ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

เป็นกำลังใจให้คุณ เป็นกำลังใจให้คุณ เสมอครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กลยุทธ์ ราคามีโอกาสเด้งขึ้น แต่ยังให้ระมัดระวังการปรับขึ้นหรือ Short GF ถัวไปก่อน

 

สรุปภาพรวมสัปดาห์ก่อน ราคาทองคำโลกปิดปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแรงถึง $27.80/Oz หรือ 2.23% มาอยู่ที่ $1,273.80/Oz (จุดต่ำสุด-สูงสุดในรอบสัปดาห์อยู่ที่ $1,240.97-1,282.65/Oz) โดยแรงหนุนสำคัญมาจากการร่วงลงอย่างมีนัยสำคัญของเงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐฯ (Dollar Index ร่วงลง 1.75% เมื่อเทียบกับที่ปิดไปสัปดาห์ก่อน) ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์ หลังจากทางการจีนเปิดเผยข้อมูลทางเศรษฐกิจโดยรวมเป็นไปอย่างสดใส กระแสเงินจึงมีการโยกย้ายออกจากเงินสกุลดอลล่าร์ไปหาสินทรัพย์ชนิดอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่ามากขึ้น ในขณะเดียวกัน ท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่มีแนวโน้มนำมาตรการนโยบายการเงินเชิงผ่อนคลายกลับมาใช้อีกครั้ง ก็ยิ่งเป็นตัวซ้ำเติมให้ Dollar Index ร่วงลงเร็วขึ้น เพราะถ้าเฟดนำมาตรการดังกล่าวกลับมาใช้จริง ย่อมทำให้ปริมาณเงินล้นระบบจนส่งผลกระทบต่อเนื่องให้เงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐฯเสื่อมค่าลงไม่ต่างอะไรกับการดำเนินการในรอบแรก และถึงแม้ข้อมูลทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯในช่วงกลางถึงปลายสัปดาห์จะออกมาดี (เช่น ยอดค้าปลีกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ที่ปรับตัวลดลง) แต่ก็ไม่ได้ฉุดให้ราคาทองคำอ่อนตัวลงตามความน่าสนใจในฐานะ Safe Haven ที่ถูกบั่นทอนลงไปแม้แต่น้อย เนื่องจากแรงหนุนจากปัจจัยทางด้านฤดูกาลที่มีน้ำหนักต่อราคาทองคำมากที่สุด ณ ปัจจุบันยังคงงทำงานได้ดี โดยกองทุน SPDR Gold Trust เพิ่มสถานะถือครองทองคำตลอดทั้งสัปดาห์จำนวน 7.29 ตัน มาอยู่ที่ 1,300.83 ตัน

 

แนวโน้มตลาดสัปดาห์นี้ คาดว่าราคาทองคำจะอ่อนตัวลงในช่วงต้นสัปดาห์ (ทดสอบแนวระดับ $1,260-1,265/Oz) ตามโมเมนตัมเชิงลบที่เกิดขึ้นในปลายสัปดาห์ก่อน หลังสหรัฐฯเผยตัวเลขอัตราเงินเฟ้องวดเดือน ส.ค. ในคืนวันศุกร์อยู่ในระดับต่ำเพียง 1.1% น้อยกว่างวดก่อนที่ 1.2% ซึ่งทำให้ทองคำถูกลดความน่าสนใจในฐานะที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือป้องกันผลกระทบเชิงลบจากจากภาวะเฟ้อลงไป ขณะเดียวกัน เราคาดว่าเฟดจะยังไม่มีการนำมาตรการทางการเงินเชิงผ่อนคลายมาใช้ในการประชุมนโยบายการเงินวันที่ 21 ก.ย. 53 นี้ เพราะข้อมูลทางเศรษฐกิจในช่วงหลังเริ่มสดใสขึ้นต่อเนื่อง และด้วยเหตุผลนี้ ก็เป็นไปได้เช่นกันว่า ถ้อยแถลงของเฟดจะออกมาในเชิงสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน จนหนุนให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงและสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯดีดตัวขึ้นพร้อมกัน ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง จะกดดันการเคลื่นไหวของราคาทองคำได้อย่างมีนัยสำคัญเลยทีเดียว เพราะเงินจะโยกออกจากทองคำไปหาสินทรัพย์เสี่ยงชนิดอื่น และความน่าสนใจในการเข้าเก็งกำไรทองคำจะถูกบั่นทอนจากเงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐฯที่แข็งค่าขึ้นด้วย นอกจากนี้ ภาพทางเทคนิคที่ราคาทองคำอยู่ในเขตซื้อมากเกินไปอย่างเต็มตัว และผลการวิเคราะห์ค่าความสัมพันธ์ที่สะท้อนว่า ราคาทองคำร้อนแรงเกินไปเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับ Dollar Index ก็ยังเป็นอีก 2 ตัวแปรที่คอยสกัดกั้นการปรับขึ้นของราคาทองคำในระยะนี้ด้วยเช่นกัน แต่เราเชื่อว่า ภาพการปรับตัวลงจะเป็นเพียงการพักฐานระยะสั้นเท่านั้น เพราะแรงหนุนหลักจากปัจจัยทางด้านฤดูกาลที่เป็นช่วง High Season ของราคาทองคำยังคงอยู่ โดยข้อมูลทางสถิติสะท้อนว่าสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน ก.ย. ยังให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเป็นบวกที่ 0.7% WoW ด้วยความน่าจะเป็นราว 60% ประกอบกับ ในช่วงปลายสัปดาห์ สหรัฐฯจะมีการเปิดเผยข้อมูลภาคอสังหาริมทรัพย์ และยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ซึ่งช่วงหลังผลออกมาไม่ดีนัก จึงเป็นไปได้ว่ากระแสเงินจะไหลเข้ามาเก็งกำไรในทองคำอีกครั้งเพื่อรอดูความชัดเจน เพราะฉะนั้น ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน จึงยังแนะนำให้ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว

 

แนวโน้มตลาดวันนี้ ราคามีโอกาสดีดขึ้นในช่วงแรก แต่เชื่อว่า Upside จำกัด (ไม่เกิน $1,285/Oz) เพราะวันนี้ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ จึงทำให้ตลาดทองคำขาดแรงหนุนใหม่ๆ กอปรกับราคายังถูกกดดันจากภาวะซื้อมากเกินไป และผลวิเคราะห์ค่าความสัมพันธ์ที่สะท้อนว่าราคาทองคำแพงเกินไปเมื่อเทียบกับ Dollar Index อีกด้วย

 

นักลงทุนระยะสั้น(เล่น 1-2 วัน) รอซื้อเมื่ออ่อนตัวในช่วง 1-2 วันนี้ หรือเปิดสถานะ Short GF ในช่วงที่ราคาดีดขึ้นไปพรางๆก่อน คาดกรอบที่ $1,265 – 1,285/Oz หรือประมาณ 18,400 - 18,700 บาท/บาททอง

นักลงทุนระยะกลาง-ยาว รอซื้อเมื่ออ่อนตัว คาดกรอบ $1,260 - 1,300/Oz หรือ 18,350-18,900 บาท/บาททอง ส่วนระยะยาวสำหรับการลงทุนระดับเดือน แนะนำให้ถือต่อไป โดยขยับจุดถอยขึ้นเป็นที่ $1,240/Oz

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แนวโน้มราคาทองคำไตรมาส 4/2553

 

โดยปกติ ไตรมาสที่ 4 ของทุกปี จะเป็นช่วงที่ดีที่สุดของราคาทองคำ ซึ่งข้อมูลในอดีต 10 ปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5.29% มากกว่าไตรมาส 1, 2, และ 3 ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 2.91%, 1.44%, และ 4.57% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนตามลำดับ ขณะที่ความน่าจะเป็นที่ราคาจะปรับตัวเพิ่มขึ้นก็ถือว่าอยู่ในระดับสูงที่ราว 80% หรือ 8 ใน 10 ปี ที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น (2 ปีที่ราคาปรับตัวลงคือปี 2543 และ 2544 หลังจากนั้นราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนทั้งหมด) ส่วนค่าความผันผวนของราคาก็ถือว่าน้อยกว่าไตรมาสที่ 1 และ 3 โดยอยู่ที่ 5.26% (ไตรมาส 1, 2, และ 3 อยู่ที่ 6.18%, 3.86%, และ 7.05% ตามลำดับ) ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้ระดับหนึ่งว่า ข้อมูลทางสถิติดังกล่าวค่อนข้างเชื่อถือได้

 

