ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
Nexttonothing

โอกาส "เงิน" (จริงๆ) : ระยะประชิด

โพสต์แนะนำ

บทความโดย คุณวรวรรณ ธาราภูมิ บทความอื่นๆ >>

วิกฤติอเมริกัน ตอนที่ 1

22 ส.ค. 2554

 

 

 

 

 

((((( ผ่างๆๆๆๆๆ )))))) เรียกแขก …..

 

 

 

เมื่อคืนนี้นอนไปตั้ง 6 ชั่วโมง แต่ฝันว่านอนไม่หลับ เนี๊ยะ .... ตื่นมายังง่วงอยู่เลย

 

 

 

ฝันไปว่าตัวเองเป็น นอสตราดามุส มองเห็นอนาคต

 

 

 

เห็นอะไร บอกหน่อย เร็วๆ ดิ๊

 

 

 

เห็นคนอเมริกันในวิกฤติทางการเงินที่นำไปสู่วิกฤติทางสังคมรุนแรงอย่างที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน

 

 

 

ห๊า แล้วมันเป็นไง มาไงล่ะ อ้าว แสดงว่าไม่ได้อ่านที่เขียนเลยสิ

 

 

 

อ่านนะ แต่มันลืม

 

 

 

พลั๊วะ !! เสียงกระโหลก โดนมือที่มองไม่เห็นหรืออำนาจนอกรัฐธรรมนูญ สัมผัสไปเต็มๆ

 

 

 

เออ บอกใหม่ก็ได้ ก็กงล้อแห่งวิกฤติเนี๊ยะ มันเกิดขึ้นมานานหลายปีแล้ว ตั้งแต่สหรัฐกู้ยืมมาเรื่อยๆ จนมาถึงช่วงปิดหน้าต่างแลกเปลี่ยนทองคำกับดอลลาร์ในยุคอีตา Richard M. Nixon มาจนถึงยุคคุณปู่ Ronald Reagan ที่ประกาศเรแกนโนมิคส์ ที่อิงทฤษฎีเคนเซียน ตามคำสนับสนุนของDick Cheney ว่าการเป็นหนี้ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน หากทำให้เศรษฐกิจขยายตัว จนหนี้บานเบิก มาถึงวันนี้ แต่สัญญาณแห่งวิกฤติเพิ่งเริ่มปะทุให้เราเห็นชัดๆ เป็นครั้งแรกในช่วงไม่กี่เดือนนี้ไง

 

 

 

ในฝันนั้น เห็นว่าในอนาคตอันไม่ไกลนัก สิ่งที่คนอเมริกันเคยได้รับจากรัฐบาล มันจะหายไป ทั้งความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินที่เคยได้รับ

 

 

 

ตำรวจ ดับเพลิง สวัสดิการรักษาพยาบาลในยามชราภาพ รวมถึงเงินบำนาญจากระบบประกันสังคม ทุกอย่างจะลดน้อยลงจนถึงขั้นระบบไม่ทำงานอีกต่อไป เพราะไม่มีงบประมาณเพียงพอ โจรขึ้นบ้าน กด 911 ก็ไม่มีใครรับสาย ตัวใครตัวเผือก ดึกๆ ก็มีคนมาลอกแผ่นกระเบื้องหลังคาไปขาย สายไฟฟ้าถูกตัดเอาไปหมด ผู้คนตกอยู่ในความหวาดกลัวและสิ้นหวัง

 

 

 

มาถึงตรงนี้ ดันตกใจตื่น เลยมานั่งคิดว่าเป็นไปได้เร้อ ที่อเมริกาจะย่ำแย่ขนาดนั้น

 

 

 

 

 

 

 

อืม .... ก็มีทางเป็นไปได้นะ เพราะสิ่งที่รัฐบาลอเมริกันได้ทำลงไปเพื่อต่อสู้กับวิกฤติหนี้นั้น นอกจากจะทำให้ราคาบ้านของคนอเมริกันกับเงินออมของประชาชนตกต่ำลงแล้ว ยังทำให้ราคาอาหารและน้ำมันเพิ่มขึ้นเพราะเงินเฟ้อ ที่เกิดจากบรรดา QE ทั้งหลายของลุงเบน เบอร์นันเก้ ทำให้ชีวิตคนชั้นกลางลงไปยิ่งลำบากมากขึ้นทุกวันๆ ไม่มีบ้านอยู่เพราะโดนยึด ลูกเมียและตัวเองกินไม่อิ่ม นอนไม่อุ่น ความปลอดภัยไม่มี ไม่มีงานทำ กิ๊กที่เลี้ยงไว้ก็ต้องเลิกเพราะไม่มีเงินส่งกับไม่มีอารมณ์แล้ว

 

 

 

และเมื่อคนทนลำบากไม่ไหว มันจะไปถึงจุดอันตรายที่สุด นั่นก็คือระบบการปกครองที่ล่มสลาย สังคมวิกฤติ ไม่สงบเกิดความรุนแรง

 

 

 

ตัวอย่างเล็กๆ ที่คนอาจมองแค่เป็นปัญหาของวัยรุ่นก็เกิดแล้วที่ลอนดอน มันกำลังจะเกิดที่สหรัฐอเมริกา และจะใหญ่กว่า เพราะเมื่อคนหมดหวังกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ของรัฐบาลที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ในวันหนึ่งก็จะเกิดม็อบของฝูงชนที่ทนไม่ไหว ไม่พอใจรุนแรง ก่ออาชญากรรมในที่ต่างๆ ด้วยความหิว ความหนาว และความเคียดแค้นชิงชังต่อชะตากรรม กับความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนกับคนรวย ระหว่าง Wall Street กับ Main Street

 

 

 

นี่ไง ประกายไฟเริ่มแล้วจากการที่ น้า Stephen Lerner ได้พูดที่ Pace University ในนิวยอร์ค เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาในอารมณ์แบบ Mad Max เพื่อชักชวนคนให้ทำอารยะขัดขืน

 

 

 

ไม่ต้องออกไปจากบ้าน แม้จะโดนธนาคารเจ้าหนี้ไล่ ไม่ต้องจ่ายคืนเงินกู้เพื่อการศึกษา ไม่ให้ความร่วมมือกับรัฐในทุกเรื่อง ซึ่งเป้าหมายคือจะให้แบงค์ต่างๆ หรือพวก Wall Street ที่รัฐเอาเงินที่ขโมยไปจากคนชั้นกลางไปอุ้มไม่ให้ล้ม ต้องคืนเงิน 17 ล้านล้านดอลลาร์ ให้กับประเทศและต้องให้เกิดการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรมกว่านี้

 

 

 

น้า Lerner กล่าวว่าไอ้เจ้าพวกที่บริหารประเทศอยู่นี้ใส่ใจอยู่ไม่กี่อย่าง นั่นก็คือ ตลาดหุ้น พันธบัตร กับโบนัสที่พวก Wall Street จะได้ และจะแบ่งมาช่วยสนับสนุนพรรคการเมืองเท่านั้น เขาจึงมีกลยุทธ์ง่ายๆ 3 อย่างคือ

 

 

 

1. ทำให้หุ้นตก 2. ลดโบนัส และ 3. ลดความสามารถในการแสวงหาความร่ำรวยของคนพวกนั้น

 

 

 

เขาบอกว่าไม่มีที่เริ่มต้นที่ไหนที่ดีเท่า JP Morgan Chase เพราะปล้นความมีอยู่มีกินของพวกเขาไป และจะเป็นการที่คนเดินดินหรือพวก Main Street จะท้าทายพลังอำนาจ ของ Wall Street เป็นครั้งแรก ในวันที่ 17 กันยายนนี้ โดยจะมีคนจำนวนมากมาร่วมกางเต๊นท์ปักหลักพักค้างแบบลุงจำลองสัก 2-3 เดือน ให้เต็มถนน Wall Street กลางเมืองแมนฮัตตัน กรุงนิวยอร์ค แบบว่าจะยึดถนนอันเป็นหัวใจของตลาดหุ้นและสถาบันการเงินกันเลยทีเดียว

 

 

 

 

 

ถึงตอนนี้ ข่าวไม่ได้บอกว่า น้า Lerner จะใช้สัญญลักษณ์ มือตบ ตีนถีบ แบบเมืองไทยด้วยหรือไม่

 

 

 

New York Stock Exchange เห็นได้จาก Wall Street นอกจากนี้ยังมีทีท่าว่าจะมีคนอีกจำนวนมากที่จะร่วมชุมนุม ประท้วงแบบอารยะขัดขืนกันอีกหลายๆ ที่ในสหรัฐในวันเดียวกันด้วย

 

 

 

โอย น่าตื่นเต้นมาก เพราะว่ากำลังจะเดินทางไป Washington DC ในช่วงวันที่ 20-25 กันยายนด้วย ไม่รู้ว่าหนีม็อบราชประสงค์ไปแล้ว จะเจอม็อบไหม

 

 

 

น้องณัฐวุฒิ น้องจตุพร ลุงเหวง พี่ประพันธ์ คูณมี จะไปร่วมด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะ Wall Street กับ Main Street ก็คล้ายๆ ไพร่กับอำมาตย์ นั่นแหละ

 

 

 

ที่ต้องระวังไว้คือ กองกำลังไม่ทราบฝ่าย ที่เขาเกลียดชังคนอเมริกัน อาจแฝงตัวเข้าไปในฝูงม็อบในรูปแบบของกลม้าไม้เมืองทรอย เพื่อหวังอารยะข่มขืน ความรุนแรงอันไม่คาดคิดจึงอาจเกิดขึ้นได้ในจังหวะทีเผลอ โดยที่สหรัฐไม่มีอะไรแบบ “ขออภัยในความไม่สะดวก” มาช่วย ตัดก่อนตายเตือนก่อนวายวอด แบบเมืองไทย

 

 

 

แนวคิดยึดพื้นที่ศูนย์กลางทางการเงินที่เรียกว่าปฏิบัติการยึด Wall Street แบบนี้ มันเริ่มได้รับการตอบรับไปหลายประเทศ ทั้ง Spain, Canada, UK, Australia, Germany และ Japan

 

 

 

ส่วนฝรั่งเศสก็อาจเกิดด้วย (รอการยืนยัน) และอาจมีปฏิบัติการอื่นๆ มาเสริมในวันที่ 6 ตุลาคม ที่ Washington DC

 

 

 

หลายคนอ่านมาถึงตรงนี้ก็จะส่ายหน้า นึกว่าบ้าไปแล้ว เพื่อนฝูงยอดนักเศรษฐศาสตร์หลายคนอาจจะโทรมาด่าว่าคิดปายด้ายยย .... เมายากันยุงหรือไง

 

 

 

แต่ George Santayana นักปรัชญา บอกว่า ....

 

 

 

“คนไม่เชื่อว่าภูเขาไฟจะระเบิด จนกว่าลาวาจะมาถึงตัว”

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554วิกฤตอเมริกา ตอนที่ 2

วรวรรณ ธาราภูมิ

 

 

นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน

CEO บลจ. บัวหลวง จำกัด

 

 

22 สิงหาคม 2554

 

 

ตอนที่แล้ว จบด้วยคำว่า “คนไม่เชื่อว่าภูเขาไฟจะระเบิด จนกว่าลาวาจะมาถึงตัว”

 

 

เล่าไปในบทความหลายเรื่องแล้วว่าในหลายปีที่ผ่านมานั้นนักการเมืองสหรัฐได้ใช้เงินมากกว่าที่หาได้จากการจัดเก็บภาษี รัฐบาลได้กู้ยืมมาเพื่อทำให้คนอเมริกันมีชีวิตที่สุขสบาย เจริญรุ่งเรือง และทรงอำนาจ ทั้งๆ ที่ด้วยรายได้ของรัฐนั้นไม่เพียงพอที่จะเนรมิตสิ่งหรูหราสะดวกสบายขนาดนั้นให้คนอเมริกันได้

 

 

เมื่ออเมริกาต้องกู้ยืมอย่างหนักเพื่อไปสนองนโยบายนักการเมืองที่ต้องการชนะเลือกตั้ง จนกระทั่งทำให้คนในประเทศกลายเป็นเปรตที่เรียกร้องทุกอย่างจากรัฐไปแล้ว และในวันนี้อเมริกาก็มาถึงจุดที่ควรจะล้มละลายแล้ว แต่หากเลือกทางแก้ไขที่ถูกต้องเสียในวันนี้ ก็อาจจะรอด

 

 

แต่นักการเมืองจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร ในเมื่อเปรตฐานเสียงของเขากำลังเรียกร้องเงิน สวัสดิการและทุกๆ อย่าง มากขึ้นทุกที โดยไม่มีเหตุผล

 

 

มันยาวนานกว่า 150 ปีแล้ว ที่นักการเมืองรู้วิธีที่จะได้คะแนนเสียงเลือกตั้ง นั่นก็คือการใช้ผลประโยชน์ต่างๆ และระบบสวัสดิการสังคมมาเป็นเกมกำหนดและควบคุมคะแนนเสียง เพราะนักการเมืองสัญญาว่าจะให้นั่น ให้นี่ ให้มากขึ้นและมากขึ้น และหากนักการเมืองคนไหนกล้าพอที่จะพูดว่าจะให้ผลประโยชน์ต่อประชาชนมากเท่ากับภาษีที่ประชาชนเสียให้รัฐ เขาก็โกหก

 

 

เพราะอะไร

 

 

ก็เพราะทุกระบบมีต้นทุนในการบริหาร เราจึงต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลกับภาครัฐ และเมื่อสวัสดิการสังคมขยายความออกไปไกลขึ้น คนก็ยิ่งต้องการประโยชน์จากมันมากขึ้นและมากขึ้น การเรียกร้องให้มีการกำกับควบคุมมากขึ้นๆ ก็ต้องใช้กำลังคนทำหน้าที่มากขึ้น และแล้วผลประโยชน์ก็ขยายกว้างไกลจนเกินกว่าที่รายได้ของประเทศจากภาษีจะรองรับความต้องการที่ไม่สิ้นสุดของเปรตได้

 

 

และไม่มีใครแก้ปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัวได้ด้วยการก่อหนี้เพิ่มขึ้นไปอีกแบบที่สหรัฐทำมาโดยตลอด

 

 

รัฐบาลสหรัฐกู้เงินจากประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น จีน อินเดีย ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง ไทย ฯลฯ ด้วยการขายพันธบัตรสหรัฐให้ และที่ผ่านมานั้น ทุกประเทศก็เต็มใจให้กู้เนื่องจากถือกันว่าเป็นหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคง ปลอดภัยสูงสุด ยังไงๆ ก็จะได้หนี้คืนพร้อมดอกเบี้ยตามกำหนดทุกครั้งแน่ๆ

