ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

Thanong Fanclub

ถูกใจแล้ว · 9 ชั่วโมงที่แล้ว

 

1. เพดานหนี้สหรัฐฯ อ.ต.ร.

 

ขณะนี้สัญญานหลายอย่างบ่งบอกว่าสหรัฐฯอาจจะเจอวิกฤตการเงินที่เลวร้ายมากกว่าตอนLehman Brothersล้มเมื่อปี 2008เป็นสิบๆเท่า เหตุการณฺ์ที่เลวร้ายนี้น่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคมนี้ หลังวันที่17เป็นต้นไป

 

เพราะว่าดูๆไปแล้วไม่มีวี่แววเลยว่าทางฝ่ายประธานาธิบดีบารัค โอบามาและฝ่ายรีพับรีกันจะตกลงกันได้ในการเพิ่มหนี้รัฐบาลที่ตอนนี้ทะลุเพดานแล้วที่$16.7ล้านล้าน ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน จนกระทั่งเลยกำหนดวันที่17 ตุลาคม หรือวันที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯบอกว่าเงินคงคลังจะเหลือแค่$30,000ล้าน ไม่พอที่จะจ่ายหนี้ต่อไป

 

ที่จริงการตกลงให้เพดานหนี้ผ่านไม่ได้เป็นประเด็นหลักสำหรับโอบามา เพราะว่าแม้ว่ากฎหมายเพดานหนี้ ผ่านไปแล้ว ปัญหาแบงค์ที่เจ้งแล้ว ธนาคารเงา (shadow banking)ที่เจ้งแล้ว แต่ปกปิดบัญชีที่แท้จริง ฟองสบู่การเงิน การพิมพ์เงินของเฟดที่นับวันมีแต่จะเพิ่มขนาดมากขึ้น การว่างงาน เศรษฐกิจ และหนี้ที่ล้มละลายแล้วของภาครัฐจะไม่ได้หนีไปใหน แค่เป็นการเตะถ่วงเวลาไปข้างหน้า ในไม่ช้าถ้าไม่แก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างถอนรากถอนโคน มันจะกลับมาทำให้ระบบการเงินและเศรษฐกิจล่มสลายจนสุดที่จะเยียวยาได้

 

ที่จะบีบรัดสหรัฐฯหนักขึ้นไปอีกจนทำให้โอบามาไม่มีเวลาหายใจคือ การที่เจ้าหนี้จีน รัสเซียอินเดีย และกลุ่มประเทศเกิดใหม่กำลังเตรียมสร้างระบบการเงินใหม่ที่ไม่พึ่งพาดอลล่าร์อีกต่อไป โดยจะมีระบบเงินสกุลหลายๆสกุลขึ้่นมาแข่ง หยวนจะเป็นหนึ่งในดาวเด่นเพราะว่าได้สร้างสว๊อปทางด้านการเงินกับหลายๆประเทศ รอวันเวลาที่จะเลิกทำการค้าผ่านดอลล่าร์ เมื่อมีการลอยค่าหยวน หรือมีการปลดล๊อคหยวนจากการอิงดอลล่าร์ โดยจะหันไปอิงกับทองแทน สหรัฐฯในฐานะลูกหนี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกจะไม่อยู่ในฐานะที่จะก่อหนี้ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะว่าดอกเบี้ยจะพุ่งและค่าเงินดอลล่าร์จะตกหนัก เพราะไม่เป็นที่ต้องการเหมือนเดิม สหรัฐฯจะประสบกับเงินเฟ้อ และหนี้สินที่จะทำให้ปัญหาLehman Brothersเป็นเรื่องเด็กๆขี้ประติ๋วไป

 

ขณะนี้จีนกำลังเฝ้าดูการถกเพดานหนี้สหรัฐฯอย่างใกล้ชิด ถ้าคอนเกรซไม่ผ่านกฎหมายยกเพดานหนี้ จีนอาจจะสวนหมัด ด้วยการปลดหยวนจากการอิงดอลล่าร์ทันที ตลาดการเงินโลกจะเข้าสู่วิกฤต บริษัทจัดอันดับเร็ทติ้งอย่างMoody's, Standard & Poor's, Fitch Rating จำใจต้องปรับเร็ทติ้งพันธบัตรรัฐบาลเป็นผิดชำระหนี้บางส่วน หรือเฉพาะส่วน (selective default or restrictive default) แต่ตลาดหุ้น และตลาดบอนด์จะเกิดการแพนิค หรือตกใจเหมือนตอนเหตุการณ์911 สินทรัพย์ทางการเงินทุกอย่างจะถูกเทขายทุกราคา นรกแตกจริงๆ

 

thanong

8/10/2013

935980_165029163693466_594538621_n.jpg

 

 

Thanong Fanclub

ถูกใจแล้ว · 9 ชั่วโมงที่แล้ว

 

2. โอบามาเตรียมรบ

 

 

ดูเกมแล้ว โอบามาเตรียมรับมือการล่มสลายของระบบการเงินสหรัฐฯ เพราะจะได้เป็นการใช้วิกฤตเป็นโอกาสในการปฏิวัติสหรัฐไปเลยทีเดียว เป้าหมายคือต้องล้มเฟดเดอรัล รีเซริฟและWall Street ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นรัฐบาลเงาที่ครอบงำสหรัฐฯมา100 กว่าปี

 

ที่จริงโอบามาเข้ามาอยู่ในอำนาจประธานาธิบดีแล้ว4ปีครึ่ง ได้ทำหลายอย่างเพื่อที่จะอุ้มระบบการเงินและเศรษฐกิจสหรัฐฯจากการพังหลังวิกฤตLehman Brothersปี 2008 โอบามาได้สร้างหนี้รัฐบาลเพิ่มจาก$10ล้านล้านเป็น $16.7ล้านล้าน เพื่ออุ้มหลักๆคือธุรกิจและกลุ่มการเงินWall Streetที่โยงใยกัน ส่วนเฟดก็พิมพ์เงินเกือบ$3ล้านล้านในช่วงเดียวกัน เพื่ออุ้มแบงค์Wall Street และกลุ่มนี้ใช้เงินดอลล่าร์ถูกๆ แทบจะฟรีไปเก็งกำไรตลาดการเงินทั่วโลก ได้กำไรมหาศาล นี้ยังไม่นับการที่เฟดพิมพ์เงินในบัญชี 2 อีกไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ อย่างน้อยเราก็ทราบจากวุฒิสมาชิกBernie Sandersผู้ตรวจสอบการพิมพ์เงินของเฟดและพบว่าช่วงวิกฤตLehman Brothersในปี 2008 ถึงปี 2010 เฟดโดยประธานฌบน เบอร์แนงกี้ ได้พิมพ์เงิน $16ล้านล้าน เพื่ออุ้มแบงค์ในเครือของพวกCentral Planners ทั่้วโลก โดยไม่ผ่านการตรวจสอบ หรือขออนุมัติจากสภา หรือแม้แต่ประธานาธิบดีก็ไม่น่าจะทราบเรื่อง เงินจำนวนนี้เทียบเท่า เพดานหนี้ของสหรัฐฯที่กำลังเป็นหัญหาอยู่ในขณะนี้

 

หลังจากการช่วยเหลือWall Street ท้ายที่สุดคนอเมริกันไม่ได้อะไร มีแต่หนี้ มีแต่คูปองอาหารFood Stamp มีแต่การว่างงาน บ้านก็ถูกยึด ประกันสุขภาพก็ไม่มี ความหวังสำรับชีวิตในอนาคตที่ดีขึ้นไม่มี ในขณะที่ตลาดการเงินและเฟดต่างหลอกลวงประชาชนทุกคนอยู่ตลอดเวลาว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้น โดยที่ความจริงแล้วเศรษฐกิจสหรัฐฯไม่มีวันฟื้น เพราะว่าไม่ได้ผ่านการปฏิรูปอะไรที่เจ็บปวดเลย มีแต่การคลังและการเงินเข้าไปอุ้มเพื่อสมาจแผลชั่วคราวรอวันที่ปัญหาการเงินจะระเบิดออกมาใหม่

 

ทั้งๆที่โอบามาช่วยWall Streetมามาก แต่พวกนี้ไม่รู้จักพอ กลับทำงานร่วมกับฝ่ายรีพับรีกันเพื่อขัดขาโอบามาในเรื่องงบประมาณ เพดานหนี้เพื่อล้มโอบามาแคร์และเรื่องที่ขัดผลประโยชน์อื่นๆ โอบามาได้บอกแล้วว่า ได้ช่วยแบงค์ช่วยWall Streetไปแล้ว ต่อไปไม่มีทางที่รัฐบาลจะให้เงินช่วยอุ้มแบงค์อีก ถ้าแบงค์จะล้มอีกรอบ คราวนี้ผู้ถือหุ้้น ผู้ถือบอนด์ของแบงค์ผู้ฝากเงินคงจะเจอ bail in หรือการเอาเงินของทุกฝ่ายมาล้างหนี้ของแบงค์ก่อน ก่อนที่รัฐบาลจะเข้าไปจัดการทีหลัง

 

 

thanong

8/10/2013

 

1384068_165034217026294_1724031505_n.png

 

 

 

Thanong Fanclub

ถูกใจแล้ว · 8 ชั่วโมงที่แล้ว

 

3. ติ๊กต๊อกๆ นาฬิกากำลังหมดเวลาสำหรับมิสซินเดอร์เรล อเมริกา

 

หลังวันที่17ตุลาคมเป็นต้นไปน่าจะเป็นระยะเวลาน่าหวาดเสียวว่าเหตุการณืจะเอาไม่อยู่ คอนเกรซและโอบามาไม่มีทีท่าเลยว่าจะตกลงกันได้เรื่องเพดานหนี้ และตอนนี้โอบามาไม่สนใจด้วยซ้ำที่จะตกลงด้วย เพราะว่าเป็าหมายของเขาไปไกลกว่าการประนีประนอมเพียงชั่วคราว ระยะนี้ประชาชนคนอเมริกัน หรือนักลงทุนน่าจะเริ่มแพนิคกันได้แล้ว ก่อนที่เส้นตายจะมาถึง

