ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

เฟดลด QE ฉุดทองคำปิดร่วง $ 41.4

วันศุกร์, 20 ธันวาคม 2556 08:26 | พิมพ์ | อีเมล

 

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. ร่วงลง 41.4 ดอลลาร์ หรือ 3.35% 1,193.6 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างหนักกว่า 3% เมื่อคืนนี้ (19 ธ.ค.) โดยสัญญาปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจปรับลดขนาดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมครั้งล่าสุด

 

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. ร่วงลง 41.4 ดอลลาร์ หรือ 3.35% 1,193.6 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สัญญาทองคำร่วงลงต่ำกว่าระดับ 1,200 ดอลลาร์/ออนซ์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปีนี้ เนื่องจากนักลงทุนเทขายหลังจากเฟดมีมติปรับลดขนาดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมครั้งล่าสุดซึ่งเสร็จสิ้นเมื่อวานนี้ ด้วยการปรับลดวงเงินการซื้อพันธบัตรลง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน จากเดิมที่ระดับ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน

 

นอกจากนี้ การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐยังเป็นอีกปัจจัยที่ฉุดสัญญาทองคำดิ่งลงด้วย โดยดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นมาตรวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับ 6 สกุลเงินหลักๆในตะกร้าเงิน พุ่งขึ้นแตะระดับ 80.602 จุด จากวันพุทธที่ระดับ 80.477 จุด อันเนื่องมาจากข่าวเฟดลดวงเงิน QE

 

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.ลดลง 87.3 เซนต์ ปิดที่ 19.186 ดอลลาร์/ออนซ์

 

 

http://www.moneychannel.co.th

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

20 ธันวาคม 2556 06:30

ตลาดโลกเจอผลกระทบจำกัดเฟดลดคิวอี

 

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 

เฟด ตัดสินใจปรับลดขนาดของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ มีแนวโน้มจะส่งผลกระทบในวงจำกัดต่อตลาดการเงินทั่วโลก

 

นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่ง ระบุว่า การที่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ตัดสินใจปรับลดขนาดของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือคิวอีลงมา ตั้งแต่เดือนมกราคมปีหน้านั้น มีแนวโน้มจะส่งผลกระทบในวงจำกัดต่อตลาดการเงินทั่วโลก และนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพื่อรับมือกับภาวะเงินฝืดของญี่ปุ่น

 

เฟดประกาศเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า จะชะลอมาตรการคิวอี โดยการปรับลดวงเงินการซื้อพันธบัตรรายเดือนลง 10,000 ล้านดอลลาร์ มาอยู่ที่ 75,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน โดยระบุถึงการปรับตัวดีขึ้นในตลาดแรงงานและเศรษฐกิจโดยรวม

 

นายเอเดรียน คร็องเช หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ด้านการลงทุน จากบริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุน "บาเลนไทน์" แสดงความเห็นว่า สิ่งที่เฟดดำเนินการไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจแต่อย่างใด ตลาดต่างๆได้ปรับตัวรับกับแนวคิดเกี่ยวกับการชะลอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากกว่าเมื่อช่วงต้นปี

 

การตัดสินใจของเฟดในครั้งนี้มีขึ้นในช่วงเวลาที่รัฐบาลญี่ปุ่นและธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ยังคงผลักดันนโยบายผ่อนคลายทางการเงินขนานใหญ่ที่พวกเขาระบุว่ามีเป้าหมายเพื่อหนุนเศรษฐกิจญี่ปุ่นให้พ้นจากภาวะเงินฝืดที่ดำเนินมาเกือบ 20 ปี

 

ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา บีโอเจได้ตัดสินใจเพิ่มฐานเงินขึ้นเป็น 2 เท่าภายในระยะเวลา 2 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อฐานเงินในอัตราประมาณ 60-70 ล้านล้านเยนต่อปี

 

ทางด้านนายโคสึเกะ โมทานิ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์อาวุโส จากสถาบันวิจัยญี่ปุ่น ระบุว่า แม้เฟดจะลดคิวอี แต่ไม่มีแนวโน้มที่ญี่ปุ่น จะปรับลดมาตรการผ่อนคลายทางการเงินลงไปแบบเดียวกัน หรือถ้าอยากจะทำ ก็ยังทำไม่ได้ เพราะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ประกาศออกมานั้น ยังไม่แสดงผลลัพธ์ออกมามากพอ

 

