ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

ราคาพันธบัตรปิดบวก -- ราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปิดเพิ่มขึ้นโดยส่วนใหญ่ในวันพฤหัสบดี

ขณะที่นักลงทุนขายหุ้นและเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยในพันธบัตร ซึ่งช่วยลดผลกระทบจากการประมูลพันธ

บัตรอายุ 7 ปีที่ได้รับการตอบรับน้อย ทั้งนี้ ราคาพันธบัตรอายุ 10 ปีปิดเพิ่มขึ้น 10/32 มาที่ 104-12/32

โดยมีผลตอบแทน 2.983% ส่วนราคาพันธบัตรอายุ 30 ปีปิดที่ 105-06/32 โดยมีผลตอบแทน 4.073%

 

ยูโรพุ่งทะลุ 1.3100 ดอลล์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพ.ค. -- ยูโรทะยานขึ้นเหนือ 1.3100

ดอลลาร์ สู่ระดับสูงสุดในรอบ 12 สัปดาห์เมื่อเทียบกับดอลลาร์ในวันพฤหัสบดี ขณะที่ข้อมูลเชิงบวกของยุโรป

กระตุ้นให้นักลงทุนคาดว่าเศรษฐกิจยุโรปจะปรับตัวดีกว่าเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจสหรัฐ ทั้งนี้ ดอลลาร์อยู่ที่

86.820 เยน เทียบกับระดับปิดวันพุธที่ 87.390 ส่วนยูโรอยู่ที่ 1.3074 ดอลลาร์และ 113.52 เยน

เทียบกับระดับปิดวันพุธที่ 1.2992 ดอลลาร์และ 113.58 เยน

 

ราคาน้ำมันดิบพุ่ง 1.37 ดอลล์ขณะดอลล์ร่วง -- ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า nymex พุ่งขึ้น

ในวันพฤหัสบดี หลังจากปิดตลาดในแดนลบสองวันติดต่อกัน โดยราคาน้ำมันได้รับแรงหนุนจากการร่วงลงของ

ดอลลาร์เมื่อเทียบกับเงินหลายสกุล และจากตัวเลขเศรษฐกิจในทางบวกของยูโรโซนและเยอรมนี ทั้งนี้ ราคา

น้ำมันดิบส่งมอบเดือนก.ย.พุ่งขึ้น 1.37 ดอลลาร์ หรือ 1.78 % มาปิดตลาดที่ 78.36 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 

ทองปิดบวกหลังวิตกเศรษฐกิจสหรัฐ -- ราคาทองที่ตลาดสหรัฐปิดบวกในวันพฤหัสบดีจากความ

ไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจหลังคำกล่าวของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แต่การที่

กองทุน etf ทองรายใหญ่ที่สุดของโลกลดการถือครองทองลงอย่างรุนแรงส่งสัญญาณถึงการอ่อนลงของ

ราคาทองในระยะใกล้ ทั้งนี้ ราคาทองส่งมอบเดือนส.ค.ที่ตลาด comex ปิดเพิ่มขึ้น 8.00 ดอลลาร์ ที่

1,168.40 ดอลลาร์/ออนซ์ และราคาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ย.ปิดเพิ่มขึ้น 17.60 เซนต์ ที่ 17.617

ดอลลาร์/ออนซ์ ส่วนที่ตลาด nymex ราคาพลาตินั่มส่งมอบเดือนต.ค.ปิดพุ่งขึ้น 21.70 ดอลลาร์ ที่ 1,563.40

ดอลลาร์/ออนซ์ และราคาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนก.ย.ปิดพุ่งขึ้น 22.45 ดอลลาร์ ที่ 491.20 ดอลลาร์/ออนซ์

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ไม่เป็นไรจ้า

 

 

 

ปัจจุบันกำลัง แทะ mouse อย่างเมามัน มีสีแสงวูบวาบนกชอบ

ถ้าที่บ้านติดวอลเปเปอร์ต้องระวังนะค่ะ พี่แกแทะขอบสะหมดเลย :D

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ศุภาลัยทำกองทุนตะลึง

 

มาร์เก็ตแคปพุ่ง239%

 

:หุ้นดีฟรีโฟลตกว่า72% จ่อคิวขึ้น SET50 ปลายปีนี้

วันศุกร์ที่ 30 กรกฏาคม 2010

 

“ศุภาลัย”เนื้อหอมกองทุนไทย-เทศสนใจลงทุน หลังตลึงดันมาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้น 239% แตะระดับ 21,000 ล้านบาท จากเดิม 6,200 ล้านบาท ปริมาณซื้อขายต่อวันเพิ่ม 175% จาก 38 ล้านบาท เป็น 104 ล้านบาท “ไตรเตชะ”เผยฟรีโฟลตหุ้นสูง 72% เชื่อเพียงพอรับรองดีมานด์การลงทุนของนักลงทุนสถาบัน ขณะที่ยอดขายไหลลื่นครึ่งแรกทำได้ 7,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% ส่งซิกงบ Q4 ทำสถิติสูงสุดนับแต่ตั้งบริษัทมา พร้อมจ่อคิวขึ้น SET50 ปลายปีนี้

 

 

 

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการบริหารบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI เปิดเผยกับ”ข่าวหุ้นธุรกิจ”ว่า ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา บริษัทได้เดินสายไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ให้กับนักลงทุนสถาบัน (กองทุน) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยระหว่างวันที่ 6-9 กรกฎาคม 2553 ไปโรดโชว์ที่สิงคโปร์และฮ่องกง ร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) และระหว่างวันที่ 12-15 กรกฎาคม 2553 โรดโชว์ให้ข้อมูลกับกองทุนในประเทศ ร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด

 

ทั้งนี้การไปโรดโชว์ดังกล่าวได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนสถาบัน ทั้งในและต่างประเทศ โดยให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในหุ้น SPALI อย่างมาก เนื่องจากผลประกอบการมีการเติบโตที่ดีขึ้น ทั้งยอดขาย และกำไร ซึ่งช่วง 2 ปีที่ผ่านมาบริษัทก็ทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

 

