ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก:ดาวโจนส์ปิดบวก 28.64 จุด นักลงทุนมีท่าทีระมัดระวัง

 

 

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- เสาร์ที่ 4 มกราคม 2557 08:00:54 น.

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่แกว่งไปมาระหว่างแดนบวกและแดนลบ เนื่องจากนักลงทุนใช้ความระมัดระวังในการซื้อขายภายหลังการเทขายทำกำไรเมื่อวันก่อน อันเนื่องมาจากการปรับตัวที่ดีขึ้นอย่างมากของตลาดหุ้นสหรัฐในปีที่ผ่านมา

 

 

 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ดีดตัวขึ้น 28.64 จุด หรือ 0.17% ปิดที่ 16,469.99 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 0.61 จุด หรือ 0.03% ปิดที่ 1,831.37 จุด และดัชนี Nasdaq ลดลง 11.16 จุด หรือ 0.27% ปิดที่ 4,131.91 จุด

 

ตลาดหุ้นสหรัฐดีดตัวขึ้นขานรับการแสดงความเห็นของนายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ก่อนที่จะปรับตัวลงอีกครั้งในช่วงสุดท้ายของการซื้อขายระหว่างวัน

 

นายเบอร์นันเก้กล่าวในการประชุมที่สมาคมเศรษฐกิจอเมริกันในช่วงบ่ายวานนี้ว่า การปรับลดขนาดของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของเฟดไม่มีผลกระทบต่อพันธกิจของเฟดในเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ย

 

นอกจากนี้ นายเบอร์นันเก้ยังแสดงความเห็นที่เป็นบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ในอีกหลายไตรมาสถัดไป พร้อมกับย้ำว่า มีความชัดเจนว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่

 

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงเมื่อวันก่อน ซึ่งเป็นวันทำการวันแรกของปี 2557 เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากที่ดัชนี S&P 500 ทำสถิติดีที่สุดในรอบกว่า 15 ปีในปี 2556

 

ในส่วนของข่าวธุรกิจ หุ้นฟอร์ด มอเตอร์ ปรับตัวขึ้น 0.45% หลังจากเปิดเผยยอดขายที่เพิ่มขึ้นในเดือนธ.ค. สวนทางกับหุ้นเจเนอรัล มอเตอร์ส ที่ลดลง 3.37% เนื่องจากยอดขายลดลงในเดือนดังกล่าว

 

หุ้นสปริ้นท์ คอร์ป ลดลง 4.4% เนื่องจากบริษัทสไตเฟล นิโคลอส แอนด์ โค ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นของบริษัท สำนักข่าวซินหัวรายงาน

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย เกตุ โนนทิง โทร.02-2535000 ต่อ 349 อีเมล์: ket@infoquest.co.th--

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

“เบอร์นันเก้ คาดเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวแข็งแกร่งมากขึ้นในหลายไตรมาสถัดไป

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- เสาร์ที่ 4 มกราคม 2557 12:23:12 น.

นายเบน เบอริ์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวแข็งแกร่งมากขึ้นในอีกหลายไตรมาสถัดไป เพราะได้รับแรงหนุนจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย การฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัย และนโยบายกระตุ้นในปัจจุบัน

 

นายเบอร์นันเก้กล่าวต่อที่ประชุมที่สมาคมเศรษฐกิจอเมริกันในฟิลาเดลเฟียว่า “การผสมผสานกันของมาตรการเยียวยาทางการเงิน ตลาดที่อยู่อาศัยที่มีความสมดุลมากขึ้น การคลังที่ตึงตัวน้อยลง และนโยบายการเงินที่อำนวยความสะดวกในปัจจุบันต่างก็เป็นปัจจัยหนุนต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐต่อเนื่องไปอีกในหลายไตรมาสถัดไป"

 

 

 

นายเบอร์นันเก้ซึ่งมีกำหนดจะครบวาระการดำรงตำแหน่งประธานเฟดในวันที่ 31 ม.ค.นี้ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีความคืบหน้าอย่างมากนับตั้งแต่เริ่มฟื้นตัวอย่างเป็นทางการเมื่อประมาณ 4 ปีครึ่งที่ผ่านมา

 

“อัตราว่างงานได้ปรับตัวลงจาก 10% ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2552 มาอยู่ที่ 7% ในปัจจุบัน ในขณะที่ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนในอุปกรณ์อยู่ในระดับเดียวกับหรือสูงกว่าช่วงสูงสุดก่อนที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย ระบบธนาคารได้รับการปรับโครงสร้างด้านทุน และระบบการเงินมีความปลอดภัยมากขึ้น" เขากล่าว