จนกระทั่งมาถึงวันนี้ วันที่เจ้าหนี้หวั่นเกรงว่าฐานะการเงินการคลังของอเมริกาเริ่มสั่นคลอนแล้ว การซื้อ

พันธบัตรสหรัฐที่ถูกลดอันดับความน่าเชื่อถึงลงมาเหลือ AA+ ซึ่งแม้จะยังดูดีอยู่ แต่ก็จ่ายดอกเบี้ยต่ำเตี้ยเรี่ยดินในอัตราล่าสุดไม่ถึง 2% มันคงจะเป็นการฉลาดน้อยที่สุด

 

 

แม้ว่า คุณปู่อลัน กรีนสแปน คุณลุงบัฟเฟต คุณลุงเบน เบอร์นันเก้ กับ อาพอล ครุกแมน ฯลฯ จะดาหน้ากันออกมากล่าวว่า เจ้าหนี้จะกลัวหนี้สูญไปไย ยังไงๆ สหรัฐก็พิมพ์แบงค์ดอลลาร์มาจ่ายคืนให้ได้

 

 

เอิ้กกกก.... เจ้าหนี้เริ่มเรอ

 

 

ก็หากวันหนึ่ง ประเทศเจ้าหนี้เริ่มปิดก๊อกล่ะ สหรัฐจะทำไง

 

 

หากไม่ปิดก๊อก แต่ต้องการอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นเพื่อคุ้มกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นล่ะ ดอกเบี้ยในสหรัฐก็จะพุ่งสูงขึ้นตามไปด้วยใช่ไหมล่ะ แล้วอเมริกาทั้งประเทศก็จะมีดอกเบี้ยทุกอย่างเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะดอกเบี้ยกู้ยืม เครดิตการ์ด และดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย

 

 

แล้วจะรับไหวไหม

 

 

เอิ้กกกกกกกกกกก ... คราวนี้ลูกหนี้เรอบ้าง แต่เรอดังกว่า และยาวนานกว่า

 

 

นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เชื่อว่าอีกไม่นาน รัฐบาลสหรัฐจะไม่สามารถกู้ได้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำๆ อีกแล้ว ลองมาดูข่าวนี้กัน

เทศบาลและรัฐต่างๆ ในสหรัฐกำลังมีปัญหาในการกู้ เมื่อกู้ไม่ได้ก็เลยต้องตัดงบประมาณต่างๆ เช่นการรักษาความปลอดภัย หยุดให้ความช่วยเหลือในสวัสดิการต่างๆ เช่น การรักษาพยาบาล และแม้แต่ถนนที่เคยลาดยางอย่างดี (ไม่รู้ถนนไร้ฝุ่นหรือเปล่า) เมื่อผุพังก็ต้องซ่อมด้วยกรวด

 

 

ที่รัฐ Alabama นั้น รู้กันมานานแล้วว่าไม่มีเงินพอที่จะจ่ายบำนาญชราภาพให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐ ในปี 2007 เจ้าหน้าที่รัฐจึงฟ้องศาลเพื่อให้สั่งรัฐนำเงินมาให้กองทุนบำนาญ แต่รัฐไม่ทำตาม และในที่สุดเงินในกองทุนบำนาญก็หมดไปเพราะต้องจ่ายให้คนเกษียณก่อนตามลำดับ

 

 

นี่ก็เพราะรัฐไม่สามารถกู้ยืมได้ เลยต้องหยุดส่งเช็ครายจ่ายบำนาญประจำเดือนให้ผู้เกษียณแล้ว ซึ่งเป็นการผิดกฏหมายของรัฐที่กำหนดให้รัฐจ่ายเงินบำนาญตามที่สัญญาไว้เต็มจำนวน และก็ไม่เห็นมีใครออกมาบังคับใช้กฏหมายได้เลย ทำให้ Nettie Banks อดีตตำรวจอายุ 68 ปี ถูกฟ้องล้มละลาย ทำให้ Alfred Arnold อดีตหัวหน้าดับเพลิงอายุ 66 ปี ต้องกลับไปทำงานเป็น รปภ.ช็อปปิ้งมอลล์ เพื่อรักษาบ้านไว้คุ้มหัวนอน ทำให้ Eddie Ragland อดีตนักดับเพลิงอายุ 59 ปี ต้องไปเก็บขวดขายเพราะต้องออกจากงานเนื่องจากถูกโจรยิงจนบาดเจ็บสาหัสในขณะที่เป็นตำรวจสนามบิน จนกลับไปทำงานแบบเดิมไม่ได้ และที่แย่กว่านั้นก็คือ ที่บ้านเขาไม่มีไฟฟ้าและน้ำประปาอีกแล้ว ทุกอย่างถูกตัดเพราะไม่มีเงินจ่าย

 

 

นี่ไง อะไรที่คาดคิด มันก็เกิดขึ้นได้

 

 

และจากระดับท้องถิ่น ระดับเทศบาล ระดับรัฐ มันจะขยายไปในระดับประเทศ หากอเมริกากู้ยืมไม่ได้ และจำต้องใช้เงินเท่าที่หาได้จากการเก็บภาษี

 

 

นั่นก็คือ เครดิตการ์ด ของสหรัฐ จะต้องถูกตัดสักวันหนึ่ง

 

 

และวิกฤติของจริงถึงจะเกิดขึ้น เมื่อรัฐไม่มีเงินพอที่จะจ้างงาน ครูถูกปลด นักดับเพลิง ตำรวจ คนเก็บขยะ ถูกปลด สวัสดิการถูกลดหรือยกเลิก ไม่มีแล้วสวัสดิการสุขภาพ สวัสดิการคนว่างงาน บำนาญก็ไม่มีให้

 

 

แต่รัฐบาลยังเชื่อว่าปัญหาจะไม่มี เพราะมีไม้วิเศษแบบ แฮร์รี่ พอร์ตเต้อร์

 

 

ไม้วิเศษนี้หากใช้อีก ก็จะยิ่งทำให้ทุกอย่างราคาแพงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน อาหาร เสื้อผ้า ฯลฯ ในขณะที่ทำให้มูลค่าของเงินออมกับเงินที่คนสะสมเพื่อเกษียณลดลงเพราะเงินเฟ้อ เนื่องจากดอลลาร์เสื่อมค่าลง ไม้วิเศษนั้นคงรู้แล้วว่าคืออะไร

 

 

QE ไง คือการพิมพ์แบงค์กระดาษออกมาเรื่อยๆ จนไม่มีใครอยากรับดอลลาร์อีกแล้ว ใครขายของให้อเมริกาเช่นเคยขายส้มให้ใบละ 1 ดอลลาร์ ก็อาจขอขึ้นราคาเป็น 20 ดอลลาร์ แบบที่เคยเกิดที่อาร์เจนตินา และอีกหลายๆ ประเทศ

 

 

หากสหรัฐถูกตัดบัตรเครดิต ไม่มีใครยอมให้กู้อีก นอกจากเศรษฐกิจจะล่มจมแล้ว ยังอาจเกิดจราจล และความไม่สงบลุกลามไปทั่วประเทศอีกด้วย

 

 

ในอดีตหลายปีมาแล้ว ประเทศนี้อยู่ดี มีสุข ภ่ยใต้การใช้จ่ายที่คำนึงถึงรายรับ ไม่ใช้เกินตัว ในยุคนั้น Thomas Jefferson ผู้เพิ่งได้รับชัยชนะเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีได้เดินเท้าไปตามถนนเพนซิลเวเนีย เพื่อไปร่วมพิธีการแต่งตั้ง และเขาก็สนทนาทักทายกับคนอเมริกันที่เขาพบตามถนนอย่างอบอุ่นเป็นกันเอง

 

 

แต่เดี๋ยวนี้ เมื่อประธานาธิบดีสหรัฐเดินทาง เขาทำตัวอย่างกับพระมหาจักรพรรดิ์ผู้ร่ำรวยที่สุด

 

 

เมื่อประธานาธิบดี บุช ไปพักผ่อนที่ Crawford, Texas เขาใช้ Air Force1 ซึ่งเพียงแค่ค่าเที่ยวบินนั้นก็เท่ากับ

250,000 ล้านดอลลาร์แล้ว

 

 

นั่นยังไม่ได้รวมค่าเที่ยวบินขนส่งที่บรรทุกรถลิมูซีนกับเฮลิคอปเตอร์อีกหลายลำของท่านประธานาธิบดีด้วย ทั้งยังไม่ได้รวมถึงเงินเดือนค่าจ้างของพนักงานอีกหลายร้อยคนที่ทำหน้าที่ภาคพื้นดินและประสานงานการจัดโปรแกรมท่องเที่ยวด้วยซ้ำ

 

 

และไม่เพียงแต่บุช ที่ทำอย่างนั้น

 

 

มีข่าวซุบซิบวงใน ว่าในช่วงที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับอินเดียเมื่อไม่นานมานี้ เขามีผู้ติดตามถึง 3,000 คน ต้องใช้เครื่องบิน 40 ลำ และรถยนต์กันกระสุน 6 คัน ซึ่งมี 1 คันที่บรรทุกจรวดนิวเคลียร์เผื่อจำเป็นต้องใช้ไปด้วย โอ้ ดราม่ามาก

 

 

นอกจากนี้ ทริปอินเดียยังต้องใช้ห้องพักถึง 870 ห้องในโรงแรม 5 ดาว แสนหรู ชื่อ ทัชมาฮาล

 

 

ค่าใช้จ่ายของอภิมหาทริปเที่ยวนี้ เกินกว่า 200 ล้านดอลลาร์ต่อวันทีเดียว

 

 

การล้างผลาญงบประมาณแผ่นดินแบบนี้มันระบาดไปทั่วในทุกระดับเจ้าหน้าที่รัฐ

 

 

ตัวเลขของสำนักงานสถิติแรงงานแห่งชาติระบุว่า เจ้าหน้าที่รัฐได้รับเงินดือนสูงกว่าเอกชนในระดับเดียวกันถึง 20% และหากรวมผลประโยชน์กับสวัสดิการรัฐด้วยแล้วมันจะสูงกว่าถึง 50% !!!

 

 

ตลกที่ขำไม่ออกก็คือ พนักงานรัฐที่ทำหน้าที่ช่วยชีวิตคนในแคลิฟอร์เนียกว่าครึ่งมีรายได้มากกว่า $150,000 ต่อปี

 

 

การที่ Lifeguardsที่ทำเงินได้ ปีละมากกว่า $150,000 จากเงินภาษีของคนอเมริกัน มันแปลว่ารัฐใช้เงินอย่างเกินการควบคุมไปแล้ว ใช่หรือไม่

 

 

และจากการตรวจสอบแบบ สตง. พบว่า สถาบันสาธารณะสุขแห่งชาติจะใช้เงิน $2.6 ล้านเพื่อวิจัยว่าการดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มโอกาสในการติดเชื้อ HIV แก่โสเภณีชาวจีนหรือไม่

 

 

มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ใช้เงิน $500,000 เพื่อศึกษาว่ากุ้งที่ป่วย มันฟื้นตัวด้วยการออกกำลังบนสายพานวิ่งได้อย่างไร

 

 

สถาบันจิตเวชในนิวยอร์ค จ่ายเงินอุดหนุนการศึกษาว่าทำไมเกย์ชาวอาร์เจนติน่าถึงได้มีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงทางเพศในขณะที่ดื่มสุรา

 

 

และรัฐบาลยังจ่ายเงิน $80,000 เพื่อศึกษาว่าทำไมทีมบาสเก็ตบอล NCAA ถึงได้ชนะในเดือนมีนาคมอยู่เรื่อย

 

 

มันไม่มีปัญหาหรอก หากเงินที่จ่ายในเรื่องบ้าๆ บอๆ เหล่านี้ มาจากเงินของรัฐจริงๆ แต่ปัญหาก็คือรัฐบาลสหรัฐไม่มีเงินออม

 

 

และที่แท้จริงแล้ว อเมริกากลับไปใช้เงินออมของชาติอื่น เช่น จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ตะวันออกกลาง ฯลฯ โดยกู้เพื่อไปอุดหนุนความบ้าๆ บอๆ เหล่านั้น !!!

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บทความโดย คุณวรวรรณ ธาราภูมิ

บทความอื่นๆ >>

 

 

วิกฤติอเมริกัน ตอนที่ 3

23 ส.ค. 2554

 

 

ในตอนที่ 2 เราจบด้วยประโยคว่า “มันไม่มีปัญหาหรอก หากเงินที่จ่ายในเรื่องบ้าๆ บอๆ เหล่านี้ มาจากเงินของรัฐจริงๆ แต่ปัญหาก็คือรัฐบาลสหรัฐไม่มีเงินออม และที่แท้จริงแล้ว อเมริกากลับไปใช้เงินออมของชาติอื่น เช่น จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ตะวันออกกลาง ฯลฯ โดยกู้เพื่อไปอุดหนุนความบ้าๆ บอๆ เหล่านั้น”

 

305367_1705965908868_1829659518_1086745_1770434_n.jpg

 

ประเทศเจ้าหนี้ที่ว่านั้นต่างก็เต็มใจให้สหรัฐกู้ แต่วันนี้ก็เริ่มกังวลว่า เขากำลังให้เครดิตการ์ดที่ไม่มีการจำกัดวงเงินแก่วัยรุ่นหรือเปล่า และตามปกติของวัยรุ่นทั่วไป เมื่อมีเงินในมือ เขาก็ใช้อย่างสนุกสนาน อยากได้อะไรก็ซื้อ และยิ่งไม่จำกัดด้วย ยอดใช้เครดิตการ์ดหรือยอดหนี้ภาครัฐ มันก็เลยเป็นตามรูปนั่นแหละ

 

รัฐบาลอเมริกันใช้เงินกู้ไปทำอะไรหลายอย่าง รวมทั้งสร้างถนนที่มีพื้นผิวราบเรียบที่สุดในโลก ปานปูพรม ซื้ออินเตอร์เนตไร้สายให้ทุกอาคารสำนักงานของรัฐ จ้างทหารอเมริกันไปเป็น รปภ.ให้กว่า 130 ประเทศทั่วโลก เอาไปจ่ายเป็นเงินเดือนค่าจ้างและสวัสดิการแก่เจ้าหน้าที่รัฐ ในอัตราที่สูงกว่าภาคเอกชนมากมาย

 

