ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ginger

ใบไม้ผลิบนดวงจันทร์

โพสต์แนะนำ

วันที่ 26 ก.ค.57 สหรัฐฯ ใช้เครื่องบินรบ เอฟ-16 จำนวน 2 ลำ บินประกบเครื่องบินโดยสารแคนาดา

 

วันก่อนเมื่อปูเน่า ไปเหยียบแผ่นดินฝรั่งเศส ความซวยก็มาเยือนพลเมืองทันทีเมื่อ สายการบินเอกชนของสเปน ประเทศใน EU เจ้าของสายการบิน แอร์ แอลจีเรียสายการบิน AH5017 มีผู้คนอยู่บนเครื่อง 116 ราย เครื่องตกที่ประเทศมาลี..มีประชาชนชาวฝรั่งเศส 56 คนตายที่ ไฟไหมเกรียมดำเป็นตอตะโก เหมือนคำว่า..เผาไปเลยพี่น้อง !!

 

พอปูเน่าจะเดินสายไปอเมริกาต่อ เกิดเหตุ สายการบินซันวิง แอร์ไลน์ ของแคนาดา เที่ยวบินที่ 772 (มีเลข 7 อีกแล้ว) มีผู้โดยสาร 183 คน และเจ้าหน้าที่บนเครื่อง 6 คน ออกเดินทางจากเมืองโทรอนโต มุ่งสู่กรุงปานามาซิตี หลังขึ้นจากสนามบินเพียร์สันได้ราว 45 นาที มีผู้โดยสารคนหนึ่งลุกจากที่นั่งแสดงท่าที อาละวาดบนเครื่องบิน ประสงค์ร้ายต่อเครื่อง

 

ทำให้นักบินต้องตัดสินใจติดต่อหอควบคุม และนำเครื่องกลับโทรอนโต ขณะบินอยู่เหนือน่านฟ้ารัฐเวสต์เวอร์จิเนีย เพื่อให้ตำรวจจัดการกับผู้โดยสารดังกล่าว สหรัฐฯ ต้องใช้เครื่องบินรบ เอฟ-16 ถึง 2 ลำ บินประกบเครื่องบินโดยสารของแคนาดาตลอดเวลา และลงจอดได้อย่างปลอดภัย

 

เจ้าหน้าที่แคนาดา พร้อมอาวุธครบมือกรูขึ้นมาบนเครื่องบิน และตะโกนให้ผู้โดยสารทุกคน “ก้มศีรษะ ยกมือขึ้น” อาลี ชาฮี ชายชาวแคนาดาวัย 25 ปี ถูกจับกุมในข้อหาขู่วินาศกรรมเครื่องบิน

 

บอกแล้วว่าถ้าฝรั่งตะวันตกมี Action รังแกประเทศที่อ่อนกว่า คนที่ถูกการกระทำนั้น หรือคนที่เขาต้องการร่วมผสมโรง ก็จะมุ่งก่อเหตุ Reaction กลับ ครั้งนี้โชคดีที่เขาไม่สำเร็จ แต่ครั้งหน้าหน้าอีกหลายร้อย หลายพันครั้ง ใครจะรับประกันได้..

 

อยู่ใกล้คนอเมริกัน อิสราเอล EU แคนาดา และออสเตรเลีย ยามนี้น่าหวั่นสุด เพราะไม่รู้ว่าใครบ้างที่คิดจะตอบโต้ 2 ชนชาตินี้ เพราะว่าเขาทำอะไรรัฐบาล 2 ชาติไม่ได้นั่นเอง ประชาชนจึงต้องตกเป็นเป้าการป้องร้าย..และปูเน่าไปเหยียบแผ่นดินไหน ลางร้ายเสนียดมาเยือนพินาศที่นั่นอีกเหมือนกัน !!

 

@ เสธ น้ำเงิน4

https://www.facebook.com/thailandcoup

10511065_328057864028061_1164753160608228552_n.jpg

 

10533323_328057854028062_6257984188975065631_n.jpg

 

10418253_328057860694728_3496603140099334438_n.jpg?oh=ecc1be9763b26714e4105e8d54564ddf&oe=544082CA

 

1005821_328057847361396_7870049032774485736_n.jpg

 

10570429_328057824028065_1617061304534564198_n.jpg

 

10304641_328057894028058_1003413024750106789_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

วันที่ 26 ก.ค.57 ความเหมาะสม ของเจตนาการเผยแพร่ของสื่อเจตนาทำลายจารีตประเพณี

 

ตามภาพคือหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ฉบับหนึ่งที่เพิ่งถูก คสช.ออกประกาศตักเตือน ฐานกระทำผิด ฝ่าฝืนประกาศของ คสช.ที่ถือเป็นกฎหมาย 2 ฉบับ เขาบังคับใช้กฎหมายอลุ่มอล่วยแค่ตักเตือน และให้เกียรติสื่อมากกว่าสื่อให้เกียรติ คสช.เสียอีก

 

ที่เห็นคือการจัดวางภาพด้านหน้า ประชาชนต้องใช้วิจารณญาณว่าเหมาะสมหรือไม่ เครื่องแบบของทหารไทยที่พัฒนามา 800 ปี ตั้งแต่ยุคสุโขทัย จนถึงปัจจุบัน ถูกนำมาจัดวางใต้ภาพดาราที่แต่งตัวล่อแหลม แต่เชิดชูคนโกงชาติมุมบนขวา การจัดวางภาพแบบนี้มีเจตนาซ่อนเร้น แอบแฝง เหยียดหยามเกียรติ

 

อีกทั้งขณะนี้หัวหน้า คสช.ท่านเป็นผู้นำประเทศชั่วคราว ที่ใช้อำนาจรัฐของประเทศไทย ที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งแต่งจากเบื้องสูงแล้ว ถือเป็นทหารของพระราชา ในขณะที่กล่าวว่าแดงหมิ่นฯ แล้วการที่สื่อนี้แสดงออกเสียเองแบบนี้ ย่อมไม่เป็นการบังควร เอาวัฒนธรรมตะวันตกมาอยู่เหนือ จารีตประเพณีอันดีงามของไทย บรรณาธิการ เจ้าของ ผู้โฆษณา จะปฏิเสธความรับผิดชอบย่อมไม่ได้

 

นี่ยังไม่นับเนื้อหาภายในเล่ม ที่มีข้อเขียนใส่ร้าย ดูหมิ่น คสช.อย่างรุนแรง โดยไม่ยอมฟังคำชี้แจงอย่างเป็นทางการ ทางทีวีพูลทุกค่ำวันศุกร์ แต่กลับ วิจารณ์โดยอคติ โดยไม่นำคำชี้แจงต่างๆ นั้นมาพิจารณา มองแนวคิดทุกคนที่ต่างจากสื่อตนว่าผิดทุกอย่าง โจมตี จับผิดไปหมด และเสี้ยมประชาชนที่จิตใจอ่อนไหว ให้คล้อยตาม

 

คสช.ประกาศตักเตือนนี้ ถือว่าบังคับใช้กฎหมายแบบอลุ่มอล่วยมากแล้ว แต่สิ่งที่ประชาชนควรพิจารณาด้วยตนเอง คือ สื่อที่ดูถูกเหยียดหยาม ไม่เคารพในเกียรติผู้นำที่ได้รับการดปรดเกล้าฯ ตามกฎหมาย และให้ร้ายผู้อื่น จะจริงใจกับประชาชนได้อย่างไร ? ประชาชนควรจะส่งเสริมต่อไปหรือไม่ ?

 

และภาคประชาชน ควรแสดงออกตักเตือนต่อยสื่อที่เผยแพร่แบบนี้บ้างหรือไม่ เพื่อแสดงออกถึงการไม่พึงพอใจในการไม่เคารพจารีตประเพณี วัฒนธรรมไทยแบบนี้

 

@ เสธ น้ำเงิน3

https://www.facebook.com/thailandcoup

 

หมายเหตุ โปรดงดโพสลิ้งใดๆ ทุกชนิด / บทความจากแหล่งอื่นที่ทำให้เกิดความสับสนในเนื้อหา / ออกความเห็นในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในตอนนี้ / โพสภาพที่เกิดความแตกแยก / ให้ร้าย คสช./ นำข่าวลือมาโพส ฯลฯ ผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกพิจารณาบล็อกเข้าเพจนี้

 

603668_328217787345402_8023846544186501531_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เราต้องเป็นผู้เล่น...ไม่ใช่หมากในกระดาน…ตอนที่ ๑๕....

“ ทุกข์ลาภของ..นางดอกไม้ ”

(หมื่นทิวา พันราตรี ; ๑๗ / ๗ / ๕๗)

... คนอื่น อาจมองว่า ๑ + ๑ = ๒ เป็นคำตอบที่ถูกต้อง แต่นักยุทธศาสตร์ จะบอกว่า .... “ ๕-๓ = ๒ ” ก็ถูกเหมือนกัน นี่คือการมองของ “นักยุทธศาสตร์” หรือ “การบริหารสถานการณ์...เชิงกลยุทธ์” อันจะนำมาซึ่งยุทธวิธีในการต่อสู้ที่แยบยล

 

... แต่ในสถานการณ์ ของคุณดอกไม้ ณ วันนี้ บุญมี แต่กรรมบัง เช้าดีใจที่ คสช. อนุญาตให้เดินทางไปต่างประเทศ ตกเย็นมา ปปช. ชี้มูลความผิด .... “โดยมิได้นัดหมาย”.... เน้นว่า โดยมิได้นัดหมาย กับ คสช. !!! …. แต่ “เวรกรรม” ต่างหากที่เป็นผู้นัดหมายให้ !!!!

…. เรื่องนี้ ไม่ต้องพึ่งพิชัยสงครามหรือกลยุทธ์ กลศึกอะไรให้ซับซ้อน หากมองย้อนไปในอดีด คนที่ทำผิดคิดชั่วต่อชาติบ้านเมือง โทษที่จะลงมี สองสถาน คือ (๑) ประหาร... และ .... (๒) เนรเทศ ...

...โทษประหาร คงไม่ถึง แต่ยุคสมัยนี้ การเนรเทศ มันทำไม่ได้แล้ว แต่หากจะให้อยู่ในบ้านในเมือง ปล่อยให้สู้คดีในชั้นศาลนั้น (๑) ผลในทางคดี กว่าศาลจะตัดสินก็นานมาก อาจนานเป็นปี และ (๒) เกินกว่าจะคาดเดาผล ว่าจะติดคุกหรือจะรอด (๓) หากปล่อยให้สู้คดีในชั้นศาล อาจมีคดี ถุงขนมใส่เงิน ภาค ๒ เกิดขึ้นอีกก็ได้ใครจะไปรู้ .... ที่สำคัญ พอบ้านเมืองปฏิรูปเสร็จ ก็มีโอกาสกลับเข้าสู่วงการเมืองได้อีก !!!! ….

---------------------------------------------------------------

... “เวรกรรม” ท่าน เลยบอกว่า ...อย่ากระนั้นเลย... เอามันออกไปนอกประเทศดีกว่า !!!!! “เวรกรรม” เลยช่วย...จัดลำดับเหตุการณ์” ให้ ดังนี้

---------------------------------------------------------------

.... “เช้า” คสช. ทำหน้าที่เปิดประตูบ้านให้ .... เย็น วันเดียวกัน ... ปปช. ก็ทำหน้าที่ปิดประตูใส่กลอน... โดย “เวรกรรม” เป็นผู้กล่าวคำลาด้วยประโยคคุ้นๆ ว่า ... จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด....อย่าได้....กลับมาอีกเลย.. (หากกลับมา คดีรออยู่อีกเพียบ!! ) เพราะฉะนั้น ไม่ต้องถามว่า คสช. รู้มาก่อนหรือไม่ว่า การที่ปปช. จะชี้มูลในวันนี้ ผลออกมาเป็นเช่นไร ...ในทางธรรม ท่าน เรียกว่า เป็น “อจินไตย” เกินกว่าที่ “หมื่นทิวาฯ” จะคิด จะพูด...อย่าคิดมาก อย่าคิดเยอะ ( ห้ามเฉพาะหมื่นทิวาฯ คนเดียวนะ แต่ไม่ได้ห้ามพวกท่าน!! ) ...... เอาเป็นว่า “เวรกรรม” เค้าจัดให้ก็แล้วกัน...

... สุดท้าย ขอถามทุกท่านแบบนี้ครับว่า.. นายทักษิณฯ...(๑) มีใครเนรเทศ รึป่าว... (๒) มีใครห้ามกลับเข้าประเทศรึป่าว... คำตอบคือ “ไม่มี” ทำตัวเองทั้งนั้น ... ตรงกันข้าม หากวันนี้ นายทักษิณฯ ยังอยู่ในประเทศไทย ... เราๆท่านๆ รวมทั้ง ลุงตู่ คงเหนื่อยมากกว่านี้แน่นอน ...

/ @ หมื่นทิวา พันราตรี รวมบทความ"รูปนามแห่งกลลวง"

https://www.facebook.com/pages/หมื่นทิวา-พันราตรี-รวมบทความรูปนามแห่งกลลวง/765270463517191

10534479_777431418967762_2607313691439470707_n.jpg?oh=0aee5d20a83c4247f7b9e9d9915c1f1c&oe=54443DA5&__gda__=1413027116_d2574a657e6c7953307a9e8bf6e1c9ab

 

เราต้องเป็นผู้เล่น..ไม่ใช่หมากในกระดาน ตอนที่ ๑๖ … “เนรเทศ...ยึดทรัพย์ ประวัติศาสตร์ที่ต้องเรียนรู้ร่วมกัน” (“หมื่นทิวา พันราตรี” ; ๑๙/๗/๕๗ )

 

... ความจริง บทความตอนนี้ น่าจะเป็นตอนที่ ๑๕.๑ เพราะ มีความเกี่ยวเนื่องและสัมพันธ์กัน… บทความ ตอนที่ ๑๕ ว่าด้วยเรื่อง “เนรเทศ” เพราะเมื่อพิจารณาจากอดีตทางการเมือง แน่นอนว่าการ “เนรเทศ” คนไทยด้วยกันโดยถูกต้องตามกฎหมายนั้น..“ทำไม่ได้”.. แต่ความจริง มีการปฏิบัติกันมานานแล้ว ซึ่งในประวัติศาสตร์ ...“กลเกมทางการเมือง”... ของไทยนั้น แม้จะไม่ได้ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ ว่า “เนรเทศ” แต่โดยพฤติกรรมแล้ว เข้าใจกันโดยทั่วไปว่า “อยู่เมืองไทยไม่ได้”ถ้าจะอยู่ ก็คงอยู่ไม่เป็นสุข หรือ บางกรณี ถ้าออกนอกประเทศไปแล้ว ก็กลับเข้าประเทศไทยอีกไม่ได้ ถ้ากลับก็จะต้องมีปัญหาตามมา!!

 

... อันว่า “เนรเทศ” นั้น มีมาตั้งแต่ยุค “จอมพล”ครองเมือง หรือ ยุค “เปลี่ยนแปลงการปกครอง” ซึ่งเกือบทุกครั้งที่มีกระแสข่าวว่าจะปฏิวัติ หรือ “หลังการปฏิวัติ” ก็จะมีบุคคลกลุ่มหนึ่งที่ “จำต้อง” เคลื่อนย้ายตนเอง ไปอยู่ต่างประเทศ ทั้งนี้ ก็เพื่อเป็นการตัดกำลังฝ่ายตรงข้าม และเพื่อให้มั่นใจได้ว่า จะไม่ก่อเหตุที่อาจเป็นอันตรายต่อรัฐบาลในขณะนั้น ถ้าเปรียบกับบริษัทเอกชน ก็คล้ายๆกับ “บีบ” ให้ออก แต่ ไม่ไล่ออกและไม่เลิกจ้าง ประมาณนั้น!!

