET Index ปีมะเส็งยังคงเป็น "ขาขึ้น" เพียงแต่ว่าจะไม่ขึ้นตลอด สิ่งที่นักลงทุนต้องระวังมากที่สุด คือ ความผันผวนที่อาจรุนแรงมากในช่วงต้นปี 2556 โดยไตรมาส 2 จะออกแนว "พุ่งสุด-ต่ำสุด" เรียกได้ว่า กราฟหุ้นเป็นรูปตัวยู ถึงจะตกหนัก ก็ไม่หลุดระดับ 1,000 จุด ถ้าขึ้นสูงมีสิทธิทะลุ 1,500 จุด บนสมมติฐานไม่มีอุบัติเหตุทางการเมือง "นักลงทุนที่ชอบเล่นระยะสั้นต้องระวังตัวมากๆมีโอกาสขาดทุนหนักๆ ส่วนคนที่ชอบความเสี่ยงคงจะ "สนุก" เพราะมีรอบให้เล่นเยอะมาก นักลงทุนแบบอนุรักษ์นิยมจะ "ทุกข์" เพราะมีเรื่องให้เครียดบ่อยๆ ดังนั้นต้องติดตามข่าวสารต่างๆ อย่างใกล้ชิด ห้ามกระพริบตาอย่างเด็ดขาด"

โหรทศพร พยากรณ์ว่า ช่วงต้นปี 2556 จะเกิดการ "นิวไฮ" ในหลายๆ เรื่อง อาทิเช่น ดัชนีมีโอกาส "นิวไฮ" จะได้เห็นช่วงเดือนมกราคม 2556 นอกจากนั้นราคาทองคำจะมีความผันผวนมากมีโอกาสพุ่งไปแตะ 1,800 เหรียญต่อออนซ์ ซึ่งก็ใกล้จะถึงแล้ว ส่วนราคาน้ำมันยังไม่มั่นใจ เพราะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทำให้การใช้น้ำมันไม่คึกคักเท่าไร ฉะนั้นอาจไม่โดดเด่นเหมือนทองคำ

ถามว่าหุ้นกลุ่มไหนโดดเด่นในปี 2556 เขาทำท่าคิดก่อนตอบว่า หุ้นกลุ่มอาหาร โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ถือเป็นกลุ่มที่มาแรงมาก เพราะราคาอาหารและสินค้าเกษตรมีโอกาสเพิ่มขึ้นทุกปี แถมปี 2556 อาจสูงมากเป็นพิเศษ เพราะความต้องการและกำลังการผลิตมันไม่สมดุลกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นนักลงทุนที่รอปันผลมีลุ้น

ในปี 2556 ดาวเสาร์และราหู จะเดินทางไปอยู่ใน "ธาตุลม" ฉะนั้นหุ้นที่ต้องระวัง คือ กลุ่มสื่อสาร แม้จะมีเรื่องระบบ 3G มาสนับสนุน แต่คงไม่ราบรื่นอย่างที่คิด ผลประกอบการ จะไม่คึกคักเหมือนที่คาดการณ์ไว้ เพราะดวงไม่ได้ส่งให้ดี

หุ้นกลุ่มไอที ก็ต้องระวังเช่นกัน น่าจะยังมีปัญหาต่อเนื่อง เพราะยังอยู่ในช่วงคาบเกี่ยวของวิกฤติดอทคอม ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงรอยต่อของปีมะโรงและปีมะเส็ง (ปี 2543-2544) นี่ก็ใกล้จะครบรอบ 12 ปีแล้ว ตอนทำทายเรื่องราคาหุ้น Facebook ก็ใช้หลักการนี้ในการทำนาย มันเป็นสถิติเมื่อใดที่เหตุการณ์ต่างๆ ครบรอบ 12 ปี มันจะเกิดซ้ำอีกครั้ง ทุกอย่างมันมีวัฎจักร

