ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ginger

ใบไม้ผลิบนดวงจันทร์

โพสต์แนะนำ

970110_584099404974194_1692642076_n.jpg

"ชมรม"คนรักพระมหากษัตริย์ของชาติไทย

คำพ่อสอน

 

 

" … ในการพัฒนาประเทศนั้นจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น

เริ่มด้วยการสร้างพื้นฐาน คือความมีกินมีใช้ของประชาชนก่อน

ด้วยวิธีการที่ประหยัดระมัดระวัง แต่ถูกต้องตามหลักวิชา

เมื่อพื้นฐานเกิดขึ้นมั่นคงพอควรแล้ว

จึงค่อยสร้างเสริมความเจริญขั้นสูงขึ้นตามลำดับต่อไป

… การถือหลักที่จะส่งเสริมความเจริญ ให้ค่อยเป็นไปตามลำดับ

ด้วยความรอบคอบระมัดระวังและประหยัดนั้น

ก็เพื่อป้องกันความผิดพลาดล้มเหลว

และเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จได้แน่นอนบริบูรณ์"

 

พระบรมราชโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 19 กรกฎาคม 2517

 

ข้าพระพุทธเจ้า...น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ อันหาที่สุดมิได้

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

ทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรง

เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยตลอดไป

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ.

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

1017316_617986554886392_365020325_n.jpg

สดใส มีชีวิตชีวา

รั้วเสลา เสารั้วงามได้นิ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

222445_606855972666117_1246468935_n.jpg

พวงเข็มพราว ราวรั้ว

ใบเขียวสด ตัดสีดอก

น้ำตาล สลับ กลมกลืน

รับระดับ งามโดยมิบรรจง

ginger

Thank fb pic

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

1045044_614083308610050_499329355_n.jpg

แสงสะท้อน พลังสมดุล

ใจรับรู้ สว่างลอด

ลูกแก้ว ใสส่อง จรัส

กอปรด้วย คุณแห่งการคิด กระทำของตน

ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

944530_600738139944567_1303019458_n.jpg

ภูสูงเสียดฟ้า สลักเสลา

สนเสียด สอดเบียดตัว

เติบโต แต่งแต้ม

กิ่งใบ ต้น ล้วนดัดโอน ไสว

 

ฟ้า ภู ละหลั่น

พื้นแผ่นดิน รองรับ

หนักแน่น เกื้อกูล

น้ำฟ้า หล่อเลี้ยงสรรพชีวิต

ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ดีวันศุกร์คับคุณginger lavender fairy คุณตู้เย็น ดอกเหมย เด็กสยาม เพื่อน :D

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ดีวันศุกร์คับคุณginger lavender fairy คุณตู้เย็น ดอกเหมย เด็กสยาม เพื่อน :D

สวัสดี คับ yot เพื่อนๆ พี่น้องทุกคน

1017686_541927659193824_594509929_n.jpg

Ted Dyer

สุขใจวันสุดสัปดาห์ สบายตาชม ทะเลไปพลางๆ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

ฐิตวิริโย ประเสริฐศักดิ์ โมกขพลาราม

3 hours ago

 

พุทธศาสนามุ่งหมายอะไร

 

ความมุ่งหมายของพุทธศาสนานั้น มักจะถูกคนส่วนมากเข้าใจไปเสียว่า มุ่งหมายจะนำคนไปเมืองสวรรค์

จึงได้มีการสอนกันเป็นอย่างมาก ว่า สวรรค์เป็นแดนที่คนควรไปให้ถึง

สวรรค์เป็นแดนแห่งความสุขที่สุด เลยมีการชักชวนกัน ให้ปรารถนาสวรรค์

ปรารถนากามารมณ์ อันวิเศษในชาติหน้า

 

คนทั้งหลายที่ไม่รู้ความจริง ก็หลงใหลสวรรค์ มุ่งกันแต่จะเอาสวรรค์ ซึ่ง

เป็นแดนที่ตนจะได้เสพย์กามารมณ์ ตามปรารถนา เป็นเมืองที่ตนจะหาความสำราญ

ได้อย่างสุดเหวี่ยง แบบสวรรค์นิรันดร ของศาสนาอื่นๆ ที่เขาใช้สวรรค์ เป็นเครื่องล่อ

ให้คนทำความดี คนจึงไม่สนใจ ที่จะดับทุกข์ กันที่นี่ และเดี๋ยวนี้

ตามความมุ่งหมาย อันแท้จริง ของพุทธศาสนา นี่คือ อุปสรรค อันสำคัญ

และเป็นข้อแรกที่สุด ที่ทำให้ คนเข้าถึงจุดมุ่งหมายของพุทธศาสนาไม่ได้

เพราะไปมุ่งเอา ตัณหาอุปาทาน กันเสียหมด

59222_377809392341503_823613467_n.jpg

 