 

รายงานของกระทรวงแรงงานบ่งชี้ว่า อัตราว่างงานของสหรัฐได้ปรับตัวลดลงแตะ 7% ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี

 

อย่างไรก็ดี นายเบอร์นันเก้กล่าวเสริมว่า “ถึงแม้ว่าจะมีความคืบหน้าดังกล่าว แต่ก็เป็นที่ชัดเจนว่า การฟื้นตัวยังไม่สมบูรณ์ เนื่องจากอัตราว่างงานที่ระดับ 7% ยังเป็นระดับที่สูง และจำนวนผู้ที่ตกงานอย่างยาวนานยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าปกติ" สำนักข่าวซินหัวรายงาน

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย เกตุ โนนทิง โทร.02-2535000 ต่อ 349 อีเมล์: ket@infoquest.co.th--

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

‘คลัง’กังวลหลังบาทอ่อนแตะ33บ./ดอลลาร์ ผวาน้ำมัน-ต้นทุนสินค้าพุ่ง

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์แนวหน้า -- เสาร์ที่ 4 มกราคม 2557 06:00:00 น.

“โต้ง” ตั้งทีมเกาะติดอัตราแลกปลี่ยน ด้าน “พาณิชย์” ยอมรับบาทอ่อนทำต้นทุนนำเข้าสินค้าสูงขึ้น ปลอบไม่กระทบต่อราคาสินค้าในช่วงต้นปีนี้ เพราะมีสต๊อกเก่าอยู่ พร้อมสั่งเบรกน้ำมันปาล์มขึ้นราคา

 

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง แสดงความเห็นต่อค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง โดยกังวลว่า ค่าเงินจะอ่อนมากไปกว่านี้หรือไม่ ไม่อยากให้เห็นค่าเงินบาท อ่อนลง แม้จะทำให้การส่งออกขยายตัวได้ดี แต่จะมีผลกระทบทางอื่นเรื่องการนำเข้าสินค้าจำเป็น เช่น สินค้าพลังงานจะมีต้นทุนสูง โดยในส่วนภาระหนี้ต่างประเทศนั้นได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาคอยติดตามดูแลแล้ว

 

 

 

อย่างไรก็ดีแม้เงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แต่เมื่อพิจารณาค่าเงินเยนเมื่อเทียบกับเงินบาท แล้วพบว่า เงินเยนกลับอ่อนค่าลงด้วยเช่นกัน นับว่าไม่ทำให้กระทบต่อภาระหนี้ของรัฐบาล เพราะภาระหนี้ต่างประเทศเป็นค่าสกุลเงินเยนมากกว่าเงินดอลลาร์สหรัฐ และพบว่าเงินบาทผันผวนขณะนี้ทำให้ภาระหนี้ต่างประเทศลดลงประมาณ 5,000 ล้านบาท

 

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2556 ค่าเงินบาทเปิดตลาดพบว่า อ่อนค่าแตะที่ระดับ 33 บาท หรืออยู่ที่ระดับ 33.02/04 บาท/ดอลลาร์ ตามทิศทางการเมืองที่ยังไม่คลี่คลาย

 

นายสันติชัย สารถวัลย์แพทย์ รองอธิบดี กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่ากรมการค้าภายใน จะติดตามสถานการณ์ค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะสินค้า วัตถุดิบที่ต้องมีการนำเข้าจากต่างประเทศ กลุ่มสินค้าที่นำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ โดยเงินบาทอ่อนค่าอาจมีผลกระทบให้ต้นทุนราคาสินค้าปรับสูงขึ้น ที่ต้องติดตามเป็นพิเศษคือสินค้าในกลุ่มที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน เหล็ก ทองแดง สังกะสี สายไฟ และปุ๋ย เป็นต้น

 

“การปรับตัวของค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง จะมีการติดตามสถานการณ์ค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด และจะมีการดูแลสินค้าแต่ละชนิดแบบเดือนต่อเดือนว่าแต่ละตัวเป็นอย่างไร แต่ค่าเงินที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลง แต่ยืนยันว่าในไตรมาสแรกของปีสินค้าจะยังไม่ปรับขึ้นราคาแน่นอน” นายสันติชัย กล่าว

 

ส่วนแนวโน้มการปรับขึ้นราคาของน้ำมันดีเซลนั้นไม่ได้มีผลกระทบโดยตรงต่อราคาสินค้า แต่จะกระทบในส่วนของค่าขนส่งมากกว่า โดยเฉพาะในส่วนค้าปลีกค้าส่งตามจังหวัด อำเภอที่อยู่ห่างไกล ทำให้สินค้าแพงขึ้น