อาจารย์ช้าง ทิ้งท้ายว่า ใครอยากลงทุน แนะนำครึ่งปีแรกลุยเลย ยาวสั้นแล้วแต่สไตล์ การพยากรณ์เรื่องตลาดหุ้นเหมือนพยากรณ์อากาศ เมื่อได้ยินคำแนะนำแล้วจงลงทุนอย่างมีสติ ใครที่ดวงชะตาปะทะก็ให้ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อเพิ่มพลังใจให้กับตัวเอง

"จงเปลี่ยนตัวเองก่อนที่ดวงชะตาจะเปลี่ยนเรา ไม่ว่าจะเปลี่ยนการแต่งตัวและของใช้ใหม่ๆ หรือจัดโต๊ะทำงานใหม่ อย่านำของมาวางจนโต๊ะรก โต๊ะทำงานไม่ใช่ตู้กับข้าว พยายามอย่าเอาของมาบังภูเขา ที่ผ่านมาคนชงรวยเยอะนะ เป็นเพราะเขาเปลี่ยนตัวเอง" อาจารย์ช้าง ตั้งข้อสังเกต

คำพยากรณ์จาก “สองเซียนหุ้นรายใหญ่“ “นพ.บุญ วนาสิน-เสี่ยปู่“

นายแพทย์บุญ วนาสิน ประธานกรรมการบริการกลุ่มโรงพยาบาลธนบุรี ในฐานะ "เซียนหุ้นรายใหญ่" มีมุมมอง ต่อตลาดหุ้นในปี 2556 ว่า SET Index น่าจะออกแนว "สีเขียว" (เป็นบวก) สูงสุดน่าจะทำได้ระดับ 1,400 จุด ต่ำสุดคงไม่หลุด 1,200 จุด หรือมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 15% เมื่อเทียบกับดัชนีสิ้นปี 2555

ปัจจัยแรกที่จะมาสนับสนุนตลาดหุ้นไทย ต้องยกให้เศรษฐกิจต่างประเทศ เพราะมีแนวโน้มว่าประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาและจีนจะฟื้นตัวมากขึ้น 1-2% น่าจะได้เห็น ฉะนั้นจะส่งผลให้การส่งออกของประเทศไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 10% โดยเฉพาะส่งออกในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และอาหาร เป็นต้น ส่วนเศรษฐกิจในแถบยุโรปยังคงแย่เหมือนเดิม ส่วนปัจจัยรองลงมาจะมาจากเศรษฐกิจในประเทศมี แนวโน้มว่า GDP จะขึ้นมายืนระดับ 6-7% เพราะรัฐบาลเตรียมทำบิ๊กโปรเจกมากมาย เสียอย่างเดียวราชการทำงานล่าช้าเกินไป คณะรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณอะไรไปจะหมดปีอยู่แล้วยังทำได้แค่ 10% ระบบราชการไทยช้าทุกสิ่งทุกอย่าง

หมอบุญ อธิบายเพิ่มเติมว่า GDP ในปี 2556 จะยืนระดับ 6-7% ได้ ต้องขึ้นอยู่กับสมมติฐานที่ว่า การเมืองไทยต้อง "นิ่ง" ไม่มีความรุนแรง แต่เมื่อไรที่ทหารออกมาปฎิวัติถือว่าร้ายแรงแน่

เซียนหุ้นรายใหญ่ แนะนำว่า ในปี 2556 นักลงทุนควรแบ่งสัดส่วนการลงทุนออกเป็น 3 ส่วน โดยส่วนแรกให้นำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้น 40-50% จากปี 2555 ที่เคยเชียร์ให้ซื้อหุ้น 30-40% รองลงมาให้ไปซื้อทองคำประมาณ 15% โอกาสที่ราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 1,700 เหรียญต่อออนซ์ เป็นกว่า 1,800 เหรียญต่อออนซ์ มีสูงมาก ส่วนสุดท้ายให้เก็บเงินสดไว้ ที่ผ่านมานักลงทุนหลายรายเริ่มไม่ไว้ใจค่าเงินดอลลาร์ที่มีโอกาสตกอีก 5-7% หลังรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเพิ่มเงินเดือนละ 80,000 ล้านเหรียญ เพื่ออัดฉีดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และสถาบันการเงิน ทำให้ค่าเงินบาทอาจแข็งค่าเป็น 30 บาทต่อดอลลาร์