ฉะนั้น เราควรจะต้องสั่งสอนกันเสียใหม่ และพุทธบริษัท ควรจะเข้าใจเสียให้ถูกต้องว่า

สวรรค์ดังที่กล่าวว่า เป็นเมืองที่จะต้องไปให้ถึงนั้น เป็นการกล่าวอย่างบุคคลาธิษฐาน คือ

การกล่าว สิ่งที่เป็นนามธรรม ให้เป็น รูปธรรม หรือเป็นวัตถุขึ้นมา การกล่าวเช่นนั้น

เป็นการกล่าวในลักษณะโฆษณาชวนเชื่อในเบื้องต้น ที่เหมาะสำหรับ บุคคลไม่ฉลาดทั่วไป

ที่ยังไม่มีสติปัญญามากพอ ที่จะเข้าใจถึงความหมาย อันแท้จริงของพุทธศาสนาได้

แม้คำว่า "นิพพาน" ซึ่งหมายถึง การดับความทุกข์ ก็ยังกลายเป็นเมืองแก้ว

หรือ นครแห่งความไม่ตาย มีลักษณะอย่างเดียวกันกับ เทียนไท้ หรือ สุขาวดี

ของพวกอาซิ้มตามโรงเจทั่วไป สุขาวดี นั้น ตามความหมายอันแท้จริง

ก็มิได้หมายความดังที่พวกอาซิ้มเข้าใจ เช่นเดียวกัน แต่มีความหมายถึง นิพพาน คือ

ความว่างจากกิเลส สว่างจากทุกข์ มิได้หมายถึง บ้านเมืองอันสวยงาม

ทางทิศตะวันตก ซึ่งมีพระพุทธเจ้า ชื่อ อมิตาภะ ประทับอยู่เป็นประธาน ที่ใครๆ ไปอยู่ที่นั่น

แล้วก็ได้รับความพอใจทุกอย่าง ตามที่ตนหวัง เพราะว่าแวดล้อมไปด้วยสิ่งสวยงาม

และรื่นรมย์ที่สุด ที่มนุษย์ หรือ เทวดา จะมีได้ นี่เป็นการกล่าวอย่างบุคคลาธิษฐาน ทั้งสิ้น

 

ส่วนพวกนิกายเซ็น ไม่ยอมเชื่อว่า อมิตาภะ เป็นเช่นนั้น

แต่ได้เอาคำว่า อมิตาภะ นั้นมาเป็นชื่อของจิตเดิมแท้ อย่างที่ท่านเว่ยหล่างเรียก

หรือ เอามาเป็นชื่อของ ความว่าง อย่างที่ท่านฮวงโปเรียก เมื่อเป็นดังนี้ อมิตาภะ

หรือ สุขาวดี ของพวกอาซิ้มตามโรงเจ ก็กลายเป็นของเด็กเล่น

หรือของน่าหัวเราะเยาะ สำหรับคนฉลาดไป

 

ฉะนั้น เมื่อถามว่า พุทธศาสนา มีความมุ่งหมายอย่างไร ก็ควรจะตอบว่า

มุ่งหมายจะแก้ไขปัญหาชีวิตประจำวัน ของคนทุกคนในโลกนี้ เพื่อให้มีชีวิตอยู่ในโลกนี้

โดยไม่มีความทุกข์เลย พูดอย่างตรงๆ สั้นๆ ก็ว่า ให้อยู่ในกองทุกข์ โดยไม่ต้องเป็นทุกข์

หรือพูดโดยอุปมาก็ว่า อยู่ในโลกโดยไม่ถูกก้างของโลก หรือ อยู่ในโลก ท่ามกลางเตาหลอมเหล็กอันใหญ่

ที่กำลังลุกโชนอยู่ แต่กลับมีความรู้สึกเยือกเย็นที่สุดดังนี้

ขอสรุปว่า พุทธศาสนา มุ่งหมายที่จะขจัดความทุกข์ ให้หมดไปจากคน ที่นี่

และ เดี๋ยวนี้ หาใช่มุ่งหมาย จะพาคนไปสวรรค์ อันไม่รู้กันว่า อยู่ที่ไหน มีจริงหรือไม่