สาเหตุที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดีในช่วงไตรมาส 4 ของทุกปีเนื่องจาก ในช่วงเวลาดังกล่าวมีงานเทศกาลจำนวนมาก เริ่มจากผลสืบเนื่องของการสิ้นสุดเทศกาลถือสินอดของชาวมุสลิม, เทศกาลแต่งงานของชาวอินเดีย, เทศกาลคริสมาสต์ของชาวยุโรป, และเทศกาลปีใหม่ที่เป็นช่วงเฉลิมฉลองของคนทั่วโลก ทำให้ช่วงเวลานี้มีการบริโภคทองคำและเครื่องประดับเพื่อใช้เป็นของขวัญให้แก่กันจำนวนมาก จึงทำให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นตามจิตวิทยาการลงทุน ที่นักลงทุนมักคาดหวังเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้วว่า ราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงในช่วงนี้ ในขณะเดียวกัน อีกเหตุผลหนึ่งที่เริ่มมีบทบาทอย่างมากในการผลักดันให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นก็คือ อุปสงค์เพื่อการลงทุน (Investment Demand) ที่ช่วงหลังมีสัดส่วนมากขึ้นเมื่อเทียบกับอุปสงค์ในตลาดทองคำโดยรวม (ประมาณ 30% ของอุปสงค์รวม มากกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงปี 2547-2551 ที่ประมาณ 16% ของอุปสงค์รวม) โดยเป็นไปได้ว่า ผู้ออมเงินหรือนักลงทุนจะจัดสรรเงินที่ได้รับจากรายได้พิเศษหรือโบนัส เข้ามาลงทุนในทองคำมากขึ้นตามกระแสตื่นทองที่เกิดขึ้นทั่วโลก ดังจะเห็นได้จากยอดแสดงการเคลื่อนไหวของสถานะถือครองทองคำของ SPDR Gold Trust ที่มักมีการเพิ่มสถานะการถือครองทองคำในช่วงเดือน พ.ย. และ ธ.ค. ของทุกปีประมาณ 20 ตัน ซึ่งผู้ที่ลงทุนผ่านกองทุนประเภทนี้ มักลงทุนระยะยาวมากกว่าเก็งกำไรระยะสั้น

 

นอกจากนี้ ในแง่ของปัจจัยพื้นฐานก็ได้แรงหนุนจากการกลับมาอ่อนค่าลงของเงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐฯ หลังจากทางธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังไม่มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้ ในทางกลับกัน อาจมีการนำมาตรการทางการเงินเชิงผ่อนคลายกลับมาใช้อีกครั้งด้วยซ้ำ เพราะตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงหลังทั้งภาคการผลิต ภาคแรงงาน และภาคอสังหาริมทรัพย์ ล้วนออกมาไม่ดีแทบทั้งสิ้น ซึ่งถ้าหากเฟดมีการดำเนินตามมาตรการดังกล่าวจริง ย่อมทำให้เงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐฯเสื่อมค่าลงจากปริมาณเงินที่ล้นระบบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งจะทำให้สถานการณ์การลงทุนทั่วโลกกลับไปคล้ายคลึงกับช่วงปลายปีก่อน ที่เงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐฯมีการทรุดตัวลงอย่างหนักจนกระตุ้นให้เกิดธุรกรรม Dollar Carry Trade โดยการกู้ยืมเงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐฯที่มีต้นทุนทางการเงินต่ำและเป็นสกุลเงินที่มีแนวโน้มอ่อนค่าเรื่อยๆ แล้วนำไปลงทุนในสินทรัพย์ชนิดอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าหรือสกุลเงินที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ซึ่งทองคำที่ช่วงหลังให้ผลตอบแทนในระดับสูงประมาณ 15-20% ต่อปี ก็ถือเป็นสินทรัพย์ลงทุนชนิดหนึ่งที่ได้รับความน่าสนใจในการทำธุรกรรม Dollar Carry Trade ด้วย

 

โดย GBX คาดการณ์เป้าหมายการปรับขึ้นในช่วงปลายปีไว้ที่ $1,350-1,400/Oz หรือประมาณ 19,650-20,350 บาท/บาทอง ส่วนกรอบการเคลื่อนไหวในช่วงไตรมาส 4/2553 คาดไว้ที่ $1,220 – 1,350/Oz หรือประมาณ 17,750 – 19,650 บาท/บาททอง