นักลงทุนรายใดชอบถือลงทุนระยะยาว กรุณาเน้น "หุ้นบูลชิพ" ที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลมากกว่า 5% อาทิเช่น กลุ่มก่อสร้าง พลังงาน สถาบันการเงิน อาหาร และอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนนักลงทุนระยะกลาง ซื้อลงทุนเหมือน ระยะยาวได้ยกเว้นกลุ่มก่อสร้าง อย่างพวกกลุ่มท่องเที่ยวก็ น่าสนใจ อนาคตน่าจะดีขึ้นหาจังหวะซื้อติดพอร์ตก็คงดี

สำหรับนักลงทุนระยะสั้นเชิญลงทุนตามใจชอบ ส่วนตัวคิดว่า "ธุรกิจเอสเอ็มอี" น่าจะมีความเสี่ยงในเรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อเดือน หากนักลงทุนแบ่งสัดส่วนการลงทุนเหมือนที่แนะนำผลตอบแทนเฉลี่ย 12-15% น่าจะได้เห็น

ด้าน "เสี่ยปู่" สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล เซียนหุ้น รายใหญ่ เจ้าของพอร์ตลงทุน "หลายพันล้านบาท" บอกสั้นๆว่า ในปี 2556 SET Index น่าจะยังไปได้ดี เพราะหุ้นหลายๆ ตัวยังมีราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน

 

โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ ขณะเดียวกันบริษัทจดทะเบียนหลายตัว จะสามารถสร้างผลกำไรได้ดีอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนั้น เศรษฐกิจในประเทศยังเติบโตอยู่ในเกณฑ์ที่ดี หากการเมืองไม่รุนแรงเกินควบคุมได้ ส่วนเศรษฐกิจในต่างประเทศ ไม่ค่อยมีความรู้มากเท่าไร แต่คิดว่ายุโรปและสหรัฐอเมริกาน่าจะยังไม่ดีอยู่เหมือนเดิม เว้นแต่ประเทศจีนที่น่าจะฟื้นตัว ราคาหุ้นในเมืองจีนหลายตัวมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสของนักลงทุนไทยที่ชอบลงทุนหุ้น ต่างประเทศ

"ผมอยากให้นักลงทุนจับตาหุ้นกลุ่มก่อสร้าง และ ท่องเที่ยว ภายใน 4-5 ปีข้างหน้ามีโอกาสขยายตัวอย่างมาก เพราะเมื่อใดที่รถไฟฟ้าก่อสร้างเสร็จนักลงทุนจะแห่เข้ามาในเมืองไทยมากขึ้น เนื่องจากเขาจะสามารถเดินทางได้เองโดยไม่ต้องใช้บริการไกด์ ยิ่งอาหารไทยอร่อยและที่พักมีราคาถูกธุรกิจเหล่านี้ไปได้อีกไกล ผมว่าราคาหุ้น ท่าอากาศยานไทย (AOT) ไปไกลแน่" เสี่ยปู่ กล่าวปิดท้าย

 

“หมอช้าง“ สำรวจดวงชะตาตาม “ราศีเกิด“

ราศีเมษ (14 เม.ย.-14 พ.ค.)

