ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

หุ้นมะกันปิดลบ 12.67 จุด – ทองคำพุ่ง

 

 

24/05/2013 , 07:39

Filed under breakingnews, เศรษฐกิจ

Leave a Comment

 

 

 

 

ปิดการซื้อขายตลาดหุ้นสหรัฐ เมื่อคืนที่ผ่านมา ปิดลบเบาบางกว่ามาก หลังได้แรงหนุนจากข้อมูลทางเศรษฐกิจภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นยอดก่อสร้างบ้านใหม่ หรือตัวเลขผู้เข้ารับสิทธิประโยชน์คนว่างงานที่ลดลง

โดย ดาวโจนส์ ลบ 12.67 จุด หรือ -0.08 เปอร์เซ็นต์ ปิดที่ 15,294.50 จุด แนสแดก ลบ 3.88 จุด หรือ0.11 เปอร์เซ็นต์ ปิดที่ 3,459.42 จุด เอสแอนด์พี ลบ 4.84จุด หรือ -0.29 เปอร์เซ็นต์ ปิดที่ 1,650.51 จุด

ขณะที่ ราคาน้ำมันดิบ ตลาดไนเม็กซ์ของสหรัฐ งวดส่งมอบเดือน มิ.ย. ลดลง 0.03 เซนต์ หรือ -0.03 เปอร์เซ็นต์ ปิดที่ 94.25ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน ลดลง 16 เซนต์ ปิดที่ 102.44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ด้าน ราคาทองคำตลาดนิวยอร์กสหรัฐ บวก 24.40ดอลลาร์ หรือ +1.78เปอร์เซ็นต์ ปิดที่ 1,391.80 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

Thursday’s Close:

Dow -12.67 15,294.50 -0.08%

Nasdaq -3.88 3,459.42 -0.11%

S&P -4.84 1,650.51 -0.29%

Oil (Light Crude)

July 2013 contract

$ / barrel Floor 94.25 -0.03 -0.03%

Gold

June 2013 contract

$ / troy ounce 1,391.80 +24.40 +1.78% —ISN 02

 

http://www.isnhotnews.com/

 

Tags: isn, ISNHOTNEWS, ทองคำสหรัฐ, หุ้นสหรัฐ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ข้อมูลศก.จีนฉุดหุ้นมะกัน-น้ำมันปิดลบ นักลงทุนผวาหันถือทองคำทำราคาพุ่ง blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 พฤษภาคม 2556 05:33 น.

 

blank.gif 556000006495101.JPEG blank.gif

เอเอฟพี - วอลล์สตรีทและน้ำมันวานนี้(23) กระเตื้องขึ้นมาปิดลบเล็กน้อย หลังดิ่งลงอย่างหนักช่วงต้นของการซื้อขาย จากข้อมูลทางเศรษฐกิจจีน อย่างไรก็ตามปัจจัยดังกล่าวผลักให้ทองคำพุ่งแรง เหตุนักลงทุนที่หวาดผวา หันกลับมาถือครองโลหะเหลืองมีค่าที่ถูกมองในฐานะเป็นสินทรัพย์ที่มีความ เสี่ยงต่ำ

 

ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ลดลง 12.67 จุด (0.08 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 15,294.50 จุด แนสแดค ลดลง 3.88 จุด (0.11 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 3,459.42 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 4.84 จุด (0.29 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,650.51 จุด

 

เกิดแรงเทขายอย่างหนักตามตลาดหุ้นต่างๆทั่วเอเชียและยุโรป ไม่ว่าจะเป็นในฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมนี และฮ่องกง โดยเฉพาะดัชนีนิเคอิของญี่ปุ่น ที่ปิดลบอย่างแรง จากความตื่นตระหนกต่อข้อมูลกิจกรรมการผลิตจีนที่พบว่าหดตัวในเดือนพฤษภาคม นับเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 7 เดือนและเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวอย่างอ่อนแอของเศรษฐกิจแดนมังกร

 

อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดลบเบาบางกว่ามาก หลังได้แรงหนุนจากข้อมูลทางเศรษฐกิจภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นยอดก่อสร้างบ้านใหม่หรือตัวเลขผู้เข้ารับสิทธิประโยชน์คนว่าง งานที่ลดลง

 

ปัจจัยข้อมูลทางเศรษฐกิจอันสดใสของอเมริกานี้เองที่ช่วยประคองให้ ราคาน้ำมันวานนี้(23) ทรงตัว หลังดิ่งลงอย่างหนักในช่วงต้นของการซื้อขาย จากข้อมูลการผลิตอันน่าวิตกของจีน ชาติผู้บริโภคพลังงานยักษ์ใหญ่ของโลก

 

สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนกรกฎาคม ลดลง 3 เซนต์ ปิดที่ 94.25 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากช่วงหนึ่งขยับลงไปถึง 92.21 ดอลลาร์ ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน ลดลง 16 เซนต์ ปิดที่ 102.44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 

นักวิเคราะห์ทองว่าอีกหนึ่งปัจจัยที่ดันให้น้ำมันแกว่งตัวขึ้นมาจน ปิดลบแค่เล็กน้อย เพราะนักลงทุนมองเห็นโอกาสของการช้อนซื้อเพื่อเก็งกำไรก่อนหน้าวันหยุดยาว หลังจากก่อนหน้านี้ก็เพิ่งดิ่งลงแรงในวันพุธ(22)

 

ด้านราคาทองคำวานนี้(23) พุ่งขึ้นแรง เหตุการขยับลงอย่างหนักของตลาดหุ้นทั่วโลก ผลักให้นักลงทุนหันมาถือครองโลหะมีค่าเพื่อลดความเสี่ยง โดยทองคำตลาดโคเมกซ์ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 24.40 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,381.80 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9560000062236

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หลักธรรมที่ทำให้มนุษย์สัมพันธ์ยั่งยืน

ศาสนาพุทธมีหลักธรรมคำสอนเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ

ของศาสนิกชน โดยทุกศาสนามี เป้าหมายเดียวกันคือ “มุ่งให้ทุกคนมีธรรมะ มีคุณธรรม และสอนให้คนเป็นคนดี” ดังนั้น ศาสนา แต่ละศาสนาจึงมีหลักธรรมคำสอนของตนเอง เป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติ

 

อริยสัจ 4

คือความจริงสุดยอดซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้และ ได้ แสดงต่อจาก โอวาทปาติโมกข์ความจริงสุดยอดอันประเสริฐ มี 4 ประการ ได้แก่

 

- ทุกข์

ความไม่สบายกายไม่สบายใจ ทำให้เกิดปัญหาแก่ การดำเนินชีวิตแบ่งเป็น 2 ประเภท ใหญ่ ๆ คือ สภาวทุกข์ หมายถึง ทุกข์ประจำที่เป็นไปตามธรรมชาติคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ปกิณณกทุกข์ หมายถึง ทุกข์จรที่อาจเกิดขึ้นเพราะเหตุต่าง ๆ เช่น ความเศร้าโศก น้อยใจ ตรอมใจ เจ็บป่วยไม่สบายกายการประสพกับ สิ่งที่ไม่รัก การพลัดพรากจากสิ่งที่รักและความไม่สมปรารถนา