 

“เงินบาทที่อ่อนตัวลงต้องดูว่าสถานการณ์จะยาวนานอีกแค่ไหน โดยแต่ละเดือนต้องมีการดูแบบเดือนต่อเดือนว่าจะมีการกระทบต่อสินค้าตัวไหนที่จะนำเข้าบ้าง เพราะดูระยะยาวไม่ได้ เนื่องจากปกติแล้วสินค้าเหล่านี้จะมีสต๊อกอย่างน้อย 1-2 เดือน และการนำเข้ามาก็จะต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งด้วย เงินบาทที่อ่อนค่าจะไม่มีผลกระทบในทันที”

 

นายสันติชัยยอมรับว่ากรมอยู่ระหว่างดำเนินการศึกษา ทบทวนปรับเปลี่ยนสินค้าควบคุม ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 43 รายการ โดย

 

จะเลือกสินค้าที่ประชาชนใช้ส่วนใหญ่ และมีผลต่อค่าครองชีพมาจัดอยู่ในหมวดสินค้าควบคุม และถอนสินค้าที่ไม่จำเป็นออกไป

 

“การปรับสินค้าว่าตัวไหนควรเป็นสินค้าควบคุม จะดูว่าตัวไหนมีความจำเป็นมาก คนใช้มาก ตัวไหนคนใช้น้อยก็จะปรับออก และนำตัวที่คนใช้มาก ตัวที่ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพมาใส่แทน แต่ยังไม่สามารถบอกว่าเป็นตัวไหนบ้าง เพราะจะเป็นการชี้นำ ให้รอดูผลสรุปรอบเดียวเลย”

 

ส่วนการขอปรับขึ้นราคาน้ำมันปาล์มขึ้นมาจากกรณีราคาผลปาล์มดิบที่ขึ้นราคาเป็น 5 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 3 บาทต่อกิโลกรัมนั้น ทางกรมการค้าภายในยังไม่ได้มีการอนุมัติ โดยเรื่องดังกล่าวจะมีการหารือกันอีกครั้ง ในการประชุมคณะอนุกรรมการปาล์มน้ำมัน ในวันที่ 8 มกราคม 2557 คาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเบื้องต้นได้มีการดึงให้มีการใช้น้ำมัน B5 แทน B7 ไปก่อน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีปีใหม่คับป๋า ขอบคุณข่าวสารที่แบ่งปันทุกวันนะคับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีค่ะคุณป๋า เช้าวันจันทร์แรกเดือน มกราคม 2557 สมาชิกห้องขอเดาคิดถึงค่ะ ตื่นยังค๊ะ อยากอ่านข่าวจากป๋า ค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีปีใหม่ค่ะ คุณป๋า ขอให้มีความสุข แข็งแรง เฮงๆตลอดปี ตลอดไปนะคะ

ขอบคุณข่าวสาร วิเคราะห์ทุกๆวันด้วยค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

"พิชัย จาวลา"มองต่างมุม...ฟันธงปี"57 แนวโน้มตลาดหุ้นไทย-ทองคำรุ่ง ดัชนีมีโอกาสทะยานแตะ 1,500-1,600 จุด

 

 

สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยกับตลาดทองคำ จะมีทิศทางและควรลงทุนหรือไม่อย่างไรในปี 2557 นายพิชัย จาวลา ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนและกรรมการบริหารเชียงใหม่กรุ๊ป ร่วมประเมินภาวการณ์หัวข้อ " Out Look การลงทุนตลาดทุนปี 2014 " ในรายการ Business Talk ทางกรุงเทพธุรกิจทีวี

 

นายพิชัย บอกว่า ตลาดหุ้นเอเชียปีหน้าภาพรวม เชื่อว่าจะปรับตัวขึ้น รวมถึงตลาดหุ้นไทย ด้วย ตามทฤษฎีผลประโยชน์ที่ราคาจะไม่เชื่อมโยงกับเหตุผลเสมอไป โดยเฉพาะจากข้อมูลข่าวสารเฉพาะหน้า หรือปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่เข้ามา อาทิ ปัจจัยภาวะเศรษฐกิจ ค่าเงิน ภาวะฟองสบู่ หากนักลงทุนสามารถเป็นคนส่วนน้อยที่มองข้ามเหตุผลไปหรือมองสวนตลาดเพราะการ ลงทุนในตลาดหุ้นไม่ อาจมองการลงทุนที่เป็นเหตุเป็นผลได้เสมอไป แต่ขึ้นอยู่กับการตีความของนักลงทุน และต้องพยายามเป็นคนส่วนน้อยที่มองสวนตลาดและข้ามเหตุผล