ทั้งนี้ ในแถลงการณ์หลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายนาน 2 วันนั้น เฟด ระบุว่า มองเห็นความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องในการจ้างงาน และแนวโน้มที่ดีขึ้นในตลาดแรงงาน จึงตัดสินใจลดการเข้าซื้อพันธบัตรรายเดือนดังกล่าว

 

แถลงการณ์ยังระบุถึงความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจในอนาคตว่า ใกล้เข้าสู่สมดุลมากขึ้น ตรงข้ามกับแถลงการณ์ของเอฟโอเอ็มซีครั้งก่อนที่ระบุถึงความเสี่ยงขาลง แต่เอฟโอเอ็มซียังกังวลเรื่องเงินเฟ้ออ่อนตัวในเศรษฐกิจซบเซา กล่าวว่า เอฟโอเอ็มซีจับตาเงินเฟ้ออย่างระมัดระวังให้กลับมาอยู่ที่ 2% ตามเป้าในระยะปานกลาง

 

http://www.bangkokbiznews.com

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ประเมินราคาทอง Q1/57 อยู่ที่ 1,450-1,475 ดอลลาร์/ออนซ์ คาด “ปีใหม่-ตรุษจีน” ซื้อทองไม่คึกคัก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 ธันวาคม 2556 12:22 น.

 

 

ประเมินราคาทอง Q1/57 อยู่ที่ 1,450-1,475 ดอลลาร์/ออนซ์ คาด “ปีใหม่-ตรุษจีน” ซื้อทองไม่คึกคัก

news_img_550849_1.jpg

 

“จิตติ” ประเมิน “เฟด” ลด “คิวอี” กระทบทองไม่มากเพราะตลาดรับรู้ไปแล้ว เชื่อเทศกาลปีใหม่ และตรุษจีนไม่คึกคัก เพราะราคาผันผวน แนะลดความเสี่ยง และปลอดภัยไม่ควรถือครองระยะยาว พร้อมประเมินราคาทองคำในช่วงไตรมาสแรกของปี 57 โดยให้แนวรับ 1,175 ดอลลาร์/ออนซ์ แนวต้าน 1,450 ดอลลาร์/ออนซ์

 

นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ ประเมินทิศทางราคาทองคำหลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศปรับลดวงเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจ (คิวอี) ส่งผลต่อราคาทองคำในตลาดโลก ซึ่งเช้าวันนี้ราคาทองในกระดานต่างประเทศปรับลดลงไปประมาณ 10 ดอลลาร์/ออนซ์ แต่ถือว่าไม่มาก เนื่องจากตลาดรับประเด็นเรื่องการลดคิวอีมานานแล้ว ซึ่งการปรับลดในรอบนี้ถือว่าเป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์เอาไว้ ส่วนแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติเองก็เบาบางลงเนื่องจากเข้าช่วงวันหยุดยาวเทศกาลคริสต์มาส   

 

ส่วนประเด็นที่หลายฝ่ายคาดหวังว่าในช่วงเทศกาลสำคัญปลายปี อย่างช่วงปีใหม่ของไทย รวมไปถึงเทศกาลตรุษจีน ที่มีระยะเวลาห่างกันประมาณ 1 เดือน ว่าจะช่วยกระตุ้นบรรยากาศการลงทุนในตลาดทองในช่วงเดือนมกราคมให้กลับมาคึกคักมากขึ้นนั้น มองว่าในปีนี้จะเงียบเหงาเนื่องจากราคาทองคำยังผันผวน ทำให้นักลงทุนไม่กล้าเข้ามาซื้อทองมากนัก   

 

“ตอนนี้บริษัทต่างๆ ที่เคยมาซื้อทองในช่วงปีใหม่ อยู่ในปริมาณที่ทรงๆ และส่วนใหญ่ก็มาซื้อทองเก็บไว้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่รายย่อยถือว่ามาซื้อมากขึ้น แต่ก็ไม่มีผลต่อภาพรวมตลาดมากนัก”

 

ทั้งนี้ ประเมินราคาทองคำในช่วงไตรมาสแรกของปี 2557 โดยให้แนวรับ 1,175 ดอลลาร์/ออนซ์ แนวต้าน 1,450 ดอลลาร์/ออนซ์ ส่วนกลยุทธ์การลงทุน แนะนำเก็งกำไรในระยะสั้น และไม่ควรถือครองในระยะยาว

 

http://manager.co.th/iBizchannel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000155642

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นักบริหารเงิน เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ระดับ 32.47/49 บาท/ดอลลาร์ ใกล้เคียงกับช่วงเย็นวานนี้ที่ปิดตลาดที่ระดับ 32.46/47 บาท/ดอลลาร์