เราอาจจะเห็นการแห่ถอนเงิน หรือการขายสินทรัพย์จากตลาดการเงินทุกราคา เพราะไม่มีใครรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น เลยต้องปกป้องตัวเองกันไว้ก่อน

 

ที่จริงสถานการณ์ของสหรัฐฯเหมือนซินเดอร์เรลล่าในตอนนี้ ที่กำลังเต้นรำอยู่ในงานบอลล์รูม เหลือบสายตาดูนาฬิกา เห็นเข็มนาฬิกาบอกเวลา 11.50 น. เหงื่อตกแล้ว เพราะว่าอีก10นาทีเท่านั้นที่คำสาปจะหมดไป และซินเดอร์เรลล่าหลังเที่ยงคืนจะกลายเป็นสาวคนใช้โทรมๆ ที่ใส่เสื้อผ้าสกปรก ตัวเหม็น เพราะว่าน้ำท่าไม่ค่อยจะได้อาบ ตลาดการเงินและเศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นได้เวทย์มนต์จากวิหารเฟดในการพิมพ์เงิน และการใช้นโยบายการคลังของโอบามาสร้างหนี้$7ล้านล้านในระยะ4ปี่ครึ่งที่ผ่านมา เหมือนกับคำสาปชั่วคราวให้ซินเดอร์เรลล่าได้สนุกในงานบอลล์รูม แต่งานเลี้ยงทุกงานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา ขณะนี้เฟดไม่สามารถจะพิมพ์เงินได้อีกนานนัก เพราะว่าเงินดอลล่าร์จะถูกปฏิเสธจากจีนและกลุ่มบริกส์และระเบียบการเงินโลกใหม่ และการคลังสหรัฐฯก็ไม่สามารถจะก่อหนี้ได้เกินเพดานได้อีก เพราะนักลงทุนขยาดแล้ว ทุกๆปีจะต้องมานั่งรอลุ้นว่าคอนเกรซจะมาปิดรัฐบาลหรือจะให้คลังสหรัฐฯผิดชำระหนี้อย่างนี้อีกต่อไปไม่ไหว

 

ซินเดอร์เรลล่าเลยต้องหนีออกจากงานบอลล์รูมให้เร็วที่สุด ทิ้งเจ้าชายที่สุดหล่อและรองเท้าแก้วหนึ่งข้างให้ดูต่างหน้า ก่อนที่คำสาปจากนางฟ้าใจดีที่ต้องการให้เธอได้มีโอกาสไปเปิดปูเปิดตาเจอเจ้าชายได้จักกะจี๋ดี๋เดี๋ยมหัวใจบ้างจะหมดไปตอนเที่ยงคืน ปรากฎว่าซินเดอร์เรลล่าหนีออกมาทันขึ้นรถม้ากลับบ้าน และร่างกายและเสื้อผ้าที่งดงามของเธออันตธานหายไป กลายเป็นซินเดอร์เรลล่าที่มีร่างกายที่โทรมๆ เสื้อผ้าเก่ามีรอยปะ ซึ่งก็เป็นสภาพความเป็นจริง เศรษฐกิจและระบบการเงินสหรัฐฯก็ต้องกลับไปสู่สภาพความเป็นจริงหลังจากที่เฟดไม่สามารถจะพิมพ์เงินช่วยได้ตลอดกาล และโอบามาไม่สามารถใช้การคลังเข้าไปอุ้มทั้งระบบแบบนี้ต่อไปได้อีก การกลับไปสู่พื้นฐานเดิมของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ไม่มีเฟดและการคลังที่ช่วยอุ้ม ก็จะเหมือนกับสภาพของซินเดอร์เรลล่าที่พบว่าคำสาปของนางฟ้าใจดีหมดไป มันน่าเศร้าแต่มันเป็นความจริงที่เลี่ยงไม่ได้

 

thanong

8/10/2013

1376398_165041133692269_538358122_n.jpg

 

 

 

Thanong Fanclub

ถูกใจแล้ว · เมื่อวานนี้ เวลา 21:00 น. · zF84oovpD-v.png

 

4. Homeland Securityเตรียมตัวตรึงสถานการณ์

 

ในวันที่ 17ตุลาคม หรือวันเส้นตายที่กฎหมายยกเพดานหนี้สหรัฐฯต้องผ่าน ไม่งั้น สหรัฐฯจะถูกตราหน้าว่าผิดชำระหนี้ (default) บังเอิญเหลือเกินที่ในวันเดียวกันนี้เอง จะมีการซ้อมเสมือนจริงการป้องกันภัยของHomeland Security ที่ทำหน้าที่ดูแลความมั่นคงภายในประเทศ ถึง2อย่าง คือซ้อมรับมือเหตุการแผ่นดินไหว Great Shakeout Earthquake Drill และซ้อมป้องกันเหตุร้ายโจมตีแบงค์ผ่านโลกไซเบอร์ Quantum Dawn 2 Cyber Attack Bank Drill

 

ถ้าเกิดเหตุจลาจลหลัง 17ตุลาคม เพราะสภาไม่ผ่านกฎหมายยกเพดานหนี้ มีการตื่นตระหนกในตลาดการเงิน มีารขายทรัพย์สินทางการเงินหนีตาย มีการถอนเงินจากแบงค์ หรือมีเหตุร้ายอื่นๆ เพราะประชาชนพบว่าตู้เอทีเอ็มไม่ทำการ ก็จะได้โป๊ะเช๊ไปเลย เพราะว่าเจ้าหน้าที่ของHomeland Securityได้มีการเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ในการรับมือกับสถานการณฺ์กับการจลาจลประชาชน ส่วนการซ้อมรับมือการโจมตีแบงค์ผ่านโลกไซเบอร์ จะสมมุติว่าโดนแฮคเก้อร์โจมตีบัญชีเงินฝากประชาชน รัฐบาลอื่นใช้"วเบอร์มาป่วนทำลายระบบแบงค์สหรัฐฯ หรือพวกแก๊งค์โจรทางการเงินก่อความวุ่นวายเพื่อปล้นแบงค์

 

การซ้อมมือรับแพนิคแผ่นดินไหวและของแบงค์เหมือนกับว่าจะรับมือกับจราจลแบงค์รันที่อาจจะเกิดจริง และจะจำเป็นต้องมีการประกาศกฎอัยการศึก (Martial Law)เพื่อรับมือเหตุร้าย

 

เช้าวันนี้ประธานาธิบดีโอบามาไปเยี่ยมศูนย์ป้องกันภัยพิบัติ Federal Emergency Management Agency ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดของทางHomeland Security เพื่อตรวจดูความเรียบร้อยทุกอย่าง ในขณะที่ทางHomeland Securityจะมีการเตรียมตัวซ้อมรับมือเหตุร้ายโดยจำลองจากสถานการณ์จริงระหว่างช่วงกลางเดือนนี้ ประจวบเหมาะกับเวลาที่ทางคอนเกรซจะพิจรณากฎหมายเพิ่มเพดานหนี้

 

Ellen Brown ทนายความและกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ Public Banking Institute เขียนว่าHomeland Securityเป็นการอำพรางในการสร้างกองทัพทหารขนาดมโหฬาร เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สำนักข่าวAPรายงานว่า Homeland Securityได้สังซื้อลูกกระสุนปืนถึง 1,600ล้านนัด เพียงพอที่จะก่อสงครามขนาดสงครามอิรัคถึง10ปี นอกจากนี้ หน่วยงานนี้ยังซื้อรถหุ้มเกราะวิ่งตามถนนเป็นว่าเล่น

 

แสดงว่าบางคนในรัฐบาลได้คาดการล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นมาอย่างแน่นอน

 

การซ้อมรับมือเหตุร้ายของทางHomeland Securityมองดูแล้วอาจจะเป็นผลดี เพราะว่าbail in หรือการเอาส่วนผู้ถือหุ้น และเงินฝากไปล้างหนี้ของแบงค์เหมือนที่ไซปรัสได้ทำปและกรีซกำลังจะทำ และการประกาศกฎอัยการศึกจะนำมาถึงการทำลายระบบแบงค์Wall Street ที่คงอยู่มานานเหมือนไดโนเสาร์ ที่เกาะกินและเอาเปรียบคนอเมริกันมานาน ทำให้ประชาชนตกงาน และไม่มีบ้านอยู่กำลังจะมาถึงฉากสุดท้าย

 

โอบามาเอาแน่

 

http://www.counterpunch.org/2013/10/07/is-homeland-security-preparing-for-the-next-wall-street-collapse/

1383640_165050237024692_917288043_n.jpg

 

 

Thanong Fanclub

ถูกใจแล้ว · เมื่อวานนี้ เวลา 22:00 น. · zF84oovpD-v.png

 

5. เฟดพิมพ์แบงค์ดอลล่าร์$100ออกมาใหม่รับมือเหตุที่ไม่คาดฝัน

 

ไม่มีอะไรบังเอิญ แน่นอนที่สุด เฟดต้องกลัวแบงค์รัน หรือคนถอนเงินถ้าเกิดการยกเพดานหนี้ในสภาไม่ผ่าน เลยต้องสำรองเงินธนบัตรให้เพียงพอ

 

เฟดเพิ่งจะโชว์ธนบัตร$100ในวันอังคารที่ผ่านมา พิมพ์ล๊อตใไม่เข้าสู่ระบบการเงิน เป็นการออกแบบธนบัตรใบละ$100ใหม่ตั้งแต่ปี 1969

 

ขณะนี้มีธนบัตร$100หมุนเวียนอยู่ทั้งหมด $900,000ล้าน ส่วนมากจะอยู่ในต่างประเทศ เพราะฉะนั้นเฟดเลยต้องพิมพ์เงินใหม่เพื่อส่งเข้าไปในระบบในประเทศ เผื่อว่ามีการถอนเงินสดช่วงแพนิค

 