เอาไปสนับสนุนโครงการ Food Stamp ให้คนที่ต้องการซื้ออาหารในราคาถูกลง โดยรัฐจะคืนเงินให้ร้านค้า เอาไปจ่ายเป็นสวัสดิการต่างๆ ตามที่นักการเมืองสัญญาว่าจะให้ และเอาไปสนับสนุนเป็นเงินบำนาญประกันสังคมกับสวัสดิการรักษาพยาบาล เพราะนักการเมืองสัญญาเอาไว้ว่าคนอเมริกันทุกคนจะมีสุขภาพดีโดยรัฐบาลจะเป็นผู้จ่ายให้ และจะมีชีวิตเกษียณที่สุขสบายไร้กังวลเรื่องการเงินไปตลอดชีวิต หลายคนคงอุทานว่า แหม ... เริ่ดดดด.. มากกกก... อยากให้บ้านเราเป็นแบบนี้มั่ง

 

ไอเดียน่ะมันดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว รัฐบาลสหรัฐกลับต้องกู้มาเพื่อจ่ายอะไรๆ ที่ตนเองสัญญาไว้กับคนที่เลือกตั้งตนเข้ามาบริหารประเทศ และจำนวนเงินที่กู้มานั้น มันก็เกินกว่าจะทำมาหาได้มาใช้เจ้าหนี้เขาแล้ว หากเราใช้เครดิตการ์ดซื้อของ และพอเขาเรียกเก็บเงิน แม้เพียงขั้นต่ำ 5% เราก็ไม่มีปัญญาจะจ่ายให้ อะไรจะเกิดขึ้น

 

แน่นอนเลย เราต้องถูกยกเลิก ไม่ให้ใช้บัตรอีก ไม่วันใดก็วันหนึ่งในอนาคต ก็จ๋อยสนิทละทีนี้

 

303152_1705972229026_1829659518_1086747_5481656_n.jpg

 

ก็ขนาดน้า David Walker ที่เคยเป็น Top Accountant ของรัฐบาล

ยังเคยเตือนอย่างจริงจังเลยว่า

 

รัฐบาลไม่สามารถใช้จ่ายเป็นล้านล้านดอลลาร์แบบนี้ได้อีกต่อไป โดยไม่มีรายได้มารองรับเพียงพอ เพราะวันหนึ่งเราจะต้องใช้หนี้เขา

 

ในช่วงเศรษฐกิจถดถอยปี 2008 ตามหลังปัญหาของ Lehman Brothers ที่หลายคนเรียกเป็นยุคThe Great Recession นั้น รัฐบาลอเมริกันใช้เงินมหาศาลไปโอบอุ้มสถาบันการเงินที่ประสบปัญหา มาถึงวันนี้ยอดหนี้รวมของภาครัฐมีจำนวนมากกว่าผลผลิตทางเศรษฐกิจรวมกันของ จีน + ญี่ปุ่น + เยอรมันนี ซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ 3 อันดับแรกของโลกรองจากสหรัฐ

 

หากเจ้าหนี้เรียกคืนเงินกู้ทันทีในวันนี้ สหรัฐไม่มีทางจะหามาคืนให้ได้ นอกจากพิมพ์แบงค์กงเต็กออกมาคืนเจ้าหนี้

 

ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ความสำเร็จทางธุรกิจสูงสุดของอเมริกาคือ บริษัท Apple ของ Steve Jobs ผู้ผลิต iPod, iPad และ iPhone (ไอ้ป๊อด ไอ้แป๊ด และ ไอ้ฝน) ที่เราพากันวิ่งไปจองคิวซื้อในวันนี้

 

*** ประเทศนี้ต้องมีบริษัทใหม่ๆ ที่ทำได้อย่าง Apple อีก 700 บริษัทใน 1 ปี เพื่อทำให้เกิดรายได้จากภาษีนิติบุคคลที่จะเพียงพอเอาไปใช้จ่ายตามงบประมาณในปีนี้

 

ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะเบื้องหลังความสำเร็จของ Apple นั้น Steve Jobs ผู้ก่อตั้งบริษัทต้องใช้เวลาชั่วชีวิตของเขาเลยทีเดียว ไม่มีใครสร้างความสำเร็จแบบนั้นอีก 700 แห่งได้ในชั่วข้ามคืน

 

เจ้าหนี้ก็ไม่ได้โง่ เขารู้ทุกอย่างที่เรารู้ และเขากำลังค่อยๆ ผ่องถ่ายทรัพย์สินออกไปจากเงินสกุลดอลลาร์ ยิ่งสหรัฐไปตอบโต้ด้วยการประกาศว่า

 

ไม่มีทางที่เราจะผิดนัดชำระหนี้ เพราะหนี้ทั้งหมดเป็นสกุลเงินดอลลาร์

ที่ไม่มีใครผลิตออกมาได้นอกจากเรา พอถึงเวลาชำระหนี้ เราก็จะพิมพ์มันออกไปจ่ายให้

 

ย้ากส์ ...... นี่คือเสียงร้องด้วยความโกรธเคืองของเจ้าหนี้ และสักวันหนึ่ง เขาก็จะไม่ยอมปล่อยกู้ให้สหรัฐอีก เพียงแต่รอเวลาเท่านั้นว่าเมื่อไรที่เขาจะผ่องถ่ายออกจากดอลลาร์ไปได้

 

300489_1705970708988_1829659518_1086746_2062359_n.jpg

 

และเมื่อไม่มีเครดิตการ์ดให้รูดก่อนผ่อนทีหลังอีกต่อไป อเมริกาก็จะกลายเป็นประเทศที่เปลี่ยนไปจากที่เคยเป็นอย่างสิ้นเชิง

 

ความรู้สึกคงคล้ายๆ กับตอนเราไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต แล้วพอตอนจ่ายเงิน เราต้องค่อยๆ ดึงของออกจากตะกร้า เนื่องจากวงเงินในเครดิตการ์ดเราไม่พอจ่ายแล้ว แต่ในระดับประเทศ มันจะต้องแย่กว่าการไปซื้อของมากมาย

 

หลายคนคงหัวเราะอีก เพราะคิดว่าเป็นไปไม่ได้

 

ลองมองกลับไปที่ปี 2008 ยุค The Graet Recession กัน แบงค์จะล้มเรอะ ไม่มีปัญหา ป๋าช่วยได้โรงงานผลิตรถยนต์จะเจ๊งเรอะ ไม่มีปัญหา ป๋าช่วยอุ้มเพิ่มสวัสดิการคนว่างงานเรอะ ไม่มีปัญหา ป๋าจัดให้และทั้งหมดที่ป๋าทำไปนั้น ป๋ากู้เขามาตลอด โดยบอกว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งยิ่งทำให้ถลำลึกลงไปในบ่วงหนี้อย่างน่ากลัว ทำให้รัฐบาลสหรัฐมีหนี้ปีละเป็นล้านล้านดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2008 มาจนถึงวันนี้

 

ก็แค่สินเชื่อที่อยู่อาศัย ใน 2-3 ปีที่แล้ว รัฐบาลก็ซื้อหนี้มีปัญหาเหล่านี้ออกมาจากสถาบันการเงินมาเป็นของรัฐไปแล้วตั้ง 90% ทำให้สถาบันการเงินรอดตัวไป แต่ภาระทั้งหมดมาอยู่กับรัฐ ซึ่งก็คือส่วนได้ส่วนเสียของคนทั้งประเทศนะป๋า

 

ความจริงมันก็ดีนะ หากเรามีหนี้สินล้นพ้นตัว แล้วรัฐบาลมาบอกว่าเอามาเลย เดี๋ยวป๋ารับจ่ายแทนให้ หนูจะได้ทำมาหากินได้อย่างสบายใจ ไม่มีหนี้เสียมาถ่วงอีก แล้วรัฐก็ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่อยู่อาศัยต่ำกว่าอัตราตลาด โดยหวังว่าคนจะสนใจกู้แล้วมาซื้อบ้านที่ถูกยึดนั้นไป ลองเทียบอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของอเมริกากับประเทศอื่นๆ กัน

 

298217_1705986429381_1829659518_1086772_219105_n.jpg

 

ในคานาดา สูงกว่าสหรัฐ 30% ในอังกฤษสูงกว่า 42% ในออสเตรเลียสูงกว่า 147% ในไทยสูงกว่า 150% ในอินเดียสูงกว่า 344% และในบราซิลสูงกว่า 404%

 

หากรัฐบาลอเมริกันไม่สามารถกู้ได้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำๆ อีก เพราะเจ้าหนี้จะต้องเรียกอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐที่สูงกว่าวันนี้แน่ๆ อะไรจะเกิดกับอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยในสหรัฐ แน่นอน มันจะพุ่งปรี๊ดจากระดับต่ำๆ ในปัจจุบันน่ะสิ แล้วตลาดอสังหาริมทรัพย์ของอเมริกาก็จะพังพาบลงอีก

 

และขณะนี้มันก็เริ่มมีอาการถูกตัดเครดิตแล้ว

 

 

วรวรรณ ธาราภูมิ

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บทความโดย คุณวรวรรณ ธาราภูมิ

นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน

CEO บลจ. บัวหลวง จำกัด

 

 

วิกฤติอเมริกัน ตอนที่ 4

23 ส.ค. 2554

 

 

 

 

 

 

 

 

ในตอนที่ 3 เราจบด้วยประโยคว่า

 

ขณะนี้สหรัฐเริ่มมีอาการถูกตัดเครดิตแล้ว

 

 

 

ในช่วงปี 2000 มาถึงก่อนปี 2008 ตลาดที่อยู่อาศัยในอเมริกาคึกคักมาก เพราะอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่ต่ำมากๆ มายาวนาน ตามนโยบายและกลยุทธ์ของคุณลุงกรีน สแปน ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ เทศบาลท้องถิ่นของรัฐต่างๆ ทั่วประเทศก็เชื่อว่าภาวะคึกคักในอสังหาริมทรัพย์นี้ จะคงอยู่ต่อไปไม่มีวันสิ้นสุด ราคาบ้านจะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ และรัฐจะเก็บภาษี อสังหาริมทรัพย์ได้มากขึ้น จึงได้ใช้จ่ายล่วงหน้าไปตามตัวเลข ที่คาดการณ์ว่าจะได้รับรายได้เพิ่มจากภาษีอสังหาริมทรัพย์

 

 

 

ฮ่า .... นี่คืออาการหวังน้ำบ่อหน้าที่มีความเสี่ยงสูงมากเชียวนะนั่น คล้ายๆ เราคิดว่าปีนี้เราต้องได้โบนัสสิ้นปีสัก 4 เดือน และปีหน้าจะได้ขึ้นเงินเดือน 8% คำนวณแล้วน่าจะมีเงินพอไปเช่าซื้อรถใหม่ รูดเครดิตการ์ดวางเงินดาวน์ไปก่อน แล้วจะผอนชำระเอา ก็รูดการ์ดมันได้แต้ม ได้เงินสดคืน ได้บินฟรี ได้หม้อ ไห กะทะ ได้ดาว ได้เดือน

 

 

 

แต่คนรูดลืมไปว่า คุณจะได้หนี้ก้อนโตด้วย

 

 

 

พอถึงสิ้นปี ยอดขายบริษัทไม่เข้าเป้า โบนัสไม่มีแจก ปีหน้าไม่ขึ้นเงินเดือน ซ้ำร้ายอาจมีการลดพนักงาน ไอ้ที่รูดปรื๊ดๆ โดยหวังได้น้ำบ่อหน้าจากโบนัส จากเงินเดือนขึ้น มันแห้ว แล้วเราก็หัวทิ่ม ธนาคารสมัยนี้ ทำไมถึงต่างเร่งรัด ล่อลวง ผลักดัน ให้เราเป็นหนี้กันอย่างไม่ลืมหู ลืมตา กันนักก็ไม่รู้ ใจร้าย ใจดำที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

การให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นสิ่งน่าสรรเสริญ เพราะบ้านเป็นปัจจัยสี่ และเป็นจำเป็น เป็นความสุขในชีวิต แต่การผลักดัน รบเร้า ล่อลวง ให้คนใช้จ่ายเกินตนด้วยการรูดบัตรเครดิต แล้วเสนอให้ผ่อนชำระ มันทำลายวินัยทางการเงินของผู้คน

 

 

 

ทั้งยังเอาข้อมูล เบอร์โทรศัพท์ของเราทั้งที่ทำงาน ที่บ้าน และมือถือไปขาย แล้วให้ใครต่อใครโทรมาชักชวนให้ไปลดความอ้วน ไปเป็นสมาชิกอะไรไม่รู้เยอะแยะ รวมถึงชวนให้กู้ๆๆๆๆ มีแม้กระทั่งธนาคารต่างด้าวโทรเข้ามือถือ เพื่อชักชวนให้กู้ไปซื้อกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นหรือทองคำ แล้วบอกว่ากำไรแน่ เพราะดอกเบี้ยกู้ไม่สูงเท่าผลกำไรที่จะได้รับจากการลงทุน

 

 

 

“คุณพี่ขา กำไรแน่นอนค่ะ”

 

เวรเอ๊ย ไอ้เราบริหารกองทุนอยู่ทุกวันยังบอกลูกค้าเสมอว่าทุกอย่างมีความเสี่ยง แล้วนี่เธอเป็นนารีขี่ม้าขาวมาบอกกำไรแน่นอน ไม่เธอบ้า ฉันก็บอละว้า

 

 

 

นี่มันมากเกินไป เคยบ่นไปหลายครั้งแล้ว ก็ยังไม่เห็นใครขยับกัน สงสัยจะต้องร้องเรียน สคบ.แล้ว

 

 

 

อ้าว คนแก่ก็งี้ละ ขี้บ่น เรากลับไปที่สหรัฐกันก่อนเหอะ เมื่อท้องถิ่นของรัฐต่างๆ ไม่ได้รับภาษีอสังหาริมทรัพย์เพิ่ม แต่ดันไปใช้จ่ายล่วงหน้าตามที่คาดว่าจะมีรายได้ภาษีเพิ่มมากขึ้น มันก็จบเห่

 

 

 

โดยรวมแล้ว 80% ของเงินกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งประเทศ ที่รัฐบาลกลางกู้ยืมมานั้น จะถูกส่งผ่านไปยังรัฐบาลท้องถิ่นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เรียกว่ารัฐบาลกลางอุ้มเทศบาล อุ้มรัฐบาลท้องถิ่นเอาไว้นั่นเอง

 

 

 

และก็ด้วยเงินกู้นี้นั่นแหละ ที่ทำให้ท้องถิ่นต่างๆ สามารถจ่ายค่าจ้างแก่เจ้าหน้าที่รัฐ ตำรวจ พนักงานดับเพลิง คนขนขยะ ไปรษณีย์ ครู นักกฏหมาย หมอ พยาบาล ซ่อมถนน ไฟฟ้า น้ำประปา ฯลฯ

 

 

 

แต่เมื่อรัฐบาลกลางต้องรัดเข็มขัดเพราะมีหนี้สินล้นพ้นตัว เมื่อเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ QE ต่างๆ จบลง ไม่มีใครให้รัฐบาลและเทศบาลท้องถิ่นกู้อีกต่อไป เพราะเขารู้ว่าให้ว่ากู้ไปก็ไม่ได้คืน มันจะเกิดอะไรขึ้น?