 

แนวโน้มเงินบาทยังมีโอกาสอ่อนค่าได้ต่อ หลังจากที่เมื่อคืนไปทดสอบระดับ 32.50 บาท/ดอลลาร์ แต่ยังไม่ผ่าน ซึ่งหากผ่านไปได้ในวันนี้ก็จะเป็นการอ่อนค่ามากสุดในรอบ 3 ปี นับตั้งแต่ปี 53

 

"ถ้าวันนี้เงินบาทอ่อนค่าหลุดระดับ 32.50 ก็จะเป็นการอ่อนค่าสุดในรอบ 3 ปี เพราะช่วงนั้น(3 ปีก่อน)อยู่ที่ 32.48/49 แต่เมื่อคืนไป test ที่ 32.50 แต่ยังไม่ผ่าน วันนี้มีโอกาสจะไป test อีกครั้ง ถ้าผ่านไปได้บาทคงขยับขึ้นไปอีกเยอะพอสมควร เพราะทะลุ 3 ปีขึ้นไป และเห็นเป็นขาขึ้น(อ่อนค่า)ได้ชัดเจนขึ้น" นักบริหารเงิน ระบุ

 

โดยการอ่อนค่าของเงินบาทเป็นไปในทิศทางเดียวกับสกุลเงินในภูมิภาคที่อ่อน ค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ จากปัจจัยสำคัญที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ได้ตัดสินใจจะทยอยปรับลดมาตรการ QE ลง ซึ่งจะมีผลตั้งแต่ต้นปีหน้า ในขณะที่ปัจจัยการเมืองในประเทศเริ่มอ่อนลงแล้ว ตราบใดที่ยังไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรง

 

นักบริหารเงิน คาดว่า วันนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 32.38-32.57 บาท/ดอลลาร์

 

* ปัจจัยสำคัญ

 

- เปิดตลาดเช้านี้ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 104.30/33 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเย็นวานนี้ที่ระดับ 103.96 เยน/ดอลลาร์

 

- ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.3640/3642 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเย็นวานนี้ที่ระดับ 1.3681 ดอลลาร์/ยูโร

 

- อัตราแลกเปลี่ยนบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของ ธปท.อยู่ที่ระดับ 32.3840 บาท/ดอลลาร์

 

- สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (19 ธ.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจปรับลดขนาดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมครั้งล่าสุด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง

 

- ตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวอย่างผันผวนในช่วงเช้าวันนี้ โดยดัชนี MSCI Asia Pacific ขยับลง 0.1% แตะระดับ 138.24 จุด เมื่อเวลา 10.02 น.ตามเวลาโตเกียว เนื่องจากตลาดหุ้นญี่ปุ่นร่วงลงก่อนที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นจะแถลงมติการประชุม ในวันนี้ ขณะที่ตลาดหุ้นออสเตรเลียปรับตัวเพิ่มขึ้น

 

- วานนี้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) เริ่มต้นการประชุมนโยบายเป็นระยะเวลา 2 วันซึ่งจะสิ้นสุดในวันนี้ โดยคาดว่า เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายจะหารือกันในเรื่องผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นและตลาด การเงินโลก จากการที่เฟดตัดสินใจปรับลดขนาดของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมครั้งล่าสุด

 

- สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ย.ร่วงลง 4.3% สู่ระดับ 4.90 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 1 ปี และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงแตะระดับ 5.03 ล้านยูนิต จากเดือนต.ค.ที่ระดับ 5.12 ล้านยูนิต

 

- ธนาคารกลางจีนประกาศอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ตลาดเงินผ่านปฏิบัติการอัดฉีด สภาพคล่องระยะสั้น(SLO) ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะช่วยให้ธนาคารกลางจีนสามารถควบคุมอุปสงค์และอุปทานของ สภาพคล่องระยะสั้นได้ อีกทั้งยังสามารถป้องกันความผันผวนรุนแรงในตลาดเงิน

 

- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างหนักกว่า 3% เมื่อคืนนี้ โดยสัญญาปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ตัดสินใจปรับลดขนาดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมครั้งล่าสุด โดยสัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. ร่วงลง 41.4 ดอลลาร์ หรือ 3.35% 1,193.6 ดอลลาร์/ออนซ์ ส่วนสัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.ลดลง 87.3 เซนต์ ปิดที่ 19.186 ดอลลาร์/ออนซ์

 

- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส(WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค.เพิ่มขึ้น 97 เซนต์ ปิดที่ 98.77 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยสัญญาเดือนม.ค.ได้ครบกำหนดส่งมอบแล้วในวันพฤหัสบดี 19 ธ.ค. ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ที่ตลาดลอนดอน ส่งมอบเดือนม.ค. ดีดขึ้น 66 เซนต์ ปิดที่ 110.29 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นในกรอบที่จำกัด เพราะตลาดได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 14 ธ.ค. พุ่งขึ้น 10,000 ราย สู่ระดับ 379,000 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 9 เดือน สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 334,000 ราย จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 368,000 ราย

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 20 ธันวาคม 2556)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

การสำรวจของซีเอ็นบีซีพบว่า การผ่อนคันเร่งในการกระตุ้นระบบเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ดำเนินการผ่านการซื้อพันธบัตรอาจมีขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์กันไว้

 

 

กล่าวคือ อาจมีขึ้นก่อนเดือนตุลาคมปีหน้า เนื่องจากในบันทึกการประชุมคณะกรรมการธนาคารกลางครั้งหลังสุด สมาชิกคณะกรรมการเฟดต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่า ระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ กำลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดแรงงาน ทำให้เป็นที่คาดการณ์กันว่า การลดจำนวนการซื้อพันธบัตรของธนาคารกลางสหรัฐจากที่เคยซื้อตกเดือนละ 85,000 ล้านดอลลาร์ อาจเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้

 

 

และหากธนาคารกลางสหรัฐยังยึดเงื่อนไขเดิมก่อนที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย นั่นคือ อัตราการว่างงานจะต้องอยู่ที่ 6.5 เปอร์เซ็นต์ และ อัตราเงินเฟ้อต้องไม่เกิน 2.5 เปอร์เซ็นต์ นักวิเคราะห์บางคนกล่าวว่า แผนกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการซื้อพันธบัตรของธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจสิ้นสุดลงอย่างสิ้นเชิงภายในสิ้นปี 2557

 

ที่มา : ครอบครัวข่าว 3 (วันที่ 20 ธันวาคม 2556)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตลาดหุ้นเอเชียผันผวนเช้าวันนี้ เนื่องจากตลาดหุ้นญี่ปุ่นร่วงลง ก่อนที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นจะแถลงมติการประชุมในวันนี้

 

ดัชนี นิกเกอิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดตลาดวันนี้ที่ 15,790.69 จุด ลดลง 68.53 จุด, ดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 22,904.18 จุด เพิ่มขึ้น 15.43 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 8,400.21 จุด ลดลง 7.19 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 1,973.12 จุด ลดลง 2.53 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,072.41 จุด เพิ่มขึ้น 2.18 จุด และดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,848.79 จุด เพิ่มขึ้น 2.61 จุด

 

เมื่อวานนี้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) เริ่มต้นการประชุมนโยบายเป็นระยะเวลา 2 วันซึ่งจะสิ้นสุดในวันนี้ โดยคาดว่า เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายจะหารือกันในเรื่องผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นและตลาด การเงินโลก จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจปรับลดขนาดของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมครั้งล่าสุด

 

สำนักข่าวเกียวโดรายงานโดยอ้าง แหล่งข่าวว่า บีโอเจจะยังคงเดินหน้าใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินในปริมาณสูงที่เริ่ม ดำเนินการตั้งแต่เดือนเม.ย.ต่อไป และจะยังคงคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไว้ที่ “ฟื้นตัวในระดับปานกลาง" หลังผลสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจของกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่ของญี่ปุ่น (ทังกัน) ประจำไตรมาสบ่งชี้ว่าธุรกิจมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

ที่มา: money channel (วันที่ 20 ธค.56)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ราคาทองคำร่วงลงต่ำกว่าระดับ 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปีนี้ เนื่องจากนักลงทุนเทขายหลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ มีมติปรับลดขนาดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ด้วยการปรับลดวงเงินการซื้อพันธบัตรลง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน จากเดิมที่ระดับ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้น โดยราคาทองปิดตลาดเมื่อวานนี้ที่ 1,187.98 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ลดลง 30.2 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ราคาทำจุดต่ำสุดและจุดสูงสุดที่ 1,186 และ 1,226 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามลำดับ ส่วนราคาซื้อขายทองคำแท่งในประเทศชนิด 96.5% เมื่อวานนี้ ขายออกที่บาทละ 18,550 บาท และรับซื้อคืนที่บาทละ 18,450 บาท กองทุน SPDR ลดปริมาณการถือครองทองคำลง 8.1 ตัน โดยปัจจุบันกองทุนถือครองทองคำรวม 808.719 ตัน