โดยจุดเด่น SPALI คือ มูลค่าหลักทรัพย์รวมตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป)ปัจจุบันปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 239% จาก 6,200 ล้านบาท (ณ วันที่ 24 กรกฎาคม 2552) เพิ่มขึ้นเป็น 21,100 กว่าล้านบาท (ณ วันที่ 24 กรกฎาคม 2553) เทียบชั้นดีกว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์ 5 อันดับแรก และปัจจุบันปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสูงถึง 104 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 175% จากเดิมอยู่ที่ 38 ล้านบาท (นับย้อนหลัง 90 วัน) อีกทั้งอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (P/E) ยังต่ำกว่าบริษัทอสังหาฯขนาดกลางที่อยู่ในตลาด ทำให้กองทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศสนใจเข้ามาลงทุนในหุ้นของ SPALI อย่างมาก ซึ่งจะเห็นได้จากราคาหุ้นของบริษัทมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

นอกจากนี้ ปัจจุบัน SPALI ยังมีสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) สูงถึง 72% ขณะที่มีสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายใหญ่อยู่ที่ 27-28% ทำให้มั่นใจว่ามีสภาพคล่องในการซื้อขายเพียงพอรองรับความต้องการซื้อขายของ นักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างประเทศ

 

“การที่บริษัทมียอดขายและกำไรเติบโตสูงขึ้น อย่างต่อเนื่อง ทำให้กองทุนทั้งในและต่างประเทศสนใจเข้ามาลงทุนหุ้น SPALI มากขึ้น ส่งผลทำให้มาร์เก็ตแคปในปัจจุบันปรับเพิ่มขึ้น 200 กว่า% แตะระดับ 20,000 ล้านบาท และมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นถึง 175% แตะระดับ 104 ล้านบาทต่อวัน ขณะที่ P/E ปัจจุบันต่ำกว่าอสังหาฯ ท็อป 5” นายไตรเตชะ กล่าว

 

นายไตรเตชะ กล่าวต่อว่า ส่วนผลประกอบการในปีนี้ ยังมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยครึ่งแรกของปีนี้ บริษัทมียอดขาย (พรีเซล) สูงถึง 7,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15-20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งที่บริษัทมีการเปิดโครงการใหม่ในครึ่งปีแรกเพียง 2 โครงการ มูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท และในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะมียอดพรีเซลที่เติบโตขึ้นมาก ซึ่งเป้าหมายทั้งปีที่ตั้งไว้ 15,000 ล้านบาทน่าจะทำได้อย่างแน่นอน

 

ทั้งนี้ เนื่องจากในช่วงครึ่งหลังของปีนี้บริษัทมีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่เพิ่มอีก 13 โครงการ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท โดยในไตรมาสที่ 3/53 มีแผนจะเปิดโครงการใหม่ 4 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 3,680 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่า 2,850ล้านบาท และบ้านเดี่ยว 2 โครงการ มูลค่า 830 ล้านบาท ส่วนในไตรมาสที่ 4/53 บริษัทมีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่ 9 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 9,400 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 8 โครงการ มูลค่ารวม 6,600 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่ารวม 2,800 ล้านบาท

 

ส่วนรายได้ในปีนี้ บริษัทมั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 11,000 ล้านบาทแน่นอน โดยขณะนี้บริษัทมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) 18,700 ล้านบาท ซึ่งในงวดครึ่งหลังของปีนี้บริษัทมีแผนที่จะรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมิ เนียมที่สร้างเสร็จ จำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 6,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการซิตี้ โฮม ท่าพระ โครงการศุภาลัย พรีเมียร์ รัชดาฯ-นราธิวาส-สาทร และศุภาลัย ปาร์ค แยกเกษตร ซึ่งคาดว่าจะเริ่มทยอยโอนและรับรู้รายได้ในเดือนสิงหาคมนี้เป็นต้นไป จนถึงสิ้นปีนี้ คาดว่าจะรับรู้รายได้จากการโอน 3 คอนโดฯดังกล่าวในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะโอนและรับรู้รายได้เข้ามามากในไตรมาสที่ 4/53 ซึ่งคาดว่าจะเป็นไตรมาสที่มีผลประกอบการสูงที่สุดของปีนี้และสูงที่สุด ตั้งแต่ตั้งบริษัทมา

นอกจากนี้นายไตรเตชะ กล่าวว่า ส่วนของผลประกอบการไตรมาสที่ 2/53 บริษัทคาดว่าจะมีการประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) อนุมัติและประกาศผลประกอบการอย่างเป็นทางการในวันที่ 10 สิงหาคม 2553นี้ ซึ่งในการประชุมบอร์ดคาดว่าจะมีการพิจารณาอนุมัติจ่ายปันผลระหว่างกาลด้วย

 

ด้านผู้สื่อข่าวรายงานจากข้อมูลจากตลาดหลัก ทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ระบุว่า หลักเกณฑ์การคัดเลือกหลักทรัพย์ใน SET 50 Index และ SET100 Index จะคัดเลือกจากหลักทรัพย์ประเภทหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่น้อยกว่า 6 เดือน และมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเฉลี่ยต่อวันย้อนหลัง 12 เดือน สูงสุด 200 อันดับแรก

 

นอกจากนี้ต้องเป็นหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อ ขายสม่ำเสมอ กล่าวคือ ต้องมีมูลค่าการซื้อขายบนกระดานหลักสูงกว่า 50% ของมูล่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อหุ้นของหลักทรัพย์ประเภทหุ้นสามัญทั้งตลาดใน เดือนเดียวกัน และต้องมีความต่อเนื่องเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 9 ใน 12 เดือน หรือไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 สำหรับหุ้นสามัญที่เข้าซื้อขายน้อยกว่า 12 เดือน แต่ต้องไม่น้อยกว่า 6 เดือน

 

หากมีหลักทรัพย์ที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกข้าง ต้นน้อยกว่า 105 หลักทรัพย์ ให้ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้ 1.ให้ลดอัตราส่วนของมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อหุ้นจากเดิม 50 % ลงครั้งละ 5% ทั้งนี้ต้องไม่ต่ำกว่า 20 % 2.ลดจำนวนเดือนที่หลักทรัพย์นั้นต้องผ่านเกณฑ์ด้านมูลค่าการซื้อขายลงครั้ง ละ 1 เดือน ทั้งนี้ต้องไม่ต่ำกว่า 6 เดือนสำหรับ การนำหลักทรัพย์ที่ผ่านการคัดเลือกมาจัดตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด เฉลี่ย โดยหลักทรัพย์ในอันดับที่ 1-50 จะใช้ในการคำนวณSET50 Index โดยมีอันดับที่ 51- 55 เป็นรายชื่อสำรอง อย่างไรก็ตามการทบทวนหลักทรัพย์จะกระทำทุก 6 เดือน ในช่วงเดือนมิถุนายน สำหรับรายชื่อในครึ่งหลังของปี โดยใช้ข้อมูลตั้งแต่ 1 มิถุนายนปีก่อนหน้า ถึง 31 พฤษภาคมของปีที่ทำการคัดเลือก และเดือนธันวาคม สำหรับรายชื่อในครึ่งแรกของปี โดยจะใช้ข้อมูลตั้งแต่ 1 ธันวาคมปีก่อนหน้า ถึง 30 พฤศจิกายนของปีที่ทำการคัดเลือก