 

 

 

 

 

 

 

ในเดือนนี้เองที่กระทรวงการคลังสหรัฐก็เริ่มปฏิเสธการจ่ายเงินสนับสนุน หรือให้รัฐบาลท้องถิ่นกู้ ทุกอย่างจึงจบลง

 

 

 

ความเลวร้ายก็กำลังคืบคลานเข้ามาหาชีวิตคนอเมริกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รัฐและเทศบาล ไม่มีเงินจ้างตำรวจได้เพียงพอ ลูกจ้างรัฐก็เรียกร้องนั่นนี่มากไป แต่ทำงานน้อยกว่าค่าจ้างและสวัสดิการที่ได้รับ แต่ผู้ว่าการรัฐก็ต้องสัญญาว่าจะให้ เพราะเป็นระบบเลือกตั้ง แต่ในที่สุดก็ไม่มีจะให้ เลยต้องปลดเจ้าหน้าที่รัฐออก เทศบาลหลายแห่งต้องลดจำนวนคนลงถึง 1 ใน 4 โดยตำรวจครึ่งหนึ่งต้องตกงาน และนักดับเพลิงอีก 1 ใน 3 จึงไม่มีคนจ้างแล้ว

 

 

 

บาทหลวง Heyward Wiggins เล่าว่าความหวาดกลัวเกิดขึ้นไปทั่วเมือง อาชญากรรมเพิ่มขึ้นสูง คนจึงไม่กล้าออกไปนอกบ้านในเวลากลางคืน ธุรกิจหลายอย่างเช่นโรงหนัง ผับ บาร์ ต้องปิดตัวลง และแม้กระทั่งการออกไปโบสถ์ในทุกเย็นวันพฤหัสและวันศุกร์ก็ต้องยกเลิก เพราะคนไม่กล้าออกไปหาพระเจ้าในยามเย็น ยามค่ำอีกต่อไป

 

 

 

George Watson แห่ง New Jersey บอกว่า “ไม่มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินอีกแล้ว อาชญากรจะคืบคลานเข้ามาในบ้านเราอย่างไม่ต้องเกรงกลัวอะไร เพราะพวกมันรู้ว่าถึงโทรไป 911 ก็ไม่มีตำรวจอยู่ที่นั่นอีกแล้ว สิ่งที่เกิดใน New Jersey ก็กำลังเกิดใน California เช่นกัน หัวหน้าตำรวจที่ Oakland จำเป็นต้องปลดลูกน้องตนเองออก เขาไปรายงานต่อประชาชนว่า ตำรวจเท่าที่เหลืออยู่คงไม่สามารถตอบสนองต่อโทรศัพท์ที่แจ้งเหตุร้ายได้เหมือนเดิมอีกแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

มันจะเป็นอย่างไรหากไม่มีตำรวจออกมาช่วยเรา ในยามที่มี โจรร้าย ปล้น ฆ่า ลักขโมย ข่มขืน เช็คเด้ง และนักดับเพลิงไม่พอเมื่อเกิดอัคคีภัย .......SO SAD.

 

 

 

และที่แย่กว่านั้น บางรัฐไม่ตัดงบประมาณ ยังคงให้บริการเต็มที่ แต่ .....รัฐเบี้ยวหนี้

 

 

 

Tom Miller เป็นเภสัชกรและเป็นเจ้าของกิจการในเมืองเล็กๆ ที่ Marion, Illinois เขากู้เงินมาตั้งร้านขายยา มีลูกจ้างเต็มเวลา 5 คน และจำหน่ายยาให้ลูกค้าที่อยู่ในโครงการ Medicare ของรัฐ นั่นก็คือ ลูกค้าไม่ต้องจ่าย แต่ Miller ไปเบิกคืนจากรัฐตามสวัสดิการโครงการนี้ได้

 

 

 

แต่เมื่อรัฐไม่มีเงิน รัฐก็หยุดจ่ายเอาดื้อๆ และหนังสือพิพม์ท้องถิ่นก็ลงข่าวว่า เภสัชกร Tom Miller ผู้เป็นชาว Southern Illinois โดยกำเนิด และจบการศึกษาจาก St. Louis School of Pharmacy ต้องจบอนาคตธุรกิจร้านยาของตน หลังจากทำมา 20 ปี เพราะรัฐจ่ายเงินคืนเงินให้เขาช้ากว่ากำหนดไป 9 เดือน สิ่งเหล่านี้กำลังเกิดขึ้นไปทั่ว

 

 

 

Daniel Vock เขียนข่าวลงใน New York Stateline.com’s ว่า เทศบาล New York ดึงเวลาชำระเงินค่าสินค้าและบริการตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมาแล้ว ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ New York ถังแตก ไม่มีเงินจ่ายให้ตามเวลาที่กำหนด ทำให้ระบบต่างๆ ใกล้จะจบลงแล้ว

 

 

 

วาดภาพออกไหมว่าหากโลกนี้มีแต่คนเบี้ยวหนี้พราะไม่มีเงินจ่าย มันจะอยู่กันได้ยังไง?

 

 

 

U.S. News & World Report รายงานว่า ใน 2 ปีที่ผ่านมา มี 36 รัฐจาก 50 รัฐในอเมริกาที่ขึ้นภาษีและค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่นอกเหนือไปจากภาษี สังหาริมทรัพย์ ภาษีเงินได้ และภาษีขาย เดี๋ยวนี้มีภาษีไฟฟ้าที่ติดตั้งบนถนนสาธารณะ ภาษีอุปกรณ์ดับเพลิง และภาษีเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ด้วย

 

 

 

ที่ Nevada ถึงกับอดหยากพอที่จะเก็บภาษีเพิ่มจากโสเภณีอีก 5 USD ที่น่าตื่นตระหนกที่สุดคือที่ Ohio เพราะรัฐนี้กำลังจะหาทางขายคุกอีกแล้ว และในอดีตที่เคยขายคุกไป ปรากฏว่าผู้คุมคุกที่จะตกงานโกรธมาก ถึงกับปล่อยนักโทษไว้โดยไม่มีใครดูแลควบคุม

 

 

 

 

 

 

 

Chicago ก็ไม่น้อยหน้า มีการขายสิทธิในเครื่องหยอดเหรียญค่าที่จอดรถบนถนนในราคาถูกมากเพราะร้อนเงิน ให้แก่พวก Wall Street ในราคาลดลง 50% จากมูลค่าที่ควรจะเป็น

 

 

 

และก็ตามระเบียบของลัทธิ Wall Street นั่นก็คือเมื่อซื้อไปแล้ว ก็เอาสิทธิโดยรวมนั้นไปสับๆๆๆ แล้วมัดใหม่เป็นหลายรุ่น หลายแบบ แล้วขาย ส่วนหนึ่งให้กับกองทุนความมั่งคั่งแห่งตะวันออกกลางไป

 

 

 

ดังนั้น เมื่อชาวชิคาโก จ่ายค่าที่จอดรถ จงพึงสำเหนียกไว้ว่า เงินของคุณไม่ได้ไปที่รัฐบาลอเมริกันอีกแล้ว แต่มันวิ่งไปเติมความมั่งคั่งในกระเป๋าให้พวก Wall Street กับพวกชาวตะวันออกกลางที่ร่ำรวยด้วยน้ำมัน

 

 

 

หากไม่มีปาฏิหารย์เกิดขึ้น...

 

 

 

ต่อไปคนอเมริกันคงจะพึ่งพารัฐบาลไม่ได้อีกแล้ว ทั้งในเรื่องเงินบำนาญในยามเกษียณ ในเรื่องสวัสดิการรักษาพยาบาล และในเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

 

 

 

แต่รัฐบาลกลางอเมริกันก็มีสิ่งวิเศษที่รัฐบาลท้องถิ่นไม่มี เป็นสิ่งที่สงวนลิขสิทธิ์ไว้แก่สหรัฐประเทศเดียวเท่านั้นตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2

 

และทำให้รัฐบาลอเมริกันสามารถใช้ข้อได้เปรียบนี้ อย่างที่ไม่เคยมีใครในประวัติศาสตร์ทำได้มาก่อน

 

 

 

วรวรรณ ธาราภูมิ

 

 

 

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2554

 

 

 

วิกฤตอเมริกา ตอนที่ 5

 

 

 

 

 

คุณวรวรรณ ธาราภูมิ

CEO บลจ.บัวหลวง

22 สค 2554

 

 

 

ในตอนที่ 4 เราจบด้วยประโยคว่า “รัฐบาลกลางอเมริกันมีสิ่งวิเศษที่รัฐบาลท้องถิ่นไม่มี เป็นสิ่งที่สงวนลิขสิทธิ์ไว้แก่สหรัฐประเทศเดียวเท่านั้นตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งทำให้รัฐบาลอเมริกันสามารถใช้ข้อได้เปรียบนี้อย่างที่ไม่เคยมีใครในประวัติศาสตร์ทำได้มาก่อน”

 

 

สิ่งวิเศษนี้ทำให้รัฐบาลกลางไม่ต้องขายทรัพย์สินออกไป ไม่ต้องหยุดการให้บริการที่คนชอบ ไม่ต้องผิดสัญญาที่ให้ไว้แก่ผู้เลือกตั้งเขาเข้ามาเป็นรัฐบาล และไม่ต้องไปสนใจทำให้งบประมาณสมดุลด้วยการกดรายจ่ายให้ไม่เกินรายรับจากภาษี ทำได้ในสิ่งที่รัฐบาลท้องถิ่นไม่สามารถทำ

 

 

สำหรับผู้ที่ติดตามอ่านกันมาพอควรคงรู้แล้วว่าสิ่งวิเศษนั้นมันคืออะไร

 

 

นั่นก็คือเอกสิทธิในการผลิตเงินสกุลดอลลาร์ ซึ่งเป็นสกุลเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของโลก ออกมาจากแท่นพิมพ์ได้มากเท่าที่ต้องการ

 

 

นี่ไง สิ่งที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED ของลุงเบน เบอร์นันเก้ กับใครๆ อีกหลายคน “เชื่อ” ว่ายังมีทางออก

 

 

พวกเขาเชื่อว่าหากเจ้าหนี้ตัดบัตรเครดิตของอเมริกาทิ้งไปแล้ว เขาก็ยังปั๊มแบงค์จากแท่นพิมพ์ออกมาใช้ได้เสมอ โดยไม่ต้องไปห่วงอะไรในเมื่อเงินดอลลาร์เป็นสกุลเงินในทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของทั้งโลก ใครๆ จึงต้องการดอลลาร์ และสหรัฐก็เป็นเพียงผู้เดียวที่มีสิทธิพิมพ์มันออกมาได้

 

 

ใครเคยเดินทางไปยังประเทศอย่างกัมพูชา นิคารากัว และโคลอมเบีย ก็จะรู้ว่าเราสามารถใช้เงินดอลลาร์ได้โดยไม่ต้องไปแลกเป็นเงินท้องถิ่นเลย ซึ่งก็เป็นเพราะความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิ์อเมริกาที่ได้รับการยอมรับมานานในความแข็งแกร่งของพลังอำนาจทางเศรษฐกิจ คนจึงมองว่าดอลลาร์สหรัฐเชื่อถือได้เหมือนทองคำ และทำให้ดอลลาร์ได้รับการยอมรับให้เป็นทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของโลก ซึ่งหมายความว่าโลกใช้ดอลลาร์เป็นตัวกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ และใช้ดอลลาร์เพื่อเก็บสำรองความมั่งคั่งของธนาคารกลางและของรัฐบาลประเทศต่างๆ

 

 

แต่หากรัฐบาลสหรัฐยังคงตั้งหน้าตั้งตาพิมพ์ดอลลาร์ออกมาใช้ไม่หยุด เพื่อจ่ายค่าสวัดิการเงินบำนาญประกันสังคม ค่ารักษาพยาบาล ค่าถนน ค่าทำสงครามและผดุงอำนาจของกองทัพ และเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เงินดอลลาร์ที่พิพม์ออกมานั้นจะลดคุณค่าในการแลกเปลี่ยนเป็นสินค้าและบริการลงไปทุกวัน

 

 

หมายความว่าเจ้าหนี้ที่ได้รับดอลลาร์ขำระหนี้ ก็เหมือนโดนลดหนี้ เพรราะดอลลาร์นั้นเอาไปใช้ซื้ออะไรก็จะซื้อได้จำนวนน้อยลงด้วยเงินเท่าเดิม เรื่องนี้เจ้าหนี้รู้ และกำลังประสาทกิน

 

 

และสำหรับคนอเมริกันนั้น ผลที่จะเกิดมันจะเลวร้ายกว่ามาก เพราะเมื่อมีจำนวนเงินพิมพ์ออกมามากขึ้นๆ เพื่อซื้อสินค้าและบริการที่มีจำกัด สินค้าทุกอย่างจะขึ้นราคา

 

 

หากย้อนไปอ่านประวัติศาสตร์ จะพบว่าอเมริกาไม่ใช่ชาติแรกที่พิมพ์เงินแบบไม่มีอะไรมารองรับเหมือนชาวบ้านเขา

 

 

ประเทศจีนเคย “ทดลอง” ทำมาแล้วในอดีตเมื่อ 800 A.D. แต่ก็รีบเลิกเพราะเห็นว่าราคาสินค้าพุ่งขึ้นพรวดพราด

 

 

ที่น่าศึกษาก็คือ จักรวรรดิ์โรมัน ก็เคยทำเมื่อ 500 ปีก่อน ในขณะที่เป็นจักรวรรดิ์ที่ทรงอำนาจสูงสุด และร่ำรวยที่สุดเท่าที่โลกจะเคยพบเคยเห็น

 

 

แต่การดำรงความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิ์ต้องใช้กองทัพค้ำชู ต้องคอยสอดส่องตรึงกำลังและสู้รบกับศัตรูตามชายแดนรอบด้าน การขยายอาณาจักรให้ยิ่งใหญ่มากขึ้นก็ต้องใช้กองกำลัง และนั่นหมายถึงการใช้เงินอุดหนุนกองทัพจำนวนมหาศาล มากเสียจนรายได้ของจักรวรรดิ์จากภาษีไม่พอจ่ายเพื่อดำรงความยิ่งใหฯของจักรวรรดิ์โรมัน

 

 