 

ราคาทองคำปรับตัวลงต่อเนื่องจากการซื้อขายวันพุธ โดยมีแรงขายออกมามากจนราคาไม่สามารถยืนเหนือแนวรับจิตวิทยาบริเวณ 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงต่อ อย่างไรก็ตามราคาทองในประเทศปรับตัวลงน้อยกว่าปกติ เนื่องจากเงินบาทที่อ่อนค่าลง ผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งค่อนข้างสร้างความประหลาดใจต่อนักลงทุนด้วยการปรับลดปริมาณการซื้อ พันธบัตรรัฐบาลในการประชุมช่วงกลางสัปดาห์ ยังคงกดดันราคาทองให้อ่อนตัวลงผ่านเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น และคาดว่าในระยะสั้นยังคงจะส่งผลให้ราคาทองอ่อนตัวลงต่อ แต่ปริมาณการปรับตัวลงคงมีปริมาณไม่มาก เนื่องจากราคาทองปรับตัวลงมาพอสมควร และนักลงทุนส่วนใหญ่ต่างเริ่มชะลอการลงทุนก่อนที่จะถึงวันหยุดช่วงสิ้นปี รายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯประจำสัปดาห์นี้ ปรากฏว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้น 10,000 ราย สู่ระดับ 379,000 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือน สวนทางกับผลสำรวจที่ประเมินว่าจะลดลงมาอยู่ที่ 334,000 ราย ส่วนยอดขายบ้านมือสองเดือนพฤศจิกายนปรับตัวลดลง 4.3% สู่ระดับ 4.9 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 1 ปี ราคาทองอ่อนตัวลงมาเคลื่อนไหวต่ำกว่าแนวรับบริเวณ 1,200 ดอลลาร์ และยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงสู่แนวรับบริเวณ 1,180 ดอลลาร์ ต่อ ออนซ์ ต่อไป และกรณีที่ไม่สามารถยืนเหนือ 1,180 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ ก็จะเป็นสัญญาณขายยืนยันภาพการเคลื่อนไหวในทิศทางขาลง และคาดว่าราคาทองจะปรับตัวลงไปยังแนวรับบริเวณ 1,150 ดอลลาร์ ต่อ ออนซ์ต่อไป โดยมีแนวต้านของวันอยู่ที่ 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

 

 

ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ (20/12/2556)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นายจอห์น ซาง รัฐมนตรีคลังฮ่องกง เตือนว่าอาจมีการขึ้นดอกเบี้ยและมีเงินทุนไหลออกจากฮ่องกง หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรรายเดือนลง 1 หมื่นล้านดอลลาร์เนื่องจากเศรษฐกิจดีขึ้น ขณะเดียวกันก็ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำต่อไป

 

"มาตรการผ่อนคลายทางการเงินของสหรัฐทำให้มีเงินทุนไหลเข้าฮ่องกงมหาศาล แต่แนวโน้มดังกล่าวอาจเปลี่ยนไปเนื่องจากสหรัฐปรับเปลี่ยนนโยบาย" นายซางให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน "นักลงทุนและบริษัทต่างๆ ควรระมัดระวังความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น ส่วนในแง่ของการลงทุนควรมองในระยะยาว"

 

ตลอดระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา เงินร้อนและอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำช่วยทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงปรับ ตัวสูงขึ้น การที่สหรัฐเปลี่ยนแปลงนโยบายในครั้งนี้จึงทำให้ตลาดวิตกกังวลว่าอาจเกิด ภาวะฟองสบู่แตก

 

"แม้ว่ายังมีเวลาก่อนที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย แต่หากเงินทุนไหลออกจากฮ่องกงมากขึ้น อัตราดอกเบี้ยในฮ่องกงอาจมีการปรับเพิ่มขึ้นก่อนในสหรัฐ ซึ่งผู้ซื้อบ้านควรระวังความเสี่ยงเหล่านี้" นายซางกล่าว

 

อย่างไรก็ดี เขากล่าวว่าระบบการเงินของฮ่องกงมีความแข็งแกร่งและสามารถรับมือกับเงินทุน ไหลเข้าและไหลออกจำนวนมากได้ ขณะเดียวกันการผูกติดกับเงินดอลลาร์สหรัฐก็ช่วยให้สกุลเงินดอลลาร์ฮ่องกงมี เสถียรภาพ