 

คิดเอาไว้ซักพักใหญ่ๆแล้ว SPALI หรือแม้แต่ STPI ถ้ามียอดซื้อขายขนาดนี้ (เห็นติด top20 มูลค่าซื้อขายสูงสุดบ่อยๆ) มีสิทธิไป SET50

ลองดูอย่าง IVL สิ พอไป SET 50 ราคาวิ่งซะ

ถ้าได้ไปจริง SPALI 20 บาท STPI 100 บาทยังถูกไปด้วยซ้ำ

แต่ยังไงปีนี้ก็ไม่ทันแล้ว ต้องรอลุ้นปีหน้า

ถูกแก้ไข โดย TOUNE

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ครึ่งเช้า วันที่ 30 กรกฎาคม 2553 ฝรั่ง Net Buy 200 M.

 

ถ้าที่บ้านติดวอลเปเปอร์ต้องระวังนะค่ะ พี่แกแทะขอบสะหมดเลย :D

 

ตอนนี้แก้ขัดให้ ก้านพู่กัน เก่าๆ (ไม่มีขนแล้ว) ไปเล่น

อันมันผอมๆ กลิ้งได้ นกหยิบยกขึ้นได้ เหวี่ยงไปเหวี่ยงมา หลุดจากปาก ตกลงพื้นมันก็กลิ้ง นกวิ่งไล่

เล่นง่ายจิงๆ Daffy (ไว้จะหาของเล่นให้ใหม่นะ) ตอนนี้เป็นนกเศษรฐกิจพอเพียงไปก่อน

 

มีวิธีสอนให้มันไม่อึเรี่ยราดไหมครับ

ถูกแก้ไข โดย TOUNE

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หลักเกณฑ์การคัดเลือกหลักทรัพย์ใน SET50 Index และ SET100 Index

1. คัดเลือกหลักทรัพย์ประเภทหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่น้อยกว่า 6 เดือน ก่อนถึงวันพิจารณาคัดเลือก ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเฉลี่ยต่อวันย้อนหลัง 12 เดือน สูงสุด 200 อันดับแรก

 

2. เป็นหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อขายสม่ำเสมอ

2.1. มีมูลค่าการซื้อขายบนกระดานหลักสูงกว่า 50% ของมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อหุ้นของหลักทรัพย์ประเภทหุ้นสามัญทั้งตลาดใน เดือนเดียวกัน

 

2.2. มูลค่าการซื้อขายตามข้อ 2.1 ต้องต่อเนื่องเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 9 ใน 12 เดือน (หรือไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 สำหรับหุ้นสามัญที่เข้าซื้อขายน้อยกว่า 12 เดือน แต่ทั้งนี้ต้องไม่น้อยกว่า 6 เดือน)

 

2.3. หากมีหลักทรัพย์ที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกข้างต้นน้อยกว่า 105 หลักทรัพย์ ให้ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้

 

2.3.1 ให้ลดอัตราส่วนของมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อหุ้นจากเดิม 50% ลงครั้งละ 5% ทั้งนี้ต้องไม่ต่ำกว่า 20%

 

2.3.2 ลดจำนวนเดือนที่หลักทรัพย์นั้นต้องผ่านเกณฑ์ด้านมูลค่าการซื้อขายลงครั้งละ 1 เดือน ทั้งนี้ต้องไม่ต่ำกว่า 6 เดือน

 

2.3.3 ให้ลดอัตราส่วนของมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อหุ้นลงอีก ครั้งละ 5% จนกระทั่งได้หลักทรัพย์ครบจำนวน

 

3. เป็นหลักทรัพย์ที่มีสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free-float) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20

 

4. หลักทรัพย์นั้นๆ จะต้องไม่มีเหตุใดเหตุหนึ่งดังต่อไปนี้

4.1 เป็นหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์

4.2 เป็นหลักทรัพย์ที่จะเพิกถอนตัวเองออกในระยะเวลาอันใกล้

4.3 อยู่ในระหว่างถูกสั่งพักการซื้อขาย (SP) เป็นระยะเวลานาน

4.4 มีแนวโน้มที่จะถูกพักการซื้อขายเป็นระยะเวลานาน (เช่น 3 เดือน เนื่องจากไม่สามารถนำส่งงบการเงินได้ เป็นต้น)

 

5. นำหลักทรัพย์ที่ผ่านการคัดเลือกมาจัดลำดับตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด เฉลี่ย โดยหลักทรัพย์ในอันดับที่ 1 - 50 จะใช้ในการการคำนวณ SET50 Index (โดยมีอันดับที่ 51 - 55 เป็นรายชื่อสำรอง) และหลักทรัพย์ในอันดับที่ 1 - 100 จะใช้ในการคำนวณ SET100 Index (โดยมีอันดับที่ 101 - 105 เป็นรายชื่อสำรอง)

 

6. การพิจารณาคัดเลือกหลักทรัพย์จะกระทำทุก 6 เดือน ในช่วงเดือนมิถุนายน (สำหรับรายชื่อในครึ่งหลังของปี) และเดือนธันวาคม (สำหรับรายชื่อในครึ่งแรกของปี)

 

7. คณะทำงานด้านดัชนีราคาหลักทรัพย์ที่จัดตั้งโดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำหน้าที่พิจารณาความเหมาะสมของหลักทรัพย์ที่ได้รับการคัดเลือกและแก้ไข ปัญหาที่เกิดจากการคัดเลือกหลักทรัพย์หรือปัญหาในการคำนวณค่าดัชนี

 

หมายเหตุ:

- การคัดเลือกในช่วงเดือนมิถุนายน จะใช้ข้อมูลตั้งแต่ 1 มิถุนายนปีก่อนหน้า ถึง 31 พฤษภาคมของปีที่ทำการคัดเลือก

 

- การคัดเลือกในช่วงเดือนธันวาคม จะใช้ข้อมูลตั้งแต่ 1 ธันวาคมปีก่อนหน้า ถึง 30 พฤศจิกายนของปีที่ทำการคัดเลือก

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สรุปการซื้อขาย ณ วันที่ 30 ก.ค. 2553

 

ต่างชาติเที่ยวนี้คงอยู่นาน พี่แกยังซื้อสะสม รอจังหวะซื้อไม่ไล่ราคา !gd ใครขายหมดต้องกลับมาซื้อของแพงทีหลังแน่เลย !uu

post-62-062710200 1280485692.jpg

post-62-006111100 1280485703.jpg

post-62-030468900 1280485712.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เช้าวันนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 855.20 จุด เพิ่มขึ้น 0.61 จุด หรือ 0.07% มูลค่าการซื้อขาย 11,599.69 ลบ.

 

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับได้แก่

1.TRUE ปิดที่ 4.36 บาท เพิ่มขึ้น 0.08 บาท มูลค่าการซื้อขาย 822.86 ลบ.

2.DTAC ปิดที่ 46.25 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 756.26 ลบ.

3.SCB ปิดที่ 88.75 บาท ลดลง 1.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 735.82 ลบ.

4.ADVANC ปิดที่ 93.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 462.72 ลบ.

5.KBANK ปิดที่ 100.50 บาท ลดลง 3.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 365.40 ลบ.

 

ส่วน เช้าวันนี้ดัชนีตลาด mai ปิดที่ 247.10 จุด ลดลง 0.27 จุด หรือ 0.11% ด้าน SET50 Index ปิดที่ 583.37 จุด ลดลง 0.83 จุด หรือ 0.14% และ เช้าวันนี้ SET100 Index ปิดที่ 1279.45 จุด ลดลง 0.53 จุด หรือ 0.04%

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หุ้นปิดบวก 1.24 จุด ฝรั่งซื้อสุทธิ 1.1 พันล้านบาท

 

วันศุกร์ที่ 30 กรกฏาคม 2010 เวลา 18:02:58 น.

 

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ปิดบวก 1.24 จุด มาที่ 855.83 จุด แม้ว่านักลงทุนต่างชาติจะซื้อสุทธิกว่า 1.1 พันล้านบาท ดัชนีสูงสุดอยู่ที่ 856.23 จุด ดัชนีต่ำสุดที่ 851.98 จุด โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 22,321.28 ล้านบาท โดยดัชนีกลุ่มแบงก์ ลบ 1.49% มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดที่ 18.01% รองลงมาได้ แก่กลุ่มไอซีที บวก 1.88% และกลุ่มพลังงาน ลบ 0.29%

 

สรุปการซื้อขายหลักทรัพย์ จำแนกประเภทผู้ลงทุน ซึ่งไม่รวมการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ประจำวันดังนี้

 

ประเภทนักลงทุน มูลค่าซื้อ(ลบ.) มูลค่าขาย(ลบ.) สุทธิ(ลบ.)

 

นักลงทุนสถาบัน 1,518.41 1,821.90 -303.49

 

บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ 2,113.90 2,300.89 -186.99

 

นักลงทุนต่างชาติ 4,377.39 3,275.41 1,101.97

 

นักลงทุนทั่วไป 14,311.58 14,923.07 -611.49

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ครึ่งเช้า วันที่ 30 กรกฎาคม 2553 ฝรั่ง Net Buy 200 M.

 

 

 

ตอนนี้แก้ขัดให้ ก้านพู่กัน เก่าๆ (ไม่มีขนแล้ว) ไปเล่น

อันมันผอมๆ กลิ้งได้ นกหยิบยกขึ้นได้ เหวี่ยงไปเหวี่ยงมา หลุดจากปาก ตกลงพื้นมันก็กลิ้ง นกวิ่งไล่

เล่นง่ายจิงๆ Daffy (ไว้จะหาของเล่นให้ใหม่นะ) ตอนนี้เป็นนกเศษรฐกิจพอเพียงไปก่อน

 

มีวิธีสอนให้มันไม่อึเรี่ยราดไหมครับ

ไม่มีค่ะ คุณตวน ที่บ้านก็ต้องเอาทิชชู่ไปรองตรงที่เค้ายืนประจำ :)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ไม่มีค่ะ คุณตวน ที่บ้านก็ต้องเอาทิชชู่ไปรองตรงที่เค้ายืนประจำ :)

 

น่าจะลองหากล่องแล้วลองทิชชูให้เข้าไปนั่งอึ ทุกวันเวลาเดืม ทำหลายๆวัน เหมือนกัน น่าจะได้ ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยเลี้ยงนก เคยเลี้ยงแต่ลูก เราจะวางกระโถนไว้พาไปฉี่ ที่เดิมทุกวัน พอลูกเริ่มเดินได้ ปวดฉี่จะวิ่งไปฉี่เองทุกครั้ง ไม่เคยฉี่ราด แต่ตอนอึ เราพาเข้าไปส้วม ลูกก็จะรู้ และทำอย่างนี้จนลูกโต ไม่เคยมีปัญหาลูกฉี่ราดเลย เราว่าสัตว์ก็น่าจะฝึกได้นะคะ แต่คงต้องให้ทำซ้ำๆ ก่อนในช่วงแรกน่ะค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ประจำวันที่ 30 ก.ค. 2553

 

ทั้งหมด 16 รายการ

 

ชื่อบริษัท ชื่อผู้บริหาร ความ

สัมพันธ์ * ประเภท

หลักทรัพย์ วันที่รับเอกสาร วันที่ได้มา/จำหน่าย จำนวน ราคา วิธีการได้มา/จำหน่าย หมายเหตุ

แกรนด์ คาแนลแลนด์ บมจ.(GLAND) มงคล เปาอินทร์ ผู้จัดทำ หุ้นสามัญ 30/07/2553 27/07/2553 1,100 8.10 ซื้อ

ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ บมจ.(CI) พิสุทธิ์ เดชะไกศยะ ผู้จัดทำ หุ้นสามัญ 29/07/2553 28/07/2553 30,000 6.35 ขาย

ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น บมจ.(TICON) ไว เชง ควน ผู้จัดทำ หุ้นสามัญ 30/07/2553 29/07/2553 37,600 11.22 ซื้อ

ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น บมจ.(TICON) ไว เชง ควน ผู้จัดทำ ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น3 30/07/2553 29/07/2553 190,000 0.69 ขาย

ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น บมจ.(TICON) ไว เชง ควน ผู้จัดทำ ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น4 30/07/2553 29/07/2553 95,000 3.08 ขาย

ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น บมจ.(TICON) ศิริพร สมบัติวัฒนา คู่สมรส หุ้นสามัญ 30/07/2553 28/07/2553 50,000 11.30 ซื้อ

บางกอกแลนด์ บมจ.(BLAND) อนันต์ กาญจนพาสน์ ผู้จัดทำ หุ้นสามัญ 29/07/2553 23/07/2553 20,000 0.66 ซื้อ

บางกอกแลนด์ บมจ.(BLAND) อนันต์ กาญจนพาสน์ ผู้จัดทำ หุ้นสามัญ 29/07/2553 28/07/2553 20,000 0.65 ซื้อ

บางกอกแลนด์ บมจ.(BLAND) อนันต์ กาญจนพาสน์ ผู้จัดทำ หุ้นสามัญ 29/07/2553 29/07/2553 20,000 0.66 ซื้อ

ปตท.เคมิคอล บมจ.(PTTCH) ณรงค์ บัณฑิตกมล ผู้จัดทำ หุ้นสามัญ 29/07/2553 27/07/2553 2,000 102.00 ขาย

ปตท.เคมิคอล บมจ.(PTTCH) ไพบูลย์ ปัญญวุฒิ ผู้จัดทำ หุ้นสามัญ 29/07/2553 28/07/2553 50,000 101.50 ขาย

ยูไนเต็ด เปเปอร์ บมจ.(UTP) กำจร ชื่นชูจิตต์ ผู้จัดทำ หุ้นสามัญ 30/07/2553 29/07/2553 10,000 8.10 ขาย

ยูไนเต็ด เปเปอร์ บมจ.(UTP) กำจร ชื่นชูจิตต์ ผู้จัดทำ หุ้นสามัญ 30/07/2553 29/07/2553 10,000 7.90 ซื้อ

สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) บมจ.(SMT) ประสาท ยูนิพันธุ์ ผู้จัดทำ หุ้นสามัญ 30/07/2553 27/07/2553 100,000 10.50 ซื้อ

ห้องเย็นเอเชี่ยน ซีฟู้ด บมจ.(ASIAN) สมศักดิ์ อมรรัตนชัยกุล ผู้จัดทำ หุ้นสามัญ 30/07/2553 29/07/2553 350,000 4.19 ขาย

ห้องเย็นเอเชี่ยน ซีฟู้ด บมจ.(ASIAN) สมศักดิ์ อมรรัตนชัยกุล ผู้จัดทำ หุ้นสามัญ 30/07/2553 29/07/2553 265,300 4.14 ซื้อ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

STANLY ตอกย้ำความแข็งแกร่งของธุรกิจรถยนต์

 

 

BLS บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)

 

 

ไตรมาสที่ 2 งวด 6 เดือน

ปี 2553 2552 2553 2552

 

กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 91,582 65,922 170,275 66,569

กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท) 0.51 0.37 0.95 0.37

 

KEST บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

ไตรมาสที่ 2

ปี 2553 2552

 

กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท) 0.24 0.41

 

STANLY บริษัท ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า จำกัด

ไตรมาสที่ 1

ปี 2553 2552

 

กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท) 4.79 1.21

 

RATCH บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)

 

 

งบการเงินรวม

ไตรมาสที่ 2 งวด 6 เดือน

ปี 2553 2552 2553 2552

 

กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 1,524,924 2,056,577 2,982,199 3,899,858

กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท) 1.05 1.42 2.06 2.69

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

น่าจะลองหากล่องแล้วลองทิชชูให้เข้าไปนั่งอึ ทุกวันเวลาเดืม ทำหลายๆวัน เหมือนกัน น่าจะได้ ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยเลี้ยงนก เคยเลี้ยงแต่ลูก เราจะวางกระโถนไว้พาไปฉี่ ที่เดิมทุกวัน พอลูกเริ่มเดินได้ ปวดฉี่จะวิ่งไปฉี่เองทุกครั้ง ไม่เคยฉี่ราด แต่ตอนอึ เราพาเข้าไปส้วม ลูกก็จะรู้ และทำอย่างนี้จนลูกโต ไม่เคยมีปัญหาลูกฉี่ราดเลย เราว่าสัตว์ก็น่าจะฝึกได้นะคะ แต่คงต้องให้ทำซ้ำๆ ก่อนในช่วงแรกน่ะค่ะ

 

นกมันอึ๊ทุกๆ 5-10 นาทีครับ พี่Suwanna ฝึกเรื่องนี้มันจะยากกว่าคนแน่นอน และยากมากกว่าหมาหรือแมวด้วย

 

แต่เมื่อวานลองหาให้ internet ดูมีคนฝึกนกแก้วตระกูลSun cornure ให้อึเป็ทีเป็นทางได้

แต่ก็ฝึกอยู่นานหลายเดือนเหมือนกัน สังเกตุอาการเหมือนจะอึ จับไปไว้ตรงจุดนัดหมาย ตอนมันอึตรงจุดก็ให้รางวัลค่อยๆป้อนอาหารที่ชอบให้เค้า

ว่าจะลองพยายามดูบ้าง

สุดท้ายมันขึ้นอยู่ความฉลาดของแต่ละสายพันธ์และก็ตัวของนกเองด้วย คงจะไม่คาดหวังอะไรมากนักได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร

 

วันนี้ไปซื้อกรง +ของเล่น เป็นโมบายมีพู่ๆติดกระดิ่ง กับอีกอันเป็นบรรไดไม้ไว้ปีนขึ้นลงให้้เจ้านกดูจะไม่ค่อย happy อยู่ในกรงเท่าไร ไม่สนของเล่นเลยพยายามออกท่าเดียว

อยากออกมาอยู่ข้างนอกมากกว่า

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หลากหลุมพราง ทำให้นักลงทุนล้มเหลว

 