และจะถึงได้ หลังจากตายแล้ว หรือ ในชาติต่อๆไป จริงหรือไม่ เพราะไม่มีใครพิสูจน์ได้

นอกจากการกล่าวกันมาอย่างปรำปรา แล้วก็ยอมเชื่อกันไป โดยไม่ใช้เหตุผล

จนเป็นความงมงาย ไปอีกอย่างหนึ่ง

 

บางคนอาจจะแย้งว่า คำสอนของพุทธศาสนา มีอยู่เป็นชั้นๆ ความมุ่งหมายก็ควรจะมีเป็นชั้นๆ

เช่นให้มีความเจริญในโลกนี้ แล้วมีความเจริญในโลกหน้า แล้วจึงถึงความเจริญอย่างเหนือโลก

ดังที่ชอบพูดกันว่า มนุษยสมบัติ สวรรค์สมบัติ และ นิพพานสมบัติ ที่เป็นเช่นนี้

ก็เพราะว่า เขาเหล่านั้น ไม่ทราบว่า สมบัติทั้ง ๓ นั้น เป็นเพียงระดับต่างๆ ที่ต้องลุถึงให้ได้ในโลกนี้

และเดี๋ยวนี้ หรือในชาตินี้นั่นเอง ไม่ใช่เอาสวรรค์ ต่อเมื่อตายแล้ว และเอานิพพาน

หลังจากนั้น ไปอีกไม่รู้กี่สิบชาติ

 

ตามความหมายที่ถูกต้องนั้น มนุษยสมบัติ หมายถึง การได้ประโยชน์ อย่างมนุษย์ธรรมดาสามัญ

จะลุถึงได้ ด้วยการเอาเหงื่อไคลเข้าแลก จนเป็นอยู่อย่างผาสุก

ชนิดที่คนธรรมดาสามัญ จะพึงเป็นอยู่กันทั่วไป สวรรค์สมบัติ นั้นหมายถึง

ประโยชน์ที่คนมีสติปัญญา มีบุญ มีอำนาจวาสนา เป็นพิเศษ จะพึงถือเอาได้

โดยไม่ต้องเอาเหงื่อไคลเข้าแลก ก็ยังมีชีวิตรุ่งเรืองอยู่ได้ ท่ามกลางทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ ชื่อเสียง

และ ความเต็มเปี่ยมทางกามคุณ ส่วน นิพพานสมบัติ นั้นหมายถึง

การได้ความสงบเย็น เพราะไม่ถูก ราคะ โทสะ โมหะ เบียดเบียน จัดเป็นประโยชน์

ชนิดที่คนสองพวกข้างต้น ไม่อาจจะได้รับ เพราะเขาเหล่านั้น

ยังจะต้องเร่าร้อน อยู่ด้วยพิษร้าย ของราคะโทสะ โมหะ ไม่อย่างใด ก็อย่างหนึ่ง เป็นธรรมดา

แต่ถึงกระนั้น ก็ควรพิจารณาให้เห็นว่า สมบัติทั้ง ๓ นี้ เป็นเพียงประโยชน์ที่อยู่ในระดับ

หรือ ชั้นต่างๆ กัน ที่คนเรา ควรจะพยายามเข้าถึง ให้ได้ทั้งหมด ที่นี่ และเดี๋ยวนี้

คือในเวลาปัจจุบัน ทันตาเห็น นี้จึงจะได้ชื่อว่า ได้รับสิ่งซึ่งพุทธศาสนา

ได้มีไว้สำหรับมอบให้แก่ คนทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็คือ คนที่ไม่ไร้ปัญญาเสียเลย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

1069328_377810609008048_4807047_n.jpg

 

624153_100003373351340_1122849324_q.jpg

 

ฐิตวิริโย ประเสริฐศักดิ์ โมกขพลาราม

2 hours ago

 

พุทธศาสนามุ่งหมายอะไร ตอนที่ 2

 

ทีนี้ ก็มาถึงปัญหา ที่จะต้องพิจารณากันอย่างรอบคอบที่สุดว่า ในบรรดาประโยชน์ ทั้ง ๓ คือ มนุษยสมบัติ, สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติ นั้น ประโยชน์อันไหนเป็นประโยชน์

ที่มุ่งหมายอย่างแท้จริง ของพุทธศาสนา ประโยชน์อันไหน เป็นเหมือน ปลาที่มีก้าง ประโยชน์อันไหนเป็นเหมือนปลาไม่มีก้าง และอะไรเป็นเครื่องที่จะช่วยให้สามารถกินปลามีก้างได้ โดยไม่ต้องถูกก้างเลยอีกด้วย ในข้อนี้ แม้คนที่มีสติปัญญาอยู่บ้างแล้ว