ราศีนี้จะชอบการลงทุนในปีมะเส็งมาก เพราะเป็นคนรับความเสี่ยงได้เยอะ แต่ดวงชะตาในปีนี้ไม่เหมาะที่จะเสี่ยงเท่าไร ควรลดความแรงของตัวเองลงไปครึ่งหนึ่ง หากยังกล้าได้กล้าเสียแบบเดิม โอกาสเจ็บตัวมีสูงมาก หากเคยได้หุ้นในต้นทุนถูก ก็เก็บไว้เก็งกำไร แต่ถ้าออกไปแสวงหาการลงทุนใหม่ๆ หรือหุ้นบางตัวที่เคยถือมันขึ้นไปสูง ให้เตือนตัวเอง "อย่าดื้อ อย่าฝืน" มั่นใจมากเป็นอันตราย ถ้าลงทุนในธุรกิจส่วนตัว ทำได้เพราะดวงมีโอกาสขยับขยาย

ราศีพฤษภ (15 พ.ค.-14 มิ.ย.)

เป็นราศีที่ "โชคดี" แต่การลงทุนจะโดดเด่นในช่วง "ครึ่งปีแรก" เท่านั้น เน้นลงทุนระยะกลางยาว เพราะไม่สามารถรับความเสี่ยงได้ ครึ่งปีหลังจะเสียเงินเยอะมาก แต่จะเป็นการเสียเงินเพื่อความมั่นคงในชีวิตของตัวเอง เช่น ซื้ออสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น ฉะนั้นการลงทุนเพื่อทำกำไรระยะสั้น ไม่แนะนำ เพราะจะเสียเงินเยอะ

ราศีเมถุน (15 มิ.ย.-16 ก.ค)

ดวงชะตาดีขึ้นเรื่อยๆ เป็นคนที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ด้วยตัวเองเป็นอย่างดี เรียกได้ว่าเป็นราศีของนักวิเคราะห์ และนักเขียน ช่วงครึ่งปีหลังเป็นช่วงที่ดีของการลงทุน ถ้าอยากลงทุนให้เตรียมความพร้อมตั้งแต่ในช่วงครึ่งปีแรก ราศีนี้จะได้พบเจอสิ่งใหม่ ถ้ามองในแง่การลงทุน คุณจะได้ลงทุนในกลุ่มใหม่ๆ กลุ่มที่ผมแนะนำไปก็ลงทุนได้ คุณจะมีโชคมีเงินให้จับจ่ายใช้สอยชอปปิง

ราศีกรกฎ (17 ก.ค.- 16 ส.ค.)

เป็นราศีที่เหนื่อยมีปัญหาส่วนตัว และสุขภาพ ฉะนั้นถ้าหุ้นขึ้นแต่ใจเราไม่ขึ้นต้องระวัง ภาวะจิตใจมีต่อ

 

การตัดสินใจ ราศีนี้ไม่ควรเสี่ยงอะไรมากอยู่ในระดับรับความเสี่ยงได้ต่ำ ครึ่งปีหลังไม่เหมาะกับการลงทุน เน้น

 

อะไรที่มั่นคง เช่น พันธบัตร หุ้นกู้ และบริษัทที่เน้นเรื่องปันผล หรือซื้ออสังหาริมทรัพย์ให้เช่า

ราศีสิงห์ (17 ส.ค.-16 ก.ย.)

เป็นราศีที่หวือหวาในการลงทุน มีเงินมาให้ลงทุนพอร์ตจะใหญ่โตขึ้น เพราะเป็นราศีที่มีทั้งคอนเนคชั่น

 

ความช่วยเหลือ มีคนมาแนะนำสิ่งดีๆ ทำให้กล้าตัดสินใจมากขึ้น ปกติเป็นคนรับความเสี่ยงได้ดีพอควร ครึ่งปี

 

หลังจะได้โชคลาภอย่างฟลุคๆ ทำให้เก็บเกี่ยวผลกำไรในปีมะเส็งได้ดี

ราศีกันย์ (17 ก.ย.-17 ต.ค.)

เป็นราศีที่มีจังหวะของดวงจะว่าดีก็ไม่ใช่ เพราะเพิ่งพ้นเคราะห์มาจากปีก่อน มันเหมือนคนเพิ่งหายไข้

 

ฉะนั้นไม่แนะนำให้ลงทุนหวือหวา ตลอดทั้งปีความวุ่นวายการเงินมีสูงต้องหมุนเงินเยอะ ทำให้รับความเสี่ยง

 

มากไม่ได้ เพราะเงินลงทุนต้องเป็นเงินเย็นเท่านั้น คุณต้องใช้เงินทั้งปี ฉะนั้นไปลงทุนในสิ่งที่สบายใจดีกว่า

ราศีตุลย์ (18 ต.ค.- 16 พ.ย.)