ทำไมนักลงทุนจำนวนไม่น้อยจึง "ล้มเหลว" และเดินไปไม่ถึง "เส้นชัยแห่งการลงทุน" บางคนอาจจะคิดว่าเพราะโชคไม่ดี ดวงไม่เฮง มือไม่ขึ้น แต่ลองนั่งทบทวนดูให้ดี คุณจะพบว่ามีหลุมพรางการลงทุนมากมาย ที่คุณพลาดท่าเดินตกลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า จนทำให้คุณไม่ประสบความสำเร็จจากการลงทุนสักที

 

อาจจะมีหลายสาเหตุผสมผสานปนเปกัน ทำให้คุณขาดทุนบ้าง บาดเจ็บบ่อย แต่อาจจะมีอีกหลายสาเหตุที่คุณยังนึกไม่ถึง

 

ดังนั้น จะขอหยิบหลุมพรางทางการลงทุนมาบอกเล่า คุณจะได้รู้ว่าที่ผ่านมามีหลุมพรางไหนบ้างที่ทำให้คุณยังไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุน

 

ไม่ใส่ใจหาความรู้- ซื้อขายบ่อยเกินไป

 

เมื่อตัดสินใจลงทุน นักลงทุนทุกคนย่อมหวังที่จะได้รับผลตอบแทนสูง และมีความเสี่ยงในการลงทุนต่ำแต่มีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถบรรลุ สิ่งที่หวัง

 

หรือแม้กระทั่งนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ก็ยังอาจจะพลาดพลั้งได้บางครั้ง อะไรบ้างที่น่าจะเป็นเหตุของความผิดพลาดนั้น ซึ่งหากทราบแล้ว ก็จะได้พยายามหลีกเลี่ยงให้ได้มากที่สุด

 

จึงได้รวบรวมความเห็นของคนในแวดวงการเงิน ถึงหลุมพรางทางการลงทุน ที่ทำให้นักลงทุนหลายต่อคนล้มเหลว

 

@ไม่ทำความรู้จักกับตัวเอง

 

"ดร.สันติ กีระนันทน์" ผู้จัดการตลาดตราสารหนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้ทัศนะว่าประเด็นแรกเลยที่ทำให้นักลงทุนล้มเหลวเพราะไม่ทำความรู้จักกับ ตัวเอง อาจจะรู้สึกแปลกๆ แต่เป็นความจริง

 

ทั้งนี้ เพราะนักลงทุนหลายคน ใช้แนวทางของผู้อื่นที่ประสบความสำเร็จเป็นต้นแบบการลงทุนของตัวเอง โดยไม่แยกแยะความแตกต่างของต้นแบบกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความทนได้ต่อความผันผวน วิธีการตัดสินใจ เวลาที่มีติดตามการลงทุนของตัวเอง เป็นต้น ซึ่งความแตกต่างเหล่านั้น ทำให้เกิดความแตกต่างของผล แม้ว่าจะพยายามเลียนแบบวิธีการของผู้ที่ประสบความสำเร็จก็ตาม

 

@เล็งผลเลิศมากเกินไป

 

อีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนล้มเหลว ดร.สันติ บอกว่า เป็นเพราะนักลงทุนคาดหวังผลตอบแทนที่มากเกินไป ซึ่งเป็นธรรมชาติของนักลงทุนที่ย่อมต้องการซื้อที่ราคาต่ำสุด และขายที่ราคาที่สูงสุด

 

แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่มีใครที่จะทราบได้ว่าเมื่อไรที่ราคาจะสูงสุดหรือเมื่อไรที่ราคาจะต่ำสุด หรือราคาสูงสุดและราคาต่ำสุดอยู่ที่ไหน

 

ทางที่อาจจะปลอดภัยกว่าก็คือ การประมาณราคาซื้อขายที่ยอมรับได้ (ไม่ว่าจะเป็นการยอมรับในกำไร หรือขาดทุนที่จะเกิดขึ้นก็ตาม) แล้วก็ปฏิบัติตามกรอบที่กำหนดไว้ โดยอาจจะต้องกำหนดระยะเวลาที่ยอมรับไว้ด้วย และเมื่อตัดสินใจไปแล้ว ไม่ต้องเสียใจมากเกินไป หากผลที่ได้นั้น ไม่ได้เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

 

@ไม่ใส่ใจหาความรู้

 

ดร.สันติ ยังบอกอีกว่า ผู้ที่เรียกตัวเองว่านักลงทุน จำนวนไม่น้อย ไม่ค่อยใส่ใจทำการบ้านคือ การศึกษาให้ได้ข้อมูลที่เพียงพอเกี่ยวกับหลักทรัพย์ หรือสินทรัพย์ที่ตนเองจะลงทุน แต่คอยสังเกตคนอื่น และบางครั้งก็ทำ "ตามแห่" คนอื่นไป

 

ในเรื่องนี้ ต้องระลึกถึงเสมอว่า เรากำลังตัดสินใจบนการได้มาหรือเสียไปซึ่ง "เงิน" ของเรา ถ้าเราไม่ระวังเงินของเราเอง ใครจะมาระวังเงินของเราแทนตัวเรา

 

นอกจากนั้น การเกิดขึ้นของทางเลือกในการลงทุน และเครื่องมือที่ใช้บริหารการลงทุนใหม่ๆ มีอยู่เรื่อยๆ หากไม่ศึกษาให้รู้จักสิ่งเหล่านั้น ก็นับว่านักลงทุนจะเสียโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย

 

@ติดตามดูมากเกินไป

 

ในข้อนี้ ตรงข้ามกับข้อที่ 3 ดร.สันติ บอกว่านักลงทุนบางคน มีสัมมนาอะไรที่ไหน มีเรื่องอะไรที่ไหน จะต้อง "ตามไปดู" ทุกที่ แต่ก็เป็นเพียงแค่ "ดู" โดยไม่ "คิด" เรื่องนี้สำคัญมาก หากยอมเสียเวลาที่จะไปหาความรู้จากแหล่งต่างๆ จากผู้รู้มากหลายแล้ว สิ่งสำคัญคือ ต้อง "คิด" ตามไปด้วย เพราะไม่มีใครที่สามารถให้สูตรสำเร็จการลงทุนใดๆ ได้ ต้องศึกษาให้เข้าใจและคิดวางแผนด้วยตัวเอง

 

@ไม่ไว้ใจตัวเอง

 