 

"หากสหรัฐตัดสินใจลด QE ลงเป็นลำดับก็จะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโลกในระยะยาว แต่ตลาดการเงินอาจผันผวนในระยะสั้น" นายซางกล่าว

 

นายซางกล่าวเสริมว่า ธนาคารกลางฮ่องกงเตือนว่าภาคการธนาคารของฮ่องกงอาจเผชิญกับความเสี่ยงที่ กระแสเงินทุนมีความผลิกผันและการปล่อยสินเชื่อมากเกินไป พร้อมกับเรียกร้องให้ภาคธนาคารบริหารความเสี่ยงให้ดีกว่านี้ สำนักข่าวเกียวโดรายงาน

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 19 ธันวาคม 2556)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผย ว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 14 ธ.ค. พุ่งขึ้น 10,000 ราย สู่ระดับ 379,000 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 9 เดือน สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 334,000 ราย จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 368,000 ราย

 

ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานอย่างต่อเนื่องโดยเฉลี่ย 4 สัปดาห์ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 13,250 ราย สู่ระดับ 343,500 ราย

 

ทั้ง นี้ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐเป็นหนึ่งในข้อมูลที่นักลง ทุนในตลาดการเงินจับตาดูอย่างใกล้ชิด หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับลดขนาดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมครั้งล่าสุดซึ่งเสร็จสิ้นเมื่อวานนี้ ด้วยการปรับลดวงเงินการซื้อพันธบัตรลง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน จากเดิมที่ระดับ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน โดยระบุว่าภาวะเศรษฐกิจและการจ้างงานฟื้นตัวแข็งแกร่งขึ้น

 

อย่าง ไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากภาพรวมแล้ว ตลาดแรงงานของสหรัฐยังนับว่าแข็งแกร่ง โดยเมื่อไม่นานมานี้กระทรวงแรงงานของสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเพิ่มขึ้น 203,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. ซึ่งขยายตัวแข็งแกร่งขึ้นเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน ขณะที่อัตราว่างงานลดลงจาก 7.3% ในเดือนต.ค. สู่ระดับ 7.0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี

 

ที่มา:อินโฟเควสท์(วันที่ 20 ธค.56)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผย ว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 14 ธ.ค. พุ่งขึ้น 10,000 ราย สู่ระดับ 379,000 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 9 เดือน สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 334,000 ราย จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 368,000 ราย

 

ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานอย่างต่อเนื่องโดยเฉลี่ย 4 สัปดาห์ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 13,250 ราย สู่ระดับ 343,500 ราย

 

ทั้ง นี้ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐเป็นหนึ่งในข้อมูลที่นักลง ทุนในตลาดการเงินจับตาดูอย่างใกล้ชิด หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับลดขนาดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมครั้งล่าสุดซึ่งเสร็จสิ้นเมื่อวานนี้ ด้วยการปรับลดวงเงินการซื้อพันธบัตรลง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน จากเดิมที่ระดับ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน โดยระบุว่าภาวะเศรษฐกิจและการจ้างงานฟื้นตัวแข็งแกร่งขึ้น

 

อย่าง ไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากภาพรวมแล้ว ตลาดแรงงานของสหรัฐยังนับว่าแข็งแกร่ง โดยเมื่อไม่นานมานี้กระทรวงแรงงานของสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเพิ่มขึ้น 203,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. ซึ่งขยายตัวแข็งแกร่งขึ้นเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน ขณะที่อัตราว่างงานลดลงจาก 7.3% ในเดือนต.ค. สู่ระดับ 7.0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี

 

ที่มา:อินโฟเควสท์(วันที่ 20 ธค.56)

 

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ข่าววิ่ง - ข่าววิ่ง

เฟด ตัดสินใจปรับลดขนาดของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ มีแนวโน้มจะส่งผลกระทบในวงจำกัดต่อตลาดการเงินทั่วโลก

 

นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่ง ระบุว่า การที่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ตัดสินใจปรับลดขนาดของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือคิวอีลงมา ตั้งแต่เดือนมกราคมปีหน้านั้น มีแนวโน้มจะส่งผลกระทบในวงจำกัดต่อตลาดการเงินทั่วโลก และนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพื่อรับมือกับภาวะเงินฝืดของญี่ปุ่น

 

เฟดประกาศเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า จะชะลอมาตรการคิวอี โดยการปรับลดวงเงินการซื้อพันธบัตรรายเดือนลง 10,000 ล้านดอลลาร์ มาอยู่ที่ 75,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน โดยระบุถึงการปรับตัวดีขึ้นในตลาดแรงงานและเศรษฐกิจโดยรวม

 

นายเอเดรียน คร็องเช หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ด้านการลงทุน จากบริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุน "บาเลนไทน์" แสดงความเห็นว่า สิ่งที่เฟดดำเนินการไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจแต่อย่างใด ตลาดต่างๆได้ปรับตัวรับกับแนวคิดเกี่ยวกับการชะลอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากกว่าเมื่อช่วงต้นปี

 

การตัดสินใจของเฟดในครั้งนี้มีขึ้นในช่วงเวลาที่รัฐบาลญี่ปุ่นและธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ยังคงผลักดันนโยบายผ่อนคลายทางการเงินขนานใหญ่ที่พวกเขาระบุว่ามีเป้าหมายเพื่อหนุนเศรษฐกิจญี่ปุ่นให้พ้นจากภาวะเงินฝืดที่ดำเนินมาเกือบ 20 ปี

 

ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา บีโอเจได้ตัดสินใจเพิ่มฐานเงินขึ้นเป็น 2 เท่าภายในระยะเวลา 2 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อฐานเงินในอัตราประมาณ 60-70 ล้านล้านเยนต่อปี

 

ทางด้านนายโคสึเกะ โมทานิ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์อาวุโส จากสถาบันวิจัยญี่ปุ่น ระบุว่า แม้เฟดจะลดคิวอี แต่ไม่มีแนวโน้มที่ญี่ปุ่น จะปรับลดมาตรการผ่อนคลายทางการเงินลงไปแบบเดียวกัน หรือถ้าอยากจะทำ ก็ยังทำไม่ได้ เพราะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ประกาศออกมานั้น ยังไม่แสดงผลลัพธ์ออกมามากพอ

 

ทั้งนี้ ในแถลงการณ์หลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายนาน 2 วันนั้น เฟด ระบุว่า มองเห็นความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องในการจ้างงาน และแนวโน้มที่ดีขึ้นในตลาดแรงงาน จึงตัดสินใจลดการเข้าซื้อพันธบัตรรายเดือนดังกล่าว

 

แถลงการณ์ยังระบุถึงความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจในอนาคตว่า ใกล้เข้าสู่สมดุลมากขึ้น ตรงข้ามกับแถลงการณ์ของเอฟโอเอ็มซีครั้งก่อนที่ระบุถึงความเสี่ยงขาลง แต่เอฟโอเอ็มซียังกังวลเรื่องเงินเฟ้ออ่อนตัวในเศรษฐกิจซบเซา กล่าวว่า เอฟโอเอ็มซีจับตาเงินเฟ้ออย่างระมัดระวังให้กลับมาอยู่ที่ 2% ตามเป้าในระยะปานกลาง

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ (วันที่ 20 ธันวาคม 2556)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หน่วยงานเศรษฐกิจ ประเมิน เฟดปรับลดมาตรการ QEไม่กระทบไทย แต่แนะจับตาดอกเบี้ยระยะยาวของสหรัฐฯ ที่อาจปรับเพิ่มขึ้น ด้านหอการค้า ระบุ แนวโน้มเศรษฐกิจโลกปีหน้ามีสัญญาณดีขึ้น

 

หลังการประกาศปรับลด มาตรการผ่อนคลายปริมาณเงิน หรือ QE ของสหรัฐฯลงเดือนละ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯจาก 85,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เหลือ 75,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจส่วนใหญ่ ประเมินว่า จะมีผลกระทบต่อประเทศไทยไม่มากนัก

 

โดยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เชื่อว่า จะไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องในประเทศ แม้ว่าจะมีเงินทุนไหลออกไปต่างประเทศ เพราะปัจจุบันสภาพคล่องของไทยยังอยู่ในระดับสูง ทั้งสกุลเงินบาทและสกุลเงินตราต่างประเทศ และหากมีความผันผวนคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ก็มีเครื่องมือที่จะเข้ามาดูแลค่าเงินไม่ให้ผันผวนกระทบเศรษฐกิจ

 

