ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

ศูนย์วิจัยกสิกรฯ คาดบาทผันผวนรอความชัดเจนทิศทางเฟด-มองกนง.คงดบ.1.75%ถึงสิ้นปี

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2558 15:42:53 น.

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า จากการที่เฟดส่งสัญญาณว่า จังหวะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 9 ปีของสหรัฐฯ ยังไม่น่าจะเกิดขึ้นในการประชุม FOMC เดือนเม.ย. 2558 นี้ ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงมองว่า นัดการประชุม FOMC วันที่ 16-17 มิ.ย. 2558 น่าจะหนึ่งในรอบการประชุมครั้งสำคัญของปี เนื่องจากช่วงเวลานั้น เฟดน่าจะมีมุมมองที่ตกผลึกมากขึ้นต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

 

 

ซึ่งหากการทิศทางของเครื่องชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในหลายๆ มิติเป็นไปตามที่เฟดคาด ก็น่าจะทำให้เฟดสามารถเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ได้ในการประชุมรอบใกล้ๆ กลางปี ซึ่งอย่างเร็วที่สุดก็คือ การประชุม FOMC เดือนก.ค. 2558

แต่ในทางกลับกัน หากผลการประเมินทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ของเฟดพลิกเป็นอีกด้านหนึ่ง ก็อาจทำให้จังหวะแรกของการปรับขึ้นดอกเบี้ยต้องเลื่อนเวลาออกไปในช่วงท้ายๆ ปี ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า สถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอนดังกล่าวน่าจะส่งผลทำให้การเคลื่อนไหวของเงินบาทจากนี้ไปจนถึงช่วงกลางปีจะยังคงมีทิศทางที่ค่อนข้างผันผวน

ส่วนผลต่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า สัญญาณไม่เร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดน่าจะเอื้อเวลาให้ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ร้อยละ 1.75 ไปตลอดทั้งปี 2558 หรือพิจารณาจุดยืนที่ผ่อนคลายลงกว่านี้ หากสัญญาณการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทยยังคงมีความล่าช้ากว่าที่คาด

อนึ่ง ผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เมื่อวันที่ 17-18 มี.ค. ซึ่งยุติลงด้วยการปรับเปลี่ยนถ้อยแถลงในส่วนที่สะท้อน “ความอดทนในการเริ่มต้นปรับจุดยืนนโยบายการเงินเข้าสู่ภาวะปกติ” ออกไปตามที่ตลาดคาด อาจทำให้ในช่วงหลายเดือนนับจากนี้ เป็นช่วงเวลาที่สภาพแวดล้อมของเศรษฐกิจและการเงินโลกจะทยอยเปลี่ยนผ่านเข้าสู่อีกจังหวะเวลาที่สำคัญ ก็คือ “จุดเริ่มต้นปรับสมดุลนโยบายการเงิน” ของเฟด ด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Funds เป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ จะถูกปรับขึ้นจากกรอบร้อยละ 0.0-0.25 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2551 หากข้อมูลเศรษฐกิจและตลาดแรงงานของสหรัฐฯ นับจากนี้จนถึงช่วงกลางปี ยังสะท้อนการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง

ทำให้ สะท้อนว่าจุดเริ่มของวัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Funds มีโอกาสเคลื่อนไปอยู่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2558 มากขึ้น เพราะเจ้าหน้าที่เฟดต้องการรอสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้นจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทุกมิติ ซึ่งทำให้คาดว่า ขนาดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในปีนี้น่าจะไม่มาก โดยอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ณ สิ้นปี 2558 น่าจะอยู่ในช่วงประมาณร้อยละ 0.50-0.75 จากกรอบร้อยละ 0.0-0.25 ในปัจจุบัน

อินโฟเควสท์ โดย กษมาพร กิตติสัมพันธ์/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--

 

คมนาคมเข็นประมูลรถไฟทางคู่ 5 เส้นทางปีนี้, สศช.เห็นชอบสายจิระ-ขอนแก่น

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2558 16:44:40 น.

นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ว่า ล่าสุดคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ได้อนุมัติรถไฟทางคู่เส้นทางชุมทางจิระ-ขอนแก่น ระยะทาง 185 กม. วงเงิน 26,007 ล้านบาทแล้ว โดยหลังจากนี้จะเตรียมเสนอคณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ(คนร.) และคณะรัฐมนตรีต่อไป

 

 

ส่วนรถไฟทางคู่เส้นทางประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง 167 กม. วงเงิน 17,293 ล้านบาท เส้นทางนครปฐม-หัวหิน ระยะทาง 165 กม. วงเงิน 20,038 ล้านบาท เส้นทางมาบกะเบา-โคราช ระยะทาง 132 กม. วงเงิน 29,855 ล้านบาท เส้นทางลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 148 กม. วงเงิน 24,842 ล้านบาท อยู่ในขั้นตอนขออนุมัติผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(EIA) โดยทั้งหมดมีเป้าหมายเปิดประกวดราคาภายในปีนี้

พร้อมกันนี้ ได้เร่งรัดให้รวบรวมข้อมูลผลการศึกษาโครงการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) 2 เส้นทางที่รัฐบาลมีนโยบายชัดเจนว่าจะลงทุน คือ กรุงเทพฯ-พัทยา ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) และเส้นทางกรุงเทพฯ-หัวหิน ซึ่งสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.) ได้ทำการศึกษาเบื้องต้นแล้วและอยู่ในขั้นตอนการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(EIA) และการออกแบบรวมถึงศึกษาผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ (EIRR) ซึ่งทั้งร.ฟ.ท.และ สนข.จะสรุปข้อมูลเบื้องต้นรายงานกระทรวงคมนาคมภายใน 2 สัปดาห์

นางสร้อยทิพย์ กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 18 มี.ค. มีมติเห็นชอบผลศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(EIA) โครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงส่วนต่อขยาย ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ระยะทาง 10.3 กม. วงเงิน 6,018 ล้านบาท ซึ่งหลังจากนี้ ร.ฟ.ท.จะทบทวนรายละเอียดเพื่อเสนอกระทรวงคมนาคม และเสนอขออนุมัติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตามขั้นตอนต่อไป พร้อมกันนี้ ร.ฟ.ท.จะเสนอคณะกรรมการ(บอร์ด) เพื่อขออนุมัติงบประมาณปี 2558 ในการศึกษาและออกแบบส่วนต่อขยายจาก ม.ธรรมศาสตร์ รังสิตไปถึง จ.พระนครศรีอยุธยา

นอกจากนี้ สำนักงานนโยบายและแผน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(สผ.) ยังเห็นชอบผลการศึกษา EIA โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) ระยะทาง 34.5 กม. วงเงิน 56,691 ล้านบาท โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม และ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย(หัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ) ที่มีการปรับแบบช่วงอุโมงค์แยกบางพลัด

นางสร้อยทิพย์ กล่าวถึงการจัดตั้งกรมการขนส่งทางรางว่า ในวันที่ 10 เม.ย.นี้ คณะกรรมการชุดที่มีพล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รมว.คมนาคมเป็นประธาน จะประชุมเพื่อสรุปขั้นตอนและรายละเอียด ก่อนเสนอไปยังสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) และครม.ต่อไป หลักการจะตั้งกรมรางให้แล้วเสร็จและเริ่มทำงานได้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.58 โดยหน้าที่หลักคือกำกับดูแล (Regulator) ร.ฟ.ท.รับผิดชอบการเดินรถและซ่อมบำรุง ส่วนการก่อสร้างนั้นจะต้องแบ่งเป็นเฟส เพราะในช่วงเปลี่ยนผ่านร.ฟ.ท.จะต้องก่อสร้างต่อไปก่อน โดยมีบทเฉพาะกาลรองรับ

อินโฟเควสท์ โดย คคฦ/กษมาพร/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

15626_859513874094807_8032406443204113950_n.jpg?oh=0c6bd4fed52d2b09de999f1f79b55f27&oe=55BBEF47&__gda__=1433547050_0c6fdf8d3211ba3de3edb55c0c9eaeb1

งานกาชาดปีนี้ ... เที่ยวงานบุญกับกาชาด มีใครจะไปบ้างงงงงคะ??? ^^

 

สำหรับกิจกรรมไฮไลท์พิเศษเพื่อเฉลิมฉลองในปีมหามงคลในปีนี้ สภากาชาดไทย ได้จัดให้มีการประกวดขบวนแห่รถเฉลิมพระเกียรติฯ ภายใต้แนวคิด “ถวายพระพรองค์อุปนายิกา 60 พรรษา ปวงประชาสุขใจ” เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ในโอกาสฉลองพระชนมายุ 5 รอบ ในวันที่ 2 เมษายน 2558 โดยเชิญชวนหน่วยงานที่ร่วมออกร้านงานกาชาดย้อนอดีตงานกาชาดในปี 2466 ประดับตกแต่งขบวนแห่รถที่ยิ่งใหญ่ เพื่อร่วมถวายความจงรักภักดี และสำนึกในพระกรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย

 

ขอเชิญชวนประชาชนชาวไทยร่วมชมขบวนแห่รถเฉลิมพระเกียรติฯ อันยิ่งใหญ่ตระการตาจากหน่วยงานต่าง ๆ ในวันที่ 30 มีนาคม 2558 ตั้งแต่เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า

 

งานกาชาดประจำปี 2558 กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 มีนาคม ถึง 7 เมษายน 2558 รวม 9 วัน 9 คืน ณ บริเวณสวนอัมพร ลานพระบรมรูปทรงม้า สนามเสือป่า ถนนศรีอยุธยา และถนนราชดำเนินนอก

 

...เที่ยวสนุก สุขใจ ได้กุศล เที่ยวงานกาชาด ที่สวนอัมพร...