ก็ย่อมจะมองเห็นได้ด้วยตนเองว่า มนุษยสมบัติ และสวรรค์สมบัตินั้น

เป็นเหมือนปลาที่มีก้าง อย่างมองเห็นบ้าง หรือ อย่างซ่อนเร้น อย่างหยาบ

หรือ อย่างละเอียด โดยสมควรแก่ ชั้นเชิงของมันทั้งนั้น คนต้องหัวเราะ และร้องไห้

สลับกันไป อย่างไม่รู้จักสิ้นสุด ก็เพราะ มนุษยสมบัติ และสวรรค์สมบัติ ต้องทนทุกข์ อย่างซ้ำซาก ก็เพราะ สมบัติทั้งสองนี้ ต้องเป็นทุกข์โดยตรง หรือ โดยประจักษ์ชัด ในเมื่อแสวงหามันมา และต้องเป็นทุกข์ โดยอ้อม หรือโดยเร้นลับ ในเมื่อได้สมตามประสงค์ หรือ เมื่อกำลังบริโภคมันอยู่ หรือเมื่อเก็บรักษามันไว้ก็ตาม

ตลอดเวลาที่เขายังไม่ได้รับสมบัติอันที่ ๓ อยู่เพียงใด เขาจะต้องทนทุกข์ อยู่อย่างซ้ำๆ ซากๆ อยู่ในท่ามกลาง ของสิ่งที่เขาหลงสำคัญผิดว่า เป็นความสุข

ต่อเมื่อได้สมบัติอันที่ ๓ เข้ามา เมื่อนั้นแหละ เขาจะสามารถปลดเปลื้อง พิษสง

หรือ ความบีบคั้น ของสมบัติทั้ง ๒ ประเภทข้างต้นออกไปได้ มีชีวิตอยู่อย่างอิสระ

เหนือการบีบคั้นของสมบัติทั้ง ๒ นั้นอีกต่อไป นี่แหละ

จงพิจารณาดูด้วยตนเองเถิดว่า การได้มาซึ่งสมบัติชนิดไหน จึงจะนับว่า

เป็นการได้ที่ดี การได้สมบัติชนิดไหน จะทำให้เราพบความมุ่งหมาย

อันแท้จริงของพุทธศาสนา

 

ความเข้าใจผิด ที่เป็นอุปสรรคแก่การจะเข้าใจพุทธศาสนา มีอยู่อีกอย่างหนึ่งคือ

คนมักเข้าใจกันว่า หลักพระพุทธศาสนา อันว่าด้วย สุญญตา หรือ อนัตตา นั้น

ไม่มีความมุ่งหมาย หรือ ไม่อาจนำมาใช้กับคนธรรมดาสามัญทั่วไป

ใช้ได้แต่ผู้ปฏิบัติธรรม ในชั้นสูงที่อยู่ตามถ้ำ ตามป่า หรือเป็นนักบวชที่มุ่งหมาย

จะบรรลุมรรคผลนิพพาน โดยเร็วเท่านั้น แล้วก็เกิดบัญญัติกันเองขึ้นใหม่ว่า

จะต้องมีหลักพุทธศาสนาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งเหมาะสำหรับคนทั่วไป