ราศีนี้โดนทั้งดาวเสาร์และราหูครอบงำ ถ้าเปรียบเป็นคนชง คือ โดน 100% ยิ่งเป็นคนที่เกิดราศีตุลย์ นักษัตรปีกุน เรียกว่า FULL OPTION แต่ยังพอมี "ข่าวดี" ใครที่ทำธุรกิจที่เกี่ยวกับการเดินทางหรือต่างประเทศจะดีมาก เพราะดวงแรงมากจะดันให้เราไม่อยู่นิ่งจะได้เคลื่อนที่ตลอด ข้อควรระวัง หากใครมาชวนทำธุรกิจให้ "หลีกเลี่ยง"เพราะมีโอกาสโดนโกง ถ้าจะลงทุนให้ทำธุรกิจที่อยู่บนดิน ใต้ดินให้หลีกเลี่ยง

 

 

ราศีพิจิก (17 พ.ย.-15 ธ.ค.)

เป็นราศีที่จังหวะดวงดาวการเงินดีมาตั้งแต่ปีก่อนจนถึงครึ่งปีแรกของปี 2556 ตัดสินใจอะไรจะได้ผลตอบแทนที่ดีมาก ในแง่ของการลงทุนรับความเสี่ยงได้บ้าง แต่ครึ่งปีหลังเหตุการณ์จะคนละเรื่องเหมือนเทกระเป๋า ฉะนั้นต้องระวังการลงทุนโอกาสตัดสินใจผิดพลาด มีโอกาสไปเที่ยว "ยอดดอย" (ติดหุ้น) ดังนั้นถ้าครึ่งปีแรกพอใจแล้วลงทุนเลย อย่าไปยืนดูวิวนาน

ราศีธนู (16 ธ.ค. -14 ม.ค.)

 

 

ติดอันดับ 1 ใน 3 เรื่องโชค เป็นราศีทั้งบู้ทั้งบุ๋นในตัวเอง เป็นคนวิเคราะห์อ่านอะไรได้ขาด ฉะนั้นครึ่งปีหลังโอกาสการลงทุนจะได้ผลตอบแทนที่ดี หรือการร่วมหุ้นลงทุนกับคนอื่นจะโดดเด่นมาก ซึ่งในช่วงครึ่งปี

 

แรกก็ได้ผลตอบแทนดีแล้ว

ราศีมังกร (15 ม.ค.-12 ก.พ.)

จังหวะดวงวุ่นวายในงานส่วนตัว ใครลงทุนเป็นงานอดิเรกต้องระวัง เพราะงานวุ่นวายจะทำให้กระทบ

 

ต่อการตัดสินใจของเรา ราศีนี้ไม่แนะนำให้เสี่ยง ควรไปลงทุนออมทรัพย์พิเศษ หรือพันธบัตร จะได้ไม่เครียด

 

เพราะอาจส่งผลกระทบต่องาน

ราศีกุมภ์ (13 ก.พ.- 14 มี.ค.)

ดวงโดดเด่นเรื่องตำแหน่งหน้าที่จะก้าวกระโดด โชคจากต่างประเทศ เป็นราศีที่มีเกณฑ์ลงทุนสูงมากๆ ทั้งส่วนตัว และในตลาดหุ้น จะได้ผลกำไรที่ดี แต่ต้องระวังหุ้นกลุ่มสื่อสาร

ราศีมีน (15 มี.ค.-13 เม.ย.)