 

#redcrossfair2015 #งานกาชาดปี2558redcrossfundraising

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ดอลลาร์ฟื้นตัววันนี้ หลังดิ่งวานนี้รับเฟดไม่รีบขึ้นดอกเบี้ย

 

 

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2558 19:20:33 น.

ดอลลาร์ฟื้นตัวขึ้นในวันนี้ หลังจากทำสถิติดิ่งลงเมื่อวานนี้หนักที่สุดในรอบ 18 เดือนหลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณไม่รีบขึ้นอัตราดอกเบี้ย

 

ทั้งนี้ แรงซื้อดอลลาร์ในวันนี้กดดันให้ยูโรร่วงลง 2% อยู่ที่ 1.0631 ดอลลาร์ หลังจากพุ่งขึ้นถึง 1.10625 ดอลลาร์เมื่อวานนี้หลังการประชุมเฟด

 

ดอลลาร์แข็งค่า 0.5% สู่ระดับ 120.69 เยนในวันนี้ หลังจากเมื่อวานนี้ร่วงลงแตะ 119.29 เยน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 27 ก.พ. และเป็นการปรับตัวลงต่ำกว่า 120 เยนเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 สัปดาห์

 

 

 

คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลงมติในการประชุมเมื่อวานนี้ ด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยใกล้ 0% ต่อไป ขณะที่เปิดโอกาสในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงกลางปี แต่ก็แสดงเหตุผลให้เห็นว่าเฟดยังไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

 

ทั้งนี้ แถลงการณ์เฟดได้ยกเลิกการใช้คำว่า "อดทน" ในการพิจารณากำหนดเวลาสำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย.นี้ อย่างไรก็ดี เฟดระบุว่า จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็ต่อเมื่อเฟดมีความเชื่อมั่นว่าภาวะเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำในขณะนี้กำลังจะปรับตัวกลับสู่ระดับ 2% ซึ่งเป็นเป้าหมายของเฟด และตราบใดที่ตลาดแรงงานยังคงฟื้นตัวขึ้น

 

นอกจากนี้ เฟดมีท่าทีระมัดระวังมากขึ้นต่อแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และได้ปรับลดคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเฟดยังคงมีความกังวลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

 

เฟดเปิดเผยว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย "ไม่มีแนวโน้ม" ที่จะเกิดขึ้นในการประชุมเดือนเม.ย. และระบุว่า การเปลี่ยนแปลงสิ่งชี้นำอัตราดอกเบี้ยไม่ได้หมายความว่าเฟดได้ตัดสินใจเกี่ยวกับกำหนดเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ โทร.02-2535000 อีเมล์: kongkiat.k@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq21/2119088

 

ดาวโจนส์ฟิวเจอร์พักฐานวันนี้ หลังพุ่งแรงวานนี้รับแถลงการณ์เฟด

 

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2558 19:05:48 น.

ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าปรับฐานในวันนี้ หลังจากพุ่งขึ้นอย่างมากเมื่อวานนี้ จากการที่นักลงทุนขานรับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ส่งสัญญาณว่าจะยังไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

ณ เวลา 18.47 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าลบ 12 จุด หรือ 0.07% ที่ระดับ 17,977 จุด

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 200 จุดเมื่อคืนนี้ (18 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับถ้อยแถลงของเฟดที่ส่งสัญญาณว่าจะยังไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แม้ว่าเฟดได้ยกเลิกการใช้คำว่า "อดทน" ในการพิจารณาเรื่องกำหนดเวลาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในแถลงการณ์ล่าสุดก็ตาม

 

 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,076.19 จุด พุ่งขึ้น 227.11 จุด หรือ +1.27% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,982.83 จุด เพิ่มขึ้น 45.40 จุด หรือ +0.92% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,099.50 จุด เพิ่มขึ้น 25.22 จุด หรือ +1.22%

นักลงทุนขานรับแถลงการณ์ในการประชุมครั้งล่าสุดของเฟดซึ่งระบุว่า "การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 'ไม่มีแนวโน้ม' ที่จะเกิดขึ้นในการประชุมเดือนเม.ย. และระบุว่า การเปลี่ยนแปลงสิ่งชี้นำอัตราดอกเบี้ยไม่ได้หมายความว่าเฟดได้ตัดสินใจเกี่ยวกับกำหนดเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว"

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ โทร.02-2535000 อีเมล์: kongkiat.k@infoquest.co.th--

 

สหรัฐเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานเพิ่มขึ้น 1,000 ราย สู่ 291,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2558 19:43:01 น.

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุดวันที่ 14 มี.ค. เพิ่มขึ้น 1,000 ราย สู่ระดับ 291,000 ราย

 

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจะอยู่ที่ระดับ 292,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว

 

ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกโดยเฉลี่ย 4 สัปดาห์ ซึ่งสามารถวัดแนวโน้มตลาดแรงงานได้ดีกว่าเพราะมีความผันผวนน้อยกว่าตัวเลขรายสัปดาห์นั้น เพิ่มขึ้น 2,250 ราย แตะระดับ 304,750 ราย

 

สำหรับจำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง ลดลง 11,000 ราย สู่ระดับ 2.42 ล้านราย ในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 7 มี.ค.

 

 

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ โทร.02-2535000 อีเมล์: kongkiat.k@infoquest.co.th--

 

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq29/2119097

 

นายกฯเยอรมนีออกโรงเตือนกรีซ ย้ำต้องยึดมั่นข้อตกลงกับเจ้าหนี้

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2558 17:46:47 น.

นางอังเกลา แมร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี กล่าวในที่ประชุมรัฐสภาวันนี้ว่า ทางเลือกเดียวของกรีซในการฟันฝ่าอุปสรรคเบื้องหน้าก็คือ การยึดมั่นในข้อตกลงกับกลุ่มเจ้าหนี้

 

การแสดงจุดยืนดังกล่าวของผู้นำเยอรมนี ถือเป็นการสกัดความหวังที่จะผลักดันให้เกิดความคืบหน้าในการประชุมนอกรอบร่วมกันระหว่างกรีซและรัฐมนตรีคลังยูโรโซนในวันนี้ ซึ่งถือเป็นการประชุมนอกรอบการประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรปที่กรุงบรัสเซลส์

 

นางแมร์เคลกล่าวว่า เป็นเรื่องที่ชัดเจนว่า ไม่มีใครจะยอมรับทางออกในการแก้ปัญหากรีซในการเจรจาช่วงเย็นวันนี้หรือวันจันทร์ ทางออกครั้งนี้จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานตามที่ยูโรกรุ๊ปเห็นชอบ

 

 

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย สุนิตา พรรณรักษา โทร.02-2535000 ต่อ 315 อีเมล์: sunita@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq29/2119014

 

เงินบาทปิด 32.74/75 อ่อนค่าตามภูมิภาค มองกรอบพรุ่งนี้ 32.60-32.80

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2558 17:32:19 น.

นักบริหารเงิน เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 32.74/75 บาท/ดอลลาร์ จากเปิดตลาดช่วงเช้าที่ระดับ 32.64/66 บาท/ดอลลาร์ เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับค่าเงินในภูมิภาค ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 32.63-32.77 บาท/ดอลลาร์

 

"ปิดตลาดเงินบาทกลับมาอ่อนค่า หลังแข็งค่าลงมาเร็วช่วงเปิดตลาด ระหว่างวันเคลื่อนไหวในกรอบ 10 สตางค์" นักบริหารเงิน กล่าว

 

 

 

นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 32.60-32.80 บาท/ดอลลาร์

 

* ปัจจัยสำคัญ

- เงินเยนอยู่ที่ระดับ 120.45 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 121.10 เยน/ดอลลาร์

- เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.0713 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.0840 ดอลลาร์/ยูโร

 

- ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,532.13 จุด เพิ่มขึ้น 0.63 จุด, +0.04% มูลค่าการซื้อขาย 38,592.96 ล้านบาท

 

- สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติซื้อสุทธิ 808.11 ล้านบาท(SET+MAI)

- นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เผยที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ครั้งล่าสุดไม่ได้ส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่าอัตราดอกเบี้ยในประเทศจะเริ่มเข้าสู่ขาลงหรือไม่ เพียงแต่ กนง.เห็นว่ายังจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว โดยหลังจาก กนง.ประกาศลดดอกเบี้ยไปได้ 1 สัปดาห์ถือว่าตลาดการเงินให้การตอบสนองไปในเชิงบวก เพราะธนาคารพาณิชย์หลายแห่งเริ่มทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงแล้ว

 

- ธนาคารกรุงไทย(KTB) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนลง 0.10-0.125% ต่อปี เงินฝาก 12 เดือน, 24 เดือน, 36 เดือน และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ลง 0.125%ต่อปี มีผลตั้งแต่ 20 มี.ค.นี้

 

- นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง คาดในปี 2558 น่าจะโตได้ที่ระดับประมาณร้อยละ 3.9(ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.4-4.4 ต่อปี) โดยในไตรมาสที่ 1 สศค.คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวได้มากกว่าร้อยละ 3 แม้ว่าการเบิกจ่ายงประมาณในไตรมาสที่ 1 ของปี 58 จะขยายตัวต่ำ แต่ล่าสุด ณ วันที่ 13 มี.ค.58 รัฐบาลและรัฐวิสาหกิจได้เบิกจ่ายงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไปแล้ว 1.54 ล้านล้านบาท หรือร้อยละ 44.3 ของกรอบวงเงินการใช้จ่ายของปีงบประมาณ 58 แบ่งเป็นการเบิกจ่ายการลงทุนของภาครัฐร้อยละ 25.3

 

- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า จากการที่เฟดส่งสัญญาณว่า จังหวะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 9 ปีของสหรัฐฯ ยังไม่น่าจะเกิดขึ้นในการประชุม FOMC เดือนเม.ย. 2558 นี้ ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงมองว่า นัดการประชุม FOMC วันที่ 16-17 มิ.ย. 2558 น่าจะหนึ่งในรอบการประชุมครั้งสำคัญของปี เนื่องจากช่วงเวลานั้น เฟดน่าจะมีมุมมองที่ตกผลึกมากขึ้นต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดังนั้น สถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอนดังกล่าวน่าจะส่งผลทำให้การเคลื่อนไหวของเงินบาทจากนี้ไปจนถึงช่วงกลางปีจะยังคงมีทิศทางที่ค่อนข้างผันผวน ส่วนผลต่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้น น่าจะเอื้อเวลาให้ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ร้อยละ 1.75 ไปตลอดทั้งปี 2558

 

- ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปีปรับตัวลดลงวันนี้ หลังลดลงแตะระดับ 0.310% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์ในช่วงสั้นๆ โดยเป็นการปรับตัวในทิศทางเดียวกับผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่ปรับตัวลดลงเช่นกันหลังธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ส่งสัญญาณว่าเฟดจะไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรหมายเลข 338 ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราดอกเบี้ยระยะยาว ปิดที่ 0.320% ลดลง 0.040% จากระดับปิดเมื่อวานนี้ ขณะที่ราคาสัญญาพันธบัตรอายุ 10 ปี ส่งมอบเดือน มิ.ย.เพิ่มขึ้น 0.34 จุด แตะระดับ 147.90 ที่ตลาดหุ้นโอซาก้า

 

- นายจอร์จ ออสบอร์น รมต.คลังอังกฤษ กล่าวว่า รัฐบาลอังกฤษได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในปี 2558 จาก 2.4% เป็น 2.5% และปี 2559 จาก 2.2% เป็น 2.3% นอกจากนี้สำนักงบประมาณยังคาดว่า เศรษฐกิจอังกฤษจะขยายตัว 2.3% ในปี 2560 และอัตราการขยายตัวจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.4% ในปี 2562

 

อินโฟเควสท์ โดย ธนวัฏ เสือแย้ม/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq03/2119007

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

สหรัฐเผยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงสุดรอบกว่า 2 ปีใน Q4/57 เหตุส่งออกทรุด

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2558 20:56:06 น.

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยในวันนี้ว่า สหรัฐมีตัวเลขขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงที่สุดในรอบกว่า 2 ปีในไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว อันเนื่องจากการส่งออกที่ทรุดตัวลง

 

 

 

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลบัญชีเดินสะพัดได้เพิ่มขึ้น 14.7% สู่ระดับ 1.135 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4 จากระดับ 9.89 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3

 

การส่งออกร่วงลง 1.2% สู่ระดับ 4.101 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4 ขณะที่การนำเข้าลดลง 0.1% สู่ระดับ 5.953 แสนล้านดอลลาร์

 

ตัวเลขขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในไตรมาส 4 อยู่ที่ระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2012

 

สำหรับตลอดทั้งปี 2014 สหรัฐขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้น 2.6% สู่ระดับ 4.106 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นตัวเลขขาดดุลรายปีที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2012

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ โทร.02-2535000 อีเมล์: kongkiat.k@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq28/2119107

 

คูเวตชี้โอเปกไม่มีแนวโน้มลดผลิตน้ำมัน ขณะกังวล Shale Oil แย่งตลาด

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2558 18:36:21 น.

นายอาลี อัล-โอแมร์ รมว.น้ำมันคูเวต กล่าวว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ไม่มีทางเลือก นอกจากตรึงกำลังการผลิตน้ำมันต่อไป ซึ่งเป็นการบ่งชี้ว่าภาวะตลาดน้ำมันจะยังคงเผชิญปริมาณน้ำมันจำนวนมากต่อไป

 

นายอัล-โอแมร์กล่าวว่า เขามีความกังวลเกี่ยวกับราคาน้ำมันที่ดิ่งลงถึง 50% นับตั้งแต่ฤดูร้อนปีที่แล้ว เนื่องจากมีผลกระทบต่องบประมาณประเทศ แต่ระบุว่าโอเปกไม่มีทางเลือก นอกจากตรึงกำลังการผลิตต่อไป

 

 

 

"เราไม่ต้องการสูญเสียส่วนแบ่งของเราในตลาดโลก" เขากล่าว

โอเปกตกลงคงเพดานการผลิตน้ำมันในการประชุมเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว แม้ราคาน้ำมันตกต่ำลง เนื่องจากโอเปกวิตกว่าผลผลิตน้ำมันจาก Shale Oil ของสหรัฐจะกระทบต่อส่วนแบ่งในตลาดน้ำมันโลกของโอเปก

 

สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่น้ำมันเบนซินลดลง ส่วนน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น

 

ทั้งนี้ สต็อกน้ำมันดิบพุ่งขึ้น 9.6 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 458.5 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 80 ปี จากที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 4.1 ล้านบาร์เรล

 

สำหรับสต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิ่ง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบน้ำมัน เพิ่มขึ้น 2.9 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 54.4 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

 

Shale Oil คือ เชื้อเพลิงชนิดหนึ่งที่อยู่ในรูปแบบของหินดินดาน โดยมีอินทรีย์สารที่เรียกว่า เคโรเจน (Kerogen) ปะปนอยู่ในเนื้อหิน มักมีสีน้ำตาลเข้มจนถึงดำ และเกิดจากซากพืชซากสัตว์กับตะกอนขนาดเล็กที่สะสมตัวอยู่ในแอ่งตะกอนทับถมกันจนเป็นเวลานานหลายล้านปี ความดันและอุณหภูมิก็ทำให้เกิดการแปรสภาพทำให้เกิดลักษณะยางเหนียวที่ประกอบไปด้วยไฮโดรคาร์บอนซึ่งเมื่อนำ Shale Oil ไปเผาที่อุณหภูมิประมาณ 500 องศาเซลเซียส ก็จะได้น้ำมันและก๊าซไฮโดรคาร์บอนออกมา

 

มนุษย์รู้จัก Shale Oil มานานแล้ว แต่เนื่องจากข้อจำกัดทางเทคโนโลยีบวกกับต้นทุนการผลิตที่สูง เราจึงมักผลิตปิโตรเลียมจากน้ำมันดิบเหลว (Crude Oil)

 

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ10 ปีที่แล้วเมื่อสหรัฐเป็นประเทศแรกผู้ค้นพบเทคโนโลยีที่เรียกว่า fracking ซึ่งเป็นกรรมวิธีการผลิตน้ำมันด้วยการผสานสองเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน ซึ่งได้แก่ เทคโนโลยีที่เรียกว่า Hydraulic Fracturing และ Horizontal Drilling โดยจะมีการฉีดน้ำผสมสารเคมีและทรายจำนวนมหาศาลลงใต้ดินเพื่อทำให้เกิดรอยแตกในชั้นหิน เป็นเหตุให้ Shale Oil ที่ถูกกักเก็บอยู่ระหว่างชั้นหินหลุดออกมา กระบวนการดังกล่าวไม่กระทำเฉพาะในแนวดิ่งเท่านั้น แต่ยังกระทำในแนวราบด้วย เราจึงสามารถขุดเจาะได้บริเวณกว้าง ทำให้ได้ปิโตรเลียมจำนวนมาก

 

แหล่ง Shale Oil ในสหรัฐ ถือเป็นแหล่งที่มีความสำคัญ เพราะนอกจากมีปริมาณมากแล้ว ยังสามารถดำเนินการผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ด้วย ซึ่งเหตุที่สหรัฐสามารถใช้ประโยชน์จากแหล่งปิโตรเลียมดังกล่าวก่อนประเทศอื่นมาจากเหตุผลหลายอย่าง ประการแรกคือบริษัทเอกชนประสบความสำเร็จคิดค้นเทคโนโลยี fracking ก่อนประเทศอื่นๆ ประการที่สองคือกฎหมายสหรัฐให้ Shale Oil ที่อยู่ใต้พื้นดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่ดิน จึงเอื้อต่อการลงทุนของบริษัทเอกชน และดึงมาใช้ประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว ประการที่สามคือ สหรัฐมีโครงสร้างระบบท่อรองรับอยู่แล้ว และมีแหล่งน้ำมากเพียงพอซึ่งจำเป็นต้องใช้ในขั้นตอน hydraulic fracturing

 

เนื่องจาก Shale Oil ที่ผ่านกระบวนการเคมีแล้ว จะสามารถนำไปใช้งานได้ไม่ต่างจาก Crude Oil จึงเท่ากับว่า ประเทศผู้ผลิต Shale Oil กำลังท้าชนกับกลุ่มประเทศผู้ผลิต Crude Oil อย่างโอเปกแบบซึ่งๆหน้า

 

ตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมาจนถึงกลางปี 2014 ราคาน้ำมันดิบเบรนท์อยู่ในช่วงสูงกว่า 100 ดอลลาร์เกือบตลอดเวลา ทำให้ผู้ผลิต Shale Oil ฟันกำไรจากส่วนต่างของต้นทุนและราคาได้ประมาณ 35-45 ดอลลาร์ได้อย่างเต็มที่เสมอมา เป็นผลให้ปริมาณการผลิต Shale Oil ของโลก โดยเฉพาะจากสหรัฐเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 4-5 ปีมานี้ และได้มีอิทธิพลต่อตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ

 

การผลิตน้ำมันจาก Shale Oil มีราคาต้นทุนสูงกว่าการผลิต Crude Oil โดยอยู่ที่ 40-60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ต้นทุนของ Crude oil อยู่ที่ 20-30 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งโอเปกก็รู้ถึงจุดอ่อนของ Shale Oil นี้ดี จึงเป็นที่มาของการนิ่งเฉยปล่อยให้ราคาน้ำมันดิ่งลงเรื่อยๆ โดยหวังว่าจะทำให้บริษัทที่ผลิต Shale Oil ขาดทุน และออกจากตลาด เหลือเพียงโอเปกเป็นเจ้าครองตลาดน้ำมันโลกต่อไป

 

และจากการที่โอเปกต้องการทุบ Shale Oil ให้ปิดฉากการผลิต จึงคาดว่าโอเปกจะต้องรักษาสภาวะน้ำมันล้นตลาดต่อไป เพื่อกดราคาน้ำมันในตลาดโลกให้ต่ำไปอีกระยะหนึ่ง หลังจากนั้น จึงจะกลับมาหาทางกระตุ้นราคาน้ำมัน

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ โทร.02-2535000 อีเมล์: kongkiat.k@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq30/2119055

 

ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ร่วงวันนี้ หลังคูเวตเผยโอเปกคงกำลังการผลิตต่อไป

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2558 19:59:47 น.

สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ปรับตัวลงในวันนี้ หลังรมว.น้ำมันคูเวตกล่าวว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) จะไม่ปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน

 

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนเม.ย. ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ตลาด NYMEX ร่วงลง 1.65 ดอลลาร์ หรือมากกว่า 3% แตะ 43.01 ดอลลาร์/บาร์เรลในวันนี้ หลังดิ่งแตะ 42.91 ดอลลาร์ในช่วงแรก ซึ่งใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปี

 

 

 

นายอาลี อัล-โอแมร์ รมว.น้ำมันคูเวต กล่าวว่า กลุ่มประเทศโอเปกไม่มีทางเลือก นอกจากตรึงกำลังการผลิตน้ำมันต่อไป ซึ่งเป็นการบ่งชี้ว่าภาวะตลาดน้ำมันจะยังคงเผชิญปริมาณน้ำมันจำนวนมากต่อไป

 

นายอัล-โอแมร์กล่าวว่า เขามีความกังวลเกี่ยวกับราคาน้ำมันที่ดิ่งลงถึง 50% นับตั้งแต่ฤดูร้อนปีที่แล้ว เนื่องจากมีผลกระทบต่องบประมาณประเทศ แต่ระบุว่าโอเปกไม่มีทางเลือก นอกจากตรึงกำลังการผลิตต่อไป

 

"เราไม่ต้องการสูญเสียส่วนแบ่งของเราในตลาดโลก" เขากล่าว

โอเปกตกลงคงเพดานการผลิตน้ำมันในการประชุมเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว แม้ราคาน้ำมันตกต่ำลง เนื่องจากโอเปกวิตกว่าผลผลิตน้ำมันจาก Shale Oil ของสหรัฐจะกระทบต่อส่วนแบ่งในตลาดน้ำมันโลกของโอเปก

 

สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่น้ำมันเบนซินลดลง ส่วนน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น

 

ทั้งนี้ สต็อกน้ำมันดิบพุ่งขึ้น 9.6 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 458.5 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 80 ปี จากที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 4.1 ล้านบาร์เรล

 

สำหรับสต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิ่ง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบน้ำมัน เพิ่มขึ้น 2.9 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 54.4 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

 

Shale Oil คือ เชื้อเพลิงชนิดหนึ่งที่อยู่ในรูปแบบของหินดินดาน โดยมีอินทรีย์สารที่เรียกว่า เคโรเจน (Kerogen) ปะปนอยู่ในเนื้อหิน มักมีสีน้ำตาลเข้มจนถึงดำ และเกิดจากซากพืชซากสัตว์กับตะกอนขนาดเล็กที่สะสมตัวอยู่ในแอ่งตะกอนทับถมกันจนเป็นเวลานานหลายล้านปี ความดันและอุณหภูมิก็ทำให้เกิดการแปรสภาพทำให้เกิดลักษณะยางเหนียวที่ประกอบไปด้วยไฮโดรคาร์บอนซึ่งเมื่อนำ Shale Oil ไปเผาที่อุณหภูมิประมาณ 500 องศาเซลเซียส ก็จะได้น้ำมันและก๊าซไฮโดรคาร์บอนออกมา

 

มนุษย์รู้จัก Shale Oil มานานแล้ว แต่เนื่องจากข้อจำกัดทางเทคโนโลยีบวกกับต้นทุนการผลิตที่สูง เราจึงมักผลิตปิโตรเลียมจากน้ำมันดิบเหลว (Crude Oil)

 

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ10 ปีที่แล้วเมื่อสหรัฐเป็นประเทศแรกผู้ค้นพบเทคโนโลยีที่เรียกว่า fracking ซึ่งเป็นกรรมวิธีการผลิตน้ำมันด้วยการผสานสองเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน ซึ่งได้แก่ เทคโนโลยีที่เรียกว่า Hydraulic Fracturing และ Horizontal Drilling โดยจะมีการฉีดน้ำผสมสารเคมีและทรายจำนวนมหาศาลลงใต้ดินเพื่อทำให้เกิดรอยแตกในชั้นหิน เป็นเหตุให้ Shale Oil ที่ถูกกักเก็บอยู่ระหว่างชั้นหินหลุดออกมา กระบวนการดังกล่าวไม่กระทำเฉพาะในแนวดิ่งเท่านั้น แต่ยังกระทำในแนวราบด้วย เราจึงสามารถขุดเจาะได้บริเวณกว้าง ทำให้ได้ปิโตรเลียมจำนวนมาก

 

แหล่ง Shale Oil ในสหรัฐ ถือเป็นแหล่งที่มีความสำคัญ เพราะนอกจากมีปริมาณมากแล้ว ยังสามารถดำเนินการผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ด้วย ซึ่งเหตุที่สหรัฐสามารถใช้ประโยชน์จากแหล่งปิโตรเลียมดังกล่าวก่อนประเทศอื่นมาจากเหตุผลหลายอย่าง ประการแรกคือบริษัทเอกชนประสบความสำเร็จคิดค้นเทคโนโลยี fracking ก่อนประเทศอื่นๆ ประการที่สองคือกฎหมายสหรัฐให้ Shale Oil ที่อยู่ใต้พื้นดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่ดิน จึงเอื้อต่อการลงทุนของบริษัทเอกชน และดึงมาใช้ประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว ประการที่สามคือ สหรัฐมีโครงสร้างระบบท่อรองรับอยู่แล้ว และมีแหล่งน้ำมากเพียงพอซึ่งจำเป็นต้องใช้ในขั้นตอน hydraulic fracturing

 

เนื่องจาก Shale Oil ที่ผ่านกระบวนการเคมีแล้ว จะสามารถนำไปใช้งานได้ไม่ต่างจาก Crude Oil จึงเท่ากับว่า ประเทศผู้ผลิต Shale Oil กำลังท้าชนกับกลุ่มประเทศผู้ผลิต Crude Oil อย่างโอเปกแบบซึ่งๆหน้า

 

ตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมาจนถึงกลางปี 2014 ราคาน้ำมันดิบเบรนท์อยู่ในช่วงสูงกว่า 100 ดอลลาร์เกือบตลอดเวลา ทำให้ผู้ผลิต Shale Oil ฟันกำไรจากส่วนต่างของต้นทุนและราคาได้ประมาณ 35-45 ดอลลาร์ได้อย่างเต็มที่เสมอมา เป็นผลให้ปริมาณการผลิต Shale Oil ของโลก โดยเฉพาะจากสหรัฐเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 4-5 ปีมานี้ และได้มีอิทธิพลต่อตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ

 

การผลิตน้ำมันจาก Shale Oil มีราคาต้นทุนสูงกว่าการผลิต Crude Oil โดยอยู่ที่ 40-60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ต้นทุนของ Crude oil อยู่ที่ 20-30 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งโอเปกก็รู้ถึงจุดอ่อนของ Shale Oil นี้ดี จึงเป็นที่มาของการนิ่งเฉยปล่อยให้ราคาน้ำมันดิ่งลงเรื่อยๆ โดยหวังว่าจะทำให้บริษัทที่ผลิต Shale Oil ขาดทุน และออกจากตลาด เหลือเพียงโอเปกเป็นเจ้าครองตลาดน้ำมันโลกต่อไป

 

และจากการที่โอเปกต้องการทุบ Shale Oil ให้ปิดฉากการผลิต จึงคาดว่าโอเปกจะต้องรักษาสภาวะน้ำมันล้นตลาดต่อไป เพื่อกดราคาน้ำมันในตลาดโลกให้ต่ำไปอีกระยะหนึ่ง หลังจากนั้น จึงจะกลับมาหาทางกระตุ้นราคาน้ำมัน

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ โทร.02-2535000 อีเมล์: kongkiat.k@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq35/2119102

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ธนาคารกลางนอร์เวย์มีมติคงอัตราดอกเบี้ย พร้อมส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบาย

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2558 16:54:48 น.

ธนาคารกลางนอร์เวย์มีมติคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากข้ามคืนที่ 1.25% ในการประชุมวันนี้ พร้อมกับส่งสัญญาณเตรียมพร้อมที่จะผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้น เพื่อปกป้องเศรษฐกิจจากผลพวงของราคาน้ำมันที่ร่วงลง

 

ออยสไตน์ โอลเซน ผู้ว่าการธนาคารกลางนอร์เวย์ กล่าวว่า หากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในอนาคตสอดคล้องกับการคาดการณ์ ก็มีความเป็นไปได้ที่แบงก์ชาตินอร์เวย์จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง

 

เมื่อเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา แบงก์ชาตินอร์เวย์ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจ และรับมือกับราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลง โดยนอร์เวย์เป็นผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซรายใหญ่สุดของยุโรปตะวันตก

 

 

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย สุนิตา พรรณรักษา/ปนัยดา โทร.02-2535000 ต่อ 323 อีเมล์: panaiyada@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq27/2118971

 

ราคาทองฟิวเจอร์ดีดตัวต่อเนื่องจากวานนี้รับเฟดไม่เร่งขึ้นดบ.

