ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

:047

อย่างนี้ก็จะกลายเป็น

 

QE1-2 ทองขึ้น เพราะเงินเฟ้อ

QE3 ทองลง เพราะดอกเบี้ยพันธบัตรขึ้น

เมื่อดอกเบี้ยพันธบัตรขึ้น หนี้เน่าเพิ่มสูงขึ้น ถ้าหยุด QE3 จะกลายเป็นแรงส่งให้ทองกลับเป็นขาขึ้นใช่มั๊ยคะ :38

ผมเชื่อแบบลุงจิมครับว่ายังไงๆเมกาไม่กล้าหยุด QE

เพราะหยุดเมื่อไหร่ก็ล้มเมื่อนั้น ...พันธบัตรไม่ซื้อของตัวเอง ใครจะซื้อ (ตอนนี้ต่างคนต่างซื้อพันธบัตรของตัวเอง)

หยุดซื้อดอกพุ่ง....หนี้เน่าพุ่ง ...เจ๊ง (ตอนแรกที่เจ๊งทองอาจโดนทุบก่อนครับ) แต่ในที่สุดก็จะต้องกลายเป็นจุดไฟให้จรวดทองแน่ๆ

 

ปล. ข่าวมาว่าเยอรมันที่สนับสนุนการประหยัด อดออมเพื่อแก้ปัญหายุโรป เริ่มจะมีความคิดที่จะทำแบบอาเบะแล้วคือ พิมพ์เงิน :047

 

German Finance Minister Wolfgang Schaeuble warned on Tuesday that failure to win the battle against youth unemployment could tear Europe apart, and dropping the continent's welfare model in favor of tougher U.S. standards would spark a revolution.

http://www.reuters.com/article/2013/05/28/us-europe-unemployment-idUSBRE94R0D320130528

 

The European Commission takes into panic the ripcord and all debt has allowed States to make more debt.The EU countries also warns that the economic situation deteriorates faster.The EU wants to prevent the end of the austerity measures it comes to social and political unrest.

 

http://translate.goo...chen-unruhen%2F

ถูกแก้ไข โดย MOR LEK

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตรรกะของคนปั่นหุ้น

-Unemployment Claims เพิ่มมากขึ้น แสดงว่าจะยังต้องทำ QE ต่อ...หุ้นขึ้น

วันใหน Unemployment Claims ลดลง แปลว่าเศรษฐกิจดีขึ้น ...หุ้นขึ้น

 

-วันใหนขายบ้านดีขึ้น แปลว่าเศรษฐกิจดีขึ้น ...หุ้นขึ้น

วันใหนขายบ้านไม่ดี แปลว่าจะต้องมี QE ต่อ...หุ้นขึ้น

 

คืนนี้ท่ามกลางข่าวที่ว่าจะลด ละ เลิก QE หุ้นก็ยังขึ้น

ส่วนทองนั้นแล้วแต่เจ้ามือว่าจะลากไปกิน S หรือกิน L :047 เฮ้อ

ถูกแก้ไข โดย MOR LEK

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ผมว่าข่าวลด ละ เลิก นี่หนักไปทางเล่นกันเองมากกว่า ส่วนมากประธาน FED สาขาที่มีสิทธิโหวตนโยบายการเงิน มักจะออกมาพูดในทิศทางเดียวกันว่า "พร้อมจะทำหากจำเป็น โดยดูตัวเลขศก.สหรัฐเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา"

 

ถ้าไม่หักดิบจริง อย่างน้อย QE น่าจะมีอยู่จนถึงกันยายนเป็นอย่างน้อย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

America: ทำไมอเมริกาอาจจจะเป็นจักรวรรดิสุดท้ายของโลก!

 

 

โดย คุยทุกเรื่องกับสนธิ (บันทึก) เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2013 เวลา 7:55 น.

935411_552448081474224_1928076867_n.jpg

 

 

อาณาจักร ของจักรวรรดิดังกล่าวนี้กินเนื้อที่ตั้งแต่ทะเลแคสเปี้ยนไปจนถึงทะเลบอลติก จากทางตอนกลางของทวีปยุโรปไปจนถึงหมู่เกาะคิวริของทางแปซิฟิกจากทางไซบีเรีย ไปจนถึงเอเชียตอนกลาง รวมถึงการมีหัวรบนิวเคลีรย์ถึง 45,000 ลูกพร้อมด้วยกองทัพพร้อมรบถึง 5 ล้านนายและนาง นับแต่อาณาจักรมองโกลที่เคยยึดครองผืนแผ่นดินระหว่างยุโรปและเอเชีย จีน ที่ราบของอิหร่านและที่กองทัพมองโกลเข้าตียึดปล้นตะวันออกกลางและเมืองแบก แดก และจนกระทั่งในปี 1997ที่อาณาจักรของทางสหภาพโซเวียดที่ต้องหายไปต่อหน้าต่อตาโลกก็มีเหลือ เพียงอาณาจักรเดียวหรือจักรวรรดิเดียวที่ครองความยิ่งใหญ่เหนือจักรวรรดิใดๆ ที่ผ่านมา

นี่คือสหรัฐ อเมริกาจักรวรรดิของโลกปัจจุบัน ที่เป็นจักรวรรดิเดียวที่ไม่มีชาติใดสามารถต่อกรได้แม้แต่ชื่อของจักรวรรดิ ดังกล่าวก็หานิยามอย่างชัดเจนไม่ได้บางคนก็เรียกว่าสหรัฐอเมริกาว่าเป็น Superpower แต่ชื่อดังกล่าวถูกเรียกในยุคสงครามเย็นเปรียบเทียบระหว่างสหรัฐอเมริกากับ โซเวียดยูเนียน บางทีจักรวรรดิดังกล่าวถูกเรียกว่า Hyperpowerแต่ก็ถูกเรียกได้ไม่นาน หรือถูกขนานนามว่าเป็น SolePower แต่ชื่อดังกล่าวก็ถูกลืมไป หรือถูกเรียกว่าเป็น GreatPower ซึ่งเป็นชื่อที่เคยถูกเรียกใช้ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งต่อชาติใน ยุโรปหรือญี่ปุ่นที่มีวัตถุประสงค์ขยายพื้นที่ของชาติตนให้กว้างไกลในตอน นั้นรวมถึงการเรียกสหรัฐอเมริกาว่าเป็น unipolar คือมหาอำนาจเพียงขั้วเดียวเพราะชื่อดังกล่าวหมายความว่า ถนนทุกสายนั้นมุ่งสู่กรุงวอชิงตัน