 

- สมุทัย

สาเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์ ได้แก่ ตัณหา (ความอยาก) มี 3 ลักษณะคือ

(1) กามตัณหา คือ ความอยากได้ อยากมี อยากเป็นในสิ่งที่ไม่เคยได้ไม่เคยมี และ ไม่เคยเป็น

 

(2) ภวตัณหา หมายถึง ความอยากให้คงอยู่ เช่นเกียรติยศ ชื่อเสียง อำนาจ คำสรรเสริญ อยากให้สิ่งเหล่านั้นดำรงอยู่กับตนเองตลอดไป

 

(3) วิภวตัณหา หมายถึง ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็นเช่น ความไม่พอใจในสถานะ ที่ตนมีอยู่ เป็นอยู่ในปัจจุบัน

 

- นิโรธ

หมายถึง ความดับทุกข์คือ การละตัณหา 3 ประการดังกล่าวเมื่อละต้นเหตุของทุกข์ เสียได้ ความทุกข์ย่อมไม่มี

 

- มรรค

หมายถึง วิธีดับทุกข์เป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อที่จะละตัณหาซึ่งเป็นต้นเหตุของทุกข์ มี 8 ประการ

ดังนี้

(1) สัมมาทิฐิ (ความเห็นชอบ) ได้แก่ การมีความเห็นที่ถูกต้อง เช่นยอมรับเรื่องบาป บุญ กรรมดี กรรมชั่ว ชาตินี้และชาติหน้าในระดับที่ละเอียดอ่อนขึ้นไปอีกคือ ความเข้าใจในอริยสัจ 4

 

(2) สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) ได้แก่ การคิดเพื่อที่จะให้จิตใจของตนเองเป็นอิสระคือคิดปลีกตัวออกจากกาม ไม่ตกเป็นทาศของรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส จนเกินไปไม่คิดพยาบาท และ ประการสุดท้ายคือ ไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่น

 

(3) สัมมาวาจา (วาจาชอบ) การเว้นจากวจีทุจริต 4 คือ เว้นจากการพูดเท็จ (มุสาวาจา)เว้นจากการพูดส่อเสียด (ปีสุณาวาจา) เว้นจากการพูดคำหยาบ (ผรุสวาจา) เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ ไร้สาระ (สัมผัปปลาปวาจา)

 

(4) สัมมากัมมันตะ (การกระทำชอบ) ได้แก่การงดเว้นจากกายทุจริต คือ การไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ และไม่ประพฤติผิดในกาม

 

(5) สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีวิตชอบ) ได้แก่การประกอบอาชีพที่ไม่ผิดศีลธรรมและ ไม่ เบียดเบียน ผู้อื่น รวมความไปถึงการไม่อยู่เฉย ๆ โดยไร้ประโยชน์ ต้องเป็นผู้ที่ทำงานประกอบอาชีพ

 

(6) สัมมาวายามะ (ความเพียรชอบ) ได้แก่ การเพียรระวังไม่ให้ความชั่วเกิดขึ้น หรือเพียรขจัดความชั่วที่ได้เกิดขึ้นแล้ว เพียรสร้างความดีให้เกิดขึ้นและเพียรรักษาความดีที่มีอยู่แล้วให้คงอยู่ ตลอดไป

 

(7) สัมมาสติ (ความระลึกชอบ) คือ การกำหนดรู้พฤติกรรมของจิต ระลึกได้ตลอดเวลาว่าตนเองกำลังคิดอะไร ทำอะไร ไม่เป็นคนใจลอย ไม่ประสาท มีความรอบคอบ

 

(8) สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจชอบ) ได้แก่ การตั้งจิตให้มั่นคง สามารถควบคุมอารมณ์ได้จนกระทั่งสามารถบังคับจิตใจ ให้หยุดนิ่งอยู่กับอารมณ์อันเดียว

 

 

สัปปุริสธรรม 7

สัปปุริสธรรม 7 คือหลักธรรมของคนดีหรือหลักธรรมของสัตตบุรุษ7 ประการ ได้แก่ รู้จักเหตุ รู้จักผลรู้จักตน รู้จักประมาณ รู้จักกาล รู้จักปฏิบัติ และรู้จักบุคคล

 

1. รู้จักเหตุหรือธัมมัญญุตา หมายถึง ความเป็นผู้รู้จักเหตุ รู้จักวิเคราะห์หา สาเหตุของสิ่งต่าง ๆ

 

2. รู้จักผลหรืออัตถัญญุตา หมายถึงความเป็นผู้รู้จักผลที่จะเกิดขึ้นจากการ กระทำ

 

3. รู้จักตนหรืออัตตัญญุตาหมายถึง ความเป็นผู้รู้จักตน ทั้งในด้านความรู้ คุณธรรม และความ สามารถ

 

4. รู้จักประมาณหรือมัตตัญญุตา หมายถึง ความเป็นผู้รู้จักประมาณ รู้จักหลักของความพอดี การดำเนินชีวิต พอเหมาะพอควร

 

5. รู้จักกาลเวลาหรือกาลัญญุตา หมายถึงความเป็นผู้รู้จักกาลเวลา รู้จักเวลาไหนควรทำ อะไร แล้วปฏิบัติให้เหมาะสมกับเวลานั้น ๆ

 

6. รู้จักปฏิบัติหรือปริสัญญุตา หมายถึงความเป็นผู้รู้จักปฏิบัติ การปรับตน และแก้ไขตน ให้เหมาะสมกับสภาพของกลุ่มและชุมชน

 

7. รู้จักบุคคลหรือบุคคลัญญุตา หมายถึงความเป็นผู้รู้จักปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับบุคคล ซึ่งมีความแตกต่างกันการที่บุคคลใดนำเอาหลักสัปปุริสธรรม 7 มาใช้ในการดำเนินชีวิต จะช่วยให้ ชีวิตพบกับความสุขในชีวิตได้

 

 

อิทธิบาท 4

อิทธิบาท 4 คือหลักธรรมที่นำไปสู่ความสำเร็จแห่งกิจการ มี 4 ประการคือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะวิมังสา

 

1. ฉันทะ คือ ความพอใจ ใฝ่รัก ใฝ่หาความรู้และใฝ่สร้างสรรค์

 

2. วิริยะ คือ ความเพียรพยายามมีความอดทนไม่ท้อถอย

 

3. จิตตะ คือความเอาใจใส่และตั้งใจแน่วแน่ในการทำงาน

 

4. วิมังสา คือความหมั่นใช้ปัญญาและสติในการตรวจตราและคิดไตร่ตรอง

 

 

กุศลกรรมบท10

กุศลกรรมบท10 เป็นหนทางแห่งการทำความดีงาม ทางแห่งกุศลซึ่งเป็นหนทางนำไปสู่ความสุข ความเจริญแบ่งออกเป็น 3 ทางคือ กายกรรม 3 วจีกรรม 4 และมโนกรรม 3

