ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มิถุนายน 26, 2014 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มิถุนายน 26, 2014 จับผิด ใครว่อง...5 จุด นะจ๊ะ อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มิถุนายน 26, 2014 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มิถุนายน 26, 2014 วันพฤหัสบดี ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2557, 17.13 น. [/url] 26 มิ.ย.57 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ม.จ.จุลเจิม ยุคล หรือพระนามลำลองว่า “ท่านใหม่” เป็นพระโอรสลำดับที่ 4 ในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ กับหม่อมอุบล ยุคล ณ อยุธยา ทวิตข้อความผ่านทวีตเตอร์ 6 ข้อความเมื่อประมาณ 4-5 ชั่วโมงที่ผ่านมาว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทรงซื้อที่ดินแปลงเล็กๆ ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อทรงปลูกบ้าน โดยเป็นการใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการซื้อที่ดินแปลงนี้ ข้อความที่พล.ต.ม.จ.จุลเจิมทวิตข้อความผ่านทวีตเตอร์ ผมได้รับทราบเรื่องจากผู้ใกล้ชิดสมเด็จพระเทพฯ มาว่า ท่านทรงซื้อที่ดินแปลงเล็ก ในจังหวัดเชียงใหม่ และท่านทรงรับสั่งว่า จะปลูกบ้านหลังเล็ก ๆ ขอย้ำนะครับ ปลูกบ้าน ท่านรับสั่งว่า ไม่ปลูกวัง เพราะต่อไปเขา ( เขา??? ) จะไล่ฉัน ไม่ให้อยู่วังแล้ว จึงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ซื้อเอง เหตุที่สมเด็จพระเทพฯ ใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ซื้อที่ดิน ท่านรับสั่งว่าเขาจะได้มายึดไม่ได้ ผมได้ฟังแล้วรู้สึกตีบตันในลำคอ ขอบตาร้อนผ่าว สงสารท่านเหลือเกินแล้ว พระบิดาทรงงานหนักเพื่อชาติและประชาชนมาตลอด แต่สุดท้ายจะไม่มีอะไรเหลือ ... ผมในฐานะปวงชนชาวไทย ขอกล่าวคำสัตย์สาบาน ด้วยชีวิต ณ ที่นี้ว่า ผมจะไม่ยอมให้มัน ไอ้ อี ผู้ใด มากระทำต่อพระองค์เยี่ยงนั้นได้ สถาบันพระมหากษัตริย์จะต้องธำรงอยู่คู่ประเทศไทย ตราบนานเท่านาน .. ใครเล่าเหวยจะร่วมสู้กับกูบ้าง .. แนวหน้า ===ยังไม่รู้รายละเอียด อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มิถุนายน 26, 2014 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
กิตติคุณ 236 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มิถุนายน 26, 2014 (มีการแก้ไข) จับผิด ใครว่อง...5 จุด นะจ๊ะ 1.คำว่า TAXI หน้ารถตู้ (ซ้ายไม่มี ขวามี) 2.กล้องวงจรปิดที่เสาไฟ(ซ้ายมี ขวาไม่มี) 3.รถเมล์เบอร์39(ซ้ายเบอร์39ทางขวาเบอร์9) 4.เหนือล้อรถเมล์สาย8 มีป้ายสีขาวภาพขวาไม่มี 5.ร่มหลังรถเมล์เบอร์63คนละสี (ซ้ายเขียว ขวาแดง) ถูกแก้ไข มิถุนายน 26, 2014 โดย อยากเล่นด้วยคน 1 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
กมลทิพย์ 146 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มิถุนายน 26, 2014 1.คำว่า TAXI หน้ารถตู้ (ซ้ายไม่มี ขวามี) 2.กล้องวงจรปิดที่เสาไฟ(ซ้ายมี ขวาไม่มี) 3.รถเมล์เบอร์39(ซ้ายเบอร์39ทางขวาเบอร์9) 4.เหนือล้อรถเมล์สาย8 มีป้ายสีขาวภาพขวาไม่มี 5.ร่มหลังรถเมล์เบอร์63คนละสี (ซ้ายเขียว ขวาแดง) เก่งจัง 1 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มิถุนายน 27, 2014 วันที่ 26 มิ.ย.57 อัศจรรย์..