พ้นเคราะห์ไปแล้ว แต่จังหวะดวงดาวที่ดีจะอยู่ในช่วงครึ่งปีแรกเท่านั้น แต่ผลกำไรควรเน้นเรื่องปันผล

 

หรือค่าคอมมิชชั่น เป็นราศีที่มีโชคเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ หรือเป็นนายหน้าตัวแทน ขายบ้านจะได้กำไร ส่วนการลงทุนอะไรเสี่ยงๆ ไม่แนะนำ ปัญหาความวุ่นวายในครอบครัวจะทำให้เป็นอุปสรรคในการลงทุน

"SET Index ปีมะเส็งยังคงเป็น "ขาขึ้น" แต่จะไม่ขึ้นตลอด นักลงทุนต้องระวังความผันผวนที่อาจรุนแรงมากในช่วงต้นปี 2556 โดยเฉพาะไตรมาส 2"

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

ถูกแก้ไข โดย เด็กขายของ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

07 มกราคม 2556

 

เบรนท์ลดจากอุปสงค์น้ำมันปรับลดลง ขณะที่ Seaway Pipelineหนุน WTI- บมจ.ไทยออยล์

 

 

" เบรนท์ลด จากอุปสงค์น้ำมันที่ปรับลดลง ในขณะที่ Seaway Pipelineหนุน WTI "

 

เบรนท์ส่งมอบ ก.พ. ปรับลดลง 0.83 ปิดที่ 111.31 เหรียญฯ และน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสส่งมอบเดือน ก.พ. ปรับเพิ่มขึ้น 0.17 ปิดที่ 93.09 เหรียญฯ

 

- ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับลดลง หลังการรายงานของสหรัฐฯว่าความต้องการใช้น้ำมันโดยรวมปี 2555 ปรับลดลง 2.3% จากปี 2554 ตามสภาพเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่ชะลอตัว ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ได้รับแรงหนุนจากท่อส่งน้ำมัน Seaway Pipeline ที่จะเริ่มก่อสร้างส่วนต่อขยายจากกำลังการขนส่งเดิม 150,000 บาร์เรลต่อวัน เป็น 400,000 บาร์เรลต่อวัน ในสัปดาห์นี้ ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ออกมาตามคาด

 

- แม้ว่าการแก้ปัญหาหน้าผาการคลังจะมีทางออก แต่นักลงทุนยังคงกังวลต่อการจัดการงบประมาณรายรับรายจ่ายของสหรัฐฯที่ขาดดุลอย่างมหาศาล รวมถึงปัญหาเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ที่จำเป็นจะต้องขยายออกไป และความเสี่ยงที่สหรัฐฯจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือจากสถาบันจัดอันดับต่างๆ

 

+ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ประกาศในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ได้แก่ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร เดือน ธ.ค.ปรับเพิ่มขึ้น 155,000 ตำแหน่ง จากเดือน พ.ย. ที่ 146,000 ตำแหน่งตามคาด โดยอัตราการว่างงานปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 7.8% ส่วนยอดสั่งซื้อของโรงงานสหรัฐฯเดือน พ.ย. ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้าที่ปรับเพิ่มขึ้น 0.8% ในขณะที่ดัชนีภาคบริการปรับเพิ่มขึ้น 1.4 มาอยู่ที่ 56.1 ซึ่งนับเป็นการปรับเพิ่มสูงสุดในรอบสิบเดือนที่ผ่านมา

 

+ สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังลดลง 11.1 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ 359.9 ล้านบาร์เรล สิ้นสุดสัปดาห์สุดท้ายของปี 2555 จากปริมาณการนำเข้าที่ลดลงของโรงกลั่นต่างๆในประเทศเพื่อลดภาษีน้ำมันดิบคงคลัง ณ ตอนสิ้นปี นับว่าเป็นการลดลงที่มากที่สุดนับจากปี 2544 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม ปริมาณน้ำมันเบนซินและดีเซลคงคลังปรับเพิ่มขึ้น 2.6 และ 4.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน

 

