ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ginger

ใบไม้ผลิบนดวงจันทร์

โพสต์แนะนำ

พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo shared หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ : Buddhadasa Indapanno Archives's photo.

พุทธทาสภิกขุ

 

เนื่องจาก web server ยังทำงานไม่สมบูรณ์ จึงของดบริการ podcast

 

ของให้ download ไฟล์เสียงได้จาก

https://dl.dropboxusercontent.com/u/46401199/958.mp3

 

 

 

66719_10151742193240535_973259844_n.png

 

ขอเชิญฟังธรรมประจำวันอาทิตย์

หัวข้อ "ธรรมะสำหรับคนเจ็บไข้"

รำลึก ๒๐ ปีละสังขารท่านพุทธทาส

วันที่ ๘ ก.ค. ๒๕๓๖

 

ความโดยย่อ

 

ความเจ็บไข้นี้พึงเห็นว่าเป็นของธรรมดา ที่จะต้องมีมาแก่สังขารทั้งหลาย

เพราะสังขารทั้งหลายจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไป ทั้งทางขึ้นและทางลง

ความเจ็บไข้นี้มีมาสำหรับจะตักเตือน ไม่ได้มาสำหรับให้เป็นทุกข์หรือเสียใจ

จะเป็นทุกข์หรือเสียใจก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะสังขารต้องเป็นอย่างนี้เอง

 

ความเจ็บไข้มาเพื่อตักเตือน หรือสั่งสอนให้ฉลาด

มาบอกให้เตรียมเนื้อเตรียมตัวสำหรับการดับไม่เหลือแห่งความทุกข์ความดับ

ไม่เหลือเป็นความดับของสังขาร

อย่าให้มีเชื้อเหลือมาเกิดอีกต่อไป

ถึงแม้ว่าร่างกายยังไม่ทันจะแตกดับ จิตใจมันก็สมัครจะแตกดับ

เรียกตรง ๆ ว่า เราสมัครที่จะไม่มี "ตัวกู" กันเสียแต่เดี๋ยวนี้

 

เราจะมีการปลงใจลงไปในทุกสิ่งทุกอย่างว่า หมดเรื่องกันทีสำหรับสังขารนี้ สิ้นเรื่องกันที

ไม่มีความคิดว่าตัวกู ของกู เหลืออยู่อีกต่อไป ถ้าขืนเวียนว่านอยู่ในวัฏสงสารแล้ว

ก็จะต้องเป็นอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด

 

สังขารมีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ถ้าเราไปยึดถือเอามาว่าสังขารเป็น "ของเรา"

ความเจ็บไข้มันก็กลายเป็นของเราไปด้วย

เราก็รู้สึกเป็นทุกข์ เสียใจ น้อยใจ ถ้ามาตั้งใจกันเสียใหม่ให้เด็ดขาดลงไปด้วยสติปัญญา

หรือด้วยกำลังจิตอันเข้มแข็งว่า

 

เรื่องของสังขารก็เป็นเรื่องของสังขารเถิดอย่ามาเป็นเรื่องของเราเลย

 

เรื่องของสังขารคือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ อนัตตา

แต่เรื่องที่เราปรารถนาเป็นเรื่องหยุด ดับ สงบ เย็น พระนิพพาน

จิตจะต้องมองให้เห็นเช่นนี้เสียก่อน จึงจะไม่ถือเอาเรื่องของสังขารมาเป็นเรื่องของเรา

ให้สังขารเจ็บไข้หรือสลายไปตามธรรมดาเถิด

จิตจะไม่ถือความเจ็บไข้ ความตาย มาเป็นของเรา

 

พุทธทาสภิกขุ

 

เนื่องจาก web server ยังทำงานไม่สมบูรณ์ จึงของดบริการ podcast

 

ฟังหรือ download ได้จาก

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

5362_406754149430746_1274619686_n.jpg

ฝาก ตู้เย็น เด็กสยาม ลูกแก้ว wann Lavender T_G fairy ดอกเหมย เพื่อนๆ

 

ขอบคุณสำหรับของฝากค่ะคุณginger

แจ่มๆทั้งนั้นเลย ชอบๆค่ะ

:v@

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รายงานพิเศษ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณสำหรับของฝากค่ะคุณginger