ที่ผ่านมาคนแทบจะไม่ถือธนบัตรเงินสด แทบจะเป็นเงินดิจิตัลกันหมดแล้ว แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่น่าไว้ใจ

 

แต่โอบามาเสริมกำลังHomeland Security ด้วยการเพิ่มอาวุธและตุนกระสุน 1,600ล้านนัด

 

เตรียมกันคนละอย่าง

 

 

 

thanong

8/10/2013

 

http://www.rawstory.com/rs/2013/10/07/u-s-launches-colorful-new-100-bill/

1381463_165058853690497_490794380_n.jpg

 

 

Thanong Fanclub

ถูกใจแล้ว · 6 ชั่วโมงที่แล้ว

 

6. โอบามาน่าจะใช้executive order เป็นชุดๆ

 

ตอนนี้ว่ากันตามเนื้อผ้า โอบามาไม่ได้ใส่ใจในการยกเพดานหนี้เลย เพราะว่าเป้าหมายใหญ่กว่าการผ่านกฎหมายยกหนี้แก้ไขปัญหาระยะสั้น โอบามาน่าจะต้องการล้างไพ่ระบบการเงินสหรัฐฯ เพื่อตั้งต้นนับหนึ่งใหม่ รีพับรีกันไม่ผ่านกฎหมายเพดานหนี้ ก็เข้าทางตีนโอบามาพอดี หรือถ้าจะผ่าน โอบามาไม่ได้ใส่ใจ อันเห็นได้จากมีการเตรียมตัวเรื่องการดูแลความมั่นคงภายในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่ปลดพวกเพนตากอน ซีไอเอที่ไม่ใช่พวก นำไปสู่การเสริมกำลังของHomeland Security เป็นกองกำลังทหารย่อยๆของโอบามาดีๆนี่เองเพื่อทำการใหญ่

 

อย่างที่ได้เขียนก่อนหน้านี้ รมวช่วยคลังจีน Zhu Guangyao เตือนว่าจีนเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ในตลาดบอนด์สหรัฐฯ เพราะฉะนั้นฝ่ายบริหาร หรือประธานาธิบดีโอบามาต้องดำเนินมาตรการเด็ดขาดเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ

 

จีนคงคาดเดาแล้วว่ารีพับรีกันคงไม่ให้กฎหมายยกเพดานหนี้ผ่าน เพราะฉะนั้นโอบามาต้องรับผิดชอบไม่ให้พันธบัตรสหรัฐฯผิดชำระหนี้ ด้วยการใช้มาตรการเด็ดขาดและน่าเชื่อถือ นั้นก็คือจีนยุให้โอบามาออกExecutive Order นั้นเอง แล้วจะสนับสนุน

 

โอบามาสามารถออกExecutive Order ได้เพื่อ

 

1. ยกเพดานหนี้เพิ่ม แล้วกระทรวงคลังจะได้ออกบอนด์ใหม่เพื่อไถ่ถอนบอนด์เก่า พร้อมจ่ายดอกเบี้ยได้ แล้วก็ถูไถไป

 

หรือ

 

2. พิมพ์ดอลล่าร์ใหม่แบบที่ประธานาธิบดีเคนเนดี้เคยทำมาแล้ว เพื่อเปิดศึกสงครามภายใน เพราะดอลล่าร์ของกระทรวงคลังจะออกมาแข็งกับดอลล่าร์ของเฟด เหมือนกับว่ารู้ชะตาตัวเองดี เฟดในวันอังคารที่ผ่านมาพิมพ์แบงค์$100ออกมาใหม่ เพื่อช่วยให้มีสภาพคล่องในกรณีที่ผู้ฝากเงินแพนิคถอนเงิน เพราะกฎหมายเพดานหนี้ไม่ผ่าน

 

โอบามาน่าจะเลือกหนทางที่2 มากกว่าจะได้ล้มระบบไปเลย เพราะเวลาออกดอลล่าร์ใหม่ ซึ่งน่าจะถูกหนุนโดยน้มันสำรองของสหรัฐฯ จะได้รับความน่าเชื่อถือกว่าดอลล่าร์ของเฟดที่เรียกว่าFederal Reserve Note ซึ่งพิมพ์ออกมาเปล่าๆ โดยไม่มีอะไรหนุนเลย ฟังชื่อก็ตจลกแล้ว เฟดไม่มีอะไรที่เป็นเฟดเดอรัลเลย เพราะเอกชนเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้น100%

แต่อำพรางตัวเองว่าเป็นส่วนหนึ่งของสมาพันธ์หรือfederal โดยจัดฉากว่าประธานเฟดต้องไปให้การกับสภา และการแต่งตั้งประธานเฟด ประธานาธิบดี ต้องเป็นคนเสนอชื่อ แล้วให้สภาเซเน็ทรับรองอีกที ละครแหกตานี้ทำมาร่วม100ปีแล้ว ส่วนคำว่าreserveแปลว่าสำรอง ปรากฎว่าเฟดไม่จำเป็นต้องสำรองทรัพย์สินอะไรเลย มีแต่คอมพิวเตอร์เปล่าๆ แต่จะพิมพ์เงินแค่ใหนก็ได้

 

มันเลยเป็นสิ่งที่ รอน พอลเรียกว่า funny money systemหรือระบบเงินตลกที่หลอกคนอเมริกันมานับ100ปีแล้ว เป็นการเท็คโอเวอร์สหรัฐฯโดยกลุ่มนักการเงิน รวมมือกับกลุ่มนักการเมืองในอดีต ผลเสียยังตกกับสหรัฐฯทุกวันนี้ เพราะเฟดและWall Streetคุมการเงินและเศรษฐกิจเกือบทุกอย่างจนทำให้เกิดช่องว่างของประชาชนคนธรรมดาคนจน99% และคนรวย1% ระบบนี้เองเป็นระบบที่โอบามาต้องการล้ม ขณะนี้วิกฤตเปิดให้เป็นโอกาสเพื่อทำการใหญ่แล้ว

 

thanong

8/10/2013

1385778_165070073689375_978838197_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ข่าวเก่าที่เคยลงไว้

 

คมชัดลึกออนไลน์วันที่ 02-05-2556

 

 

ซาราห์ เพลิน:อเมริกาจะผิดชำระหนี้เกิดจลาจล

 

ซาราห์ เพลิน:อเมริกาจะผิดชำระหนี้เกิดจลาจล : หน้าต่างอาเซียน โดยทนง ขันทอง

 

 

ซาราห์ เพลิน (Sarah Palin) อดีตผู้รับสมัครรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เขียนลงในเฟซบุ๊กของเธอเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ว่า ถ้าหากยังก่อหนี้ใช้จ่ายเกินตัวอย่างนี้ รัฐบาลกลางอเมริกาจะผิดชำระหนี้ในที่สุด และขณะนี้รัฐบาลกำลังระดมเสบียงกระสุนดินปืนอยู่เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับ จลาจลภายในประเทศในกรณีที่เศรษฐกิจล่มสลาย

 

เพลิน กล่าวโจมตีประธานาธิบดีบารัก โอบามา ว่า ยังคงดำเนินนโยบายใช้จ่ายเกินตัวอยู่ การตัดงบประมาณใช้จ่ายลง 110,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี (ประมาณครึ่งหนึ่งเป็นงบประมาณทางทหาร) หรือ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ ในระยะ 10 ปีข้างหน้า เป็นแค่น้ำจิ้มไม่มีความหมายเลยกับหนี้ที่กำลังพอกพูนมหาศาล เพราะตัวเลขการตัดงบนี้เทียบเท่าแค่ 0.3% หรือ 3.6 ล้านล้านดอลลาร์ของงบประมาณในปีนี้

 

ขณะนี้งบประมาณสหรัฐขาดดุลอยู่ที่ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี และไม่มีทีท่าว่าจะลดลงได้เลย ทำให้ตัวเลขหนี้สาธารณะกว่า 16 ล้านล้านดอลลาร์ เทียบเท่า 100% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติจะพุ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้านับเอาหนี้นอกบัญชีงบประมาณอีกอย่างน้อย 86 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของโลกที่ 75 ล้านล้านดอลลาร์เสียอีก

 

อเมริกาเข้าขั้นล้มละลายแล้ว ไม่มีทางเก็บภาษีมาทันใช้หนี้ได้ ยกเว้นการพิมพ์เงินอย่างเดียว ซึ่งผลของการพิมพ์เงินจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์ตกต่ำไม่มีความน่าเชื่อถือ เงินจะเฟ้ออย่างรุนแรงและเศรษฐกิจจะพังในที่สุด

 

เพลินใช้คำว่า Armageddon หรือวาระสุดท้ายที่แท้จริงของเศรษฐกิจอเมริกาคือหนี้ที่เอาไม่อยู่ และพวกนักการเมืองในกรุงวอชิงตัน ดีซี ยังไม่รู้จักโต และยังไม่รู้จักที่จะใช้จ่ายตามฐานะ มีรายงานข่าวเมื่อเดือนที่แล้วว่า กระทรวงความมั่นคงภายในประเทศ หรือ Department of Homeland Security มีแผนจะซื้อกระสุน 1.6 พันล้านนัด ในระยะ 4-5 ปีข้างหน้า หรือกระสุน 5 นัดต่อชาวอเมริกันทุกๆ 1 คน เพื่อใช้ในการฝึกซ้อมของเจ้าหน้าที่ที่ดูแลความสงบภายในประเทศ ข่าวนี้ทำให้คนอเมริกันจำนวนมากวิตกว่า อาจจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจและการจลาจลภายในประเทศ รัฐบาลกลางถึงได้เตรียมพร้อมขนาดนี้

 

และเพื่อตัดเขี้ยวเล็บของประชาชน โอบามา กำลังพยายามจะออกกฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิของคนอเมริกันในการครอบครองอาวุธหนัก โดยอ้างเหตุร้ายการไล่ยังเด็กที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ที่โรงเรียนแซนดี้ ฮุค และที่อื่นๆ ในช่วงที่ผ่านมา ผลก็คือ คนอเมริกันรีบแห่ซื้ออาวุธและตุนกระสุนเสบียงกัน ก่อนที่กฎหมายจำกัดสิทธิครอบครองปืนจะออก โรงงานผลิตอาวุธปืนกำลังขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

