ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

perfection

ขาประจำ
  • จำนวนเนื้อหา

    63
  • เข้าร่วม

  • เข้ามาล่าสุด

ทุกๆอย่างที่โพสต์โดย perfection

  1. ลอกตำราแรก ศัพท์ ลอกจาก สาวกคุณ next สิงหา2011 ดอย = ราคาทองคำขึ้นสูงแล้วตกลงมา ติดดอย = ซื้อทองตอนที่ราคาสูง แล้วยังขายขาดทุนไม่ได้ ต้องรอจนราคาขึ้นมาอีกรอบจึงค่อยขาย โดมิโน่ = ทองคำแท่งประมาณ 5-10 บาท เพราะมีขนาดใกล้เคียงกัน แต่ทองคำหนักกว่ามาก พอร์ต = สัดส่วนการลงทุนประเภทต่าง ๆ Bull = ตลาดทองคำที่ราคากำลังแพงขึ้น เปรียบเสมือนกระทิงที่ดุร้าย Bear = ตลอดทองคำที่ราคากำลังตกลง เปรียบเสมือนหมีจำศีล จรวด = ราคาทองคำที่กำลังพุ่งพรวด ราวกับจรวดกำลังทะยาน slope อยู่ในแนวดิ่ง ตาโป๊งเหน่ง = นายเบอร์นันเก้ ผู้ทำหน้าที่ดูแลการคลังของ US Treasury QE = Quantitative Easing หมายถึงการพิมพ์เงินกระดาษออกมาเพิ่ม โดยไม่ได้อ้างอิงกับจำนวนทองคำ ย่อ = ปรับฐาน = ราคาทองคำตกลงมาจากเดิม buy the dip = รอซื้อเมื่อราคาตกลงมาจากเดิม ส่วนซื้อที่เท่าไรก็สุดแล้วแต่ละคนตัดสินใจ เหว = ราคาทองคำตกลงดิ่งมากกว่าคาดไว้ หรือหมายถึงจุดต่ำสุด sideway = ราคาทองคำทรงตัว ราคาขึ้นลงไม่มาก ปกติถ้าทองคำราคาบาทละ 25000 บาท อาจขึ้นลง 100-200 บาทต่อวันเป็นปกติ ผันผวน = ราคาขึ้นลงในแต่ละวันแตกต่างกันมาก เช่น 500-1000 บาทต่อวัน คลื่น Elliot = การขึ้นลงของราคาทอง 5 จังหวะ 1-3-5 ขึ้น 2-4 ลง โดยนิยมเริ่มต้นซื้อที่ 3 และราคาไปไกลสุดที่ 5 จากนั้นราคาจะตกลงมามากเพื่อเริ่มต้นคลื่นใหม่ Mania Phase = ช่วงเวลาที่คนตื่นทอง ไปซื้อทองเพิ่มทั้ง ๆ ที่ราคาทองแพงสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลายคนคาดว่าช่วงเวลาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2554 คือจุดเริ่มต้น ฟองสบู่ = ราคาทองสูงเกินจริงและพร้อมที่จะตกลงกลับมาสู่ราคาจริงของมัน SPDR = กองทุนทองคำใหญ่ที่สุดในโลก ที่เอาเงินคนซื้อกองทุนไปซื้อทองแท่งแล้วเก็บไว้ที่ธนาคารในสหรัฐหรือฮ่องกง เมื่อมีคนซื้อเพิ่มหรือขายออก กองทุนก็จะมีการซื้อขายตาม กองทุนทองคำ = กองทุนในตลาดหุ้นสิงคโปร์หรือนิวยอร์กหรือลอนดอนที่หาซื้อได้จากธนาคารต่าง ๆ โดยมักเอาเงินเราไปซื้อกองทุน SPDR อีกต่อหนึ่ง Fort Knox = สถานที่เก็บทองคำแท่งของประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งได้ชื่อว่ามีมากที่สุดในโลก แต่หลายคนวิจารณ์ว่าที่นี่ไม่มีทองคำจริง ๆ อยู่ ************************************************************************************************************************ hinalove พูดว่า: จริง ที่เราใช้กัน แบบไม่เป็นทางการใน web นี้ได้แก่ 1.