 

1. กายกรรม 3หมายถึง ความประพฤติดีที่แสดงออกทางกาย 3 ประการ ได้แก่

(1) เว้นจากการฆ่าสัตว์ คือ การละเว้นจากการฆ่าสัตว์ การเบียดเบียนกัน เป็นผู้มีเมตตากรุณา

 

(2) เว้นจากการลักทรัพย์ คือ ละเว้นจากการลักขโมยเคารพในสิทธิของผู้อื่น ไม่หยิบฉวย เอาของคนอื่นมาเป็นของตน

 

(3) เว้นจากการประพฤติผิดในกาม คือ การไม่ล่วงละเมิดสามีหรือภรรยาผู้อื่น ไม่ล่วงละเมิด ประเวณีทางเพศ

 

2. วจีกรรม 3หมายถึงการเป็นผู้มีความประพฤติดีซึ่งแสดงออกทางวาจา 4 ประการ ได้แก่

(1) เว้นจากการพูดเท็จ คือ พูดแต่ความจริง ไม่พูดโกหก หลอกลวง

 

(2) เว้นจากการพูดส่อเสียด คือ พูดแต่ในสิ่งที่ทำให้เกิดความสามัคคี กลมเกลียว ไม่พูดจาในสิ่งที่ก่อให้เกิดความ แตกแยก แตกร้าว

 

(3) เว้นจากการพูดคำหยาบ คือพูดแต่คำสุภาพ อ่อนหวาน อ่อนโยน กับบุคคลอื่นทั้ง ต่อหน้า และลับหลัง

 

(4) เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ คือพูดแต่ความจริง มีเหตุมีผลเน้นเนื้อหาสาระ ที่เป็นประโยชน์ พูดแต่สิ่งที่จำเป็นและพูดถูกกาลเทศะ

 

3. มโนกรรม 3หมายถึง ความประพฤติที่เกิดขึ้นในใจ 3 ประการ ได้แก่

(1) ไม่อยากได้ของของเขา คือ ไม่คิดจะโลภอยากได้ของผู้อื่นมาเป็นของตน

 

(2) ไม่พยาบาทปองร้ายผู้อื่น คือ มีจิตใจดี มีความปรารถนาดี อยากให้ผู้อื่น มีความสุขความเจริญ

 

(3) มีความเห็นที่ถูกต้อง คือมีความเชื่อในเรื่องการทำความดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และมี ความ เชื่อว่าความพยายามเป็นหนทางแห่งความสำเร็จ

 

 

อกุศลกรรมบท10

อกุศลกรรมบท10 เป็นหนทางแห่งการทำความชั่ว ความไม่ดี 10 ประการ แบ่งออกเป็น 3 ทางคือ กายกรรม 3 วจีกรรม 4 และมโนกรรม 3

 

 

สังคหวัตถุ 4

สังคหวัตถุ 4 เป็นหลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนาที่เป็นวิธีปฏิบัติเพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจ

คนอื่นที่ยังไม่เคยรักใคร่นับถือ ให้เกิดความรัก ความนับถือ

สังคหวัตถุเป็นหลักธรรมที่ช่วยผูกไมตรีซึ่งกันและกันให้ แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นประกอบด้วย ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา สมานัตตตา

 

1. ทาน คือการให้ปันสิ่งของของตนให้แก่ผู้อื่นด้วยความเต็มใจ เพื่อให้ประโยชน์แก่ผู้รับการให้เป็นการยึดเหนี่ยวน้ำใจกัน อย่างดียิ่ง เป็นการสงเคราะห์สมานน้ำใจกันผูกมิตรไมตรีกันให้ยั่งยืน

 

2. ปิยวาจา คือการเจรจาด้วยถ้อยคำไพเราะอ่อนหวาน พูดชวนให้คนอื่นเกิดความรักและ นับถือคำพูดที่ดีนั้นย่อมผูกใจคน ให้แน่นแฟ้นตลอดไป หรือแสดงความเห็นอกเห็นใจ ให้กำลังใจรู้จักพูดให้เกิด ความเข้าใจดี สมานสามัคคี ย่อมทำให้เกิดไมตรี ทำให้รักใคร่นับถือและช่วยเหลือ เกื้อกูลกัน

 

3. อัตถจริยา คือการประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่กัน คือช่วยเหลือด้วยแรงกายและ ขวนขวายช่วยเหลือกิจการต่าง ๆ ให้ลุล่วงไป เป็นคนไม่ดูดายช่วยให้เกิดสติสำนึกในความผิดชอบชั่วดี หรือช่วย แนะนำให้เกิดความรู้ความสามารถในการ ประกอบอาชีพ

 

4. สมานัตตตา คือการวางตนเป็นปกติเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ถือตัวการวางตนให้ เหมาะสม กับฐานะของตนตามสภาพได้แก่ เป็นผู้ใหญ่ ผู้น้อย หรือผู้เสมอกัน เอาใจใส่ปฏิบัติตามฐานะ ผู้น้อยคารวะนอบน้อมยำเกรงผู้ใหญ่

 

อบายมุข 6

คำว่าอบายมุข คือ หนทางแห่งความเสื่อม หรือหนทางแห่งความหายนะความฉิบหาย มี 6 อย่าง ได้แก่

 

1. การเป็นนักเลงผู้ใหญ่ หมายถึงการเป็นคนมีจิตใจใฝ่ในเรื่องเพศ เป็นคนเจ้าชู้ ทำให้เสีย ทรัพย์สิน เงินทอง สูญเสียเวลาและเสียสุขภาพ

 

2. การเป็นนักเลงสุรา หมายถึงผู้ที่ดื่มสุราจนติดเป็นนิสัย การดื่มสุรานอกจากจะทำให้เสียเงิน ทองแล้วยังเสียสุขภาพ และบั่นทอนสติปัญญาอีกด้วย

 

3. การเป็นนักเลงการพนัน หมายถึงผู้ที่ชอบเล่นการพนันทุกชนิด การเล่นการพนันทำให้ เสียทรัพย์สิน เสียสุขภาพการพนันไม่เคยทำให้ใครร่ำรวย มั่งมีเงินทองได้เลย

 

4. การคบคนชั่วเป็นมิตรหมายถึง การคบคนไม่ดีหรือคนชั่ว คนชั่วมักชักชวนให้ทำในสิ่งที่ไม่ ถูกต้องและอาจนำความเดือดร้อนมาสู่ตนเองและครอบครัว

 

5. การเที่ยวดูการละเล่นหมายถึง ผู้ที่ชอบเที่ยวการละเล่นกลางคืน ทำให้เสียทรัพย์และ อาจทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัว

 

6. เกียจคร้านทำการงาน หมายถึง ผู้ไม่ชอบทำงานขี้เกียจ ไม่ขยันขันแข็ง

 