สามเสาค้ำยันให้ชนชาติไทยรอดจากการแตกเป็นเสี่ยง (ตอนที่ 3) จีนกับไทยเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันมากว่า 1,000 ปี มาแล้ว แต่ได้ห่างหายทางการทูตกับไทยไประยะหนึ่ง หลังจากประเทศเขาเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ ตามแนวเหมาเจ๋อตุง และปิดประเทศ อยู่หลังม่านไม้ไผ่ไประยะหนึ่ง แต่แล้วก็เกิดเหตุพลิกผัน เปลี่ยนโฉมหน้าความสัมพันธ์ไทย-จีน เมื่อ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้ซึ่งเป็นโอรสคนคนที่ 4 ของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคำรบ กับหม่อมแดง (บุนนาค) เมื่อครั้งท่านตั้งพรรคการเมือง และได้รับการเลือกจากสภาให้เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 13 ของประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2518 ในช่วงนั้นมีการสู้กันของเขมร 3 ฝ่าย อเมริกาสนับสนุนเขมรฝ่ายหนึ่ง ตอนนั้นมีกรณีที่เรือรบขนาดใหญ่ของอเมริกาใช้น่านน้ำไทย ผ่านไปสู่น่านน้ำและแผ่นดินเขมร โดยอเมริกามีการใช้ไทยเป็นฐานสงคราม รัฐบาลของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ประกาศนโยบายว่าต่อไปถ้าอเมริกาใช้น่านน้ำไทย หรือผ่านแผ่นดินไทย จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลไทยก่อน รวมทั้งได้เรียกตัวทูตกลับประเทศ เพื่อเป็นการแสดงความไม่พอใจ เป็นการแสดงความกล้าหาญของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ จนอเมริกาถอนกำลังทหารออกจากประเทศไทยในเวลาต่อมา เป็นการเปิดฉากการเมืองระหว่างประเทศในเวลาที่แหลมคมมาก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ มีนโยบายเปิดความสัมพันธ์กับจีน หลังจากที่ตัดขาดความสัมพันธ์ระดับรัฐบาลมาเป็นเวลานาน เป็นการตัดสินใจจุดเริ่มต้นการเมืองระหว่างระหว่างประเทศ และทางการทหารด้วย เพราะจีนหนุนหลังพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ท่าน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ และคณะผู้แทนรัฐบาลไทย เดินทางไปเยือนกรุงปักกิ่งเมื่อปี พ.ศ. 2518 เป็นการเปิดหน้าประวัติศาสตร์ทางการทูตระหว่าง ประเทศที่การเมืองไทย สามารถควบคุมระบบทหารได้ นับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2518 เป็นต้นมา มีการลงนามอย่างเป็นทางการของผู้นำรัฐบาลทั้งสองฝ่าย ในพิธีสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต มิตรภาพอันแน่นแฟ้นและความร่วมมือด้านต่างๆ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับจีนเป็นไปด้วยดี ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็วและรอบด้าน โดยเฉพาะสัมพันธไมตรีที่แน่นแฟ้นระหว่างผู้นำจีนและสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้จีน ยกเลิกการสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ในไทย ด้านทุน อาวุธ ในเวลาต่อมา จนอ่อนแอและพ่ายแพ้ต่อรัฐบาล พล.อ.เปรม ในที่สุด และมีการเจริญสัมพันธไมตรีทางการทูตอีกหลายครั้งอย่างแน่นแฟ้น ซึ่งยากที่ประเทศอื่นใดจะเสมอเหมือน ตราบกระทั่งปัจจุบัน อเมริกา สหภาพยุโรป และออสเตรเลีย จึงคั่งแค้น ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และเชื้อพระวงศ์ ของไทย จึงร่วมหัวกับบริษัทเผาไทยแดงล้มเจ้า ให้ร้ายสถาบันเบื้องสูงต่างๆ นาๆ กุข่าวเรื่องเสียๆ หายๆ กล่าวร้ายให้พระองค์เกี่ยวโยงกับเรื่องทางการเมืองและธุรกิจ ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนที่หูเบาเข้าใจผิด สมัยรัฐบาลเลือกตั้งเผาไทยที่ผ่านมา ได้ยอมเป็นทาสประเทศตะวันตกหลายอย่าง ที่สั่นคลอนความสัมพันธ์ของไทยกับจีนจนเกิดการหมางเมิน การค้าระหว่าง 2 ประเทศหยุดชะงักลง เช่น การยอมให้อเมริกามาเช่าฐานทัพเรือ โดยอ้างว่าใช้เป็นฐานทดลองทางวิทยาศาสตร์ แต่ที่แท้คือเป็นฐานใช้สำหรับส่งอาวุธชนิดไร้คนขับ เพื่อโจมตีทางทหารต่อจีน ทำให้จีนไม่พอใจรัฐบาลปูเน่ากรณีนี้อย่างมาก และจีนนั้นมีโยบายการปราบปรามทุจริตอย่างเฉียบขาด รัฐมนตรีรถไฟเขาถูกจับได้ศาลก็ตัดสินประหารชีวิต ผู้บริหารมณฑลหนึ่งของเขาจัดงานเลี้ยงหรูหรา อีกมณฑลหนึ่งขี่หลังลูกน้องขณะเกิดน้ำท่วม เขาปลดออกหมดทันที รัฐที่แล้วชอบอ้างชื่อประเทศจีนว่าทำการค้าแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) กับไทย เช่นเรื่องขายข้าว , เรื่องแท็บเล็ตพี่ซีเด็ก ป.1 ฯลฯ แต่จริงๆ ไม่เคยมีเลย เมื่อหมดยุครัฐบาลเลือกตั้งเผาไทย ที่เป็นทาสอเมริกา และเข้าสู่ยุค คสช.บริหารประเทศ จีนจึงรู้พึงพอใจอย่างมาก เพราะจีนอ่านขาดว่าไทยเป็นศูนย์กลางของกลุ่มประเทศอาเซียน ที่จะรวมตัวกันเป็น AEC มีประชากรรวมกันกว่า 630 ล้านคน จีนจึงอยากกลับมาฟื้นฟูความสำคัญใกล้ชิดทางการเศรษฐกิจการค้ากับไทย ยิ่งเข้าทราบว่า หัวหน้า คสช.มีความจงรักภักดีกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างมาก จีนยิ่งมีความมั่นใจในการลงทุนทำการค้ากับไทยมากขึ้นไปอีก ถึงขนาดส่งคณะทูตจีนมาพบผู้แทนฝ่ายเศรษฐกิจของ คสช.อย่างเป็นทางการ เมื่อวานนี้ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ รองหัวหน้า คสช.ฝ่ายเศรษฐกิจ ได้ให้การต้อนรับ นายหนิง ฟู่ขุย (H.E. Mr.Ning Fukui) เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย และคณะที่ ได้เข้าเยี่ยมคารวะเพื่อหารือข้อราชการ ได้มีการสนทนากันในเรื่องต่างๆ ด้วยบรรยากาศที่เป็นมิตรไมตรีมาก ทูตจีนได้ขอบคุณผู้บัญชาการทหารอากาศที่ได้เคยเดินทางไปเยือนจีนเมื่อปลายปี 2556 และ อีกทั้งจีนมาเยี่ยมไทยในฐานะที่ผู้บัญชาการทหารอากาศเป็นรองหัวหน้า คสช. และเป็นหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจด้วย จีนมีความเข้าใจสถานการณ์ของประเทศไทยในปัจจุบัน โดยในช่วงรัฐบาลเลือกตั้งที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นอย่างมาก แต่หลังจากที่ คสช.ได้เข้ามาบริหารจัดการและใช้นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจทางด้านต่างๆ แม้จะเป็นเวลาเพียง 1เดือน ก็ทำให้เกิดความเชื่อมั่นและมั่นใจว่า การพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจระหว่างไทยกับจีนจะมีการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น จีนได้มองเห็นถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทยที่ "เป็นศูนย์กลางของกลุ่มประเทศอาเซียน" นอกจากนั้นไทยกับจีนยังมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมาเป็นเวลาช้านาน จึงเชื่อมั่นว่านักลงทุนของจีนจะได้กลับมาดำเนินธุรกิจการค้าในเวลาอีกไม่นานนี้ ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และหัวหน้า คสช. และ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ และหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ นับแต่นี้จะทำให้การค้าระหว่างไทยกับจีน ที่หยุดชะงักลงจากรัฐบาลก่อน กลับมาฟื้นตัวในเร็ววันนี้ ทางการจีนจะให้ความสำคัญทางด้านการค้าการลงทุนกับไทย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ส่วน พล.