แม้ในปัจจุบัน เรายังงงๆกันว่าสหภาพโซเวียดต้องล้มทั้งยืนไปได้อย่างไร แต่สำหรับผู้บริหาร ในกรุงวอชิงตันนั้นสหรัฐอเมริกาคือชาติหนึ่งชาติเดียวที่ยังครองความเป็น จักรวรรดิได้หลังสงครามเย็นสิ้นสุดลงมันดูแล้ว ก็ทำให้เราตระหนักว่า ในที่สุดภายใต้ดวงอาทิตย์นั้นจักรวรรดิทุกจักรวรรดิต้องเข้าสู่การจุดจบ เหมือนกันหมดราวกับเป็นเครื่องเตือนใจเราให้รู้ว่า นี่คือสัจจะธรรมของชีวิต

จักรวรรดิสุดท้าย?

หลัง จากการล่มสลายของจักรวรรดิ Assyrians,Romans, Persians, China, Mongol, Spain, Portuguese, Dutch, French, English,Germans, และ Japanese empire ไปแล้วนั้นทำให้เราเห็นว่ากระบวนการในการสถาปนาเป็นจักรวรรดิตลอดจนการสิ้น สุดของความเป็นจักรวรรดินั้น อยู่ในกระบวนการเดียวกันแต่สหรัฐอเมริกาถือว่าเป็นมหาอำนาจแห่งจักรวรรดิที่ ไม่เคยปรากฏมาก่อน นอกเสียจากภาพยนต์ทางฮอลลีวู้ดที่พยายามสร้างภาพยนตร์ว่าโลกเรานั้นถูกเหล่า ร้ายที่พยายามครองโลกด้วยวิธีการต่างๆที่ทางภาพยนตร์ชอบนำเสนอให้คนดูเกิด ความตื่นเต้น

โดยจุดแรกนั้นสหรัฐอเมริกาคือจักรวรรดิว่าด้วย ทุนโลก และหลังจากที่สหภาพโซเวียดต้องล่มสลายลง(และทางจีนเองก็ได้เคลื่อนการปกครอง บริหารประเทศจากคอมมิวนิสต์มาเป็นกลุ่มชนชั้นครองอำนาจที่หันหน้าเข้าหาระบบ ทุนนิยม)นั้นว่ากันตามหลักเศรษฐกิจแล้วโลกของเราไม่เคยมีโมเดลทางด้าน เศรษฐกิจอย่างที่ทางวอชิงตันเสนอให้แก่โลกซึ่งผ่านทางตัวแทนอย่างไอเอมเอฟ หรือทางธนาคารโลก(ที่ทั้งสองสถาบันนี้ก็ถูกควบคุมโดยกรุงวอชิงตัน)สหภาพโซ เวียดเคยคิดว่าตนเองเคยมีโมเดลทางเศรษฐกิจที่เหนือล้ำกว่าผู้อื่น(the highway) แต่เดี๋ยวนี้มันชัดเจนแล้วว่าโมเดลทางเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียดจบอย่างไร คือหลักเศรษฐกิจที่ล้าสมัยและพังทลาย

มากไปกว่านั้นสหรัฐอเมริกามีอนุ ภาพทางกองทัพที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ ในขณะที่สหภาพโซเวียด เริ่มออกอาการโซซัดโซเซทางด้านงบประมาณทางด้านกองทัพสหรัฐอเมริกากลับทุ่มเท งบประมาณในการใช้จ่าย เพื่อทำการแข่งขันในเรื่องศึกสงคราม(armsrace) อย่างไม่ยั้งมือ เรียกได้ว่าทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องล้มทั้งยืนต่อหน้าหลุมฝังศพที่ตนเองกำลังจะ ตายและเมื่อปรากฏว่าสหรัฐอเมริกาไม่มีคู่แข่งทางด้านการแข่งขันทางด้านศึก สงครามแล้วสหรัฐอเมริกาก็ยังทุ่มเทงบประมาณทางด้านการรบต่อไป เพียงแต่ว่าคราวนี้สหรัฐอเมริกาแข่งขันในเรื่องดังกล่าวกับตัวเอง

จาก นั้นมาก็ไม่มีชาติใดในโลกที่มีการใช้จ่ายทางด้านกองทัพมากเท่ากับสหรัฐฯถึง กับเอางบประมาณของชาติต่างๆมารวมกันก็เทียบกับทางสหรัฐฯไม่ได้เลยสหรัฐ อเมริกาเป็นชาติที่ผลิตอาวุธที่ทรงอนุภาพที่สุดในโลกและเทคโนโลยีทางด้าน อาวุธก็นำชาติอื่นๆอย่างต้องใช้เวลาเป็นปีแสงถึงจะตามทันสหรัฐฯได้ และ จักรวรรดิอเมริกาก็ยังคงพัฒนาอาวุธแห่งอนาคตอย่างต่อเนื่องอย่างที่จักเกิด ในปี 2020, 2040, 2060 และเป็นชาติที่เรียกได้ว่าเกือบผูกขาดทางด้านการผลิตอาวุธแต่เพียงผู้ เดียว(และยังสามารถกำหนดทิศทางในการค้าอาวุธว่าชาติใดที่อเมริกาจะขายให้ หรือไม่ขายให้)

จักรวรรดิอเมริกามีฐานทัพครอบคลุมอยู่ทั่ว โลกกว่า1,000 แห่งทั่วโลกนี่ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ และจักรวรรดิอเมริกายังเป็นจ้าวโลกทางด้านวัฒธรรมที่ไม่มีวัฒนธรรมชาติใด เทียบได้ภาพยนตร์แนวแอคชั่นและแนวแฟนตาซีเปรียบได้กับพายุยักษ์ที่สร้างความ ตะลึงแก่ผู้ชมภาพยนตร์ที่ฮอลลีวู้ดเป็นผู้ป้อนให้ที่ผู้ชมยอมรับอย่างโดยดี วัฒนธรรมภาพยนตร์ยังไม่พอจักรวรรดิอเมริกายังมีแมคโดนัลด์ รองเท้าไนกี้(Nike Swoosh) คอมพิวเตอร์ส่วนตัวไม่มีชาติไหนในโลกที่สามารถสู้กับวัฒนธรรมที่มาจากทาง จักรวรรดิอเมริกาได้