 

… ไม่ต้องย้อนไปไกล ถึงยุค “เปลี่ยนแปลงการปกครอง” แต่ขอยกตัวอย่างกรณีศึกษา ของ “พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ”อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งนับว่าท่านเป็น “ลูกผู้ชายนักสู้” โดยแท้จริง... เพราะชีวิตของท่านต้องผ่านสมรภูมิทางการเมืองมาอย่างโชกโชน และในช่วงชีวิตของท่านนั้น ทุกครั้งที่มีการใช้ “กลเกมทางการเมือง” จะต้องมีชื่อของท่านเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ สาเหตุเพราะ ท่านเป็นบุตรชายของ “จอมพลผิน ชุณหะวัณ” หัวหน้าผู้ก่อการรัฐประหารถึงสองครั้ง... ซึ่ง “กลเกมทางการเมือง” ในช่วงที่ท่านเป็นนายทหารหนุ่ม ก็คือใช้ท่านเป็น “ตัวประกัน” แต่เรียกกันว่า “นายทหารคนสนิท” !!! .. ต่อมา!! ท่านและครอบครัว ยังต้องเดินทางไปอยู่ต่างประเทศนาน นับสิบปี!! ชีวิตผกผัน จาก “ขุนพลทหารม้า” ไปเป็น “ท่านทูต” ซึ่งเป็นคนละสายงานโดยสิ้นเชิง .. แต่ก็นับว่าเป็นการออกนอกประเทศอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี!!

 

... “พลเอกชาติชายฯ” เป็นตัวอย่างหนึ่ง ที่เห็นได้ชัดและบอกได้ว่า การ “เชิญ” ให้ไปอยู่ต่างประเทศนั้น มีมานานแล้ว แต่อาจไม่เรียกว่า เนรเทศ แต่ก็เป็นที่รู้กันว่า “กลับประเทศไทย..ไม่ได้” ซึ่งเป็นการใช้ “กลศึก” หรือ “กลอุบาย” ที่แตกต่างกันตามสถานการณ์หรือ สภาพแวดล้อมทางการเมืองในขณะนั้น ทั้งนี้ ในอดีตยังมีอีกหลายท่าน ที่ “จำต้อง” เดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งบางท่านอาจได้กลับมา แต่มีบางท่านก็ได้กลับมาเพียงแค่ “อัฐิ” เท่านั้น เช่น จอมพล ป. พิบูลสงคราม อดีตผู้นำอีกท่าน ที่ถูก จอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ ลูกน้องท่านเองปฏิวัติในปี 2500 ต้องหลบหนีไปกัมพูชาและอยู่ที่ญี่ปุ่น จนถึงอสัญกรรม ในเดือนมิถุนายน 2507...ไม่มีโอกาสกลับประเทศไทย...ทั้งๆที่ ไม่มีใครห้าม !!!

 

.. มาดูกรณีของ... “คุณดอกไม้”... ไม่ว่าจะโดยตั้งใจ หรือ “เป็นเวรเป็นกรรม” ก็แล้วแต่ สถานการณ์ มันบ่งบอกแบบนั้น ว่า คุณ กำลังถูก “เนรเทศ” ... ซึ่งแน่นอน ว่า ไม่มีใครห้าม ไม่ให้กลับประเทศ แต่หากกลับมา ท่านอ.วิชา มหาคุณ ได้ให้สัมภาษณ์ในวันเดียวกับที่ชี้มูลความผิด คดีโครงการรับจำนำข้าว ว่า ยังมีคดีของ.. “คุณดอกไม้”... อยู่ในมือของ ปปช.ที่ต้องพิจารณา อย่างน้อย “๓๕ คดี” ดังนั้น ถ้า “คุณดอกไม้” ...

...(๑) ฉลาดน้อย ก็จะไม่กลับมา (จะกลับมาให้ติดคุกรึไง ตั้ง ๓๕ คดี มันต้องมีพลาด “ติดคุก” ซักคดีนั่นแหละ) ไปลุ้นตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นดีกว่า !! ซึ่งถ้าทำแบบนั้น ก็ต้องเรียกว่า “ ฆ่าตัวตาย ฆ่ายกตระกูล รวมทั้งฆ่าลูกหลานที่ยังไม่เกิด ”

..(๒) ถ้าฉลาด (โดยพี่ชาย) “มองเกมออก” ก็จะกลับมา ... อย่างน้อยที่สุด กระบวนการในแต่ละคดี ไม่ได้จบแค่ หนึ่งหรือสองวันนี้ กว่าอัยการจะสั่งฟ้อง กว่าจะสืบพยานแต่ละปากเสร็จ และกว่าศาลจะตัดสินคดี ... She ยังมีเวลา ลั่นล้า ได้อีกเยอะ ระหว่างนี้ เข้าๆออกๆประเทศไทยบ่อยๆหลอกให้ตายใจ พอใกล้วันที่ศาลจะตัดสิน ค่อยตีชิ่ง แบบพี่ชายก็ยังทัน !!!

----------------------------------------------------------------------------

... มาถึงตรงนี้ มีบางท่านเริ่ม “หงุดหงิด” ตั้งคำถามว่า ทำไมไม่เอาเข้าคุก หรือ ยึดทรัพย์ ซะตอนนี้เลยล่ะ !!! ... ช้าก่อนครับ...ใจเย็นๆ.... เพราะว่า มีเรื่องราว ทาง ประวัติศาสตร์ ที่เราต้องเรียนรู้ร่วมกัน

----------------------------------------------------------------------------

... ขอเท้าความไปในยุคที่ “รสช” (พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ บิดาของผู้การแดง เป็นหัวหน้าคณะ รสช.)... เข้ายึดอำนาจเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ โดยขณะนั้น ก่อนการยึดอำนาจเป็นยุคของรัฐบาล ที่ถูกเรียกว่า รัฐบาลบุปเฟ่ หรือ บุปเฟ่คาบิเนต และหลังจากยึดอำนาจได้ไม่กี่วัน ก็มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน (คตส.) ... “ยึดทรัพย์” นักการเมือง โดยให้ “คตส.” มีอำนาจประหนึ่งเป็น ตุลาการพิพากษายึดทรัพย์ นักการเมือง กันเลยทีเดียว ... ช่วงนั้น “รสช.” จัดโปรโมชั่น ... “ยึดก่อน..สอบทีหลัง” กล่าวคือ ฝ่ายผู้ถูกยึดทรัพย์ มีภาระจะต้องพิสูจน์และให้ปากคำต่อ คตส. ว่า ทรัพย์สินที่ถูกยึดนั้น ตนเองได้มาโดยบริสุทธิ์ ... แต่ต่อมาเมื่อถึงเวลาที่ “รสช.” ต้องจากไป ... ศาลก็ได้มีคำสั่งให้ คืนทรัพย์สินที่ยึดมา กลับคืนนักการเมืองทั้งหมดทุกคน !! เอาผิดนักการเมืองไม่ได้แม้แต่คนเดียว...

 

...ซึ่ง ในเรื่องนี้มีตัวอย่าง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๑๓๑/๒๕๓๖ ระบุเหตุผลว่า “ทรัพย์สินของผู้ร้องที่ถูกยึดและตกเป็นของแผ่นดินตามคำวินิจฉัยของ คตส. เป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องได้มา..ก่อน...วันที่ประกาศ รสช. ฉบับที่ ๒๖ ข้อ ๖ จะใช้บังคับ จึงเป็นการออกและใช้กฎหมายที่มีโทษในทางอาญา “ย้อนหลัง” ประกอบกับ การตั้ง คตส. เป็นการตั้งคณะบุคคลให้มาทำหน้าที่เช่นเดียวกับศาล จึงขัดต่อประเพณีการปกครอง และขัดรัฐธรรมนูญทุกฉบับที่กำหนดให้การพิจารณาคดีเป็นอำนาจหน้าที่ของศาล” ... กล่าวโดยสรุปก็คือ ศาลท่านบอกแต่เพียงว่า “คตส.” ไม่มีอำนาจยึดทรัพย์ โดยที่ไม่ได้บอกนะว่า นักการเมืองไม่ได้คอร์รัปชั่น!!..แต่มันมีผลออกมาเหมือนกันคือ“ต้องคืนทรัพย์สิน” … สาระสำคัญของคำพิพากษาก็คือ (๑) ทรัพย์สินที่ยึดมานั้น มีมาก่อน ประกาศ รสช. ซึ่งตามหลักกฎหมาย นั้น กฎหมายจะให้โทษย้อนหลังไม่ได้ และ (๒) คตส. “ไม่ใช่” ศาล จึงไม่มีอำนาจพิจารณายึดทรัพย์ใครต่อใคร ( ศาลท่านคงสงสัยว่า มาแย่งงานศาลทำไม !! )

 

...พอมาถึง ยุค “คมช”(โดยพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้าคณะ) ก็ตั้งใจจะยึดทรัพย์นักการเมืองอีกเหมือนกัน แต่ครั้งนี้เฉพาะ เจาะจงมาที่ “นายทักษิณ” และจากการที่มีบทเรียนสมัย รสช.มาแล้ว ดังนั้น คตส. ในยุค “บิ๊กบัง” จึงทำหน้าที่เป็นเพียงผู้รวบรวมพยานหลักฐาน ส่งให้กับพนักงานอัยการ เพื่อยื่นฟ้องต่อศาล จะเห็นได้ว่า คณะปฏิวัติ และ คตส. ไม่ได้สั่งให้ยึดทรัพย์ใคร !!! และไม่มีการแย่งงานศาล ซึ่งก็ได้ผล !! แม้จะยึดทรัพย์ได้บางส่วน ๔.๖ หมื่นล้าน โดยต้องคืนกลับไปอีกกว่า ๓ หมื่นล้านก็ตาม และยังมีคดีอาญาพ่วงตามมาอีกหลายคดี ทั้งนี้ ยังไม่นับรวมคดีที่ ศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดี “ชั่วคราว” อีกหลายคดีเช่นกัน นั่นก็คือ ถ้า “ทักษิณ” จะกลับเมืองไทย ก็ต้องเจอทั้งคดีเก่า และคดีที่ศาลสั่งจำหน่ายคดีไว้ จะถูกนำขึ้นมาพิจารณาคดีใหม่ ... และนี่ก็คือการปิดประตูกลับบ้าน หรือ เนรเทศอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นเอง!! ซึ่งทักษิณ พยายามจะแก้เกม “เนรเทศ” ครั้งนี้ด้วย พรบ.นิรโทษกรรมฯ เพื่อที่จะได้กลับบ้านแบบเท่ห์ๆ แต่ในที่สุดก็ “แห้ว”

-------------------------------------------------------------------------------

นั่นคือแนวทางที่ รุ่นพี่ อย่างรสช.และ คมช. ทำไว้ให้พอเป็น Guideline

-------------------------------------------------------------------------------

...เมื่อมาในยุค “คสช.” หากนับเป็นรุ่น ก็ถือเป็น Generation ที่สาม ต่อจาก รสช. และ คมช ..... ซึ่ง คสช. ก็พยายามเดินตามแนวทางของรุ่นพี่ คือ ต้องใช้กลไกของรัฐ "ภาคปกติ” ให้มากที่สุด คือ ต้องใช้อำนาจ “ตุลาการ” การดำเนินคดีจึงจะมี “ความแน่นอนและยั่งยืน” !!!!

 

…ที่ว่าต้องมีความแน่นอนและยั่งยืน ก็เพราะว่า “คสช.” รู้ดีว่า สถานะของ “คสช.” เป็นสถานภาพ “ชั่วคราว” และเมื่อเวลามาถึง “คสช.” ก็ต้องจากไป แต่เรื่องคดีความต่างๆนั้น แม้ไม่มี คสช. ก็จะต้องดำเนินการต่อไปให้ได้ ทั้งคดีอาญา และการยึดทรัพย์สิน!!

 

...แต่ครั้งนี้ มันมีความยาก ก็คือ

... (๑) ก่อนที่ คสช. จะเข้ามาควบคุมอำนาจนั้น นอกจากจะมีการกระทำความผิดเรื่องการทุจริต คอร์รัปชั่นแล้ว ยังมีการสะสมอาวุธสงคราม และการทำร้ายประชาชนจนบาดเจ็บล้มตาม ซึ่งเป็นคดีอาญา เข้ามาเกี่ยวข้อง (ในสมัย ที่คมช.จะยึดอำนาจก็มีเหตุการณ์ลักษณะนี้ แต่ไม่มากและไม่รุนแรงเท่านี้)

 

...(๒) ฝ่ายตรงข้ามมีมวลชนสนับสนุน เคลื่อนไหว ทั้งในทางลับและเปิดเผย และพร้อมจะออกมาเคลื่อนไหว เพียงแต่ตอนนี้ ถูกยา “กดอาการ” ซึ่งไม่ใช่ยารักษาที่แท้จริง ... หากแต่ยารักษาที่แท้จริง ก็คือ ทำให้ฝ่ายตรงข้ามอ่อนกำลังลง โดยการดึง.. “มวลชน” ของฝ่ายตรงข้ามมาเป็นมิตร ไม่ใช่ผลักมิตรไปเป็นศัตรู!! โดยใช้ แนวทางตามพระบรมราโชวาท คือ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” .... ซึ่งต้องใช้เวลา ความอดทน และความเพียร อีกทั้งงานมวลชนเป็นงานเชิงจิตวิทยา ที่มีความละเอียดอ่อนสูง

 

...(๓) ในส่วนของการดำเนินคดี ทั้งในเรื่องยึดทรัพย์ และ คดีอาญานั้น ในเมื่อจำเป็นต้องใช้ กลไกภาคปกติ คือ “ศาล” ก็ต้องทำตามกฎกติกาของศาล ซึ่งก็คือ กฎหมายนั่นเอง แต่ก็ยังโชคดีที่ “คดีทุจริต”ในยุคนี้ ยัง มี ปปช. เป็นพระเอก ให้พอเห็นทางยึดทรัพย์และดำเนินคดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต แต่ ปปช. ก็ต้องใช้เวลาอีกพอสมควรในการรวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งหากจะเอาแบบเร็วๆ ทันอกทันใจก็ทำได้.. แต่สุดท้าย ถ้าพยานหลักฐานไม่เพียงพอ ศาลอาจ “ยกฟ้อง” หลุดยกแผง!!