แต่แทนที่จะตัดรายจ่ายลง โรมกลับเลือกวิธีเพิ่มปริมาณเงินเข้าไปแทน และในสมัยนั้นไม่มีแท่นพิมพ์แบงค์ กระดาษ เงินตราที่โรมันใช้จึงผลิตจากทองคำ 100% หรือ แร่เงิน 100%

 

 

แล้วเขาทำไงล่ะ ที่ว่าเพิ่มปริมาณเงินออกมา หาแร่ทองคำ แร่เงินเพิ่มเหรอ

 

 

ไม่ใช่ ทองคำ แร่เงิน ไม่ได้มีมากมาย เป็นทรัพยากรที่มีจำกัด และถึงหาได้เพิ่มก็ไม่ทันและไม่พอจ่ายหรอก

 

 

โรมันเขาใช้วิธีลดปริมาณทองคำและแร่เงินในการผลิตเหรียญลงทีละน้อยน่ะสิ และเริ่มทดแทนด้วยเหรียญบรอนซ์ซึ่งคนไม่ยอมรับในคุณ๊ค่าของมันเหมือนทองคำกับแร่เงิน นั่นก็คือด้วยจำนวนคงเดิมของทองคำกับแร่เงิน โรมันกลับผลิตเหรียญได้มากขึ้น

 

 

เหรียญเงิน เหรียญทอง ก็เหลือเนื้อเงิน เนื้อทองคำเพียง 50% แต่มูลค่าที่ประทับไว้หน้าเหรียญยังเท่าเดิม ต่อมาก็ลดเหลือ 25% แปลว่าเดิมเนื้อเงินหรือเนื้อทองเท่านี้เอาไปทำได้ 1 เหรียญ เดี๋ยวนี้ทำได้ 4 เหรียญแล้ว

 

 

เจ๋งไหมล่ะ

 

 

และเมื่อโรมันหยุดการผลิตเหรียญแบบนั้นลง ก็พบว่ามูลค่าของเหรียญ denarius นั้น เหลือเพียง 5% ของที่เคยเป็น จากเดิม 1 denarius อาจใช้ซื้อนมได้ 1 แกลลอน ต่อมาต้องใช้ถึง 95 denarius ถึงจะซื้อนมในปริมาณเดียวกันได้

 

แล้วมันก็ไม่มีค่าอีกเมื่อไม่มีพ่อค้าคนไหนยอมรับชำระค่าสินค้าด้วย denarius จักรวรรดิ์โรมันต้องจ่ายค่าจ้างแรงงานด้วยเสื้อผ้า อาหาร ภาษีถูกเก็บเป็นผักและผลไม้

 

 

และเมื่อไม่มีเงินที่จะสนับสนุนการขยายอาณาจักรกับการป้องกัน จักรวรรดิ์โรมันก็ล่มสลายลง

 

 

ความจริงอันน่าตกใจก็คือในขณะที่จักรวรรดิ์โรมันใช้เวลาถึง 200 ปี ในการทำลายอำนาจซื้อของเงินลงไป 95% นับตั้งแต่เริ่มเพิ่มเงินเข้าไปในระบบด้วยมวลสารทองคำและแร่เงินเท่าเดิม แต่สหรัฐเก่งกว่ามาก เพราะใช้เวลาเพียง 80 ปีเท่านั้นทีทำให้ดอลลาร์เสื่อมค่าลงไปเมื่อเทียบกับทองคำ เสื่อมลงไปในอัตรา 95% เท่ากัน

 

 

 

 

<a href="

http://2.bp.blogspot.com/-ORNdotvlRvs/TmBP-GiptkI/AAAAAAAAACE/mfXZ_7e0waI/s1600/05.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em">05.JPG

 

 

คนใหญ่ คนโต มักละเลยบทเรียนจากประวัติศาสตร์ และจักรวรรดิ์อเมริกาก็ทำอย่างที่จักรวรรดิ์โรมันทำ เพียงแต่ง่ายกว่าเพราะเดี๋ยวนี้เรามีกระดาษที่หาได้ง่ายและแท่นพิมพ์

 

 

05.1.JPG

 

 

 

จากรูปนี้จะเห็นว่ารัฐบาลสหรัฐพิมพ์เงินออกมามากขนาดไหนตั้งแต่ช่วงปลายๆ ของปี 2008 แลไม่เคยลดกิจกรรมนี้เลยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 

 

ผลกระทบของการเสกเงินดูได้จากราคาของที่แพงขึ้น ซึ่งสะท้อนการเสื่อมค่าของดอลลาร์

 

 

ในปีก่อนนี้ น้ำมันแพงขึ้น 30% แกสแพงขึ้น 45% กาแฟแพงขึ้น 85% และฝ้ายแพงขึ้น 90% ในขณะที่ทองคำแพงขึ้น 30% และแร่เงินแพงขึ้น 100% ซึ่งไม่ต้องพูดถึงราคาในปีนี้แล้ว

 

 

คำถามก็คือ แล้วต่อไปสหรัฐจะแก้ปัญหาไหม และอย่างไร

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วิกฤติอเมริกัน ตอนที่ 6

 

24 ส.ค. 2554

บทความโดย คุณวรวรรณ ธาราภูมิ

 

 

313812_1706450800990_1829659518_1087689_4284806_n.jpg

 

ในตอนที่ 5 เราจบว่า “ผลกระทบของการเสกเงินดูได้จากราคาของที่แพงขึ้น ซึ่งสะท้อนการเสื่อมค่าของดอลลาร์ โดยในปีก่อนนี้ น้ำมัน แพงขึ้น 30% แกส แพงขึ้น 45% กาแฟ แพงขึ้น 85% และฝ้ายแพงขึ้น 90% ในขณะที่ทองคำ แพงขึ้น 30% และแร่เงิน แพงขึ้น 100%”

 

คำถามก็คือ แล้วรัฐบาลสหรัฐคิดจะแก้ปัญหาไหม และจะแก้อย่างไรสิ่งที่เคยเกิดขึ้นก็พอเป็นแนวทางให้เราเดาว่าสหรัฐก็จะพิมพ์แบงค์ออกมาอีก และถี่ขึ้น จำนวนมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยพบเคยเห็นกันเลยทีเดียว

 

และมันน่าเศร้าตรงที่สหรัฐไม่มีทางออกอื่นอีกเลย ซึ่งผลสรุปสุดท้ายจะเป็นการทำลายล้างตัวเอง เหมือนที่ยุโรปตะวันออกเคยเจอในรอบ 100 ปีก่อนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งภาษีไม่เพียงพอกับต้นทุนและค่าใช้จ่ายของการทำสงคราม แต่การจะยอมพ่ายแพ้นั้นก็ยิ่งทำไม่ได้

 

นั่นทำให้รัฐบาลบางประเทศได้แก่ ออสเตรีย กับ เยอรมันนี จำใจเดินเข้าสู่อันตรายอันใหญ่หลวง ด้วยการพิมพ์ธนบัตรออกมาจ่าย โดยไม่มีอะไรมารองรับ

 

แม่หม้ายชาวออสเตรียชื่อ Anna Eisenmenger เล่าว่า ในช่วงนั้นเธอเป็นหม้ายและต้องกระเสือกกระสนเลี้ยงลูก 3 คนกับหลานเล็กๆ อีก 1 คน และเมื่อออสเตรียพิมพ์ธนบัตรออกมาท่วมตลาด ราคาอาหาร และเชื้อเพลิง ก็เริ่มแพงขึ้นไปเรื่อยๆ เธอกลัวมาก กลัวว่าลูกหลานจะอดตาย จึงได้ฝ่าฝืนกฏหมายอย่างร้ายแรง ด้วยการแอบสะสมถ่านหินและเนื้อสัตว์ เรื่องของแม่หม้ายคนนี้น่าทึ่งมาก เธอเขียนเล่าในสมุดบันทึกประจำวันที่ Adam Fergusan เอามาเล่าในหนังสือของเขา ชื่อ “When Money Dies” อันโด่งดัง

 

Anna Eisenmenger บันทึกไว้ว่า วันนรกแตกมาถึง เมื่อรัฐบาลเริ่มพิมพ์แบงค์ออกมาท่วมตลาดเป็นครั้งแรก เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเงินเธอเสื่อมค่าลงอย่างรวดเร็ว จึงไปที่ธนาคาร แล้วถามว่าทำไมเงินจะไม่มีค่าเท่าเดิมอีกในอนาคต เขาหัวเราะแล้วบอกว่าไม่มีทางหรอก ไม่เชื่อลองเอาธนบัตรไปแลกแร่เงินสิ คุณจะรู้ว่ามันได้แร่เงินน้อยลงไปทุกวันๆ เธอก็เถียงว่าเป็นไปไม่ได้ในเมื่อธนบัตรของเธอมีรัฐบาลเป็นประกัน มันต้องเป็นสิ่งที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว

เขาตอบว่า "คุณนายที่รัก แล้วไอ้รัฐบาลที่คุณนายว่าเป็นคนประกันค่าของธนบัตรเหล่านี้น่ะ มันตายไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ?"

 

299968_1706466281377_1829659518_1087711_6539264_n.jpg

 

แล้วจำนวนเงินที่รัฐบาลออสเตรียพิมพ์ออกมาในปีเดียวก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในปี 1920 และเพิ่มขึ้นอีก 5 เท่าของปี 1920 ในปีถัดมา

 

ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเสมอมา เมื่อใครก็ตามพิมพ์แบงค์กงเต็ก แม้จะด้วยเจตนาที่ดี แต่เขาก็จะเพิ่มปริมาณการปั๊มเงินไร้ค่าเหล่านี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คล้ายกับที่เกิด กับจักรวรรดิ์โรมันในอดีต ผลก็คือเงินออสเตรียนโครน (Krone) ซื้อของได้น้อยลง น้อยลง แล้วรัฐบาลก็เอาแต่พิมพ์เพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้น

 

Anna Eisenmenger บอกว่า เธอตื่นตระหนกมากเมื่อพบว่าเงินออมที่เก็บไว้แทบไร้ค่าแล้ว ราคาอาหาร เสื้อผ้าพุ่งขึ้นจนซื้อหาไม่ได้ เธอบันทึกว่าเสื้อผ้าแพงขึ้นเป็น 6 เท่าเมื่อเทียบกับ 7 ปีที่แล้ว จนต้องนุ่งชุดกระดาษกัน และอาหารก็แพงขึ้นถึง 100-200 เท่า ความอิจฉาริษยาต่อคนที่มีกิน มีใช้

ลอยเต็มไปหมดในบรรยากาศทั่วออสเตรีย คนหมดความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลอย่างถึงที่สุด และสำหรับแม่บ้านที่ไม่เคยมีประสบการณ์และความรู้เรื่องเงินๆ ทองๆ มันก็คือนรกดีๆ นี่เอง

 

คนจำนวนมหาศาลที่ตกงานและไม่มีกิน กำลังโกรธแค้นรัฐถึงที่สุด ฝูงชนเหล่านี้ได้รวมตัวก่อม็อบและเข้าไปจุดไฟเผารัฐสภา กระชากตัวตำรวจลงจากหลังม้าแล้วทำร้ายจนจมกองเลือด จนเนื้อตัวขาดกะรุ่งกะริ่งเพราะโดนฝูงชนลากไปตามถนน คนที่บ้าคลั่งพวกนี้ทำไปเพียงเพราะต้องการขนมปังกับงาน

มันน่ากลัวไหม

 

อีกตัวอย่างหนึ่งเป็นเรื่องของ Judith de Marffy-Mantuano ใน When Money Dies เธอเล่าว่าไม่มีใครมีปัญญาไปหาหมอ เพราะไม่มีเงิน หรือมีเงินแต่เงินนั้นไม่มีค่าอีกแล้ว หากจำเป็นต้องไปโรงพยาบาล อย่างดีก็คือไปพึ่งคอนแวนต์ ไม่อย่างนั้นก็ต้องป่วยอยู่ที่บ้าน รอให้อาการดีขึ้น หรือรอให้มันเลวลง

 

Robert Clive คนเยอรมันบอกว่า มีไม่กี่ครอบครัวที่สามารถกินเนื้อสัตว์ได้เกินสัปดาห์ละครั้ง ไข่ไก่ ไข่เป็ด ก็หายาก นมนั้นไม่ต้องไปพูดถึงเลย ไม่มีให้ดื่ม ส่วนขนมปังอันเป็นอาหารหลักก็แพงกว่าเมื่อวานนี้ 16 เท่า และทุกคนก็ต้องทุกข์ทรมานกับความหนาวเย็น เมื่อไม่มีใครร่ำรวยพอที่จะใช้เครื่องทำความร้อนได้ และถึงแม้ว่าจะไม่มีใครอยากมีปัญหากับเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ฝูงชนที่อดหยากหิวโหยโกรธแค้นนั้น มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

 

นี่คือประวัติศาสตร์แห่งความทุกข์ยากที่เกิดขึ้น เพราะการพิมพ์เงินออกมาเพราะรัฐบาลไม่สามารถกู้ใครได้แล้ว และจุดบรรจบของกงล้อประวัติศาสตร์แบบนี้มันมักจะโหดร้ายทุกครั้ง

 

การที่รัฐบาลต้องตัดงบประมาณ ต้องผิดสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนมันน่ารังเกียจ และคนมักจะตอบโต้ด้วยการไม่เลือกเขากลับเข้าไปนั่งในสภาอีก แต่การตอบโต้ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือการตอบโต้ด้วยความโกรธแค้นของผู้คน

 

298550_1706476721638_1829659518_1087718_1095635_n.jpg

 

ในวันนี้ ปีนี้ เราก็ได้เห็นม็อบของผู้ประท้วงทำร้ายตำรวจ ทำร้ายกันเอง พังร้านค้าเพื่อฉกฉวยข้าวของและอาหารใน กรีซ สเปน และอังกฤษ รวมถึงในตะวันออกกลาง จนล่าสุดที่ ลิเบีย กับ ซีเรีย (และที่ตะลึงกันไปทั้งโลกคือประเทศไทยที่มีการเผาเมืองกัน แม้จะไม่ได้เกิดจากการพิมพ์แบงค์ออกมา แต่นั่นเพราะความโกรธเกลียด ในความเป็นคนที่มีความไม่เท่าเทียมกัน)

 