หลายครั้งที่นักลงทุนจะตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว (หลังจากที่ได้ศึกษาข้อมูลดีแล้ว) กลับลังเล ไม่กล้าตัดสินใจ ดร.สันติ แนะว่าต้องพยายามหาความเห็นของคนอื่นประกอบ หากการหาความเห็นประกอบนั้น ทำอยู่ในกรอบที่เหมาะสม ก็จะเป็นการปรึกษาหารือที่ดี

 

แต่บางคนก็ทำมากเกินไป จนกระทั่งได้ความเห็นที่แตกต่างหลากหลายขัดแย้งกัน จนไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรเลย นักลงทุนบางคนเคยตัดสินใจผิดพลาดมาในอดีต ทำให้ไม่กล้าตัดสินใจด้วยตัวเองอีก เพราะกลัวผิดซ้ำซาก ต้องไปคอยถามความเห็นของผู้อื่นจนไม่เป็นตัวของตัวเอง อย่าลืมว่า"ทั้งหมดนั้น จะเห็นได้ว่า การทำอะไรมากเกินไป เป็นเหตุให้เกิดความผิดพลาดได้เสมอ ควรจะพยายามทำทุกอย่างให้อยู่ในความพอดีก็จะผิดพลาดน้อยลง"ดร.สันติ ให้ทัศนะ

 

@ไม่ได้ใส่ใจลงทุนอย่างจริงจัง

 

"ดร.สมจินต์ ศรไพศาล" กรรมการผู้จัดการ บลจ.วรรณ ให้เหตุผลที่ทำให้นักลงทุนล้มเหลวจากการลงทุนว่าบางคนอาจจะเกิดจากไม่ได้ออม จึงไม่ได้ลงทุน หรือบางคนได้ออมแต่ไม่ได้ใส่ใจลงทุนอย่างจริงเป็นจัง ก็เลยได้ดอกเบี้ยเล็กๆ น้อยๆ จากเงินฝาก ไม่ได้สร้างความมั่งคั่งเป็นเรื่องเป็นราว

 

เขาบอกว่า ทางแก้ทางหนึ่งก็คือ ลงทุนให้เป็นอัตโนมัติเสียเลยอย่างพวกโครงการรวยอัตโนมัติ หรือ Automatic Millionair program (AMP) ก็จะช่วยได้ดี

 

@มองอดีตมากกว่ามุ่งอนาคต

 

นอกจากนี้ ดร.สมจินต์ ยังบอกว่า ถ้านักลงทุนได้ลงทุน และมองอดีตมากกว่ามุ่งอนาคต ชอบลงทุนแบบตามๆ กระแส ก็อาจจะล้มเหลวได้

 

ทางที่ดีควรตั้งสติให้ดี ยืนทวนกระแสได้ในเวลาที่ควรด้วยการพยายามมองแบบมุ่งอนาคต มองกว้างครอบคลุมทางเลือกการลงทุน ทั้งหุ้น ทั้งตราสารหนี้ ทั้งเงินฝาก เป็นต้น

 

@ซื้อขายบ่อยเกินไป

 

ชนวนแห่งความล้มเหลวของการลงทุนอีกประการหนึ่ง คือ ซื้อขายบ่อยเกินไป โดยเฉพาะขายเร็วเมื่อกำไรเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าขาดทุนมักถือนานเพราะทำใจไม่ได้ ซึ่งดร.สมจินต์ กล่าวความเป็นจริงแล้ว ถ้าเราซื้อหุ้นได้ถูกต้องแล้วบริษัทดีจริง มีกำไรควรจะถือให้นานตั้งใจเป็นเจ้าของจริงจัง แต่ถ้าซื้อผิดควรตัดใจกำจัดจุดอ่อนเสียแต่เนิ่นๆ ดีกว่า

 

@ดูปัจจัยพื้นฐานน้อยเกินไป

 

อีกประเด็นหนึ่ง ดร.สมจินต์ บอกว่าที่นักลงทุนล้มเหลวก็เพราะหวังจับกระแสการเข้าออกของเงินมากเกินไป ดูปัจจัยพื้นฐานน้อยเกินไป หุ้นขึ้นลงด้วยสองปัจจัยเสมอ คือ ปัจจัยแรก คือ ความสามารถในการทำกำไร ซึ่งคือปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญของหุ้น

 

ปัจจัยที่สอง คือ กระแสเงินเข้าออกของตลาดหุ้นโดยเฉพาะจากนักลงทุนต่างชาติ หากเราจะคาดเดาต่างชาติมากเกินไปจะลำบากมาก เพราะเป็นการยากเหลือเกินหรืออาจเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำไปที่จะทำเช่นนั้น

 

ดังนั้น จึงควรดูเรื่องความสามารถในการทำกำไรเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ แล้วดูระดับราคาที่เหมาะสมเป็นหลัก แล้วพิจารณาเรื่องกระแสเงินลงทุนต่างๆเป็นองค์ประกอบ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ เมื่อเราลงทุนเพราะปัจจัยพื้นฐานดีราคาเหมาะสมแล้ว หากราคาจะผันผวนด้วยเพราะกระแสเงินต่างชาติบ้าง เราก็จะไม่ตกใจ

 

@ความโลภและความกลัว

 

ประการสุดท้าย ในมุมมองของ ดร.สมจินต์ เขาคิดว่า ความโลภและความกลัว เป็นต้นเหตุของการตัดสินใจที่ผิดพลาดได้เสมอ หากความผันผวนของหุ้นเป็นตัวมากเกินไปสำหรับนักลงทุนบางคน การลงทุนแบบที่มีการกระจายความเสี่ยงอย่างดีอย่าง TDEX (ThaiDEX SET50 ETF) ก็เป็นทางเลือกที่จะลดความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี

 

@ลงทุนไม่เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยง

 

"อดิศร เสริมชัยวงศ์"กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์ ให้ทัศนะถึงเหตุผลที่ทำให้นักลงทุนล้มเหลวจากการลงทุนว่า ก่อนที่จะพูดถึงสาเหตุที่จะทำให้การลงทุนล้มเหลวนั้นอยากจะให้ทุกคนให้เวลา ศึกษาและพิจารณา ถึงปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้กระจ่างถ่องแท้เสียก่อน โดยที่ปัจจัยแรกที่สุดที่เราจะต้องคำนึงถึงนั้น ก็ง่ายและอยู่ใกล้ตัวมากที่สุดก็คือ ความต้องการของตัวเอง หรือการวางแผนทางการเงินให้กับตัวเองก่อนนั่นเอง เมื่อวางแผนแล้วถึงค่อยมาพิจารณาเรื่องการลงทุนต่อไป