 

…หลายคนมีความเป็นห่วง เจ้แดงและกลุ่มก๊วน .. ห่วงว่าจะอยู่ดีมีสุข จากการร่วมโกงในโครงการรับจำนำข้าว!!...“หมื่นทิวาฯ” ขอบอกเลยว่า “ไม่ต้องห่วง” เพราะ ปปช. มีข้อมูลของคุณสุภา ปิยะจิตติ ฉายา“มือปราบโครงการจำนำข้าว” อดีต รองปลัดกระทรวงการคลัง ผู้เปิดโปงโครงการจำนำข้าว และจากการที่ท่านเคยดำรงตำแหน่ง อดีตประธานคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการจำนำข้าวในรัฐบาลของคุณดอกไม้ จึงมั่นใจได้ว่า สตรีเหล็กท่านนี้ “รู้ลึกรู้จริง” เรื่องทุจริตโครงการจำนำข้าว ดังนั้น เมื่อคุณสุภาฯ รู้ลึกรู้จริงแค่ไหน ปปช. ก็รู้ลึก รู้จริงเท่ากับคุณสภาฯ นั่นแหละ... งานนี้เจ้แดง รอดยาก !! (คุณสุภาฯ นับว่าเป็นข้าราชการน้ำดีอีกท่านหนึ่ง ที่ไม่เกรงกลัวอำนาจของรัฐบาลชุดที่แล้ว ไม่น้อยหน้า ท่านณรงค์ฯ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเลยทีเดียว!! )

 

....(๔) ระบอบทักษิณ วางเครือข่ายไว้มาก โดยมีทั้งนักธุรกิจ ข้าราชการเกือบทุกระดับแทบจะทุกหน่วยงาน รวมทั้งแกนนำมวลชนต่างๆ ซึ่งเป็นปัญหาและอุปสรรค์สำคัญของ คสช.ในการแก้ไขวิกฤตของชาติบ้านเมือง

 

...(๕) ในส่วนที่เป็น คดีอาญา เกี่ยวกับอาวุธสงคราม กองกำลังติดอาวุธ และการทำร้ายประชาชนในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น ตรงนี้แหละ “ปวดหัว”... เพราะต้องพึง “ตำรวจ” เป็นกลไกหลัก (หลายคนส่ายหน้า...เซ็งเป็ด) แต่ก็ยังดีที่วันนี้ คสช.ดูแลใกล้ชิด มีการปรับโครงสร้างตำรวจ ทำให้เหตุรุนแรงในช่วงที่มีการชุมนุม สามารถตามจับคนร้ายได้หลายคดี ล่าสุด ก็สาวมาถึงตัวการระดับ รองๆ คือ พลโทมนัสฯ กับ นายอารีฯ แต่ก็เป็นเพียงคำให้การซักทอดของผู้ต้องหาในคดี ซึ่งนักกฎหมายจะทราบดีว่า ลำพังแค่ “คำให้การซักทอด” ของผู้ต้องหาด้วยกันนั้น “มีน้ำหนักน้อยมาก” ในชั้นพิจารณาของศาล จึงต้องหาพยานหลักฐานอย่างอื่นมาประกอบ และในขณะเดียวกันก็ต้องสาวไปให้ถึง “ตัวการใหญ่” ให้ได้ด้วย

 

...เห็นรึยังว่า อะไรๆ มันไม่ง่ายอย่างที่คิด ใช่ว่าวันนี้ คสช.มีอำนาจในมือ จะสั่งอะไรก็ได้ “มันไม่ใช่” เพราะหากจะจับกุมใครหรือยึดทรัพย์ใคร โดยที่ไม่มีกฎหมายมารองรับจริงๆนั้น ... สุดท้าย พอถึงชั้น “ศาล” ก็หลุดยกแผง บทเรียนในอดีตมีอยู่

 

… อย่าลืมว่า อีกไม่นาน “คสช.” ก็ต้องไป แต่คดีทั้งหลายก็จะต้องดำเนินการต่อไปให้ได้ แม้จะไม่มี คสช.แล้วก็ตาม นั่นหมายความว่า “วันนี้”..กระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นทาง จนถึงปลายทาง รวมทั้ง ตัวบทกฎหมาย จะต้องมีความเข้มแข็ง ให้ความมั่นใจและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายได้

 

...ด้วยเหตุนี้ จึงมีหัวข้อการปฏิรูป “กระบวนการยุติธรรม” เป็นอีกหัวข้อหนึ่งของ สภาปฏิรูป ซึ่งจะครอบคลุมการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ .. และจากกรณีศึกษาในเรื่องนี้หลายท่านได้เห็นปัญหาที่เกิดขึ้นในหลายมุมมอง ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ เราท่านทั้งหลาย จะต้องช่วยกันทำกระบวนการ ยุติธรรมให้มีความ ทันสมัยทันต่อเหตุการณ์ เข้มแข็ง และให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย อย่าเอาแต่ออกความเห็นอยู่แต่ใน Facebook มันไม่มีประโยชน์ มาเถอะพี่น้องนำสิ่งต่างๆที่ท่านเห็นว่าเป็นปัญหา มาเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปประเทศร่วมกัน ตามลิงค์นี้ไปเลยครับhttp://rfm.mod.go.th/

 

...หรือหากใครไม่สะดวกที่จะร่วมปฏิรูป ก็ช่วยได้โดยขอให้ทุกท่านมีความหนักแน่น ไม่หลงเชื่อหรือแชร์ข่าวลือที่ไม่มีที่มาที่ไป และส่งกำลังใจไปให้ คสช. ... เพียงเท่านี้ “ลุงตู่” ก็ปลื้มแล้วล่ะ... รักนะทุกคน...จุ๊บๆ

/ @ หมื่นทิวา พันราตรี รวมบทความ"รูปนามแห่งกลลวง"

 

https://www.facebook.com/pages/หมื่นทิวา-พันราตรี-รวมบทความรูปนามแห่งกลลวง/765270463517191?ref=hl

10463938_779320815445489_3507671681717114051_n.jpg?oh=9bb3e5efb6d36732ea1f33f464edc74a&oe=5435459A&__gda__=1414762771_bd587bb8f0432280715d75d22eb1919f

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

10525784_648729688556367_1340459838049079433_n.jpg

 

บรรยากาศการดับไฟโดยพนักงานดับเพลิง.....ในโกดังข้าว

เค้าเผาหลักฐานทิ้งครับพวกรัฐบาลที่แล้วครับ

เค้าไม่ให้ใครไปตรวจสอบได้ครับโกงจํานําข้าวแถมเอาข้าวดีออกไปขายแล้วดันเอาข้าวเน่าไปใส่ทุกโกดังอีกด้วยฝีมือรัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นคนบงการทั้งหมดทําเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วตาสว่างกันได้แล้วนะครับผม

กุลภาค มานุรัตนวงค์

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

๒๘ กรกฎาคม..อภิลักขิตสมัยคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร..ทรงพระเจริญ..

 

 

T0002.jpg

 

เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ในพระราชกรณียกิจที่สำคัญต่างๆ ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนั้นๆ สนองพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยความมั่นพระราชหฤทัย ด้วยความรอบคอบ และด้วยความรับผิดชอบสำเร็จผลดีเสมอ เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของล้นเกล้าฯ ทั้งสองพระองค์

 

N13.jpg

 

อีกทั้งโดยเสด็จพระราชดำเนินตามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ไปทรงเยี่ยมราษฎรในจังหวัดต่างๆ และในที่ห่างไกลเนืองๆ ทรงทำความคุ้นเคยกับประชาชนและข้าราชการในท้องถิ่นนั้นๆ เพื่อทรงทราบและเข้าพระราชหฤทัยถึงความต้องการและสถานการณ์อย่างแท้จริง

ดังนั้น ในวันที่ 28 กรกฎาคม เป็นอภิลักขิตสมัยวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงมีพระชนมายุครบ 62 พรรษา

 

1_display.jpg

 

จึงขอนำบทพระราชทานสัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2535 เป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ ซึ่งบางพระราชกรณียกิจต้องลำบากตรากตรำพระวรกาย

ในวันดังกล่าวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้นายแผน วรรณเมธี เลขาธิการสภากาชาดไทยพร้อมด้วยคณะ เฝ้าทูลละอองพระบาทรับพระราชทานสัมภาษณ์ เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สภานายิกาสภากาชาดไทย ที่ทรงช่วยเหลือผู้อพยพชาวกัมพูชา ดังรายละเอียดต่อไปนี้

 

pp18.jpg

 

168.jpg

 

กราบบังคมทูล : ขอพระราชทานพระมหากรุณาเล่าถึงสถานการณ์ในช่วงปี 2522 เวลานั้นเขมรอพยพเข้ามาในบริเวณชายแดน จังหวัดตราด เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงทราบข่าวเรื่องนี้แล้ว เสด็จไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจในเบื้องต้น ครั้งแรก

พระราชดำรัส : ครั้งแรกที่เสด็จฯ ไม่ได้ตามเสด็จฯ ไปด้วย ไปครั้งต่อมาก็พบว่าในตอนแรกไม่มีการตั้งรับป้องกันใด ๆ บริเวณชายแดนทั้งสิ้น เขมรที่อพยพมามีสภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจที่แย่มาก พบว่ามีการล้มตายเป็นจำนวนมากในบริเวณนั้น พื้นที่ทั้งหมดเป็นพื้นที่ที่ติดริมทะเลที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา ยังเป็นพื้นที่อันตรายอยู่ มีเพียงศูนย์ของสภากาชาดเท่านั้น และมีการยิงข้ามเขตเข้ามาในแดนไทยด้วย มีทั้งที่ตั้งใจยิงเข้ามาหรือเกิดการยิงผิดพลาด กระสุนตกมาในไทยทั้ง 2 กรณี เหตุการณ์ช่วงนั้นไม่ดีเลย

กราบบังคมทูล : ทรงพระวิตกในเรื่องสภาพทางภูมิศาสตร์ ที่ตั้งของค่ายหรือไม่

พระราชดำรัส : วิตกมาก เพราะถนนที่ไปคลองใหญ่ มีขนาดเล็กมากติดกับเนินเขาที่สลับซับซ้อนเป็นเหตุให้ฝ่ายตรงข้ามแทรกซึมโจมตีให้ จะให้ย้ายที่ตั้งก็ไม่ได้ เพราะนโยบายระบุไว้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเรียกข้าพเจ้าเข้าไป และพระราชทานนโยบายในการจัดการระวังป้องกัน รักษาปกป้องชีวิตของชาวเขมรที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร จัดค่ายต่างๆ ให้เรียบร้อย รวมทั้งอารักขาคุ้มครองเจ้าหน้าที่ทีปฏิบัติงานอยู่ในศูนย์ของกาชาด และเข้าไปพัฒนาภูมิประเทศ ให้ปลอดภัยจากการโจมตี หรือแทรกซึมอย่างที่บอก เนื่องจากเคลื่อนย้ายผู้อพยพไม่ได้ จึงต้องมีการวางแผนตั้งรับทุกวิธี มีการขุดบังเกอร์ วางทหารป้องกันทุกด้าน และมีการจัดหมู่บ้านเขมรอพยพ เป็นเหมือนหมู่บ้านป้องกัน ช่วยควบคุมชาวอพยพ เพราะในกลุ่มผู้อพยพนี้จะมีกลุ่มพวกแทรกซึมแฝงอยู่ พวกนี้จะเอาปืนไปซ่อนก่อนเข้ามาอยู่ในค่าย แล้วมีการยิงติดต่อกันกับฝั่งโน่น

กราบบังคมทูล : สภาพความเป็นอยู่รูปร่างหน้าตาของเขมรเป็นอย่างไรบ้าง พระพุทธเจ้าข้า

พระราชดำรัส : แย่มาก อิดโรย ผอมมาก ตอนแรกๆ พบศพมากมายที่ฝังเอาไว้

 

king-bhumibhol5-1.jpg

 

กราบบังคมทูล : หน่วยที่เข้าปฏิบัติครั้งแรกเป็นกองกำลังหน่วยใด พระพุทธเจ้าข้า

พระราชดำรัส : มีหน่วยนาวิกโยธินคอยรักษาความสงบอยู่แล้ว แต่ก็นำหน่วยของทหารมหาดเล็กไปสมทบประมาณหมวดหรือ 2 หมวด ตอนแรกก็ไปปลูกเต็นท์ เอาทหารเข้าไปรับผิดชอบในค่าย สมเด็จพระนางเจ้าฯ ก็เสด็จฯ ไปบ่อยและมี UN มาช่วยอีกแรงด้วย แต่ตอนนั้นก็มีปัญหาบ่อย เช่น มีการแทรกซึมของแจกอะไรที่ให้โดยไม่มีการควบคุม เช่น ผ้าพลาสติกจะกลายเป็นยุทธปัจจัยให้ฝ่ายตรงข้ามไป เคยเห็นผ้า RED CROSS ไปอยู่ที่เขมรแดง ตอนนั้นทางหน่วยเราก็ไปช่วยด้านขวัญและกำลังใจ เพราะเจ้าหน้าที่ของกาชาดเป็นผู้หญิง

กราบบังคมทูล : เวลาเสด็จพระราชดำเนินโดยเครื่องบินพระที่นั่ง เครื่องบินพระที่นั่งไปลงที่ใดพระพุทธเจ้าข้า

พระราชดำรัส : ไปลงที่จันทบุรี แล้วก็ต่อรถ

กราบบังคมทูล : สำหรับราษฎรไทยในพื้นที่นั้น ได้รับความเดือดร้อนทางด้านใดบ้าง พระพุทธเจ้าข้า

พระราชดำรัส : ราษฎรในพื้นที่คลองใหญ่ ส่วนมากจะยากจน เขาก็น้อยใจว่าทำไมดูแลแต่เขมร ในขณะที่เขาไม่มีอะไรเลย นี่ก็เป็นปัญหาอีกอย่างที่ต้องพูดคุยกับเขา พูดถึงการทำงานของฝ่ายเรา เราถือว่าฝึกไปในตัวด้วย สมัยนั้นสมเด็จพระนางเจ้าฯ โปรดให้จัดกำลังพลที่พูดเขมรได้เข้าไปหาข่าว และช่วยเหลือขาวเขมรอพยพที่เดือดร้อน การเดินทางสมัยก่อน เราก็เดินทางจากกรุงเทพฯ โดยรถยนต์ไปผ่านชลบุรี ระยอง จันทบุรี หยุดเติมน้ำมัน เข้าตราดแล้วไปยังเขาล้าน บางทีจากเขาล้าน นั่งรถยนต์ที่จังหวัดจัดให้ไปอำเภอคลองใหญ่ ที่พูดคุยกับคนไทย แต่ไปเป็นขบวนไม่ได้ ต้องระวังการถูกยิงโจมตีเลยต้องปล่อยรถออกไปทีละคัน คันละ 5 นาทีบ้าง 10 นาทีบ้าง

 

K6764842-64.jpg

 

กราบบังคมทูล : ปัญหาการทะเลาะเบาะแว้งภายในของเขมรอพยพมีบ้างหรือไม่ พระพุทธเจ้าข้า

พระราชดำรัส : มีปัญหาของเขาเยอะ รวมทั้งปัญหาเรื่องแย่งการกินการอยู่ แรก ๆ เราถึงต้องเข้าไปจัดระเบียบให้เขาได้เท่า ๆ กัน ตอนหลังก็ดีขึ้น แต่ระยะหลังที่เหตุการณ์ซบเซาลงมีการถ่ายเทไปอยู่ค่ายอื่นบ้าง กลับบ้านเกิดบ้าง สมัยก่อนเรามีการวางกั้นลวดหนามไว้ด้วย ตอนนั้นฝนตกมาก มีน้ำท่วม พื้นที่บริเวณที่เป็นหมู่บ้านและศูนย์กาชาดทรุดโทรมมาก การดูแลควบคุมผู้อพยพก็ไม่ได้ควบคุมเป็นหมวดเป็นหมู่ มาตอนหลังถึงได้มีการจัดแย่งเป็นหมู่บ้าน เป็นโซน ๆ จัดเป็นหมวดหมู่ ทำให้เป็นระเบียบยิ่งขึ้น โดยที่ทหารจะเข้าไปร่วมอารักขาเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานอยู่ รวมทั้งปฏิบัติการจิตวิทยาด้วย โดยแทรกซึมทำความรู้จักกับผู้อพยพว่าเป็นใครบ้าง หลักๆ เหตุการณ์ดีขึ้นแล้ว มีการปรับใช้พื้นที่หลังเขา เป็นที่ขึ้นลงของเฮลิคอปเตอร์ได้ แต่ก็ต้องตีออกทะเลหันข้างให้ภูเขาไม่ได้ เพราะจะเป็นเป้าใหญ่

กราบบังคมทูล : ขอพระราชทานกราบบังคมทูลถาม ว่าในทะเลมีกองกำลังทางเรือหรือเจ้าหน้าที่บ้างหรือไม่ พระพุทธเจ้าข้า

พระราชดำรัส : มีตำรวจตระเวนชายแดนมารักษาการบนเรือ เวลาเสด็จพระราชดำเนิน จะมีการตั้งรับเป็นชั้น ๆ จากถนนจนถึงเขาล้าน ทางเรามีเฮลิคอปเตอร์เหมือนกัน แต่ไม่ค่อยตอบโต้ต้องอยู่อย่างอดทน ยิ่งพ้นที่ตั้งรับของเราขัดต่อวิชาการทหารอยู่แล้ว เราอยู่ในพื้นที่ต่ำไปเปิดศูนย์กาชาด ซ้ำยังตั้งอยู่หน้าเขาล้านแทนที่จะอยู่หลังเขาล้าน ก็เป็นที่โต้เถียงกันมาก