อเมริกาจะหนีพ้นสถานการณ์แบบนี้ได้ไหม ไม่มีทางเลย ในเมื่อการพิมพ์แบงค์ออกมานั้น มันจะทำให้นักการเมืองยังคงอยู่ในสภาได้อีกวาระ มันเกิดขึ้นแล้วที่จักรวรรดิ์โรมัน ออสเตรีย เยอรมันนี และเกือบทั่วยุโรปในไม่นานมานี้ วันนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของวงรอบใหม่ตามกงล้อประวัติศาสตร์ของคนอเมริกัน เมื่อทุกอย่างแพงขึ้นๆ ในขณะที่คนตกงานจำนวนมาก ไร้ที่อยู่ ผู้รักษากฏหมายลดจำนวนลง เพราะไม่มีเงินจ้าง ความหิวโหย ความเคียดแค้นชิงชังจะสะสมเพิ่มขึ้น

 

Nassim Nicholas Taleb ผู้เขียนหนังสือการเงินที่ขายดีที่สุดในอเมริกาเล่าว่า สภาพของสหรัฐวันนี้คล้ายกับสมัยเขาเป็นเด็กและอยู่ในเลบานอนซึ่งกำลังเริ่มต้นสงครามกลางเมือง และเมื่อใดที่รัฐบาลเริ่มพิมพ์เงินออกมาก็จะบอกว่าทำแค่ชั่วคราว แต่เรื่องแบบนี้ไม่เคยชั่วคราวเลย

 

แม้ในวันนี้คนอเมริกันส่วนใหญ่เลือกที่จะไม่ใส่ใจอันตรายในเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่มีหลักฐานให้เห็นอยู่ทนโท่ แถมยังเพิ่มขึ้นทุกวัน นั่นก็เพราะเขากำลังเดินเข้าสู่ขั้นตอนทางจิต ในการรับสถานการณ์วิกฤติหรือความสูญเสีย นั่นคือเริ่มจากการ “ปฏิเสธความจริง”

 

คือไม่เชื่อว่าเหตุการณ์จะร้ายแรงไปถึงขั้นอันตรายได้ และยังเชื่อว่ารัฐบาลกับผู้แทนที่เราเลือกเข้าสภา เขาจะจัดการทุกอย่างให้เราปลอดภัยได้หากมีเหตุร้ายใดใด

 

หลังจากขั้นตอนแรกคือปฏิเสธ ไม่ยอมรับ ผ่านไปแล้ว จะถึงขั้นตอนหลัง นั่นก็คือ “ความโกรธเกลียดเคียดแค้นชิงชัง“ เมื่อรู้ว่าความสูญเสียนั้นเกิดขึ้นกับตนเองจริงๆ

 

ขณะนี้คนอเมริกันรวมทั้งนักการเมืองยังอยู่ในช่วงปฏิเสธความจริงอยู่ ไม่อยากนึกภาพเลยว่าเมื่อความเข้าใจเกิดขึ้นแล้ว คนอเมริกันจะโกรธแค้นนักการเมืองขนาดไหน

 

ที่จริงแล้วก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าหากโดนตัดบัตรเครดิตแล้ว คนอเมริกันจะมีชีวิตอยู่อย่างไร

 

นึกไม่ออกจริงๆ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

 

 

 

วิกฤตอเมริกา ตอนที่ 7

 

 

 

 

 

คุณวรวรรณ ธาราภูมิ

CEO บลจ. บัวหลวง

 

22 ส.ค. 2554

 

 

ในตอนที่ 6 เราจบด้วยประโยคว่า “ขณะนี้คนอเมริกันรวมทั้งนักการเมืองยังอยู่ในช่วงปฏิเสธความจริงอยู่ เมื่อความเข้าใจเกิดขึ้นแล้วคนอเมริกันจะโกรธแค้นนักการเมืองขนาดไหน ที่จริงแล้วก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าหากโดนตัดบัตรเครดิตแล้ว คนอเมริกันจะเป็นอย่างไร นึกไม่ออกจริงๆ”

 

 

เมื่อ 2-3 ปีก่อน มีคนชี้ให้เห็นปัญหาของตลาดที่อยู่อาศัยว่าฟองสบู่จะแตก แต่นักการเมืองกลับปฏิเสธโดยสิ้นเชิง

ลุงเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ บอกในไม่กี่เดือนก่อนฟองสบู่แตกว่ามีโอกาสน้อยมากที่ราคาอสังหาริมทรัพย์จะตกต่ำลง เราไม่เคยมีปัญหาราคาบ้านตกต่ำทั่วประเทศมาก่อนเลย มันอาจจะชะลอบ้าง บางทีอาจจะทำให้ราคามีเสถียรภาพ แต่ไม่ใช่อะไรที่จะกระทบเศรษฐกิจประเทศได้เลย

 

นี่ไง ทั้งๆ ที่มีข้อพิสูจน์ที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่ลุงเบนก็อยู่ในโหมดเริ่มต้นด้วยการปฏิเสธความจริงว่ามีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นแล้ว

 

แล้วราคาบ้านก็ถล่มลงทั้งประเทศ คนก็เริ่มโกรธที่เหมือนถูกหลอกลวง และถูกบังคับยึดบ้านไป ต้องไปนอนในรถ หรือกางเต๊นท์นอนในที่สาธารณะ

 

 

<a href="

http://3.bp.blogspot.com/-rYvvISEJfz0/TmSLp9ccJjI/AAAAAAAAACM/O3R8_RpVMus/s1600/07.1.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em">07.1.JPG

 

 

07.2.JPG

กะอีแค่รักษาราคาบ้านไม่ให้ตกต่ำลงมา ยังทำไม่ได้ แล้วคิดเหรอว่ารัฐบาลจะมีปัญญาไปแก้ไขปัญหาที่ใหญ่กว่านั้น นั่นก็คือการที่เจ้าหนี้จะเลิกให้กู้ หรือที่เรียกว่ายกเลิกเครดิตการ์ด ซึ่งเมื่อเจ้าหนี้พร้อมที่จะทำสักวันหนึ่ง ในอนาคต เขาจะทำด้วยความรวดเร็วยิ่ง จีนในฐานะผู้ให้กู้รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐเริ่มลดวงเงินลงทีละน้อยแล้วใน 5 เดือนที่ผ่านมา

 

 

คนอเมริกันไม่อยู่ในฐานะที่จะปฏิเสธความจริงได้อีกแล้ว และเมื่อเขาเข้าโหมดแห่งความโกรธแค้น มันก็จะสายไป

 

 

07.3.JPG

ในไม่ช้าก็จะเกิดเมืองแรกที่มีการจราจล

 

 

คนคงจำกันไม่ได้ หรืออาจจะไม่เคยรู้มาก่อนว่าในปี 1982 ประเทศเม็กซิโกก็ตกอยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือ Recession ที่รุนแรงที่สุดในรอบ 60 ปี คนว่างงานพุ่งขึ้นไปถึง 40% เพราะมีการพิมพ์เงินออกมาแก้ปัญหาหนี้ ทำให้ราคาสินค้าและบริการกระฉูดขึ้น 100% ภายในเพียง 5 เดือน แม้กระทั่งน้ำประปายังแพงขึ้นเท่าตัว และรัฐบาลก็ประกาศให้การแลกเปลี่ยนเงินเปโซกับเงินต่างประเทศเป็นการกระทำที่ผิดกฏหมาย รัฐบาลประกาศห้ามนำเงินเปโซออกนอกประเทศ ซี่งทำไปเพราะรัฐบาลต้องการไม่ให้เงินเปโซออกไปอยู่ในตลาดนานาชาติอันจะทำให้ค่าเงินเปโซตกต่ำลงไปจากระดับอัตราแลกเปลี่ยนจอมปลอมที่รัฐบาลเป็นผู้กำหนด นี่ก็คือที่เราคุ้นๆ กันในชื่อ Capital Control นั่นเอง นอกจากเปโซแล้ว รัฐบาลยังห้ามนำทองคำ แร่เงิน อัญมณีออกนอกประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาตก่อนด้วย

 

 

เรื่องนี้ก็เคยเกิดขึ้นกับมาเลเซีย เวเนซุเอลา รัสเซีย และประเทศอื่นๆ มาแล้ว

 

 

แล้วมันจะเกิดในสหรัฐไหม ?

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554วิกฤตอเมริกา ตอนที่ 8

 

 

วรวรรณ ธาราภูมิ

CEO บลจ. บัวหลวง

 

 

28 ส.ค. 2554

 

 

 

 

ในตอนที่ 7 เราจบตรงที่ “อเมริกา จะมีการทำ Capital Control ไหม”

 

 

คำถามนี้ยังไม่มีใครมีคำตอบให้ และยังคงไกลตัว แต่มันก็เคยเกิดในประเทศอื่นๆ แล้ว

 

 

มาดูเรื่องปัจจุบันกัน ล่าสุด ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2554 ที่ USA ก็ตรงกับวันเสาร์ในไทย FED ของลุงเบน มีการประชุมกันที่ Jackson Hole (กรุณาอย่าแปลชื่อนี้ว่า รูของนาย Jackson เพราะจะเกิดคำถามตามมาว่าใครเล่าจะไปประชุมกันในรูของอีตา Jackson ได้) ก่อนหน้าจะถึงวันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม ผู้คนต่างคาดหวังว่าลุงเบนจะขึ้นเฮลิคอปเต้อร์แล้วโปรยแบงค์กงเต้กออกมา ซึ่งความคาดหวังนี้ทำให้หุ้นอเมริกาขึ้น แต่พอถึง 1 วันก่อนประชุม โบรกเก้อร์ต่างประเทศที่เคยบอกว่าจะมี QE3 ต่างกลับแนวคิดแล้วฟันธงว่ายังไม่มี ส่วนศาสตราจารย์ Nouriel Rubini, Joseph Stiglitz และอีกหลายๆ คนที่เป็นยอดนักเศรษฐศาสตร์ของจริงต่างออกมาบอกว่ายังไม่มี QE3 แน่ แต่น่าจะมีในก่อนสิ้นปี เมื่อข้อมูลทางเศรษฐกิจออกมายืนยันว่าอเมริกาเข้าสู่ Recession (Double Dip Recession) จริงๆ แล้ว

 

 

สำหรับเรื่อง QE3 นี้ มองในอีกแง่หนึ่ง สหรัฐก็คล้ายใช้ QE3 มาจะครึ่งทางแล้ว

 

 

อ้าว ใช้เมื่อไหร่ ทำไมไม่เห็นมีข่าวเลย

 

 

ก็การที่ FED ประกาศออกมาเมื่อไม่กี่วันนี้ไงว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยต่ำจนจะเป็น 0% ไปอย่างน้อยถึงกลางปี 2013 ไงล่ะ

 

 

งง เกี่ยวไรด้วยล่ะ ลุงเบนยังไม่ได้พิมพ์แบงค์ดอลลาร์เพิ่มไม่ใช่เหรอ

 

 

ก็ใช่ แม้ยังไม่ได้พิมพ์เพิ่ม แต่การกดดอกเบี้ยจนจะเป็นศูนย์นั่นก็คือธนาคารกลางสหรัฐส่งสัญญาณให้ธนาคารพาณิชย์กู้เงินระยะสั้นได้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุดในโลก ใกล้ศูนย์เปอร์เซ็นต์ แล้วเอาไอ้ที่กู้นี้ไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลอเมริกันอายุ 10 ปี ที่ให้ดอกเบี้ย 2%+ กำไรเห็นๆ เลย ใครจะไม่เอาล่ะ เพราะจนป่านนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าภาคธุรกิจจะขยาย จึงไม่มีใครมากู้แบงค์พาณิชย์ เงินมันก็จะท่วมระบบธนาคาร เมื่อ FED มาเสนอทางหาเงินให้ มีที่ไหนที่ธนาคารพาณิชย์จะไม่เอาไปหากำไรในช่วงที่ไม่มีใครกู้ นั่นจึงเป็นการ Inflate เงินในอีกทางหนึ่ง ซึ่งยังไม่เห็นว่าจะไปช่วยภาคเศรษฐกิจจริงที่ตรงไหน

 

 

ใครที่ตามข่าวโดยเปิดทีวีดูช่อง BBC CNBC และอื่นๆ ของหลายประเทศ จะเห็นลุงเบนเดินเนิบๆ มีคนเดินตามจำนวนหนึ่ง ทำหน้าชื่นชมธรรมชาติกันเงียบๆ ท่าทางสง่างามปานกษัตริย์ย่างพระบาทชมสวนหน้าพระราชวังยังไงยังงั้นเลย ทุกสายตาในโลกต่างจ้องไปที่ซุปเปอร์เบน / King Ben คนต่างรอคอยด้วยความหวังอันสูงสุดว่าคนๆ เดียวที่จะช่วยแก้วิกฤติที่เกิดขึ้นในโลกได้อย่างลุงเบนนั้นจะออกมาตรการอะไรหลังประชุม

 

 

แต่ในขณะที่คนดูทีวีเขาเฝ้าติดตามผลการประชุม สังเกตุสีหน้าท่าทางของลุงเบนไหม

 

 

เห็นแล้วก็รู้สึกเสียใจไปกับสหรัฐ เพราะท่าทางการเดินของลุงเบน เนิบช้าสง่างาม แววตาของลุงยังแสดงว่าลุงรับรู้และชื่นชมในความยิ่งใหญ่ ความสำคัญของตนที่มีผู้สื่อข่าวรุมล้อมในวันนี้ วันที่โลกทั้งใบให้ลุงคนเดียว ลุงเบนยังทำหน้ากุมหัวใจสำคัญของอาวุธวิเศษที่ลุงเบนมีคนเดียว นั่นคือการพิมพ์ดอลลาร์เพิ่ม ยาสามัญประจำบ้านของอเมริกา และลุงยังไม่รับรู้เลยว่าทุกอย่างที่ลุงเจอนั้นมันคือสิ่งจอมปลอมที่จะต้องจบลงในวันหน้า และคงจบไม่สวยนัก เพราะหากเทียบกับสิ้นปี 1999 เศรษฐกิจในภาพรวมของสหรัฐในวันนี้ยังแย่กว่า ไม่ต้องไปพูดถึง Recession ในช่วง Lehman ปี 2008 และไม่ต้องถามว่าวันนี้เราเข้า Recession อีกครั้งต่อจากปี 2008 ที่เรียกกันกว่า Double Dip Recession หรือยัง

 

 

ก็ ลุง Marc Faber ยังให้ความเห็นว่าในวันนี้สหรัฐอาจจะยังไม่หลุดจาก Recession ในปลายปี 1999 (ลุงคงหมายถึงปี 2000) เลยด้วยซ้ำ

 

 

สำหรับคนที่ติดตามว่าลุงเบนจะประกาศผลประชุม FED อย่างไร ลองอ่านที่ Kevin Lamarque จาก Reuters เขาวิเคราะห์ดู 3 ข้อ

 

 

