ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
Nexttonothing

โอกาส "เงิน" (จริงๆ) : ระยะประชิด

โพสต์แนะนำ

copyบทความมาลงแต่เวลาโพส โพสไม่ได้ ตามไปอ่านกันเองก็แล้วกันนะ

http://bualuangblive.blogspot.com/2011/09/10.html

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

 

 

 

 

วิกฤติอเมริกา ตอนที่ 14

 

 

 

 

 

 

 

 

วรวรรณ ธาราภูมิ

CEO บลจ. บัวหลวง

 

17 กันยายน 2554

 

 

 

 

โดย <a href="https://www.facebook.com/analais">Analai Tone เมื่อ 17 กันยายน 2011 เวลา 23:58 น.

 

 

 

หนังสือพิมพ์ The Financial Times สัปดาห์ก่อน ลงหัวข่าวว่า “กำลังรอ QE3” ใครรอ ? นายแบงค์เหรอ นักเศรษฐศาสตร์เหรอ หรือว่านักเก็งกำไร

 

 

 

 

QE3.JPG

 

 

 

 

แต่พอ ลุงเบน วางเฉยเรื่อง QE (ชั่วคราว) บอกว่ามีเครื่องมือพร้อมช่วย

แต่จะใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น และตอนนี้เป็นเรื่องของการคลัง ไม่ใช่ของธนาคารกลาง

หนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกันนี้ก็ลงบทวิจารณ์ว่า ทีมงานของลุงเบนมีแต่พวกหัวทึบ !!!!

เพราะเศรษฐกิจที่ “กำลังฟื้นตัวอย่างเปราะบาง” แบบนี้ จะต้องการเม็ดเงินใหม่ไปกระตุ้นเพิ่ม

 

 

ใช่เลย กระตุ้นอีก เอา QE ออกมาอีก และมันก็แปลว่า เอาเงินมาซะดีๆ นั่นเอง

สงสัยคนวิจารณ์คงจะตุนหุ้นเอาไว้เยอะเพื่อดักรอให้ QE ใหม่ออกมา

 

 

แต่มันใช่เศรษฐกิจที่ “กำลังฟื้นตัวอย่างเปราะบาง” ซะที่ไหนล่ะ

มัน “ไม่ฟื้นเลย” ตะหาก และไม่ต้องถกเถียงกันว่ามันเป็น Recession หรือยัง

เพราะมันไม่ใช่ Recession ในแบบทฤษฎีเศรษฐศาสตร์

แต่มันเป็นการปรับตัวครั้งใหญ่ไปสู่จุดพื้นฐานที่มันควรจะเป็น หรือ The Great Correction

แบบที่ ลุงวิลเลียม บอร์เนอร์ เรียกต่างหากเล่า

 

 

The Great Correction มันต้องเกิด นอกเสียจากจะมีคนไปขวางมันไว้ไม่ให้เกิดในวันนี้อีก

 

 

จะใครซะอีกล่ะ หากไม่ใช่พวก Keynesianism

 

 

 

 

John.JPG

 

 

 

John Maynard Keynes

 

 

 

ศาสดาลัทธินี้คือ John Maynard Keynes ที่บอกว่าจะแก้ไขภาวะเศรษฐกิจตกต่ำได้ ด้วยการกระตุ้น 2 วิธีพร้อมๆ กัน ได้แก่ ลดอัตราดอกเบี้ย กับ ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพราะเป็นการทำให้มีการจ้างงาน ทำให้คนมีเงินใช้จ่ายมากขึ้น ธุรกิจก็ผลิตมาสนองการใช้จ่ายนั้น และจ้างงานมากขึ้น รัฐก็ได้ภาษีมากขึ้น และส่งผลวนเวียนต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นรวมกันมีค่าเป็นหลายเท่าของเม็ดเงินที่อัดฉีดเข้าไปในระบบ

 

 

นึกไปถึงเรื่องการทำบุญเยอะๆ จะได้หนีบาปที่ชาวพุทธส่วนหนึ่งเชื่อว่าถึงจะล้างบาปไม่ได้

แต่หากทำบุญ ทำดี เพิ่มเรื่อยๆ มากๆ จะทำให้กรรมตามไม่ทัน

 

 

อ้าว จะไปบวชแล้วเหรอ

 

 

ไม่ช้ายยยย .... บวชได้ไง หิวตายเลย

 

 

มันหมายถึงว่า หากทำตาม ลุง Keynes หนี้มันก็เพิ่มมาอีก และตอนนี้แค่ดอกเบี้ยจ่ายหนี้ก็ปาเข้าไปตั้งเท่าไหร่แล้ว แล้วจะกู้ได้อีกแค่ไหน หนี้พวกนี้ก็เหมือนกรรมเก่า เหมือนบาป มันเริ่มทับขาจนจะก้าวไม่ออกแล้ว หนีไม่พ้น มันมากเกินกว่าจะทำตามที่ ลุง Keynes ว่า และมันน่าจะไปจบลงด้วยคำพูดของ ลุง Keynes เองนั่นแหละ

 

 

ก็คำพูดที่ ลุง Keynes บอกว่า “In the long run, we are all dead …. แล้วเราก็ตายหมดในระยะยาว” นั่นไง

อืม .... ไม่ผิดหรอก เพราะไม่มีใครรอดจากชะตากรรม ทุกอย่างต้องมีวันจบ หนี้ก็มีวันสิ้นสุด

 

 

ในระยะยาวหรือ ชาติหน้า ซึ่งก็คือลูกหลานเรา ก็จะถูกพวกเราที่เห็นแก่ตัวในชาตินี้ ไม่ยอมให้เกิดการแก้ไขที่ถูกต้อง ไม่ยอมกลับไปอยู่ในที่ที่เหมาะสม เราสร้างบาปเพิ่มอีกด้วยการกู้เพื่อหนีปัญหา เอาไปใช้จ่ายกระตุ้นแบบที่ ลุง Keynes บอกแล้วลูกหลานเราล่ะ They are all dead ไหม

 

 

ในเมื่อปัญหาคือหนี้ ภาคธุรกิจถึงได้ลดมันลงไป ภาคครัวเรือนก็จ่ายชำระหนี้ไป 50,000 ล้านดอลลาร์ ในไตรมาสที่แล้ว อาจจะไม่มาก แต่อย่างน้อยเขาก็พยายามลดหนี้ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ควรทำ

 

 

แต่ภาครัฐกำลังจะทำในสิ่งตรงข้าม เพราะโอบามาเพิ่งบอกว่าจะผลักดัน American Jobs Act ออกมา โดยใช้เงินอีกเกือบ 500,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะเอามาจากไหนถ้าไม่กู้เพิ่ม

 

 

ก็จะทำอะไรได้ล่ะ เมื่อสภาพเศรษฐกิจต้องการให้ลดหนี้

 

 

 

 

debt.JPG

 

 

 

 

 

 

ความจริงก็ทำวิธีอื่นได้นะ

 

 

ขึ้นดอกเบี้ยไง แต่มันก็จะอัดลูกหนี้ไปก๊อบปี้กับกำแพง

ขึ้นภาษีสิ จะได้มีรายได้เพิ่ม แต่มันก็จะฆาตกรรมหมู่ภาคครัวเรือนที่กำลังร่อแร่ยืนอยู่บนปากเหว และเขาอาจจะกระโดดลงไปฆ่าตัวตายก็ได้

 

 

มาตรการที่ว่านี่ มันช่วยลดหนี้ได้เร็วมาก แต่จะไหวเหรอ

 

 

เอางี้ดีไหม ประกาศยกเลิกหนี้กันทั้งประเทศไปเลย เฉลิมฉลองใหญ่นิรโทษหนี้ เซ็ททุกอย่างกลับไปที่เลข 0 ให้หมด

 

 

หรือว่าพิมพ์แบงค์แล้วโปรยมันลงมาจากฟากฟ้า ล้างหนี้ทั้งหมดไปเลย

สหรัฐก็จะปลอดหนี้ พิมพ์แบงค์ไปจ่ายทุกประเทศที่เราเป็นหนี้ไปเลย

 

 

นี่ไง แนวทางแก้ปัญหาที่แท้จริง เลือกเอาสักอย่างสิ

 

 

แต่ปัญหาก็คือ มันจะเพิ่มปัญหาที่ใหญ่กว่า มากกว่าจะไปแก้ปัญหาที่มีอยู่

 

 

ทำไมไม่ปล่อยมันไปตามธรรมชาติล่ะ รัฐไม่ต้องเข้าไปยุ่งอีกแล้ว ตลาดจะแก้ไขตัวเองได้อย่างรวดเร็ว และไม่บิดเบือนเศรษฐกิจจริง

 

 

น่าเสียดายที่ไม่ค่อยมีคนกล้าทำแบบนี้

และทุกครั้งที่เศรษฐกิจสั่นคลอน หรือหุ้นตกหนักๆ ลุงเบน จะกระเด้งรับลูก และเข้าไปแทรกแซงทุกทีสิน่า

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตอนที่15 อยากให้อ่านนะ(โพสแล้ว แต่บันทึกไม่ได้ บอกว่ามีข้อผิดพลาด) ตอนนี้น่าอ่านครับ

http://bualuangblive...2011/09/15.html

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ช่วยครับ

 

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

 

 

 

 

วิกฤตอเมริกา ตอนที่ 15

 

 

 

 

 

คุณวรวรรณ ธาราภูมิ

CEO บลจ. บัวหลวง

 

17 กันยายน 2554

 

 

ชะตากรรมของหุ้นสหรัฐอยู่ที่โครงสร้างประชากร จากเดิมที่กลุ่ม Baby Boomer ของอเมริกันที่เคยเป็นเด็กๆ ที่มีสัดส่วนมากที่สุดเมื่อเทียบกับวัยอื่น พอกลุ่มนี้โตขึ้นทำงาน ก็สร้างความมั่งคั่งให้เกิดกับเศรษฐกิจได้ เพราะสัดส่วนกลุ่มวัยทำงานก็เพิ่มขึ้นเพราะ Baby Boomer โตขึ้น แล้วทีนี้พวกนี้ก็แก่ลง

 

โอ๊ย ...... พูดจาหยาบคายมากนะ คำว่าแก่น่ะหยาบมาก

 

เอาๆ เปลี่ยนก็ได้ เรียกเป็น “ผู้ทรงวัยวุฒิผู้มีเส้นประสบการณ์รอบดวงตา” กะด้าย เรื่องมากจริง

 

ในทางประชากรศาสตร์ Baby Boomer คือช่วงที่มีเด็กแห่กันมาเกิดเป็นจำนวนมากๆ ในช่วงสั้นๆ แปลย้อนไปถึงต้นเหตุอีกทีคือ เป็นช่วง ป่าป๊า หม่าม้า ร่วมแรง ร่วมใจกันทำการบ้านแบบไม่มีอั้น โดยช่วงที่ Baby Boom แบบจัดหนัก คือช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โดยที่เด็กๆ พากันแห่กันไปเกิดในประเทศที่ชนะสงคราม

 

ไม่ต้องถามว่าทำไมเด็กๆ ที่เกิดกันมากในประเทศที่ชนะสงครามนะ โตๆ กันแล้ว นึกเหตุผลกันเองนะค้า ..