กราบบังคมทูล : คุณหญิงส่าหรี แพทยกุล เล่าว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานไซเรน 1เครื่อง เป็นสัญญาณเตือนภัยถ้าเขมรยิง จะพากันออกไปริมทะเล ก็มีการซ้อม 2-3 ครั้ง

พระราชดำรัส : สมัยนั้นมีการซ้อมกันบ่อย การวางกำลังของฝ่ายตรงข้ามมีการเผชิญหน้าอยู่ตลอดเวลา เขาจะได้เปรียบ สมัยนั้นเราต้องคอยระวังอย่างเดียว เพราะไม่ต้องการให้เกิดการขัดแย้ง ขยายรุนแรงไปถึงสงครามระหว่างประเทศ แต่เราก็มีวิธีควบคุมคือ ควบคุมกลุ่มคนที่ก่อเรื่องให้ยุ่ง มีเคอร์ฟิวควบคุมไม่ให้ออกจากบ้าน ตั้งแต่อาทิตย์ตกดินถึงเช้า แต่ก็มีการแหกเคอร์ฟิวตลอด และมักจับได้ แต่สมเด็จพระนางเจ้าฯ ไม่ให้มีการปฏิบัติรุนแรง ถ้าเป็นสมัยก่อน คนที่มีพฤติกรรมที่น่าสงสัยจะถูกยิงทิ้ง แต่เราไม่ทำ ก็ต้อนให้กลับมา ในจำนวนผู้อพยพจะมีพวกเขมรแดงปะปนเข้ามาด้วย มีการฝังอาวุธก่อนเข้ามาในค่าย มีการขุดเอาปืนมายิง

 

K6764842-661.jpg

 

กราบบังคมทูล : โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดจากภูมิประเทศมีมากหรือไม่ พระพุทธเจ้าข้า

พระราชดำรัส : มีมาก โดยเฉพาะโรคมาเลเรียเป็นกันเยอะมาก และโรคทางเดินอาหาร แต่แรกๆ จะเป็นประเภทแขนขา ขาดเยอะมาก จนต้องมีห้องผ่าตัด นอกนั้นก็มีโรคขาดอาหารนิวมอเนีย เจ้าหน้าที่ๆ ปฏิบัติงานจะเจ็บป่วยกันมาก ตัวข้าพเจ้าเองก็ป่วยบ่อยๆ แต่สมเด็จพระนางเจ้าฯ ไม่ทรงประชวร เสด็จไปประทับที่นั้น หลังจากที่มีพระตำหนักสมัยนี้คงพักหมดแล้วกระมัง ส่วนเรือนพักของเขมรนั้น พูดในทางทฤษฎีว่าใช้แรงงานของชาวเขมรเอง แต่ทางปฏิบัติเขาจะไม่ทำ ทั้งๆ ที่เป็นที่พักของเขาเอง ตอนหลังนี้เขาถูกเลี้ยงอย่างเอาใจมาก

กราบบังคมทูล : ปัญหาของการบริหารมีบ้างหรือไม่ พระพุทธเจ้าข้า

พระราชดำรัส : มีเหมือนกัน พูดกันไม่รู้เรื่อง ต้องใช้ล่ามทหาร และล่ามของ นย. ด้วย บางทีพูดแล้วไม่ยอมเข้าใจก็มี พวกนี้ไม่ค่อยเอาใจใส่ในการทำงาน ทำให้เราต้องทำงานด้วยความอดทนด้วยมีเด็กมาเกิดที่ค่ายนี้มาก สมเด็จพระนางเจ้าฯ พยายามทำให้ค่ายนี้เป็นค่ายอพยพตัวอย่าง จัดให้มีการศึกษาการฝึกอาชีพ มีสถานเลี้ยงดูเด็กก่อนวัยเรียน แต่หนักใจที่ตั้งของเรา ข้าศึกจะไม่แสดงสิ่งปลูกสร้างของเขาให้เห็น ซึ่งตรงข้ามกับเรา สิ่งก่อสร้างจะเห็นได้เด่นชัดตอนหลังมีการสร้างบังเกอร์ไว้ป้องกัน

 

13207606901320760751l.jpg

 

กราบบังคมทูล : ขอพระราชทานมหากรุณาทรงเล่าถึงพระพุทธรูปหลวงพ่อแดง

พระราชดำรัส : หลวงพ่อแดง เป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยทองเหลือง สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงเห็นว่าเขมรมีความทุกข์ไม่มีที่พึ่ง พระอาจารย์สมชายถวายหลวงพ่อแดงให้กับสมเด็จพระนางเจ้าฯ และโปรดให้อัญเชิญไปไว้ในค่าย ให้หันหน้าไปข้างเขมร เขมรจะได้ไม่ยิงแล้วมีการสวดมนต์ตอนเย็น สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงให้มีการสวดมนต์ตอนเย็น บทสวดสรรเสริญพระรัตนตรัย โดยที่สมเด็จฯ จะเสด็จฯไปจุดเทียนในตอนเย็น มีการอัดเทปสวดมนต์ ถ้าท่านเสด็จฯ มาเขาก็มาสวด แต่ถ้าสมเด็จฯ ไม่อยู่ก็ไม่มาปกครองยากที่น่าสงสารก็มี ที่ตุกติกก็มี ทั้งอ่อนแอและแข็งแรง มีทั้งแหล่งอบายมุขมากมาย แล้วก็ต่อรองเก่งต้องคอยดูแล บางครั้งเวลาแจกของต้องเอาทหารมาคอยดูว่าใครรับหรือยัง พวกนี้จะทำให้สิ่งของบางอย่างตกไปอยู่ในมือฝ่ายตรงข้ามได้ เช่น ผ้าต่าง ๆ ที่มีตราของ UN ไปโผล่อยู่ฝั่งโน้นก็มี บางทีเราก็ต้องทำโง่

 

images-4.jpg

 

กราบบังคมทูล : ทราบเกล้าฯ ว่าในระหว่างเสด็จพระราชดำเนินในพื้นที่เคยเสด็จฯไปในบริเวณที่ฝังศพ

พระราชดำรัส : เคยตกลงไปในที่เขาฝังศพ เปลี่ยนเสื้อไม่ได้ก็อยู่อย่างนั้นทั้งคืน

กราบบังคมทูล :เป็นพระมหากรุณาธิคุณล้มเกล้าล้นกระหม่อมหาที่สุดมิได้ ที่ทรงพระกรุณาพระราชทานสัมภาษณ์ในโอกาสนี้

 

………………………………………………..

 

 

ศูนย์ราชการุณย์สภากาชาดไทย เขาล้าน เดิมมีนามว่า “ศูนย์สภากาชาดไทย เขาล้าน” เกิดขึ้นจากพระมหากรุณาธิคุณ ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สภานายิกาสภากาชาดไทยได้มีพระราชเสาวนีย์ให้สภากาชาดไทย จัดตั้งศูนย์รับผู้อพยพชาวกัมพูชาจำนวนนับแสนคน ณ บริเวณบ้านเขาล้าน ตำบลไม้รูด อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด ในโอกาสที่ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมผู้อพยพที่ได้เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2522

ในระยะแรกผู้อพยพทำที่พักอาศัยอยู่ที่ใต้ต้นไม้โดยใช้อุปกรณ์ที่มีอยู่ เช่น ผ้าขาวม้า เป็นเครื่องบังแดดบังฝน ต่อมา ได้รับการแจกผ้าพลาสติกเพื่อใช้เป็นที่บังแดดบังฝนในระยะต่อมาได้มีการก่อสร้างเพิงเป็นที่พักชั่วคราวทำด้วยไม้ไผ่หลังคา มุงแฝกและใบจาก พร้อมกันนี้ได้สร้างเพิงชั่วคราวเพื่อใช้เป็นที่ทำการในการให้ความช่วยเหลือผู้อพยพ รวมทั้งที่พักและ หน่วยพยาบาล ในเวลาต่อมาจึงได้สร้างอาคารถาวร ประกอบด้วยสถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้า โรงฝึกอบรม โรงเรียน และบ้านพัก

ศูนย์สภากาชาดไทย แห่งนี้ได้ให้ความอนุเคราะห์ช่วยเหลือชาวกัมพูชาอพยพอยู่ 7 ปีเศษ ได้ปิดลงอย่างเป็นทางการเมื่อ วันที่ 4 กรกฎาคม 2529 เมื่อปิดศูนย์ฯ ลง สภากาชาดไทยได้ขอให้กองทัพเรือส่งทหารเข้ามาดูแลพื้นที่ กองทัพเรือได้จัดให้ชุดควบคุมทหารพรานนาวิกโยธินที่ 3 เข้ามาอยู่ดูแลพื้นที่.

…………………………………….

942536_557170137667287_1637111467_n.jpg

ควรมิควรสุดแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

…………………………………….

 

ที่มา : บางส่วนจากบทความใน thairedcross.livingmuseum.sc.chula.ac.th

http://www.chaopraya...B8%A3%E0%B8%93/

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ผลไม้วันจันทร์

................................................................................................................................................ P2742934.jpg สับปะรด...ผลไม้คลายร้อน up.gif

 

 

 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

25 มิถุนายน 2556 16:41 น. blank.gif อุทาหรณ์สาวใหญ่ศรีราชาเปิบทุเรียนชะนี พร้อมเหล้าตาย นักโภชนาการเตือนห้ามกินร่วมกันเด็ดขาด ชี้ทุเรียนให้พลังงานสูง เจอกับเหล้าดีกรีสูง ทำให้ระบบหายใจผิดปกติจนตายได้ หรือเป็นอัมพาต แนะกินทุเรียนแล้วควรลดปริมาณข้าว ดื่มน้ำมากๆ และออกกำลังกาย ช่วยไม่ให้สะสมเป็นไขมัน

ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต blank.gif นายสง่า ดามาพงศ์ ที่ปรึกษากรมอนามัย กล่าวถึงกรณีพบหญิงสาวเสียชีวิต เนื่องจากรับประทานทุเรียนชะนีพร้อมกับดื่มสุรา 30 ดีกรี จนเกิดอาการแน่นหน้าอกและหายใจไม่ออก ว่า ทุเรียนเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานสูง และมีสารซัลเฟอร์มาก ทำให้เกิดความร้อนและการเผาผลาญภายในร่างกายขึ้น เมื่อดื่มสุราที่มีดีกรีสูงๆ เข้าไป ก็ทำให้ร่างกายได้รับความร้อนเพิ่มขึ้น 2 ต่อ ร่างกายก็จะรับไม่ไหวสุดท้ายเกิดอาการข้างเคียงคือ ระบบทางเดินหายใจทำงานผิดปกติจนถึงแก่ชีวิตได้ หรือหากไม่ถึงแก่ชีวิตก็จะเป็นอัมพาต เรื่องนี้มีการรณรงค์ย้ำเตือนมาตลอดว่า ห้ามรับประทานทุเรียนพร้อมกับดื่มสุรา เพราะมีโอกาสจะเกิดกรณีดังกล่าวสูงมาก

 

นายสง่า กล่าวอีกว่า ทุเรียน 1 พู ให้พลังงานเท่ากับข้าว 2-3 ทัพพี หรือประมาณ 160 กิโลแคลอรี ดังนั้น การรับประทานทุเรียนต้องรับประทานให้เป็นจึงจะเกิดประโยชน์ เช่น หากเรารับประทานทุเรียนประมาณ 2 พูแล้วกลัวอ้วนก็ต้องลดปริมาณข้าวลง 1-2 ทัพพี เพราะหากรับประทานข้าว 3 ทัพพีต่อมื้อเช่นเดิมแล้วรับประทานทุเรียนอีก 2 พู ก็จะทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกิน เมื่อร่างกายใช้ไม่หมดก็จะเปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เพราะฉะนั้น เมื่อรับประทานทุเรียนแล้วควรต้องมีการออกกำลังกายด้วย หรือหากรับประทานข้าวเหนียวทุเรียน ซึ่งให้พลังงานสูงทั้งทุเรียนและข้าวเหนียว ก็ควรดื่มน้ำมากๆ หรือรับประทานมังคุด เพื่อให้ในมื้อนั้นๆ มีการรับประทานผลไม้ที่หลากหลายตามกุศโลบายของคนโบราณ

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

10404246_728787987218154_8285920690190046215_n.jpg

 

10564997_728787917218161_4316011782826368046_n.jpg

 

10536920_728788150551471_5176838074099738690_n.jpg

 

10400847_728788193884800_2791883091830772425_n.jpg

 

10524303_728788943884725_212073968126036917_n.jpg

 

10562955_728788277218125_5466088151387678060_n.jpg

 

10400875_728788440551442_5418593555642354021_n.jpg?oh=0ed057957cdd20b56ccafd9c95ec7cc8&oe=544DA811&__gda__=1414307021_05d396ae4844ce45875ddb3105224956

 

10524567_728788353884784_2540464777610144657_n.jpg?oh=85e0845a9265f30500aaa0939425a50f&oe=54518D03&__gda__=1414538601_f70fa2790497e0c50b0048cd4d4849c3

 

61673_728788533884766_4837963886351982721_n.jpg

ศิลปะกับความคิดสร้างสรร

คิดบวกกันอารมณ์ขันทำให้โลกนี้งดงาม

1,000,000 pic

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กะทิ

กะทิไม่มี Cholesterol เนื่องจาก Cholesterol จะเกิดจากการผลิตขึ้นเองโดยร่างกายมนุษย์ ซึ่งตับจะเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ดังกล่าว สามารถใช้กะทิแทนน้ำมันมะพร้าวได้ กะทิให้แคลเซียมดีกว่านม ลดความอ้วน ป้องกันเบาหวาน โดยให้ดื่มทุกเช้าวันละ 1 กล่อง (สามารถช่วยแก้เจ็บคอได้ด้วย)

ทั้งกะทิชาวเกาะ และอร่อยดี ไม่มีการเติมสารเคมี เนื่องจากส่วนใหญ่ส่งออก ต่างประเทศ

น้ำมันมะพร้าว

ช่วยลดความอ้วน โดยกินก่อนอาหาร 4 ช้อนกาแฟ ใช้เป็น Hair Serum ใช้ล้างเ ครื่องสำอาง

ใช้เป็นเดย์ครีม ไนท์ครีมได้ มี SPF 90 ( Sun block)

Oil Pulling

ใช้น้ำมันงา น้ำมันมะพร้าว น้ำมันทานตะวัน ที่ผ่านกรรมวิธีแบบหีบเย็น ปริมาณ 2 ช้อน อมไว้ประมาณ 15 นาที แล้วบ้วนทิ้ง จะช่วยนำเชื้อโรคออกจากช่องปาก เนื่องจากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัสที่อยู่ในช่องปากจะมีไขมันเกาะอยู่ ช่วยลดอาการทางช่องปากได้

น้ำเปล่า อุณหภูมิห้อง

ควรดื่มครั้งละไม่เกิน 150 ซีซี เนื่องจากกระเพาะจุได้ 400 ซีซี เวลาดื่มน้ำให้ค่อย ๆ จิบ อย่าดื่มรวดเดียว และให้ดื่มให้ได้วันละ 14 ครั้งเป็นอย่างน้อย การดื่มน้ำเย็นครั้งละมาก ๆ จะมีผลให้น้ำซึมเข้าสู่สมอง ซึ่งเป็นเหตุของการเกิดภาวะสมองบวมน้ำ

น้ำตาลปื๊บ

น้ำตาลปี๊บกับน้ำตาลปึกเป็นชนิดเดียวกัน ถ้านำไปเคี่ยวจะกลายเป็นน้ำผึ้ง (น้ำผึ้งเทียม) น้ำตาลปี๊บแท้ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล เมื่อดมกลิ่น จะได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยว

น้ำตาลทราย/น้ำตาลกรวด

เมื่อทานแล้วจะไม่เปลี่ยนเป็นพลังงาน แต่จะสะสมที่ตับเป็นไขมัน ก่อให้เกิดไตรกลีเซอร์ไรด์ สำหรับน้ำตาลที่ฟอกขาวจะใช้สารคลอลีน ซึ่งมีสารก่อมะเร็ง ดังนั้น ท็อฟฟี่ จึงมีน้ำตาลสูง ไม่ควรบริโภค

กาแฟ

การดื่มกาแฟ จะมีผลไปยับยั้งไม่ให้แคลเซียมไปเกาะกระดูก จึงมีโอกาสเป็นโรคกระดูกผุ มะเร็ง แต่กลิ่นของกาแฟจะสามารถช่วยบำบัดโรคได้ ดังนั้นจึงควรสูดกลิ่นกาแฟ แต่ไม่ควรดื่มกาแฟ เพราะคาเฟอีน เป็นตัวกระตุ้นเซลมะเร็ง หากชงกาแฟควรใช้น้ำตาลปี๊บ

ไมโครเวฟ

การใช้ไมโครเวฟ ระวังมะเร็ง เนื่องจากมีการกระจายคลื่นเข้าสู่เซลมีผลทำให้ตายได้

ขนมหวานจากกะทิ

ส่วนผสม กะทิ 4 กล่อง โดยกะทิ 1 กล่องจะใช้เกลือป่น 1 ช้อนกาแฟ (ต้องโยนลงในกะทิที่ตั้งไฟ เพราะช่วยลดการเกิดฟอง) และใช้น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะต่อกะทิ 1 กล่อง เคี่ยวกะทิให้เดือด แล้วใส่

-กล้วย ต้องเป็นกล้วยสุก (ใช้ได้ทั้งกล้วยหอม กล้วยน้ำว้า กล้วยไข่) แล้วยกขึ้นทันที เนื่องจากถ้าต้มต่อไปจะทำให้กล้วยมีรสเปรี้ยว

-มันเทศ เผือก ฟักทอง ให้แช่น้ำปูนใส 2 นาที แล้วนำไปต้ม 5 นาที จากนั้นค่อยนำไปใส่กะทิเดือดอยู่คนให้ทั่วแล้วยกลง

กล้วยไข่

กล้วยไข่ 1 ผล มีสารป้องกันมะเร็งมากกว่า Apple

กล้วยน้ำว้า

ถ้าห่าม ๆ แก้ท้องเสีย กินลดอาการของแผลสด

ผลสุก 2 ลูก และน้ำอุ่น 1 แก้วก่อนนอน ช่วยลดอาการท้องผูก (ใช้เป็นยาระบาย)

ที่สำคัญ เด็กอายุเกิน 6 เดือนถึงจะกินกล้วยน้ำว้าได้

กล้วยน้ำว้าทั้งหวี หากต้องการเก็บไว้ได้นาน 3 เดือน ให้จุ่มลงในน้ำเดือด 10 วินาที แล้วนำมาผึ่ง

น้ำมะพร้าวอ่อน

ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนวันละ 1 ลูก ช่วยฟอกเลือด และบำรุงไต ส่วนเนื้อมะพร้าวช่วยบำรุงตับ

10527463_728198320610454_3303047104225142557_n.jpg?oh=1b43e7aec92b3b009c3b53c6b3da96bf&oe=5448BCE8&__gda__=1414784857_f3661094408f600e6a3fb12a465af820

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันที่ 25 ก.ค.57 แฉ..ขบวนการโฆษณาชวนเชื่อดิสเครดิส คสช.และยุแหย่ เสี้ยม ประชาชน

 

ตามที่เคยเตือนประชาชนว่า ให้ระวังใจจะตกเป็นเครื่องมือ การโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) ของ เผาไทย , กลุ่มติดอาวุธแดง นปช. , ขบวนการล้มเจ้า และนักแสวงโชคทางการเมือง ซึ่ง จะใช้วิธีการการโฆษณาชวนเชื่อเดิมๆ 7 วิธี ให้ร้าย คสช. โดยมีตัวอย่างในเวลานี้ คือ

 

1. โจมตีตัวบุคคล..สร้างบุคคลขึ้นมาเป็นหุ่นรับการโจมตี แล้วจับผิดทุกอย่าง โจมตี ด่าทอ ต่อว่า ทั้งเรื่องส่วนตัว และคำพูดทุกคำพูดของคนๆ นั้น รวมถึงการสร้างภาพให้ฝ่ายศัตรูที่ตั้งขึ้นมาโจมตีน่ากลัว เช่น การโฆษณาชวนเชื่อโจมตีสตาลิน ของสหรัฐในทศวรรษที่ 60 ว่าโหด ดุร้าย ป่าเถื่อนไร้อารยธรรม การโฆษณาโจมตีฮิตเลอร์ว่าเป็นอัตติลาชาวฮัน หรือทายาทซาตาน

 

ที่ผ่านมา เผาไทย ,แดง นปช. และขบวนการล้มเจ้า จึงใช้หลักคิดนี้โจมตีเบื้องสูง โดยอ้างหลักความเท่าเทียม ยกข่าวที่ไม่มีหลักฐานมาใส่ความพระองค์ อ้างว่าอยู่เบื้องหลังความวุ่นวายทางการเมือง และอีกสารพัดความเท็จที่จะคิดขึ้นมาโจมตีได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนไทยที่จงรักภักดี ยอมรับวิธีการนี้ไม่ได้เกิดความสะเมือนใจ แต่กลุ่มแดงที่ทำกลับยิ่งจาบจ้างหนักขึ้น

 

ถ้าเป็นปัจจุบัน ก็จะเกิดลัทธิ “ ด่ากราดใครก็ได้เอามันปากไว้ก่อน “ และพุ่งเป้าโจมตีหัวหน้า คสช. จับผิดทุกอย่าง ด่าทอ ต่อว่า ทุกคำพูด ไม่ว่าจะอธิบายทางทีวีพูลทุกวันศุกร์ หรือข่าวสารทางสื่อต่างๆ แต่กลุ่มสิ่งคล้ายคนพวกนี้ ก็จะไม่ฟัง เพราะตั้งธงในใจไว้แล้ว ว่าจะต้องโจมตี การอธิบายกับคนพวกนี้ ก็เสมือนสีซอให้....ฟังนั่นเอง

 

2. พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก...เข้าทำนอง "น้ำหยดลงหินทุกวัน หินยังกร่อน แล้วใจคนอ่อนๆ จะทนได้อย่างไร” พวกแกนนำแดงนี้ จะพูดกรอกหูเข้าทุกวัน แปรคนดี เป็นคนร้ายไปได้ เพราะความเป็นคนหูเบา

 

ที่ผ่านมา เผาไทย ,แดง นปช. และขบวนการล้มเจ้า จึงใช้หลักคิดนี้โจมตีเบื้องสูง โดยอ้างว่าคนนั้น คนนี้ หม่อมนั่น คุณหญิงนี่ คนในวังเขาว่ามา แต่เมื่อหาต้นตอคนแรก จะไม่พบเด็ดขาด เพราะมันไม่จริง ก็เลยไม่มี แต่เรื่องที่พูดซ้ำได้ขยายวงไปมากแล้ว จนหลายคนเชื่อ เช่น เรื่องแบ่งฟ้า แบ่งวัง สุดท้ายเมื่อความจริงปรากฏ เวลาก็นานผ่านไปความเสียหายเกิดมากแล้ว

 

ต่อมาก็ใช้สื่อทีวีดาวเทียม สมัยปี 48-53 ก็พีทีวี และเปลี่ยนมาเป็นเอเชียอาบแดด , วิทยุชุมชน , วิทยุแท็กซี่ พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก จนคนหัวอ่อนคลั่ง ต้องเปิดทิ้งไว้ตลอดเวลา สื่อพวกนี้พูดอะไรเชื่อหมด แบบที่คนธรรมดายังไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ถึงขนาดนี้ คนในครอบครัวเพี้ยนไป ญาติอธิบายด้วยข้อเท็จจริงอย่างไรก็ไม่ฟัง และดื้อหัวชนฝา พาลทะเลาะกัน

 

ถ้าเป็นปัจจุบัน ก็จะโจมตีหัวหน้า คสช. พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก ในเรื่องเก่าๆ ของประวัติคนที่ คสช.ตั้งเข้ามา อธิบายอย่างไรไม่มีทางสน ก็จะพูดเรื่องเก่าซ้ำเดิมวนในอ่างแบบนั้น เช่น ช่วงรัฐประหารแรกๆ ก็พูดซ้ำแต่เรื่องที่ปรึกษาวิษณุ ว่าเป็นคนของคนแดนไกล พูดซ้ำอยู่นั่น จนเขาเป็นส่วนหนึ่งในแสดงผลงาน รัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับกีดกันนักการเมือง..คนกลุ่มนี้ที่เคยพูดซ้ำวิจารณ์ก็เงียบกริบไปโดยไม่รับผิดชอบ

 

ต่อมาก็เรื่องประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน เสรีภาพ นกพิราบ พวกรับเงินมาขายชาติก็จะพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก ให้เข้าทางต่างชาติตะวันตก ก่อการประท้วงช่วงแรกๆ หวังให้ต่างชาติลงโทษทางการค้ากับใทย ให้ไทยเสียหายเยอะๆ หวังให้ต่างชาติส่งกำลังทหารมาแทรกแซงภายในไทย จนเจอมือปราบนกพิราบกระป๋อง ก็เดี้ยงหายไปเพราะแดงพวกนี้รับจ้างมาเพราะเงิน ไม่ได้ทำเพราะอุดมการณ์

 

และต่อมาก็เรื่องก็พลังงาน เขาอธิบายว่าระยะแรก จะเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจากขี้ที่รัฐบาลก่อนทิ้งไว้ และจะทำการปฏิรูปทั้งระบบในระยะ 2-3 พวกเสี้ยมจะไม่ฟัง หูอื้อ แต่พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก ขุดเรื่องเก่ามาเสี้ยมยุยงเหมือนเคย สังเกตง่ายๆ ประเด็นจะเหมือนเดิม ข้อความเดิม ข้อมูลเดิมกรอกหู แต่เปลี่ยนแค่ฉากเวลาทำซ้ำๆ เท่านั้น

 

3. โกหกคำโต...หลักการ คือ “ ยิ่งโกหกคำโตเท่าไร, มันยิ่งน่าเชื่อไปเท่านั้น , ฝูงชนมหาศาลถูกหลอกด้วยการโกหกเรื่องใหญ่ ง่ายกว่าโกหกเรื่องเล็กๆ “ การ โกหกเรื่องเล็กๆที่มีรายละเอียดปลีกย่อย อาจมีผู้จับโกหกได้ง่าย แต่การโกหกเรื่องใหญ่ๆ เพื่อหลอกให้เชื่อ มันย่อมครอบคลุมเรื่องต่างๆ หลากหลาย

 

อย่างน้อยต้องมีข้อใดข้อหนึ่งที่ถูกจริตผู้ฟังที่ขาดเฉลียว และเมื่อผู้พูดๆ ในสิ่งที่คนฟังอยากจะเชื่ออยู่แล้ว เขาก็พร้อมจะยอมเชื่อโดยดี แม้ว่าคำโกหกเรื่องใหญ่นั้น จะเท็จครึ่ง จริงครึ่ง หรือไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความจริงอยู่เลย

 

ที่ผ่านมา เผาไทย ,แดง นปช. และขบวนการล้มเจ้า จึงใช้คำโกหกแบบแสนจะอึ้ง เช่น กรณีของ ร.8 , เหตุการณ์ปี 2519 ทั้งที่ไม่มีหลักฐานอะไรเลย แค่ข่าวลือก็กุข่าวโกหกกันไป , และที่โกหกแบบน่าเกลียด คือ เรื่องสำนักงานทรัพย์สินฯ ที่แท้จริงรายได้เข้ากระทรวงการคลัง , ต่อมาก็คนมาชุมนุม 5 แสนที่อักษะ ทั้งที่วันเลิกเหลือ 200 คน

 

ถ้าเป็นปัจจุบัน ก็จะโกหกคำโตจากหลายพวก เช่น การวิ่งเต้นเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ , บอร์ดรัฐวิสาหกิจ , เคลียร์กับบิ๊ก คสช.ได้ , รัฐประหารเพื่อช่วยคนโกงชาติ ฯลฯ เหล่านี้คือ การโกหกคำโตทั้งสิ้น เพราะพวกนี้จะรู้ว่าคนฟังอยากจะเชื่ออยู่แล้ว แค่เสี้ยมนิดเดียวก็มีคนยอมกินฟางบุฟเฟ่แบบสบายๆ

 

4. สร้างสมญานาม...การสร้างชื่อแทนใช้เรียกย่อๆ ง่ายๆ และตีความได้เข้าข้างตัวเอง หรือสร้างภาพเสียหาย

 

ที่ผ่านมา เผาไทย ,แดง นปช. และขบวนการล้มเจ้า จึงใช้หลักวิธีนี้ เช่น วาทะกรรม ไพร่-อำมาตย์, สองมาตรฐาน , ทุกอย่างในโลก เป็นผลพวงจากรัฐประหาร หรือ กำนันเป็นกบฏ โดยเป็นผลจากริดสีดวงทำคดี แต่พวกนี้จะไม่พูดให้จบว่าแค่คำกล่าวหาลอยๆ เพราะศาลยังไม่ติดสินใดๆ เลย

 

ถ้าเป็นปัจจุบัน ก็จะโกหกคำโตจากหลายพวก เช่น การวิ่งเต้นเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ , บอร์ดรัฐวิสาหกิจ , เคลียร์กับบิ๊ก คสช.ได้ , รัฐประหารเพื่อช่วยคนโกงชาติ วาทะกรรม ท่านผู้นำ , พ่อทุกสถาบัน ที่ทำให้น่ากลัว ฯลฯ

 

แม้แต่ Ammy Sticker ที่เป็นแอฟแต่งภาพ ก็ยังถูกแดงเสี้ยมอีกจนได้ว่าจะมาดูดข้อมูลในเครื่องออกไปหมด คนที่เก่งไอทีหัวร่อจนฟันร่วง เพราะมันคนละเทคนิคกัน มันทำไม่ได้แน่นอน ก็แค่พวกแดงแฝงกายปล่อยข่าวอิจฉาทหารฟีเวอร์เท่านั้นเอง เหล่านี้คือ การโกหกคำโตทั้งสิ้น เพราะพวกนี้จะรู้ว่าคนฟังอยากจะเชื่ออยู่แล้ว แค่เสี้ยมนิดเดียวก็มีคนยอมกินฟางข้าวบุฟเฟ่แบบสบายๆ

 

5. สร้างภาพ แบบขาว-ดำ โดย สร้างภาพการแบ่งแยก ฝ่ายถูกผิดชัดเจนเป็นสีขาว-ดำ ใครเข้าข้างตนจะเป็นฝ่ายถูก ส่วนใครไม่เห็นด้วยก็จะถูกผลักไปเป็นฝ่ายผิดทันที พวกนี้จะตั้งธงบังคับให้ คนหลงเชื่อในสิ่งที่เขากล่าวอย่างง่ายดาย เข้าร่วมและคนรู้ไม่เท่าทันอาจไม่ฉุกคิดเลยว่า สิ่งที่เขาพูดไม่ตรงกับการกระทำอย่างใดเลย

 

ที่ผ่านมา เผาไทย ,แดง นปช. และขบวนการล้มเจ้า จะอ้างแบบพิลึกว่า แดงเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ใครไม่มาร่วมเป็นฝ่ายอำมาตย์ และพวกเขาถูกกดขี่ ไม่มีความเท่าเทียม ทั้งที่จริงๆ แล้วแกนนำแดงกลับเป็นผู้หลอกใช้ กดขี่คนเสื้อแดงเสียเอง และมีพฤติกรรมกลับเป็นอีกด้าน คือ ยิง M79 ใส่ทุกคนที่เห็นแตกต่างจากกลุ่มตน