อ.อ. ประจิน กล่าว ขอขอบคุณรัฐบาลจีนที่ให้ความสำคัญกับประเทศไทย และเข้าใจในปัญหาที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย จนกระทั่งเป็นเหตุให้ คสช. ต้องเข้ามาแก้ไขปัญหาเพื่อคืนความสันติสุขให้กลับมาสู่ประชาชน โดย คสช. มีขั้นตอนการดำเนินการในการแก้ไขปัญหาของประเทศตามแนวทางของหัวหน้า คสช. เพื่อให้ประเทศไทยได้กลับคืนสู่ความเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ในเวลาอีกไม่นานนี้ และขอให้มั่นใจว่า คสช.จะดูแลชาวต่างประเทศและนักลงทุนต่างประเทศเป็นอย่างดี ด้วยความตั้งใจและจริงใจเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวชาวจีนได้กลับมาเที่ยวประเทศไทยอย่างที่เคยเป็นมา และหากมีสิ่งใดที่เป็นปัญหาและอุปสรรคในการติดต่อระหว่างกันขอได้แจ้งให้ทราบ เพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ ได้ดำเนินไปด้วยความราบรื่นและยั่งยืนตลอดไป ถ้าเราไม่มีบารมีของสถาบันพระมหากษัตริย์ และเชื้อพระวงศ์ เสาหลัก 1 ใน 3 ของชนเผ่าไทยในอดีตไทยกับจีนวันนั้น ป่านนี้ประเทศไทยอาจต้องเผชิญมรสุมทางการเมืองการปกครอง 2 ด้าน คือ จากด้านแรกอเมริกา สหภาพยุโรป และด้านสองจากจีน คนไทยที่หมิ่นเบื้องสูงเป็นพวกเนรคุณ และไม่รู้จักสำนึก ว่าบรรพบุรุษประเทศของเรา รอดพ้นภัยคุกคามจากต่างประเทศมาได้ ก็เพราะพระบารมีพระมหากษัตริย์ และราชวงศ์ทุกพระองค์ ที่ทรงเสียสละเพื่อราษฎรมาอย่างยาวนานสั่งสมมานั่นเอง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เคยรับสั่งว่า “ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกวันนี้ที่ท่านเดินไม่ได้คล่อง เพราะทรงขับรถเข้าไปในที่ทุรกันดารและไม่มีถนนเป็นเวลานานมากๆ เลยทำให้กระดูกสันหลังของพระองค์มีปัญหา คณะแพทย์เคยกราบบังคมทูลให้ทรงงดพระราชกรณียกิจ แต่ทรงตรัสตอบว่า งานพระองค์ไม่มีวันหยุดจะให้ทำอย่างไร พระองค์จะทรงเฮลิคอปเตอร์ เฉพาะที่ทรงมีพระวินิจฉัยว่าจำเป็นเท่านั้น เพราะการที่ทรงขับรถเอง จะทำให้มองเห็นสภาพพื้นที่จริงและจอดแวะตรวจพื้นที่ได้ง่ายกว่า “ ทั้งหลายทั้งมวล ด้วยเหตุผลเดียว...” เพราะพระราชาของไทย ท่านทรงรักคนไทยยิ่งกว่าชีวิตของพระองค์เอง”..คนไทยจงภูมิใจและสามัคคีกันเถิด เพื่อตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ที่ทรงเป็นเสาค้ำยันให้ชนชาติไทยรอดจากการแตกเป็นเสี่ยงตลอดมาและตลอดไป @ เสธ น้ำเงิน3 https://www.facebook.com/topsecretthai หมายเหตุ โปรดงดโพสลิ้งใดๆ ทุกชนิด / บทความจากแหล่งอื่นที่ทำให้เกิดความสับสนในเนื้อหากับผู้อ่าน / ออกความเห็นในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในบทความตอนนี้ / โพสภาพที่เกิดความแตกแยก / ให้ร้าย คสช./ นำข่าวลือจากที่อื่นมาโพส ฯลฯ ผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกพิจารณาบล็อคเข้าเพจนี้ อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มิถุนายน 27, 2014 ไม้กวาด....