 

เพราะว่าถ้าขาดการวางแผนอย่างรอบคอบแล้ว เราคงไม่สามารถที่จะวางเป้าหมาย วัตถุประสงค์ของการลงทุนที่เหมาะสม ซึ่งก็คงทำให้เราไม่สามารถจะประเมินได้ว่า การลงทุนที่ทำไปสำเร็จหรือล้มเหลว

 

"การวางแผนทางการเงินจะว่าง่ายก็ง่ายนะแต่ไม่ค่อยจะมีใครทำกันนะ เริ่มต้นจริงๆ ก็คือ การทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายให้เป็นประจำ นี่คือ จุดเริ่มต้นของการออมเงินอย่างมีวินัย เพราะถ้าไม่ออม ล้มเหลวในการลงทุนแน่ๆ เพราะคงจะไม่มีเงินให้ลงทุนและนำไปสู่การลงทุนอย่างมั่นคง หลังจากนั้นก็เริ่มมองออกไปในอนาคต กลับมาดูแผนการในชีวิตของเราอีกครั้งว่า เราฝันที่จะมี จะใช้ จะเที่ยว จะทำ หรือมีภาระ ต้องสำรองเงินเผื่อ ต้องใช้จ่ายดูแลในเรื่องใดๆ บ้าง และที่สำคัญอย่าลืมกันเงินออมไว้ใช้ตอนเกษียณอายุด้วย มาถึงตรงนี้เราก็จะมีภาพคร่าวๆ ว่า ในช่วงเวลา 4-5 ปี ข้างหน้า เราควรจะมีเงินออมเท่าไร และเมื่อไรต้องใช้เงิน หรือส่วนไหนเก็บออม ลงทุนระยะยาวๆ ได้ ส่วนไหนเผื่อไว้ต้องใช้ในอนาคตอันใกล้ "

 

ทั้งนี้ทั้งนั้น เพื่อจะนำเข้ามาถึงความผิดพลาดอันแรกของผู้ลงทุนทั่วไป คือ จัดการแบ่งการลงทุนไม่เหมาะสมกับเป้าหมายการออม และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ บางคนนำเงินที่รู้ว่าจะต้องใช้ใน 3-4 เดือนข้างหน้าไปลงทุนในหุ้น บางคนนำเงินที่เก็บไว้ใช้ตอนเกษียณไปฝากประจำ 3 เดือน เกือบทั้งหมด จะเร็วจะช้าก็จะพบว่าเราไม่พอใจเลยกับการลงทุนที่มีอยู่ เพราะผลที่ได้จะไม่ตอบสนองสอดรับกับแผนชีวิตที่วางไว้ หรือความจำเป็นที่เกิดขึ้น

 

@ขาดการศึกษาข้อมูลลงทุนอย่างถี่ถ้วน

 

อีกประการที่อดิศรมองว่าทำให้นักลงทุนล้มเหลว เพราะไม่ค่อยได้ทำกัน ก็คือ การตั้งเป้าหมายผลตอบแทนในการลงทุนที่สมเหตุสมผล ถ้าไม่มีการตั้งเป้าหมายในส่วนของผลตอบแทน เราจะประเมินผลได้อย่างไร อันนี้ทำให้เราประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนไม่ได้ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ต้องลงทุนอะไรบ้างเพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามที่ตั้งใจ ก็เลยทำให้จัดแบ่งการลงทุนผิดเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็น

 

สาเหตุหลักของข้อผิดพลาดในจุดนี้ก็คือ ขาดการศึกษาข้อมูลของตลาดการลงทุนและทางเลือกต่างๆ อย่างถี่ถ้วน รับฟังข้อมูลเพียงผิวเผิน และขาดการติดตามการเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างเป็นประจำ

 

นอกจากศึกษาภาวะตลาดการลงทุนแล้ว ก็น่าจะต้องมาดูรายละเอียดของการจัดสรรสัดส่วนในการลงทุนว่าเหมาะสมกับความ เสี่ยงที่เรายอมรับได้ไหม ในแต่ละช่วงเวลา และให้ผลตอบแทนเพียงพอหรือไม่

 

ในจุดนี้เราอาจจำเป็นที่จะต้องคอยกลับมาดูแผนชีวิตหรือผลตอบแทนที่ คาดหวังด้วยว่าจะต้องมีการปรับเปลี่ยนให้พอเพียงหรือไม่หลายครั้งอาจจะต้อง ปรับลดลง เพราะเราไม่อยากให้ความเสี่ยงของการลงทุนมีมากไป ซึ่งพอมาถึงตรงนี้ก็ชวนให้พูดถึงความผิดพลาดอีกประการที่เป็นกันมากคือ ปล่อยให้ความโลภเข้าครอบงำเหตุผล เช่น แทนที่จะปรับเป้าหมายผลตอบแทนลงตามภาวะการลงทุนที่เปลี่ยนแปลง เวลาดอกเบี้ยปรับตัวลง กลับไปเพิ่มการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนสูงเข้าไป หรือพอเห็นการลงทุนบางอย่างลงไปแล้วให้ผลตอบแทนดีก็เพิ่มสัดส่วนไปจนเกิน สมควรด้วยความหวังว่าจะได้กำไรมากๆ ก็ต้องระมัดระวัง และเตือนตัวเองให้กลับไปดูวัตถุประสงค์ในการออมเงินและความเสี่ยงที่เรารับ ได้อยู่ตลอดเวลา

 

"จากที่ผมพูดมาทั้งหมด ก็อยากจะสรุปว่าการลงทุนไม่ใช่เรื่องยากแต่ต้องมีความรอบคอบ ระมัดระวังและสม่ำเสมอในการดูแลจัดการ" อดิศรให้แง่คิด

 

คุณก็เป็นนักลงทุนที่ถึงเส้นชัยแห่งการลงทุนได้ ถ้ารู้ให้เท่าทันหลุมพรางที่คอยจ้องจะลากเราลงไป พอรู้แล้วว่ามีกับดักอยู่ตรงไหนบ้าง คราวนี้หลบให้พ้นละกัน

 

#เครดิต >>> เรื่อง : กาญจนา หงษ์ทอง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...