marnnoi965

ชอบคำนี้จังเลยคับเฮีย ขอบคุณคับ..... !gd

พอดีมาเขียนถามในกระทู้เฮียกัมพล จึงขอตอบตามที่เฮียกัมพล สอนให้ใช้นะคับ ตั้งตัวเลข Fibonacci = 0.0 , 23.6 , 38.2 , 50.0 , 61.8 , 78.6 , 88.6 , 100.0 , 127.2 , 150.0 , 161.8 , 261.8 และ 423.6 คับ ที่เหลือก็คือการวัด Action หรือ Reaction ของคลื่น...ส่วนนั้นจะบอกว่า % ที่เท่าไหร่เราควรจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษคับ

555+ ขอบคุณครับเป็นแนวคิดที่ดี

อยากรู้ด้วยครับ รายละเอียดว่าเทรดอย่างไร เสียหายอย่างไร ??? ขอบคุณมาก ๆ คับที่มาแชร์ (ขอแบบไตรภาคเลยนะครับ)

มาขำพี่ปุยเมฆ 555+ วันหลังเฮียกัมพลต้องทำลายน้ำไว้ด้วยนะคับ พี่ปุยจะได้ไม่ปล่อยไก่ อิอิ (แซวด้วยความเคารพ)

ขอบคุณคับ +10 เอ๊ยไม่มีนี่นา +1 จ้าป้าแว่นกำลังเถียงกับคุณแม่อยู่เลยว่าไม่มีชื่อจะไปเลือกที่ไหนดี

รอ Oil Future ไตรมาส 4 อีกตัวไม่ได้นอนอย่างที่เฮียว่าจริง ๆ แหง ๆ 555+ :lol: ปล...จริงเทรดแบบไทย ๆ ต้องเงิน ทอง นาก เนอะ นี่กลายเป็น ทอง เงิน น้ำมัน เอิ๊ก ๆ ๆ