 

Baby Boomer อเมริกันเกิดในช่วง 1946-1964 หลังทหารอเมริกันปลดประจำการและกลับบ้าน ในขณะที่แคนาดาเป็นปี 1947-1966 เพราะทหารแคนาดาปลดประจำการหลังทหารอเมริกัน (5555555+ อย่าถามนะ ว่าหัวเราะอะไร ฮ่าๆๆๆๆๆๆ)

 

Baby Boomer ช่วงอื่นๆ ก็มี แต่ไม่มากเท่ายุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่นปี 2000 ที่คนเห่อมิลเลเนียม อยากให้ลูกเกิดกันจัง ทั้งยังเป็นปีมังกรทองอีกด้วย

 

ก็เลย ... ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

 

กลุ่ม Baby Boomer อเมริกันยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้คือกลุ่มที่เราพูดถึง เพราะกำลังมีอายุ 45-65 ปี โดยอยู่ในช่วงอายุ 60 ขึ้นไปก็เริ่มทยอยเกษียณอายุการทำงานกันแล้ว

 

แต่ด้วยจำนวนประชากรผู้มากวัยวุฒิของอเมริกันมีมากกว่าผู้ที่อยู่ในวัยทำงาน แถมการแพทย์ก็ก้าวหน้าทำให้อายุยืนกว่าสมัยก่อน ในขณะที่คนกลุ่มนี้ไม่สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น แต่ฟันฟางหักจึงบริโภคน้อยลง ในระยะยาวก็จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตถึงขั้นขาดทุน ซึ่งน่ากังวลมากสำหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เพราะกำลังซื้อหลักกำลังเลื่อนไปสู่วัยที่มีแต่ใช้เงินเก็บ โดยหาเพิ่มไม่ได้เพราะทำงานไม่หวายแย้ว

 

นี่ก็เพราะคนมาเกิดใหม่ในรุ่นหลังๆ มีน้อยลง เนื่องจากคนรุ่นหลังไม่อยากมีภาระ หรือหัวสูงชอบกอดคานอย่างเหนียวแน่น หรือไม่ก็แปลงเพศกันไปเลย สัดส่วนประชากรสูงวัยจึงมากกว่าสัดส่วนคนมีแรงทำงาน และถ้าไม่วางแผนจัดการโครงสร้างประชากรให้ดี ผลกระทบที่เกิดขึ้นอาจจะร้ายแรงกว่าภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างสึนามิ

 

ทีนี้ Baby Boomer เกี่ยวไรกะหุ้นล่ะ

 

อ้าว จำได้ไหม ที่เรามักจะเตือนๆ กันว่า พออายุมากขึ้น ใกล้เกษียณ หรือเกษียณแล้ว เราต้องลดสัดส่วนการลงทุนที่มีความเสี่ยงลง ซึ่งบางคนก็ล้างพอร์ตหุ้นไปเลยไง

 

Baby Boomer ในสหรัฐกำลังเกษียณด้วยอัตรา 10,000 คนตลอดช่วง 18 ปีข้างหน้า คนกลุ่มนี้จะต้องขายหุ้นออกไปจากพอร์ตในตลอด 18 ปีข้างหน้า อย่างน้อยก็เพื่อนำเงินมาเลี้ยงตนเองในยามชรา

 

มันเป็นเรื่องจริงที่น่าเศร้าที่สุด เพราะหากไม่มองในแง่สังคมและศีลธรรมแล้ว ก็พูดได้เลยว่าผู้ชราเป็นตัวถ่วงเศรษฐกิจ ชนเผ่าต่างๆ เวลาย้ายถิ่นฐานทำกิน ก็จะทิ้งผู้เฒ่าไว้ข้างหลัง เอสกิโมก็เอาคนชราไปทิ้งให้ตายข้างนอกท่ามกลางหิมะและน้ำแข็ง จะไม่เปลืองอาหารที่ต้องเก็บไว้ให้คนหนุ่มสาวกับเด็กๆ และคนชราเหล่านี้ก็เป็นผู้น้อมรับชะตากรรมอย่างสง่างาม โดยในช่วงที่อดอยากกัน ผู้เฒ่าผู้แก่จะยอมอดเพื่อให้ลูกหลานได้มีชีวิตอยู่ต่อไป

 

โอ้ย น้ำตาไหลแล้ว เพิ่งคิดออกว่าทำไมเวลากลับไปหาคุณยายที่บ้านอยุธยา คุณยายถึงหากุ้งนางตัวโตๆ ให้ลูกหลานทานกัน โดยที่คุณยายไม่เคยแตะเลย แล้วก็นึกได้ว่าเวลาลูกอยากทานอะไรที่แม่ก็ชอบ ลูกทานของลูกหมดแล้ว แม่ยังยกของแม่ให้ลูกได้

 

สรุปก็คือ ความชราและตายคือหายนะของตลาดหุ้น ซึ่งงานวิเคราะห์นี้ระบุว่า P/E ratios อาจลดลงได้มากถึงครึ่งเลยทีเดียว และผู้ลงทุนไม่น่าจะเห็นตลาดหุ้นอเมริกาให้ผลตอบแทนได้เท่าปี 2010 จนกว่าจะถึงปี 2027

 

ทั้งนี้ การวิเคราะห์นี้ได้ตั้งสมมติฐานว่าบริษัทต่างๆ ของสหรัฐจะมีอัตราการเติบโตของกำไรเหมือนที่เคยทำได้มาตลอดตั้งแต่ปี 1954 ด้วย ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้

 

เพราะอะไร

 

ก็เพราะนักการเมืองกับพวก Wall Street ที่ปล้นเงินจากคนทำงานหนักไปก็เป็นอีก 2 องค์ประกอบที่มอบชะตากรรมอันเลวร้ายให้กับตลาดหุ้นและคนอเมริกันด้วยเช่นกัน

 

และเมื่อทั้งระบบประชาธิปไตยกับระบบการเงินจับมือกันทำความเสียหายอย่างใหญ่หลวงแก่ประเทศแบบที่เห็นๆ กันมาหลายครั้ง ทั้ง 2 ระบบนี้ก็จะต้องรับผิดชอบต่อหายนะทางการเงินครั้งใหญที่สุดที่เกิดมาแล้ว และจะเกิดหายนะครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐด้วยในอนาคต

 

Deutsche Bank ออกรายงานในสัปดาห์นี้ว่า มีความมั่นใจว่ายุคทอง (Golden Age) ในปี 1982-2007 จบไปแล้ว และขณะนี้เป็นยุคเทา (Grey Age)

 

ซึ่งมีความหมายอีกนัยหนึ่งว่ายุค Baby Boomer วัยหนุ่มสาวอันเปรียบได้ว่าเป็นยุคทองเพราะสร้างผลผลิตกับความมั่งคั่งแก่เศรษฐกิจได้มากได้จบลงไปแล้ว และกำลังกลายเป็นยุคเทาตามสีของเส้นผม โดยช่วงปีทองดังกล่าวนั้น ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยจากหุ้น 12.8% ต่อปีก่อนเงินเฟ้อ

 

แต่ต่อจากนี้ไป 10 ปีจะขาดทุนเฉลี่ยปีละ 10% หลังหักเงินเฟ้อแล้ว โดยใน 10 ปีที่ว่านี้เศรษฐกิจจะพบกับ Recession ถึง 3 ครั้ง !!

 

ก็จะไปคาดหวังอะไรได้มากไปกว่านี้ล่ะ ในเมื่อมันนานเป็นถึงร้อยๆ ปีมาแล้วที่ประเทศพัฒนาติดกับดักสูตรสำเร็จ นั่นก็คือ ต้องเพิ่มพลังงาน เพิ่มผลผลิต เพิ่มการกู้ และเพิ่มคำมั่นสัญญาว่าจะให้ (อย่าลืมเลือกเบอร์ 99 นะคร้า) แล้วสูตรสำเร็จนี้ก็มอมเมาประชาชนจนกลายเป็นทาสไปหมดแล้ว

 

ในปี 2007 ทาสเหล่านี้ก็เริ่มต้นรับชะตากรรม ธุรกิจเริ่มกลับหัวลง ประชากรพื้นเมืองแท้ๆ ของยุโรปและญี่ปุ่นก็ลดลง อัตราการใช้พลังงานต่อคนในประเทศพัฒนาพุ่งขึ้นสูงมาก สินเชื่อภาคธุรกิจลดลง และผลผลิตทางธุรกิจจริง (Real Sector) ก็หดตัว

 

และธนาคารกลางก็ทำแบบที่เคยทำมาแล้วในทุกครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลงหรือย่ำแย่ นั่นก็คือเพิ่มเงินเข้าไปในระบบ และเพิ่มหนี้

 

รัฐเองก็ใช้เงินงบประมาณเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลรวมทั้งใช้พลังงานเหมือนมันไม่มีวันหมดสิ้นไปจากโลก

 

แต่มันก็ไม่เคยได้ผลอีกเลย

 

ทำไมถึงไม่ได้ผลเหมือนเก่าล่ะ

 

ก็เพราะคนไม่ได้เป็นหนุ่มสาวเหมือนก่อนน่ะสิ

 

รถเยอรมันโก้ๆ สูทอิตาเลียน กระเป๋าหลุยส์ และแพกเกจรีสอร์ทบูติคเก๋ๆ จะเตะตาคนวัยหนุ่มสาวแน่นอน แต่คนชราจะไม่มีตาไปมองเห็นอีกแล้วว่ามันสำคัญ

 

ผลผลิตที่เคยขายให้ Baby Boomer ได้ในสมัยก่อน เมื่อคนกลุ่มนี้เข้าสู่วัยชราภาพ ความต้องการซื้อก็หมดลง แล้วยอดขายจะไม่ลดได้ไง

 

นอกจาก Baby Boomer จะไม่ใช่พวกที่ทำให้เศรษฐกิจรุ่งเรืองเหมือนอดีตแล้ว ยังจะเป็นสาเหตุให้เศรษฐกิจย่ำแย่อีกด้วย

 

((((( โปรดติดตามตอนต่อไป เร็วๆ นี้ ที่ เมเจอร์ ทุกสาขา )))))

 

 

เขียนโดย Bualuang B Live: Facebook ที่
12:49

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

 

 

 

 

วิกฤตอเมริกา ตอนที่ 10

 

 

 

 

 

วรวรรณ ธาราภูมิ

CEO บลจ. บัวหลวง

 

11 กันยายน 2554

 

โอ้บ้ามาก เอ๊ย โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐก็ได้ออกมาแถลงแนวทางแก้ไขวิกฤติทางเศรษฐกิจสหรัฐไปแล้วเมื่อวันที่ 8 กันยายน ตามเวลาสหรัฐ ที่เรามารู้เอาในวันที่ 9 ถัดจากที่ลุงเบน เบอร์นานเก้ ออกมาพูดก่อนหน้าว่าธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ยังมีเครื่องมือช่วยหายใจเอาไว้ช่วยในกรณีจำเป็น (ก็คือเสกเงินออกจากแท่นพิมพ์ หรือ QE3 ที่ชาวหุ้นต่างแหงนคอรอคอย แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้) นั่นก็คือส่งลูกผ่านให้รัฐบาลแก้ไขด้วยนโยบายการคลัง ไม่ใช่ให้ธนาคารกลางแก้ไขด้วยนโยบายการเงิน ซึ่งทำให้ตลาดไม่แฮปปี้เพราะไปหวังเอาไว้มาก หุ้นก็เลยตก

ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐครึ่งแรกปีนี้มีอาการย่ำแย่ GDP ขยายตัวเพียง 0.7% แล้วยังมีท่าทางจะชะลอตัวลงอีก อัตราว่างงานก็ยังคงยืนอยู่ที่ระดับสูงมากถึง 9.1% ประเมินผลทางการเมืองก็ต้องว่า ปิดประตูไปเลยที่โอบามาจะได้กลับมาเป็นผู้นำของประเทศมหาอำนาจอีกในการเลือกตั้งปลายปีหน้า คล้ายกับช่วงที่พี่โอบามาร์คของเราเจอ ก่อนจะเลือกตั้งเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมในไทยนี่แหละ เพราะปัญหาเศรษฐกิจมันคือปากท้องที่สำคัญกว่าเรื่องอื่นใด

 

"พี่โอ" ของคนอเมริกัน ออกมาประกาศแผนกระตุ้นการสร้างงานฉบับใหม่ต่อสภาคองเกรสสหรัฐ มูลค่า 4.47 แสนล้านดอลลาร์ ภายใต้ชื่อเก๋ไก๋ว่า "American Jobs Act" (บางคนก็เรียกใหม่ว่า American Jack Ass) เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการจ้างงานภายในประเทศ โดยตั้งเป้าว่าจะสร้างงานให้มากขึ้นสำหรับคนงานก่อสร้าง ครู สัตว์แพทย์ หมอหมา และให้กับคนตกงานนานๆ จนขนขึ้นเต็มตัวไปหมดแล้ว

 

พี่โอ บอกว่าแผนนี้จะลดหย่อนภาษีให้บริษัทที่จ้างพนักงานใหม่ และจะลดภาษีเงินได้ให้ทุกคนคือลด Payroll Tax ลงครึ่งหนี่ง และลดให้ธุรกิจขนาดเล็กทุกแห่งด้วย

 

เออ ...... ลองผู้สมัครเลือกตั้งไทยคนไหนหาเสียงด้วยการบอกว่าจะลดภาษีเงินได้เราครี่งหนึ่งเพราะจะไปประหยัดรายจ่ายจากคอร์รัปชั่นได้ เราจะเลือกเขาทุกชาติๆ เลยเอ้า แล้วจะข่มขู่ บังคับ ให้ทุกคนที่รู้จักกันไปลงคะแนนให้ด้วย

 

ฝันไปสิ !!