โลกบาลธรรมหรือธรรมคุ้มครองโลก

โลกบาลหรือธรรมคุ้มครองโลกเป็นหลักธรรมที่ช่วยให้มนุษย์ทุกคนในโลก อยู่กันอย่างมี ความสุข มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อมีคุณธรรมและทำแต่สิ่งที่เป็น ประโยชน์ ประกอบด้วยหลักธรรม 2 ประการ ได้แก่หิริโอตตัปปะ

 

1. หิริคือ ความละอายในลักษณะ 3 ประการแล้วไม่ทำความชั่ว (บาป) คือ

(1) ละอายแก่ใจหรือความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจตนเองแล้วไม่ทำความชั่ว

(2) ละอายผู้อื่นหรือสภาพแวดล้อมต่าง ๆ แล้วไม่ทำความชั่ว

(3) ละอายต่อความชั่วที่ตนจะทำนั้นแล้วไม่ทำความชั่ว

 

2. โอตตัปปะคือ ความเกรงกลัว หมายถึง

(1) เกรงกลัวตนเองติเตียนตนเองได้

(2) เกรงกลัวผู้อื่นแล้วไม่กล้าทำความชั่ว

(3) เกรงกลัวต่อผลของความชั่วที่ทำจะเกิดขึ้นแก่ตน

(4) เกรงกลัวต่ออาญาของแผ่นดินแล้วไม่กล้าทำความชั่ว

 

 

กตัญญูกตเวที เครื่องหมายของคนดี

คำว่า “กตัญญู” แปลว่า “การรู้คุณคน” ส่วนคำว่า “กตเวที” แปลว่า

การตอบแทนผู้มีบุญคุณกับเรา ดังนั้นคำว่า กตัญญูกตเวที จึงหมายถึง

“การรู้คุณคนและตอบแทนผู้มีบุญคุณกับเรา” บุคคลผู้มีอุปการะคุณแก่

คนเรานั้นมีมากมาย แบ่งกว้าง ๆ ได้ 5 กลุ่ม ประกอบด้วย

1. ทางสกุล ได้แก่ บิดา มารดา ปู่ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา เป็นต้น

2. ทางการศึกษา ได้แก่ ครูบาอาจารย์หรือบุคคลที่อบรมสั่งสอนเรา

3. ทางการปกครอง ได้แก่ พระมหากษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์

4. ทางศาสนา ได้แก่องค์พระศาสดาของทุกศาสนา

5. ทางอื่น ได้แก่ ผู้มีอุปการะคุณทางอ้อม เช่นเพื่อนฝูง เพื่อนบ้าน เจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เป็นต้น

 

 

หลักสังคหวัตถุ 4

สังคหวัตถุแปลว่า วิธีสงเคราะห์ หมายถึงวิธีปฏิบัติเพื่อยึดเหนี่ยวน้ำใจคนอื่นที่ยังไม่เคยรักใคร่นับถือหรือที่รักใคร่นับถืออยู่แล้วให้สนิทแนบยิ่งขึ้น พูดง่าย ๆ สังคหวัตถุ ก็คือเทคนิควิธีทำให้คนรัก หรือมนต์ผูกใจคน นั่นเอง มีทั้งหมด 4 ประการ ดังนี้

 

1.1 ทานคือ การให้ ได้แก่ การเสียสละการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การแบ่งปันช่วยเหลือกันด้วยสิ่งของการให้ทานให้เพื่อขจัดกิเลส เช่น การบริจาคทานแก่นสมณชีพราหมณ์ ผู้ทรงศีลเพื่อขจัดความโลภหรือ ความตระหนี่ เป็นการชำระจิตใจให้สะอาด ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นและ การให้เพื่อสงเคราะห์หรือเพื่อยึดเหนี่ยวน้ำใจคนอื่น การทำทานโดยให้สังคหวัตถุนี้ ในแง่ปฏิบัติ หมายถึง การเฉลี่ยหรือแบ่งให้จากส่วนที่ คนมีอยู่มิใช่ให้มากมายจนไม่เหลือหรือให้จนผู้รับร่ำรวยจุดประสงค์เน้นที่

การแสดงอัธยาศัยไมตรีมากกว่าความมากหรือน้อยของวัตถุที่ให้เพราะฉะนั้น

คนยากจนหรือคนที่มีวัตถุสิ่งของเล็กน้อยก็สามารถแบ่งปันให้ทานผู้อื่นได้

ตามอัตภาพของตนเช่น การแบ่งปันอาหารให้เพื่อน แบ่งปันเครื่องเขียน ให้เพื่อน เป็นต้น ต้นคุณธรรมข้อนี้จะช่วยให้ไม่เป็นคนละโมบ ไม่เห็นแก่ตัว เราควรคำนึงอยู่เสมอว่าทรัพย์สิ่งของที่เราหามาได้ มิใช่สิ่งจีรังยั่งยืนเมื่อเราสิ้นชีวิตไปแล้วก็ไม่สามารถจะนำติดตัวเอาไปได้

 

1.2 ปิยวาจาได้แก่ การพูดคำสุภาพ อ่อนหวาน เพื่อให้เกิดความสมานสามัคคีปิยวาจาทำได้ง่าย เพราะวาจานั้นมีในตัวเรา เพียงเรามีสติมีเมตตาในใจก็สามารถพูดออกมาได้ คำพูดมีอยู่ 2 ประเภท ได้แก่

(1) คำพูดที่พูดออกไปแล้วคนฟังเกลียด เช่น คำหยาบ คำด่า คำประชด คำกระทบกระเทียบคำแดกดัน คำสบถ เป็นต้น คำพูดเหล่านี้เรียกว่า "อัปปิยวาจา"

(2) คำพูดที่พูดออกไปแล้วทำให้คนฟังรัก เช่น คำอ่อนหวาน คำชมเชยจากใจจริงคำพูดที่ชวนให้เกิดความสมัครสมานไมตรี เป็นต้น

 

1.3 อัตถจริยา หมายถึงการบำเพ็ญประโยชน์ช่วยเหลือกันและกันในวงแคบ และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ในวงกว้างหลักธรรมข้อนี้มุ่งสอนให้คน พัฒนาตน 2 ด้าน ด้าน คือ การทำตนให้เป็นประโยชน์และทำในสิ่งที่เป็น ประโยชน์ การทำตนให้เป็นประโยชน์ หมายถึงทำตนให้มีคุณค่าในสังคม ที่ตนอาศัยอยู่ อย่างคำพังเพยที่ว่า "อยู่บ้านท่านอย่างนิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควาย ให้ลูกท่านเล่น" หรือ "อยู่ก็ให้เขาไว้ใจไปก็ให้เขาคิดถึง"คนที่ไม่นิ่งดูดาย

มีอะไรพอจะช่วยเหลือคนอื่นและสังคมได้ก็เอาใจใส่ขวนขวายช่วยเหลือ

ตามสติกำลังทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า "คนทำหมู่คณะให้งดงาม" อยู่ที่ไหนก็สร้างความเจริญที่นั้นวิธีทำตนให้เป็นประโยชน์และทำสิ่งที่เป็น ประโยชน์ อาจทำได้หลายวิธี เช่นการตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ฝึกฝนอบรมตน ให้เป็นคนเจริญด้วยความรู้ ความสามารถเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดาเป็นศิษย์ที่ดีของครูอาจารย์เป็นนักเรียนที่ดีของสถานศึกษา เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ ตลอดจนเป็นศาสนิกชนที่ดีของพระพุทธศาสนา