 

สำหรับปีนี้ หากยังคงมองตามเหตุผลจากปัจจัยลบต่างๆในขณะนี้ ทั้งภาวะเศรษฐกิจโลก การทยอยถอนคิวอี ของสหรัฐ หากมองจากเหตุผลจะเป็นเรื่องที่มีผลต่อการลงทุนภาคเศรษฐกิจแท้จริง (Real Sector)มากกว่า แต่หากจะลงทุนในตลาดหุ้นจะเป็นอีกแบบหากใช้ทฤษฎีผลประโยชน์และมองข้ามเหตุผล ยกตัวอย่าง ตลาดหุ้นอินเดีย ที่มีข่าวสารในทางลบจำนวนมาก ทั้งเศรษฐกิจไม่ดี เกิดภาวะฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์ ค่าเงินอ่อ แต่ถ้ามองข้ามเหตุผลเหล่านี้เชื่อว่าตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นแรง ขณะที่ตลาดหุ้นหั่งเส็ง ที่มีปัจจัยจากข่าวเชิงลบน้อยกว่าอินเดีย เพราะดูจากกราฟดัชนีและปัจจัยพื้นฐานยังค่อนข้างดี แต่ตลาดหุ้นหั่งเส็งจะปรับขึ้นน้อยกว่าตลาดหุ้นอินเดีย เนื่องจากนักลงทุนจะไม่ตีความแบบตรงไปตรงมา

 

ส่วนตลาดหุ้นไทย มองว่า เป็นลักษณะกลางๆ แบบ Side Way Down ยืดเยื้อ แต่ท้ายสุดจะปรับตัวขึ้น นักลงทุนน่าจะทยอยเข้าซื้อหุ้น เพราะมีเหตุผลค่อนข้างกลางๆ ไม่ได้ชัดเจนมากนัก อาทิ ภาวะเศรษฐกิจ แม้จะมีปัจจัยลบจากการเมือง และคาดว่าดัชนีหุ้นไทย มีโอกาสปรับตัวขึ้นไปแตะระดับ 1500-1600 จุดได้ หรืออาจจะถึง 1700-1800 จุดด้วยซ้ำแม้จะยามก็ตามแต่ก็เป็นไปได้ เพราะภาวการณ์ดังกล่าวนักลงทุนไม่ได้กังวลมากนัก และอาจจะเห็นดัชนีหุ้นไทยสามารถปรับตัวขึ้นไปแตะระดับ 1450 จุดได้ภายใน 2-3 เดือนข้างหน้าด้วยซ้ำ

 

"ตอนนี้นักลงทุนควรทยอยซื้อมากกว่าขาย หากตลาดปรับตัวลงลึก นักลงทุนควรซื้อเพิ่ม สถานการณ์ตลาดหุ้นไทย ขณะนี้อยู่ในโซนซื้อมากกว่าโซนขาย"

 

นายพิชัย ยังมองถึงตลาดทองคำว่า เช่นเดียวกับตลาดหุ้น หากใช้ทฤษฎีผลประโยชน์และมองข้ามเหตุผลเฉพาะหน้าแล้ว ขณะนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนควรซื้อทองคำสะสมไว้ แม้จะมองว่าราคาทองคำปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องจาก และจากที่สำนักเศรษฐกิจต่างๆประเมินว่า ตลาดทองคำจะเป็นช่วงเวลาขาลง และมีโอกาสที่ราคาทองคำจะปรับตัวลงมาอยู่ระดับ 1000 ต้นๆเท่านั้น และด้วยเหตุผลเหล่านี้ นั่นคือ หากคนมีความกังวลมากและคนส่วนใหญ่เทขายทองคำ แต่ในระบบผลประโยชน์ราคากลับจะปรับตัวขึ้นแรง ซึ่งขณะนี้บรรยากาศตลาดทองคำอยู่ในภาวการณ์ดังกล่าว ทำให้สามารถเข้าไปเก็งกำไรได้ โดยเชื่อว่า ตลาดทองคำเริ่ม Test low Down และมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 1,300 -1,500ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้

 

"หากดูตามเหตุผลแล้วราคาทองคำจะเป็นช่วงขาลงในระยะ 5-10 ปี และอยู่ในภาวะฟองสบู่ แต่ถ้านักลงทุนขายทองคำวันนี้ หรือเท่ากับเสียของ เพราะหากรอไปอีก 1-2 ปี ราคามีโอกาสทะยานขึ้นไปทดสอบระดับ 1450 -1700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ไม่ยากนัก แต่ราคาจะไม่สูงเกินระดับ 2000 ดอลลาร์ เพราะที่ผ่านราคาทองคำสูงเกินไปหรือOver Price ไปแล้ว"