 

ถ้าเป็นปัจจุบัน จะอ้างแบบพิลึกว่า แดงเป็นเสรีประชาธิปไตย ใครไม่มาร่วมเป็นฝ่ายเผด็จการ หรือ คลั่งเจ้าบ้าง ตามืดบอดบ้าง ยิ่งเป็นข้อมูลที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้หรือเห็นชัดเจน คนที่ได้รับข้อมูลเข้าไปก็จะยิ่งเชื่อ

 

6. ชูธงสูงส่ง...อ้างสิ่งสวยงาม ตามหลักมหาบุรุษ อ้างตนเองและกลุ่ม แนวคิดของตน ให้ดูยิ่งใหญ่ สูงส่ง อลังการ มีคุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม ด้วยคำพูด และป้าย ใช้ข้อความที่ดูดี อ้างอิงสิ่งเหนือธรรมชาติ หรือนามธรรมที่คนยอมรับ เช่น เทพเจ้า พระเจ้า เทพยดา อ้างแนวทางของบุคคลในประวัติศาสตร์

 

ที่ผ่านมา เผาไทย ,แดง นปช. และขบวนการล้มเจ้า จะอ้างแบบพิลึกพิลั่นว่า คนแดนไกลเป็นเจ้ามูลเมือง หรือ เป็นพระเจ้าตากสินมาเกิด , ปูเน่าเป็นเจ้าหญิงล้านนา มีอภินิหารใบ้หวย (ล็อค) , สาวกวัดจานบินถึงกับใช้คำราชาศัพท์ กับคนแดนไกล ไปโน่นเลย

 

ถ้าเป็นปัจจุบัน จะอ้างว่า คนแดนไกล เหมือนคานธี และปูเน่าหมือน อองซานซูจี และพวกแดงเป็นคนหัวรุ่นใหม่ เพราะการคิดไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไป ทำให้รู้สึกเหมือนเก่ง คิดไม่เหมือนคนอื่น เหล่านี้ชาวบ้านจะถูกล้างสมองให้เชื่อทั้งสิ้น

 

และที่ชอบอ้างก็คือ ความเท่าเทียมกัน อุดมการณ์สวยหรู แต่ก็แค่อุดมกินหัวคิว เพราะความเท่าเทียมไม่มีจริงในสังคม ไม่ว่าสังคมไหน ปาเลสไตน์ อิสราเอล อเมริกา เท่าเทียมกันไหม แล้วนักแสวงโชคทางการเมืองร่ำรวย กับคนเสื้อแดงจนๆ เท่าเทียมกันไหม?

 

7. ควบคุมข้อมูลผ่านสื่อสารมวลชน บอกข้อมูลไม่ครบ บอกความจริงไม่หมด เลือกแต่เฉพาะข้อมูลหรือข่าวที่ส่งผลดีต่อฝ่ายตนเอง ใช้การอ้างนอกเรื่องเบี่ยงเบนประเด็น หรือนำคำพูดที่ไม่เกี่ยวข้องกันมาแต่งเติมเสริมเข้าไปให้ดูดี ใช้สื่อมวลชนที่เข้าถึงคนหมู่มาก บอกผ่านกันไปปากต่อปาก จะยิ่งดูน่าเชื่อถือ พอตั้งข้อสงสัย ก็ถูกตอบว่า "ก็ทีวีว่ามาอย่างนี้"

 

ปกติ หน้าที่ของสื่อข้อหนึ่ง คือ คัดกรองข่าวสาร เลือกข่าวสารที่มีประโยชน์ เป็นจริง และกำจัดข้อมูล ข่าว ภาพ ขยะที่เป็นเท็จ และไม่เป็นประโยชน์ทิ้งไป เมื่อสื่อมาโฆษณาชวนเชื่อเสียเอง การคัดกรองข่าวสารก็จะบิดเบี้ยว กลายเป็นว่า คัดเฉพาะข้อมูลที่เข้าข้างฝ่ายตน มีประโยชน์ต่อตนเอง หรือหากข้อมูลเป็นกลางที่ชี้แจงแล้วก็จะนำมาตัดแต่งเติมต่อตีความให้เข้ากับแนวคิดของตนเอง

 

รวมทั้งการเรียบเรียง ตัดทอน และละเลยข้อเท็จจริงไป แล้วนำเรื่องยากซับซ้อนต้องใช้ความรู้ความเข้าใจสูงมาพูดเป็นเรื่องพื้นๆ ให้คนเชื่อตาม นอกจากจะเป็นกระบอกเสียงสร้างความนิยมให้กับแก็งค์แล้ว เมื่อมีโอกาสก็จะฉวยจังหวะเปิดโอกาสให้ กล่าวหาอย่างผิดปกติธรรมชาติ พิลึกพิลั่น แบบหน้าไม่อาย

 

ที่ผ่านมา เผาไทย ,แดง นปช. และขบวนการล้มเจ้า จะเลี้ยงสื่อใหญ่ไว้จ่ายเงินเดือนรายเดือน พาไปทัวร์นอก จ่ายเงินขวัญถุงติดกระเป๋า ออกทุนให้สื่อตั้งบริษัทไร่สับปะรด ให้หุ้นรัฐวิสาหกิจ จนสื่อพวกนี้เชื่อง และเซื่องซึม แถ ปกปิดความจริง ผลิตสื่อเฉพาะกิจหรือที่เรียกกันว่า “สื่อเทียม” ออกมามากมาย เพื่อระดมโหมโจมตีสถาบันเบื้องสูงอย่างต่อเนื่อง มีทั้งโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เช่น สถานีเอเซียอาบแดด , วิทยุชุมชน กรอกหูคนเสื้อแดงทั้งวันทั้งคืน จนกลายเป็นหุ่นยนต์ บังคับซ้าย-ขวาได้

 

ถ้าเป็นปัจจุบัน เช่น สรย้วยผัวหลินปิง พอถูกอัยการสั่งฟ้องคดีตนเองทุจริต ก็ออกข่าวโค๊ช กับนักีฬาขัดแย้ง แบบทุ่มเวลาทั้งหมด เพื่อกลบอีกข่าว หรือออกข่าวใส่ร้ายชาวปาเลสไตน์ เอาใจอิสราเอล จนนักศึกษามุลลิมต้องออกมาประท้วง

 

หรือ การใช้สื่อสังคมออนไลน์ โพสภาพคนแดนไกล และปูเน่า ที่อยู่เมืองนอกทุกนาทีโดนไม่ลืมหูลืมตา จนภาพเกร่อไปหมด เพื่อสร้างภาพให้เห็นเยาะเย้ย และดิสเครดิต คสช. ซึ่งมีฝ่ายประชาชนหลงกลลวงจำนวนมาก แชร์ต่อกันไป หารู้ไม่ว่ากลายเป็นเครื่องมือให้แดงไปแล้ว

 

ผลร้ายของการโฆษณาชวนเชื่อ แตกต่าง และน่ากลัว กว่าการโฆษณา และชักจูงตามปกติ เพราะจะทำให้เหตุผลของผู้รับข้อมูลบิดเบี้ยวโดยไม่รู้ตัว จะเห็นคนอื่นผิดหมด ขณะที่ตัวเองถูกต้องเพียงคนเดียว จะไม่เหลียวหางตา มองสิ่งที่อยู่นอกเหนือความเชื่อของตน จะกล้าใช้ถ้อยคำหยาบคาย ด่าทอ เสียดสี คนที่ไม่เห็นด้วย ทั้งๆที่คุณไม่เคยมีนิสัยหยาบคายมาก่อน

 

พร้อมบริจาค ทุ่มเท ทั้งกำลังกาย และทรัพย์สินให้กับสิ่งที่เชื่อ โดยไม่เหลือให้ตัวเองและครอบครัว กว่าจะรู้ตัว สังคมจะเหลือเพียงแต่กลุ่มคนที่เชื่อ โฆษณาชวนเชื่อแบบเดียวกันเท่านั้น เหมือนคนอยู่ในกะลา ไม่เคยพบโลกความจริง ก็จะคิดว่าภายในกะลาคือสิ่งถูก คุยกับคนอื่นก็ไม่รู้เรื่อง พาลจะหาเรื่องทะเลาะเสียอีก

 

มาดูตัวอย่างการเสี้ยมที่ทำเป็นขบวนการ เมื่อจังหวัดทหารบกอุตรดิตถ์ พล.ต.ธัญญพรหม อัศวจินดา ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกอุตรดิตถ์ พร้อมด้วย ร.อ.ภูรีวรรธน์ โชคเกิด นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุตรดิตถ์ และนายสุมิตร เกิดกล่ำ นายอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ แถลงข่าวจับกุมขบวนการแอบอ้างชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดรับสมัครสมาชิกพรรคการเมืองในนามพรรคร่วมพัฒนาชาติไทย ได้ผู้ต้องหา 3 คน คือ

 

1. ผู้ทำหน้าที่หากลุ่มเป้าหมายที่ยากจน มีรายได้น้อยในหมู่บ้านมาสมัคร โดยให้นำบัตรประชาชน , ทะเบียนบ้าน และสมุดธนาคารมาด้วย

- นางกัญญาภัสจ์ ชมพูพล ผอ.โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) บ้านวังสีสูบ ต.งิ้วงาม อ.เมืองอุตรดิตถ์ บ้านเลขที่ 96/5 ม.1 ต.ท่าเสา อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์

- นายเศรษฐพงษ์ วงษ์เปี่ยม (ผู้ใหญ่บ้าน) บ้านเลขที่ 214 ม.3 ต.งิ้วงาม อ.เมืองอุตรดิตถ์

 

2. ผู้หลอกชาวบ้านที่ชักชวนมาสมัครว่าจะโอนเงินเข้าบัญชี

- นายธนวัต ราชแทน บ้านเลขที่ 411 ม. 5 ต.ศรีสุทโธ อ.บ้านดง จ.อุดรธานี จากการlv[l;oนายธนวัต บอกว่า ได้รับการประสานจาก นายทวี โนนลิบูรณ์ เบอร์โทร 08-5007-4795 ซึ่งได้ส่งเอกสารมาทางไปรษณีย์ ให้กรอกขอมูล และบอกกับชาวบ้านว่า เป็นโครงการช่วยเหลือประชาชน

 

ผู้ต้องหาทั้ง 3 ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมได้ขณะตั้งโต๊ะเปิดรับสมาชิกพรรคดังกล่าว อยู่ที่ศาลาการเปรียญวัดช่องลม ต.งิ้วงาม ซึ่งมีชาวบ้านหลงเชื่อนำเอกสารสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนบ้าน สมุดบัญชีธนาคาร มายื่นสมัครเป็นสมาชิกพรรค จำนวน 19 ราย

 

โดยขบวนการดังกล่าว แอบอ้างว่าได้รับมอบหมายจากหัวหน้า คสช. ในฐานะหัวหน้าพรรคร่วมพัฒนาชาติไทย ให้มาดำเนินการรับสมัครสมาชิกพรรคร่วมพัฒนาชาติไทย หากมีการเลือกตั้งและ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี จะทำการโอนเงินเข้าบัญชีให้สมาชิกพรรคคนละ 10,000 บาท

 

พล.ต.ธัญญพรหม กล่าวว่า ได้รับรายงานว่าขณะนี้มีขบวนการแอบอ้างลักษณะดังกล่าวกระจายในหลายพื้นที่ของ จ.อุตรดิตถ์ ซึ่งได้กำชับเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบและจับกุม รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์ไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อ โดยเชื่อว่าน่าจะมีขบวนการใหญ่ชักใยอยู่เบื้องหลัง เพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากชาวบ้าน

 

โดยอาจนำรายชื่อสมาชิกพรรคดังกล่าวไปใช้ในการแสวงหาผลประโยชน์ เช่น ไปแอบอ้างเป็นกลุ่มที่เดือดร้อน และร้องเรียนต่อ คสช.ให้แก้ปัญหา เพื่อหวังผลประโยชน์จากการแก้ปัญหาดังกล่าวก็เป็นไปได้ สำหรับข้าราชการและผู้ใหญ่บ้านที่ถูกจับกุมจะให้ต้นสังกัดดำเนินการตามกฎหมาย และลงโทษทางวินัยในขั้นสูงสุด

 

ร.อ.ภูรีวรรธน์ โชคเกิด นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุตรดิตถ์ กล่าวว่า การกระทำของ ผอ.รพ.สต.คนดังกล่าว ถือเป็นการกระทำส่วนตัว ขณะนี้ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว หากพบมีการใช้ตำแหน่งหน้าที่ราชการเข้าไปชักจูงเชิญชวนชาวบ้าน ถือว่ามีความผิดทางวินัย ซึ่งจะทราบผลการสอบสวนภายใน 3 วัน

 

นายสุมิตร เกิดกล่ำ นายอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้เน้นย้ำกับกำนัน-ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ ให้ประพฤติตนเป็นแบบอย่างในฐานะผู้นำหมู่บ้านมาตลอด จึงไม่ทราบว่าเหตุใดนายเศรษฐพงษ์ จึงเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับขบวนการแอบอ้างดังกล่าว จะได้ทำการสอบสวนทางวินัยต่อไป

 

ยิ่งตอนนี้เมื่อรัฐธรรมนูญใหม่ฉบับชั่วคราวมีผลบังคับใช้ ขบวนการนักแสวงโชคทางการเมือง, กลุ่มเผาไทย , กลุ่มติดอาวุธแดง นปช. และขบวนการล้มเจ้า จะต้องเร่งขบวนการ ทำงานเดินหน้าโฆษณาชวนเชื่อหนักและถี่ เพื่อดิสเครดิต หัวหน้า คสช.เพื่อสกัดดาวรุ่ง ที่จะมาเบียดนักกินเมือง ให้หลุดเวทีอำนาจไปในอนาคต

 

จะสั่งเกตุได้ชัดเจนในสื่อสังคมออนไลน์ จะมีแดงแฝงกาย ทำเนียนมาโพส มาสื่อสาร เพื่อยุแยงตะแคงรั่ว ให้แคลงใจในตัว คสช.ในเรื่องต่างๆ ทุกเรื่องที่คิดออก นั่นเพราะต้องการลดความน่าเชื่อถือ และให้คนลืมเรื่องความเลวร้ายจากการก่อการร้าย ฆ่าเด็ก ผู้หญิง การจับคลังอาวุธสงคราม การโกงข้าวเน่า นั่นเอง

 

คนที่หลงกลจะมีอาการดังนี้ หนแรกอาจไม่เชื่อหัวเราะใส่ ,หนสองเริ่มลังเล ,หนสามชักคล้อยตามเริ่มตั้งข้อสงสัยในใจ , หนสี่ อดรนทนไม่ได้ ต้องไปโพสป่วนถาม “ทำไม” ไปทุกที่ , หนที่ห้าคนจะเริ่มเชื่อคำใส่ไฟ , หนที่หกเริ่มหงุดหงิดทุรนทุราย , หนเจ็ด ถูกหลอกใช้ ประเทศล่มสลายต้องมานั่งเสียใจ

 

แต่ช่วงเวลาหนที่ 1-6 ที่ยาวนาน การโฆษณาชวนเชื่อได้แปรคนดีๆ ให้เป็นคนมองโลกแง่ร้ายไปแล้ว..และมีหลายคนกำลังถูกเสี้ยมจนขาดสติไปอยู่ทุกวันนี้

 

แม่ทัพที่เฉลียวฉลาด ยามอยู่ในสมรภูมิ เขาจะไม่มีวันปริปากบอกกลศึกในอนาคตให้ใครรู้เด็ดขาด นั่นเพราะศรัตรูจะหาทางแก้กลศึกได้นั่นเอง..ดังนั้นสิ่งที่ คสช.เขาทำ ทุกอย่างล้วนมีเหตุผล เป้าหมาย วางซินนาริโอ้ หลายชั้นสลับซับซ้อน จึงไม่จำเป็นต้องอธิบายทุกเรื่องให้เสียการใหญ่ในอนาคต

 

รู้เพียงแค่ว่า บิ๊กสีเขียวหัวหน้า คสช.ท่านนี้จงรักภักดีต่อเบื้องสูงเต็มเปี่ยมล้นหัวใจ เครื่องแบบทหารราชองค์รักษ์ที่ประดับเครื่องหมาย ภปร. บนบ่าขวา แค่นี้ก็เกินเพียงพอที่วางใจให้ท่านได้กว่านักแสวงโชคทางการเมือง ท่านทำงานตามแนวทางสำนักคิดทหาร ที่ทำการเก็บข้อมูลปัญหามาถึง 9 ปี และทำวิจัยเรื่องนี้ลับๆ ตลอดมา

 

นั่นก็เพื่อดำเนินกลศึกการทหารนำการเมือง ต่อสู้กับภัยคุกคามความมั่นคงประเทศไทยรูปแบบใหม่นั่นเอง !!