1.4 สมานัตตตาการวางตนเสมอต้นเสมอปลาย หมายถึง การวางตนได้ เหมาะสม มีความหมาย 2 ประการ คือ

(1) วางตนได้เหมาะสมกับฐานะที่ตนมีอยู่ในสังคม เช่น เป็นหัวหน้าครอบครัวเป็นบิดามารดา เป็นครูอาจารย์ เป็นเพื่อนบ้าน เป็นต้นตนอยู่ในฐานะอะไรก็วางตนให้เหมาะสมกับฐานะที่เป็นอยู่ และทำได้อย่างเสมอต้นเสมดปลาย

(2) ปฏิบัติตนอย่างสม่ำเสมอต่อคนทั้งหลาย ให้ความเสมอภาคไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น เสมอในสุขและทุกข์ คือ ร่วมสุขร่วมทุกข์ ร่วมรับรู้ปัญหาและร่วมแก้ปัญหาเพื่อประโยชน์ของสังคม

 

คุณธรรมข้อนี้จะช่วยให้เราเป็นคนมีจิตใจหนักแน่นไม่โลเลรวมทั้งยังเป็นการสร้างความนิยม และไว้วางใจให้แก่ผู้อื่นอีกด้วย

 

หิริโอตตัปปะ

หิริ

หิริคือ ความละอายบาป เป็นความรู้สึกรังเกียจ ไม่อยากทำบาปเห็นบาปเป็นของสกปรกจะทำให้ใจของเราเศร้าหมอง จึงไม่ยอมทำบาป

 

• เหตุที่ทำให้เกิดหิริ

1. คำนึงถึงความเป็นคน หรือชาติตระกูล “เรานี่มีบุญอุตส่าห์ได้เกิดเป็นคนแล้ว ทำไมจึงจะมาฆ่าสัตว์ทำไมต้องมาขโมยเขากินนั่นมันเรื่องของสัตว์เดียรัจฉาน ทำไมต้องมาแย่งผัวแย่งเมียเขาไม่ใช่หมู หมา กา ไก่ ในฤดูผสมพันธุ์นี่ เรานี้มันชาติคนเป็นมนุษย์สูงกว่าสัตว์ทั้งหลายอยู่แล้ว” พอคำนึงถึงชาติตระกูล หิริก็เกิดขึ้น

2. คำนึงถึงอายุ “โธ่เอ๋ย เราก็แก่ป่านนี้แล้ว จะมานั่งเกี้ยวเด็กสาวๆคราวลูกคราวหลานอยู่ได้อย่างไร โธ่เอ๋ยเราก็แก่ป่านนี้แล้วจะมาขโมยของเด็กรุ่นลูกรุ่นหลานได้อย่างไร” พอคำนึงถึงวัย หิริก็เกิดขึ้น

3. คำนึงถึงความดีที่เคยทำ “เราก็เคยมีความองอาจกล้าหาญทำความดีมาก็มากแล้วทำไมจะต้องมาทำความชั่วเสียตอนนี้ล่ะ ไม่เอาละ ไม่ยอมทำความชั่วละ” พอคำนึงถึงความดีเก่าก่อน หิริก็เกิดขึ้น

4. คำนึงถึงความเป็นพหูสูต “ดูซิเราก็มีความรู้ขนาดนี้แล้ว รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว รู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำรู้สารพัดจะรู้แล้วจะมาทำความชั่วได้อย่างไร” พอคำนึงถึงความเป็นพหูสูตหิริก็เกิดขึ้น

5. คำนึงถึงพระศาสดา “เราเองก็ลูกพระพุทธเจ้าพระองค์สู้ทนเหนื่อยยาก ตรัสรู้ธรรมแล้วทรงสั่งสอนอบรมพวกเราต่อๆ กันมาเราจะละเลยคำสอนของพระองค์ ไปทำชั่วได้อย่างไร” พอคำนึงถึงพระศาสดา หิริก็เกิดขึ้น

6. คำนึงถึงครูอาจารย์ สถานศึกษา “ ฮึ เราก็ศิษย์มีครูเหมือนกันครูอาจารย์สู้อบรมสั่งสอนมา ชื่อเสียงสถาบันของเราก็โด่งดังเป็นที่ยกย่องสรรเสริญแล้วเราจะมาทำชั่วได้อย่างไร” พอคำนึงถึงครูอาจารย์ สำนักเรียน หิริก็เกิดขึ้น

 

โอตตัปปะ

โอตตัปปะ คือ ความเกรงกลัวบาปเป็นความรู้สึกกลัว กลัวว่าเมื่อทำไปแล้ว บาปจะส่งผลเป็นความทุกข์ทรมานแก่เราจึงไม่ยอมทำบาป

 

สังคมทุกแห่งมีกฎหมายห้ามคนกระทำชั่วหากใครละเมิดกฎหมายก็จะได้รับโทษกฎหมายเป็นข้อห้ามที่มีไว้เพื่อให้สังคมดำเนินไปอย่างปกติสุข หน่วยย่อย ๆ ในสังคมเช่น โรงเรียน ก็มีกฎและระเบียบให้นักเรียนปฏิบัติเพื่อให้เกิดความเรียบร้อยเช่นกัน

 

การที่คนเราไม่ทำความชั่วหรือความผิดตามกฎหมายหรือระเบียบของ

ของโรงเรียนห้ามไว้นั้นอาจเป็นเพราะเหตุผล 2 กรณี คือ กลัวถูกลงโทษ และติดตะรางหรือมิฉะนั้นก็กลัวถูกคนอื่นติเตียนประการหนึ่งที่ไม่ทำความชั่วเพราะละอายต่อความชั่วและเกรงกลัวความชั่วอีกประการหนึ่ง

 

การละอายต่อความชั่วนั้นทางพระเรียกว่า “หิริ” การละอายต่อความชั่ว

คือการละเว้นความชั่วเพราะละอายแก่ใจตนเอง มีความสำนึกตัวว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งชั่วไม่ควรทำ การที่ไม่ทำความชั่วมิใช่เพราะกลัวถูกจับหรือกลัวคนเห็นคนที่มีจิตสำนึกทางจริยธรรมนั้น ที่ไม่ทำความชั่วมิใช่ เพราะกลัวการถูกลงโทษที่มาจากภายนอก แต่เพราะความรู้สึกภายในยับยั้งไว้มิใช่เพราะกลัวคนอื่นเห็น แต่เพราะตัวเองละอายที่จะเห็นตนทำเช่นนั้น

 

ส่วนความเกรงกลัวต่อความชั่วนั้น ทางพระเรียกว่า “โอตตัปปะ” คนที่กลัวความชั่วนั้น ไม่ยอมทำผิดเพราะกลัวความชั่ว มิใช่กลัวตะรางหรือคำติเตียนเขาไม่ทำความชั่วเพราะสิ่งนั้นเป็นความชั่ว เขาเห็นความชั่วเป็นสิ่งโสโครกไม่อยากเข้าใกล้ เพราะกลัวจะเกิดความสกปรกขึ้นในจิตใจ