 

นายพิชัย อธิบายถึงทฤษฎีผลประโยชน์ว่า อุปสรรคสำคัญคือ ทำอย่างไรถึงจะเป็นคนส่วนน้อยที่มองข้ามเหตุผลหรือสวนตลาดได้ เพราะบางครั้งเมื่อมีข่าวสารเชิงลบและปัจจัยเสี่ยงเข้ามานักลงทุนจะเกิดความ กลัว ดังนั้นจึงเห็นพ้องว่าควรจะลดพอร์ตลงทุน แต่หากยึดทฤษฎีผลประโยชน์ นักลงทุนก็ไม่ควรขาย แต่เป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนควรซื้อมากกว่า ซึ่งไม่ใช่การซื้อทันทีทันใด แต่เลือกจังหวะที่เหมาะสม เช่น เมื่อตลาดหุ้นปรับตัวลงก็ซื้อเพิ่ม หากสถานการณ์ยืดเยื้อต้องอดทนรอให้ได้ ท้ายสุดนักลงทุนจะมีกำไรและราคาหุ้นจะดีดกลับ

 

"นักลงทุนส่วนน้อยจะอยู่ตรงข้ามกับเหตุผล ถ้าติดยึดกับนักลงทุนส่วนใหญ่เราจะไม่กล้าซื้อ"

 

นายพิชัย แนะนำว่า หากนักลงทุนยึดทฤษฎีผลประโยชน์จะต้องคำนึงถึงปัจจัย 3 ประการที่ควรทำเพื่อให้มีกำไรจากการลงทุนในตลาดหุ้นหรือตลาดทองคำก็ตาม นั่นคือ 1. นักลงทุนต้องซื้อหุ้นใน เวลาที่นักลงทุนใหญ่เกิดความกังวลกับข้อมูลหรือข่าวสารต่างๆในเชิงลบ 2. นักลงทุนต้องสามารถอดทนรอ อย่าติดกับดักหรือหลงไปกับเหตุผลเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นตลอดเวลา หรือข่าวสารที่เข้ามากระทบแม้ระยะเวลาจะยืดเยื้อก็ตาม และ 3. เมื่อเริ่มมีผลกำไรแล้ว หากกำไรเริ่มลดลงหรือหดหายจากความผันผวนระหว่างการลงทุน นักลงทุนต้องสามารถ อดทนเวลาหรือทนต่อสถานการณ์นั้นได้อย่างใจเย็น

 

 

 

ที่มา : ประนอม บุญล้ำ (กรุงเทพธุรกิจออนไลน์) (06/01/2557)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นักบริหารเงิน กล่าวว่า เงินบาทเช้านี้เปิดตลาดที่ระดับ 33.01/02 บาท/ดอลลาร์ ก่อนจะขึ้นไปทำ High ที่ 33.12 บาทดอลลาร์ ล่าสุดเริ่มแข็งค่ามาอยู่แถวๆ 33.09/11 บาท/ดอลลาร์ จากประเด็นภายนอก คือ ทุกสกุลอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ที่กลับมาแข็งค่าเทียบกับทุกสกุลยกเว้นค่าเงินเยน

 

นักบริหารเงิน คาดว่า เงินบาทน่าจะยังอ่อนค่าต่อเนื่อง มองกรอบการเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 33.00-33.15 บาท/ดอลลาร์

 

* ปัจจัยสำคัญ

- เงินเยนอยู่ที่ระดับ 104.25 เยน/ดอลลาร์

- ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.3584 ดอลลาร์/ยูโร

- อัตราแลกเปลี่ยนบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของ ธปท.อยู่ที่ 33.0110 บาท/ดอลลาร์

 

- นักวิเคราะห์ฯคาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งในกรอบจำกัด และมีโอกาสผันผวน เหตุการเมืองยังกดดัน อีกทั้งเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าและเงินบาทก็อ่อนค่าลงมาทะลุ 33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้มีแนวโน้มที่เงินจะไหลออกได้ ขณะเดียวกันตลาดฯยังไร้ปัจจัยหนุน พร้อมให้แนวรับ 1,200-1,210 แนวต้าน 1,260-1,265 จุด

 

- กองทุนฟื้นฟูฯ เผยในปี 57 ยังไม่มีแผนลดสัดส่วนการถือหุ้นใน KTB, BAM และ SAM เหตุการเมืองยังไม่นิ่ง ทำให้คลังไม่มีนโยบายอะไรเพิ่มเติม ยอมรับช่วงไร้ รมว.คลัง งานของกองทุนฟื้นฟูฯสะดุดบ้าง ขณะเดียวกันในช่วงเศรษฐกิจซบเซาปริมาณเงินสดหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่ม ขึ้นไม่มาก