ฝันดีคับ !Hi

Golden compass !01 ขออนุญาตเฮียกัมพลที่เคารพใช้พื้นที่ในการแบ่งปันความรู้ในมือใหม่ด้วยนะคับ สวัสดีจ้าคุณหมาน้อย(ชื่อน่ารัก) ใจจริงกลัวที่จะตอบเพราะเห็นเลข 1... กลัวว่าตอบเสร็จเรียบร้อยต้องมีเลข 2 ตามมาแน่ ๆ 555+ ความเสี่ยงของการเล่น Gold future จริง ๆ ไม่ได้มีความเสี่ยงมากกว่า Gold Spot หรือ Gold Bar เพราะการเคลื่อนไหวค่อนข้างจะไปในทิศทางเดียวกัน และความเสี่ยงของการลงทุนใน สินทรัพย์ ทั้งหมด มันก็มีวิชาที่เรียนเกี่ยวกับความเสี่ยงโดยเฉพาะ ที่เรียกว่า การบริหารความเสี่ยง (Risk management) Download อ่านได้ฟรีที่ http://www.beknowledge.com/archives/article-tag/risk-management ในที่นี้จะพูดเฉพาะความเสี่ยงที่เราพบกันในตลาดเป็นส่วนใหญ่และทำให้เราขาดทุนและกำไร 2 ตัวที่พบบ่อย 1.ความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด(การสวิงขึ้นลงของราคา) 2.ความเสี่ยงจากการเก็งกำไร (Speculative Risk) ความเสี่ยงอย่างที่หนึ่งก็ทำให้เกิดศัพท์หลายคำในตลาดไม่ว่าจะเป็น "ตกรถ" "ติดดอย" "ขายหมู" ฯลฯ วิธีแก้ก็คือ ใช้ระยะเวลาให้ยาวขึ้นหรือเราเรียกว่า ลงทุนระยะยาวนั่นเอง ส่วนใหญ่นักลงทุนแบบ VI จะใช้จุดนี้ลดความเสี่ยง ความเสี่ยงที่ลดลงคือความเสี่ยงจากความผันผวนนั่นเอง Ex...กราฟรายสี่ชั่วโมง กับ กราฟรายสัปดาห์ Timeframe ยาวกว่าย่อมสวิงเป็นเปอร์เซ็นที่น้อยกว่า ความเสี่ยงอย่างที่สองที่สองก็ทำให้เกิดคำศัพท์อีกหลายคำเช่นกัน และค่อนข้้างแรงมากกว่าถ้า "ความโลภ" เข้าครอบงำ คือ คำว่า "ต้องเอาคืน" "ต้องเพิ่มทุน" "ต้องเป็นวันของเรา(บ้างสิ)" และคำสุดท้าย "หมดตัว" วิธีแก้คือต้องศึกษาวิชา Money Management และการจัดขนาดการลงทุน (Position Sizing) Ex... ควรลงทุนเป็นเงินจำนวนเท่าไหร่ของเงินที่มีอยู่ทั้งหมด และ ลงทุนครั้งละเท่าไหร่เมื่อถูกทางและเท่าไหร่เมื่อผิดทาง เหมือนคำกว่าวของ จอร์ส โซรอส ที่เรายกให้เค้าเป็น พ่อมดคนหนึ่งในวงการการเงิน การลงทุน กล่าวไว้ว่า "สิ่งสำคัญไม่ใช่ว่าคุณถูกหรือผิด แต่สิ่งสำคัญก็คือ คุณกำไรเท่าไหร่เมื่อคุณถูก และคุณขาดทุนเท่าไหร่เมื่อคุณผิด" !gd เมื่อเรารู้จักความเสี่ยงทั้งสองและวิธีแก้ไขแล้วเราก็มาดูว่าข้อดี ข้อเสียของ Gold Bar และ Gold Future ที่ผมมองบ่อย ๆ และหลายคนมองข้าม A.ข้อดีคือให้เงินลงทุนน้อย เพียง 10% ของราคาที่ซื้อจริง แต่ในทางกลับก็ขาดทุนมากเมื่อคิดเป็น % เช่นกัน เรียกว่าความเสี่ยงจากอัตราทด (Leverage Risk) B.มีระยะเวลากำหนด(มีวันหมดอายุ) จุดนี้เองที่เป็นจุดเสี่ยงที่ผมคิดว่าเสี่ยงมากเพราะไม่ว่าคุณจะพิจารณาปัจจัยพื้นฐานเก่งขนาดไหนหรือตามข่าวได้ละเอียด แต่คุณจะถูกบีบให้ตัดสินใจเร็ว (คิดเร็ว ทำเร็ว พลาดบ่อย) และอีกหลายปัจจัย แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบกำไรเยอะ ๆ ลงทุนน้อย ๆ ชอบความเสี่ยงมาก ๆ ก็เป็นสิ่งที่เหมาะกับคุณเหมือนกันนะ เพราะผมก็ใช้ GF ในการลดต้นทุนทองคำ(จริง ๆ) และเพิ่มจำนวนทองคำในพอร์ท เพราะจริงแล้ว Future Contract สร้างขึ้นมาสิ่งนี้คือการลดความเสี่ยงในการถือสินทรัพย์ทั้งหุ้น น้ำมัน ทองคำ ฯลฯ ในตอนที่มันปรับตัวลง "ไม่ให้ขาดทุนเยอะ" นั่นเอง แต่หลัง ๆ กับถูกขับเคลื่อนด้วยความโลภของทั้งโบร์กเกอร์และนักลงทุน จึงสอนวิธีใช้มีดดาบลวก ๆ และปล่อยลงสนามจริงไปเลย อย่าลืมว่า "ดาบมันมีสองคม" ใช้ถูกก็ดีใช้ผิดวิธีมันก็ย้อนมาทำร้ายตัวเราเองคับ กลับกันถ้าเราใช้คล่องก็เป็นเครื่องมือที่ดีเนอะ !031 http://www.thanachartsec.co.th/TNS_CMS/Front/Upload/Derivatives/GoldFutures/TNS_GoldFutures.pdf ส่วนคำถามที่สองมีอีกสินทรัพย์อีกหลายอย่างที่มีความเีสี่ยงน้อยกว่า GF คับไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเดียวกันก็คือ Silver Bar กองทุนทองคำ ฯลฯ บางครั้งอาจต้องประเมินตัวเองก่อนว่าเราต้องการกี่ % ของผลตอบแทนต่อปี หลังจากนั้นจึงหาเครื่องมือที่ตอบโจทย์ ความคาดหวัง (Expectancy) ของเราแล้วเราจะเลือกเครื่องมือได้ถูกต้องเหมาะสมได้มากกว่าคับ ปล...สุดท้าย ไอน์สไตน์ เคยกล่าวไว้ว่า สิ่งมหัศจรรย์ ของโลกอันดับที่ 9 คือการลงทุนแบบทบต้น หรือ Compound Interest นะคับ !30 เมื่อใช้วิธีนี้เป้าหมายที่มี "อิสระภาพทางการเงิน" ของเรานักลงทุนทองคำ ไม่ได้อยู่ไกลเลย สู้ต่อไปนักลงทุนทุกท่าน Fighto !!!