ที่เป็นฆราวาสอยู่ตามบ้านเรือน และคนพวกนี้เองที่ยึดมั่นในคำว่า

มนุษยสมบัติ สวรรค์สมบัติ แล้วจัดตัวเองหรือสอนคนอื่นๆ

ให้มุ่งหมายเพียงมนุษยสมบัติ และสวรรค์สมบัติเท่านั้น ส่วนนิพพานสมบัติ

เขาจัดไว้เป็นสิ่งสุดวิสัยของคนทั่วไป เขาจึงไม่เกี่ยวข้อง แม้ด้วยการกล่าวถึง

คนพวกนี้แหละ จึงห่างไกลต่อการได้ยินได้ฟัง หลักพระพุทธศาสนาอันแท้จริง

กล่าวคือ เรื่องสุญญตา และ อนัตตา คงสาละวนกันอยู่แต่เรื่องทำบุญ ให้ทาน

ชนิดที่จะทำให้ตนเป็นผู้มีโชคดีในชาตินี้ แล้วไปเกิดสวยเกิดรวยในชาติหน้า

และได้ครอบครองสวรรค์ หรือวิมานในที่สุด วนเวียนพูดกันในเรื่องนี้

ไม่ว่าในหมู่คนปัญญาอ่อน หรือ นักปราชญ์ เรื่องนิพพานสมบัติ

จึงเป็นเรื่องที่น่ากลัวไป เพราะรู้สึกคล้ายกับว่า

การบรรลุนิพพานนั้น เหมือนกับ การถูกจับโยนลงไปในเหว อันเวิ้งว้าง ไม่มีที่สิ้นสุด

แต่จะปัดทิ้งเสียทีเดียวก็ไม่ได้ เพราะเขาว่าเป็นสิ่งสูงสุด ในพระพุทธศาสนา

จึงได้แต่เพียงห้ามปรามกัน ไม่ให้พูดถึง แม้ในหมู่บุคคลชั้นเถระ หรือ สมภารเจ้าวัด

พวกชาวบ้านทั่วไป จึงห่างไกลจากการได้ยินได้ฟัง

เรื่องซึ่งเป็นตัวแท้ของพุทธศาสนา หรือ หลักพุทธศาสนาอันแท้จริง

ที่พระพุทธองค์ทรงมุ่งหมายเอาไว้ หรือมีไว้ เพื่อประโยชน์แก่คนทุกคน

และทุกชั้น สถานการณ์ด้านศาสนาของประเทศไทย กำลังเป็นอยู่อย่างนี้

แล้วจะเรียกว่า เป็นการบวชเพื่อสืบพระศาสนาได้อย่างไรกันเล่า

 

562703_527893687275867_805712548_n.jpg

 

เรื่องสุญญตานี้ เป็นเรื่องของฆราวาส จะต้องสนใจ ทราบได้จากบาลีตอนหนึ่งแห่ง

สังยุตตนิกายและที่อื่นๆ ที่ตรงกัน ข้อความในบาลีนั้น มีใจความที่พอจะสรุปสั้นๆ

ได้ว่า พวกชาวบ้าน ที่มีอันจะกินกลุ่มหนึ่ง ได้เข้าไปเผ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า

แล้วกราบทูลให้ทรงทราบ ตามสภาพที่เป็นจริงว่า พวกเขาเป็นผู้ครองบ้านเรือน

อัดแอด้วยบุตรภรรยา ลูบไล้กระแจะจันทน์หอม

ประกอบการงานอยู่อย่างสามัญชนทั่วไป

ขอให้พระองค์ทรงแสดงข้อธรรมะที่ทรงเห็นว่า เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่เขา

ผู้อยู่ในสภาพเช่นนั้น พระพุทธองค์ จึงสอนเรื่องสุญญตา

ซึ่งเป็นตัวแท้ของพุทธศาสนา แก่คนเหล่านั้น โดยทรงเห็นว่า

เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเหล่านั้น โดยตรง

และทรงยืนยันให้เขาถือเป็นหลักไว้ประจำใจว่า เรื่องสุญญตานั้น เป็นเรื่องซึ่งพระพุทธเจ้าสอน ส่วนเรื่องอันสวยสดงดงามต่างๆ นอกไปจากนั้น

เป็นเรื่องของคนชั้นหลังสอน พวกชาวบ้านเหล่านั้นได้ทูลแย้งขึ้นว่า

เรื่องสุญญตายังสูงเกินไป ขอให้ทรงแสดงเรื่องที่ต่ำลงมา

พระองค์จึงได้แสดงเรื่องการเตรียมตัว เพื่อความเป็นผู้บรรลุถึงกระแสแห่งนิพพาน

ซึ่งได้แก่ ข้อปฏิบัติเพื่อบรรลุถึงความเป็นพระโสดาบัน มีใจความโดยสรุปคือ

มีศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างไม่ง่อนแง่น คลอนแคลน

กับมีศีลชนิดที่พระอริยเจ้าชอบใจ คือ

เป็นศีลชนิดที่ผู้นั้นเอง ก็ติเตียนตนเองไม่ได้

และการไม่มีความเชื่อหรือปฏิบัติอย่างงมงาย ในเรื่องต่างๆ พวกชาวบ้านเหล่านั้น

ก็แสดงความพอใจ และกราบทูลว่า ตนได้ยึดมั่นอยู่ในหลักปฏิบัติเหล่านั้นอยู่แล้ว

 

เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณากันอย่างละเอียด เพื่อความเข้าใจถึงความมุ่งหมาย