 

@ เสธ น้ำเงิน2

https://www.facebook.com/topsecretthai

10574436_256182087905159_5167411957143613252_n.jpg?oh=8f625449ce51d60c4b23e2a9fb98362a&oe=544D2540

 

10550825_256182141238487_2052902414166470335_n.jpg

 

10524017_256182081238493_4522373494527244470_n.jpg

 

10550937_256182127905155_817497391056334160_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

10392294_256241801232521_5059776045695564150_n.jpg

 

วันที่ 24 ก.ค.57 เผย..ปมสงครามโลกครั้งที่ 1 ศูนย์กลางสู้รบคือยุโรป (ตอน 2 จุดจบ)

 

จากตอนแรกที่เล่าจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง หรือ "มหาสงคราม” ซึ่งแบ่งการสู้รบออกเป็นฝ่ายสัมพันธมิตร ( อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย) และฝ่ายมหาอำนาจกลาง ( เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี และ อิตาลี) ที่ต่างฝ่ายผลัดกันรุก ผลัดกันรับ ผลแพ้ชนะยังไม่เห็นชัด

 

** ความเดิมที่https://www.facebook.com/topsecretthai/posts/256230461233655

 

ค.ศ. 1917 การชุมนุมประท้วงในรัสเซีย ลงเอยด้วยการสละราชบัลลังก์ของซาร์นิโคลัสที่ 2 และแต่งตั้งรัฐบาลชั่วคราวของรัสเซียซึ่งอ่อนแอ และแบ่งปันอำนาจกับกลุ่มสังคม นำไปสู่ความสับสนและความวุ่นวาย ที่แนวหน้า แล ะในรัสเซีย กองทัพรัสเซียยิ่งมีประสิทธิภาพด้อยลงกว่าเดิมมาก

 

สงคราม และ รัฐบาลได้รับความนิยมน้อยลงเรื่อย ๆ ทำให้พรรคบอลเชวิค ที่นำโดย วลาดีมีร์ เลนิน ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก เขาให้สัญญาว่าจะดึงรัสเซียออกจากสงคราม และทำให้รัสเซียกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง จนได้ชัยชนะเลือกตั้ง กองทัพเยอรมัน เคลื่อนผ่านยูเครน รัฐบาลใหม่จึงต้องสงบศึกและการเจรจา ลงนามในสนธิสัญญา

 

ความสำเร็จทางทหารสำคัญของอังกฤษเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว คือ สามารถยึดเนินวีมีได้ โดยกองทัพแคนาดา จากนั้นก็ทำการเสริมกำลังได้อย่างรวดเร็ว และยึดครองสันเขาซึ่งป้องกันที่ราบบูไอ ซึ่งอุดมไปด้วยถ่านหิน

 

เยอรมนีทำสงครามเรือดำน้ำไม่จำกัดขอบเขต เมื่อตระหนักว่าสหรัฐอเมริกาจะเข้าสู่สงครามด้วย โดยพยายามจะจำกัดเส้นทางเดินเรือของฝ่ายสัมพันธมิตร ก่อนที่สหรัฐอเมริกาจะสามารถขนส่งกองทัพขนาดใหญ่ข้ามทะเล แต่เยอรมนีสามารถใช้เรือดำนำพิสัยไกลออกปฏิบัติการได้เพียง 5 ลำ จึงมีผลจำกัด

 

ภัยจากเรือดำน้ำ เริ่มลดลง เมื่อเรือพาณิชย์ของอังกฤษ เริ่มมีขบวนเรือคุ้มกัน ที่มีเรือพิฆาตนำ เริ่มมีการใช้ไฮโดรโฟนและระเบิดน้ำลึก ทำให้เรือพิฆาต อาจโจมตีเรือดำน้ำที่อยู่ใต้น้ำได้ โดยสำเร็จอยู่บ้าง เรือขนส่งทหารนั้นเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าเรือดำน้ำ เรือดำนำเยอรมัน จมเรือฝ่ายสัมพันธมิตรมากกว่า 5,000 ลำ และมีเรือดำน้ำถูกทำลายไป 199 ลำ

 

รัสเซียถอนตัวจากสงครามในปลายปี จากผลของการปฏิวัติ และโรมาเนียถูกบีบให้ลงนามในการสงบศึกกับฝ่ายมหาอำนาจกลาง

 

ทหารออสเตรีย-ฮังการีได้รับกำลังเสริมขนาดใหญ่จากเยอรมนี ฝ่ายมหาอำนาจกลาง เริ่มการรุกเด็ดขาด โดยมีทหารเยอรมันเป็นหัวหอก จนได้รับชัยชนะ กองทัพอิตาลีแตกพ่าย และล่าถอยเป็นระยะทางมากกว่า 100 กิโลเมตร แต่เนื่องจากอิตาลีสูญเสียอย่างหนัก รัฐบาลอิตาลีจึงสั่งให้ชายอายุต่ำกว่า 18 ปีทุกคนเข้าประจำการ

 

หลังจากถูกยึดครอง เซอร์เบียถูกแบ่งออกระหว่างออสเตรีย-ฮังการี และ บัลแกเรีย ต่อมาชาวเซิร์บได้ก่อการกบฎขึ้น แต่ถูกบดขยี้โดยกองทัพร่วม บัลแกเรีย และ ออสเตรียในเวลาต่อมา และกรีซ กลับรวมเป็นหนึ่งประเทศอีกครั้ง เข้าร่วมสงครามอย่างเป็นทางการ โดยอยู่ฝ่ายเดียวกับฝ่ายสัมพันธมิตร กองทัพกรีซทั้งหมดถูกระดมและเริ่มเข้าร่วมในปฏิบัติการทางทหารต่อฝ่ายมหาอำนาจกลาง บนแนวรบมาซิโดเนีย

 

แนวรบนี้ส่วนใหญ่ไม่มีพัฒนาการ กองทัพเซอร์เบีย จึงยึดคืนบางส่วนของมาซิโดเนีย กองทัพเยอรมัน และ ออสเตรีย-ฮังการี ส่วนใหญ่ถอนกำลังออกไปแล้ว กองทัพบัลแกเรียประสบความพ่ายแพ้ แต่อีกไม่กี่วันให้หลัง บัลแกเรีย ก็สามารถเอาชนะกองทัพอังกฤษ และกรีก ได้อย่างเด็ดขาด แต่เพื่อป้องกันการถูกยึดครอง บัลแกเรียได้ลงนามการสงบศึกในเวลาต่อมา ส่งผลให้สมดุลทางยุทธศาสตร์ เอียงไปข้างฝ่ายสัมพันธมิตร

 

การหายไปของแนวรบมาซิโดเนีย จากบัลแกเรียยอมจำนน ทำให้ฝ่ายมหาอำนาจกลางสูญเสียทหารราบ 278 กองพัน และปืนใหญ่ 1,500 กระบอก ซึ่งเทียบเท่ากับกองพลของเยอรมนีราว 25 ถึง 30 กองพล ซึ่งเคยยึดแนวดังกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ เยอรมนีตัดสินใจส่งทหารราบ และ กองพลทหารม้าไปยังแนวหน้า ทดแทน

 

ในเมโสโปเตเมีย จักรวรรดิออตโตมันพ่ายแพ้ อย่างหายนะ กองทัพจักรวรรดิอังกฤษรวบรวมทัพใหม่และสามารถยึดกรุงแบกแดดได้ , ที่ยุทธการกาซ่า ครั้งแรกและครั้งที่สอง กองทัพเยอรมัน และออตโตมันหยุดการรุกคืบ อังกฤษ แต่ต่อมาที่ไซนาย และปาเลสไตน์ การรบดำเนินต่อ อียิปต์ ชนะกองทัพออตโต อีก ต่อมากรุงเยรูซาเลม ถูกยึดได้ หลังกองทัพออตโตพ่ายแพ้

 

ค.ศ. 1918 รัสเซียออกจากสงคราม แต่ต้องยอมยกดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาล รวมไปถึงฟินแลนด์ รัฐบอลติก บางส่วนของโปแลนด์และยูเครนแก่ฝ่ายมหาอำนาจกลาง แต่ดินแดนที่เยอรมนี ได้รับจากรัสเซีย ทำให้ต้องแบ่งกำลังพลไปยึดครอง

 

ไตรภาคีจึงยกเลิกไป ฝ่ายสัมพันธมิตรนำกำลังขนาดเล็กรุกรานรัสเซีย ยกพลขึ้นบกที่อาร์ชอันเกลและวลาดิวอสตอก เพื่อหยุดมิให้เยอรมนีใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของรัสเซีย และเพื่อให้การสนับสนุน "รัสเซียขาว" (ตรงข้ามกับ "รัสเซียแดง") ในสงครามกลางเมืองรัสเซีย

 

ออสเตรีย-ฮังการี พ่ายแพ้ราบคาบ และยอมจำนน เมื่อกองทัพรัสเซียละทิ้งดินแดนดังกล่าว กองทัพโรมาเนีย สถาปนาการควบคุมเหนือเบสซาราเบีย ต่อมาโรมาเนียผนวกเบสซาราเบีย เข้าเป็นดินแดนของตน โดยอาศัยอำนาจอย่างเป็นทางการของสภานิติบัญญัติท้องถิ่น ในการรวมเข้ากับโรมาเนีย

 

โรมาเนีย ยุติสงครามกับฝ่ายมหาอำนาจกลาง อย่างเป็นทางการโดยการลงนามในสนธิสัญญา และยกดินแดนบางส่วนให้แก่ ออสเตรีย-ฮังการี และยกสัมปทานน้ำมันแก่เยอรมนี ส่วนฝ่ายมหาอำนาจกลาง จะรับรองเอกราชของโรมาเนีย เหนือเบสซาราเบีย แต่โรมาเนียเข้าสู่สงครามอีกครั้ง ประเมินว่าชาวโรมาเนียทั้งทหารและพลเรือนที่เสียชีวิตระหว่างสงครามถึง 748,000 คน

 

ทหารและแรงงานอินเดียกว่า 1.3 ล้านคน ถูกอังกฤษที่เป็นผู้ปกครอง ขอให้ส่งไปปฏิบัติในยุโรป แอฟริกา และตะวันออกกลาง ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ในแนวรบด้านตะวันตก 140,000 นาย และอีกเกือบ 700,000 นายในตะวันออกกลาง รัฐบาลอินเดีย ส่งเสบียงอาหาร เงินและเครื่องกระสุนให้เป็นปริมาณมาก ทหารอินเดียเสียชีวิต 47,476 นาย และได้รับบาดเจ็บ 65,126 นายระหว่างสงคราม

 

แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะเข้าสู่สงคราม โดยอยู่ข้างเดียวกับฝ่ายพันธมิตร แต่ไม่เคยเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการของฝ่ายพันธมิตรเลย โดยเรียกตัวเองว่าเป็น "ประเทศผู้ให้ความช่วยเหลือ" สหรัฐอเมริกามีกองทัพขนาดเล็ก รัฐสภาสหรัฐให้สถานะพลเมืองแก่ชาวเปอร์โตริโก เมื่อพวกเขาถูกเกณฑ์ให้เข้าร่วมสงครามโลกครั้งนี้ ต่อมาก็มีทหารเกณฑ์มากถึง 2.8 ล้านนาย และมีการส่งทหารใหม่กว่า 10,000 นายไปยังฝรั่งเศสทุกวัน

 

กองทัพเรือสหรัฐอเมริกา ได้ส่งกองเรือรบไปเข้าร่วมกับกองเรือหลวงอังกฤษ, เรือพิฆาตไปยังควีนส์ทาวน์, ไอร์แลนด์ และเรือดำน้ำไปช่วยคุ้มกันขบวนเรือ นาวิกโยธินหลายกรมของสหรัฐอเมริกา ถูกส่งไปยังฝรั่งเศส อังกฤษและฝรั่งเศส ต่างต้องการให้หน่วยทหารอเมริกันเข้าเสริมกำลังบนแนวรบ ที่มีทหารของตนอยู่ก่อนแล้ว

 

เยอรมัน รุกเพื่อแยกกองทัพอังกฤษ และ ฝรั่งเศส ออกจากกันด้วยการหลอกหลวงและการรุกหลายครั้ง ผู้นำเยอรมนีหวังว่าการโจมตีอย่างเด็ดขาด ก่อนที่กองกำลังสหรัฐขนาดใหญ่จะมาถึง โดยโจมตีกองทัพอังกฤษถอยไป

 

ความสูญเสียของเยอรมนี อยู่ที่ 270,000 คน ประชาชนในประเทศกำลังแตกออกเป็นเสี่ยง การรณรงค์ต่อต้านสงครามเกิดบ่อยครั้งขึ้น และขวัญกำลังใจในกองทัพถดถอย ผลผลิตทางอุตสาหกรรมทรุดลงอย่างหนัก

 

กองทัพอังกฤษ อยู่ทางปีกซ้าย กองทัพฝรั่งเศส อยู่ทางปีกขวา และกองทัพ ออสเตรเลีย และแคนาดา เป็นหัวหอกโจมตีตรงกลาง ยุทธการครั้งนั้นมีรถถัง กว่า 414 คัน และทหารกว่า 120,000 นายเข้าร่วม ฝ่ายสัมพันธมิตรรุกเข้าไป 12 กิโลเมตร ในดินแดนที่เยอรมนีถือครอง

 

เวลาเกือบสี่สัปดาห์ มีเชลยศึกเยอรมันถูกจับกุมได้เกิน 100,000 นาย อังกฤษจับได้ 75,000 นาย และที่เหลือ โดยฝรั่งเศส กองบัญชาการทหารสูงสุดเยอรมนี ตระหนักว่าพ่ายสงครามแล้ว นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีต่างประเทศ ตกลงว่าสงครามไม่อาจยุติลงได้ในทางทหาร จึงเสนอการเจรจาสันติภาพทันที โดยยื่นข้อเสนอสันติภาพต่อเบลเยียม

 

ฝ่ายเยอรมัน ยังคงสู้รบ และเสียท่าแก่ฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงสัปดาห์ เดียวกองทัพอังกฤษ เพียงชาติเดียวก็สามารถจับเชลยศึกเยอรมันได้ถึง 30,441 นาย ข่าวความพ่ายแพ้ทางทหารที่เกิดขึ้นแพร่สะพัดไปทั่วกองทัพเยอรมัน การขัดขืนคำสั่งลุกลามมาถึงหูกะลาสีเรือ ทำให้หลายคนปฏิเสธจะเข้าร่วมการรุกทางทะเลเพราะกลัวตาย เยอรมันสูญเสียถึง 6 ล้านชีวิต

 

เยอรมนีได้หันไปหาสันติภาพ เจ้าชาย มีหน้าที่ในรัฐบาลใหม่เป็นนายกรัฐมนตรี เจรจากับฝ่ายสัมพันธมิตร แต่กลับเรียกร้องให้สละราชสมบัติ และประกาศให้เยอรมนีเป็นสาธารณรัฐ จักรวรรดิเยอรมันล่มสลายลง และกลายเป็น สาธารณรัฐไวมาร์ เกิดขึ้นแทน