แม้ว่าชาติที่มีเศรษฐกิจเข้มแข็งพออย่าง ชาติในยุโรปและญี่ปุ่นที่อาจจะท้าทายอเมริกาบ้างในบางเวลาแต่ชาติเหล่านี้ก็ ต้องอาศัยอเมริกาคุ้มครองตนทางด้านการทหารหรือปกป้องชาติตนจากอาวุธ นิวเคลียร์(nuclear umbrella) และสหรัฐอเมริกาก็มีฐานทัพอยู่ตามที่ต่างๆบนแผ่นดินของชาติเหล่านี้สิ่งที่ ไม่น่าแปลกใจคือ หลังจากที่สหภาพโซเวียดได้พังทลายลงนั้น ได้มีการพูดกันว่าประวัติศาสตร์ได้สิ้นสุดลงแล้ว และชัยชนะของ ‘เสรีภาพแบบประชาธิปไตย’ หรือ‘เสรีภาพ’ ได้ถูกฉลองขึ้นมา ราวกับว่าโลกเรานี้ไม่มีคำว่าพรุ่งนี้อีกแล้วสิ่งที่เหลืออยู่คือ เราจะได้อะไรจากวันนี้

ไม่น่าแปลกใจที่ศตวรรษใหม่ที่ว่านี้ ที่กลุ่มอนุรักษ์นิยมใหม่กับผู้เรียกตนเองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการ เมืองได้อ้างว่า จักรวรรดิอย่างสหราชอาณาจักรหรือโรมัน ถ้าเทียบกับจักรวรรดิอเมริกาแล้วถือว่าเป็นมือรองจากอเมริกาอย่างเทียบไม่ ได้เลย และก็ไม่น่าประหลาดใจที่นักการเมืองของรัฐบาลนาย George W. Bush ได้ฝันถึงคำว่าPax Americana in the Greater Middle East (คือการครอบครองพื้นที่ของตะวันออกกลางให้หมดซึ่งเป็นนโยบายหลังสงครามโลก ครั้งที่สอง ที่อเมริกามองตนเองเป็นเจ้าโลกสามารถครองพื้นที่ต่างๆได้โดยอาศัยกำลังทหาร ของอเมริกาเป็นตัวกำหนด) หรือการครอบคุมโลกทั้งโลก(ส่วนทางอเมริกาเองกลุ่มรีพัครีแกน มีการต้องการที่จะสร้าง Pax Republicana คืออเมริกาถูกครอบครองโดยรีพัครีแกน)กลุ่มคนเหล่านี้ได้สร้างจินตนาการว่า ถ้าพวกเขาสามารถทำให้นโยบายดังกล่าวประสบความสำเร็จได้แล้วอเมริกาก็จะไม่มี คู่แข่งอีกต่อไปและก็ไม่มีชาติใดคิดที่จะต่อกรแข่งกับอเมริกาได้อีก

จึง ไม่น่าประหลาดใจที่อเมริกาเปิดสงครามที่ใช้กองทัพที่เหนือล้ำกว่าหลาร้อย เท่ากับชาติต่างๆในตะวันออกกลางอย่างไม่ลังเล อเมริกาย่อมมีแต่ชนะไม่ใช่หรือ? ใครที่จะกล้ามาท้าทายชาติที่มีแสนยานุภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง จักรวรรดิอเมริกาได้?

การประเมินจักรวรรดิอเมริการตามสไตล์ในศตวรรษที่21

25 ปีหลังจากที่สหภาพโซเวียดได้ล่มสลายลงไปมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เปลี่ยนมาก หรือเปลี่ยนน้อย อย่างไร

เปลี่ยน มาก: ความฝันของวอชิงตันที่จะใช้พลานุภาพทางทหารปรากฏขึ้นเร็วมาก คือการเข้าโจมตีแอฟกานิสถานและอีรัก ในปี 2007 จักรวรรดิแห่งทุนนิยมเห็นตัวเองแทบล่มสลายทางด้านเศรษฐกิจที่ความหายนะดัง กล่าวมีผลกระทบต่อโลกในวงกว้าง ทำให้คนเริ่มมองว่า มหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกนี้ความจริงแล้ว คำว่าใหญ่เกินไปที่จะล้มนั้น อาจจะล้มลงก็ได้และทำให้โลกที่เราเคยคิดว่าเป็นขั้วเดียว (unipolar world) ได้กลายเป็นโลกหลายขั้วได้(multipolarworld)

ในขณะเดียวกัน ความฝันในการที่จะเข้าไปครอบครองตะวันออกกลางอย่างวงกว้าง กลับกลายเป็นภาพของการจลาจลเกิดมิคสัญญี สงครามการเมือง ความโกลาหล โดยที่คำว่า Pax Americana ไม่ได้แสดงแสนยานุภาพอะไรออกมาเลยและระบบการควบคุมและป้องกันอย่างที่ทาง วอชิงตันเคยใช้ในช่วงสงครามเย็นก็แทบกลายเป็นระบบเกือบล้มทั้งยืน ความฝันของทางวอชิงตันที่ต้องการจะควบคุมทิศทางโลกกลายเป็นความเพ้อฝันเสีย มากกว่าโดยที่การคลังของสหรัฐฯต้องสูญเสียเงินจากคลังราวกับเลือดที่ไหลไม่ หยุดซึ่งคิดเป็นเงินแล้วสูงถึงล้านล้านเหรียญดอลลาร์ นี่สะท้อนถึงความเสื่อมลงไม่ใช่ความรุ่งเรือง