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2558 20:12:47 น.

ราคาทองฟิวเจอร์ปรับตัวขึ้นในวันนี้ต่อเนื่องจากวานนี้ที่ดีดตัวขึ้นขานรับถ้อยแถลงของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ระบุว่า เฟดยังไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

 

ณ เวลา 19.58 น.ตามเวลาไทย สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย. ดีดตัวขึ้น 10.40 ดอลลาร์ หรือ 0.90% แตะ 1,161.80 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (18 มี.ค.) ขานรับเฟดที่ส่งสัญญาณว่ายังไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ สัญญาทองคำยังได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์

 

สัญญาทองคำดีดตัวขึ้นหลังจากเฟดระบุในแถลงการณ์ครั้งล่าสุดว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 'ไม่มีแนวโน้ม' ที่จะเกิดขึ้นในการประชุมเดือนเม.ย. และระบุว่า การเปลี่ยนแปลงสิ่งชี้นำอัตราดอกเบี้ยไม่ได้หมายความว่าเฟดได้ตัดสินใจเกี่ยวกับกำหนดเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว

 

 

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ โทร.02-2535000 อีเมล์: kongkiat.k@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq31/2119103

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

11018302_645584475576316_6445539218550785600_n.jpg?oh=974013b509a4bf7c05be331e2f1c309e&oe=557A81B8

สบายใจ วันศุกร์ แบร่

 

World Markets: สรุปภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ

 

 

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2558 07:48:40 น.

ดัชนีและภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ ประจำวันที่ 19 มี.ค.2558

 

-- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (19 มี.ค.) เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากจำนวนคนว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น

 

 

 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,959.03 จุด ร่วงลง 117.16 จุด หรือ -0.65% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,089.27 จุด ลดลง 10.23 จุด หรือ -0.49% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,992.38 จุด เพิ่มขึ้น 9.55 จุด หรือ +0.19%

 

-- ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (19 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับถ้อยแถลงของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ส่งสัญญาณว่าจะยังไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

 

ดัชนี Stoxx 600 ปรับขึ้น 0.6% ปิดที่ 400.83 จุด

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,037.18 จุด เพิ่มขึ้น 3.76 จุด หรือ +0.07% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,899.40 จุด ลดลง 23.37 จุด หรือ -0.20% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,962.32 จุด เพิ่มขึ้น 17.12 จุด หรือ +0.25%

 

-- ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (19 มี.ค.) ตามการทะยานขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ขณะเดียวกัน ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากความเห็นของเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ที่ระบุถึงความจำเป็นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง

 

ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 17.12 จุด หรือ 0.25% ปิดที่ 6,962.32 จุด

-- ดอลลาร์สหรัฐดีดตัวขึ้นเมื่อเทียบสกุลเงินหลักอื่นๆเมื่อคืนนี้ (19 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงมีมุมมองบวกเกี่ยวกับดอลลาร์ หลังจากที่ร่วงลงเมื่อวันพุธ จากแถลงการณ์ด้านนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งบ่งชี้ว่าเฟดยังไม่รีบร้อนปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

 

ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.0638 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 1.0744 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์ลดลงที่ 1.4714 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.4863 ดอลลาร์สหรัฐ

 

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับขึ้นเทียบกับสกุลเงินเยนที่ 120.96 เยน เทียบกับระดับ 120.69 เยน และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.9911 ฟรังก์ จาก 0.9887 ฟรังก์

 

ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียปรับลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.7624 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7724 ดอลลาร์

 

-- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (19 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากสัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นเมื่อวันพุธ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ

 

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย.ลดลง 70 เซนต์ ปิดที่ 43.96, ดอลลาร์/บาร์เรล

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนเม.ย.ที่ตลาดลอนดอน ร่วงลง 1.48 ดอลลาร์ ปิดที่ 54.43 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

-- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (19 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงขานรับถ้อยแถลงของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ระบุว่า เฟดยังไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

 

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้น 17.7 ดอลลาร์ หรือ 1.54% ปิดที่ 1,169.00 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 57.30 เซนต์ ปิดที่ 16.114 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย.พุ่งขึ้น 27 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,119.60 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 1.15 ดอลลาร์ ปิดที่ 765.80 ดอลลาร์/ออนซ์

 

ดัชนี DJIA ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 17,959.03 จุด ลดลง 117.16 จุด -0.65%

 

ดัชนี NASDAQ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 4,992.38 จุด เพิ่มขึ้น 9.55 จุด +0.19%

 

ดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 2,089.27 จุด ลดลง 10.23 จุด -0.49%

 

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,962.32 จุด เพิ่มขึ้น 17.12 จุด +0.25%

 

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,899.40 จุด ลดลง 23.37 จุด -0.20%

 

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,037.18 จุด เพิ่มขึ้น 3.76 จุด +0.07%

 

ดัชนี ALL ORDINARIES ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 5,912.50 จุด เพิ่มขึ้น 104.50 จุด +1.80%

 

ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 5,950.80 จุด เพิ่มขึ้น 108.50 จุด +1.86%

 

ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันปิดที่ 9,736.73 จุด เพิ่มขึ้น 83.30 จุด +0.86%

 

ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดที่ 19,476.56 จุด ลดลง 67.92 จุด -0.35%

 

ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดที่ 2,037.89 จุด เพิ่มขึ้น 9.44 จุด +0.47%

 

ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนปิดที่ 3,582.27 จุด เพิ่มขึ้น 4.97 จุด +0.14%

 

ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ปิดที่ 7,814.55 จุด เพิ่มขึ้น 57.97 จุด +0.75%

 

ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดที่ 24,468.89 จุด เพิ่มขึ้น 348.81 จุด +1.45%

 

ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซียปิดที่ 5,453.85 จุด เพิ่มขึ้น 40.70 จุด +0.75%

 

ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดที่ 1,809.13 จุด เพิ่มขึ้น 11.56 จุด +0.64%

 

ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ปิดที่ 3,386.16 จุด เพิ่มขึ้น 24.41 จุด +0.73%

 

ดัชนี SENSEX ตลาดหุ้นอินเดียปิดที่ 28,469.67 จุด ลดลง 152.45 จุด -0.53%

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย นรินรัตน์ พรหมพิทักษ์/รัตนา โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq20/2119141

 

ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดพุ่ง $17.7 รับเฟดส่งสัญญาณไม่รีบขึ้นดบ.

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2558 07:26:35 น.

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (19 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงขานรับถ้อยแถลงของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ระบุว่า เฟดยังไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

 

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้น 17.7 ดอลลาร์ หรือ 1.54% ปิดที่ 1,169.00 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 57.30 เซนต์ ปิดที่ 16.114 ดอลลาร์/ออนซ์

 

 

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย.พุ่งขึ้น 27 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,119.60 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 1.15 ดอลลาร์ ปิดที่ 765.80 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สัญญาทองพุ่งขึ้นหลังจากเฟดระบุในแถลงการณ์ภายหลังการประชุมเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 'ไม่มีแนวโน้ม' ที่จะเกิดขึ้นในการประชุมเดือนเม.ย. และระบุว่า การเปลี่ยนแปลงสิ่งชี้นำอัตราดอกเบี้ยไม่ได้หมายความว่าเฟดได้ตัดสินใจเกี่ยวกับกำหนดเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว

 

ทั้งนี้ แถลงการณ์เฟดได้ยกเลิกการใช้คำว่า "อดทน" ในการพิจารณากำหนดเวลาสำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย.นี้ อย่างไรก็ดี เฟดระบุว่า จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็ต่อเมื่อเฟดมีความเชื่อมั่นว่าภาวะเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำในขณะนี้กำลังจะปรับตัวกลับสู่ระดับ 2% ซึ่งเป็นเป้าหมายของเฟด และตราบใดที่ตลาดแรงงานยังคงฟื้นตัวขึ้น

 

นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐยังได้กระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟีย เปิดเผยว่า ดัชนีภาวะธุรกิจในภูมิภาคมิด-แอตแลนติกชะลอตัวสู่ระดับ 5.0 ในเดือนมี.ค. จาก 5.2 ในเดือนก.พ. ด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุดวันที่ 14 มี.ค. เพิ่มขึ้น 1,000 ราย สู่ระดับ 291,000 ราย

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq31/2119136

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดลบ 70 เซนต์ เหตุดอลล์แข็ง,แรงขายทำกำไร

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2558 07:10:29 น.

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (19 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากสัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นเมื่อวันพุธ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ

 

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย.ลดลง 70 เซนต์ ปิดที่ 43.96, ดอลลาร์/บาร์เรล

 

 

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนเม.ย.ที่ตลาดลอนดอน ร่วงลง 1.48 ดอลลาร์ ปิดที่ 54.43 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

นักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากสัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นเมื่อวันพุธที่ผ่านมา หลังจากถ้อยแถลงในการประชุมครั้งล่าสุดของเฟดระบุว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 'ไม่มีแนวโน้ม' ที่จะเกิดขึ้นในการประชุมเดือนเม.ย. ซึ่งถ้อยแถลงดังกล่าวส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงในวันดังกล่าว

 

อย่างไรก็ตาม ดอลลาร์พลิกกลับมาดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ ซึ่งได้ฉุดสัญญาน้ำมันดิบร่วงลงด้วย นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 13 มี.ค. พุ่งขึ้น 9.6 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 458.5 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 80 ปี จากที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 4.1 ล้านบาร์เรล

 

ส่วนสต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิ่ง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบน้ำมัน เพิ่มขึ้น 2.9 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 54.4 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

 

นอกจากนี้ EIA ระบุว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐในรอบสัปดาห์ดังกล่าวนั้น พุ่งขึ้นแตะระดับ 9.419 ล้านบาร์เรลต่อวัน

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq35/2119134

 

ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์ฟื้นตัวขึ้น หลังร่วงลงจากแถลงการณ์เฟด

 

 

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2558 07:23:25 น.