 

ในความพยายามที่จะซื้อเวลาด้วยการดันไม่ให้เศรษฐกิจที่แท้จริงล่มสลาย ทางธนาคารกลางของสหรัฐจะยังคงพิมพ์เงินอย่างต่อเนื่องเดือนละ 85,000 ล้านดอลลาร์ เพื่ออัดสภาพคล่องเข้าไปในระบบ และซื้อพันธบัตรรัฐบาลกลาง เพราะว่าหาคนซื้อได้ยากขึ้น นโยบายการพิมพ์เงินนี้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เพราะเงินไปอยู่ในแบงก์หมด และมีเงินล้นปล่อยออกมาไม่ได้ และแถมเป็นการสร้างฟองสบู่รอบ 2 หลังจากฟองสบู่รอบแรกแตกไปแล้วเมื่อปี 2008 แทนที่จะถือโอกาสปฏิรูปเศรษฐกิจและสถาบันการเงิน รัฐบาลสหรัฐเลือกที่จะอุ้มนักธุรกิจฟอร์จูน 500 และนักการเงินวอลล์สตรีท ผ่านนโยบายการคลังและการเงินที่ผ่อนคลายอย่างสุดๆ เชื่อกันว่าธนาคารกลางสหรัฐและธนาคารกลางประเทศอื่นๆ พิมพ์เงินรวมกันแล้ว 20 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อพยุงระบบการเงินโลกไม่ให้ล้มในช่วงที่ผ่านมา

 

ฟองสบู่รอบ 2 นี้ กำลังจะดันดัชนีดาวโจนส์ให้พุ่งกลับไปลบสถิติสูงสุดอีกครั้ง โดยที่พื้นฐานเศรษฐกิจไม่ได้มีอะไรดีขึ้นเลย และตัวเลขว่างงานยังอยู่ในระดับสูง 7.9% อยู่ ดาวโจนส์ทำสถิติสูงสุดในระดับ 14,164 เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2007 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาดาวโจนส์ปิดที่ 14,089 เหลืออีกคืบเดียวก็ทำสถิติสูงสุดอีกครั้ง ถ้าดันพื้นฐานเศรษฐกิจจริงต่อไม่ไหว หุ้นก็ต้องร่วง คราวนี้ฟองสบู่จะแตกเหมือนดวงอาทิตย์ดับ ญี่ปุ่นก็กำลังสร้างฟองสบู่คล้ายๆ สหรัฐ ด้วยแผนการพิมพ์เงินรอบใหม่ ทั้งๆ ที่การพิมพ์เงินนี้ล้มเหลวมาเกือบ 10 ปีแล้ว

 

ช่วงนี้ถึงกลางปีจะเป็นการวัดดวงว่าใครจะอยู่ ใครจะไป เพราะว่าอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ เพราะคนที่ถือทรัพย์สินดอลลาร์ดูออกว่า สหรัฐเข้ามุมอับแล้ว ทางการเงินไม่มีทางออก ยิ่งถือดอลลาร์ยิ่งจะขาดทุนจากการพิมพ์เงินไม่มีขอบเขตจำกัด

 

ให้จับตาดูดีๆ กับกลุ่มประเทศเกิดใหม่ โดยเฉพาะจีน รัสเซีย อินเดีย และประเทศผู้ผลิตน้ำมัน ซึ่งกำลังตุนทองและสร้างระบบการค้าใหม่แบบบาร์เตอร์และระบบการเงินใหม่เพื่อ หลีกเลี่ยงการใช้เงินสกุลดอลลาร์ ถ้าเหตุการณ์ดำเนินต่อเนื่องไปลักษณะเช่นนี้ เงินดอลลาร์จะถูกเทขายและหมดสภาพความเป็นเงินสกุลหลักของโลก ดอลลาร์จะไหลกลับประเทศสหรัฐ ก่อให้เกิดเงินเฟ้ออย่างรุนแรง ฟองสบู่รอบ 2 หรือรอบสุดท้ายนี้กำลังรอวันแตกอยู่

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วิกฤต Pension Fund

 

วิกฤตกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือครับ?

 

มาใหม่อีกเรื่องแล้วหรือครับ แต่ดูหุ้นไทยทนต่อทุกสภาวะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Assault On Wall Street ไม่รู้มีใครเคยได้ดูรึยังครับ เหมือนเป็นภาคต่อของ Wall Street อันก่อนดูแล้ว หนาวๆ :_cd

 

หนังเรื่องนี้ผมว่าเด็ดสุดตอนฉากจบ เหมือนกับหนังสไตล์นี้ ที่จะมีฉากๆหนึ่งที่นำเรื่องที่เป็นข้อเท็จจริงมานำเสนอในเรื่อง การนำเสนอเรื่องพวกนี้ ทำตรงๆไม่ได้ เลยต้องมานำเสนอในรูปศิลปะ, ตลก, ฯลฯ

 

ในเมืองลุงแซม ถ้าอยากตามข่าวแบบได้เนื้อๆ ต้องดูรายการตลก(ที่เอาข่าวมาแซว) ชื่อ เดลีย์ โชว์, กับ โคลแบร์รีพอร์ ส่วนพวก ฟอกซ์, ซีเอ็นๆ, ซีเอ็นบีเอส นี่ ... หึหึหึ น้ำท่วมทุ่ง

 

ดูฉากสุดท้ายของเรื่องนี้ (นาทีที่ ๑.๕๕ ขึ้นไป)

 

วิกฤต Pension Fund

 

วิกฤตกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือครับ?

 

มาใหม่อีกเรื่องแล้วหรือครับ แต่ดูหุ้นไทยทนต่อทุกสภาวะ

 

ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหม่ แต่เป็นสิ่งที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาหนี้สาธารณะ (ที่มาร์ติน ชอบพูดถึง)

เวลาคนจะจมน้ำ คว้าอะไรให้พยุงตัวได้ก็คว้า ... กองทุนบำเน็จบำนาญ ก็เป็นเสื้อชูชีพที่เขาคว้าได้ง่ายตัวหนึ่งครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ฮือฮา! “จอร์จ โซรอส” ฟันธง ยุโรปจะกระอักเลือดสูญเงินเปล่า ชี้กรีซไม่มีปัญญาหาเงิน “9 ล้านล้าน” มาใช้หนี้ blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 ตุลาคม 2556 13:01 น.

 

 

 

blank.gif 556000013293001.JPEG blank.gif เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - จอร์จ โซรอส พ่อมดการเงินชื่อก้องโลกชาวอเมริกันเชื้อสายฮังกาเรียน ออกโรงเตือนในวันอังคาร (8) โดยระบุบรรดาชาติเจ้าหนี้ในยุโรปต้องเตรียม “ทำใจ” ชี้ ประเทศที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวอย่างกรีซ จะไม่มีทางหาเงินมาใช้หนี้ได้

 

โซรอส วัย 83 ปี ซึ่งมีทรัพย์สินในครอบครองมากกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 628,300 ล้านบาท) เปิดใจให้สัมภาษณ์ในวันอังคาร (8) กับ “แดร์ ชปีเกิล” นิตยสารข่าวชื่อดังของเยอรมนี โดยโซรอสระบุว่า บรรดาเจ้าหนี้รายใหญ่ของกรีซจะต้องเตรียมทำใจยอมรับความสูญเสียที่จะเกิด ขึ้น เพราะโอกาสที่รัฐบาลกรีซจะสามารถหาเงินมาชำระหนี้เงินที่กู้ยืมมานั้น “แทบเป็นศูนย์”

 

“ในเวลานี้ ทุกคนต่างรู้ดีว่ากรีซจะไม่มีปัญญาหาเงินมาใช้หนี้ได้ แต่ไม่น่าเชื่อที่บรรดาผู้นำในยุโรป ต่างยังคงตั้งความหวังแบบลมๆ แล้งๆ ว่า พวกเขาจะได้รับเงินคืนจากรัฐบาลเอเธนส์” โซรอส กล่าวพร้อมชี้ว่า หนทางเดียวเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาหนี้สินของกรีซได้ทั้งหมด นั่นก็คือ การ “ล้างหนี้” ทั้งหมดของกรีซให้เหลือศูนย์

 

ที่ผ่านมา รัฐบาลกรีซขอรับความช่วยเหลือทางการเงินจาก “เจ้าหนี้ 3 ฝ่าย” หรือ “ทรอยกา” ซึ่งประกอบไปด้วย สหภาพยุโรป (อียู) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) มาแล้ว 2 ครั้ง คือ ครั้งแรกวงเงิน 110,000 ล้านยูโร (ราว 4.7 ล้านล้านบาท) เมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2010 ส่วนครั้งที่สอง คือ วงเงิน 100,000 ล้านยูโร (ราว 4.3 ล้านล้านบาท) ในเดือนกรกฎาคม ปี 2011 ส่งผลทำให้รวมเบ็ดเสร็จแล้วการกู้เงินทั้ง 2 ครั้งของกรีซ มีวงเงินรวมกันสูงถึงกว่า “9 ล้านล้านบาท”

 

โดยทางอียู ไอเอ็มเอฟ และอีซีบี กำหนดให้รัฐบาลกรีซจะต้องหาเงินมาชำระหนี้สินที่เกิดจากการกู้ยืมไปทั้งสอง ครั้งดังกล่าวภายในระยะเวลา 15 ปี และรัฐบาลกรีซจะต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับบรรดาเจ้าหนี้อีกในอัตราร้อยละ 3.5 ของเงินที่กู้ยืมไป

 

ทั้งนี้ ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งยุโรป (ยูโรสแต็ท) เผยว่ากรีซเป็นชาติสมาชิกอียู และกลุ่มยูโรโซน ที่มีสัดส่วนของหนี้สินสูงที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศสมาชิกอื่น

 

โดยในปี 2012 ที่ผ่านมา ยอดหนี้สาธารณะของกรีซพุ่งสูงถึง “126.8 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี” และมีการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญว่า ภายในปี 2020 ยอดหนี้สาธารณะของกรีซก็จะยังคงไม่ลดต่ำไปกว่า 120.5 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี

556000013293002.JPEG blank.gif

556000013293003.JPEG blank.gif

 

blank.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ก็อปมาฝากครับ

 

investors have taken delivery of 1,662 tonnes of gold off of the Shanghai Gold Exchange (SGE). Investors are on track to take delivery of 2,000+ tonnes of gold from the SGE in 2013. Investors are on track to take delivery of 80% of world gold production just off of the SGE.