 

สมมติว่ามีนักเรียน 3 คนเดินอยู่บนถนนแห่งหนึ่งถ้านักเรียนคนหนึ่งเหลือบไปเห็นกระเป๋าสตางค์อยู่บนพื้นถนน จึงหยิบขึ้นมาดูเมื่อเปิดออกก็เห็นเงินหลายพันบาทในนั้น เหตุการณ์นี้เพื่อนอีก 2 คนที่เดินไปด้วยกันก็เห็นด้วย นักเรียนคนนั้นจึงชวนเพื่อน ๆไปแจ้งความและมอบกระเป๋าเงินไว้ที่สถานีตำรวจการกระทำครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นการละเว้นความชั่วเพราะการเอาของผู้อื่นมาเป็นของตนโดยไม่มีสิทธิ์ที่ควรได้นั้นเป็นความชั่วอย่างแน่นอน และไม่เพียงผิดศีลธรรมเท่านั้น ยังผิดกฎหมายด้วยแต่กรณีเช่นนี้ เรายังไม่รู้ความในใจของนักเรียนคนนี้ในการที่ไม่ทำความชั่วซึ่งอาจจะเป็นเพราะมีคนเห็นและกลัวถูกจับจึงไม่กล้ากระทำก็ได้

 

สมมติว่ามีเด็กอีกคนหนึ่งเดินไปคนเดียวและพบกระเป๋าสตางค์บนถนน

ขณะที่เขาหยิบกระเป๋าขึ้นมาถือไว้นั้น ไม่มีใครเห็นเขาเลย หากเขาประสงค์จะเก็บไว้เป็นของตัวก็จะไม่มีใครมาติเตียนหรือไม่มีใครไปบอกตำรวจมาจับ

หากเด็กคนนี้มีจิตสำนึกดีเขาก็จะเอากระเป๋าไปมอบที่สถานีตำรวจเช่นนี้เรียกว่าเขาละอายใจตนเองที่จะถือเอาสิ่งที่ตนไม่มีสิทธิอันชอบธรรม เขาละอายต่อความชั่วมิใช่ ละอายผู้อื่นใด เพราะแถวนั้นไม่มีใครเรียกได้ว่า

เขากลัวความชั่วมิใช่กลัวถูกจับหรือกลัวถูกติเตียนเพราะไม่มีใครเห็นคนที่ละอายและกลัวความชั่วนั้นจะไม่ทำชั่วไม่ว่าในที่ลับหรือที่แจ้ง

 

ผู้ที่ละอายและเกรงกลังความชั่วนั้น คือผู้ที่เคารพตนเองคนที่ไม่กระทำผิดเพราะกลัวถูกลงโทษนั้นคือคนที่เคารพกฎหมายแต่คนที่ไม่กระทำผิดละอายแก่ใจนั้นคือคนที่เคารพตนเอง การเคารพกฎหมายเป็นสิ่งที่ดีแต่จะให้ดียิ่งขึ้นต้องเคารพตนเองกฎหมายเพียงอย่างเดียวไม่อาจทำให้สังคมเป็นปกติสุขได้คนที่ไม่มีความละอายต่อความชั่วย่อมหาทางหลีกเลี่ยงกฎหมายเสมอถ้าไม่มีคนเห็นหรือแน่ใจว่าไม่มีใครจับได้ก็จะยังคิดที่จะทำความชั่วอยู่

พรหมวิหาร 4

1. เมตตา :ความปราถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข ความสุขเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนาความสุขเกิดขึ้นได้ทั้งกายและใจ เช่น ความสุขเกิดการมีทรัพย์ความสุขเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์เพื่อการบริโภค ความสุขเกิดจากการไม่เป็นหนี้และความสุขเกิดจากการทำงานที่ปราศจากโทษ เป็นต้น

 

2. กรุณา :ความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ความทุกข์ คือสิ่งที่เข้ามาเบียดเบียนให้เกิดความไม่สบายกายไม่สบายใจ และเกิดขึ้นจากปัจจัยหลายประการด้วยกันพระพุทธองค์ทรงสรุปไว้ว่าความทุกข์มี 2 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้ - ทุกข์โดยสภาวะหรือเกิดจากเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของร่างกายเช่น การเกิด การเจ็บไข้

ความแก่และความตายสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่เกิดมาในโลกจะต้องประสบกับ

การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ซึ่งรวมเรียกว่า กายิกทุกข์ - ทุกข์จรหรือทุกข์ทางใจอันเป็นความทุกข์ที่เกิดจากสาเหตุที่อยู่นอกตัวเรา

เช่นเมื่อปรารถนาแล้วไม่สมหวังก็เป็นทุกข์ การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์ รวมเรียกว่าเจตสิกทุกข์

 

3. มุทิตา : ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี คำว่า "ดี" ในที่นี้หมายถึง การมีความสุขหรือมีความเจริญก้าวหน้า ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีจึงหมายถึงความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุขความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้น ไม่มีจิตใจริษยาความริษยา คือ ความไม่สบายใจ ความโกรธความฟุ้งซ่านซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดีกว่าตน เช่น เห็นเพื่อนแต่งตัวเรียบร้อยแล้วครูชมเชยก็เกิดความริษยาจึงแกล้งเอาเศษชอล์ก โคลน

หรือหมึกไปป้ายตามเสื้อกางเกงของ เพื่อนนักเรียนคนนั้นให้สกปรกเลอะเทอะ

เราต้องหมั่นฝึกหัดตนให้เป็นคนที่มีมุทิตา เพราะจะสร้างไมตรีและผูกมิตรกับผู้อื่นได้ง่ายและลึกซึ้ง

 

4. อุเบกขา : : การรู้จักวางเฉย หมายถึงการวางใจเป็นกลาง เพราะพิจารณาเห็นว่า ใครทำดีย่อม ได้ดี ใครทำชั่วย่อมได้ชั่วตามกฎแห่งกรรม คือ ใครทำสิ่งใดไว้สิ่งนั้นย่อมตอบสนองคืนบุคคลผู้กระทำ

เมื่อเราเห็นใครได้รับผลกรรมในทางที่เป็นโทษเราก็ไม่ควรดีใจ

หรือคิดซ้ำเติมเขาในเรื่องที่เกิดขึ้นเราควรมีความปรารถนาดีคือ

พยายามช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากความทุกข์ในลักษณะที่ถูกต้อง

ตามทำนองคลองธรรม

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ท่านแม่บ้านทั้งหลาย หยุดพักบ้างก็ได้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ท่านแม่บ้านทั้งหลาย หยุดพักบ้างก็ได้

 

แม่บ้านตัวจริงจะบอกว่า งานบ้านไม่มีเวลาพัก จะพักก็ต่อเมื่อ ทุกคนไม่อยู่บ้าน

 