 

- คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) จะหารือถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจ และประเมินสถานการณ์ของการชุมนุมทางการเมืองที่ยืดเยื้อมาถึงปี 57 รวมทั้งจะมีการหารือถึงแนวทางการรับมือการชุมนุมใหญ่ ในวันที่ 13 ม.ค. ซึ่งจะมีการปิดการจราจรหลายจุด

 

- ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในช่วงเช้าวันนี้ โดยการนำของตลาดหุ้นญี่ปุ่นหลังเงินเยนแข็งค่าขึ้น

 

- ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อวันศุกร์ (3 ม.ค.) เพราะได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มค้าปลีกอย่างคึกคัก ขณะที่นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของนายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

 

- China Foreign Exchange Trading System (CFETS) รายงานว่า เงินหยวนอ่อนค่าลง 0.20% แตะที่ 6.1059 หยวนต่อดอลลาร์เช้าวันนี้

 

ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์(วันที่ 6 มค.57)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส

 

- ทองปิดบวกต่อเนื่องจากสัปดาห์สุดท้ายของปีก่อน

 

- เงินบาทอ่อน ทองในประเทศปรับขึ้นมากกว่าปกติ

 

- สัปดาห์นี้ติดตามรายงานจ้างงานสหรัฐ

 

- ราคาทองสัปดาห์แรกของปีปิดตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากการซื้อขาย สัปดาห์สุดท้ายของปีก่อน โดยมีแรงซื้อทองคำกลับเข้ามาหลังจากปรับตัวลดลงมากในการซื้อขายเดือนธันวาคม ประกอบกับมีแรงขายทำกำไรในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะในหุ้นสหรัฐซึ่งปรับ ตัวขึ้นในปริมาณมากช่วงก่อนสิ้นปี

 

- การเคลื่อนไหวของราคาทองซึ่งปรับตัวลงตอบรับการปรับลดปริมาณการผ่อนคลายทาง การเงินของธนาคารกลางสหรัฐไปมากพอสมควรในการซื้อขายปีก่อน ในระยะนี้จึงมีแนวโน้มที่ราคาทองจะเริ่มเคลื่อนไหวทรงตัวและอาจมีการดีดตัว กลับต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน และหากมีรายงานตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐที่กลับมีสัญญาณชะลอตัว ก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ

 

- ราคาทองในประเทศยังคงคาดว่าจะได้รับปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของเงินบาทซึ่ง ถูกกดดันจากประเด็นการเมืองในประเทศ ซึ่งสัปดาห์หน้าจะมีการเคลื่อนไหวใหญ่ของกลุ่มผู้ชุมนุมที่ต้องการให้นายก รัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง อย่างไรก็ตามในสัปดาห์นี้อาจมีการชี้มูลความผิดจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. รวมทั้งการพิจารณาเรื่องเงินกู้ของรัฐบาล ที่อาจส่งผลต่อการเลือกตั้งในเดือนหน้า

 

- ราคาทองฟื้นตัวขึ้นเข้าใกล้แนวต้านบริเวณ 1,245-1,250 ดอลลาร์ และมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นต่อ หากสามารถผ่านแนวต้านบริเวณ 1,250 ดอลลาร์ ขึ้นไปได้ ก็จะเป็นสัญญาณซื้อสำหรับเก็งกำไรการปรับตัวขึ้นสู่แนวต้านบริเวณ 1,270 ดอลลาร์ ต่อไป โดยมีแนวรับสำหรับกลับเข้าซื้อเก็งกำไรในกรณีที่ราคากลับอ่อนตัวลงอยู่ที่ บริเวณ 1,220 และ 1,200 ดอลลาร์ ตามลำดับ

 

- ภาพเทคนิคของราคาโลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่างแนวรับและแนว ต้านบริเวณ 20.0 และ 20.50 ดอลลาร์ หากสามารถผ่านขึ้นไปเคลื่อนไหวเหนือแนวต้านบริเวณ 20.50 ดอลลาร์ ได้ คาดว่าราคาจะปรับตัวขึ้นสู่แนวต้านบริเวณ 21.0 ดอลลาร์ ต่อไป

 

โกลด์ฟิวเจอร์สเดือนก.พ.57

 

Close chg. Support Resistance

 

19,490 +20 19,300/19,1500 19,550/19,700

 