 

เออใช่ ไม่มีวันหรอก เพราะนักการเมืองหวังคะแนนเสียงจากซอมบี้ซึ่งมีจำนวนมากกว่าคนทำงานหนัก กับหวังเงินทุนจากนักธุรกิจรายใหญ่ที่จะช่วยหนุนพรรค เขาเลยไม่เคยเหลียวแลคนชั้นกลางที่เป็นมนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ยกเว้นเวลาเดือดร้อน

 

เอา บ่นพอประมาณตามวัยวุฒิแล้วกลับมาดูพี่โอกันต่อเหอะ

 

นอกจากนี้ พี่โอ ยังเสนอโครงการลงทุนในสาธารณูปโภคพื้นฐาน (Infrastructure) 5 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยขอให้คองเกรสอนุมัติการจัดหาทุน 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ให้ธนาคารที่ปล่อยกู้ให้กับอุตสาหกรรมสาธารณูปโภคทั่วประเทศ

 

เนี่ยะ อันนี้สงสัยว่าพี่โอจะแอบก๊อบแผนของคุณธี รมต.คลังไป เพราะเรากำลังจะมีกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเกิดขึ้น แต่ความต่างคือของเราไม่น่าต้องใช้งบรัฐทั้งหมด และโครงการอย่างนี้มันจำเป็นสำหรับเมืองไทยที่ถนนหนทาง ระบบไฟฟ้า ประปา พลังงาน และอื่นๆ ยังต้องพัฒนาไปอีก ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศเป็นอย่างมาก หากมองการณ์ไกลและทำพอดีๆ ให้ประโยชน์ต่อประเทศอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง ซึ่งทั้งรัฐ ทั้งเอกชนและประชาชน ก็สามารถเอาเงินไปลงทุนในกองทุนแบบนี้ได้ ประหยัดงบประมาณไปได้โขเลย ทั้งนี้ โครงการนี้ถูกผลักดันกันมาตั้งแต่สมัยคุณกรณ์ เป็น รมต.คลัง แล้ว ซึ่งก็น่าจะสำเร็จในยุคนี้

 

นอกจากนี้ โอบามายังได้เสนอโครงการป้องกันไม่ให้อาชีพครูอาจารย์จำนวน 280,000 คน และเจ้าหน้าที่ตำรวจกับพนักงานดับเพลิงไม่ให้ถูกปลดจากงานเช่นกัน

 

แล้วมันแก้ปัญหาได้ไหม

 

แม้ว่าการลดภาษีให้ชนชั้นกลางและธุรกิจขนาดเล็ก จะช่วยกระตุ้นให้เกิดกำลังซื้อมากขึ้น และการกระตุ้นในโครงการก่อสร้างจะทำให้เกิดการจ้างงานใหม่ๆ แต่นอกเหนือไปจากเรียกคะแนนเสียงเพิ่มให้พี่โอกับพรรคเดโมแครทแล้ว หากร่างกฏหมายนี้ผ่านคองเกรส มันจะช่วยเศรษฐกิจกับคนว่างงานได้แค่ไหนกัน ในเมื่อมันจะเป็นการกระตุ้นในระยะสั้นๆ และจะต้องกู้เพิ่ม ปัญหาการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลก็จะบานเบิกมากขึ้น

ลองไปอ่านที่บรรดา กูรู้ ตัวจริง เขาวิจารณ์กัน

คนแรกเลยคือ Bill Gross ผู้ก่อตั้ง PIMCO บริษัทจัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่งซึ่งมีอิทธิพลทางความคิดมากที่สุดโดยเฉพาะด้านพันธบัตรจนได้ชื่อว่าเป็น Bond King

เฮียกรอส บอกว่า เงินแค่นั้นไม่พอหรอกน้องเอ๊ย ตลาดคงผิดหวังกัน เพราะเมื่อรัฐบาลทั้งยุโรปกับอเมริกันต่างหนี้ท่วมถึงคอหอยอย่างนี้ นโยบายการคลังที่จะใช้งบประมาณไปทำอะไรมันก็เหมือนโดนแช่แข็งอยู่ดี ทำอะไรไม่ได้มากหรอก เรียกว่าหมดกระสุนแล้ว เพราะจะใช้นโยบายการเงินก็ไม่ได้อีก ในเมื่อไปลดดอกเบี้ยจนแทบไม่เหลือให้ลดอีกแล้ว ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุไม่เกิน 5 ปี ก็แบนแต๊ดแต๋แช่แข็งไปทุกช่วงอายุ ใครอยากลงทุนในพันธบัตรสหรัฐก็ต้องไปเอาตัวยาวๆ อย่าง 10 ปี 30 ปี แทน

ขณะที่ เฮียกรอส บอกอย่างนั้น Dr. Mohamed El-Erian, CEO ของ PIMCO และควบตำแหน่ง CIO (Chief Investment Officer เหมือนเฮียกรอส ก็วิจารณ์ว่าแผนนี้ดูมีพลัง เป็นคำมั่นสัญญา แต่ไม่สมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลยอมรับว่าเศรษฐกิจสหรัฐถลำลึกลงไปแค่ไหน และรัฐบาลก็พยายามทำให้ดีขึ้น

Mark Thoma ศาสตราจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ ที่ University of Oregon บอกว่า จำนวนเงินที่จะใช้มันมากกว่าที่คาด และคำพูดของโอบามาครั้งนี้เป็นคำมั่นสัญญายิ่งกว่าครั้งไหนๆ(จากฉานโคนเดิม .. ที่รักม่ายเป็น .. จะขอเป็นโคน ที่ร้ากเธอยิ่ง กว่าโคนหนาย หนาย ..)

 

“แผนนี้ต้องใช้เงินมหาศาล และเราต้องรัดเข็มขัดตามแผนลดหนี้อยู่แล้ว ซึ่งแผนนี้จะยิ่งทำให้ขาดดุลเพิ่มไปอีก การกระตุ้นแบบนี้น่าจะมีผลมากกว่าหากทำในช่วงที่เศรษฐกิจดีกว่านี้ การใช้เงินในวันนี้เพื่อกระตุ้นการจ้างงาน จะทำให้ต้องชำระหนี้เพิ่มขึ้นในวันหน้า ซึ่งจะทำให้ผลดีของการกระตุ้นหมดไปเลย น่าจะออกกฏหมายที่ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น (เพิ่มภาษี) และลดการใช้จ่ายลง (รัดเข็มขัด) เมื่ออัตราการว่างงานลดลง เช่น มาอยู่ที่ 6% เป็นต้น (ไม่รู้ว่าชาติไหนจะลดเหลือ 6%) แต่มันก็เป็นการหวังผลทางการเมืองนั่นแหละ เฮ้อ .... สรุปแล้วก็คือ เราไม่สามารถทำมันในวันนี้ได้ แต่เราก็ต้องทำ ต้องกู้เพิ่ม แล้วไปจ่ายเอาทีหลังอีกแล้ว”

 

Paul Ashworth หัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่ Capital Economics ซึ่งเป็นบริษัทอิสระที่ทำการวิจัยเศรษฐกิจมหภาค บอกว่าเม็ดเงินที่ใช้คิดเป็นเกือบ 3% ของ GDP ซึ่งจะมีผลกระตุ้นให้เศรษฐกิจในปี 2012 ที่เราคาดว่าจะขายเพียง 2% ให้ขยายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งรีพับลิกันดูเหมือนจะยอมรอมชอมด้วย แต่ไม่รู้จะรอมชอมกันนานแค่ไหน

 

Dr. Lawrence Mishel ประธานกรรมการสถาบันนโยบายเศรษฐกิจ The Economic Policy Institute ที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วประเทศ บอกว่านี่จะช่วยสร้างงานขึ้นได้ถึง 1.5 ล้านตำแหน่ง เพราะความต่อเนื่องของการลดภาษีเงินเดือนลงครึ่งหนึ่งและโปรแกรมช่วยคนตกงานนานๆ ช่วยไม่ให้เกิดการเลิกจ้างเพิ่ม นอกจากนี้ยังเป็นความพยายามใหม่ๆ ที่จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่าย ซึ่งจะผลักดันให้มีการจ้างงานเพิ่มของภาคธุรกิจ (เพราะคนมีเงินเหลือเพิ่มมากขึ้นจากการลดภาษีก็จะเริ่มจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ธุรกิจขายของได้ก็จะผลิตเพิ่มและต้องจ้างงานเพิ่มมาช่วยกันผลิตของขาย) ส่วนโครงการเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะสร้างหรือซ่อมถนน ปรับปรุงสภาพโรงเรียน และโครงการช่วยครู ตำรวจ ดับเพลิง ฯลฯ พวกนี้จะช่วยให้เกิดเงินหมุนเวียนเพิ่มอีก 125,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งน่าจะเพิ่มงานได้ถึง 1.5 ล้านตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม การลดภาษีเงินเดือนให้ภาคธุรกิจในส่วน Payroll Tax ที่ไม่เกิน 5 ล้านดอลลาร์ ไม่น่าจะช่วยอะไร แม้นักวิเคราะห์บางรายเชื่อว่าจะช่วยให้จ้างงานเพิ่มขึ้นได้เหมือนกัน

 

ส่วน Heidi Shierholz จาก The Economic Policy Institute สถาบันเดียวกันกับ Dr. Lawrence Mishel บอกว่าจะทำให้การจ้างงานเพิ่มขึ้นโดยรวมเป็น 4.3 ล้านตำแหน่ง

 

เออ เอาก็เขาสิ สถาบันเดียวกันแท้ๆ สงสัย 2 คนนี่เชียร์เดโมแครทแหงๆ

ส่วนนักวิเคราะห์ที่ Moody’s ชื่อ Mark Zandi บอกว่า ว้าย ... พระเจ้าจอร์ช มันยอดมาก เพราะจะทำให้ GDP โตขึ้นอีก 2% ในปีหน้า เพิ่มงานได้ถึง 1.9 ล้านตำแหน่ง และทำให้อัตราการว่างงานลดลงไป 1% แพกเกจนี้มันมากกว่าที่คาดเลยตัวเอ๊ง ... มันจะทำให้คนเชื่อมั่นมากขึ้น ทำให้สหรัฐไม่กลับไปอยู่ในภาวะ Recession จุ๊บๆ