World gold production was approximately 2,700 tonnes in 2012. Let’s put China down for 2,100 tonnes in 2013 and India down for 1,100 tonnes which would include smuggled gold. China and India will consume 3,200 tonnes compared to 2,700 tonnes of production and falling.

 

post-23-0-21386400-1381320269_thumb.jpg

 

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=4811174095803&set=gm.10151707635640662&type=1&theater

ถูกแก้ไข โดย MOR LEK

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Pentagon Warns To Expect “Radical” Change In US Government Soon

 

 

http://www.eutimes.n...overnment-soon/

 

มาลุ้นกันครับว่าเฮียโอเลี้ยงจะกล้าทำแบบที่เขาว่าใหม

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

จอร์จไม่ฟันธงหน่อยว่าเงินของ FED จะสูญเปล่ารึเปล่า

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

SSO Savings Club

ถูกใจหน้านี้ • 2 ชั่วโมงที่แล้ว

 

ความต้องการ ‘ทองคำ’ มาจากไหน? โดย วิน พรหมแพทย์

 

ตามที่ได้เล่าให้ฟังว่า ในตลาดโลกมีความต้องการทองคำประมาณไตรมาสละ 1,000 ตัน (หรือปีละ 4,000 ตัน) โดยมาจาก 5 แหล่ง 1. ใช้เป็นเครื่องประดับ (50%) 2. ซื้อทองคำแท่งเพื่อการลงทุน (30%) 3. ซื้อลงทุนผ่านกองทุน ETF (5%) 4. ใช้ในอุตสาหกรรม (10%) และ 5. เป็นทุนสำรองของธนาคารกลาง (5%)

 

เมื่อดูข้อมูล 5 ไตรมาสย้อนหลังจะเห็นได้ว่า ราคาทองที่ตกลงต่อเนื่องในปี 2013 เกิด จากแรงเทขายของกองทุน Exchange Traded Fund (ETF) ซึ่งมีการขายสุทธิจำนวน 177 ตันในไตรมาสที่ 1 และขายสุทธิ 402 ตันในไตรมาสที่ 2 ทำให้ราคาทองคำร่วงจาก $1,674 เมื่อสิ้นปีก่อน ลงมาอยู่ที่ $1,300 ในปัจจุบัน

 

เป็นที่น่าสังเกตว่า ในช่วงที่ราคาทองคำลงแรงจากการเทขายของกองทุน ETF กลับมีแรงซื้อ “สวน” เข้ามาจำนวนมาก ทั้งจากคนที่ต้องการซื้อเป็นเครื่องประดับ (เพื่อให้ของขวัญ ตามธรรมเนียมของคนจีนและอินเดีย) และจากคนที่ต้องการซื้อทองคำแท่งเพื่อลงทุน ... ว่ากันว่า 2 กลุ่มนี้ต้องการทองคำจริงๆ เป็นพวกซื้อเก็บระยะยาว แต่รอจังหวะอยู่นานเพื่อซื้อในช่วงราคาตกครับ

 

อีกข้อมูลที่น่าสนใจมาก คือ ในบรรดาประเทศที่เข้าซื้อ ‘ทองคำแท่งเพื่อการลงทุน’ ในรอบปีที่ผ่านมา ประเทศไทยของเรามาเป็นอันดับ 4 ของโลก คือ ซื้อทองคำมากถึง 92.2 ตัน!!!

 

สรุป - ถ้าเราดูข้อมูลกันดีๆ จะพบว่า ความต้องการทองคำมาจากหลายแหล่ง การที่ทองราคาตกแรง มีสาเหตุหลักจากการเทขายของกองทุน ETF แต่ความต้องการทองคำเพื่อใช้ประโยชน์อื่น (เช่น เครื่องประดับ+อุตสาหกรรม+ลงทุนในทองคำแท่ง) ไม่ได้ลดลงไปด้วยครับ

 

Cr. ข้อมูลจาก World Gold Council

 

1394457_492360510872126_52634746_n.png

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ในตลาดโลกมีความต้องการทองคำประมาณไตรมาสละ 1,000 ตัน (หรือปีละ 4,000 ตัน)

 

ปีที่แล้วเหมืองทั่วโลกผลิตได้ประมาณ2,800ตัน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วรวรรณ ธาราภูมิ

 

18 ชั่วโมงที่แล้ว

 

 

 

ชะนีครองเมือง

---------------

 

วรวรรณ ธาราภูมิ

9 ตุลาคม 2556

 

รอยเตอร์ รายงานว่าโอบามาจะประกาศแต่งตั้ง เจเน็ต เยลเลน รองประธาน FED ขึ้นเป็นประธาน FED คนใหม่คืนนี้ที่ทำเนียบขาวเวลาไทยตีสองหากวุฒิสภาสหรัฐรับรอง โดยป้าเจนจะมาแทนลุงเบนที่จะหมดวาระวันที่ 31 ม.ค.ปีหน้า

 

ข่าวบอกว่าป้าเจน จะได้เป็นผู้หญิงคนแรกในตำแหน่งนี้ในรอบ 100 ปี

 

ที่ว่าในรอบ 100 ปี ไม่ได้แปลว่าก่อนหน้านั้นมีผู้หญิงเป็นประธาน FED หรอก

 

แต่เป็นเพราะหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อความเป็นมหาอำนาจของโลกย้ายมาที่สหรัฐตามที่ผลักดันโดยกลุ่ม International Bankers ที่มีฐานอยู่ในอังกฤษและยุโรป ทำให้สหรัฐผ่านกฏหมาย Federal Reserve Act เพื่อจัดตั้ง FED, CIA กับ IRS วันที่ 23 ธันวาคม 1913

 

ดังนั้น 23 ธันวาคม 2013 ปีนี้ ก็ครบรอบที่ FED จะมีอายุ 100 ปี ได้ชะนีฉลอง 1 ศตวรรษ ถ้า FED ยังคงอยู่

 

ป้าเจนเกิดที่ถิ่นคนดำคือ Brooklyn, New York ทั้งๆ ที่ขาวจั๊วะ เป็นลูกสาวหมอ เรียนได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากมหาวิทยาลัยบราวน์ สาขาเศรษฐศาสตร์ และได้ปริญญาเอกสาขาเศรษฐศาสตร์จากเยล ในปี 1971

 

ป้าเจนเคยทำงานเป็นครูบาอาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์มานาน เป็นอาจารย์ที่ Harvard กับ London School of Economics ด้วย นับว่าคนบ้านนี้มีสมองเลิศจริงๆ

 

ป้าเจนเป็นชาวยิว เธอแต่งงานกับ จอร์จ อะเคอร์ลอฟ ศาสตราจารย์กิตติคุณที่มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ผู้ชนะเลิศรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ เธอมีลูกชายที่ตามรอยพ่อแม่เด๊ะๆ เพราะ โรเบิร์ต อะเคอร์ลอฟ เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่ University of Warwick

 

ในยุคของ บิล คลินตัน หวานใจยัยลูวินสกี้ นักศึกษาฝึกงานที่ชอบมุดโต๊ะในทำเนียบขาว ป้าเจนได้ทำหน้าที่เป็นกรรมการในสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจของคลินตันในปี 1997 - 1999 และได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกของ FED ในปี 1994

 

ใครๆ ก็มองว่าป้าเจนนี่ละที่เป็นผู้ผลักดันเรื่อง QE และพวก Wall Street ก็คาดหวังว่าป้าเป็นสายพิราบ คือจะให้ความสำคัญต่ออัตราว่างงานมากกว่าจะไปห่วงเรื่องเงินเฟ้อ

 

ซึ่งหมายถึงว่า ป้าเจนจะทำ QE ต่อไป

 

QE จงเจริญ ชะนีจงเจริญ !!

 

 

(ขอบคุณภาพจาก AP)

 

 

 

1379917_10201884900191388_1667567949_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วรวรรณ ธาราภูมิ

 

11 ชั่วโมงที่แล้ว

 

 

 

Shut Down Show Down Day 6-8 (6-8 Oct 2013) “เตรียมพร้อม ได้แล้ว”

------------------------------------------------------------------------------

 

วรวรรณ ธาราภูมิ

9 ตุลาคม 2556

 

แปดวันผ่านไป จะย่างเข้าวันที่เก้าในคืนนี้ เดโมแครท กับ รีพับลิกัน เลยจุดที่จะยอมกันแล้ว เพราะใครยอมก่อนก็พังทลาย กลายเป็น Poor Little Chicken หรือ Mickey Mouse ต่างฝ่ายต่างถอยไม่ได้ หากถอยคนจะมองว่า “กระจอก” และจะเสื่อมศรัทธา (ถ้ายังมีศรัทธาอยู่) เลยไม่มีใครยอมถอย

 

คล้ายๆ กับใครไม่รู้ ที่บอกว่าจะเป่านกหวีดให้สู้ แต่ป่านนี้ก็ยังหานกหวีดไม่เจอ

 

จนปราจีนกลายเป็นทะเลเพราะพระพิรุณแก้แค้นแทนแม่โพสพ จนบางบาล อยุธยา ว่ายน้ำแข็งกันทุกคน จนน้ำท่วมปากเกร็ด จนนิคมอมตะเปียกน้ำ และจนออก พรบ ทุบม็อบได้ตามกฏหมายแล้ว สหรัฐก็ยัง Shutdown กันต่อเนื่อง อาจจะไปเปิดอีกทีตอนมีนายกชื่ออาโอ๊คก็ได้

 

ฮี้ววววววว ...........