ราคาน้ำมันเบนซินปรับลดลงมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ จากอุปทานภายในภูมิภาคที่ปรับสูงขึ้น แม้ว่าจะยังคงมีความต้องการซื้ออยู่อย่างต่อเนื่องจากความกังวลว่าอุปทานจะตึงตัวมากขึ้นในอนาคตจากแผนการซ่อมบำรุงของโรงกลั่นภายในภูมิภาค

ราคาน้ำมันดีเซล ปรับลดลงมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากความต้องการซื้อภายในภูมิภาคที่ค่อนข้างเบาบาง อย่างไรก็ดี อุปทานคาดว่าจะตึงตัวมากขึ้นตามแผนการซ่อมบำรุงของโรงกลั่น

 

ทิศทางราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นและปัจจัยที่น่าจับตามอง

 

กรอบการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้ เบรนท์ 108 -115 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ส่วนเวสต์เท็กซัส 88 - 95 เหรียญฯ จับตาการเจรจาเพื่อหาข้อสรุปการลดรายจ่ายภาครัฐบาลที่เป็นประเด็นคงค้าง รวมถึงการขยายเพดานหนี้ของสหรัฐฯ และการ

 

ตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่

วันจันทร์: ดัชนีราคาผู้ผลิตยูโรโซน

วันอังคาร: ยอดค้าปลีกและอัตราการว่างงานยูโรโซน ดุลการค้าและยอดคำสั่งซื้อของโรงงานเยอรมนีและรายงานผลประกอบการไตรมาส 4/55 บริษัท อัลโค

วันพุธ: จีดีพีไตรมาส 3 ยูโรโซน(Final) การผลิตภาคอุตสาหกรรมเยอรมนี

วันพฤหัส: การประชุมธนาคารกลางยุโรป การผลิตภาคอุตสาหกรรมฝรั่งเศส รวมทั้งยอดขอรับสิทธิประโยชน์จากการว่างงานสหรัฐฯ

วันศุกร์: ดุลการค้าสหรัฐฯ และดัชนีราคาผู้บริโภคจีน

 

- แม้ว่ารัฐสภาสหรัฐฯจะสามารถผ่านร่างแนวทางเลี่ยงปัญหาหน้าผาการคลังได้ในช่วงปีใหม่ อย่างไรก็ดีหลายฝ่ายรวมทั้ง IMF ออกมาเตือนว่าแนวทางดังกล่าวยังไม่แก้ปัญหาหนี้ในภาพรวมแต่เป็นเพียงการยืดเส้นตายเท่านั้น สภาสหรัฐฯยังจำเป็นต้องถกกันต่อในช่วง 2 เดือนข้างหน้าในประเด็นการตัดลดงบรายจ่ายและเพิ่มเพดานหนี้ซึ่งในประเด็นดังกล่าวพรรครีพับลิกันมีจุดยืนที่ต้องการให้รัฐบาลปรับลดรายจ่ายในหลายภาคส่วนลง

-ติดตามการประชุมธนาคารกลางยุโรปวันที่ 10 ม.ค. 2556 ว่าธนาคารกลางยุโรปจะมีมุมมองอย่างไรต่อสภาพเศรษฐกิจและสถานการณ์หนี้สินในยุโรป รวมถึงติดตามว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหรือไม่

- ติดตามผลการเจรจาครั้งใหม่ระหว่าง IAEA และอิหร่านเรื่องโครงการนิวเคลียร์ ในวันที่ 16 ม.ค. 56 อย่างไรก็ตาม การที่สหรัฐฯ เตรียมออกมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านเพิ่มเติมภายในเดือน ก.พ. ปี 56 อาจส่งผลให้การเจรจาดังกล่าวล้มเหลว

- จับตาการเปิดใช้ส่วนต่อขยายของท่อส่งน้ำมัน Seaway Pipeline ในช่วงต้นเดือน ม.ค. ที่จะทำให้กำลังการขนส่งรวมเพิ่มเป็น 400,000 บาร์เรลต่อวัน จาก 150,000 บาร์เรลต่อวัน ในปัจจุบัน และจะทำให้การขนส่งน้ำมันออกจากจุดส่งมอบน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสบริเวณคุชชิ่ง โอกลาโฮมาไปยังโรงกลั่นในบริเวณรัฐเท็กซัสเพิ่มมากขึ้น