มันสื่อว่าอาจจะมีรอบที่ 6...7...8 และอาจจะทะลุได้น่ะคับพี่ปุย (ใช่รึป่าวเฮียกัมพล เดานะคับ) และตราบใดที่ยังไม่ลงต่ำกว่า 147x - 146x แนวโน้มการขึ้นไปที่ 153x - 154x ก็ยังพอมีอยู่ เพราะที่ผ่านมามีหลายครั้งที่เมื่อกราฟรายสัปดาห์แดงแค่สองแท่งแล้วแท่งที่สามกลับเป็นเขียวแล้ววิ่งต่อเลย ก็ลุ้นกันต่อไปเนอะ 555+

Golden compass โดยส่วนตัวผมชื่นชม ทั้งคุณ Next และ คุณ Ton เพราะทั้งสองท่านไม่ได้มีจิตคิดร้ายแต่อย่างใดกับเพื่อน ๆ ใน เว็บ Thaigold.info (อาจจะโดนหมั่นไส้เพราะโพสข้อความเดิมบ่อยไปหน่อย ) และสิ่งที่คุณ Ton มาเตือนก็เข้าใจได้ว่า "เตือนด้วยความหวังดี" เพราะนักลงทุนแบบ "VI เทียม" ไม่น้อยที่เมื่อราคาลงก็จะเกิดอาการอยู่ไม่สุข หาเรื่องโทษคนนู้นโทษคนนี้ประมาณว่า "ชั้นว่าแล้วรู้งี๊ขายดีกว่าได้กำไรตั้ง XXX ดูสิเนี่ยถือดอยอีกแล้ว" เพราะฉะนั้นอย่างที่พี่งูดินกล่าว "จงสำรวจตนเองก่อน ว่าเราเป็นนักลงทุนอย่างใดกันแน่" ถ้าเลือกจะเป็น VI ก็ต้องศึกษาในแนวทางปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจว่า ผลเช่นนี้...เกิดเพราะเหตุอะไร ??? อะไรคือ "ของจริง" และ อะไรคือ "ของเทียม" ศึกษาจาก VI Idol เช่น ปู่ W.B. คำกล่าวที่ผมชอบของท่านก็คือ "ถ้าซื้อสินทรัพย์ตัวใดแล้วทนไม่ได้เมื่อเห็นราคามันลงมาเหลือเพียงครึ่งหนึ่งก็อย่าได้ซื้อ" คำกล่าวนี้กล่าวเพื่อแสดงถึงความอดทนของ VI ว่าเมื่อเราวิเคราะห์ดีแล้วว่าสินทรัพย์ตัวที่เราซื้อเราซื้อในราคาที่เหมาะสม (ไม่ใช่ว่าราคาถูกหรือราคาแพงใช้คำว่าราคาเหมาะสม) หรือ Under value ให้เชื่อมั่นและถือต่อไปเพื่อรอรับ "ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับการรอคอย" ส่วน TA อย่างที่รู้ ๆ กันใช้ข้อมูลที่ผ่านมาวิเคราะห์และทำตามสิ่งที่วิเคราะห์ โดยทำกำไรจากการสวิงของความโลภความกลัวของนักลงทุนในตลาด โดยข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์ก็ใช้เครื่องมือทางสถิติ มาแปลผลและหาความน่าจะเป็น และที่สำคัญที่สุดของ TA ที่ทำให้สามารถอยู่ได้ในตลาดมาอย่างยาวนาน(หมายถึง TA เก่ง ๆ)เมื่อเขาวิเคราะห์แล้วสินทรัพย์ไม่ไปในทางที่เขาคาดเดา หรือเรียกว่าผิดทาง จะต้องมีจุดตัดขาดทุน(Stop