Nomura วิเคราะห์ว่าจะทำให้ GDP ในไตรมาสแรกปีหน้าเพิ่มขึ้นอีก 1% เป็น 2% ซึ่งจะทำให้GDP ปีหน้าทั้งปีขยายเพิ่มจากระดับที่คาดการณ์เดิมอีก 0.5%

Len Burman ศาสตราจารย์รัฐศาสตร์ ที่ Maxwell School of Syracuse University ระบุว่าบริษัทขนาดใหญ่ไม่ควรได้รับการลดภาษี Payroll Tax 50% ในจำนวนที่ไม่เกิน 5 ล้านดอลลาร์ เพราะบริษัทพวกนี้จะไม่เอาไปจ้างงานเพิ่มอยู่ดี แต่เขาสนับสนุนบริษัทเล็กๆ

 

Dr. ทางเศรษฐศาสตร์ Menzie David Chinn ผู้สอนรัฐศาสตร์ที่ University of Wisconsinบอกว่าไม่ช่วยเพิ่มการขยายตัวของ GDP เท่าไหร่หรอก มันจะแค่ไม่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐตกลงไปกว่าระดับที่แน่นิ่งนี้เท่านั้นแหละ

 

อะฮ้า ...... มาแล้ว น้าพอล ครุกแมน

 

Paul Krugman บอกว่าเราน่าจะทำได้มากกว่านี้ นี่มันน้อยเกินกว่าจะถมรูโหว่ตั้ง 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีที่มาจากหนี้อสังหาริมทรัพย์และเศรษฐกิจฟองสบู่ได้ แผนนี้ยังไม่เห็นผลในปีแรกแต่ช่วยถมรูโหว่ได้บางส่วน และยังไม่ชัดเจนว่าการลดภาษีแบบนั้นจะช่วยทำให้คนใช้จ่ายมากขึ้นอย่างไร เอาล่ะ แต่มีแผนนี้ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย และอาจทำให้เกิดการจ้างงานมากๆ จนคุ้มกับการยอมลดภาษีให้ก็ได้

 

ส่วน Peter Schiff สุดยอด CEO ปากกล้า ขาไม่สั่น ของ Euro Pacific Capital ผู้จัดรายการ The Peter Schiff Show ออกอากาศที่สถานี WSTC Norwalk CT ทุกวันทำงาน บอกว่ามันก็แค่แผนของรัฐบาลที่ซ่อนการหวังผลทางการเมืองเอาไว้เท่านั้นแหละ และโอบามาก็หลีกเลี่ยงไม่ยอมใช้คำว่า แผนกระตุ้นเศรษฐกิจ เลยตลอดการโม้อันยาวนานเป็นชั่วโมง แต่ก็อย่างว่าละนะ กล้วยเน่าแม้จะเปลี่ยนชื่อเป็น American Jobs Act มันก็ส่งกลิ่นอยู่ดี แล้วมันก็จะสร้างหนี้เพิ่มขึ้นไปอีก ถลำลึกลงไปอีกไกลเลย ผลได้ในระยะสั้นวันนี้ การจ้างงานเพิ่มจะไม่เท่าผลเสียในวันหน้าที่เกิดจากการเพิ่มหนี้เข้าไปอีก และภายใน 1ปี นับจากนี้ไปจะมีคนอเมริกันว่างงานมากกว่าวันนี้

โอบาม่าก็แค่ยัดเงินใส่กระเป๋าผู้บริโภคอเมริกัน แต่ปัญหาก็คือกระเป๋าของรัฐบาลมันแห้งแหงแก๋ แล้วจะเอาเงินจากไหนมายัดใส่กระเป๋าประชาชนล่ะ หากหามาได้มันก็มักจะขโมยคนอื่นมามากกว่าจำนวนที่จะเอาไปให้คนอื่นอีกคนด้วย

แล้วจะทำไง จะกู้เพิ่มหรือว่าจะพิมพ์เพิ่ม ห๊า !!

 

และไม่ว่าจะเอามายังไง มันก็จะทำลายการเติบโตทางเศรษฐกิจและการจ้างงานในวันหน้าอยู่ดี แล้วก็จะยิ่งทำให้มาตรฐานการครองชีพของคนอเมริกันในอนาคตตกต่ำลงไปอีก

 

เป็นไง อ่านของแต่ละ “กูรู้” แล้ว มึนไหม สนุกดีนะ

ส่วนกูไม่รู้อย่างเราหาก “มองโลกในแง่ร้ายแต่เป็นจริง” ก็จะบอกว่า …

เผชิญหน้ากับความจริงเสียทีเถิด ยอมรับและแก้ไขตามสภาพในวันนี้ ยอมให้ The Great Correction เกิดขึ้นโดยดี อย่าไปรั้งไว้ชั่วคราวด้วยอนาคตอันมืดมนของลูกหลานที่ต้องมารับกรรมจากความสุรุ่ยสุร่ายที่ปู่ย่าตายายและคนรุ่นพ่อแม่ทำเอาไว้ เศรษฐกิจมันมีวงจรของมัน เมื่อมาถึงยุคตกต่ำหรือจะถดถอยก็ตาม จงปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เพราะการไปสู้มันก็แค่ชะลออาการ และจะยิ่งหนักขึ้นในวันหน้า

ผ่านไปพักหนึ่ง ก็จะเข้าวงจรเกิดใหม่ เติบโต แล้วลูกหลานอเมริกันจะได้เติบโตอย่างแข็งแรง ไม่ใช่เกิดมาก็แบกหนี้ไว้เกินกำลัง ต้องจ่ายดอกจนไม่เหลือเงินไปทำอะไร

อย่าให้ลูกหลานอเมริกันมาขโมยเพลงไทยไปร้องว่า วิญญาณหนูจะร้องว่าไอ้ปู่#$%&฿@” ดีไหมพี่โอ

 

เขียนโดย Bualuang B Live: Facebook ที่
13:48

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

 

 

 

 

วิกฤตอเมริกา ตอนที่ 11

 

 

 

 

 

วรวรรณ ธาราภูมิ

CEO บลจ. บัวหลวง

 

11 กันยายน 2554

 

สิ้นวันศุกร์ที่ 8 กันยายน 2554 ดัชนี “ดาวโจร” (Dow Jones) หุบไปเกือบ 500 จุดจากจุดHigh ระหว่างวันในวันก่อนหน้า เพราะว่า ลุงเบน เบอร์นานเก้ กับ นักการเมืองสหรัฐ ไม่ได้ทำอะไรเพียงพอที่จะเยียวยาสภาพเศรษฐกิจที่หักพัง แถมธนาคารกลางยูโรก็ไม่ได้ทำอะไรมากพอที่จะช่วยไม่ให้เอเธนส์เผชิญหน้ากับการผิดนัดชำระหนี้

 

ความจริงแล้วมันจะดีกว่า ถ้าพวกเขาทำตรงกันข้ามด้วยการไม่ทำอะไรเลย เพราะการที่ธนาคารกลางทั้งหลายรวมทั้งนักการเมืองไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้อย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง มันทำให้สิ่งที่ย่ำแย่แตกหักนั้นหมดโอกาสที่จะซ่อมแซมความผิดพลาดได้ด้วยตัวเอง

 

อย่างเมื่อวันก่อนไง ลุงเบน แกยังพูดให้คนเชื่อว่า ธนาคารกลางมีเครื่องมือหลายอย่างที่เตรียมพร้อมจะช่วย แต่ตลาดหุ้นดูเหมือนไม่เชื่อลุง หรือไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่ไม่ให้ความสำคัญกับคำพูดของนายธนาคารกลางอีกต่อไปแล้ว

 

ตลาดหุ้นก็คล้ายๆ กับตลาดทองคำที่พฤติกรรมการซื้อขายสามารถสะท้อนไปถึงรากฐานของเศรษฐกิจที่เลี้ยวไปผิดทางใน 2-3 ปีก่อนได้

 

ตลาดหุ้นสหรัฐที่ไม่เอาไหนกับตลาดทองคำที่รุ่งเรือง ก็สามารถสะท้อนไปถึงรากฐานของรัฐบาลห่วยๆ ที่ไม่ยอมให้ทุกอย่างแก้ไขตัวเอง เพราะแทนที่จะให้ความผิดพลาดล้มเหลวมีผลให้เต็มที่และจบลงไปแล้วเกิดใหม่ พวกชนชั้นปกครองกลับยอมให้ความผิดพลาดล้มเหลวนั้นต่ออายุไปอีก แล้วก็ผิดพลาดล้มเหลวเพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้น

 

เพราะในทุกครั้งที่มีอะไรเกิดขึ้น ก็จะมีแพ็กเกจออกมาช่วยเหลือ มีการโอบอุ้มเพื่อให้คนที่สมควรรับผลจากการกระทำผิดๆ ได้อยู่รอด

 

การโอบอุ้ม Long-Term Capital Management ในปี 1998 ทำให้เกิดฟองสบู่ในตลาดNasdaq ในปี 1999 ซึ่งก็ส่งผลให้เกิดฟองสบู่ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2005-2006 ด้วย และตลอดช่วงของฟองสบู่ต่างๆ เศรษฐกิจสหรัฐดูเหมือนจะรุ่งเรืองจริงๆ ดังนั้น ทุกๆ คนเลยไม่สนว่าการช่วยเหลือโอบอุ้มต่างๆ จะส่งผลข้างเคียงให้อนาคตหนักหนาสาหัสขนาดไหน และแม้รัฐบาลจะยื่นจมูกเข้ามาในชีวิตคนอเมริกันในทุกๆ เรื่อง ก็มีน้อยคนที่จะเป็นกังวล

 

เหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดในวันที่ 11 กันยายน 2011 (9/11) ได้เปิดช่องให้รัฐบาลรุกเข้ามาในชีวิตของคนอเมริกัน

 

ผ่านมา 10 ปีแล้วประตูนั้นก็ยังคงเปิดกว้างอยู่จนถึงวันนี้ ทุกคนต้องเชื่อว่ารัฐบาลออกกฏกติกาและทำแต่สิ่งที่รัฐบาลคิดไปเองว่าดีที่สุดให้เกิดแก่ชีวิตคนอเมริกัน และพวกเขาก็ยอมให้รัฐบาลเข้ามาก้าวก่ายในชีวิตทุกๆ เรื่อง

 

10 ปีผ่านไป ความเจ็บปวดของคนที่สูญเสียคนที่เขารักและรักเขายังคงอยู่ไม่จางหาย

 

ไม่มีความเจ็บปวดใดจะเทียมเท่าความเจ็บปวดที่ต้องมีชีวิตอยู่โดยไร้คนที่ทำให้ชีวิตเรานั้นมีคุณค่าพอที่จะหายใจต่อไป และคนที่ต้องรู้สึกอย่างนั้นมีถึง 3,497 ครอบครัว

 

โศกนาฏกรรมของ 9/11 ไม่ได้จบลงในวันนั้น มันกลับทวีขึ้นหลายเท่า เพราะสหรัฐตอบโต้ในหลายวิถีทางที่ไม่ควรทำ และทำให้เกิดโศกนาฏกรรมต่อเนื่องยาวนานมาอีกหลายเรื่อง

 

ผลของโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ก็คือ ทหารอเมริกัน 4,683 ชีวิต กับกว่าแสนศพของชาวอาฟกานิสถานและอิรัค ที่ต้องสังเวยให้แก่ปฏิบัติการณ์ที่เริ่มต้นในวันที่ 7 ตุลาคม 2001 ในชื่อ“Operation Enduring Freedom” อันเป็นปฏิบัติการในอัฟกานิสถานเพื่อโค่นล้มรัฐบาลตาลีบันซึ่งให้ที่พักพิงแก่ขบวนการก่อการร้าย อัล เคด้า ของ โอซามะ บิน ละดิน ที่ประกาศว่าตนเองเป็นคนสั่งการปฏิบัติการ 9/11

 

ส่วนความสูญเสียย่อยๆ ก็ได้แก่การเสียชีวิตของคนอเมริกันหลายคนที่ต้องสู้เพื่ออิสรภาพในความเชื่อของเขา และการก่อตั้งหน่วยงานรักษาความปลอดภัยในการเดินทางของสหรัฐ ที่เปลี่ยนชื่อมาเป็นด่านศุลกากรและการป้องกันชายแดนสหรัฐ โดยมีเจ้าหน้าที่หน้าตาเหมือนปลาตาย ไม่มีความรู้สึก พกปืน SIG-Sauer P229Rs ไปด้อมๆ มองๆ แถวสายพานขนกระเป๋าที่สนามบินนานาชาติ

 

ชื่อที่เปลี่ยนใหม่นี้ดูเต็มไปด้วยความหวาดระแวง กระเหี้ยนกระหือรือ และป่าเถื่อน หรือว่านี่คือทิศทางที่คนอเมริกันกำลังมุ่งไปสู่ ? ไม่ดีกว่าหรือหากจะให้เขาพกอาวุธใหม่คือความยิ้มแย้มแจ่มใสแทนปืน แต่ทำหน้าที่ได้ครบถ้วน

 

เป้าหมายของผู้ก่อการร้ายไม่ได้อยู่ที่ชัยชนะ แต่มันคือทำลายเหยื่อให้อ่อนแอลงทีละน้อย ซึ่งก็คือการทำให้กลัว หวาดระแวง เครียด และไม่มีความสุข

 

ผลสำเร็จของการก่อการร้ายคือบรรลุเป้าหมายสุดท้ายในการทำลายล้าง พอๆ กับบรรลุเป้าหมายในการทำให้ประชาชนและรัฐบาลมีปฏิกริยาตอบสนอง

 

แต่รัฐบาลสหรัฐก็ตอบสนองด้วยการทำให้คนอเมริกันตกอยู่ในความหวาดกลัวกับผีอัล เคด้า ที่ตามมาหลอกหลอนตลอดสิบปีที่ผ่านมาจากการกระพือโดยรัฐบาลของตนเอง

 

ไม่มีอะไรที่ทำให้การก่อการร้ายสำเร็จได้เท่านี้อีกแล้ว

 

ชีวิตประจำวันของคนอเมริกันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มีรหัสสีเพื่อเตือนภัยก่อการร้ายที่สนามบิน มีความหวาดระแวงต่อทุกคนที่หน้าตาเป็นมุสลิม โดยที่ไม่ได้เข้าใจเลยว่ามุสลิมคืออะไร หรือหวาดระแวง รังเกียจ เมื่อพบคนที่มีท่าทางไม่เหมือนคนอื่น

 

เห็นถุงกระดาษที่ใครทิ้งไว้ก็โทรหา 911 หรือ FBI กันจ้าละหวั่น

 

ใกล้บ้าแล้วละ

 

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะคนอเมริกาได้มอบอิสระเสรีภาพในการดำเนินชีวิตปกติ รวมถึงสิทธิส่วนบุคคลในการติดต่อสื่อสารแก่รัฐบาลไป ยอมให้รัฐบาลดักฟังโทรศัพท์ได้โดยถูกกฏหมาย ฯลฯ เพียงเพื่อรักษาสวัสดิภาพทางร่างกายเอาไว้ โดยลืมบันทึกประโยคอันจับใจของ Benjamin Franklin ที่ส่งไปยังรัฐสภา เพนซิลเวเนียเมื่อจะมีการแก้ไขกฏหมายรัฐธรรมนูญ ประมาณช่วงปี 1775 ที่ว่า ...

 

“คนที่ยอมสละเสรีภาพอันยิ่งใหญ่เพียงเพื่อความปลอดภัยชั่วคราวอันเล็กน้อย ไม่สมควรจะได้รับทั้งเสรีภาพและความปลอดภัยใดใดเลย”

 

ในวันนี้ กฏหมาย Patriot Act ที่ออกมาเพื่อความปลอดภัยทางกายภาพของคนอเมริกัน กำลังทำอะไรหลายอย่างที่ทำร้ายวิถีดำเนินชีวิตปกติของเขาเอง รัฐบาลสามารถสอดแนมดูได้ทุกเมื่อ โทรศัพท์จะถูกดักฟัง อินเตอร์เน็ตถูกล้วงลึก การโอนเงินทุกอย่างถูกดักตามพฤติกรรม ฯลฯ

 

10 ปีที่ผ่านมานี้ นอกจากคนอเมริกันจะสูญเสียชีวิตคนจำนวนมากและต้องสูญสิ้นอิสรภาพในการดำเนินชีวิตแบบคนปกติไปแล้ว สหรัฐยังต้องจ่ายด้วยการขาดดุลงบประมาณมหาศาล

 

ซึ่งในวันนี้มียอดขาดดุลงบประมาณถึง 15 ล้านล้านดอลลาร์ โดยยอดขาดดุลจะเพิ่มขึ้นทุกวัน วันละประมาณเกือบ 4 พันล้านเหรียญ

 

สหรัฐขาดดุลขนาดนั้นก็เพราะการลดภาษีนั่นนี่ การทำสงครามกับความกลัว และค่าตอบแทนพิเศษที่สัญญาว่าจะให้กับทหารที่ปฏิบัติการใน Afghanistan, Iraq, Pakistan กับที่ลิเบียในตอนนี้ ซึ่ง Brown University สรุปเมื่อเดือนมิถุนายนปีนี้ว่า ต้นทุนทำสงครามโดยรวมทั้งหมดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาสูงถึงประมาณ 4 ล้านล้านดอลลาร์ทีเดียว ส่วนการลดภาษีนั่นนี่กินเข้าไป 2.8 ล้านล้านดอลลาร์

 

ชัดเจนเลยว่าหากไม่มีปฏิกริยาโต้ตอบเรื่อง 9/11 แบบที่ทำไป สหรัฐจะมีฐานะทางการเงินที่ดีกว่านี้มาก

 

ทำตัวเองแท้ๆ

 

นโยบายบ้าเลือดทางด้านการต่างประเทศที่สหรัฐใช้ หลัง 9/11 กำลังจะกลับมาหลอกหลอนคนอเมริกันในอีกไม่ช้า การส่งทหารไปอิรัคเป็นนโยบายที่เลวร้ายและผิดพลาดเกินอภัย แต่รัฐบาลสหรัฐก็ทำลงไปเพราะการขจัด ซัดดัม ฮุสเซ็น จะทำลายความเข้มแข็งของอิรัคในการคุมอ่าวเปอร์เซียลง

 

อิหร่าน กับ อิรัค ต่อสู้กันมายาวนานในช่วง 1980-1988 เพื่อสร้างอิทธิพลของประเทศตนในอ่าวน้ำมันแห่งนี้

 

หากอิรัคยังเข้มแข็ง ความฝันของอิหร่านที่จะเป็นเจ้าผู้มีอิทธิพลเหนือกว่าบนอ่าวเปอร์เซียก็จะจบไป และลำพังเพียงอิหร่านจะไม่สามารถทำได้ แต่สหรัฐทำไปแล้ว

 

สหรัฐมีโอกาสที่จะตอบโต้เรื่อง 9/11 ให้ดีกว่านี้เพื่อประโยชน์ของตัวเอง แต่กลับไปตื่นตระหนก สติแตก และอาจจะเป็นเพราะผลประโยชน์แอบแฝงของผู้นำประเทศในกิจการพลังงาน จึงทำให้ก้าวถลำลงไปในบ่วงสงคราม และทำให้สหรัฐเองเสียหายยับเยิน

 

เรียกว่าชนะการศึกที่อิรัค แต่มาพ่ายแพ้ต่อสงครามเศรษฐกิจอย่างหมดรูป

 

หากรัฐบาลไม่ได้ตอบโต้ไปอย่างนั้น คนอเมริกันจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ สงบสุขกว่านี้ ไม่เจ็บปวดร้าวลึกขนาดนี้ ไม่ทำให้แผ่นดินอเมริกาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว หวั่นระแวง จนไม่เป็นสุขอย่างทุกวันนี้ และสหรัฐจะปลอดภัยกว่านี้ ไม่ยากจนแบบนี้ รวมถึงจะได้รับความนิยมยกย่อง ได้รับความนับถือจากนานาประเทศมากกว่าทุกวันนี้

 

จะมาอายคนทั้งโลกตอนนี้ มันก็สายไปแล้ว

 

คนอเมริกันจึงน่าสงสารที่สุด

 

เขียนโดย Bualuang B Live: Facebook ที่
13:25

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

 

 

 

 

วิกฤตอเมริกา ตอนที่ 12

 

 

 

 

 

วรวรรณ ธาราภูมิ

CEO บลจ. บัวหลวง

 

12 กันยายน 2554

 

เมื่อวานนี้น่าจะเป็นวันที่คนอเมริกาหลายสิบล้านคนหยุดภาระกิจประจำวันเพื่อรำลึกถึงโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีก่อน พวกเขาคงจะระลึกถึงผู้เป็นที่รักที่จากไป และก็คงจะเช็ดน้ำตาแห่งความสูญเสียให้กันและกัน

 

ตั้งแต่ 19.30 น. จนถึงเที่ยงคืนได้ดูทีวีเกี่ยวกับ 9/11 อย่างต่อเนื่อง ได้เห็นปฏิบัติการ การเตรียมการ การทำลายล้าง ทั้งของผู้ก่อการร้ายและของรัฐบาลสหรัฐ ดูด้วยความอึ้ง ทึ่ง แต่ไม่เสียว เพราะอายุปูนนี้ไม่มีเสียวจึงไม่ได้ใช้ยาสีฟันเซนโซดาย

 

ความรู้สึกที่เกิดคือ มึนตึ้บ อ้าปากค้าง ตาเบิ่ง จนถึง 22.45 น. ก็ถึงตอนที่ประธานาธิบดี โอบามา ออกมาประกาศทางทีวีด้วยสีหน้ามั่นใจในความสำเร็จว่า

 

“สวัสดีครับ ผมมีข่าวดีที่จะเรียนให้คนอเมริกันทราบว่า สหรัฐอเมริกาได้สังหารโอซามะ บินละดิน ได้เรียบร้อยแล้ว”

 

ก็ได้แต่ถอนใจเพราะรู้ว่า The best (or the worst) is yet to come. เพราะมันไม่จบง่ายๆ ด้วยการตายของตาแก่คนนึงหรอก ตายสิบ เกิดแสน ยังใช้ได้เสมอ

 

มีการเอาบันทึกเทปของอดีตประธานาธิบดีบุช มาออกอากาศ บุชเล่าว่าขณะกำลังไปเยี่ยมชมการเรียนการสอนที่โรงเรียนอนุบาล เจ้าหน้าที่ก็มากระซิบว่ามีเครื่องบินลำหนึ่งบินมาชนตึกWorld Trade

 

“ผมนึกว่ามันเป็นอุบัติเหตุ หรือไม่นักบินคนนั้นต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ”

 

ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง เจ้าหน้าที่คนเดิมก็มากระซิบว่า “มีเครื่องบินลำที่สอง ชนตึกที่สอง อเมริกาโดนโจมตี”

 