แจ่มๆทั้งนั้นเลย ชอบๆค่ะ

:v@

l; สวัสดี wann ชอบๆ ดีอ่ะ

เราโพสเอง มะรู้เพื่อนจะชอบมะ wannชอบแนวไหนเนี่ยยย

เพื่อนสบายใจก็พอใจแว้วววว

Ursula beauty

1010331_10151730124369653_1619848949_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบพระคุณค่ะคุณgingerสำหรับอาหารตา อาหารหู. อาหารใจ ขอให้พบแต่สิ่งดีๆๆสุขภาพแข็งแรงเฮงๆๆรวยๆๆนะคะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

l; สวัสดี wann ชอบๆ ดีอ่ะ

เราโพสเอง มะรู้เพื่อนจะชอบมะ wannชอบแนวไหนเนี่ยยย

เพื่อนสบายใจก็พอใจแว้วววว

Ursula beauty

1010331_10151730124369653_1619848949_n.jpg

โห รูปสวยมากครับ :)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ขอบพระคุณค่ะคุณgingerสำหรับอาหารตา อาหารหู. อาหารใจ ขอให้พบแต่สิ่งดีๆๆสุขภาพแข็งแรงเฮงๆๆรวยๆๆนะคะ

ดีค่ะ หงส์ เช่นกันค่ะ

ขอให้พบแต่สิ่งดีๆๆสุขภาพแข็งแรงเฮงๆๆรวยๆๆนะคะ เพื่อนๆlittle_aquata_by_moonchildinthesky-d4o8kd9.jpg

FUN TIME....

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

โห รูปสวยมากครับ :)

0_______O photo-thumb-7212.jpg

 

 

นี่ก็สวยคับชอบ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
by KrungthepTurakij ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ : Buddhadasa Indapanno Archives

546785_10151742937045535_1105747870_n.jpg

ข้อแตกต่างระหว่างบุญและกุศล

 

เมื่อใดมีการพิจารณากันให้ละเอียดถี่ถ้วน

เมื่อนั้นจะพบความแตกต่างระหว่าง สิ่งที่เรียกกันว่า "บุญ"

กับ สิ่งที่เรียก(กัน)ว่า "กุศล" บ้างไม่มากก็น้อย แล้วแต่ความสามารถ

ในการพินิจพิจารณา แต่ว่าโดยเนื้อแท้แล้ว บุญ กับ กุศล ควรจะเป็นคนละอย่าง

หรือ เรียกได้ว่า ตรงกันข้าม ตามความหมายของรูปศัพท์ แห่งคำสองคำนี้ทีเดียว

 

283422_623065197713552_2107363015_n.jpg

 

คำว่า บุญ มีความหมายว่า ทำให้ฟู หรือ พองขึ้น บวมขึ้น นูนขึ้น

ส่วนคำว่า กุศล นั้น แปลว่า แผ้วถาง ให้ราบเตียนไป โดยความหมายเช่นนี้

เราย่อมเห็นได้ว่า เป็นของคนละอย่างหรือเดินคนละทาง บุญเป็นสิ่งที่ทำให้ฟูใจ พอใจ ชอบใจ เช่น

ทำบุญให้ทานหรือรักษาศีลก็ตาม แล้วก็ฟูใจ อิ่มเอิบ หรือแม้ที่สุดแต่รู้สึกว่าตัวได้ทำสิ่งที่ทำยาก

 

ในกรณีที่ทำบุญเอาหน้า เอาเกียรติ อย่างนี้ก็ได้ชื่อว่าได้บุญเหมือนกัน

แม้จะเป็นบุญชนิดที่ไม่สู้จะแพ้ หรือแม้ในกรณีที่ทำบุญด้วยความบริสุทธิ์ใจ

เพื่อเอาบุญกันจริง ๆ ก็ยังอดฟูใจไม่ได้ว่าตนจะได้เกิดในสุคติโลกสวรรค์

มีความปรารถนาอย่างนั้นอย่างนี้ ในภพนั้น ภพนี้ อันเป็น ภวตัณหา

นำไปสู่การเกิดในภพใหม่ เพื่อเป็น อย่างนั้น อย่างนี้ ตามแต่ตนจะปรารถนา

ไม่ออกไปจาก การเวียนว่ายตายเกิด ในวัฎสงสารได้ แม้จะไปเกิดในโลกที่เป็นสุคติ อย่างไรก็ตาม

 

ฉะนั้น ความหมายของคำว่าบุญ จึงหมายถึง

สิ่งที่ทำให้ฟูใจและเวียนไปเพื่อความเกิดอีก ไม่มีวันที่สิ้นสุดลงได้

 