ดอลลาร์สหรัฐดีดตัวขึ้นเมื่อเทียบสกุลเงินหลักอื่นๆเมื่อคืนนี้ (19 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงมีมุมมองบวกเกี่ยวกับดอลลาร์ หลังจากที่ร่วงลงเมื่อวันพุธ จากแถลงการณ์ด้านนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งบ่งชี้ว่าเฟดยังไม่รีบร้อนปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

 

ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.0638 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 1.0744 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์ลดลงที่ 1.4714 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.4863 ดอลลาร์สหรัฐ

 

 

 

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับขึ้นเทียบกับสกุลเงินเยนที่ 120.96 เยน เทียบกับระดับ 120.69 เยน และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.9911 ฟรังก์ จาก 0.9887 ฟรังก์

 

ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียปรับลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.7624 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7724 ดอลลาร์

 

ดอลลาร์สหรัฐฟื้นตัวขึ้น หลังจากที่ร่วงหนักจากท่าทีที่ระมัดระวังของเฟดในการปรับขึ้นดอกเบี้ย แม้ว่าแถลงการณ์ของเฟดได้ยกเลิกการใช้คำว่า "อดทน" ในการพิจารณากำหนดเวลาสำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

 

นอกจากนี้ เฟดยังตั้งข้อสังเกตว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐได้ลดลงไปบ้างนับตั้งแต่เดือนม.ค. และระบุว่า “การปรับเพิ่มช่วงเป้าหมายสำหรับอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นยังไม่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นในการประชุมเดือนเม.ย."

 

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจเมื่อคืนนี้ออกมาในทิศทางที่แตกต่างกัน โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สหรัฐมีตัวเลขขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงที่สุดในรอบกว่า 2 ปีในไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว อันเนื่องจากการส่งออกที่ทรุดตัวลง กระทรวงระบุว่า ยอดขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้น 14.7% สู่ระดับ 1.135 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4 จากระดับ 9.89 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3

 

ด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุดวันที่ 14 มี.ค. เพิ่มขึ้น 1,000 ราย สู่ระดับ 291,000 ราย ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจะอยู่ที่ระดับ 292,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว

 

ส่วน Conference Board เปิดเผยว่าดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ Leading Economic Index (LEI) ประจำเดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 0.2% สู่ระดับ 121.4 หลังจากเพิ่มขึ้น 0.2% และ 0.4% ในเดือนม.ค.และธ.ค.ตามลำดับ

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย พันธุ์ทิพย์ คำเพิ่มพูล โทร.02-2535000 อีเมล์: pantip@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq21/2119135

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เฟดฟิลาเดลเฟียเผยดัชนีภาวะธุรกิจชะลอตัวสู่ 5.0 ในเดือนมี.ค.

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2558 22:25:02 น.

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟีย เปิดเผยรายงานในวันนี้ โดยระบุว่า ดัชนีภาวะธุรกิจในภูมิภาคมิด-แอตแลนติกชะลอตัวสู่ระดับ 5.0 ในเดือนมี.ค. จาก 5.2 ในเดือนก.พ. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 8.0 หลังจากพุ่งแตะ 40.8 ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.1993

 

ตัวเลขที่ต่ำกว่า 0 บ่งชี้ถึงการหดตัว ขณะที่ตัวเลขสูงกว่า 0 บ่งชี้การขยายตัว

 

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ โทร.02-2535000 อีเมล์: kongkiat.k@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq29/2119113

 

ลูกค้าธนาคารกรีซแห่ถอนเงินฝาก 300 ล้านยูโรวานนี้ สูงสุดรอบ 1 เดือน

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2558 21:24:33 น.

เจ้าหน้าที่ธนาคารอาวุโสของกรีซกล่าวในวันนี้ว่า ลูกค้าธนาคารได้แห่กันไปถอนเงินฝากในธนาคารต่างๆของกรีซรวมเป็นเงินราว 300 ล้านยูโรเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดภายในวันเดียวนับตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ.

 

ทางด้านธนาคารกลางกรีซเปิดเผยเมื่อวันจันทร์ว่า รัฐบาลประสบปัญหาขาดดุลเงินสดในปีนี้

 

ทั้งนี้ ธนาคารกลางระบุว่า ดุลเงินสดของรัฐบาลกลางประสบภาวะขาดดุล 684 ล้านยูโร (723.12 ล้านดอลลาร์) ในช้วง 2 เดือนแรกของปีนี้ เทียบกับที่เกินดุล 139 ล้านยูโร (146.95 ล้านดอลลาร์) ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

 

ธนาคารกลางยังระบุว่า ก่อนการจ่ายดอกเบี้ยในการชำระหนี้ ตัวเลขเกินดุลขั้นต้นในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ ลดลงสู่ระดับ 503 ล้านยูโร (531.8 ล้านดอลลาร์) จากระดับ 1.68 พันล้านยูโร (1.78 พันล้านดอลลาร์) ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq29/2119109

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดร่วง 117.16 จุด เหตุดอลล์แข็งฉุดหุ้นพลังงาน

 

 

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2558 06:29:05 น.

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (19 มี.ค.) เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากจำนวนคนว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น

 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,959.03 จุด ร่วงลง 117.16 จุด หรือ -0.65% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,089.27 จุด ลดลง 10.23 จุด หรือ -0.49% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,992.38 จุด เพิ่มขึ้น 9.55 จุด หรือ +0.19%

 

 

 

ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างซบเซาเมื่อคืนนี้ เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง โดยหุ้นกลุ่มพลังงานที่คำนวณในดัชนี S&P 500 ดิ่งลง 1.7%

 

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากรายงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐที่ระบุว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุดวันที่ 14 มี.ค. เพิ่มขึ้น 1,000 ราย สู่ระดับ 291,000 ราย ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกโดยเฉลี่ย 4 สัปดาห์ ซึ่งสามารถวัดแนวโน้มตลาดแรงงานได้ดีกว่าเพราะมีความผันผวนน้อยกว่าตัวเลขรายสัปดาห์นั้น เพิ่มขึ้น 2,250 ราย แตะระดับ 304,750 ราย

 

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับฐานลงหลังจากที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งเมื่อวันพุธที่ผ่านมา อันเนื่องมาจากนักลงทุนขานรับถ้อยแถลงของเฟดที่ส่งสัญญาณว่าจะยังไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยแถลงการณ์ของเฟดระบุว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 'ไม่มีแนวโน้ม' ที่จะเกิดขึ้นในการประชุมเดือนเม.ย. และระบุว่า การเปลี่ยนแปลงสิ่งชี้นำอัตราดอกเบี้ยไม่ได้หมายความว่าเฟดได้ตัดสินใจเกี่ยวกับกำหนดเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว"

 

หุ้นแอปเปิลปรับตัวลง 0.76% หลังจากเข้าจดทะเบียนซื้อขายในดัชนีดาวโจนส์เป็นวันแรก ขณะที่หุ้นเอทีแอนด์ที ดิ่งลง 1.2% หุ้นเลนนาร์ คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทรับสร้างบ้าน ปรับตัวลง 0.1% แม้ว่าบริษัทเปิดเผยผลประกอบการไตรมาสแรกที่ดีเกินคาด

 

หุ้นทาร์เก็ต คอร์ป ร่วงลง 0.6% หลังจากบริษัทประกาศเพิ่มค่าแรงพนักงาน ภายหลังจากที่วอล์มาร์ท และทีเจเอ็กซ์ คอส ได้ปรับเพิ่มค่าแรงพนักงานไปแล้วก่อนหน้านี้

 

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆของสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทยนั้น รวมถึงดัชนีภาวะธุรกิจในภูมิภาคมิด-แอตแลนติกชะลอตัวสู่ระดับ 5.0 ในเดือนมี.ค. จาก 5.2 ในเดือนก.พ. และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ Leading Economic Index (LEI) ประจำเดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 0.2% สู่ระดับ 121.4 หลังจากเพิ่มขึ้น 0.2% และ 0.4% ในเดือนม.ค.และธ.ค.ตามลำดับ

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq18/2119132

 

นักวิเคราะห์แบงก์ชาติอังกฤษหนุนลดดอกเบี้ยผลักดันเงินเฟ้อสู่ 2%

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2558 23:56:59 น.

นายแอนดรูว์ ฮาลเดน หัวหน้านักวิเคราะห์ของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) กล่าวในวันนี้ว่า BOE อาจมีความจำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอังกฤษเพื่อผลักดันให้เงินเฟ้อกลับสู่ระดับเป้าหมายที่ 2%

 

เขากล่าวว่า ภาวะเงินเฟ้อต่ำในขณะนี้ อาจดำเนินไปนานกว่าที่คาดไว้ หากการขยายตัวของค่าจ้างยังคงอยู่ในระดับต่ำ หรือแรงกดดันด้านราคาในระดับโลกยังคงเบาบาง

 

อย่างไรก็ดี คณะกรรมการนโยบายการเงินของ BOE ส่งสัญญาณว่าพวกเขาเชื่อว่าการดำนินการต่อไปของ BOE คือการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากระดับ 0.5% ขณะที่คาดว่าเงินเฟ้อจะกลับสู่ระดับ 2% ภายในเวลา 2 ปี

 

 

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ โทร.02-2535000 อีเมล์: kongkiat.k@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq29/2119118

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ธปท.แนะปฏิรูปรัฐวิสาหกิจคุมเข้มสหกรณ์

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์แนวหน้า -- ศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2558 06:00:00 น.

นายสมชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)ได้เชิญนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้าชี้แจงต่อที่ประชุมว่ารัฐวิสาหกิจในภาพรวมมีงบประมาณรายจ่าย 4.8 ล้านล้านบาท หรือมีสัดส่วน 44% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี) มีมูลค่าทรัพย์สิน 11.9 ล้านล้านบาท นับว่ามีขนาดใหญ่มาก แต่การบริหารงานของรัฐวิสาหกิจหลายแห่งกลับขาดทุนหรือแข่งขันไม่ได้ เพราะมีการแทรกแซงจากการเมือง มีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่ายทำให้ขาดศักยภาพในการแข่งขัน

 

 

 

เนื่องจากกฎหมายเปิดทางให้ฝ่ายบริหารโดยรัฐบาล ให้รัฐวิสาหกิจกู้เงินได้ถึง 20% ของเงินงบประมาณ หรือประมาณ 5 แสนล้านบาท จึงมีทั้งการหาเงินกู้นอกงบประมาณมาใช้จำนำข้าว หรือการให้แบงก์รัฐดำเนินนโยบายต่างๆ ได้ คณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) หรือซุบเปอร์บอร์ด จึงเสนอให้กำหนดการใช้จ่ายเงินแผ่นดินต้องทำผ่านวิธีงบประมาณที่พิจารณาจากสภา และหากให้รัฐวิสาหกิจสนองนโยบายแล้วต้องจัดสรรงบประมาณชดเชยคืนโดยเร็ว

 

รวมทั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ที่มีปัญหาอยู่ในปัจจุบันก็เติบโตรวดเร็ว มียอดเงินกู้ 1.1 ล้านล้านบาท กระจายทั่วประเทศ 1,400 แห่ง มีสมาชิก 2.7 ล้านคน นับเป็นกลไกด้านการเงินที่สำคัญมากในระบบฐานราก แต่เพราะสหกรณ์ออมทรัพย์มีเสน่ห์ในการดูแลสมาชิก ทั้งการพิจารณาปล่อยกู้ การติดตามและดูแลเพราะเป็นบุคคลที่อยู่ในองค์กรเดียวกัน และยังตัดบัญชีเงินเดือนเพื่อนำมาชำระหนี้ แต่เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับสหกรณ์ ธปท. จึงต้องเข้าไปวางระบบตรวจสอบ และเสนอให้หน่วยงานภาครัฐทบทวนหน่วยงานกำกับดูแล ขณะที่สปช. เสนอให้สนับสนุนสหกรณ์ที่เข้มแข็ง ก้าวไปสู่การถือหุ้นในแบงก์รัฐเช่นธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) และการตั้งเป็นธนาคารสหกรณ์ออมทรัพย์ เพื่อมีระบบกำกับดูแลที่ดี

 

นายประสารกล่าวถึงการส่งสัญญาณเรื่องอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในการปรับขึ้นลงอัตราดอกเบี้ย เพื่อคาดคะเนแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคตนั้นนับเป็นเรื่องที่ยากและมีความเสี่ยง แม้ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะพยายามส่งสัญญาณก็คงหนักใจเหมือนกัน เพราะหากระดับการจ้างงานต่ำกว่าระดับปกติ ตลาดการเงินอาจไม่ฟังโดยคำนวณภาพรวมเองและปรับดอกเบี้ยขึ้นลงโดยไม่ฟังเสียงเฟด

 

ขณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ของไทยจะส่งสัญญาณเพียงบางครั้ง เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน ยังต้องการให้อัตราดอกเบี้ยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ การตัดสินใจลดดอกเบี้ยในครั้งที่ผ่านมาเพราะเศรษฐกิจขยายตัวไม่เป็นไปตามเป้าหมาย จึงต้องใช้นโยบายดอกเบี้ยเข้าไปช่วย การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจจำเป็นต้องทำให้เกิดความสมดุล เครื่องมือด้านต่างๆ ต้องมีความยืดหยุ่นเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์แต่ละช่วง

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/nnd/2119240

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

In Focus: ลี กวน ยู นายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์ บิดาผู้อยู่เบื้องหลังความรุ่งเรืองของเมืองสิงโตทะเล

 

 

ข่าวต่างประเทศ RYT9 -- พุธที่ 18 มีนาคม 2558 11:00:58 น.

เมื่อไม่นานมานี้ ทั้งสื่อไทยและเทศต่างตีข่าวการเข้ารักษาตัวของนายลี กวน ยู รัฐบุรุษอาวุโสของสิงคโปร์ ซึ่งกุมอำนาจบริหารของสิงคโปร์มาอย่างยาวนานถึง 31 ปี เนื่องจากนายลี กวน ยู เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์ และได้รับการยกย่องเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดอิสรภาพแห่งดินแดน นับตั้งแต่วันเริ่มก่อตั้งจนเติบโตขึ้นเป็นประเทศที่ประชาชนอยู่ดีกินดีอย่างน่าอิจฉา แม้จะเคยมีคนตราหน้าว่า เขาคือนักเผด็จการตัวพ่อก็ตาม

 

 

 

นายลี กวน ยู เกิดเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2466 ในครอบครัวเชื้อสายจีนฐานะดีที่อาศัยอยู่ในสิงคโปร์สมัยที่ยังตกเป็นประเทศอาณานิคมของอังกฤษ อดีตนายกฯสิงคโปร์ ได้เรียนด้านกฎหมายที่อังกฤษจนได้รับการรับรองเพื่อว่าความในอังกฤษ แต่เขาก็ได้เดินทางกลับสิงคโปร์เพื่อขอประกอบอาชีพในบ้านเกิด

 

นายลี กวน ยู ได้กลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์เมื่อปี 2502 จนกลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในโลกถึง 31 ปี โดยเขาได้เข้ามามีบทบาทสำคัญมากมายที่ปรากฎเป็นรากฐานอันแข็งแกร่งของสิงคโปร์ในทุกๆวันนี้ ทั้งในภาคอุตสาหกรรม ผังเมือง การศึกษา ตลอดจนในเรื่องของการเมืองการปกครอง

 

*จุดเริ่มต้นทางการเมือง

ขณะนั้นสิงคโปร์ยังตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ซึ่งปกครองโดยบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นส่วนใหญ่ จนถึงช่วงกลางทศวรรษที่ 50 ประชาชนในสิงคโปร์เริ่มมีการพูดคุยถึงการปฏิรูปรัฐธรรมนูญและอิสรภาพของดินแดน โดยนายลี กวน ยู ได้รวมตัวกับผู้ที่มีความเห็นคล้ายกันเพื่อแสดงจุดยืนที่มีต่อโครงสร้างการปกครองของสิงคโปร์ จนเป็นจุดกำเนิดของพรรคกิจประชาชน (People's Action Party)

 

*การแผ่อิทธิพลของพรรคกิจประชาชน

เมื่อปี 2498 หรือ 60 ปีก่อนหน้านี้ สิงคโปร์ได้ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งเปิดโอกาสให้สมาชิกสภามาจากการเลือกตั้งในสัดส่วนที่มากกว่าการแต่งตั้ง อย่างไรก็ตามพรรคกิจประชาชนของนายลี กวน ยู สามารถคว้ามาได้เพียง 3 ที่นั่ง เมื่อเทียบกับพรรคแนวร่วมแรงงาน (Labour Front) ที่ครองไปได้ 13 ที่นั่ง จากทั้งหมด 32 ที่นั่งด้วยกัน

 

แม้ว่าจะมีอำนาจปกครองเพียงน้อยนิด แต่ก็มากพอที่จะเปิดทางให้นายลี กวน ยู เดินทางไปยังกรุงลอนดอนเพื่อขออำนาจในการปกครองให้กับสิงคโปร์ แม้จะถูกปฏิเสธกลับมาอย่างไร้หนทางสู้ แต่นายลีก็ไม่ยอมแพ้ จนก่อให้เกิดการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่อีกครั้ง

 

*การเลือกตั้งครั้งแรก

รัฐธรรมนูญใหม่นั้นได้เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถลงคะแนนเลือกผู้นำของตนเอง โดยเมื่อเดือนมิถุนายน 2502 นายลี กวน ยู ได้ออกแคมเปญหาเสียงด้วยจุดยืนต่อต้านการตกเป็นอาณานิคมและลัทธิคอมมิวนิสต์ พร้อมชูนโยบายปฏิรูปสังคมและสานความสัมพันธ์ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย

 

พรรคของนายลีสามารถคว้าชัยชนะได้อย่างขาดลอย ด้วยอำนาจปกครอง 43 ที่นั่งจากทั้งหมด 51 ที่นั่ง โดยนายลี กวน ยู ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2502 หลังสิงคโปร์ได้รับอำนาจในการปกครองด้วยตนเอง เว้นแต่เพียงด้านกลาโหมและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งเขาก็ได้เสนอแผนปฏิรูปขนานใหญ่ ทั้งในเรื่องของผังเมือง อสังหาริมทรัพย์ สิทธิสตรี การศึกษา และอุตสาหกรรม

 

*ความฝันที่พังทลายลงด้วยคราบน้ำตา

นายลี กวน ยู เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกและคนเดียวที่ได้เห็นมาเลเซียและสิงคโปร์ผนวกรวมกันและพังทลายลงในพริบตา โดยเริ่มแรกนั้น นายลี กวน ยู ได้หันมาเจรจากับเพื่อนเก่าในวัยเรียนอย่างนายตุนกู อับดุล รามาน นายกรัฐมนตรีของมาเลเซียในสมัยนั้น เพื่อผนวกรวมสิงคโปร์และมาเลเซียเข้าไว้ด้วยกัน และแสวงหาอิสรภาพจากการเป็นอาณานิคมของอังกฤษอย่างสมบูรณ์ตามรอยมาเลเซีย ท้ายที่สุด สิงคโปร์ก็ได้เข้าร่วม “สหพันธรัฐมาเลเซีย" เมื่อปี 2506 และนายลี กวน ยู ก็ยังคงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ต่อไป