บุชเล่าว่า “แรกสุดผมรู้สึกโกรธว่าหน้าไหนที่มาทำอเมริกาอย่างนี้ ผมตัดสินใจที่จะไม่ผลุนผลันออกไปจากห้องเรียนทันที ผมอยากให้ห้องเรียนเด็กสงบเรียบร้อย แต่แล้วผมก็ได้ออกจากห้องเรียนไปมองดูโทรทัศน์ว่าเกิดอะไรที่นิวยอร์ค ภาพที่เห็นทำให้ผมหวาดกลัวเช่นทุกคน แต่ผมเป็นผู้นำ ต้องคุมสติให้ได้ คนอื่นจะได้ไม่ตระหนกมากกว่านี้ แล้วผมก็ใช้ถ้อยแถลงที่ผมเขียนในห้องเรียนมากล่าวกับอเมริกาว่า

 

ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน อเมริกากำลงตกอยู่ในอันตราย วันนี้ชาติเราพบกับโศกนาฏกรรม มีเครื่องบิน 2 ลำพุ่งโจมตีตึก World Trade Center เป็นการโจมตีของผู้ก่อการร้าย”

 

แล้วเครื่องบินลำที่ 3 ก็พุ่งชนตึกเพนตากอน

 

ลำแรกคืออุบัติเหตุ ลำที่สองคือการโจมตี ลำที่สามคือการประกาศสงคราม

 

“ผมสั่งให้แอร์ฟอร์ซวันพาผมไปที่วอชิงตัน เพราะผมอยากจะอยู่ในวอชิงตันในฐานะแม่ทัพเพื่อคุมการรบ ผมต้องป้องกันการโจมตีของข้าศึกให้ได้ แต่เจ้าหน้าที่ที่อยู่กับผมไม่ยอมให้ผมไปวอชิงตัน เพราะกลัวว่าอาจมีการโจมตีที่นั่น หน้าที่ของเขาคือต้องป้องกันผมไม่ให้ได้รับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในฐานะประธานาธิบดี

 

มีข่าวว่าทำเนียบขาวกำลังจะถูกโจมตี ศัตรูใช้เครื่องบินพาณิชย์มาโจมตีเรา เราจึงให้เครื่องบินทุกลำลงจอด ไม่ให้อยู่บนท้องฟ้า ภาพจากเหตุการณ์ถูกโจมตี 11 กันยายน ถูกเอามาฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมคิดในใจว่าหากเมื่อไหร่ที่พวกเราออกจากที่กำบังไปได้ พวกมันต้องตาย

 

พวกเรานั่งดูในแอร์ฟอร์ซวัน ภาพคนล้มตายจำนวนมาก มันทำให้หัวใจสลายจริงๆ มันทำลายครอบครัวไปด้วย ผมรู้สึกหมดท่าที่สุด เพราะผมทำอะไรไม่ได้เลย ผมสั่งว่าหากเครื่องบินใดไม่ยอมลงจอด ให้ยิงได้เลย ผมจำเป็นต้องทำเพื่อปกป้องคนส่วนใหญ่ แล้วก็มีวีรกรรมของผู้โดยสารลำที่ 4 ที่ต่อสู้จนทำให้ลำที่ 4 ไปตกบนทุ่งหญ้าในเพนซลเวเนีย มันคือสงครามในศตวรรษที่ 11

 

ผมไม่รู้หรอกว่าการเป็นประธานาธิบดีในยามศึกจะเป็นยังไง ผมไม่ได้หาเสียงว่าถ้าเลือกผมแล้วผมจะทำสงคราม ผมได้ตัดสินใจที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ไปแล้ว ผมตั้งใจจะปกป้องประเทศชาติ ตั้งใจจะหาตัวคนทำให้จงได้

 

ผมรู้สึกหงุดหงิดที่ไม่ได้อยู่ศูนย์บัญชาการที่วอชิงตัน ได้แต่อยู่บนแอร์ฟอร์ซวันบินไปมาทั่วประเทศ ไม่มีใครรู้ว่าประธานาธิบดีอยู่ที่ไหน ผมก็เหมือนครอบครัวอื่น ผมห่วงว่า ลอร่าปลอดภัยไหม ลูกเราปลอดภัยไหม

 

แล้วเราก็มุ่งหน้าไปยังฐานทัพอากาศที่บาสเดล ท่ามกลางบรรยากาศของฐานทัพมีเครื่องบินทิ้งระเบิดมากมาย รู้สึกเหมือนอยู่ในสงครามเลย

 

ต่อมาผมได้แถลงข่าวที่ผมร่างเองว่า อิสรภาพของเราถูกโจมตีโดยคนขี้ขลลาด กองทัพของเราและทั่วโลกกำลังตื่นตัว ความเป็นมหาอำนาจของเราถูกทดสอบ เราจะไม่พลาด และจะแสดงความเป็นมหาอำนาจของเราให้เห็น เราจะทำสิ่งที่จำเป็นเพื่อปกป้องตัวเรา

 

แถลงการณ์นั้นเรียกความเชื่อมั่นและกำลังใจของคนอเมริกันกลับมาได้มาก

 

“คำถามของผมก็คือ ใครทำ และหัวหน้าข่าวกรองก็บอกว่าลักษณะเหมือนพวกอัลเคด้า ผมจึงตัดสินใจว่าต้องกลับวอชิงตัน กลับไปยังกองบัญชาการของผม เพราะผมไม่ต้องการให้ผู้ก่อการร้ายได้ใจ เราจึงพากันบินกลับ บินผ่านมาใกล้เพนตากอนที่เคยคึกคัก แต่กลับร้างเพราะถูกโจมตี

 

มีการโต้เถียงในวอชิงตันว่าเราควรประกาศสงครามไหม ผมตัดสินใจว่ายังไม่ต้อง แล้วผมก็พบลอร่า ผมกอดเธอ ไม่ได้พูดอะไรกัน เพราะอ้อมกอดบอกทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว

 

ผมรู้สึกว่านี่เป็นวันที่อเมริกันทุกคนจากทุกเส้นทางจะร่วมมือกัน เราจะจัดการกับข้าศึกได้

 

ในคืนนั้นผมนอนที่ทำเนียบขาว มีคนมากระซิบว่าคนร้ายกำลังจะโจมตีทำเนียบขาว ผมกับครอบครัวจึงถูกคุ้มกันตัวออกไป ผมคาดการณ์วันข้างหน้าไม่ค่อยได้ มันสะเทือนอารมณ์ และรู้ว่าจะมีผลที่ตามมา แต่ผมต้องทำงานของผม ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าผลจะออกมายังไง”

 

วันรุ่งขึ้น 12 กันยายน คนอเมริกันตระหนักว่ากำลังอยู่ในสงครามที่ต่างไปจากเดิม มันใช้เครื่องบินของอเมริกา สังหารคนอเมริกันหลายพันคน ในแผ่นดินของสหรัฐ ผู้คนกลัวที่จะออกไปทำงาน ธนาคารปิด ทุกอย่างในชีวิตเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว

 

“ผมห่วงว่าจะมีการโจมตีหน่วยสืบราชการลับ เรากังวลถึงการโจมตีในระลอกต่อไป เราต้องการข้อมูลของอัลเคด้ามากกว่าเดิม ทำไมเราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย เราต้องรู้เพื่อป้องกันต่อไป เราต้องช่วยกันทำงาน หาตัวคนเหล่านี้ให้มาให้ได้ มีการพูดถึงว่าอิรัคมีส่วนร่วมหรือไม่ ผมตัดสินใจว่าจะรับมือกับอิรัคทีหลัง เราต้องรับมือกับอัลเคด้าก่อน ซึ่งก็คืออาฟกานิสถาน เราจะหาพวกเขา เรียกคืนความยุติธรรมมาก่อน

 

ผมส่งข้อความไปทั่วโลกว่าอเมริกาจะตามหาและทวงถามความยุติธรรมอย่างไม่ลดละ

 

เหตุการณ์ 11 กันยายน มีผลกระทบต่อตำแหน่งของผม ผมไม่มีกลยุทธ์อะไรมารับเรื่องนี้ วันที่ 11 กันยา ผมเป็นประธานาธิบดียามศึก พอถึงวันที่ 12 ผมกลายไปเป็นประธานนาธิบดีสั่งการรบ

 

ผมไปดูที่เกิดเหตุ มองลงไปจากเครื่องบิน มันเหมือนนรก เป็นภาพที่เลวร้ายมากๆ ไม่รู้จะเปรียบเทียบกับอะไรดี

ผมลงไปที่พื้นที่ เข้าไปจับมือกับทุกคน มองไปในดวงตา เห็นพวกเขาตาแดงก่ำ เพราะทำงานเกินเวลา ทุกคนตะโกนว่า USA USA USA USA USA USA และบอกว่าเราต้องจัดการศัตรูให้ได้

 

วันนี้อเมริกาอาจจะต้องคุกเข่าให้ผู้เสียชีวิต ให้ครอบครัวเขา ให้ผู้ที่กำลังทำงานหนักที่นี่เพื่อช่วยกันค้นหาทั้งผู้รอดและผู้ตาย”

 

ในขณะที่บุชใช้โทรโข่งพูดให้กำลังใจคนงานที่กำลังขุดซากปรักหักพังนั้น มีชายแก่คนหนึ่งตะโกนว่าผมไม่ได้ยินคุณบุช จึงตะโกนตอบไปว่า

 

“ผมได้ยินคุณ โลกได้ยินคุณ ไม่ช้าผู้คนทั้งโลกจะได้ยินเรา คนที่ทำร้ายเราก็ได้ยิน และในไม่ช้าคนที่ทำร้ายตึกเหล่านี้ก็จะต้องรู้สึก”

 

“พวกเขาไม่เข้าใจพวกเรา ไม่รู้ว่าเรามีเมตตา สนับสนุนคนที่มีจิตใจดีงาม และเราไม่ยอมแพ้ให้แก่ความป่าเถื่อน ผมสัญญาว่ามันจะไม่เกิดอีกแล้ว”

 

หลังจากนั้น 10 ปี เมื่อประธานาธิบดี โอบามา ออกมาประกาศทางทีวีเมื่อไม่นานมานี้ว่า

 

“สวัสดีครับ ผมมีข่าวดีที่จะเรียนให้คนอเมริกันทราบว่า สหรัฐอเมริกา ได้สังหารโอซามะ บินละดิน ได้เรียบร้อยแล้ว”

 

บุชให้สัมภาษณ์ว่า ผมรู้สึกขอบคุณเขา ไม่ได้ดีใจที่บินละดินตาย แต่ผมว่าเราได้รับความยุติธรรมแล้ว”

 

เป็นรายการที่น่าดูทีเดียว คุ้มค่าของเวลาที่ใช้ไป ดูแล้วก็มีข้อคิดว่า โอซามะบินละดิน ตายไปแล้ว ซัดดัม ฮุสเซ็นก็ตายไปแล้ว ทหารอเมริกันกว่า 6,200 คนก็ตายไปเหมือนกัน และคนนับแสนๆ คนในหลายประเทศในดินแดนอื่นอันไกลโพ้นก็ตาย และหลายคนที่ตายก็ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย

 

ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาคนอเมริกันอยู่ในความหวาดระแวง กลัวว่าไม่รู้มันจะมาโจมตีอีกเมื่อไหร่ ที่ไหน เวทีคอนเสิร์ต สนามกีฬา รถไฟใต้ดิน หรือศูนย์การค้า สิ่งเหล่านี้ทำให้คนอเมริกันและชาติอื่นในสหรัฐต้องมอบอิสรภาพไปให้รัฐบาลในการตรวจตรา กำกับ ชีวิตส่วนตัว เพื่อแลกกับความปลอดภัยจากศัตรูที่มองไม่เห็น และไม่รู้ว่าใครบ้าง