สอด คล้องกับนายปฤษันต์ จันทน์หอม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ แบงก์ชาติ ที่เชื่อว่า จะไม่กระทบต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจากปัจจุบันไทยพึ่งพาการกู้ยืมเงินทุนในต่างประเทศน้อยลง และผู้ที่เกี่ยวข้องก็เตรียมตัวไว้แล้ว รวมทั้งเป็นการค่อยๆทยอยลด ทำให้ผลต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนจึงไม่น่าจะรุนแรง เนื่องจากเงินทุนที่เคลื่อนย้ายส่วนใหญ่นักลงทุนจะมองผลของเศรษฐกิจพื้นฐาน ของแต่ละประเทศเป็นหลัก ซึ่งไม่ได้ดูปัจจัยจากคิวอีด้านเดียว

 

ด้าน นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ มองว่า ในเชิงบวก สิ่งที่เห็นในระยะสั้น คือ ตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดหุ้นทั่วโลกปรับเพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกัน แต่สิ่งที่น่าจับตามอง คือ ดอกเบี้ยระยะยาวของสหรัฐ อาจปรับเพิ่มขึ้น กระทบกับประเทศไทยและตลาดเกิดใหม่ ทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวลำบาก ส่วนการส่งออก ต้องรอเวลาอีกระยะหนึ่ง จึงจะเห็นผลกระทบ โดยต้องดูว่า เศรษฐกิจสหรัฐ ฟื้นตัวได้ต่อเนื่องหรือไม่

 

ขณะที่นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย บอกว่า การปรับลดQE ของเฟด สะท้อนให้เห็นว่า สหรัฐฯ ค่อนข้างมั่นใจการใช้นโยบายการคลัง ขณะที่ประเทศอังกฤษมีสัญญาณการว่างงานลดลงต่ำสุดในรอบ 4 ปี เยอรมันมีความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นหลักประกันว่าภาพรวมเศรษฐกิจโลกจะปรับตัวดีขึ้น

 

ส่วน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า เครื่องมือของแบงก์ชาติน่าจะสามารถรองรับสถานการณ์เงินทุนไหลออก พร้อมกับดูแลระดับสภาพคล่องให้มีความเพียงพอได้ท่ามกลางทิศทางการชะลอ มาตรการ QE ของเฟดในช่วงปีหน้า(57)

 

ที่มา: money channel (วันที่ 20 ธค.56)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ไปเดินสีลม ตอนเที่ยง ก่อนกำนันสุเทพ จะมาถึง แม่ค้าขายสินค้าที่ระลึกจับจองพื้นที่ ยึดฟุตบาตไปครึ่ง ส่วนผู้คนก็มานัดเจอกัน คนยังไม่เยอะ / อาคารยูไนเต็ด มีร้านขายทอง 2 แห่ง ร้านนาย ฮ และ ร้านนาย ออ วันนี้ถ่ายร้านนาย ออ มาให้เห็นครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แหม ปกติ กรูไม่เคยโมโหม็อบ ที่มายืนรอเป่านกหวีดรอรับขบวนสุเทพ เลยนะเนี่ย วันนี้ เหลืออดจริงๆ แม่ค้าก็จะขายของริมถนน คนเดินม็อบก็เดินลอยชาย อยากหยุดก็หยุด ขวางทางไปหมด ไม่มีช่องว่างให้เดินให้แทรกเลย เข้าใจครับว่า เดินเล่นรอคอยการมาถึงของ กำนันสุเทพ และส่วนมากก็เป็นคนมาจากละแวกใกล้เคียง กรูก็รีบรัอนจะเดินจาก ธ. กรุงเทพ ไป ตึก ยูไนเต็ด แมร่งก็มองหน้ากรูว่า จะรีบร้อนไปไหน แล้วส่วนใหญ่ก็เป็นผู้หญิง จ้องมองกรู อย่างกับอยากจะตบ อยากจะด่ากรู เสียเต็มประดา

 

เหลืออดจริงๆๆ ครับ ในกรณีนี้ที่เกิดขึ้น พวกมรึงไม่เป็น กรูไม่รู้หรอกว่า มันเหลือทน พูดก็แล้วว่า " ขอทางหน่อยครับ " ก็มองหน้า จ้องหน้า สุดท้าย ตัดสินใจ ตายเป็นตาย

 

" ปวดขี้ พวกคุณฯ อยากให้ผม ขี้ ตรงนี้ เหรอ ปวดขี้ " ได้ผล. ม็อบหลีกทางให้ เปลี่ยนจาก " ขอทางหน่อย " เพิ่มเป็น " ปวดขี้ ขอทางด้วย "

 

เรื่องจริงที่เกิดขึ้น บนถนนสีลม บ่ายโมง

ถูกแก้ไข โดย เด็กขายของ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...