ส่วนกุศลนั้น เป็นสิ่งที่ ทำหน้าที่ แผ้วถาง สิ่งกีดขวาง ผูกรัด

หรือ รกรุงรัง ไม่ข้องแวะกับความฟูใจ หรือ พอใจ เช่นนั้น

แต่มีความมุ่งหมายจะกำจัดเสียซึ่ง สิ่งต่างๆ

อันเป็นเหตุ ให้พัวพันอยู่ใน กิเลสตัณหา อันเป็น เครื่องนำให้เกิดแล้วเกิดอีก

และมีจุดมุ่งหมายกวาดล้างสิ่งเหล่านั้นออกไปจากตัว

 

ในเมื่อบุญต้องการ โอบรัดเข้ามาหาตัว ให้มีเป็นของของตัวมากขึ้น

ในเมื่อฝ่ายที่ถือข้างบุญยึดถือ อะไรเอาไว้มากๆ และพอใจ ดีใจนั้น

ฝ่ายที่ถือข้างกุศลก็เห็นว่าการทำอย่างนั้น

เป็นความโง่เขลา ขนาดเข้าไปกอดรัดงูเห่าทีเดียว

ฝ่ายข้างกุศล หรือ ที่เรียกว่า ฉลาด นั้น ต้องการจะปล่อยวาง

หรือ ผ่านพ้นไป ทั้งช่วยผู้อื่นให้ปล่อยวาง หรือผ่านพ้นไปด้วยกัน

ฝ่ายข้างกุศล จึงถือว่า ฝ่ายข้างบุญนั้นยังเป็นความมืดบอดอยู่

 

แต่ว่า บุญ กับ กุศล สองอย่างนี้ ทั้งที่มี เจตนารมณ์ แตกต่างกัน

ก็ยังมี การกระทำ ทางภายนอกอย่างเดียวกัน ซึ่งทำให้เราหลงใหลในคำสองนี้อย่างฟั่นเฝือ

เพื่อจะให้เข้าใจกันง่าย ๆ เราต้องพิจารณา ดูที่ตัวอย่างต่าง ๆ ที่เรา กระทำกัน อยู่จริง ๆ คือ

 

972214_623059547714117_1549418443_n.jpg

 

 

(1) ในการให้ทาน ถ้าให้เพราะจะเอาหน้าเอาเกียรติ หรือ เอาของตอบแทนเป็นกำไร

หรือ เพื่อผูกมิตร หาพวกพ้อง หรือ แม้ที่สุดแต่เพื่อให้บังเกิดในสวรรค์

อย่างนี้ เรียกว่าให้ทานเอาบุญหรือได้บุญ

 

แต่ถ้าให้ทานอย่างเดียวกันนั้นเอง แต่ต้องการ เพื่อขูดความขี้เหนียวของตัว

ขูดความเห็นแก่ตัว หรือให้เพื่อค้ำจุนศาสนาเอาไว้

เพราะเห็นว่าศาสนาเป็น เครื่องขูดทุกข์ของโลก หรือ ให้เพราะเมตตาล้วน ๆ

โดยบริสุทธิ์ใจ หรือ(ด้วย)อำนาจเหตุผล อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งปัญญาเป็นผู้ชี้ขาดว่า

ให้ไปเสียมีประโยชน์มากกว่าเอาไว้ อย่างนี้เรียกว่าให้ทานเอากุศลหรือได้กุศล

ซึ่งมันแตกต่าง ๆ ไปคนละทิศละทางกับการให้ทานเอาบุญ

 

เราจะเห็นได้กันสืบไปอีกว่า การให้ทานเอาบุญนั่นเอง ที่ทำให้เกิดการฟุ่มเฟือยขึ้นในสังคม

ฝ่ายผู้รับทาน จนกลายเป็นผลร้ายขึ้น ในวงพระศาสนาเอง หรือในวงสังคมรูปอื่น ๆ เช่น

มีคนขอทานในประเทศมากเกินไป เป็นต้น

การให้ทาน(ที่)ถูกนักคิดพากันวิพากษ์วิจารณ์ ในแง่เสื่อมเสีย ก็ได้แก่

การให้ทานเอาบุญนี้เอง ส่วนการให้ทานเอากุศลนั้นอย่าวสูง พ้นการที่ถูกเหยียดอย่างนี้

เพราะว่ามีปัญญาหรือเหตุผลเข้าควบคุม แม้ว่าอยากจะให้ทาน

เพื่อขูดเกลา ความขี้เหนียว ในจิตใจ ของเขา ก็ยังมีปัญญา รู้จักเหตุผลว่า

ควรให้ไปในรูปไหน มิใช่เป็นการให้ไปในรูป “ละโมบบุญ”