 

แต่จากการประเมินพบว่า รีพับลิกันซึ่งเป็นคนจุดพลุก่อหวอดจนต้อง Shutdown ก่อน ดูเสียเปรียบกว่าโอบามาที่ถือไพ่เหนือกว่า และเล่นเป็น รีพับลิกันลงจากหลังเสือที่ขี่ไม่ได้

 

ก็รีพับลิกันก่อหวอดเอง แล้วจะโทษใคร

 

ด้านประธานจ๊ะเอ๋ เอ้ย ประธานโบห์เนอร์ แม้จะเคยแย้มๆ ว่ายังไงๆ ก็จะไม่ให้อเมริกา Default ก็ยังกลืนน้ำลายกลับ เพราะต้องศิโรราบต่อมุ้ง Tea Party ซึ่งมีอิทธิพลเหนือทั่นประธานที่เคารพ และมีอิทธิพลเหนือคนอื่นในพรรครีพับลิกันด้วยกัน

 

แต่ไม่รู้ว่าสภาฯ ในสหรัฐ เขาสั่งซื้อนาฬิกาบ้าๆ บอๆ ส่อเค้าผลาญเงินหลวงเข้าตนอย่าหนาตราช้าง รึเปล่านะ

 

เรียกว่าจนได้ป้าเจน (Janet Yellen) มาเป็นประธาน FED ในปลายๆ เดือนมกราคมนี้แล้ว ก็ยังช่วยไม่ได้ ซึ่งป้าเจนนี่ละ ที่ Peter Schiff บอกว่าเธอจะแย่งถ้วย FED Chairman ที่ห่วยที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติมาจากมือ ลุงเบน เบอร์นานเก้ ได้แน่ๆ

 

Moody’s ระบุว่า เป็นไปได้น้อยมากที่สหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้ แม้ข้อขัดแย้งระหว่างโอบามากับพรรครีพับลิกันจะไม่มีข้อยุติ จนทำให้ขยายเพดานหนี้ไม่ทันเส้นตาย 17 ต.ค.เพราะ ก.คลัง คงจะจัดลำดับความสำคัญของการใช้จ่าย และเลือกชำระหนี้พันธบัตรคืนกับจ่ายดอกเบี้ย ก่อนที่จะจ่ายค่าใช้จ่ายอื่นๆ

 

แต่สหรัฐได้ก้าวเข้าสู่วิกฤติของความเสี่ยงที่จะ Default แล้ว แม้จะมีอีกหลายฝ่าย หลายสำนัก ที่ต่างพยายามคิดค้นหาช่องทางแบบศรีธนญชัย หรือวิธีซิกแซกทางคณิตศาสตร์ (แบบที่ Investment bankers เขาชำนาญกัน) เพื่อเสนอทางออกให้พ้นการ Default ชั่วคราวไปได้พักนึง แต่ก็งั้นๆ อ่านแล้วไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่

 

เพราะไม่ว่าจะด้วยวิธีเทพขนาดไหน สิ่งที่เสนอกันมาก็ยังไม่ได้แก้ปัญหาที่แท้จริงสักอย่าง แค่ยาระงับอาการปวดชั่วคราว แต่มะเร็งยังคงอยู่ และจะลุกลามไปทั่วร่างด้วยอัตราเร่งสุดๆ

 

นอกจากนี้ ที่สำคัญและมีผลยิ่งในเวทีนานาชาติก็คือ สหรัฐอเมริกาได้สูญเสียสถานะความเป็นผู้นำของโลกไปแล้วบนเวที APEC ที่บาหลี ที่เพิ่งสิ้นสุดลงวันก่อน เพราะโอบามาไปไม่ได้ ต้องเก็บตัวสู้ศึกหนักภายใน ปล่อยให้ จอห์น เคอร์รี่ รมต.ตปท. ไปแทน

 

อเมริกาจำต้องยอมทิ้งบทบาทโดดเด่นที่สุดบนเวที APEC ให้ สีจิ้นผิง ของจีน เวลาจีนพูดอะไร คนจะฟัง ข่าวลงเพียบ แม้กระทั่งข่าวที่ สีจิ้นผิง ศอกกลับ จอห์น เคอร์รี่ เมื่อจบการประชุมว่าอเมริกาดีแต่เสนอแต่สิ่งที่มีประโยชน์แก่ตัวเองกับนาย ทุนขนาดใหญ่เท่านั้น

 

โอ้ย หน้าแตก ยับเยิน อับอายขายขี้หน้าไปทั่วโลก

 

อเมริกาเอเจนด้า ที่เวที APEC ถ้าจะมี ก็ไม่ได้รับความสนใจบนเวทีผู้นำสูงสุดของประเทศต่างๆ เพราะถือว่าคนที่มาเป็นคนละชั้นกัน ไม่มีใครให้ราคา อะไรที่ จอห์น เคอร์รี่ พูด ก็ไม่ได้ถือว่าจะเป็นคำมั่นของสหรัฐ ไม่เหมือนกับให้ประธานาธิบดีโอบามา มาเอง เวลายืนถ่ายรูปร่วมกันก็ให้ไปอยู่หลัง แถวขวาสุด น่าอัปยศอดสูสุดๆ สำหรับมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ภาถ่ายบนเวทีนี้สื่ออเมริกันเอาไปลงแบบที่คนอเมริกันอ่านแล้วต้องหัวเราะ ทั้งน้ำตา

 

จีน ญี่ปุ่น รัสเซีย ฯลฯ ต่างส่งเสียงคำรามเตือนไปยังโอบามาว่า ต้องทำทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหาที่จะ Default ให้ได้ และอย่างเด็ดขาดด้วย นี่คือเสียงสัญญาณจากเจ้าหนี้ต่างประเทศรายใหญ่

 

ประธานาธิบดี เอนริเก เปนา เนย์โต แห่งเม็กซิโก ก็กล่าวในที่ประชุม APEC ว่า การผิดนัดชำระหนี้ของอเมริกา ซึ่งถือครองสกุลเงินสำรองของโลกจะกระทบต่อโลกทั้งใบ ซึ่งได้รับการขานรับโดย วลาดิเมียร์ ปูติน เจ้าของฉายา ตินบอนด์ 007 แห่งรัสเซีย ผู้มีบทบาทเด่นรองจากจีนบนเวที APEC

 

อ้อ ... ที่เรียกว่า ตินบอนด์ 007 ก็เพราะลุงตินเขาชอบแสดงภาพพจน์ตนเองเป็นฮีโร่มาโช่แมนสุดๆ ประมาณ เจมส์ บอนด์ นั่นแหละ

 

แต่ไม่ว่ายังไงๆ หากเกิดอเมริกาผิดนัดชำระหนี้จริง โลกจะเดือดร้อนกันไปหมด หลายสำนักดังต่างประเทศและ IMF คาดกันว่าเงินจะไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ แต่ที่เจ็บหนักกว่าใครจนถึงขั้นแสนสาหัสก็คือตลาดบอนด์นั่นเอง

 

อะไรจะเกิดขึ้น ก็ได้แค่วิเคราะห์คาดการณ์กันไป ไม่รู้ใครจะเดาถูกบ้าง

 

คนที่มีเงินสดรอโอกาส กับคนที่อยู่ค่าย Gold Bug (เชียร์ทองคำ) ก็ช่วยกันสาปแช่งให้อเมริกา Default

 

ส่วนคนที่มีของเต็มพอร์ตนั้นไม่กี่วันแรกของการ Shutdown ก็ยังลอยหน้าลอยตา ทำท่าหน้าระรื่น แต่พอจะเข้าวันที่เก้าคืนนี้ ก็เริ่มทำหน้าซีดๆ ถามไถ่กันให้วุ่นว่า “เอาไงดีว้า” จะขายตอนนี้หรือถือต่อ หรือยังไงดี

 

But who knows ?

 

The answer, my friends, is blowing in the wind. The answer is blowing in the wind.

 

 

 

1379634_10201886294066234_1717431279_n.jpg

 

25

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วรวรรณ ธาราภูมิ

 

7 ชั่วโมงที่แล้ว บริเวณ Bangkok

Greg Valliere (Potomac Research Group) เพิ่มโอกาสที่รัฐบาลสหรัฐจะ Default เป็น 20% จากเดิม 10% ทั้งนี้ เขาสัมภาษณ์ Tea Party หรือกลุ่มอนุรักษ์นิยมในพรรครีพับลิกันในคืนวาน ว่า

 

1. ห่วงว่ารีพับลิกันจะเสียคะแนนเลือกตั้ง สส.ในปีหน้าไหม

 

Tea Party ตอบว่า "We don’t care (เราไม่สน)"

 

2. กังวลเรื่องความหายนะที่จะเกิดกับตลาดเงินตลาดทุนไหม

 

Tea Party ตอบว่า "We don’t care (เราไม่สน)"

 

3. ห่วงเรื่องเดโมแครทจะให้สวัสดิการสังคมแก่ผู้ชราอย่างเต็มที่ไหม

 

Tea Party ตอบว่า "We don’t care (เราไม่สน)"

 

อืม .... เอาเข้าไป

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วรวรรณ ธาราภูมิ

 

3 ชั่วโมงที่แล้ว

 

 

 

Shut Down Show Down Day 9 (9 Oct 2013)

“วิกฤติดอลลาร์สหรัฐ ที่คนยังคงปฏิเสธความจริง”

--------------------------------------------------

 

วรวรรณ ธาราภูมิ CEO กองทุนบัวหลวง

9 ตุลาคม 2556

 

ในขณะที่เขียนนี้ ที่อเมริกายังไม่มีอะไรคืบหน้าเลย เพราะ 2 พรรคการเมืองยังคงตกลงกันไม่ได้ ในขณะที่พวก Wall Street กำลังเข็นนานาทฤษฎีมาอธิบายให้เหตุการณ์ที่จะเกิด ดูบรรเทาเบาบางความน่ากลัวลง

 