ในเชิงของกลยุทธิ์การลงทุน แนะนำให้นักลงทุนที่ยังไม่มีสถานะถือครองทองคำ ทยอยซื้อสะสมเมื่อราคาอ่อนตัวลงมาแถวบริเวณ $1,220-1,250/Oz ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือน ต.ค. 53 ส่วนที่ถือครองอยู่แล้ว แนะนำให้ถือต่อไปเพื่อลุ้นขายเมื่อราคาทะลุผ่านระดับ $1,300/Oz

 

ทั้งนี้ ให้นักลงทุนจับตาการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด หากเงินบาทยังแข็งค่าขึ้นไม่หยุด อาจทำให้การปรับขึ้นของราคาทองคำในประเทศไปไม่ถึงเป้าที่ GBX คาดการณ์ไว้ในข้างต้น โดยเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทุก 0.01 บาท/ดอลล่าร์สหรัฐฯ จะฉุดให้ราคาทองคำในประเทศปรับตัวลดลงประมาณ 6 บาท/บาททองคำ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กลยุทธ์ ราคาทำสถิติสูงสุดใหม่ได้อีกครั้ง จำใจต้องยืนข้างซื้อหรือ Long GF ชั่วคราว

 

สรุปภาพรวมตลาดวานนี้ ราคาทองคำโลกปิดปรับตัวเพิ่มขึ้นต่ออีก $8.15/Oz หรือ 0.63% มาอยู่ที่ $1,284.95/Oz (จุดต่ำสุด-สูงสุดอยู่ที่ $1,271.80-1,289.50/Oz) ซึ่งถือว่าเหนือความคาดหมายที่ได้คาดการณ์ไว้อยู่พอสมควร ถึงแม้ในช่วงหัวค่ำไปจนถึงกลางดึก ราคาจะมีการพักตัวลงมาตามคาดแถวบริเวณ $1,270-1,272/Oz หลังจากสหรัฐฯเปิดเผยข้อมูลภาคอสังหาริมทรัพย์ออกมาดีมาก โดยยอดสร้างบ้านใหม่เดือน ส.ค. 53 เพิ่มขึ้นถึง 10.5% จากงวดก่อน มาอยู่ที่ 598,000 ยูนิต มากกว่าคาดการณ์ของโพลล์ที่ 550,000 ยูนิต ส่วนยอดอนุญาตก่อสร้างก็เพิ่มขึ้น 1.8% จากงวดก่อน มาอยู่ที่ 569,000 ยูนิต มากกว่าคาดการณ์ของโพลล์ที่ 560,000 ยูนิต ซึ่งสะท้อนว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯที่ก่อนหน้านี้ดูย่ำแย่เป็นอย่างมากเริ่มฟื้นตัวกลับขึ้นมาแล้วจึงทำให้ทองคำถูกลดความน่าสนใจในฐานะ Safe Haven ลง แต่หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เปิดเผยผลการประชุมนโยบายการเงิน (FOMC) ออกมา ก็ทำให้ราคาทองคำดีดตัวขึ้นอย่างแรงกว่า $15/Oz นับจากจุดต่ำสุดที่เคลื่อนไหวอยู่แถวบริเวณ $1,271/Oz เพราะท่าทีของเฟดเสมือนว่ามีโอกาสที่จะนำนโยบายการเงินเชิงผ่อนคลายกลับมาใช้อีกครั้งในไม่ช้า โดยอาจจะดำเนินมาตรการอื่นๆนอกเหนือจากการอัดฉีดเงินผ่านตลาดพันธบัตรด้วย ขณะที่อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำและภาคแรงงานที่ยังซบเซา ทำให้เฟดจำเป็นต้องคงนโยบายการเงินเชิงผ่อนคลายโดยใช้อัตราดอกเบี้ยระดับต่ำอยู่ต่อไป ซึ่งหลังจากทีที่มีการเผยผลการประชุมออกมาก็ฉุดให้เงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐฯร่วงลงต่ออย่างหนักทันที (Dollar Index วานนี้ทรุดตัวลงกว่า 1.1% มาอยู่ที่ 80.44 จุด) จากก่อนหน้านี้ที่ถูกฉุดจากการแข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของเงินสกุลยูโร ที่ได้แรงหนุนจากผลการประมูลพันธบัตรของประเทศในแถบยูโรโซนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