หรือ “เมาบุญ” เพราะว่ากุศล ไม่ได้เป็นสิ่งที่หวานเหมือนกับบุญ

จึงไม่มีใครเมา และไม่ทำให้เกิดการเหลือเฟือ ผิดความสมดุลขึ้นในวงสังคมได้เลย

นี่เราพอจะเห็นได้ว่า ให้ทานเอาบุญ กับ ให้ทานเอากุศลนั่น ผิดกันเป็นคนละอันอย่างไร

 

1001813_623058307714241_540862133_n.jpg

 

(2) ในการรักษาศีล ก็เป็นทำนองเดียวกันอีก รักษาศีลเอาบุญ

คือรักษาไปทั้งที่ไม่รู้จัก ความมุ่งหมายของศีล

เป็นแต่ยึดถือในรูปร่างของการรักษาศีล แล้วรักษาเพื่ออวดเพื่อนฝูง

หรือ เพื่อแลกเอาสวรรค์ ตามที่นักพรรณนาอานิสงส์ เขาพรรณนากันไว้หรือ

ทำอย่างละเมอไปตามความนิยมของคนที่มีอายุล่วงมาถึงวัยนั้นวัยนี้ เป็นต้น

ยิ่งเคร่งเท่าใด ยิ่งส่อความเห็นแก่ตัว และความยกตัว มากขึ้นเท่านั้น

ยิ่งมีความยุ่งยากในครอบครัว หรือวงสังคม เกิดขึ้นใหม่ ๆ แปลก ๆ

เพราะ ความเคร่งครัด ในศีลของบุคคลประเภทนี้อย่างนี้ เรียกว่ารักษาศีลเอาบุญ

 

ส่วนบุคคลอีกประเภทหนึ่ง รักษาศีลเพียงเพื่อให้เกิดการบังคับตัวเอง

สำหรับจะเป็นทางให้เกิดความ บริสุทธิ์ และความสงบสุขแก่ตัวเองและเพื่อนมนุษย์เพื่อใจสงบ

สำหรับเกิดปัญญ

า ชั้นสูง นี้เรียกว่า รักษาศีลเอากุศล

 

รักษา(ศีล)มีจำนวนเท่ากัน ลักษณะเดียวกัน ในวัดเดียวกัน

แต่กลับเดินไปคนละทิศละทาง อย่างนี้เป็นเครื่องชี้ ให้เห็นภาวะแห่งความแตกต่าง

ระหว่างคำว่า บุญ กับคำว่า กุศล

 

คำว่ากุศลนั้น ทำอย่างไรเสีย ก็ไม่มีทางตกหล่ม จมปลักได้เลย

ไม่เหมือนกับคำว่า บุญ

และกินเข้าไปมากเท่าไร ก็ไม่มีเมา ไม่เกิดโทษ ไม่เป็นพิษ

 

ในขณะที่คำว่า บุญ แปลว่า เครื่องฟูใจนั้น

คำว่ากุศล แปลว่า ความฉลาดหรือ เครื่องทำให้ฉลาด และปลอดภัย ร้อยเปอร์เซ็นต์

 

(3) ในการเจริญสมาธิ ก็เป็นอย่างเดียวกันอีก คือ

สมาธิเอาบุญก็ได้ เอากุศลก็ได้ สมาธิเพื่อดูนั่นดูนี่ ติดต่อกับ คนโน้นคนนี้ที่โลกอื่น

ตามที่ตนกระหาย จะทำให้เก่งกว่าคนอื่น หรือ สมาธิเพื่อการไปเกิด ในภพนั้น ภพนี้

อย่างนี้เรียกว่า สมาธิเอาบุญ หรือ ได้บุญ เพราะทำใจให้ฟู ให้พอง ตามความหมายของมัน นั่นเอง

ซึ่งเป็นของที่ปรากฏว่าทำอันตราย แก่เจ้าของ

ถึงกับต้องรับการรักษาเป็นพิเศษ หรือ รักษาไม่หายจนตลอดชีวิตก็มีอยู่ไม่น้อย

เพราะว่า สมาธิเช่นนี้(มี)ตัณหาและทิฎฐิเป็นสมุฎฐาน

แม้จะได้ผลอย่างดีที่สุดก็เพียงได้เกิดในวัฏสงสาร ตามที่ตนปรารถนาเท่านั้น

ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน

 