อย่างไรก็ตาม ชาติทางยุโรปและญี่ปุ่น ยังคงขดตัวอยู่ภายใต้ร่มของอเมริกาและประเทศเหล่านี้ก็ยังคงมีฐานทัพอเมริกา เฝ้าคุ้มครองอยู่ ประเทศในโซนยุโรปนั้นรัฐบาลพวกเขาก็มีนโยบายในการตัดงบประมาณทางด้านกองทัพ ลง รวมถึงงบประมาณของทาง NATOประเทศอย่างรัสเซียยังคงมีหัวรบนิวเคลียร์อยู่มากแต่รัสเซียก็ได้ตัดงบ ประมาณทางด้านการทหารลง และไม่แสร้งทำตนว่าตัวเองเป็น superpowerอีกต่อไป ประเทศอย่างตุรกีและบราซิลกลับออกทีท่าในการต่อกรกับอเมริกาในเรื่อง เศรษฐกิจมากกว่าที่จะเป็นในเรื่องการใช้จ่ายต่องบประมาณทางด้านกองทัพ

ศัตรู ของวอชิงตันยังคงเป็นชาติที่มีขนาดกลาง อย่างเช่นเกาหลีเหนือหรืออิหร่าน(ที่สื่อทางอเมริกาพยายามวาดภาพชาติเหล่า นี้ให้น่ากลัวเกินความจริง)ที่สองชาติดังกล่าวนี้ยังคงขาดปัจจัยทั้งหมดที่ จะมาต่อกรกับอเมริกาได้เลยและศัตรูของวอชิงตันคือกลุ่มกบฏหัวรุนแรงที่ติด อาวุธซึ่งเป็นกลุ่มเล็กๆที่ถูกเรียกว่าเป็นกลุ่มก่อการร้ายและถ้าเรามาวัดดู กันจริงๆแล้ว มีชาติเพียงไม่กี่ชาติที่มีฐานทัพของตนตั้งอยู่ที่ประเทศอื่น

ภาย ใต้สถานการณ์ดังกล่าวความจริงก็ได้ปรากฏขึ้นให้เราได้รู้กันว่าในช่วงที่ ยิ่งใหญ่ที่สุดของจักรวรรดิอเมริกาชาติที่มีพลานุภาพที่เกรียงไกรที่สุดใน โลก และเป็นชาติ superpower เพียงชาติเดียวในโลกและมีเทคโนโลยีทางด้านอาวุธที่เหนือล้ำกว่าใครแต่กลับ ไม่สามารถที่จะเอาชนะทางด้านการรบกับกลุ่มนักรบกองโจรได้และที่น่าแปลกใจมาก คือทั้งๆที่อเมริกาไม่ได้มีศัตรูที่น่าเกรงขามอะไรแต่อเมริกากลับกำลังถอย เสื่อมลงไม่ได้ผงาดขึ้น สาธารณูปโภคพื้นฐานกำลังมีปัญหารุนแรงประชากรยากจนลง ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยมีมากขึ้นๆรัฐสภาของสหรัฐอเมริกาอยู่ในสภาพที่ ชำรุด นอกจากเสียตะโกนในสภาของสมาชิกฯเรียกร้องเงินกับงบประมาณโดยอาศัยคำว่า ความมั่นคงของชาติเป็นข้ออ้าง ไม่ช้าก็เร็วจักรวรรดิทุกจักรวรรดิย่อมพบกับความล่มสลาย แต่ในกรณีของอเมริกานั้นถือว่าเป็นเรื่องที่น่าทึ่งน่าสนใจมาก

ตอนนี้ มีการมองกันว่าจีนจะเป็นมหาอำนาจต่อไปที่จะมาท้าทายจักรวรรดิอเมริกา จะเป็นไปได้หรือไม่ ที่จีนชาติที่หลายพันปีมาแล้วก็มีมนุษยชาติอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้จากประวัติ ศาสตร์อันยาวนานเป็นไปได้หรือไม่ว่าที่มีการประเมินกันว่า จีนจะนำอเมริกาได้ในเชิงเศรษฐกิจและจีนจะเป็นเบอร์หนึ่งของโลก หลังจากปี 2030

ในขณะนี้รัฐบาลของนายโอบามาก็คิดเรื่องนี้เช่นกัน และได้เริ่มปรับตำแหน่งของตนเพื่อเตรียมรับมือกับความท้าทายที่กำลังเกิด ขึ้น แม้กระนั้นก็ดีแม้ว่าจีนได้เริ่มมีการขยายกองทัพและมากขึ้นและมีทีท่าที่ ท้าทายประเทศต่างๆรอบอาณาบริเวณของจีนทางแปซิฟิกมากขึ้นก็ตามแต่มันไม่ได้มี สัญญาญอะไรจากผู้นำจีนที่แสดงออกมาว่าจีนกำลังท้าทายสหรัฐอเมริกาอย่าง ชัดเจน หรือต้องการจะท้าทายสหรัฐฯและก็ไม่มีทีท่าว่าผู้นำจีนต้องการจะท้าทายสหรัฐฯ ในอนาคต ปัญหาภายในของจีนอย่างเรื่องความไม่สงบในสังคม เรื่องมลภาวะปัญหาต่างๆเหล่านี้ยังคงเป็นเรื่องที่จีนมองว่าเป็นเรื่องที่ ใหญ่มากที่ต้องแก้ไขที่ต้องใช้การแก้ไขเกินปี 2030 และหลังจากนั้นไปอีก

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วรวรรณ ธาราภูมิ

 

6 ชั่วโมงที่แล้ว

 

 

 

Good Morning News จาก กองทุนบัวหลวง มิตรแท้ตลอดเส้นทางลงทุน

 

31 พฤษภาคม 2556

----------------------------------------------------------------------------

 

General News

 

• ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ระบุว่า ภาวะตึงเครียดในระบบการเงินยูโรโซนได้บรรเทาลงแล้ว โดยเสถียรภาพการเงินเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่ยังคงอยู่ในภาวะเปราะบาง เนื่องจากเศรษฐกิจเติบโตอย่างอ่อนแอ และภาคธนาคารเผชิญความเสี่ยงหลายอย่าง ซึ่งปัจจัยเสี่ยงด้านเสถียรภาพที่สำคัญ 4 ประการ ได้แก่

1) การที่ประสิทธิภาพการทำกำไรของธนาคารร่วงลงต่อไป

2) ภาวะตึงเครียดในตลาดพันธบัตรรัฐบาล

3) ธนาคารพาณิชย์ประสบความยากลำบากในการระดมทุนในประเทศที่ได้รับแรงกดดัน

4) ค่าพรีเมียมความเสี่ยงในตลาดโลกได้รับการประเมินใหม่ หลังจากนักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยเป็นเวลานาน และแสวงหาการลงทุนที่ให้อัตราผลตอบแทนสูง