อันแท้จริงของหลักพระพุทธศาสนา พระองค์ ทรงแสดงเรื่องสุญญตา

แก่บุคคลผู้ครองเรือน เพราะเป็นประโยชน์ เกื้อกูลแก่เขาตามที่เขาขอร้องตรงๆ พระพุทธองค์ประสงค์จะให้พวกฆราวาส รับเอาเรื่องสุญญตา

ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ เพราะมันไม่มีเรื่องอื่น ที่ดีกว่านี้จริงๆ

ส่วนเรื่องที่ลดหลั่นลงไป จากเรื่องสุญญตานั้น ก็ได้แก่

ข้อปฏิบัติที่ทำให้เป็นพระโสดาบันนั่นเอง เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องเตรียมตัว

สำหรับการบรรลุนิพพานโดยตรง จึงนับว่า เป็นเรื่องเข้าถึงสุญญตา

โดยทางอ้อมนั่นเอง หาใช่เป็นเรื่องทำบุญให้ทาน ด้วยการมัวเมาในมนุษยสมบัติ

และสวรรค์สมบัติ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่ก็ไม่วายที่พวกนักอธิบายธรรมะในชั้นหลังๆ

จะดึงเอาเรื่องเหล่านี้ มาเกี่ยวข้องกับสวรรค์สมบัติจนได้

และทำไปในลักษณะที่เป็นการหลอก โฆษณาชวนเชื่อยิ่งขึ้นทุกที

จึงทำให้เรื่องที่เป็นบันไดขั้นต้นของนิพพาน หรือของสุญญตา ต้องสลัว

หรือ ลับเลือนไปอีก จนพวกเราสมัยนี้ ไม่มีโอกาสที่จะฟังเรื่องสุญญตา

หรือนำเอาเรื่องสุญญตา อันเป็นตัวแท้ของพระพุทธศาสนา

มาใช้ในการบำบัดทุกข์ประจำวัน อันเป็นความประสงค์ที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า

พวกเราจึงต้องเหินห่างจากหัวใจของพุทธศาสนา ออกไปมากขึ้นทุกวันๆ

เพราะนักสอนนักอธิบายสมัยนี้เอง

 

การที่พระพุทธองค์ ทรงแสดงเรื่องสุญญตา แก่ฆราวาส ก็ต้องมีความหมายว่า

ปัญหายุ่งยากต่างๆ ของฆราวาส ต้องแก้ด้วยหลักสุญญตา

ความเป็นไปในชีวิตประจำวันของฆราวาส จะต้องถูกควบคุมอยู่ด้วยความเข้าใจถูกต้อง ในเรื่องอันเกี่ยวกับจิตว่าง เขาจะทำอะไรไม่ผิด ไม่เป็นทุกข์ขึ้นมา

ก็เพราะมีความรู้ ในเรื่องสุญญตา มาคอยกำกับจิตใจ ถ้าผิดไปจากนี้แล้ว

ฆราวาสก็คือ พวกที่จะต้องหัวเราะ และร้องไห้ สลับกันไป ไม่มีที่สิ้นสุด

และ เพื่อที่จะให้ฆราวาส ไม่ต้องเป็นเช่นนั้น พระองค์จึงได้สอนเรื่องสุญญตา

แก่ฆราวาสในฐานที่ "เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ เกื้อกูลแก่ฆราวาส" ดังที่กล่าวแล้ว

หลักพุทธศาสนาอันสูงสุดนั้น มีเรื่องเดียว คือ เรื่องสุญญตา หรือ จิตว่าง

ใช้ได้แม้แต่พวกฆราวาสทั่วไป และมุ่งหมายที่จะดับทุกข์ของฆราวาสโดยตรง

เพื่อฆราวาสผู้อยู่ท่ามกลางความทุกข์นี้ จะได้กลายเป็น

บุคคลที่ความทุกข์แปดเปื้อนไม่ได้

ถ้าเป็นนิพพาน ก็เป็นที่ความทุกข์แปดเปื้อนไม่ได้นั่นเอง

ถ้าแปดเปื้อนไม่ได้เลย จนเป็นการเด็ดขาด และถาวร ก็เรียกว่า

เป็นผู้บรรลุพระนิพพาน เป็นพระอรหันต์, เป็นแต่เพียงการแปดเปื้อนที่น้อยลงมา

ก็เป็นการบรรลุพระนิพพาน ในขั้นที่เป็นพระอริยบุคคล รองๆ ลงมา

1069242_525999464131956_2110786909_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...