 

ในเมื่อรัฐบาลสหรัฐพูดด้วยความภาคภูมิใจนักหนาว่าทหารอเมริกันมีความกล้าหาญ เก่งกาจในการรบนอกประเทศเพื่อเสรีภาพของอเมริกา แล้วทำไมรัฐบาลอเมริกันถึงได้ยอมแพ้กับความกลัวจนยอมสูญเสียเสรีภาพของประชาชนที่ในประเทศตัวเองล่ะ

 

ความกลัวทำให้คนอเมริกันหันหลังชนกัน มองออกไปข้างหน้า ข้างนอก แต่ไม่ได้มองกลับเข้ามาในตัวเอง ซึ่งก็เป็นปฏิกิริยาธรรมชาติในการป้องกันตนของมนุษย์

 

แต่ในวันนี้สหรัฐอเมริกาไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะก่อสงครามได้อีกแล้ว เพราะไม่มีเงินพอ และในด้านศีลธรรมนั้นผู้คนก็รับไม่ไหว

 

วันที่โอบามาประกาศว่าบินละดินโดนหน่วยรบซีลสหรัฐสังหารไปแล้วนั้น ผู้คนต่างโห่ร้อง ตบมือกระทืบเท้าด้วยความยินดี แต่ครอบครัวหนึ่งที่มีลูกและหลานเป็นทหารในกองทัพบอกว่าลูกหลาน 2 คนของเขานั้น ไม่ได้ยินดีเลย เพราะพวกเขารู้จักสงครามดี และรู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นกับคนอเมริกัน

 

เขียนโดย Bualuang B Live: Facebook ที่
17:03

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

 

 

 

 

วิกฤตอเมริกา ตอนที่ 13

 

 

 

 

 

วรวรรณ ธาราภูมิ

CEO บลจ. บัวหลวง

 

13 กันยายน 2554

 

 

รู้ไหมว่าทำไมตอนนี้คนอเมริกันเรียก โอบามา ว่า ประธานาธิบดี Zero

 

ก็เพราะเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา การจ้างงานใหม่เท่ากับ 0 น่ะสิ

 

มาเล่นเกมส์ตอบปัญหากันดีกว่า .....

 

ในรอบ 10 ปีที่ผ่าน อเมริกาสร้างงานใหม่ได้กี่ตำแหน่ง

 

คำตอบคือ 0 เพราะในปี 2000 มีงานในสหรัฐประมาณ 130 ล้านตำแหน่ง และในวันนี้ก็มีประมาณ 130 ล้านตำแหน่งเหมือนเดิม

 

ค่าจ้างเฉลี่ยต่อชั่วโมงล่ะ มันเพิ่มขึ้นเท่าไรจากปี 2001 ที่เป็น 16 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง

 

คำตอบคือ 0 เพราะเมื่อปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อแล้ว ค่าจ้างในวันนี้ก็ยังคงเป็น 16 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง เหมือนเก่า

 

แล้วราคาหุ้นโดยเฉลี่ยล่ะ 10 ปีมานี้ มันเพิ่มขึ้นไหม

 

คำตอบคือ 0

 

ถ้าเราขายบ้านล่ะ จะได้เพิ่มขึ้นจากราคาซื้อเท่าไหร่

 

คำตอบคือ 0

 

สรุปก็คือใน 10 ปีที่ผ่านมานี้ คนอเมริกันไม่ได้มีชีวิตที่ดีขึ้นเลย แถมยังเป็นหนี้มากกว่า 10 ปีที่แล้วมากมาย เพราะอัตราส่วนหนี้โดยรวมทั้งของรัฐบาลและเอกชนมันเป็น 200% ต่อGDP แต่วันนี้มันเท่ากับ 350% โดยยังไม่ได้รวมหนี้สวัสดิการต่างๆ นะ และหากดูเฉพาะส่วนของหนี้รัฐ มันเป็น 57% ของ GDP เมื่อสิบปีก่อน วันนี้จะแตะที่100% แล้ว

 

เมื่อบอกว่ามีข้าวหน้าไก่ 0 ห่อ อยู่บนโต๊ะ มันก็แปลว่าไม่มีข้าวหน้าไก่บนโต๊ะ

หากบอกว่าเกิดวันที่ 0 คนนั้นก็ไม่ได้เกิด เพราะวันที่ 0 คือไม่มี คือว่างเปล่า

 

0 คุณอะไรก็ได้ = 0

0 คูณ ล้านบาทก็ได้ 0

มีล้านบาทอยู่ดีๆ ดันเอาไปคูณกับ 0 เงินล้านบาทมันก็หายไปหมดเลย

 

รู้แล้ว รู้แล้ว งั้นเราเอา 0 ไปคูณกับหนี้ดีไหม หนี้ได้หายไปหมดเลย หรือเวลาเบื่อเมียก็เอาเลข 0 ไปคูณเมียซะ เพราะเมีย คูณ 0 ก็จะได้ 0 แปลว่าเมียจะหายสาบสูญไปเลย ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ

 

เออ พลั๊วะ !!! พลั่ก พลั่ก พลั่ก !! เอาไปเลยดอกนึง เอ๋งๆๆๆ

 

นี่ไม่ได้มาใบ้หวยนะ แม้จะเคยมีงวดนึงที่ออก 00 (อ่านว่า จู๋น จู๋น) แล้วทำให้เซียนหวยต้องหงายท้องกันเป็นแถบ

 

อ้าว แล้วจะพูดเรื่อง 0 ไปทำไมล่ะ

 

ก็อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรที่ ลุงเบน เบอร์นานเก้ บอกว่าจะใช้นโยบายการเงินแบบเมายากันยุงจนหลับสนิท คือดอกเบี้ยต่ำติดดินไป 2 ปีไงล่ะ

 

นั่นละ 0 ของแท้เลยเชียว

 

เศรษฐกิจคูณอัตราดอกเบี้ยที่เป็น 0% อัตราการขยายตัวเป็น 0% ตลาดบ้าน ตลาดหุ้น เป็น 0 งานใหม่เป็น 0 ผลก็คือมันเท่ากับ 0 นั่นแหละ เราจะได้เศรษฐกิจที่เป็น 0 !!!

 

และภายใต้ภาวะเงินเฟ้อประมาณ 3% ลุงเบนกลับให้แบงค์ต่างๆ กู้ยืมธนาคารกลางได้ที่ 0% ก็เท่ากับให้เงินฟรีแก่แบงค์ และให้ยาวไปถึง 2 ปี

 

เอ้า เร้ว เร่เข้ามา เร่เข้ามา มาเอาเงินไปใช้หน่อยคร้าบ ใช้ฟรีๆ ไม่มีดอกเบี้ย 2 ปีเลยนะคร้าบ นาทีทองมาถึงแล้ว พี่น้องเอ๊ยยยยยยยยย .................

 

เอ ... ไหนเคยบอกว่าแบงค์มีเงินสดท่วมไงล่ะ แล้วแบงค์จะไปกู้ลุงเบนที่ 0% ทำไม

 

อ้าว ... ก็กู้ธนาคารกลางสหรัฐที่ 0% แล้วเอาเงินนั้นไปซื้อพันธบัตรกระทรวงการคลังสหรัฐอายุ 10 ปีที่ให้ดอกเบี้ย 2% ไง ไม่ดีเหรอ เงินฟรีนะนี่ กำไร 2% เห็นๆ ไม่เอาก็บ้าแล้ว เงินนี้ได้มาโดยทำงานเท่ากับ 0 ด้วยซ้ำ แถมยังมีความเสี่ยงในการปล่อยกู้ให้รัฐบาลเท่ากับ 0 อีกด้วย

 

อ้าว แล้วจะมาบ่นให้เสียศูนย์ไปทำไมกันล่ะ

 

ที่บ่นก็เพราะความเสี่ยงมันจะไม่ใช่ 0 น่ะสิ

 

ก็เมื่อแบงค์ต่างๆ กลายไปเป็นแบงค์รัฐ เพราะรัฐเอาเงินไปอุ้ม รัฐก็ต้องถือหุ้น มันก็จะคล้ายๆ กิจการที่เป็นสาธารณะ ไม่มีเจ้าของ ทั้งๆ ที่เจ้าของคือรัฐ คือประชาชน แต่ก็เป็นแบบไม่มีเจ้าภาพ ไม่เหมือนแบงค์ที่มีเถ้าแก่ดูแล อย่างนั้นเขาเข้มงวด ต้องบริหารให้เกิดผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหุ้น

 

กิจการที่ไม่มีเจ้าของ ผู้บริหารจะสบาย เพราะเขามักจะบริหารเพื่อตัวเอง เพื่อพนักงาน ไม่ใช่เพื่อผู้ถือหุ้น เขาก็จะดูดเงินออกไป เช่นจ่ายเงินเดือนสูงเกินควร จ่ายโบนัสกันจนเปรม ทั้งๆ ที่ธุรกิจไม่เอื้อ

 

และถ้าความเสี่ยงที่ไมใช่ 0 อย่างพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี เกิดจ่ายเงินคืนไม่ได้ขึ้นมาในอนาคต มันจะเป็นยังไงล่ะทีนี้

 

เอ้า .... แบงค์พวกนี้ก็เจ๊งตามรัฐไปด้วยน่ะสิ เพราะไปงกซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่ไม่มีปัญญาจ่ายคืนเอาไว้นี่

 

มองไปก็เหมือนญี่ปุ่นที่มีปัญหามาเป็น 10 ปี เพราะอัตราดอกเบี้ยเป็น 0% การขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็น 0%

เอา 0 คูณ 0 จึงได้ 0 นั่นแล

 

จึงไม่ยากเลยที่จะทำนายล่วงหน้าว่า โอบามา แย่แน่ๆ ในการเลือกตั้งใหม่ปลายปีหน้า ยิ่งพยายามทำอะไร ก็ยิ่งส่งผลลบต่อคะแนนเสียง

 

ในที่สุดก็จะเกิดสูตรสำเร็จแบบเดิม ล้มเรอะ ลุงเบน มาแว้ววววว ..... เย้ ๆ ๆ

 

แต่มันจะช่วยไม่ไหว เพราะอเมริกากำลังเดินลงท่อเดียวกับญี่ปุ่น แล้วคนก็จะร้องให้รัฐช่วยอีก ซึ่งประธานาธิบดี Zero ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเขา

 

นั่นก็คือผลักดัน American Jobs Act

 

ทายสิ ว่ามันจะเพิ่มงานได้กี่ตำแหน่ง

 

 

คำตอบก็คือ 0

 

สมกับฉายาใหม่ของ โอบามา อยู่ดีแหละ เฮ้อ ....

 

เขียนโดย Bualuang B Live: Facebook ที่
10:49

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณมากคับ คุณส้มโอมือ และเฮียกัม

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณมากค่ะ คุณกัมพล และ คุณส้มโอมือ ที่กรุณานำบทความที่มีสาระ เข้าใจง่าย และ แฝงความสนุกสนาน มาแบ่งปัน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณครับคุณส้มโอมือ เฮียกัม(อุตสาห์แวะมาโพสท์ให้บ้านนี้ ดูแลลูกบ้านทั่วถึงจริงๆครับ ^_^)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณครับคุณกัมพล ผมโพสแล้วแต่โพสไม่ได้ครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณคุณส้มโอมือและเฮียกัมมากเลยครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554วิกฤตอเมริกา ตอนที่ 16

คุณวรวรรณ ธาราภูมิ

CEO บลจ. บัวหลวง

 

 

4 ตุลาคม 2554

 

 

 

 

มาเริ่มจากข่าวรอบตัววันนี้ก่อน ....