 

• นายกฯ เอ็นริโก เลตตา ของอิตาลี แสดงความพอใจกับคำแนะนำของคณะกรรมาธิการยุโรป ที่ให้มีการถอดชื่ออิตาลีออกจากบัญชีดำกลุ่มประเทศที่มียอดขาดดุลมากเกินไป ทั้งนี้ การที่จะถูกถอดจากบัญชีดำดังกล่าว อิตาลีต้องควบคุมยอดขาดดุลสาธารณะไม่ให้เกิน 3.0% ของ GDP เป็นเวลา 2 ปีติดต่อกัน ขณะที่อิตาลีคาดว่าสัดส่วนดังกล่าวจะอยู่ที่ระดับ 2.9% ในปีนี้

 

• ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของอิตาลีในเดือนเม.ย. ลดลง 0.4% จากเดือนก่อน และลดลง 1.0% จากปีก่อนหน้า ซึ่งนับว่าเป็นการดิ่งลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2009

 

• ตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ของ GDP ที่แท้จริงของสหรัฐประจำไตรมาส 1/2556 ขยายตัว 2.4% ซึ่งลดลงจากที่ประมาณการไว้ครั้งแรกว่าขยายตัว 2.5% สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มได้รับผลกระทบจากมาตรการลดงบประมาณราย จ่ายของรัฐบาลกลางสหรัฐโดยอัตโนมัติ (sequestration)

 

• จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 25 พ.ค. เพิ่มขึ้น 10,000 ราย สู่ระดับ 354,000 ราย ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 340,000 ราย ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานติดต่อกันโดยเฉลี่ย 4 สัปดาห์ เพิ่มขึ้น 6,750 ราย

 

• นายอีริก โรเซนเกรน ประธาน Fed สาขาบอสตัน เปิดเผยว่า ตลาดแรงงานของสหรัฐและเศรษฐกิจโดยรวมอาจมีความแข็งแกร่งเพียงพอภายในระยะ เวลา 2-3 เดือนเพื่อเปิดทางให้ Fed ปรับลดการซื้อพันธบัตรลงเล็กน้อยตามมาตรการ QE อย่างไรก็ตาม หาก Fed ยุติมาตรการโดยสิ้นเชิง จะเป็นการเร็วเกินไปสำหรับเวลานี้

 

• Fitch rating กล่าวว่า รัฐส่วนใหญ่ในสหรัฐจะมีเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นต่อไปในอัตราต่ำในปีงบประมาณ 2014 ที่ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นในวันที่ 1 ก.ค. ขณะที่มาตรการต่างๆ ในงบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐ และการปฏิรูประบบประกันสุขภาพ จะสร้างความไม่แน่นอนให้แก่งบประมาณของรัฐหลายรัฐ

 

• ผู้แทน OPEC กล่าวว่า การประชุมประเทศสมาชิก OPEC 12 ประเทศ ในสัปดาห์นี้ จะยังคงตรึงเป้าหมายการผลิตน้ำมันไว้ที่ 30 ล้านบาร์เรลต่อวันต่อไป เนื่องจากราคายังคงอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล และไม่ต่ำกว่า 100 ดอลลาร์

 

• ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ระบุว่า จะซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวจำนวน 8-10 ชุด ภายในเดือนหน้า คิดเป็นวงเงินรวมมากกว่า 7 ล้านล้านเยน

 

• วันศุกร์นี้ให้ติดตามการเปิดเผยอัตราเงินเฟ้อประจำเดือนเม.ย.ของญี่ปุ่น ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์คาดว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอาจอยู่ที่ -0.4% แต่อาจจะกลับมามีค่าเป็นบวกในช่วงต่อไปในปีนี้ และอาจอยู่ที่ระดับ 0.3% สำหรับช่วงปีงบประมาณ 2013/2014

 

• เดวิด ลิปตัน รองผอ. IMF กล่าวว่า หนี้สินรัฐบาลจีนได้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับเกือบ 50% ของ GDP แต่ยังคงสามารถควบคุมได้

 

• ความเชื่อมั่นทางธุรกิจในบรรดากลุ่มบริษัทผู้ผลิตของเกาหลีใต้ปรับตัวดีขึ้น ในเดือนที่ผ่านมา แม้ว่าไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงมาก แต่ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอันจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรม การส่งออก ซึ่งมีสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจของประเทศ

 

• สศค.คาดว่า จะปรับลดคาดการณ์ GDP ของไทยในปีนี้ลงต่ำกว่าเดิมที่ 5.3% ในการทบทวนการคาดการณ์เศรษฐกิจเดือนมิ.ย. หลัง GDP ไตรมาสแรกที่ผ่านมา ขยายตัวได้น้อยกว่าคาดและเศรษฐกิจโลกแผ่วลงค่อนข้างชัดเจน ซึ่งกระทบต่อการส่งออกของไทย นอกจากนี้ เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยในเดือนเม.ย. บ่งชี้ถึงสัญญาณการชะลอตัวต่อเนื่องของภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 2/2556

 

• กระทรวงพาณิชย์ ปรับลดตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือนเม.ย.เหลือ 17,409 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นการเติบโต 2.89% จากปีก่อน ซึ่งลดลงจากตัวเลขที่เปิดเผยเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า มีมูลค่า 18,699 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 10.52% เนื่องจากมีความคลาดเคลื่อนของตัวเลขการส่งออกไปฮ่องกง ที่เดิมระบุว่ามีมูลค่า 2,177ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ข้อมูลที่ถูกต้องมีเพียง 887 ล้านเหรียญสหรัฐ

 

• สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยถึงสถานการณ์การค้าสินค้าเกษตรของอาเซียนกับไทยในช่วงไตรมาส 1/2556 พบว่า ไทยยังคงเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้าอาเซียน คิดเป็นมูลค่า 41,193 ล้านบาท โดยสินค้าเกษตรส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ น้ำตาล ยางพารา ข้าว และวัตถุดิบอาหารสัตว์

 

• กระทรวงการคลังเตรียมแก้ไขประกาศการดูแลเงินทุน เพื่อให้ ธปท. มีเครื่องมือดูแลค่าเงินบาท ซึ่งมีประเด็นตามภาพประกอบ