ลดโลกร้อน 1 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มิถุนายน 27, 2014 พี่เลี้ยง รับรองความปลอดภัย อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มิถุนายน 27, 2014 โปรดสังเกตุ คงต้องบอกว่า พันธุกรรมถ่ายทอดได้มากกว่าที่คิด ด้วยรักและผูกพัน อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มิถุนายน 27, 2014 คู่หู 1,000,000, pic 1 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มิถุนายน 27, 2014 (มีการแก้ไข) "Springtime, Argenteuil" (aka "The reader" "La liseuse") (1872) By Claude Monet, from Paris (1840 - 1926) ถูกแก้ไข มิถุนายน 27, 2014 โดย ginger อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มิถุนายน 27, 2014 Life Style วันที่ 27 มิถุนายน 2557 06:00 ภาพวอเตอร์ลิลี่ของโมเนต์ขายได้1,600ล้านบ. โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ โคลด โมเนต์ จิตรกรเอกชาวฝรั่งเศส ภาพเขียนชุดวอเตอร์ ลิลี่ของโคลด โมเนต์ จิตรกรเอกชาวฝรั่งเศส ถูกขายไปในราคาสูงกว่า 1,600 ล้านบาท หนึ่งในภาพเขียนชุดวอเตอร์ ลิลี่ของโคลด โมเนต์ จิตรกรเอกชาวฝรั่งเศส ถูกขายไปในราคาสูงถึง 31.7 ล้านปอนด์ หรือกว่า 1,600 ล้านบาท ในการประมูลซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา สถาบันโซเธบี้ ผู้จัดการประมูลงานศิลปะแนวอิมแพรสชันนิสต์ และโมเดิร์น อาร์ตขึ้นที่กรุงลอนดอน ประเมินเอาไว้ว่าภาพวอเตอร์ ลิลีของโมเนต์ภาพนี้น่าจะขายได้ประมาณ 20-30 ล้านปอนด์ แต่ปรากฎว่ากลับขายได้มากถึง 31 ล้านปอนด์ ซึ่งเท่ากับว่าสูงกว่าราคาประเมินถึง 1.7 ล้านปอนด์ หรือกว่า 90 ล้านบาทเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ภาพวอเตอร์ ลิลีภาพเดียวที่ถูกนำออกประมูลในปีนี้ โดยเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สถาบันคริสตี้ในนิวยอร์กก็เพิ่งจะนำภาพวอเตอร์ ลิลี้ของโมเนต์อีกภาพออกประมูล แต่สามารถขายไปได้ในราคา 27 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 844 ล้านบาท โซเธบี้กล่าวว่าพอใจกับผลการประมูลภาพของโมเนต์ และงานศิลปะชิ้นอื่นมาก โดยในการประมูลครั้งนี้มีผู้ซื้อจากเอเชีย และรัสเซียเข้ามาร่วมประมูลกันอย่างคึกคัก ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ามีความต้องการงานศิลปะแนวอิมเพรสชั่นนิสต์ และโมเดิร์น อาร์ทอยู่มหาศาล นายฟิลิป ฮุก ผู้อำนวยการอาวุโสแผนกศิลปะแนวอิมเพรสชันนิสต์ และโมเดิร์น อาร์ทของโซเธบี้เชื่อว่าผู้ซื้อจากตลาดเกิดใหม่ที่มีจำนวนมากขึ้นเป็นตัวกระตุ้นให้การขายคึกคัก และการที่ภาพของโมเนต์ขายได้ถึง 31 ล้านปอนด์ก็เป็นเพราะมีการแข่งขันจากผู้ซื้อชาวเอเชียเป็นจำนวนมากทำให้เขาคิดว่าตลาดงานศิลปะส่วนนี้จะสดใสมากเพราะมีผู้ซื้อจากตลาดเกิดใหม่เข้ามามีส่วนร่วมในการขายมากขึ้น การประมูลครั้งนี้มีภาพถูกขายออกไปทั้งสิ้น 46 ภาพ หนึ่งในนั้นคือภาพ Composition With Red, Blue and Grey (คอมโพสิชัน วิท เร้ด บลู แอนด์ เกรย์) ของพีท มงเดรียน จิตรกรชาวดัทช์ ซึ่งขายได้ 15,202,500 ปอนด์ หรือประมาณ 826 ล้านบาท นับเป็นงานของมงเดรียนชิ้นที่ขายได้ราคาสูงสุดเป็นอันดับ 2 นอกจากนี้ยังมีภาพเขียนของโมเนต์อีก 2 ภาพที่ถูกนำออกประมูลด้วย รวมถึงภาพ Portrait de femme (พอร์ทเทรต เดอ เฟม) ของปาโปล ปิกาสโซ ที่ขายไป 5,346,500 ปอนด์ หรือประมาณ 288 ล้านบาท Tags : วอเตอร์ ลิลี่ของโคลด โมเนต์ อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มิถุนายน 27, 2014 "Nymphéas" "Water liles" (1907) By Claude Monet, from Paris (1840 - 1926) 1 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น