หากราคาทองอ่อนตัวลงเข้าใกล้แนวรับบริเวณ 1,220 ดอลลาร์ สามารถเลือกเปิดสถานะซื้อเก็งกำไร โดยมีจุดปิดสถานะตัดขาดทุนอยู่ที่บริเวณ 1,200 ดอลลาร์

 

ซิลเวอร์ฟิวเจอร์สเดือนก.พ.57

 

Close chg. Support Resistance

 

671 - 670/660 680/700

 

หากราคาโลหะเงินดีดตัวขึ้นในระหว่างวัน ที่แนวต้านบริเวณ 20.50 ดอลลาร์ ยังเป็นระดับที่สามารถเปิดสถานะขายเก็งกำไร โดยมีจุดปิดสถานะตัดขาดทุนอยู่ที่บริเวณ 20.70 ดอลลาร์

 

ที่มา : ThaiPR.net (วันที่ 6 มกราคม 2557)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เอชเอสบีซี โฮลดิงส์เผย ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของจีนในเดือนธ.ค.ลดลงแตะ 50.9 จาก 52.5 ในเดือนพ.ย.

 

ดัชนีที่สูงกว่า 50 แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมภาคบริการยังคงมีการขยายตัว และตัวเลขที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ถึงภาวะหดตัว

 

เอชเอสบีซีระบุว่าดัชนีภาคบริการเดือนธ.ค.ที่ลดลงเป็นผลมาจากการขยายตัว ของคำสั่งซื้อใหม่ในภาคบริการที่อ่อนแรงที่สุดในรอบ 6 เดือน แต่ภาคบริการมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน

 

นายฉู หงปิน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเอชเอสบีซีกล่าวว่า กิจกรรมในการบริการที่ชะลอลงสะท้อนถึงการเติบโตในอัตราที่เชื่องช้าลงของุ ธุรกิจใหม่ๆ

 

ทั้งนี้ นายฉูกล่าวว่า เอชเอสบีซีคาดว่าการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการผลิตจะช่วยหนุนการขยายตัวของภาคบริการ

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 6 มกราคม 2557)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สมาคมค้าทองคำ คาดการณ์ การซื้อทองของประชาชนในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ ไม่คึกคัก เชื่อว่าจะขยายตัวได้เพียง 10% เนื่องจากตรุษจีนปีนี้ ใกล้กับวันปีใหม่ ที่มีวันหยุดยาว

 

นาย พิชญา พิสุทธิกุล เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า เทศกาลตรุษจีนปีนี้ จะมีประชาชนที่เข้ามาซื้อทองคำในช่วงก่อนเทศกาลตรุษจีนมีไม่มาก เนื่องจากตรุษจีนปีนี้ เป็นช่วงใกล้กับวันหยุดยาวช่วงเทศกาลปีใหม่ ทำให้ประชาชนนำเงินที่มีอยู่ ไปจับจ่ายใช้สอยในช่วงของวันปีใหม่มาแล้ว

 

ส่งผลให้มีการเข้ามาซื้อทองในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ ไม่คึกคักกว่าปีที่ผ่านๆมา โดยคาดว่าตลาดทองคำ จะขยายตัวได้ประมาณ 10 % เท่านั้น

 

ส่วน เงินบาทที่มีทิศทางอ่อนค่าต่อเนื่อง จะกระทบต่อราคาทองคำ เนื่องจากเงินบาทที่มีการอ่อนค่าลงทุกๆ หนึ่งบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จะทำให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น 650 บาทต่อ 1 บาททองคำ

ที่มา: money channel (วันที่ 6 มค.57)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ราคา ทองปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง จากการซื้อขายสัปดาห์สุดท้ายของปีก่อน และสำหรับราคาทองคำในประเทศซึ่งได้รับปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของเงินบาท ส่งผลให้ราคาปรับตัวขึ้นได้มากกว่าปกติ การปรับลดปริมาณการผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ แม้จะเป็นปัจจัยกดดันให้ราคาทองปรับตัวลง

 

แต่ด้วยราคาทองปรับตัวตอบ รับปัจจัยนี้ไปพอสมควร การเคลื่อนไหวของราคาทองจึงเริ่มมีแนวโน้มที่จะดีดตัวกลับ โดยราคาทองปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ 1,236.40 ดอลลาร์ ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 12.80 ดอลลาร์ ราคาทำจุดต่ำสุดและจุดสูงสุดที่ 1,221 และ 1,240 ดอลลาร์ ต่อออนซ์ ตามลำดับ ส่วนราคาซื้อขายทองคำแท่งในประเทศชนิด 96.5% เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ขายออกที่บาทละ 19,350 บาท และรับซื้อคืนที่บาทละ 19,250 บาท กองทุน SPDR ไม่มีรายงานการเปลี่ยนแปลงปริมาณการถือครองทองคำ โดยปัจจุบันกองทุนถือครองทองคำรวม 794.62 ตัน