 

แหล่งที่มาของภาพประกอบข่าว: กรุงเทพธุรกิจ

 

 

Equity Market

 

• SET Index ปิดที่ 1,581.32 จุด ลดลง -20.29 จุด หรือ -1.27% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 57,710 ล้านบาท ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากวันก่อนตามตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค เอเชีย ซึ่งมีผลมาจากดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปรับลดลงจากความกังวลธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตร นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจยุโรปที่ส่งผลในเชิงลบ

 

สรุปยอดสุทธิการซื้อขายของแต่ละกลุ่ม

กลุ่มนักลงทุน ล้านบาท

นักลงทุนสถาบัน +1,675.38

บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ -592.01

นักลงทุนต่างชาติ -3,835.50

นักลงทุนทั่วไป +2,752.13

 

• ดัชนีนิกเกอิทรุดลงกว่า 5% ต่ำกว่าระดับ 14,000 จุด จากการร่วงลงของค่าเงินดอลลาร์แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 10 พ.ค.เมื่อเทียบกับเยน ซึ่งได้ถ่วงหุ้นกลุ่มส่งออกของญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า การแข็งค่าของเงินเยนเป็นเพียงเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้มีแรงขายออกมาอีก แต่ความวิตกพื้นฐานที่อยู่ในความคิดของนักลงทุนคือ ความเป็นไปได้ ที่ Fed จะยกเลิกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ

 

 

Fixed Income Market

 

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับเพิ่มขึ้นในตราสารอายุ 5 ปีขึ้นไป ในช่วง +0.02% ถึง +0.07% จากแรงขายของนักลงทุนบางส่วนโดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศ จากการที่ตลาดกังวลว่า Fed อาจจะชะลอมาตรการ QE โดยลดขนาดการซื้อคืนพันธบัตรลง เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐออกมาดีกว่าที่คาดการณ์

 

• ธนาคารกลางบราซิลปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.5% เป็น 8% เพื่อพยายามจะควบคุมเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ บราซิลถือเป็นประเทศเดียวในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 20 ชาติ (จี20) ที่ธนาคารกลางตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยในเดือนที่ผ่านมาหลายประเทศ รวมถึง อิสราเอล สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย และอินเดีย ต่างพากันปรับลดต้นทุนการกู้ยืมลงมา

 

 

 

954812_10200976832730269_248167065_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นับถอยหลังถอน "คิวอี" เอเชียเสี่ยงฟองสบู่แตก-หนี้ท่วม

  • 30 พฤษภาคม 2556 เวลา 08:50 น. |

DFD522B7097A4B41974F06AC0F25B3DE.jpg

 

 

 

โดย...พันธสิทธิ เจริญพาณิชย์พันธ์

นับตั้งแต่ เบน เบอร์แนนคี ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกมาเผยต่อคณะกรรมาธิการของวุฒิสภาสหรัฐเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ว่า ในอนาคตข้างหน้าอาจตัดสินใจลดการใช้มาตรการเข้าซื้อสินทรัพย์ (คิวอี) เดือนละ 8.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ลง ถ้าหากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐในอนาคตปรับตัวดีขึ้น รัฐบาลและนักลงทุนทั่วโลกต่างก็หันมาจับตามองภาวะความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ ชิด

ความกังวลว่าเฟดอาจลดการใช้มาตรการคิวอียิ่งได้รับการตอกย้ำหนักขึ้นไป อีกขั้น เมื่อดัชนีเอสแอนด์พี/เคสชิลเลอร์ ซึ่งเป็นผลสำรวจราคาอสังหาริมทรัพย์ตามหัวเมืองใหญ่ทั่วสหรัฐ ระบุว่า ราคาบ้านในเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา มีการปรับตัวขึ้นถึง 10.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และถือเป็นการบวกที่พุ่งทะยานมากที่สุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย. ปี 2006 พร้อมกันนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน พ.ค. ก็เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 5 ปี โดยอยู่ที่ 76.2 จุด จาก 69 จุด ในเดือนก่อนหน้า

แนวโน้มดังกล่าวทำให้นักวิเคราะห์หลายสำนักต่างก็ฟันธงกันไปแล้วว่า เฟดจะต้องลดหรือถอนการใช้มาตรการคิวอีค่อนข้างแน่ ขึ้นอยู่กับว่าช้าหรือเร็วเท่านั้น ซึ่งภาวะดังกล่าวย่อมนำไปสู่การแห่ถอนทุนกลับคืนสู่อ้อมอกของสหรัฐ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ไหลไปลงในภูมิภาคที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ และให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าอย่างในเอเชีย ดังนั้น จึงจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียอย่างแน่นอน โดยเฉพาะ ฮ่องกง สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และ อินเดีย ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบหนักที่สุด

เพราะเงินร้อนมหาศาลจากการอัดฉีดของเฟดที่หลั่งไหลเข้าไปสู่เอเชีย เพื่อเก็งกำไรส่วนต่างผลตอบแทนและการเติบโตที่สูงกว่า ในขณะที่หลายชาติเอเชียใช้นโยบายตรึงอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อป้องกันภาวะ เศรษฐกิจโลกชะลอตัวด้วยนั้น ได้กลายเป็นตัวบิดเบือนและกัดกร่อนพื้นฐานความแข็งแกร่งของเขตเศรษฐกิจเกิด ใหม่ในเอเชียอย่างหนัก โดยเห็นได้จากภาวะฟองสบู่สินทรัพย์และหนี้ทั้งภาคครัวเรือน เอกชน และหนี้สาธารณะที่พุ่งขึ้นอย่างหนัก จนทำให้หลายประเทศต่างตกอยู่ในอาการปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างหนักในขณะนี้

ยืนยันได้จากข้อมูลของแม็คคินซีย์ แอนด์ โค เปิดเผยกับหนังสือพิมพ์วอลสตรีต เจอร์นัลว่า หนี้ในทุกภาคส่วนของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาต่อจีดีพีในเอเชีย ณ ปัจจุบัน ได้พุ่งทะยานขึ้นไปจนสูงกว่าระดับหนี้ในปี 1997 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่จะเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งแล้ว โดยเฉพาะในช่วง 4 ปีหลังที่ผ่านมาที่มีการขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจากที่ระดับ 133% ต่อจีดีพีทั้งหมดในปี 2008 ขึ้นไปอยู่ที่ 155% ในช่วงกลางปี 2012