 

แต่ความจริงนั้นช่างโหดร้ายสำหรับนายลี กวน ยู เมื่อความฝันที่จะได้เห็นสิงคโปร์และมาเลเซียรวมเป็นทองแผ่นเดียวกันนั้นต้องสลายตัวลง เมื่อชาวจีนและชาวมาเลเกิดความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง จนเป็นชนวนจุดความโกลาหลระหว่างทั้งสองเชื้อชาติ ซึ่งไม่ว่านายลีจะพยายามประนีประนอมสักเพียงใด แต่ก็ถูกนักการเมืองมาเลเซียบีบให้ถอนตัวออกจากมาเลเซีย และในที่สุดนายลีจำต้องลงนามแยกสิงคโปร์ออกจากมาเลเซียในปี 2508 ด้วยคราบน้ำตา

 

*การดิ้นรนของชาติอิสระ

ความล้มเหลวในการรวมตัวกับมาเลเซียนั้นได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อจิตใจของนายลี ซึ่งเชื่อว่าการรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวนั้นจำเป็นสำหรับการอยู่รอดของสิงคโปร์ แต่นายลี กวน ยู ไม่ยอมแพ้เพียงเท่านี้ เพราะเขามีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น เพื่อสร้างสิงคโปร์ให้ยิ่งใหญ่ “บนรากฐานของอิสรภาพและความยุติธรรม ตลอดจนความเป็นอยู่และความผาสุกของประชาชน ในสังคมที่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเท่าเทียม"

 

เนื่องจากสิงคโปร์เป็นเพียงเกาะเล็กๆที่ขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ สิงคโปร์จึงจำเป็นต้องสร้างเศรษฐกิจให้มีความแข็งแกร่งเพื่ออยู่รอด โดยนายลีได้นำร่องโครงการใหม่ๆเพื่อเปลี่ยนโฉมสิงคโปร์เป็นผู้ส่งออกสินค้าสำเร็จรูป อีกทั้งยังส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ และยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน จนในที่สุดสิงคโปร์ก็ได้เทียบชั้นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับต้นๆของโลก

 

ผลงานทั้งหมดตลอดจนแนวทางการบริหารประเทศของนายลี กวน ยู ทำให้เขาได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชนเรื่อยมา แม้จะมีเสียงต่อต้านบ้างว่าการบริหารของเขาคล้ายระบอบเผด็จการ ทั้งยังออกกฎหมายที่เข้มงวดอันเป็นที่โจษจันไปทั่วโลกถึงความเด็ดขาดของกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นข้อหาเล็กๆไปจนถึงความผิดขั้นรุนแรง

 

ทุกวันนี้ สิงคโปร์ประสบความสำเร็จในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับนานาประเทศ จนถือกำเนิดเป็นศูนย์กลางธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นในด้านการเงิน การค้าขาย การท่องเที่ยว และเทคโนโลยีทันสมัย ทั้ง ๆที่แต่เดิมนั้น สิงคโปร์เป็นเพียงเกาะเล็กๆที่เรียกได้ว่าไม่มีอะไรเลย

 

ด้วยเหตุนี้เอง จึงถือได้ว่านายลี กวน ยู มีวิสัยทัศน์อันเฉียบแหลมและกว้างไกลในการบริหารประเทศ เนื่องจากสำหรับประเทศเล็กๆที่ไม่มีอะไรแล้ว คุณภาพของประชาชนนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด โดยเขาได้วางกลยุทธ์ด้านการศึกษาให้กับเยาวชน ที่ส่งเสริมทั้งภาษาจีนกลางและภาษาอังกฤษ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความสำคัญในแง่ของการลงทุน ควบคู่กับการนำเสนอเทคโนโลยีสมัยใหม่จากชาติตะวันตก ทั้งหมดนี้ทำให้ดินแดนที่ถูกตัดความสัมพันธ์อย่างไร้เยื่อใยอย่างสิงคโปร์ ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในประเทศแถวหน้า และได้รับการยกย่องจากผู้นำทั่วโลกมาจนถึงทุกวันนี้

 

สำหรับความคืบหน้าล่าสุดของอาการของนายลี กวน ยู เมื่อวานนี้ ทำเนียบรัฐบาลสิงคโปร์เปิดเผยว่า นายลี กวน ยู วัย 91 ปี มีอาการ "ย่ำแย่ลง" เนื่องจากการติดเชื้อ และต้องรับยาปฏิชีวนะ โดยคณะแพทย์ยังคงติดตามดูอาการของนายลีอย่างใกล้ชิด หลังจากที่เขาเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ. เนื่องจากอาการปอดบวมขั้นรุนแรง

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย กนิษฐนุช สิริสุทธิ์/สุนิตา โทร.02-2535000 ต่อ 315 อีเมล์: sunita@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/ryt9/2117699

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

การประชุมเฟดในครั้งถัดไปจะยังคงกดดันทิศทางราคาทองในขณะที่ช่วงสั้นๆ นี้กลับเป็นบวก

หลังรับรู้ผลการประชุมทำให้พอเห็นภาพของนโยบายการเงินสหรัฐในช่วงครึ่งปีแรกนี้

ด้วยมุมมองคนส่วนใหญ่คาดว่าจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยในเมษานี้และน่าจะหลังจากมิถุนายนเป็นต้นไป โดยเฉพาะถ้าตลาดแรงงานมีตัวเลขที่แย่ลงในเดือนหน้านี้จะช่วยชะลอการขึ้นดอกเบี้ยออกไปอีกระยะหนึ่ง

นอกจากให้ช่วงเวลาแล้วเฟดยังพูดถึงกรอบดอกเบี้ยที่จะขึ้นในปีนี้ดูแล้วคงไม่เกิน 0.75 %นี้ โดยเฉพาะเมื่อล่าสุดเฟดเพิ่งปรับลดอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายลง ทำให้ความจำเป็นในการขึ้นดอกเบี้ยนั้นน้อยลง

หมายการประชุมเฟดจะมีขึื้นในปลายเดือนเมษายนซึ่งเฟดบอกจะยังไม่ขึ้นในการประชุมครั้งนี้

ซึ่งทำให้โฟกัสอยู่ที่การประชุมในเดือนมิถุนายน วันที่ 16 - 17 มิ.ย.

เมื่อพิจารณาช่วงเวลาที่ค่อนข้างนาน ทำให้ช่วงสั้นๆ ปัจจัยกดดันทองคำลดลงไม่ลงลูกเดียวอย่างช่วงก่อน ดีขึ้นแต่ช่วงระยะหนึ่งเท่านั้นแถมสลับกับช่วงที่ประกาศตัวเลขการจ้างงานและประชุมเฟดที่ทองจะย่อตัวลง

สิ่งที่ต้องการสำหรับการที่อยากลุ้นให้ทองขึ้นคือ ยังไงดอกเบี้ยก็ปรับตัวขึ้น เลี่ยงไม่ได้ ระหว่างนั่งเดาทองจะลงง่ายกว่าขึ้น แต่เมื่อทราบถึงแนวทางที่ชัดเจนว่าขึ้นเมื่อไหร่ ขึ้นแค่ไหน ทองจะไม่แย่อย่างที่คิด ถึงเวลานั้นภาพรวมทองคำจะดูดีขึ้น

----------------------------------------------------------------------------

ในรูปแบบทรงกราฟแท่งเทียนรายสัปดาห์จะสวยและเป็นสัญญาณบวกได้ถ้าคืนนี้ปิดตลาดที่มากกว่า 1165 1170 ขึ้นไปจะทำให้มีแรงซื้อต่อเนื่องไปอย่างน้อยก็ต้นสัปดาห์หน้า

โดยกรอบการฟื้นตัวมีทั้งกรอบหลักและกรอบย่อย กรอบหลักมีแนวต้านที่ 1185 1206 1225

กรอบย่อยที่ 1175 1182 1190

เบื้องต้นจะยังต้องฟอร์มตัวเพื่อผ่าน 1290 ที่ค่อนข้างแข็ง ดักเอสเล่นสันที่แนวต้านนนี้ได้ถ้ามา และถ้าทรงดีอาจซื้อตามไปเป้าถัดไป โดยถ้ายังไม่ปรับตัวลงต่ำกว่า 1160 ยังมองขึ้นในกรอบรีบาวด์ 1182 1190 1205 ถ้าหมดแรงแล้วกลับมาต่ำกว่า 1160 ก็จะลงไปตั้งหลักที่ 1130 1140 อีกครั้ง

by Facebook.com/Wealthstation

20/3/58

10953926_855342967837513_6105764665184053094_n.png?oh=9625db1acc01639e4c1c71374a8ce7f2&oe=55AFABB4&__gda__=1433681630_c2cbe3e6cec589639196479007894254

11082554_855342961170847_2478857703405473609_n.png?oh=5ed653aca1fd5dcd0465c2ac6ba06c8d&oe=55813246&__gda__=1437583358_8257b9c449a4aaf032246bd1035facec

11073117_855342974504179_8622498100159499074_n.png?oh=be94bd9f831d2d11cba7ff4fb0958bf5&oe=55B32897&__gda__=1434460833_13f37c724a1d21165db2b8cfd9cab4a9

11058744_855342957837514_3583565878796019290_n.png?oh=641e08502276f9eefb5823901f0eed7d&oe=5579CD35

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...