วันนี้จะไปโลตัสเพราะมีคูปอง ลด80 บาท

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เบอร์นันเก้แถลงเขย่าตลาดตีความเฟดพักQE

นายเบอร์นันเก้ กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของเฟดกำลังช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวขึ้น แต่เฟดจะชะลอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวก็ต่อเมื่อเฟดได้เห็นสัญญาณบ่งชี้ถึงแรงหนุนมากกว่านี้

 

 

นอกจากนี้ นายเบอร์นันเก้ยังกล่าวว่า เฟดอาจตัดสินใจปรับลดวงเงินในมาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้ในอัตรา 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน ตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมครั้งใดครั้งหนึ่งในอีกไม่กี่ครั้งข้างหน้า ถ้าหากเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มที่จะรักษาแรงผลักดันได้ต่อไป

 

 

ขณะเดียวกัน เฟดได้เปิดเผยรายงานการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟดประจำวันที่ 30 เม.ย.-1 พ.ค. โดยรายงานการประชุมดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า เฟดยังคงตั้งเงื่อนไขไว้สูงในการชะลอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

 

 

รายงานการประชุมเฟด เปิดเผยว่า "ผู้เข้าร่วมการประชุมหลายคนระบุว่า ความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องในตลาดแรงงาน, ความเชื่อมั่นที่เพิ่มสูงขึ้นต่อแนวโน้มในอนาคต หรือความเสี่ยงในช่วงขาลงที่เบาบางลงเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องเกิดขึ้นก่อนที่เฟดจะชะลออัตราการเข้าซื้อตราสารหนี้"

 

 

คำแถลงของนายเบอร์นันเก้ในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า เฟดไม่มีความต้องการที่จะชะลอมาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้รอบ 3 ในเร็วๆ นี้ โดยกล่าวย้ำถึงต้นทุนที่ระดับสูงในส่วนของอัตราการว่างงานและอัตราเงินเฟ้อ โดยอัตราการว่างงานในสหรัฐอยู่สูงกว่าเป้าหมายของเฟดในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ต่ำกว่าเป้าหมายของเฟดในระยะนี้

 

 

นายเบอร์นันเก้ กล่าวต่อคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจร่วมของสภาคองเกรส ว่า "นโยบายการเงินกำลังส่งผลบวกเป็นอย่างมาก" ซึ่งเห็นได้จากปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคที่แข็งแกร่งในส่วนของ

รถยนต์และที่อยู่อาศัย และความมั่งคั่งภาคครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น

 

 

"นโยบายการเงินได้ช่วยสกัดแรงกดดัน ด้านเงินฝืดที่เริ่มก่อตัวขึ้น และช่วยสกัดกั้นอัตราเงินเฟ้อไม่ให้ดิ่งลงไปอีก ขณะอยู่ใต้เป้าหมายระยะยาวที่ 2 %"

 

 

อย่างไรก็ดี ตลาดการเงินมุ่งความสนใจไปยังความเป็นไปได้ ที่เฟดจะชะลอมาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้ในช่วงต่อไปในปีนี้ โดยดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปิดตลาดวานนี้ร่วงลง 0.83% ส่วนดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าเงินดีดตัวขึ้นแตะจุดสูงสุดในรอบเกือบ 3 ปี และตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเผชิญกับแรงเทขายอย่างรุนแรง โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นเหนือ 2% และแตะระดับ 2.044% เมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่กลางเดือนมี.ค. เป็นต้นมา

 

 

ปัจจุบันนี้ เฟดเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในอัตรา 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน และเข้าซื้อหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันจากสัญญาจำนอง (MBS) ในอัตรา 4 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน โดยมีจุดประสงค์เพื่อกดดันต้นทุนการกู้ยืมให้อยู่ในระดับต่ำ และกระตุ้นการลงทุน, การจ้างงาน และ การเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยมาตรการนี้ถือเป็นมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ รอบ 3 (QE3) นับตั้งแต่เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับใกล้ 0% ในเดือนธ.ค. 2008

 

 

นายดักลาส บอร์ธวิค กรรมการผู้จัดการบริษัท แชปเดอเลน ฟอเรนจ์ เอ็กซ์เชนจ์ กล่าวว่า "ผมเชื่อว่า ถึงแม้เฟดมีความเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้นว่า เศรษฐกิจสหรัฐได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่เฟดก็ยังคงกังวลกับการยุติคิวอี และแรงหนุนทางเศรษฐกิจที่เกิดจากคิวอี"

 

 

นายเบอร์นันเก้ ตั้งข้อสังเกตว่า มาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่เฟดจับตามองอยู่ที่ระดับเพียง 1% ต่อปีเท่านั้นในเดือนมี.ค. หรืออยู่ในระดับเพียงครึ่งหนึ่งของเป้าหมายที่เฟดตั้งไว้ที่ 2% สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาพลังงานปรับตัวลง แต่ก็มีสัญญาณบ่งชี้ว่า อัตราเงินเฟ้อลดลงในวงกว้างเช่นกัน

 

 

นายเบอร์นันเก้ ยังกล่าวว่า เฟดพร้อมที่จะปรับขึ้นหรือปรับลดอัตราการเข้าซื้อตราสารหนี้ โดยขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งถ้อยแถลงนี้ตรงกับแถลงการณ์ของเฟดหลังการประชุมวันที่ 1 พ.ค.

 

 

"ถ้าหากเราพบว่าเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเรามีความมั่นใจว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างยั่งยืน เมื่อนั้นเราก็อาจจะปรับลดอัตราการเข้าซื้อตราสารหนี้ลงในการประชุมอีกไม่กี่ครั้งข้างหน้า"

 

 

นายเบอร์นันเก้ กล่าวว่า "ถ้าหากเราทำเช่นนั้น สิ่งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเราตั้งเป้าหมายโดยอัตโนมัติในการยุติมาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้อย่างสมบูรณ์ เพราะเราจะมองไปยังอนาคตในช่วงหลังจากนั้น เพื่อดูว่าเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง และเราอาจจะปรับขึ้นหรือปรับลดอัตราการเข้าซื้อตราสารหนี้ก็ได้ในอนาคต"

 

 

อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐอยู่ที่ 2.5% ในไตรมาสแรก เมื่อเทียบรายปี โดยปรับขึ้นจาก 0.4% ในไตรมาส 4/2012 ส่วนอัตราการว่างงานลดลงสู่ 7.5 % ในเดือนเม.ย. หลังจากเคยขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ 10% ในเดือนต.ค. 2009 อย่างไรก็ดี นายเบอร์นันเก้กล่าวว่า อัตราการว่างงานยังคง "อยู่สูงกว่าระดับปกติในระยะยาวเป็นอย่างมาก"

 

 

ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐอยู่ในภาวะไร้ทิศทางในระยะนี้ โดยตัวเลขการจ้างงานใหม่, ยอดค้าปลีก และตัวเลขภาคที่อยู่อาศัยต่างก็อยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง แต่ผลผลิตภาคโรงงานหดตัวลง