 

การล่มสลายของฝ่ายมหาอำนาจกลาง อย่างรวดเร็ว บัลแกเรีย ลงนามการสงบศึก จักรวรรดิออตโตมันยอมจำนน มีการประกาศเอกราชขึ้นในกรุงบูดาเปสต์, ปราก และซาเกร็บ ทางการออสเตรีย-ฮังการี ขอสงบศึกกับอิตาลี ส่งธงพักรบ และลงนามการสงบศึกต่อมา

 

ช่วงก่อนยุติสงคราม กองทัพของประเทศใหญ่ ๆ ซึ่งมีกำลังพลหลายล้านนาย ได้ถูกปรับปรุงให้ทันสมัยและมีการใช้โทรศัพท์ การสื่อสารไร้สาย รถหุ้มเกราะ รถถัง และอากาศยาน ขบวนทหารราบมีการจัดใหม่ กองร้อยที่มีทหาร 100 นาย จึงไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีอีกต่อไป เปลี่ยนมาใช้หมู่ที่มีทหารประมาณ 10 นาย ภายใต้บัญชาของนายทหารประทวนแทน

 

ทหารเยอรมันมากถึง 1 ล้านนายกำลังเจ็บป่วยจากการระบาดของไข้หวัดใหญ่ และไม่พร้อมรบ แต่เป็นเพราะสาธารณชนขาดการสนองต่อความรักชาติ และการก่อวินาศกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกยิว สังคมนิยม และบอลเชวิค

 

เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1919 มีการลงนามสนธิสัญญาแวร์ซาย สงบศึก กับ เยอรมนี แต่ไม่มีกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรใด ข้ามพรมแดนเยอรมนีได้เลย แนวรบด้านตะวันตกยังอยู่ห่างจากกรุงเบอร์ลินเกือบ 1,400 กิโลเมตร และกองทัพเยอรมัน ล่าถอยจากสนามรบอย่างเป็นระเบียบดี

 

ค.ศ. 1911 ในสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อ 103 ปีที่แล้ว เพิ่งมีการใช้อากาศยานปีกตรึง ในทางทหารครั้งแรกโดยอิตาลี ในลิเบีย ระหว่างสงครามอิตาลี-ตุรกี เพื่อการลาดตระเวน ตามมาด้วยการทิ้งระเบิดมือ และการถ่ายภาพทางอากาศ จนต่อมาใช้เพื่อการลาดตระเวนและโจมตีภาคพื้นดิน และต่อมาเพื่อใช้ยิงเครื่องบินฝ่ายข้าศึก จึงได้มีการพัฒนาปืนต่อสู้อากาศยานและเครื่องบินขับไล่ขึ้น

 

เยอรมนีและอังกฤษ ผลิตเครื่องบินทิ้งระเบิดจุดยุทธศาสตร์ เยอรมนีดำเนินการตีโฉบฉวยทางอากาศต่ออังกฤษระหว่าง ค.ศ. 1915 และ 1916 ด้วยเรือบิน โดยหวังว่าจะบั่นทอนขวัญกำลังใจของอังกฤษและส่งผลให้อากาศยานถูกเบี่ยงเบนไปจากแนวหน้า เมื่อสงครามใกล้ยุติ เรือบรรทุกเครื่องบินจึงได้ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรก

 

บอลลูนสังเกตการณ์ที่มีคนขับ ลอยสูงเหนือสนามเพลาะ ถูกใช้เป็นแท่นตรวจตราอยู่กับที่ คอยรายงานการเคลื่อนไหวของข้าศึกและชี้เป้าให้ปืนใหญ่ คุณค่าของเรือเหาะและบอลลูน จึงได้มีส่วนต่อการพัฒนาการสู้รบแบบอากาศสู่อากาศระหว่างอากาศยานทุกประเภท และการคุมเชิงกันในสนามเพลาะ เนื่องจากการเคลื่อนย้ายกำลังขนาดใหญ่ไม่รอดสายตาถูกสังเกตพบ

 

สงครามโลกครั้งที่ 1 ถ้าวิเคราะห์จุดพ่ายแพ้ของฝ่ายมหาอำนาจกลาง (เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี และ อิตาลี) ที่เห็นได้ชัดเจนคือ เกิดปัญหาการเมืองภายในประเทศนั้น ทำให้เน่าจากในจึงอ่อนแอ และแพ้หน้าหนาวทหารเยอรมันมากถึง 1 ล้านนาย เจ็บป่วยจากการระบาดของไข้หวัดใหญ่ และไม่พร้อมรบเพราะขวัญกำลังใจไม่ดี ความเป็นเอกภาพสู้ทาง ประเทศพันธมิตร (อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย) ไม่ได้ แม้ว่าช่วงแรกจะเพลี่ยงพล้ำ แต่ก็มาตีตื้นได้ภายหลัง

 

จุดแถวฉนวนกาซ่า และประเทศอิสราเอล ในปัจจุบัน เป็นสมรภูมิรบชี้ให้เยอรมันพ่ายแพ้ ในสมรภูมิทะเลทราย อาณาจักรออตโตมัน ที่มีอาณาเขตที่ครอบคลุมถึง 3 ทวีป ได้แก่ เอเชีย แอฟริกา และยุโรป ซึ่งขยายไปไกลสุดถึงช่องแคบยิบรอลตาร์ทางตะวันตก นครเวียนนาทางทิศเหนือ ทะเลดำทางทิศตะวันออก และอียิปต์ทางทิศใต้ มีศูนย์กลางอยู่ที่ตุรกีในปัจุบัน

 

มหาสงคราม เกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เมื่อปี พ.ศ. 2457 ในตอนแรกสยามรักษาความเป็นกลางอย่างมั่นคง แต่เนื่องจาก ทรงให้ความสนใจและติดตามข่าวการสงครามอย่างใกล้ชิด พระองค์ทรงเล็งเห็นการณ์ไกลในการให้ประเทศไทยประกาศเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร เพราะถ้าฝ่ายสัมพันธมิตรได้รับชัยชนะจะมีผลดีในการที่ประเทศไทยจะเรียกร้องสิทธิต่างๆ เช่น ขอแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมที่ทำไว้กับนานาประเทศ

 

จึงได้ประกาศสงครามกับฝ่ายมหาอำนาจกลาง เยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี ในวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 โดยประกาศกระแสพระบรมราชโองการประณามว่า “เยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี เป็นฝ่ายละเมิดเมตตาธรรมของมวลมนุษย์ มิได้มีความนับถือต่อประเทศเล็ก ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นผู้ก่อกวนความสุขของโลก”

 

จากนั้นได้ส่งทหารอาสาสมัครไปช่วยรบ 1,284 คน รวมทั้งนายและพลทหาร สมทบกับนักเรียนไทยในนานาประเทศอีกประมาณ 400 คน รวมทหารอาสาสมัครทั้งหมดประมาณ 1,600 คน ทหารอาสาออกเดินทางเมื่อ พ.ศ. 2461 ถึงประเทศฝรั่งเศส อยู่ใต้บัญชาการของนายพล เปแตง ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ฝ่ายสัมพันธมิตร ได้ไปปฏิบัติการในสมรภูมิประเทศฝรั่งเศส และ เบลเยี่ยม

 

ซึ่งเหตุการณ์ก็เป็นดังที่พระองค์ทรงคาดไว้ คือ ฝ่ายสัมพันธมิตรได้รับชัยชนะ ภายหลังชนะสงคราม สยามได้ขอแก้ไขสนธิสัญญาที่ทำไว้เดิมกับประเทศต่าง ๆ จำนวนมาก เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น อเมริกา เยอรมัน ฯลฯ โดยแก้ไขจากสนธิสัญญาเดิมที่สยามเป็นฝ่ายเสียเปรียบให้ได้ประโยชน์ดีขึ้น นอกจากนี้ สยามยังได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งองค์การสันนิบาตชาติอีกด้วย ผลที่ไทยได้รับจากการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนั้น มีความสำคัญดังนี้

 

- เผยแพร่ชื่อเสียงและเกียรติคุณของประเทศ

- ได้รับเกียรติเข้าร่วมทำสนธิสัญญาแวร์ซาย

- เมื่อสงครามสงบได้รับเชิญเข้าเป็นสมาชิกประเภทริเริ่มขององค์การสันนิบาตชาติ เป็นหลักประกันเอกราชและความปลอดภัยของประเทศ

- ได้แก้ไขสัญญาที่ทำไว้กับต่างประเทศตั้งแต่ รัชกาลที่ 4 เป็นผลสำเร็จ ยกเลิกสัญญาต่าง ๆ ที่ไทยทำกับเยอรมัน และ ออสเตรีย-ฮังการี และทำสัญญากับประเทศต่าง ๆ ใหม่ให้เป็นประโยชน์กับฝ่ายไทยมากขึ้น

- ได้ยึดทรัพย์จากเชลย

- เปลี่ยนธงชาติจากธงช้างเผือกมาเป็นธงไตรรงค์ เพื่อนำไปใช้ในกองทัพไทยที่เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

- สร้างอนุสาวรีย์เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่หนึ่งคือ อนุสาวรีย์ทหารอาสา วงเวียน 22 กรกฎา สมาคมสหายสงคราม เป็นต้น

- มีการจัดทหารแบบยุโรป และเริ่มจัดตั้งกรมอากาศยานขึ้นเป็นครั้งแรก เดิมอยู่ในสังกัด กองทัพบก และต่อมาได้วิวัฒนาการมาจนกลายเป็น กองทัพอากาศ ในปัจจุบัน

 

แม้ในยามศึกมหาสงคราม ที่เรียกว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย ที่ช่วงนั้นมีการปกครองโดยระบบสมบูรณาญาสิทธิราช ได้เข้ามามีบทบาทในการนำพาชนเผ่าไทย ให้มีชัยชนะร่วมกับชนชาติอื่น และยังประโยชน์เอนกอนันต์ กับชาติมาจนถึงปัจจุบัน

 

หลังเยอรมันแพ้สงครามครั้งที่ 1 ส่งผลให้เยอรมันไม่มีอิทธิพลเหนือประเทศอาหรับมาจนถึงปัจจุบัน แต่กลับเป็นฝ่ายอังกฤษ และอเมริกาแทน ที่ครองอิทธิพลต่อเนื่องมาอีก 100 ปี ตอนนี้เยอรมัน กำลังแปรพักตร์จากอเมริกา และ EU ติดต่อกับรัสเซีย เพื่อเข้าร่วมกับชาติฝ่ายตรงข้ามอเมริกา ที่เรียกว่า BRICS สถานการณ์จุดชนวนสงคราม มันได้วนกลับมาคล้ายเดิมอีกครั้ง

 

หากสงครามโลกครั้งที่ 3 จะเกิดขึ้น ก็จะไม่นานเกินรอ และจุดตรงเยอรมันนี้ จะเป็นจุดเริ่มแรกๆ ของมหาสงครามรอบใหม่ ที่จะมีอาหรับ และรัสเซียเข้ามาผสมโรงเหมือนเคย เพราะยุโรปต้องพึ่งพิงพลังงานจากรัสเซียถึง 1 ใน 3 ของความต้องการ หากเพียงปูตินสั่งปิดวาวล์แก๊ส ยามหน้าหนาวคนยุโรปจะหนาวตายจำนวนมาก เมื่อนั้นการปล่อยอาวุธชีวภาพสังหารคนทั้งยุโรปซ้ำ จะง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ

 

สงครามโลกครั้งที่ 3 ชัยชนะอาจไม่ใช่ระเบิดนิวเคลียร์อย่างที่หลายคนคิด แต่มันคืออาวุธชีวภาพ ที่เยอรมัน และรัสเซีย พร้อมจะกระจายเชื้อโรคร้ายไปทั่วยุโรปในพริบตา...หรือใครว่าเชื้ออีโบล่าเกิดเองโดยธรรมชาติ ?? ระบาดหนักทางทวีปแอฟริกาฝั่งตะวันตก มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 660 คน เริ่มระบาดในประเทศกินี แล้วแพร่ระบาดไประเทศไลบีเรีย และประเทศเซียราลีโอน แม้แต่หมอชาวไลบีเรีย ก็ติดเชื้อโรคนี้และเสียชีวิต เชื้อนี้เป็นกลุ่มโรคไข้แล้วมีเลือดออกชนิดหนึ่ง มีอันตรายถึงชีวิต ยังไม่มีวัคซีนใช้ป้องกันและรักษา..โลกนี้เรื่องบังเอิญไม่มีอยู่จริง มันแค่การใช้คนจริงๆ ทดลองอาวุธชีวภาพเท่านั้น !!

 

และนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น ประจำมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน เมดิสัน ของสหรัฐ ได้รับงบวิจัยราว 360 ล้านบาท ของคณะวิจัยด้านไวรัสหวัดของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ได้ทำการปรับแต่งไข้หวัดสายพันธุ์ H1N1 ปี 2009 ให้กลายเป็นไข้หวัดสายพันธ์มรณะที่ร้ายแรงกว่าเดิมหลายเท่า สามารถข้ามกระโดดข้ามภูมิคุ้มกันโรคของมนุษย์ได้ ส่งผลให้คนเราไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคพันธุ์นี้ได้เลย โดยสามารถฆ่ามนุษย์ได้มากกว่า 5 แสนคน

 

การตัดสินใจวางตัวของไทยยามสงครามโลก จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความอยู่รอดของประชาชนไทยทั้งประเทศ อย่าไรเสียแม้มีสงครามโลกครั้งที่ 3 จุดชี้ขาดการแพ้ชนะก็ต้องอยู่ที่ยุโรป คงย่อยยับไม่มีชิ้นดี ไทยไม่ต้องผลีผลาม เพียงรอดูจังหวะเท่านั้น

 

การตัดสินใจยามสงครามแบบนี้ ถ้าประเทศไทยมีนักการเมืองพลเรือนเป็นนายกฯ ที่ใช้อำนาจฝ่ายบริหาร ไม่รู้เรื่องการรบมาเลย และฝั่งไฝ่ตะวันตกที่กำลังแตกเป็นเสี่ยงและอ่อนแอ อาจทำให้ไทยเลือกข้างพลาด และตกเป็นประเทศผู้แพ้สงครามได้

 

ในยามที่จะเกิดสงครามโลกครั้งใหม่แบบนี้ ผู้นำประเทศยามต้องนำพาประชาชน 67 ล้านรอดชีวิตไปให้ได้..ต้องเป็นทหาร..ฟันธง !!

 

@ เสธ น้ำเงิน3

https://www.facebook.com/topsecretthai

10298816_256241907899177_2990906075638882285_n.jpg?oh=9a82734580e87ebeb93fc4d399ec669a&oe=544709ED&__gda__=1414546788_37f868b95efc45a75967de917569c332

 

10488022_256241884565846_4434083653612322224_n.jpg

996152_256241881232513_3579011454289674000_n.jpg

 

10516688_256241817899186_5289418861311468840_n.jpg?oh=864ac83cc186b22444c0bb50bd16c9c3&oe=543E2C0F&__gda__=1413769427_e617bc3d020aab5c3cd009f3fc810c5c

 

10530702_256241824565852_2413149148478564893_n.jpg?oh=09750ce9e65e02552a3f27cbfb403062&oe=5446EEAC

 

10557404_256241841232517_2420748842380924612_n.jpg

 

10552412_256241861232515_3957460805356083822_n.jpg

 

10468201_256241901232511_1244853777901844692_n.jpg?oh=18fe37f22229950b69100fda19d79115&oe=544EDFE3&__gda__=1415094409_10e82b4baf6b83e4577d3043562aa6c3

10401347_256241944565840_6530364174850570261_n.jpg

 

10359149_256241957899172_7645211710745380183_n.jpg?oh=d9a2de343a8eb60c1c7b849fd55bc506&oe=54392868

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...