loss or cutloss) และในการกำหนดจุดเข้าซื้อในแต่ละครั้งต้องประเมินว่า กำไร จะต้องมากกว่า ขาดทุน (Gain >>> Loss) "ไม่ดื้อเมื่อผิดทาง" เพราะนั่นหมายถึงหายนะ เพราะพอร์ทสะสมมายาวนานจะเล็กลงเรื่อย ๆ จนสุดท้ายไม่สามารถแก้ตัวได้ อย่างที่เรารู้กันว่า "ต่อไปเราไม่ได้วัดกำไรกันที่ทองใครต้นทุนต่ำกว่า แต่เราวัดกันที่ใครมีจำนวนทองเยอะกว่า" ถึงเป็นที่มาของการขายให้แพงและซื้อให้ต่ำกว่าที่ขายเพื่อทำให้ทองคำจำนวนเดิมเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ สรุป ผมว่าทั้งสองแนวทาง ทั้งสองความเชื่อ ถูกต้อง ทั้งคู่ คับ.....และจะดีที่สุดเมื่อมี VI ที่คิดแบบ TA หรือมี TA ที่คิดแบบ VI แต่ถ้าให้ง่ายกว่านั้น... "มาเป็นเพื่อนกันคับเก่งคนละอย่างยิ่งทำให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนมากขึ้นและเร็วขึ้น" ลืมแชร์กราฟระยะยาว อันนี้คือกราฟรายสัปดาห์นะคับ จุดเปลี่ยนอยู่ที่ 1462 ถ้าต่ำกว่านี้อาจจะไปที่แนวรับ 1420 ซึ่งเท่ากับเส้นเฉลี่ยครึ่งปีของทองคำ อีกจุดที่น่าสนใจคือ Moving Average 52 week หรือเส้นเฉลี่ย 1 ปีสีน้ำเงินเข้ม แสดงให้เห็นว่าทองคำยังเป็นขาขึ้นโดยที่เมื่อไหร่ก็ตามไม่ลงต่ำกว่า 1342 ถ้ายังไม่เงินเหลือก็ทะยอยสะสมไปได้เรื่อย ๆ แต่ถ้าต่ำกว่าก็แสดงว่ามีการปรับฐานใหญ่ให้ขายออกบางส่วนและซื้อกลับเมื่อราคาต่ำกว่าที่ขาย วิธีง่าย ๆ แค่นี้ก็ทำให้จำนวนทองเราเพิ่มขึ้นได้เรื่อย ๆ แล้วคับ ย้ำนะคับซื้อต่ำกว่าที่ขาย "อย่าโลภ" ความโลภทำให้ติดดอยและตกรถมามากแล้วและจะเป็นอย่างนี้ต่อไป และถ้าเล่นอย่าง VI ที่คิดแบบ TA เค้าจะไม่ขายถ้าไม่แน่ใจว่าลงจริง เพราะนั่นคือการเสียโอกาสที่เค้ารอมานานแสนนานคับ แชร์กันนะคับ...ลงทุนอย่าเครียดคับ

พี่ปุย คุณchez มันจะเปลี่ยนเป็น วินโดว์ โป๊ยเซียน = window 8 นะแล้วที่จีนกับฮ่องกงก็จะใช้เยอะขึ้น เพราะเป็นเลขมงคล (เกี่ยวกันมั๊ยหว่า 555+ เอาเป็นเกี่ยวนิดนึงก็แล้วกันเนอะ)

Golden compass หลักลากเทรนไลน์อีกวิธีที่น่าสนใจคับ จะใช้ Andrew's pitchfolk ช่วยก็ได้คับลากง่าย ๆ ไม่ยากอย่างที่คิดคับ http://forextradingonline.biz/Free-Forex-Trading-Systems-Trendlines.pdf