 

 

นายเบอร์นันเก้ กล่าวว่า อุปสรรคที่ขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงวิกฤติหนี้ยุโรป ได้บรรเทาเบาบางลงในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี การคุมเข้มงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐ ได้กลายเป็นปัจจัยที่ถ่วงการเติบโตทางเศรษฐกิจลงในระดับที่รุนแรงเกินกว่าที่เฟดจะสามารถชดเชยได้ทั้งหมด

 

 

นายเบอร์นันเก้ กล่าวว่า เฟดตระหนักดีว่าการทำให้นโยบายการเงินอยู่ในภาวะผ่อนคลายมากเกินไปเป็นเวลานานเกินไป อาจจะก่อให้เกิดภาวะฟองสบู่ในราคาสินทรัพย์ได้ แต่เฟดเชื่อว่า ราคาสินทรัพย์สำคัญในปัจจุบันอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ

 

 

นายเบอร์นันเก้ ยังได้กล่าวเตือนถึงความเสี่ยงที่เกิดจากการชะลอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในเวลาที่เร็วเกินไป

 

 

"การคุมเข้มนโยบายการเงินก่อนเวลาอันควร อาจส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยพุ่งขึ้นชั่วคราว แต่ก็อาจจะก่อให้เกิดความเสี่ยงขนาดใหญ่ในการทำให้เศรษฐกิจชะลอการฟื้นตัว หรือยุติการฟื้นตัว และส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อดิ่งลงต่อไป"

 

 

นายเบอร์นันเก้ กล่าวว่า หลังจากเฟดเข้าซื้อหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันจากสัญญาจำนอง (MBS) ในช่วงที่ผ่านมา เฟดก็อาจจะงดเว้น จากการขาย MBS เมื่อถึงเวลาที่เฟดต้องคุมเข้มนโยบายการเงินในอนาคต โดยเขากล่าวว่า "โดยส่วนตัวแล้วผมเชื่อว่า เฟดสามารถยุติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้โดยไม่ต้องขาย MBS"

 

 

ต่อคำถามที่ว่า เฟดจะชะลออัตราการเข้าซื้อตราสารหนี้ก่อนวันที่ 2 ก.ย. ซึ่งเป็นวันหยุดเนื่องในวันแรงงานของสหรัฐหรือไม่ นายเบอร์นันเก้ ตอบว่า "ผมไม่ทราบ"

 

 

ทางด้าน นายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก กล่าวย้ำว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนส่งผลให้ช่วงนี้ยังคงเป็นเวลาที่เร็วเกินไปที่จะตัดสินใจได้ว่า เฟดจะชะลออัตราการเข้าซื้อตราสารหนี้หรือไม่

 

 

นายดัดลีย์ กล่าวในการให้สัมภาษณ์ทางบลูมเบิร์ก ทีวีว่า "ผมคิดว่าในอีก 3-4 เดือนข้างหน้า คุณก็จะมีความเข้าใจมากยิ่งขึ้นในเรื่องที่ว่า 'เศรษฐกิจอยู่ในภาวะที่แข็งแกร่งมากพอที่จะเอาชนะแรงถ่วงทางการคลังได้หรือไม่'"

 

 

นายดัดลีย์ กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่จะมีการชะลอมาตรการเข้าซื้อตราสารหนี้ภายในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ "ถ้าหากเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น และตลาดแรงงานยังคงปรับตัวดีขึ้นต่อไป"

 

 

รายงานการประชุมเฟด ประจำวันที่ 30 เม.ย.-1 พ.ค. ระบุว่า เจ้าหน้าที่เฟดบางคนแสดงความเต็มใจที่จะปรับลดการเข้าซื้อตราสารหนี้ ในการประชุมเฟดประจำวันที่ 18-19 มิ.ย. ถ้าหากมีสัญญาณบ่งชี้ว่า "เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืนและอย่างแข็งแกร่งมากพอ" แต่ เจ้าหน้าที่เฟดแสดงความเห็นแตกต่างกันไปเกี่ยวกับวิธีการในการใช้วัด ความคืบหน้าทางเศรษฐกิจ และต่อความเป็นไปได้ในการบรรลุเงื่อนไขที่ตั้งไว้

http://www.suthichaiyoon.com/home/details.php?NewsID=2828

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

แม่บ้านตัวจริงจะบอกว่า งานบ้านไม่มีเวลาพัก จะพักก็ต่อเมื่อ ทุกคนไม่อยู่บ้าน

 

วันนี้จะไปโลตัสเพราะมีคูปอง ลด80 บาท

555 " เชื่อครับ เจ้ฯ " งานบ้านมีเวลาพัก เวลาไปพักผ่อนต่างจังหวัด เท่านั้น อ้าวเหรอ วันนี้ มีคูปอง 80 บาท หุหุ วันนี้ ไหนจะพกฝาโซดา แลกตั๋วหนัง / ขอลายเซ็นหนูนา / ไหนจะกินไก่ทอด บองชอง / ไหนจะไปเวียนเทียนที่วัดฯ ขากลับ แวะ โลตัส

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

::

ถูกแก้ไข โดย เด็กขายของ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

มุมมองของฝรั่งวิเคราะห์ และ แนวทางการซื้อขาย ยังคงให้แนวโน้มที่เป็น ด้านบวก ต่อการขึ้นของราคาทอง ทนไหวก็ถือทน กลัวเสียวก็ปล่อยออกบ้าง แต่ถ้าถามเด็กขายของ แกบอกว่า ทนถือถือทน ต่อไป

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณคุณป๋ามากๆค่ะ :01

 

รอดูมะขามด้วยคนค่ะ ท่าทางน่าอร่อย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณค่ะ

กินยาแก้แพ้เลยนอนตั้งตั้งแต่สายยันบ่ายเพิ่งตื่นมากินเตี๋ยวที่ลูกกะแฟนไปซื้อมาให้

วันหยุดๆ กันหมดเลยได้หยุดได้นอนด้วย อิอิ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

:( Core Durable Goods Orders (MoM)

 

Actual:1.3%

Forecast:0.5%

Previous:-1.7%

Importance: Currency:USDSource Of Report:Census Bureau (Release URL)

OverviewChartHistory

Core Durable Goods Orders measures the change in the total value of new orders for long lasting manufactured goods, excluding transportation items. Because aircraft orders are very volatile, the core number gives a better gauge of ordering trends. A higher reading indicates increased manufacturing activity.

 

A higher than expected reading should be taken as positive/bullish for the USD, while a lower than expected reading should be taken as negative/bearish for the USD.

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

:( Durable Goods Orders (MoM)

 

Actual:3.3%

Forecast:1.5%

Previous:-5.9%

Importance: Currency:USDSource Of Report:Census Bureau (Release URL)

OverviewChartHistory

Durable Goods Orders measures the change in the total value of new orders for long lasting manufactured goods, including transportation items.

 

A higher than expected reading should be taken as positive/bullish for the USD, while a lower than expected reading should be taken as negative/bearish for the USD.

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...