ส่วนสมาธิที่มีความมุ่งหมาย เพื่อการบังคับใจตัวเอง

ให้อยู่ในอำนาจ เพื่อกวาดล้าง กิเลส อันกลุ้มรุมจิตให้ ราบเตียน ข่มขี่มิจฉาทิฎฐิ

อันจรมาในปริมณฑลของจิต ทำจิตให้ผ่องใสเป็นทางเกิดของวิปัสสนาปัญญา อันดิ่งไปยังนิพพาน

เช่นนี้เรียกว่า สมาธิได้กุศล ไม่ทำอันตรายใคร ไม่ต้องหาหมอรักษา

ไม่หลงวนเวียน ในวัฎสงสาร จึงตรงกันข้าม จากสมาธิเอาบุญ

 

 

(4) ครั้นมาถึงปัญญา นี้ไม่มีแยกเป็นสองฝ่าย คือ

ไม่มีปัญญาเอาบุญ เพราะตัวปัญญานั้นเป็นตัวกุศล เสียเองแล้ว เป็นกุศลฝ่ายเดียว

นำออกจากทุกข์อย่างเดียว แม้ยังจะต้องเกิดในโลกอีก

เพราะ(ปัญญา)ยังไม่แก่ถึงขนาด ก็มีความรู้สึกตัว

เดินออกนอกวัฎสงสาร มีทิศทางดิ่งไปยังนิพพานเสมอ

ไม่วนเวียน จนติดหล่ม จมเลน โดยความไม่รู้สึกตัว

ถ้ายังไม่ถึงขนาดนี้ ก็ยังไม่เรียกว่า ปัญญาในกองธรรม

หรือ ธรรมขันธ์ ของพุทธศาสนา ดังเช่น ปัญญาในทาง อาชีพหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เป็นต้น

ตามตัวอย่าง ที่เป็นอยู่ในเรื่องจริงที่เกี่ยวกับการกระทำของพวกเราเอง

 

ดังที่กล่าวมาแล้วนี้ ทำให้เราเห็นได้ว่า การที่เราเผลอ

หรือ ถึงกับหลงเอา บุญ กับ กุศล มาปนเป เป็นอันเดียวกันนั้น

ได้ทำให้เกิด ความสับสนอลเวง เพียงไร และทำให้คว้าไม่ถูกตัวสิ่งที่เราต้องการ

จนเกิดความยุ่งยากสับสน อลหม่าน ในวงพวกพุทธบริษัทเองเพียงไร

ถ้าเรายังขืนทำสุ่มสี่สุ่มห้า เอา ของสองอย่างนี้เป็นของอันเดียวกัน

อย่างที่ เรียกกัน พล่อยๆ ติดปากชาวบ้านว่า "บุญกุศลๆ"

เช่นนี้อยู่สืบไปแล้ว เราก็จะไม่สามารถ แก้ปัญหา ต่างๆ อันเกี่ยวกับ การทำบุญกุศล นี้

ให้ลุล่วงไป ด้วยความดี จนตลอดกัลปาวสานก็ได้

 

ถ้ากล่าวให้ชัดๆ สั้นๆ

 

บุญเป็นเครื่องหุ้มห่อ กีดกั้นบาป ไม่ให้งอกงามหรือปรากฏ

หมดอำนาจบุญเมื่อใด บาปก็จะโผล่ออกมาและงอกงามสืบไปอีก

 

ส่วนกุศลนั้น เป็นเครื่องตัดรากเหง้าของบาปอยู่เรื่อยไป

จนมันเหี่ยวแห้ง สูญสิ้นไม่มีเหลือ

 

267200_623044011049004_1674437068_n.jpg

 

 

ความต่างกันอย่างยิ่งย่อมมีอยู่

 

ดังกล่าวนี้คนปรารถนาบุญ จงได้บุญ คนปรารถนากุศล ก็จงได้กุศล

และปลอดภัย ตามความปรารถนา แล้วแต่ใคร จะมองเห็น และจะสมัครใจ จะปรารถนาอย่างไร

ได้เช่นนี้ เมื่อใดจึงจะชื่อว่า พวกเรารู้จัก บุญกุศล กันจริงๆ

รู้ทิศทางแห่งการก้าวหน้า และทิศทางที่วกเวียน

ว่าเป็นของที่ไม่อาจจะเอามาเป็นอันเดียวกัน ได้เลย แม้จะเรียกว่า "ทางๆ" เหมือนกัน ทั้งสองฝ่าย

 

พุทธทาส อินทปัญโญ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...