Golden compass ไม่ได้มาซะนาน...กระทู้นี้แรงดีจริง ๆ หวัดดี คุณเน็ก หมอเล็ก พี่ส้มโอมือ คุณเหมียวโจ คุณkunghdy ป้าแ่ว่น พี่ปุยเมฆและทุกคนคับ เอากราฟเงินจริง ๆ มาฝาก โลหะเงินยังน่าสะสมเพราะถ้าลงก็ลงได้แค่ 26 usd เต็มที่ แต่ถ้าขึ้นก็เยอะมากกกก อิอิ ตอนนี้ถ้ามองไม่ผิดกำลังจะเกิดสัญญาณ Bullish Divergent ในกราฟรายวัน คนที่ไม่ซื้อก็จะบอกเสียดายไม่ได้ซื้อไว้ก่อน คนที่ติดดอยก็จะบอกโหรู้งี๊ซื้อเพิ่มอีกก็ดีกว่า 555+ (นานาจิตตังคับ) แต่ีถ้าเป็นผม ผมทะยอยซื้อแล้วหละ เพราะลงได้ก็ลงได้อีกไม่มากอย่างมากก็เหลือ 0 แต่ถ้าขึ้น ขึ้นไป 70 กว่าก็กำไร 40++ ถ้าขึ้นไป 100 ก็กำไร 60++ แล้วถ้าขึ้นไปเกิน 100 วู๊ววววว ไม่อยากจะคิด "เราเห็นพื้นดินแล้ว แต่เรายังไม่เห็นท้องฟ้า" ว่ามันจะไปไกลสักเพียงใด "มาตรการผ่อนคลายทางการเงิน" จะทำให้เกิด Hyper inflation แล้ววันนั้นอย่ามาถามว่า เงินจริง ซื้อได้ยังคับ ??? บอกวันนี้ละกันเริ่มซื้อได้แล้วลงอีกไม่มาก ข่าวฝากไตรมาสสองเิปิด Silver Future ไตรมาสสามเปิด Oil Future ในประเทศไทยนะ(จำได้มะวันที่เปิด Gold Future ทองคำกี่ USD) ผมว่า Silver กับ Oil มันก็จะคล้าย ๆ ทองเมื่อสมัยที่เปิดแรก ๆ น่ะหละ ไม่มีอะไรมากแค่ "ตอนนี้เรากลับไปซื้อที่ราคานั้นไม่ได้แล้ว" ก็เท่านั้นเอง เอิ๊ก ๆ ๆ เชื่อผมเถอะเรื่องกราฟผมแม่นนะ 555+ :lol:

give before take ขอบคุณคับ

โทรไปเม๊าท์มาแล้ว...วันอังคารคงได้เจอ "พี่ซีซ่า" อ่ะคัีบ ... ตอนนี้เพิ่งถึงบ้าน

Golden compass ไทยโกลด์ยังร้อนแรงเหมือนเดิมนะครับ...ไม่ได้มาซะหลายวัน แซวกันได้แต่อย่าโกรธกันนะครับเดี๋ยวเฮียแบทแมนกลับมาไม่กล้าเข้าบ้านมาโพสไม่รู้ด้วย 555+

จะลงง่าย ๆ มันก็จะเสียเชิงน้องทองไปซักหน่อย ยึกยัก หน่อย ยึกยัก จะได้มีคนเข้าตามเยอะ ๆ 555+ (อาจจะรวยหรืออาจจะดอยก็ได้ใครจะรู้ ) เอาการ์ดลงพลังน้องทองไปอีกหนึ่งใบจะได้มีเหตุผลในการลง อิอิ จะได้ออกข่าวได้ว่า "ลงเพราะการ์ดลดพลัง" เอิ๊ก ๆ ๆ

555+ เฮียกัมพลตอบเสร็จต้องมีท่านี้ด้วย..... !uu ตกลงไม่ไล่เองใช่ป่าวคับ เอิ๊ก ๆ ๆ (ล้อเล่นนะคับป้า ๆ ที่น่ารัก !01 )