1. Vincent Reinhart จากสถาบัน The American Enterprise Institute บอกว่า Speech ของ FED ที่จะประสบความสำเร็จต้องนุ่มนวล ไม่ระคายเคือง ไร้อารมณ์ ไม่กระตุ้นให้คนตื่นตระหนก วุ่นวาย โกลาหล (ซึ่งก็คือต้องจืดชืดนั่นแหละ) Speech ที่ดีของ FED จะต้องทำให้คนฟัง/คนอ่าน ได้ยิน/ได้เห็นบางสิ่งที่ตนเองคาดหวัง จะได้เอาส่วนนั้นไปยืนยันกับความเชื่อของตนว่าคิดถูกแล้ว (บางคนจะได้บอกกับเพื่อนว่า เห็นไหม ตูว่าแล้ว) ดังนั้น ในบางครั้ง Speech ก็เป็นแค่ Speech เท่านั้นเอง

 

 

2. เศรษฐกิจในวันนี้ ไม่เหมือนกับเมื่อปีก่อน คือไม่ดีเท่า โดยไตรมาส 2 ที่เพิ่งผ่านมานี้มีอัตราเติบโตเพียง ประมาณ 1% เท่านั้น และขณะนี้เศรษฐกิจของทั้งโลกก็แย่ลงด้วย อย่างไรก็ตาม QE1 และ QE2 ที่ออกไปแล้วนั้นไม่เพียงแต่ได้ช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐเติบโต แต่ยังออกมาช่วยไม่ให้เกิดภาวะฝืดเคืองด้วย และเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันอยู่ต่ำกว่า 2% ตามที่ FED ต้องการ (แปลว่าไม่ได้มีภาวะเงินฝืด) ทำให้ไม่ควรใช้ QE3 ซึ่ง Vincent Reinhart บอกว่า แม้เราควรใช้มาตรการเชิงรุกหากเงินเฟ้ออยู่ต่ำกว่าเป้าหมาย (หมายความว่าอาจจะเงินฝืด จึงควรออก QE อีก แต่นี่ไม่ได้ออก เพราะ FED บอกว่าอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย) แต่ Vincent ก็บอกว่าเราทำนายไม่ได้หรอกว่าลุงเบนจะทำอะไร

 

 

3. ลุงเบนทำงานอยู่ท่ามกลางความร่วมมืออันน้อยนิดระหว่าง 2 พรรคการเมือง และโดยธรรมชาติของลุงเบนก็เป็นคนที่ไม่ทำอะไรที่ขัดแย้งรุนแรง (แบบนี้พวก Hardcore ที่คอยดักตีหัวฝ่ายตรงข้ามหน้าสภาเขาเรียกว่า แหยแฝ่น) ซึ่งในการประชุม FED คราวก่อน ก็มีกรรมการ 3 คน ที่ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการที่ FED ตัดสินใจด้วยเสียงข้างมากที่จะคงอัตราดอกเบี้ยเตี้ยติดดินไปจนถึงกลางปี 2013 เป็นอย่างน้อย และเรื่องการออก QE3 ที่ประชุมกันในรอบนี้ก็มีความเห็นไม่ตรงกันอยู่มาก ดังนั้น QE3 จึงยังไม่ออกมาจนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะต่ำลงถึงระดับหนึ่งที่ลุงเบนเห็นว่ามีเหตุผลเพียงพอที่จะไปเสนอให้กรรมการ FED อนุมัติให้ใช้ QE ไปกระตุ้นเศรษฐกิจอีก

 

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า QE3/4/5/…./ n จะไม่เกิด เพราะยิ่งปัญหาการว่างงานในอัตราสูงอยู่นานเท่าใด อัตราเงินเฟ้อก็จะถูกกดลงมากขึ้นเท่านั้น

 

 

เพราะหากเงินเฟ้อต่ำผลประโยชน์จากการออก QE ก็จะกลับมา นั่นก็คือ QE จะทำให้หุ้นและพันธบัตรราคาสูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นมากขึ้น จนเหตุผลมากพอที่ FED จะยอมเสียประโยชน์จากการออก QE ที่ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์สูงขึ้น และแม้จะทำให้เกิดแรงกดดันทางการเมืองมากขึ้น

 

 

ก่อนผลการประชุม FED รอบนี้จะออกมา Mohammed El-Erian ผู้เป็น CEO ของ PIMCO ซึ่งเป็น Bond Fund House ที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา กล่าวว่า เงินเฟ้อในวันนี้มีอัตราสูงกว่าเมื่อเทียบกับสิงหาคมปีก่อน และอุปสรรคในโครงสร้างที่จะทำให้เกิดการจ้างงานใหม่ก็มีมากและเป็นปัญหาลึก นอกจากนี้ ภาวะแวดล้อมทั่วโลกก็ไม่เอื้ออำนวย ความเชื่อมั่นกับความเป็นอิสระในการตัดสินใจของ FED ก็กำลังถูกกดดันอย่างหนัก และเมื่อพิจารณาจากผลการประชุม FOMC ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยและความเสี่ยง ก็ปรากฏว่าไม่มี Impact ต่อตลาดเท่าไรเลย จึงคาดว่าตลาดคงไม่สนองตอบเท่าอดีตหาก FED จะออก QE มาช็อคโลกอีก

 

นี่คือเหตุผลที่ลุงเบนสั่งให้ดับเครื่องเฮลิคอปเตอร์ที่กำลังรอให้ลุงเบนขึ้นไปโปรยเงินรอบ 3 เพราะประเมินแล้วผลได้น้อยกว่าผลเสีย ลุงเบนจึงใช้การประชุมในรูของอีตา Jackson กล่าว Speech ที่คราวนี้เป็นแค่ Speech เท่านั้น แล้วยื่นไม้ต่อให้ประธานาธิบดีโอบามาไปจัดเตรียมเพื่อประกาศแนวทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐในวันที่ 5 กันยายนนี้แทน

 

 

และน้า Paul Krugman ที่กำลังสติแตกไปแล้วตั้งแต่ S&P ลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐ ก็สติแตกอีกครั้ง

 

 

น้าพอล บอกว่าเมื่อพยายามมองโลกในแง่ดีก็มีข่าวบวก 1 อย่าง จากการที่ลุงเบนออกมาให้ Speech นั่นก็คือ ลุงเบน “รู้ตัวแล้ว” ที่บอกว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ได้ฟื้นตัว

 

 

แต่นอกเหนือไปจากพัฒนาการในด้านดีของลุงเบนในเรื่องนี้เรื่องเดียวแล้ว มันก็ชัดเจนเหลือเกินว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของอเมริกาช่างห่างไกลจากที่คาดหวังไว้มากนัก เพราะภาวะ Recession มันได้หยั่งรากลึกในขณะที่การฟื้นตัวก็แย่กว่าที่หวังไว้มาก ผลผลิตโดยรวมของอเมริกายังไม่กลับขึ้นไปในระดับก่อนเกิดวิกฤติรอบนี้ด้วยซ้ำ แล้วน้าพอลก็เตือนอีกครั้งว่าที่สำคัญที่สุดก็คือ “ด้วยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำมากๆ แบบนี้ มันไม่พอที่จะทำให้การว่างงานที่ระดับ 9%+ ดีขึ้นมาได้อย่างยั่งยืน และทุกอย่างก็ชี้ว่าเศรษฐกิจอเมริกาไม่แม้แต่จะฟื้นตัวอย่างเชื่องช้าแต่มั่นคงตามที่ FED ประกาศเสียด้วยซ้ำ”

 

 

“และที่จริงแล้ว การยอมรับว่ามันแย่ก็น่าจะทำให้ FED ออกมาใช้มาตรการต่างๆ ที่ลุงเบนเองเคยแนะนำญี่ปุ่นให้ทำเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว โดยญี่ปุ่นเมื่อกว่าสิบปีนั้นกำลังจะติดกับดักระยะยาวในการไม่ฟื้นตัว และลุงเบนเองเคยเขียนแนะนำทางแก้ไขทุกอย่างได้ดีที่สุด แต่ญี่ปุ่นก็ไม่ทำเลยติดกับดักมาเป็นทศวรรษ และในวันนี้ สหรัฐก็กำลังย่ำเดินทับรอยเท้าญี่ปุ่นเข้าไปทุกทีแล้ว ทำไมลุงเบนไม่นำแผนนั้นมาแก้ไขอเมริกาในวันนี้เล้า ลุงเบ้นนนนนนนนนนนนนน.....(โว้ย)” น้าพอลเริ่มสติแตกอีกครั้ง

 

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554วิกฤตอเมริกา ตอนที่ 9

 

 

วรวรรณ ธาราภูมิ

CEO บลจ. บัวหลวง

 

 

4 กันยายน 2554

 

 

 

 

ในตอนที่ 8 ซึ่งเขียนไปเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2554 เราจบตรงที่น้าพอล ครุกแมน สติแตก

 

 

จนถึงวันนี้ 4 กันยายน น้าพอลของเราก็ยังสติแตกไม่หายเมื่อประธานาธิบดี โอบามา จะยกเลิกแผนของบุชที่จะบังคับธุรกิจมากขึ้นในเรื่องการจัดการเกี่ยวกับโอโซน

น้าพอล โวยวายว่า นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่โอบามาจะไปยอมอ่อนข้อให้รีพับลิกัน ซึ่งผลของมันคือการทำร้ายเศรษฐกิจเข้าไปอีกเพราะตอนนี้ทุกคนต้องการงานทำ

และในทุกวันนี้ ภาคธุรกิจมีเงินสดแช่ไว้มหาศาล แต่ไม่ใช้จ่าย ไม่ลงทุน ไม่จ้างงาน เพราะกลัวขายของไม่ได้ หากรัฐบังคับใช้กฏหมายที่ธุรกิจต้องจัดการสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น มันก็จะมีการใช้เงินไปปรับปรุงระบบควบคุมมลพิษ ทำให้บริษัทที่ขายอุปกรณ์พวกนี้มีรายได้เพิ่ม ทำให้เขาจ้างงานเพิ่ม

คนที่มีงานทำก็จะใช้จ่ายเงินที่ทำมาหาได้ ทั้งหมดนี้จะนำพาความมีชีวิตกลับมาให้ระบบเศรษฐกิจได้ส่วนหนึ่ง

น้าพอลสรุปตอนท้ายว่าที่โอบามาตัดสินใจผิดเพราะห่วงว่า การบังคับกฏหมายนี้จะทำให้บริษัทต่างๆ แย่ลงนั้น มันไม่ใช่ และกลับจะยิ่งทำร้ายหนทางที่พอจะผลักดันให้ภาคธุรกิจใช้เงินแล้วทำให้ระบบเศรษฐกิจหมุนไปได้อีกทางหนึ่ง

 

 

เอ้า ทีนี้ลองมาดูเรื่องระบบการปกครองกันบ้าง ขอหักมุม 90 องศาหน่อย

 

 

เพราะพัฒนาการของการอยู่ร่วมกันของคนมันน่าสนใจ

 

 

 

 

จากเดิมต่างคนต่างอยู่ ก็รวมเป็นหมู่เป็นเหล่า แล้วการอยู่แบบรวมกลุ่มมันก็ต้องมีลูกพี่ แบบที่วินมอเตอร์ไซค์ชอบแซวหัวหน้าวินเวลามีสาวสวยซ้อนท้ายว่า “ติ๊ดชึ่ง ติ๊ดชึ่ง รีบบึ่งไปไหนลูกพี่”

 

 

พูดไปก็น่าชมที่คนกลุ่มนี้เขามีการจัดระเบียบที่ดีกว่าพฤติกรรมเฉลี่ยของคนไทย นั่นก็คือไม่มีการแซงคิว ลัดคิว ยกเว้นเวลาคนแก่ๆ อย่างเราจะใช้บริการ ก็จะมีแต่คนบอกว่า “โอ้ย ป้า ผมติดธุระ ... ยายครับ รถเสียพอดี ....ป้า .. ไปคันอื่นก่อน ผมปวดท้องกระทันหัน ... ไม่ไปๆ เมียตามกลับบ้านแล้ว ... ฯลฯ ทุกทีสิน่า ดีนะที่เขาไม่เอาไม้กางเขนยกขึ้นมาขว้างหน้าเราแล้วพูดว่า “อย่าเข้ามานะ นี่เห็นไหม ผมมียันต์กันผีนะ”

 

 

ไม่รู้เขากลัวยางรถแตกหรือกลัวยายแก่ขึ้นรถแล้วเป็นเสนียดกันแน่ อย่างนี้ต้องบอกว่าแม้จะมีระบบระเบียบ แต่ก็มีตาหามีแววไม่

 

 

และเมื่อคนมารวมกลุ่มกันเป็นบ้าน เป็นเมือง เป็นประเทศ ก็มีคนอุปโลกน์ตนเองเป็นผู้ปกครอง ซึ่งในสมัยก่อนก็จะเป็นเจ้าครองนคร เจ้าครองเมือง เป็นระบบกษัตริย์ สืบทอดกันด้วยวิธีต่างๆ โดยฝ่ายปกครองมีรายได้บริหารบ้านเมืองจากภาษีในรูปแบบต่างกัน ขึ้นอยู่กับแต่ละยุค รายได้เหล่านี้เขาเอามาจ่ายเพื่อดำรงความเป็นรัฐ เป็นอาณาจักร และเป็นจักรวรรดิ์ ด้วยการสร้างกองทัพ สภาขุนนาง สาธารณูปโภค และหลายแผ่นดินในบางยุคก็เข้าขั้นรีดนาทาเร้นเพราะฝ่ายปกครอง “จัดหนัก” ลุแก่อำนาจ รีดไถราษฎรแล้วเอาไปบำรุงบำเรอพวกตน บางทีก็สร้างเมือง ปราสาทสวยงามใหญ่โต แม้กระทั่งจีนก็สร้างกำแพงยักษ์ อียิปต์ก็สร้างสุสาน ปิรามิด ฯลฯ ทำให้คนตายเพราะความทุกข์ยากแค้นทรมานไปมากหลาย แต่ฝ่ายปกครองก็มีเหตุผลเช่นเอาไว้กันข้าศึกโจมตี บางทีก็เอาไว้ดำรงสถานะของความเป็นสมมติเทพ

 

 

เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง ระบบปกครองส่วนใหญ่ในโลกก็มาถึงจุดที่คนเรียกร้องความเป็นอิสระเสรีจากการกดขี่ ข่มเหง ของผู้ปกครอง

 

 

ก็ทำไมข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวสาร ข้าวเหนียว ที่เพาะปลูกอย่างหลังขดหลังแข็ง ถึงถูกยึดเอาไปให้ส่วนกลาง ทำไมลูกสาวต้องถูกต้อนไปบำรุงบำเรอฝ่ายปกครองที่กดขี่ข่มเหง ทำไมผู้สร้างผลผลิตจึงอดอยากยากแค้น