ตัวอย่างล่าสุดก็คือ Steven Major กับ Lawrence Dyer (HSBC) เขียนถึงลูกค้าของแบงค์ว่าถ้าถึงวันที่ 17 ตุลาคมนี้แล้วยังเพิ่มเพดานหนี้ไม่ได้ ถึงรัฐบาลสหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้ มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก (จึงไม่จำเป็นต้องขายพันธบัตรสหรัฐทิ้ง)

 

2 คนนี้เขาบอกว่า ในอดีต รัฐบาลสหรัฐก็เคยจ่ายคืนหนี้ช้ากว่ากำหนดนิดหน่อย อย่างเช่นเมื่อ 26 เมษายน ปี 1979 รัฐบาลก็ชำระตั๋วเงินคลังสหรัฐ (T-Bill) ช้าไป 2-3 วัน ทำให้รายย่อยบางส่วนเดือดร้อนไปบ้าง ซี่งกฏใหม่อนุญาตให้จ่ายชดเชยเป็นดอกเบี้ยเพิ่มให้คุ้มกับเวลาที่ช้าไป ดังนั้น แม้จะจ่ายชำระไม่ทันบางส่วนไปบ้างในรอบใหม่นี้ บริษัทจัดอันดับเครดิตก็จะขึ้นเครื่องหมายความน่าเชื่อถือให้รัฐบาลสหรัฐ เป็น "Selective default" (SD) เท่านั้น ยังไม่ถึงกับเป็น Default (D) เต็มๆ

 

คำว่า "selective default" (SD) เนี่ยะ เป็นคำที่บริษัทจัดอันดับเครดิตชื่อ S&P ใช้ อันหมายถึงจ่ายคืนหนี้ไม่ได้ตามกำหนด “บางส่วน” เพราะเชื่อว่าหนี้ส่วนใหญ่จะจ่ายได้แน่ๆ ในอนาคตก็เลยให้แค่ระดับ SD ไม่ใช่ D

 

โดยปกติรัฐบาลใดได้ SD จากบริษัทจัดอันดับเครดิต ก็มักจะโดนลดเกรดความสามารถในการจ่ายหนี้คืนลงมาอยู่ขั้นขยะ (Non-investment Grade หรือ Junk) เช่น ได้ระดับ CCC+ จนถึงอย่างดีก็แค่ B แต่ Steven Major กับ Lawrence Dyer บอกว่า “แต่มันคงเป็นสถานการณ์ของบริษัทจัดอันดับเครดิตที่น่าตลก (แต่ขำไม่ออก) ถ้าต้องไปให้ Junk Grade แก่สหรัฐอเมริกาที่เป็นประเทศที่มั่งคั่งและใหญ่ที่สุดในโลก”

 

ให้ตายสิ แหม นี่มันยิ่งกว่าสองมาตรฐานชัดๆ เลย ใช่ไหมละ ก็ลองบ้านเราพลาดที่จะจ่ายดอกเบี้ยหรือเงินต้นพันธบัตรที่ครบกำหนดสิ เราต้องโดนบริษัทพวกนี้ให้ตัว D มาเต็มๆ เลยละ

 

2 คนนี่เขาบอกว่าถ้าคลังสหรัฐจ่ายคืนหนี้ไม่ได้ตามกำหนด หนี้หรือพันธบัตร/ตั๋วเงินคลัง จะถูกแบ่งเป็นสองสถานะ คือ พวกที่เป็นพันธบัตรจ่ายคืนล่าช้า (Delayed) กับพวกพันธบัตรที่จ่ายคืนได้ตามปกติ (Normal) ซึ่งส่วนหลังนี้ก็จะซื้อๆ ขายๆ ได้ตามปกติ ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเรื่องหายนะ ก็แค่ติดขัดนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเอ๊ง

 

โอ้ ... แม่จ้าว !!! พากันคิดออกมาได้ยังไงนะเนี่ยะ

 

เอาละ เราจะไม่เสียเวลาดูทฤษฎีระห่ำอะไรอีกแล้ว เพราะยิ่งอ่านก็ยิ่งเม้ง เราลองกลับไปอ่านอะไรที่เคยเขียนไว้กันหน่อย

 

เรื่องนี้เคยเขียนไว้เมื่อวันที่ 24 สค 2554 ในชื่อว่า “วิกฤติอเมริกัน ตอนที่ 5” แต่ยังไม่มีอะไรที่ขัดแย้งกับสิ่งที่เขียนจนทุกวันนี้ เลยเอามาลงให้อ่านทบทวนกันอีกครั้ง

เริ่มต้นที่ตรงนี้นะ “จำได้ไหมว่า รัฐบาลกลางอเมริกัน มีสิ่งวิเศษอะไรที่รัฐบาลท้องถิ่นไม่มี”

 

รัฐบาลกลางอเมริกันมีสิ่งวิเศษที่รัฐบาลท้องถิ่นไม่มี เป็นสิ่งที่สงวนลิขสิทธิ์ไว้แก่สหรัฐประเทศเดียวเท่านั้นตั้งแต่สิ้นสุด สงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งทำให้รัฐบาลอเมริกันสามารถใช้ข้อได้เปรียบนี้อย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้ เลยในประวัติศาสตร์

 

สิ่งวิเศษนี้ทำให้รัฐบาลกลางไม่ต้องขายทรัพย์สินออกไป ไม่ต้องหยุดการให้บริการที่คนชอบ ไม่ต้องผิดสัญญาที่ให้ไว้แก่ผู้เลือกตั้งเขาเข้ามาเป็นรัฐบาล และไม่ต้องไปสนใจทำให้งบประมาณสมดุล รัฐบาลกลางทำได้ในสิ่งที่รัฐบาลท้องถิ่นไม่สามารถทำ

สำหรับผู้ที่ติดตามอ่านกันมาพอควรคงรู้แล้วว่าสิ่งวิเศษนั้นมันคืออะไร

 

นั่นก็คือเอกสิทธิในการผลิตเงินสกุลดอลลาร์ ซึ่งเป็นสกุลเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของโลก ออกมาจากแท่นพิมพ์ได้มากเท่าที่ต้องการ

 

นี่ไง สิ่งที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED ของลุงเบน เบอร์นันเก้ (และป้าเจน ที่กำลังจะมาแทนลุงเบนในอีก 3-4 เดือนข้างหน้า) กับใครๆ อีกหลายคน “เชื่อ” ว่ายังมีทางออก

 

พวกเขาเชื่อว่าหากเจ้าหนี้ตัดบัตรเครดิตของอเมริกาทิ้งไปแล้ว เขาก็ยังปั๊มแบงค์จากแท่นพิมพ์ออกมาใช้ได้เสมอ โดยไม่ต้องไปห่วงอะไรในเมื่อเงินดอลลาร์เป็นสกุลเงินในทุนสำรองเงินตราต่าง ประเทศของทั้งโลก ใครๆ จึงต้องการดอลลาร์ และสหรัฐก็เป็นเพียงผู้เดียวที่มีสิทธิพิมพ์มันออกมาได้

 

ใครเคยเดินทางไปยังประเทศอย่างกัมพูชา นิคารากัว และโคลอมเบีย ก็จะรู้ว่าเราสามารถใช้เงินดอลลาร์ได้โดยไม่ต้องไปแลกเป็นเงินท้องถิ่นเลย ซึ่งก็เป็นเพราะความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิ์อเมริกาที่ได้รับการยอมรับมานานใน ความแข็งแกร่งของพลังอำนาจทางเศรษฐกิจ คนจึงมองว่าดอลลาร์สหรัฐเชื่อถือได้เหมือนทองคำ และทำให้ดอลลาร์ได้รับการยอมรับให้เป็นทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของโลก ซึ่งหมายความว่าโลกใช้ดอลลาร์เป็นตัวกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและ บริการ และใช้ดอลลาร์เพื่อเก็บสำรองความมั่งคั่งของธนาคารกลางและของรัฐบาลประเทศ ต่างๆ

 

ไม่ผิดเลยถ้าจะกล่างว่า ที่ผ่านมากว่า 30 ปี เศรษฐกิจสหรัฐเติบโตได้ด้วยหนี้ ซึ่งจ่ายคืนด้วยแบงค์กงเต็ก

 

หากรัฐบาลสหรัฐยังคงตั้งหน้าตั้งตาพิมพ์ดอลลาร์ออกมาใช้ไม่หยุด เพื่อจ่ายค่าสวัสดิการเงินบำนาญประกันสังคม ค่ารักษาพยาบาล ค่าถนน ค่าทำสงครามและผดุงอำนาจของกองทัพ และเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เงินดอลลาร์ที่พิมพ์ออกมานั้นจะลดคุณค่าในการแลกเปลี่ยนเป็นสินค้าและบริการ ลงไปทุกวัน

 

หมายความว่าอะไร ?