นอกจากนั้น จากการที่เงินกู้ยืมนั้นอยู่ในรูปของสกุลเงินต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ก็ยิ่งทำให้หลายชาติตกอยู่ในภาวะที่เสี่ยงมีหนี้เพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว หากเกิดภาวะ “ถอนทุนกลับ” ซึ่งจะดันให้เงินเหรียญสหรัฐกลับมาแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว และดันให้ปริมาณหนี้ของเอเชียในรูปของสกุลเงินต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น

ฮ่องกง ซึ่งพบสัญญาณฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ขั้นสาหัส นั้น นับเป็นเขตเศรษฐกิจที่เสี่ยงต่อภาวะฟองสบู่แตกมากที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย หลังจากนโยบายตรึงค่าเงินฮ่องกงกับเงินเหรียญสหรัฐส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยน ของฮ่องกงขาดความยืดหยุ่น และกลายเป็นเป้านิ่งรับทุนร้อนจากต่างประเทศที่เข้ามาเก็งกำไร ค่าเงิน อสังหาริมทรัพย์และสินทรัพย์ในรูปแบบต่างๆ

ปัจจุบันราคาบ้านในฮ่องกงพุ่งสูงขึ้นถึง 128% นับตั้งแต่เดือน ธ.ค. ปี 2008 ด้วยเหตุนี้หากเฟดยุติคิวอีขึ้นมา ก็จะส่งผลให้เกิดการถอนทุนกลับ นำไปสู่การปรับฐานของตลาดทุนครั้งใหญ่ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยที่จะปรับตัวสูง ขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดการตึงตัวของสินเชื่อและอาจนำไปสู่ความวุ่นวายในตลาดอสังหาริมทรัพย์ตาม มา

ในอดีตนั้น ฮ่องกงเคยมีบทเรียนมาแล้วในช่วงวิกฤตการณ์ภาคการเงินเอเชีย ปี 1997 เมื่อฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ที่สั่งสมมานานแตกตัวในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง นำไปสู่ภาวะการบริโภคที่ตกต่ำลงทั่วเกาะฮ่องกง ซึ่งก็ได้กลายเป็นปัจจัยหลักที่ฉุดรั้งให้เศรษฐกิจของฮ่องกงเข้าสู่ภาวะถด ถอยอย่างหนัก อีกทั้งยังเกิดภาวะเงินฝืดเข้าซ้ำเติมอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดความหวั่นเกรงกันว่าการยุติการใช้มาตรการคิวอีของธนาคารกลางสหรัฐอาจนำไปสู่ภาวะฟองสบู่แตกรอบ 2 ในฮ่องกงได้ ซึ่งในปัจจุบัน สิงคโปร์ ก็กำลังมีแนวโน้มว่าอาจจะต้องเผชิญปัญหาในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน แม้ว่าที่ผ่านมาทางการสิงคโปร์จะผลักดันมาตรการต่างๆ ออกมาเพื่อรับมือกับปัญหาดังกล่าวบ้างแล้วก็ตาม

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ ก็ออกมาเตือนว่า การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วจะนำไปสู่ปัญหางบดุลของครัวเรือน เนื่องจากบรรดาภาคครัวเรือนต่างคิดและเชื่อมั่นไปก่อนแล้วว่า ราคาบ้านจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ทว่าความเป็นจริงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น

ไม่เพียงเฉพาะแต่ฮ่องกงและสิงคโปร์เท่านั้นที่จะได้รับผลกระทบจากการยุติ การใช้คิวอีของเฟด แต่ยังรวมไปถึงอินเดียและอินโดนีเซีย เนื่องจากปัจจุบันทั้งสองประเทศนี้มีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างหนัก หรืออยู่ในสภาวะที่มีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้น การที่นักลงทุนต่างชาติแห่ถอนเงินออกไปจากการถอนมาตรการคิวอีของเฟด ก็ยิ่งจะทำให้ทั้งสองประเทศต้องหันมาพึ่งการขายสินทรัพย์ทางการเงินเพื่อหา เงินทุนมาใช้พึ่งพาตนเองหนักขึ้นไปอีก

“การถอนทุนออกของนักลงทุนต่างชาติทั้งในรูปแบบของตลาดหุ้นและตลาด พันธบัตร ถือเป็น ความเสี่ยงต่อค่าเงินของเอเชียอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศที่มีการดำเนินนโยบายดุลบัญชีเดินสะพัดขาด ดุล หรือมีการเกินดุลเพียงเล็กน้อย อย่างอินเดียและอินโดนีเซีย” รายงานของบริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ ระบุ

กรณีของ อินโดนีเซีย นั้น ดูท่าว่าจะหนักหนาสาหัสมาก เพราะการหลั่งไหลของทุนที่ออกจากแดนอิเหนาจะยิ่งกลายเป็นแรงกดดันต่อภาวะดุล บัญชีเดินสะพัดมากยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังค่าเงินรูเปียห์ของประเทศที่อ่อนค่าลงอยู่ แล้วให้ยิ่งเลวร้ายมากขึ้นไปอีก

นอกจากนี้ แรงกดดันจากภาวะเงินทุนที่ไหลออกอย่างหนักหากว่าเฟดยุติการใช้คิวอี จะกลายเป็นตัวบีบคั้นให้ธนาคารกลางของอินโดนีเซียอาจต้องตัดสินใจปรับขึ้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อรักษาเม็ดเงินต่างชาติเอาไว้ ทว่าในทางกลับกันก็จะไปขัดขวางการบริโภคและการลงทุนในประเทศแทน

ขณะที่ อินเดีย นั้น ก็คาดว่าจะต้องเผชิญกับค่าเงินรูปีที่อ่อนค่าลงอย่างหนัก ขณะเดียวกันตลาดทุนในอินเดียก็เสี่ยงที่จะต้องได้รับความผันผวนไปด้วย ขณะเดียวกันเงินทุนที่ไหลเข้ามาน้อยอย่างกะทันหันก็ยิ่งกลายเป็นปัจจัยที่ ทำลายการลงทุนในประเทศอีกด้วย