 

ราคาน้ำมันดิบ (เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล)

-----------------------------------------------------------------

ราคาน้ำมันตลาดจร 3 ม.ค. 56 4 ม.ค. 56 เปลี่ยนแปลง

-----------------------------------------------------------------

เวสต์เท็กซัส (ก.พ.) 92.92 93.09 0.17

เบรนท์ (ก.พ.) 112.14 111.31 -0.83

ดูไบ 107.59 107.29 -0.30

เงินดอลลาร์ (เหรียญสหรัฐฯ ต่อ ยูโร) 1.3046 1.3067 0.0021

ดัชนีอุตสหกรรมดาวโจนส์ (จุด) 13,391.36 13,435.21 43.85

ราคาทองคำ (เหรียญสหรัฐฯ ต่อ ออนซ์)1,674.60 1,648.90 -25.70

----------------------------------------------------------------

 

ราคาขายปลีกและค่าการตลาด (บาท/ลิตร)

-------------------------------------------------------

UG91 GSH95 GSH91 B5

-------------------------------------------------------

ราคาหน้าโรงกลั่น 24.68 24.03 23.91 24.89

ภาษี 10.98 9.45 9.29 1.96

กองทุน 8.75 3.05 0.75 1.75

ค่าการตลาด 5.29 1.80 1.93 1.19

ราคาขายปลีก 49.70 38.33 35.88 29.79

-------------------------------------------------------

ปตท.-บางจาก ขึ้นราคาน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ 50 สต./ลิตร มีผลวันที่ 4 ม.ค.56 ส่วนดีเซลคงเดิม

กบง. มีมติเก็บเงินกองทุนกลุ่มเบนซินและดีเซลเพิ่ม 50 และ 80 สต. / ลิตร มีผลวันที่ 12 ธ.ค. 55

 

ราคาน้ำมันสำเร็จรูปประเทศสิงคโปร์ (เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล)

----------------------------------------------------------------

ราคาน้ำมันตลาดจร 3 ม.ค. 56 4 ม.ค. 56 เปลี่ยนแปลง

----------------------------------------------------------------

เบนซินออกเทน 95 122.84 121.34 -1.50

น้ำมันก๊าดและอากาศยาน 126.39 126.25 -0.14

น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (0.05%กำมะถัน) 126.08 125.73 -0.35

น้ำมันเตา (3.5% กำมะถัน) 97.94 99.65 1.71

----------------------------------------------------------------

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดี ป๋าขรา ซื้อรถใหม่ เค้าเติมE20 ได้ด้วย มันดียังไงอ่ะ แต่ยังไม่ได้รถอ่ะ อีก4เดือนแน่ะ อ้อ อีกเรื่อง เพื่อนอยุ่ พัทยา จะทำหลังคาพลังแสงอาทิตย์ ป๋าว่าคุ้มมั้ย ดีม้ัย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อรุนสวัสดิ์ พี่ใหญ่ และทุกๆท่าน วันจันทร์ นี้ หลายคนคงยิ้มแกล้ม ปริ ถ้าให้ดี ขึ้น 80 จะฉัก ยิ้มถึงหู เลย ครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คุณป๋าวันนี้อยาำกให้บ่น ๆ เดา ๆเรื่องแม่ทองให้อ่านหน่อย ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อรุนสวัสดิ์ พี่ใหญ่ และทุกๆท่าน วันจันทร์ นี้ หลายคนคงยิ้มแกล้ม ปริ ถ้าให้ดี ขึ้น 80 จะฉัก ยิ้มถึงหู เลย ครับ

ขอรับ-ต้านด้วยค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ผมราศีเมถุน ตรง มากพี่ใหญ่ ของแฟนก็ตรง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...