 

 

รัฐบาลกรีซ เปิดเผยร่างงบประมาณปีหน้าซึ่งจะทำให้หนี้ (National Debt) เพิ่มขึ้นจาก 162% ของ GDP เป็น 173%สเปน มีคนว่างงานมากขึ้น เพิ่มจากเดือนก่อนกว่า 2% กลายเป็นนั่งกินนอนกิน (หากยังมีจะกิน) ตั้ง 21% แล้ว โอ๊ย ... ช่างน่าอยู่เสียจริงประเทศที่คนไม่ต้องทำงานแบบนี้

 

 

จากข่าวไม่ดีในตะวันตก ผสมโรงกับเรื่องนังเอเธนส์จะยังไม่ได้ตังค์ เพราะนังตัวร้ายยังตัดงบประมาณใช้จ่ายไม่ได้ตามเป้าหมาย ทำให้นังเอเธนส์เสี่ยงที่จะพลาดชำระหนี้ในเดือนหน้า และยังข่าววุ่นๆ เรื่อง EU ตกลงกันไม่ได้ในเรื่องจะให้ภาคเอกชนมาช่วยแบกหนี้ พอสิ้นวัน ปรากฏว่าตลาดหุ้นย่านเอเชียพังพาบไปตามระเบียบ รวมทั้งหุ้นไทย แต่ฮ่องกงกับสิงคโปร์หนักกว่า หดไปประมาณ 3.5% ในขณะที่เราหด 1% กว่าๆ

 

 

หดไปหมดเลย

 

 

เอ้า ยัง ยังไม่พอ Goldman Sachs ยังออกมาลดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกไปอีก จากเดิมคาดว่าปีนี้โต 3.9% และปีหน้า 4.2% หดลงเหลือปีนี้ 3.5% กับปีหน้าเป็น 3.5% โดยคาดว่ายุโรปจะโตปีนี้ 0.1%

 

 

เย้ยยยย ...... 0.1% เนี่ยะนะ โต !!

 

 

ก็เออน่ะสิ หรือจะมาเถียงว่าไม่โต หุบปากซะ !!

 

 

นอกจากนี้ยังคาดว่า เยอรมนี กับ ฝรั่งเศส กำลังเข้าแดนเศรษฐกิจถดถอยหรือ Recession ในปีนี้ และสหรัฐจะยังโตที่อัตรา 1.4%

 

 

ฮู้ย .... ดีจัง จะได้เลิกเรียกว่าทั่นประธานาธิบดี Zerobama ซักที มันพิมพ์ยาวน่ะ เมื่อยมือ

 

 

หุ้นธนาคารเชื้อสายฝรั่งเศสกับเบลเยียม ชื่อ Dexia ถึงกับคอหักในวันนี้อีก 20% หลังจากเมื่อวานทำแพลงกิ้งไป 10% ซึ่งคืนวานนี้กรรมการแบงค์ต้องประชุมฉุกเฉิน ได้ผลว่ารัฐบาลฝรั่งเศสกับเบลเยียมจะเข้ามาช่วยเท่าที่จำเป็นเพื่อคุ้มครองผู้ฝาก

 

 

ชะ ชะ ช้า แล้วจะมีสถาบันประกันเงินฝากไปทำไมว้า ในเมื่อพอเข้าตาจนก็จะขนเงินหลวงที่มาจากราษฎร์ไปช่วยทุกครั้งแบบนี้

 

 

น้าน ... มาแล้ว ..... ลุงเบน เบอร์นานเก้ แหม คิดถึงจัง ลุงเบนจะไปที่ Capotol Hill หรือรัฐสภานั่นแหละ คงจะไปรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจการเงิน แต่ยังไม่เริ่มประชุมเพราะตรงกับเวลาดึกในบ้านเรา รอไปก่อนนะตัวเอง

 

 

ไปดูผู้ประท้วงที่ Wall Street ภายใต้ชื่อ Theme หลักคือ Occupy Wall Street กัน

 

 

หากจำได้ เราคุยเรื่องนี้กันในเรื่อง วิกฤติอเมริกันตอนที่ 1 เมื่อเดือนสิงหาคม ว่าจะมีการประท้วงวันแรก 17 กันยายน ภายใต้ชื่อ Day of Rage : Occupy Wall Street : Bring Your Tents และเสนอภาพข่าวกับคลิปวิดิโอให้ดูเป็นระยะๆ โดยได้คาดว่านี่อาจจะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว เนื่องจากคนจำนวนมากยากลำบากเหลือเกิน แต่ไม่ค่อยมีข่าวลงในอเมริกาหรือที่ไหนเท่าไหร่

 

 

วันนี้ สำนักพิมพ์ชินหัว ของจีน ออกมาด่าอเมริกาที่ห้ามสื่อลงข่าวแล้ว

 

 

เมื่อ 2 วันก่อน แม้กระทั่งไทยเองก็ลงข่าวว่าคนประมาณ 700 คน ถูกจับกุมเพราะกีดขวางทางจราจรที่สะพานบรู๊คลิน หลังๆ มานี้ ผู้ประท้วงเริ่มโฟกัสไปที่การขยายแนวร่วมผ่าน Theme ย่อยว่า “We are the 99%” ซึ่งหมายความว่าไม่ใช่กลุ่ม 1% ที่ร่ำรวยในอเมริกาซึ่งครอบครองความมั่งคั่งไว้กว่าครึ่งของความมั่งคั่งของประเทศ บางคนก็บอกว่ามากกว่ากลุ่ม 99% รวมกันทั้งหมด

 

 

กลุ่มคน 99% ของทั้งสหรัฐนี่จะประกอบไปด้วยคนที่มีรายได้ต่ำ คนที่มีรายได้ปานกลาง กับอีกประมาณครึ่งหนึ่งของผู้อยู่ในกลุ่มมีรายได้สูง (แต่สูงไม่พอจะเรียกว่ารวยจริง) ประมาณแค่ไฮซ้อ ไม่ใช่ไฮโซ

 

 

หากจับพวก 1% มาแยกธาตุดู โดยแยกมาเฉพาะพวกมหาเศรษฐีที่มีเป็นพันล้านดอลลาร์ ก็พอดีไปค้นพบข้อมูลจาก Forbes Magazine ที่เคยลงทำสถิติจากการสำรวจเศรษฐีพันล้านในสหรัฐว่า

 

 

ปี 1982 มี 13 คน

ปี 1983 มี 15 คน

ปี 1984 มี 12 คน

ปี 1985 มี 13 คน

ปี 1986 มี 26 คน

ปี 1987 มี 49 คน

ปี 1988 มี 68 คน

ปี 1989 มี 82 คน

ปี 1990 มี 99 คน

 

 

เสียดาย ยังหาตัวเลขปีหลังๆ ไม่ได้ แต่ถ้าช่างสังเกตสักหน่อยจะเห็นว่าก่อนปี 1986 มีเศรษฐีพันล้านเฉลี่ยปีละ 13 คน แต่พอถึงปี 1986 มีเพิ่มขึ้นเร็วมาก

 

 

ทำไมถึงเพิ่มได้มากตั้งแต่ปี 1986 ล่ะ

 

 

ก็เพราะ รัฐบาลรีแกน ได้ออกกฏหมายภาษีขึ้นมาใหม่ที่เอื้อประโยชน์ให้กลุ่ม 1% ในช่วง Recession น่ะสิ นั่นละ จุดเริ่มต้นของการผ่อนถ่ายความมั่งคั่งจากชนชั้นกลางไปยังชนชั้นปกครอง

 

 

เกิดมารวยมันก็ดีงี้ละ สามารถครอบงำนักการเมืองเพื่อประโยชน์ของตนได้ ในขณะที่ขี้ข้าอีก 99% ต้องเป็นวัวเป็นควายทำงานแล้วโดนสูบเลือดเนื้อออกไปตามท่อประปาของทุนนิยม

 

 

การประท้วงต่อต้านครั้งนี้เป็นการประท้วงแบบ Open-source ซึ่งเริ่มจุดติดแล้ว และได้ผลอย่างมากในช่วงปีก่อนในแอฟริกาเหนือ และกำลังเริ่มเห็นผลในอเมริกา เพราะม็อบจุดติดแล้ว

 

 

การประท้วงแบบเปิด หรือ Open-source Protest ซึ่งเป็นเทคนิคของการก่อม็อบจำนวนมากๆ โดยมีกฏ ดังนี้ (คนประสบการณ์สูงในการก่อม็อบเมืองไทยไม่ต้องอ่านเลย เพราะเท่าที่ทำกันไปก็ทำได้เจ๋งกว่าอยู่แล้ว)

 

 

1. ระบุเป้าหมายที่ง่ายๆ สั้นๆ โดยเขาใช้คำชวนตอนแรกว่า Occupy Wall Street และก็ทำสำเร็จด้วย เพราะอะไร ก็เพราะใครๆ ก็เกลียดพวกขี้โกง คอร์รัปชั่นในแบงค์ และคนรวยใน Wall Street น่ะสิ นั่นละเป้าหมายที่เห็นได้ง่ายและชัดเจน อิจฉา อะดิ้ (ว้าย... คำพูดคุ้นๆ นะ)

 

 

2. ตอกย้ำให้เห็นว่าคำมั่นสัญญาที่จะ Occupy Wall Street นั้นทำได้จริง แม้จะไม่กิ๊บเก๋เบ็ดเสร็จเท่ากับไปยึดสนามบิน ยึดราชประสงค์ อย่างบ้านเราก็เหอะ แถมยังตั้งเต๊นท์ได้ นี่ก็เป็นการทำได้ตามคำชักชวนแล้วว่า Bring Your Tents

 

 

3. ปล่อยให้แต่ละคนสร้างสรรค์ไอเดียออกมากันเอง ไม่ให้มีผู้นำ อันนี้ต่างกับม็อบใหญ่ๆ ในบ้านเราที่พร้อมเพรียงพรึ่บพรั่บด้วยป้าย ด้วยเสื้อ ด้วยอุปกรณ์มือตบ ตีนตบ ที่เหมือนกันเปี๊ยบ ยังกะมีคนผลิตให้ไว้รอท่า มีเวทีคอนเสิร์ตเหมือนกัน จนชักจะสงสัยแล้วว่าคนจัดงานน่าจะใช้ Organizer รายเดียวกัน 555555+

 

 

4. สนับสนุนใครก็ได้ที่จะสามารถนำในเรื่องเพิ่มจำนวนผู้ชุมนุม และเรื่องผลักดันการเคลื่อนไหวให้เข้าเป้าหมายเร็วขึ้น แต่ไม่สนคนที่เสนอแนวทางที่เกินตัวหรือซับซ้อนเกินไป

 

 

5. หากใช้วิธีอะไรแล้วได้ผล ให้บันทึกไว้ แล้วนำมาใช้มันอีก แล้วเผยแพร่แบ่งปันให้ทุกคนที่อยากได้เทคนิคนั้น อะไรที่ได้ผลให้ทำซ้ำๆ ผลิตซ้ำๆ นั่นก็คือคำว่า We are 99% นั่นไง โดนใจสุดๆ ไม่เชื่อลองดูตัวอย่างนี้

 

 

 

 

 

และ 6. ขยายแนวร่วมด้วยการเคลื่อนไหว เคลื่อนที่ออกไปมากๆ อย่างที่สะพานบรูคลิน แล้วรัฐอื่นๆ ก็โดนใจด้วยคำว่า We are 99% การรวมตัวก็เลยระบาดไปที่ซานดิอาโก้ บอสตัน ชิคาโก และที่อื่นๆ รวมถึงที่บัลติมอร์ในวันพรุ่งนี้ด้วย

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...