 

หมายความว่า เจ้าหนี้ที่ได้รับดอลลาร์ชำระหนี้ ก็เหมือนโดนลดหนี้ (Hair Cut) เพราะดอลลาร์นั้นเอาไปใช้ซื้ออะไร ก็จะซื้อได้จำนวนน้อยลงด้วยเงินเท่าเดิม

 

เรื่องนี้เจ้าหนี้รู้ และกำลังประสาทกิน

 

สำหรับคนอเมริกันนั้น ผลที่จะเกิด มันจะเลวร้ายกว่ามาก เพราะเมื่อมีจำนวนเงินพิมพ์ออกมามากขึ้นๆ เพื่อซื้อสินค้าและบริการที่มีจำกัด สินค้าทุกอย่างจะขึ้นราคา

หากย้อนไปอ่านประวัติศาสตร์ จะพบว่าอเมริกาไม่ใช่ชาติแรกที่พิมพ์เงินแบบไม่มีอะไรมารองรับเหมือนชาว บ้านเขา

 

ประเทศจีนเคย “ทดลอง” ทำมาแล้วในอดีตเมื่อ 800 A.D. แต่ก็รีบเลิกเพราะเห็นว่าราคาสินค้าพุ่งขึ้นพรวดพราด

 

ที่น่าศึกษาก็คือ จักรวรรดิ์โรมัน ก็เคยทำเมื่อ 500 ปีก่อน ในขณะที่เป็นจักรวรรดิ์ที่ทรงอำนาจสูงสุด และร่ำรวยที่สุดเท่าที่โลกจะเคยพบเคยเห็น

 

แต่การดำรงความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิ์ต้องใช้กองทัพค้ำชู ต้องคอยสอดส่องตรึงกำลังและสู้รบกับศัตรูตามชายแดนรอบด้าน การขยายอาณาจักรให้ยิ่งใหญ่มากขึ้นก็ต้องใช้กองกำลัง และนั่นหมายถึงการใช้เงินอุดหนุนกองทัพจำนวนมหาศาล มากเสียจนรายได้จากภาษีไม่พอจ่ายเพื่อดำรงความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิ์โรมัน

 

แต่แทนที่จะตัดรายจ่ายลง โรมันกลับเลือกวิธีเพิ่มปริมาณเงินเข้าไปแทน แต่ในสมัยนั้นไม่มีแท่นพิมพ์แบงค์กระดาษ เงินตราที่โรมันใช้จึงผลิตจากทองคำ 100% หรือ แร่เงิน 100%

 

แล้วเขาทำไงล่ะ ที่ว่าเพิ่มปริมาณเงินออกมา หาแร่ทองคำ แร่เงิน เพิ่มเหรอ

 

ไม่ใช่ ทองคำ แร่เงิน ไม่ได้มีมากมาย เป็นทรัพยากรที่มีจำกัด และถึงหาได้เพิ่มก็ไม่ทันและไม่พอจ่ายหรอก

 

โรมันเขาใช้วิธีลดปริมาณทองคำและแร่เงินในการผลิตเหรียญลงทีละน้อยน่ะสิ และเริ่มทดแทนด้วยเหรียญบรอนซ์ ซึ่งคนไม่ยอมรับในคุณค่าของมันเหมือนทองคำกับแร่เงิน นั่นก็คือด้วยจำนวนคงเดิมของเนื้อทองคำกับแร่เงิน โรมันกลับผลิตเหรียญได้มากขึ้น

 

เหรียญเงิน เหรียญทอง ก็เหลือเนื้อเงิน เนื้อทองคำ เพียง 50% แต่มูลค่าที่ประทับไว้หน้าเหรียญยังเท่าเดิม ต่อมาก็ลดเหลือ 25% แปลว่าเดิมเนื้อเงินหรือเนื้อทองเท่านี้เอาไปทำได้ 1 เหรียญ เดี๋ยวนี้ทำได้ 4 เหรียญแล้ว

 

เจ๋งไหมล่ะ นี่แสดงว่ามันสมองอันปราดเปรื่องของ Investment Banker เคยอุบัติขึ้นมาในพื้นพิภพตั้งแต่โบราณกาลแล้ว

 

เมื่อโรมันหยุดการผลิตเหรียญแบบนั้นลง ก็พบว่ามูลค่าของเหรียญ denarius เหลือเพียง 5% ของที่เคยเป็น จากเดิม 1 denarius อาจใช้ซื้อนมได้ 1 แกลลอน ต่อมาต้องใช้ถึง 95 denarius ถึงจะซื้อนมในปริมาณเดียวกันได้ แล้วมันก็ไม่มีค่าอีก เมื่อไม่มีพ่อค้าคนไหนยอมรับชำระค่าสินค้าด้วย denarius

 

ทำให้จักรวรรดิ์โรมันต้องจ่ายค่าจ้างแรงงานด้วยเสื้อผ้า อาหาร ภาษีถูกเก็บเป็นผักและผลไม้

 

เมื่อไม่มีเงินที่จะสนับสนุนการขยายอาณาจักรกับการป้องกัน จักรวรรดิ์โรมันก็ถึงกาลล่มสลาย

 

ความจริงอันน่าตกใจก็คือในขณะที่จักรวรรดิ์โรมันใช้เวลาถึง 200 ปี ในการทำลายอำนาจซื้อของเงินลงไป 95% นับตั้งแต่วันที่เพิ่มเงินเข้าไปในระบบด้วยการใช้มวลสารทองคำและแร่เงินเท่า เดิมมาผลิตเหรียญได้มากขึ้น

 

แต่สหรัฐเก่งกว่ามาก เพราะใช้เวลาเพียง 80 ปีเท่านั้น ที่ทำให้ดอลลาร์เมื่อเทียบกับทองคำ เสื่อมลงไปในอัตรา 95% เท่าๆ กัน

 

คนใหญ่ คนโต มักละเลยบทเรียนจากประวัติศาสตร์ และจักรวรรดิ์อเมริกาก็ทำอย่างที่จักรวรรดิ์โรมันทำ เพียงแต่ง่ายกว่าเพราะเดี๋ยวนี้เรามีกระดาษที่หาได้ง่ายและแท่นพิมพ์

 

รัฐบาลสหรัฐพิมพ์เงินออกมามากมหาศาลตั้งแต่ช่วงปลายๆ ของปี 2008 และไม่เคยลดกิจกรรมนี้เลยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 

ผลกระทบของการเสกเงิน ดูได้จากราคาของที่แพงขึ้น ซึ่งสะท้อนการเสื่อมค่าของดอลลาร์

 

คำถามก็คือ สหรัฐคิดจะแก้ปัญหาที่แท้จริงไหม และโอบามาจะแก้มันได้อย่างไร

 

จะทำแค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าในวันนี้ให้พอพ้นๆ ไป แล้วพากันหลอกตัวเองไปเรื่อยๆ ว่าอเมริกายังยิ่งใหญ่อยู่ หุ้นจะยังดีอยู่ อะไรๆ กำลังจะไปได้ด้วยดี ทั้งๆ ที่หนี้สินเก่าไม่เคยลดลง แต่มีหนี้สินใหม่พุ่งพรวดสูงชั้นขึ้นทุกปีๆ

 

หรือว่าจะกล้าหาญพอที่จะล้มกระดาน ขอให้เจ้าหนี้ Hair Cut แบบที่ควรทำ เพื่อจะได้ฟื้นฟูขึ้นมาใหม่

 

แต่ถ้าไม่รีบทำเอง ระวังเจ้าหนี้เขาจะทำให้นะ

 

 

 

1376576_10201888400958905_1704752076_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Deflation + Inflation = Stagflation

 

Posted on October 10, 2013 by Martin Armstrong

QUESTION:

Hi Mr. Armstrong,

Deflation has been described as a peacetime phenomenon. You say we are in a period of deflation and yet the world seems to be at anything but peace. If your war model turns up in 2014, do you expect inflation?

Thanks

MB

ANSWER: The traditional concepts of DEFLATION and INFLATION are typically incorrect as we have the same problem with everything – one-dimensional thinking. The importance of understand this shift from PUBLIC to PRIVATE confidence is truly monumental.

callmony-ma.jpg?resize=584%2C438

Prior to the Great Depression in a PRIVATE WAVE, if interest rates rose it was considered bullish and a confirmation that the trend was still bullish because people were still borrowing for they say they could still make a profit. If we look at the Call Money rates taken from the NYSE, we can see that rates peaked with every bull market peak and declined with every collapse. Rates followed the trend.

Post-Great Depression in a PUBLIC WAVE, the same fundamental has been reversed relative to its interpretation. Today, lower rates are thought to be bullish and rising rates bearish. Why? We now sell stocks with rising rates because we are saying it is government that does not want stocks to rise and when they decline, they hope to encourage people to borrow. The interpretations are all based today on what government wants us to do. This is part of the socialism that must collapse. You will see that rising rates will be bullish not bearish for rates will rise today as the bid for capital rises in any natural bull market.

DEFLATION

We are currently in a deflationary trend because the cost of government is rising and this is producing draconian laws and escalating taxes. This is NOT a deflation because the private sector is contracting as is the case during a crash such as the Great Depression or what we saw after 2007. The deflation in this case is not because of a loss of disposable income from a contraction in private asset values, but because the cost of government is rising still reducing the disposable income. The effect is the same, the source is not. Hence, we are experiencing still the 50% decline in liquidity. Numerous hedge funds are closing because of the collapse in liquidity and that is “normally” associated with a market decline as disposable income declines. The cause of this trend is rising costs in government. Rare stamps of Italy have dropped in value as the clamp down on money in Italy has caused the local collector market to drop because people cannot spend income. The dealers at major auctions outside of Italy confirm the Italian clients are no longer buyers.

roman-hoard-britain-2.jpg?resize=354%2C265

INFLATION

The traditional concept of war is rising inflation as government spending rises. This was the case from the US perspective only because the US did NOT experience the deflationary aspect of war. What is that? When war is in your own country, it is DEFLATIONARY. Why? Because you destroy the infrastructure and money hoards. The biggest Roman hoards are always found from periods of war. Europe did not experience inflation but deflation. The inflation comes AFTER war for the rebuilding.

Supply-Demand-photo.jpg?resize=400%2C390

STAGFLATION

What we are truly deeply entrenched within is STAGFLATION where you will see assets rise, economic growth decline or remain flat, rising costs of government as they continue to raise taxes reducing disposable income, yet rising prices as those costs rise, Hence, the inflationary rise comes not from demand nor from a shortage of supply, but from the rising demand for a greater share of the pie from government.

CONCLUSION ON WAR:

If what we see is rising civil unrest, this typically destroys demand within the economy as people hoard their money, and start saving it for a rainy day. The inflation during a war unfolds if the infrastructure remains intact as it did in the USA during WWI and WWII. Destroy the infrastructure and the game changes.

 

http://armstrongeconomics.com/2013/10/10/deflation-inflation-stagflation/

 

 

 

งานค่อนข้างยุ่งครับช่วงนี้ อาจไม่มีเวลาสรุปบทความให้นะครับ

พอดีเป็นบทความเกี่ยวกับคอนเซปท์ ที่ค่อนข้างน่าสนใจ เลยเอามาแปะไว้ก่อน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...