ทั้งนี้ ในปีที่แล้วเงินทุนต่างชาติที่ไหลทะลักเข้าสู่อินเดียทั้งหมดอยู่ที่ 8.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นผลโดยตรงมาจากการใช้นโยบายอัดฉีดของชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐ

เหล่าบรรดาผู้กำหนดนโยบายในเอเชียจึงควรต้องจับตาและเตรียมมาตรการรับมือ กับภาวะการถอนสมอคิวอีของเฟดเอาไว้ให้ดี เพราะเอเชียมีสิทธิเจ็บตัวหนักกว่าใครในยามที่อีกซีกโลกเขากำลังฟื้นตัว

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

India to import around 350-400 tonnes of gold in Q2; Asia demand to hit record: WGC

 

ไม่รู้จีนซื้อเท่าไร รู้แต่ว่า ช่วงสงกรานต์ราว 10 วันที่โดนทุบ ซื้อเข้าไปแล้ว 300 ตัน

 

http://articles.economictimes.indiatimes.com/2013-05-29/news/39602297_1_gold-demand-world-gold-council-tonnes#.Uafy2jjPiEI.facebook

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ผลสำรวจราคาอสังหาริมทรัพย์ตามหัวเมืองใหญ่ทั่วสหรัฐ ระบุว่า ราคาบ้านในเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา มีการปรับตัวขึ้นถึง 10.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

แปลกจริงๆราคาบ้านพุ่งแต่ราคาไม้ดันร่วง ไม่เข้ากับดีมานด์ ซัพพลายเลย

 

5-29amlumber.jpg

 

Why Is The Smart Money Suddenly Getting Out Of Stocks And Real Estate?

Is there a reason why the smart money is suddenly getting out of stocks and real estate?

It could just be that the insiders are simply responding to market dynamics and that many of them are just seeking to lock in their profits.

Or it could be something much more than that.

What do you think?

Why are so many insiders heading for the exits right now?

 

 

ทำไมเซียนหลายคนถึงพากันทิ้งหุ้นและอสังหาฯ

-อาจเป็นเพราะกำไรได้เป้าแล้ว หรือ

-อาจเห็นว่าอะไรที่ฉิบหายใหญ่โตกำลังจะเกิดขึ้น

 

Read more at http://investmentwat...PUmdPrOZ374R.99

ถูกแก้ไข โดย MOR LEK

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณคุณหมอเล็ก คุณโอเอซิส และคุณหมีน้ำมากครับ สำหรับคำอธิบาย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตรรกะของคนปั่นหุ้น

-Unemployment Claims เพิ่มมากขึ้น แสดงว่าจะยังต้องทำ QE ต่อ...หุ้นขึ้น

วันใหน Unemployment Claims ลดลง แปลว่าเศรษฐกิจดีขึ้น ...หุ้นขึ้น

 

-วันใหนขายบ้านดีขึ้น แปลว่าเศรษฐกิจดีขึ้น ...หุ้นขึ้น

วันใหนขายบ้านไม่ดี แปลว่าจะต้องมี QE ต่อ...หุ้นขึ้น

 

คืนนี้ท่ามกลางข่าวที่ว่าจะลด ละ เลิก QE หุ้นก็ยังขึ้น

ส่วนทองนั้นแล้วแต่เจ้ามือว่าจะลากไปกิน S หรือกิน L :047 เฮ้อ

 

ชอบจัง

ส่วนเกินความเป็นจริงก็คือส่วนที่ชอบเล่นข่าว เล่นคลื่น เล่นเก็งกันนั่นแหละครับ

แต่ปัญหาก็คือ เรามักไม่รู้ว่าความเป็นจริงอยู่ตรงไหน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ผลสำรวจราคาอสังหาริมทรัพย์ตามหัวเมืองใหญ่ทั่วสหรัฐ ระบุว่า ราคาบ้านในเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา มีการปรับตัวขึ้นถึง 10.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

แปลกจริงๆราคาบ้านพุ่งแต่ราคาไม้ดันร่วง ไม่เข้ากับดีมานด์ ซัพพลายเลย

 

5-29amlumber.jpg

 

Why Is The Smart Money Suddenly Getting Out Of Stocks And Real Estate?

Is there a reason why the smart money is suddenly getting out of stocks and real estate?

It could just be that the insiders are simply responding to market dynamics and that many of them are just seeking to lock in their profits.

Or it could be something much more than that.

What do you think?

Why are so many insiders heading for the exits right now?

 

 

ทำไมเซียนหลายคนถึงพากันทิ้งหุ้นและอสังหาฯ

-อาจเป็นเพราะกำไรได้เป้าแล้ว หรือ

-อาจเห็นว่าอะไรที่ฉิบหายใหญ่โตกำลังจะเกิดขึ้น

 

Read more at http://investmentwat...PUmdPrOZ374R.99

ไม่รู้ตัวเลขที่ออกมา มาจากความจริงมากน้อยแค่ไหนนะคะ

หลายๆคร้ังมีการตัดตรงน้ันตรงน้ี เพื่อให้ได้ตัวเลขที่ต้องการ อาจมีเป้าหมายในการป่ันตลาดมั้ยคะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณคุณส้มโอมือ คุณหมอเล็ก คุณwcg คุณ milo คุณoasis และทุกท่านมากนะคะ :01

เป็นห้องสาระความรู้ เพ่ือความเท่าทันเล่ห์เหล่ียมของนายทุนใหญ่

ชอบอ่านมากๆค่ะ :gd

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ไม่รู้ตัวเลขที่ออกมา มาจากความจริงมากน้อยแค่ไหนนะคะ

หลายๆคร้ังมีการตัดตรงน้ันตรงน้ี เพื่อให้ได้ตัวเลขที่ต้องการ อาจมีเป้าหมายในการป่ันตลาดมั้ยคะ

 

หมายถึงตัวเลขตัวใหนครับ ถ้าหมายถึงราคาบ้านที่เพิ่มขึ้นละก็ เป็นไปได้ครับที่จะแต่งตัวเลขออกมาให้สวยๆเพื่อกระตุ้นให้คนซื้อ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...