 

 

แล้วก็เกิดระบบประชาธิปไตย คือ ทนไม่ไหวแล้ว ไม่เอาแล้ว ไอ้ที่แบบมีคนๆ เดียว หรือมีกลุ่มคนกระหยิบมือหนึ่งมากำหนดชะตากรรมให้เรา เราขอปกครองกันเองดีกว่า

 

 

แต่การที่จะนัดหมายคนทั้งประเทศมาประชุมข้อราชการบริหารบ้านเมืองมันทำไม่ได้ ก็จะไปจัดประชุมที่ไหนล่ะ แล้วจะอภิปรายกันยังไงถึงจะครบถ้วนทุกคน อย่างประเทศไทยนี่ให้ 67 ล้านคน พูดคนละ 5 นาทีโดยไม่มีเบรค ไม่มีคนคอยขัดแข้ง ขัดขา วันละ 8 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด ก็กินเวลาไป 1,912 ปีแล้ว เราก็เลยใช้ระบบที่ว่าส่งตัวแทนที่มาจากประชาชนไปบริหารและปกครองแทนพวกเราทุกคน

 

 

แล้วโลกก็เริ่มเข้าสู่จุดที่ไม่รู้ว่าระบบที่ใช้ทุกวันนี้ มันควรเปลี่ยนไปหรือยัง เพราะสิ่งที่หลายๆ ประเทศพบก็คือ มันก็แค่เปลี่ยนจากผู้ปกครองเพียง 1 คน หรือไม่กี่คน มาเป็นกลุ่มคนที่เราเลือก หรือแม้เราไม่เลือกแต่คนอื่นจำนวนมากกว่าเขาเลือก

 

 

หากผู้ปกครองอยู่ในธรรม เข้าใจหัวจิตหัวใจประชาชนทุกกลุ่มทั้งที่สนับสนุนและไม่สนับสนุน บ้านเมืองก็เจริญรุ่งเรือง ผู้คนทุกกลุ่มก็อยู่เย็นเป็นสุข

 

 

หากฝ่ายปกครองสำนึกตนได้ว่าไม่ใช่เทวดา แต่เป็นผู้ได้รับการแต่งตั้งไว้วางใจจากมหาชนให้มาทำงาน “รับใช้” ประชาชนโดยรวม ก็จะมีพฤติกรรมที่นอบน้อมถ่อมตน มีจิตสำนึกที่ผูกกับพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง ไม่กร่าง ไม่ลืมตัวเป็นวัวลืมตีน ไม่ลืมวันที่แทบจะเลื้อยไปเข้าหาประชาชนในพื้นที่เกือบทุกบ้าน ไหว้ได้แม้กระถางต้นไม้เพื่อขอคะแนนเสียง

 

 

หากผู้ปกครองมีความเฉลียวฉลาด ทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม โดยมีการเยียวยาคนส่วนน้อยที่ต้องเสียประโยชน์ สามารถอธิบายข้อดี ข้อเสีย ของแนวทางต่างๆ ที่คิดจะเปลี่ยนแปลงได้อย่างผู้เจริญแล้ว จนได้ข้อสรุปที่ยอมรับร่วมกันได้ วิถีแห่งการบริหารบ้านเมืองก็จะรุ่งเรืองยิ่ง

 

 

แต่หากการปกครองเป็นไปโดยลุแก่อำนาจ ทำร้ายจิตใจของผู้ถูกปกครอง หลงผิดคิดว่าได้ดาบอาญาสิทธิ์มาใช้ประหัตประหารใครก็ได้ที่เกะกะขวางหูขวางตา ไม่นานก็ต้องเกิดการต่อสู้ดิ้นรน จนเกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะคนที่เจริญแล้วเขาไม่อยากจะมีคนเถื่อน คนถ่อย คนโลภ คนโกง มาครองประเทศ มากดขี่หยาบหยาม มาคดโกงเขา

 

 

และคำว่าคนถ่อย คนเถื่อน คนโลภ คนโกง นี้ ไม่ได้หมายถึงชนชั้น เพราะในแต่ละหมู่เหล่าก็มีทั้งคนเจริญ และคนถ่อยทั้งนั้น แม้กระทั่งในแต่ละพรรคการเมืองก็สามารถมีคนเหล่านี้แทรกอยู่กับคนดีได้ทุกพรรค

 

 

ในการต่อสู้ระดับชาติ ไม่ว่าใครจะชนะ ก็ต้องผ่านความเจ็บปวดของคนทั้ง 3 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายสนับสนุน ฝ่ายคัดค้าน และฝ่ายที่ไม่อยู่ทั้ง 2 ฝั่ง ซึ่งไม่ใช่ฝ่ายกลางๆ ที่บอกว่า “รักทุกคนนะค้า ...”

 

 

ความล้มเหลวของการบริหารบ้านเมืองในประเทศตะวันตกก็เคยเล่าไปแล้ว วันนี้ขอยกตัวอย่างสหรัฐอเมริกาอีกครั้งหนึ่งในประเด็นที่ยังไม่เคยเล่า นั่นก็คือ การตัดสินใจที่ผิดพลาดในเรื่อง 9-11

 

 

เรายังไม่ลืมภาพช็อคโลกวันที่ 11 กันยายน 2001 ที่เครื่องบินพาณิชย์ 2 ลำ พุ่งชนตึกแฝด World Trade Center ที่แมนฮัตตัน และอีกลำหนึ่งไปพุ่งชนตึกกระทรวงกลาโหม หรือ Pentagon ของสหรัฐ

 

 

ประธานาธิบดี บุช ในช่วงนั้น ได้โอกาสที่ไม่รู้ว่าร่วมสร้างขึ้นเองด้วยหรือไม่ ข่มขู่ทุกประเทศให้เข้าร่วมสงครามกับอเมริกัน หากใครไม่ร่วมก็ถือว่าไม่ใช่มหามิตร

 

 

แทนที่จะใช้ระบบปกติคือการไต่สวน สืบสวนหาเหตุ แล้วจับตัวคนร้ายมาลงโทษ เขากลับใช้ความแค้น น้ำตา ความสูญเสียของผู้คนเพื่อแสวงหาความชอบธรรมในการก่อสงครามจากความหวาดกลัวของผู้คน เพื่อไปรุกรานประเทศอื่นที่มีทรัพยากรพลังงาน

 

 

และจนถึงทุกวันนี้คนอเมริกันและคนชาติอื่นๆ ทั่วโลก ก็ยังไม่รู้จนแล้วจนรอดว่าสหรัฐบังคับพวกเราไปรบกับใคร นี่มันเป็นการทำสงครามกับ Nobody แท้ๆ

 

 

น่าเศร้า ที่โมเดลนี้ยังคงใช้อยู่จนทุกวันนี้ในหลายประเทศ แม้กระทั่งล่าสุดในลิเบีย

 

 

ใครเห็นข่าวที่ประเทศตะวันตกร่วมกันลงแขกข่มขืนลิเบียด้วยการสนับสนุนกลุ่มปฏิวัติประชาชนแล้วรู้สึกอย่างไรบ้างที่ตอนนี้เขากำลังเจรจาแบ่งสมบัติของลิเบียกัน สะอิดสะเอียนบ้างไหม

 

 

เอ้า ข้าจะเอาหัวไป ส่วนแกเอาขาซ้าย แกเอาตับ แกเอาแค่นิ้วก้อยก็พอ ส่วนไส้เอามาสับแบ่งกันคนละ 20 เซ็นต์นะ ฯลฯ

 

 

จำได้ไหม ที่บุชกล่าวหาว่าอิรัคมีระเบิดนิวเคลียร์ จึงลุแก่อำนาจส่งกองทัพโดยมีอังกฤษและนานาชาติร่วมด้วยเข้าไปก่อสงคราม ฆ่าคนที่ไม่รู้อะไรด้วย ข่มขืน ทารุณ จนยึดประเทศได้ แล้วก็ตั้งรัฐบาลให้เขาแม้จะบอกว่าเป็นการเลือกตั้งโดยประชาชนอิรัคก็ตาม มันทุเรศที่สุด ที่ประเทศหนึ่งเข้าไปก้าวก่ายเรื่องภายในของประเทศอื่น คล้ายๆ กับเราทะเลาะกันเองในบ้าน แล้วอยู่ดีๆ ก็มีเพื่อนบ้านมายึดบ้านเรา ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ แล้วตั้งพี่เขยเราที่เขาสนับสนุนให้เป็นหัวหน้าครอบครัวคนใหม่ทั้งๆ ที่เราเกลียดพี่เขยคนนี้ แล้วมายึดเงินทอง ข้าวปลาอาหารเราไป ด้วยเหตุผลว่าเขามาช่วยนี่ก็เสียหายไปเยอะ จึงต้องได้รับคืน

 

 

แล้วยังมีที่อื่นเช่น อาฟกานิสถาน ด้วย ที่รัฐบาลสหรัฐมีเหตุ มีผลเสมอ ในการไปรุกรานคนอื่น ทั้งๆ ที่เบื้องหลังคือความโลภในสิ่งที่ไม่ใช่ของตน

 

 

แต่จนป่านนี้ ระเบิดนิวเคลียร์บ้าๆ บอๆ ที่กล่าวหาว่าอิรัคมีน่ะ มันยังหาไม่เจอเลย บ้าไหม แล้วใครกันแน่ที่สมควรถูกแขวนคอ

 

 

ผลกระทบที่ติดตามมาก็คือ การเงิน การคลัง ที่เป็นหนี้มหาศาลนั้น ส่วนหนึ่งก็มาจากการก่อสงครามรุกรานคนอื่นเขา มีเหตุใดที่สหรัฐต้องส่งกองทัพไปประจำการเป็น รปภ. ทั่วโลกเกิน 120 ประเทศ

 

 

จะให้เด็กช่างกล คนขยันของเราไปช่วยเขียนบนกำแพงไหมว่า “สหรัฐ พ่อของทุกคน”

 

 

รายได้ของประเทศที่มาจากภาษีแทนที่จะใช้เพื่อประเทศตนอย่างมีธรรมาภิบาล กลับถูกนำไปละเลงการรบ เพื่อทำให้เกิดความมั่งคั่งของบริษัทน้ำมันที่คนอเมริกันเองเขาวิเคราะห์ว่าบุชมีเอี่ยว

 

 

การดำเนินนโยบายบริหารบ้านเมืองที่ผิดพลาดต่อเนื่องกันมาหลายยุคหลายสมัย กำลังทำให้คนอเมริกันตกงานกันจำนวนมากและยาวนาน ทั้งยังมีโอกาสน้อยที่จะได้กลับไปทำงานได้อีกเพราะส่วนหนึ่งถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยีไปแล้ว

 

 

แต่คนรวยคือใครถ้าไม่ใช่นักการเมือง กับผู้สนับสนุนทุนพรรคใน Wall Street แต่ชนชั้นกลางกลับโดนปล้นความมั่งคั่งไปทุกปีๆ จนอ่อนเปลี้ย ไร้กำลัง

 

 

มนุษยชาตินี่แสนจะแปลก ร่ำร้องหาอิสระเสรี แต่ก็ไม่พ้นการหาระบบที่เอาบังเหียนมาครอบปากใส่หลัง ไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะใช้ระบบปกครองแบบไหน

 

 

จริงอยู่ที่ผู้ปกครองอาจจะทำอะไรก็ได้ ในช่วงที่มีอำนาจ แต่อย่าลืมว่าอำนาจไม่เคยจีรัง ดังนั้น อเมริกาต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในระบบของจักรวรรดิ์ในอนาคต

 

 

มันยังไม่เกิดในวันนี้ ปีนี้ แต่ช่วงชีวิตเรา เราได้เห็นแน่ ซึ่งยังไม่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างไร

 

 

ดูเขาแล้วย้อนมาดูเราว่าวันนี้คนที่เราเลือกให้ไปบริหารบ้านเมืองแทนเรา เขาทำอะไรกัน

 

 

ฝ่ายรัฐบาล มีใคร ทำอะไรดี ไม่ดี อย่างไร ให้จดจำไว้ อย่าไปลืม

 

 

แล้วอย่าไปจ้องจับผิดแต่รัฐบาล เราต้องดูฝ่ายค้านด้วยว่ามีใครทำอะไรแอบแฝงไหม

 

 

เพราะเราต้องผ่านความคิดแบ่งแยกพวกให้ได้ นั่นก็คือแยกมองเป็นคนๆ ไปเลย ใครดี ใครชั่ว ให้มันจะจะ

 

 

ไม่ใช่ว่าเชียร์พรรคไหน เขาทำอะไร ก็ดีไปหมด หรือหากเกลียดเขาก็ด่าว่า ขัดแข้งขัดขาไปเสียทุกอย่าง

 

 

อย่างหนึ่งที่ตะขิดตะขวงใจกับฝ่ายค้านก็คือ ในขณะที่ฝ่ายค้านบอกว่านโยบายบางอย่างจะเกิดผลเสียต่อประเทศ ก็แล้วทำไมถึงไปทวงถามเหมือนบีบบังคับให้รัฐบาลทำตามที่รับปากกับประชาชนตอนหาเสียงล่ะ

 

 

ในเมื่อคุณเชื่อว่ามันจะทำร้ายประเทศ แล้วไปทวงถาม ไปบีบบังคับให้รัฐทำไปทำไม

 

 

หรือว่าประเทศชาติจะ ฉ. ห. ก็ช่าง ขอให้ฉันสะใจก็แล้วกัน

 

 

เอางั้นเหรอ

 

 

ไม่ว่าใครจะฝ่ายไหน โปรดหยุดคิดสักนิด

โปรดเช็ดปาก เอาน้ำมัน น้ำลาย ออกสักหน่อย

ได้เวลาทำเพื่อชาติอย่างแท้จริงแล้ว ไม่ใช่อะไรๆ ก็ พ่อแม่พี่น้อง ประชาชน ฟังแล้วเลี่ยนจนจะตายแล้ว

 

ขอสักครั้งเถิดเจ้าประคุณเอ๋ย ร่วมกันทำสิ่งดีๆ ที่แท้จริงให้บ้านเมืองเข้มแข็ง

เพราะภัยจากเศรษฐกิจโลกมันกำลังจะมาเยือนในปีหน้าแล้ว เต็มๆ

 

ระวังนายจ้างเขาจะยื่นซองขาวนะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณมากนะคะ คุณส้มโอมือ

 

แปะไว้ก่อน เดี๋ยวกลับมาอ่านต่อค่า

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

If Silver Goes Down All Hell Will Break Loose In The Physical Market: Silver Investment Update

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...