 

แนวโน้มตลาดวันนี้ เราคาดว่าราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในวันนี้ แต่อัตราเร่งของการปรับขึ้นอาจชะลอกว่าเมื่อวาน โดยแรงหนุนสำคัญยังอยู่ที่การร่วงลงของ Dollar Index และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯที่อยู่ในระดับต่ำ รวมถึงปัจจัยทางด้านฤดูกาลที่ยังอยู่ในช่วง High Season ของราคาทองคำ ซึ่งเหตุผลสนับสนุนทั้ง 3 ถือว่ามีน้ำหนักกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำมากกว่าปัจจัยอื่น ณ ปัจจุบัน จึงทำให้ราคาทองคำอ่อนตัวลงยากหรืออยากขึ้นมากกว่าลง และเป็นไปได้สูงที่การพักฐานในช่วงสั้นอาจลงไปได้แค่จุดต่ำสุดเมื่อวาน เพราะการที่ราคาสามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ต่อเนื่อง ย่อมเป็นโมเมนตัมเชิงบวกที่ดีในการปรับตัวขึ้นต่อเพื่อลุ้นทะลุผ่านแนวต้านจิตวิทยาสำคัญที่ระดับ $1,300/Oz แต่เนื่องจาก Upside ในช่วงสั้นเหลือไม่มากนัก โดยผลการวิเคราะห์ค่าความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำกับ 9 ตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กันสะท้อนว่า Upside ยังคงน้อยกว่า Downside โดยค่าเฉลี่ยของราคาทองคำที่เหมาะสมอยู่ที่ $1,272/Oz (ต่ำกว่าราคาปิดเมื่อวาน 1.2%) ส่วน Upside เฉลี่ยสูงสุดอยู่ที่ $1,305/Oz (สูงกว่าราคาปิดเมื่อวาน 1.4%) และ Downside เฉลี่ยสูงสุดอยู่ที่ $1,240/Oz (ต่ำกว่าราคาปิดเมื่อวาน 2.7%) จึงแนะนำให้ซื้อเก็งกำไรระยะสั้นเท่านั้น และจังหวะนี้ก็เหมาะสมเฉพาะผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูงเท่านั้นด้วยเช่นกัน

 

ปัจจัยที่กระทบช่วงเช้า ให้น้ำหนักเป็นบวก โดยปัจจัยบวกได้แก่ 1) Dollar Index อ่อนตัวลง 0.25% มาอยู่ที่ 80.23 จุด ทำให้ทองคำได้รับความน่าสนใจในการเก็งกำไรด้วยความสัมพันธ์ที่ผกผันกันมากขึ้น 2) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯปรับตัวลดลงเฉลี่ย 7 bps. ทำให้ทองคำได้รับความน่าสนใจในการถือครองด้วยความที่เป็นสินทรัพย์ทดแทนกันมากขึ้น 3) ราคาน้ำมันดิบ Brent เช้านี้เพิ่มขึ้น $0.28/บาร์เรล มาอยู่ที่ $79.07/บาร์เรล ส่วนปัจจัยลบได้แก่ 1) กองทุน SPDR Gold Trust ลดสถานะการถือครองทองคำจำนวน 0.30 ตันมาอยู่ที่ 1,304.17 ตัน สะท้อนถึงจิตวิทยาการลงทุนเชิงลบว่านักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มสับสนกับการปรับขึ้นของราคาทองคำในรอบนี้ และ 2) แนวโน้มการฟื้นตัวของสินทรัพย์เสี่ยง จากผลของถ้อยแถลงของเฟด

 

นักลงทุนระยะสั้น(เล่น 1-2 วัน) ซื้อเก็งกำไรระยะสั้น หรือหันมาเปิด Long GF เพื่อลุ้นทะลุ $1,300/Oz คาดกรอบที่ $1,283 – 1,305/Oz หรือประมาณ 18,600 - 18,900 บาท/บาททอง

นักลงทุนระยะกลาง-ยาว รอซื้อเมื่ออ่อนตัว คาดกรอบ $1,260 - 1,300/Oz หรือ 18,250-18,850 บาท/บาททอง ส่วนระยะยาวสำหรับการลงทุนระดับเดือน แนะนำให้ถือต่อไป โดยขยับจุดถอยขึ้นเป็นที่ $1,240/Oz

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...