 

ราคาทองสัปดาห์แรกของปี ปิดตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากการซื้อขายสัปดาห์สุดท้ายของปีก่อน โดยมีแรงซื้อทองคำกลับเข้ามาหลังจากปรับตัวลดลงมากในการซื้อขายเดือนธันวาคม ประกอบกับมีแรงขายทำกำไรในตลาดสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะในหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งปรับตัวขึ้นในปริมาณมากช่วงก่อนสิ้นปี การเคลื่อนไหวของราคาทองซึ่งปรับตัวลงตอบรับการปรับลดปริมาณการผ่อนคลายทาง การเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ไปมากพอสมควรในการซื้อขายปีก่อน

 

ในระยะ นี้จึงมีแนวโน้มที่ราคาทองจะเริ่มเคลื่อนไหวทรงตัว และอาจมีการดีดตัวกลับต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน และหากมีรายงานตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่กลับมีสัญญาณชะลอตัว ก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ ส่วนราคาทองในประเทศยังคงคาดว่าจะได้รับปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของเงินบาท ซึ่งถูกกดดันจากประเด็นการเมืองในประเทศ ซึ่งสัปดาห์หน้าจะมีการเคลื่อนไหวใหญ่ของกลุ่มผู้ชุมนุมที่ต้องการให้นายก รัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง

 

อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์นี้อาจมีการชี้มูลความผิดจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. รวมทั้งการพิจารณาเรื่องเงินกู้ของรัฐบาล ที่อาจส่งผลต่อการเลือกตั้งในเดือนหน้า และสำหรับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในทางเทคนิค หลังจากเมื่อวันศุกร์ราคาทองฟื้นตัวขึ้นเข้าใกล้แนวต้านบริเวณ 1,245-1,250 ดอลลาร์ ต่อออนซ์ และมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นต่อ หากสามารถผ่านแนวต้านบริเวณ 1,250 ดอลลาร์ ต่อออนซ์ ขึ้นไปได้ ก็จะเป็นสัญญาณซื้อสำหรับเก็งกำไรการปรับตัวขึ้นสู่แนวต้านบริเวณ 1,270 ดอลลาร์ ต่อออนซ์ ต่อไป โดยมีแนวรับสำหรับกลับเข้าซื้อเก็งกำไรในกรณีที่ราคากลับอ่อนตัวลงอยู่ที่ บริเวณ 1,220 และ 1,200 ดอลลาร์ ต่อออนซ์ ตามลำดับ.

 

 

 

ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ (06/01/2557)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นายกมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ จำกัดและผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ เปิดเผยว่าแนวโน้มราคาทองคำในช่วงนี้ยังคงเป็นการฟื้นตัวจากแรงซื้อทาง เทคนิคและการอ่อนค่าของค่าเงินบาท โดยต้องจับตาดูการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯต่อไปเนื่องจากมีแนวโน้มที่ เศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและกดดันความกังวลที่ว่าธนาคารกลาง สหรัฐ(เฟด)จะชะลอมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ(QE) เพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นแรงหนุนต่อการแข็งค่าของทิศทางสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯและกดดันราคา ทองคำในที่สุด

 

ส่วนในประเทศติดตามประเด็นทางการเมืองที่ยังเป็นแรงกดดันค่าเงินที่สำคัญ ทางเทคนิคแนวโน้มหลักยังคงเป็นขาลงแต่อาจฟื้นตัวระยะสั้นโดยมีกรอบแนวต้าน US$1,235-50 แนวรับสำคัญ US$1,200-1,180

 

ขณะที่ราคาทองคำในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้น US$ 19.57 ต่อออนซ์ ปิดที่ระดับ US$1,224.51 ต่อออนซ์ (Gold spot) ราคาทองคำปรับตัวขึ้นสวนทิศทางกับตลาดหุ้นในสหรัฐฯที่ปรับตัวลงวานนี้ ราคาทองคำได้รับแรงหนุนจากการที่นักลงทุนเข้ามาซื้อเก็งกำไรหลังราคาทองแตะ จุดต่ำสุดในรอบ 6 เดือนที่บริเวณ US$1,184 ต่อออนซ์ รวมถึงการเข้าซื้อทองคำของกลุ่มนักลงทุนสถาบันที่ปรับสถานะการลงทุนใหม่ใน ช่วงต้นปี ขณะที่รายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯยังออกมาดีต่อเนื่อง

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า (วันที่ 4 มกราคม 2557)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...