ติดดอย คืออาการของคนที่ซื้อ ณ ราคาสูงโดยคาดว่าราคาจะขึ้น แล้วปรากฎว่าราคาลง กรณีที่เป็นการลงครั้งแรกๆ ราคาต่างจากที่ซื้อไม่มาก เราจะเรียกว่าเนินดอย ครับผม แต่ถ้าลงมากๆ หลายๆครั้งอย่างต่อเนื่อง จากเนิน ก็จะกลายเป็นดอยในทันที 2.ขายหมู กรณีที่ เราซื้อในราคาต่ำ แล้วคาดการณ์ว่ามันจะขึ้น แล้วมันก็ขึ้นไปนิดเดียว แล้วมันลงมานิดหน่อย แล้วเราขายเพราะกลัวว่ามันจะลงเยอะ เราจะได้กำไรนิดเดียว แต่พออีกซักพักหนึ่ง ราคาขึ้นแบบสูงมากๆ แต่นั่นเสียดายว่า ถ้ารออีกหน่อย กำไรเยอะกว่า เรียกว่าขายหมูครับ 3.ตกรถ กรณีที่เราคาดว่า ราคาจะลงต่ำอีก ในขณะที่คนอื่นเขาซื้อกันแล้ว แต่เราคิดว่าราคาจะลงต่ำอีก เลยรอที่จะซื้อ แต่ปรากฎว่าราคามันวิ่งไปสูงมากๆ จนเราไม่อยากจะซื้อ ดังนั้นรอบที่มันขึ้นนั้น คนอื่นเขาขายได้กำไร แต่เราไม่มีของให้ขาย เรียกว่าตกรถครับ 4.พิสูจน์ราคาฐาน ส่วนใหญ่ที่เราเรียกกันในเว็บนี้ จะเรียกว่าทดสอบราคาฐาน ไม่เรียกว่าพิสูจน์ราคาฐาน แต่น่าจะเป็นคำเดียวกัน คือการที่เมื่อวัดจากทฤษฎี Elliot Wave โดยปกติ คนที่มีความรู้ทางด้านเทคนิคของกราฟ จะมีอีก 2 คำที่ควรรู้คือ แนวต้าน คือ ระดับราคาสุงสุดที่คาดว่ากราฟจะวิ่งขึ้นไปทดสอบ ซึ่งจะแบ่งเป็นแนวต้านย่อยๆ ตามทฤษฏี Elliot Wave แบ่งได้เป็นด่าน คือ ต้าน 1,ต้าน 2,ต้าน 3 แนวรับ คือ ระดับราคาต่ำสุดที่คาดว่ากราฟจะวิ่งลงมาทดสอบ ซึ่งจะแบ่งเป็นแนวรับย่อยๆ ตามทฤษฏี Elliot Wave แบ่งได้เป็นด่านๆ คือ รับ 1,รับ 2,รับ 3 กรณีที่กราฟวิ่งขึ้นแล้วไปทดสอบแนวต้าน ที่คาดไว้ คือวิ่งไปแล้วเด้งกลับ ทั้งขาขึ้นและขาลง เรียกว่าทดสอบแนวต้านหรือแนวรับไม่ผ่าน มีโอกาสที่จะกลับทิศได้ เช่นทดสอบแนวต้านไม่ผ่านมันจะเด้งลงมา ถ้าเด้งลงไม่แรงก็อาจจะไปทดสอบแนวต้านครั้งที่ 2 แสดงว่ามีแรงเทขายทำให้ราคาเด้งกลับลงมา กรณีที่กราฟวิ่งลงแล้วทดสอบแนวรับ คือลงไปแล้วเด้งกลับขึ้นมา คือทดสอบแนวรับไม่ผ่าน กรณีที่ทดสอบแล้วเด้งขึ้นนิดหน่อย อาจจะมีการลงไปทดสอบอีกหลายรอบ หรืออาจจะกลับตัวเป็นขาขึ้นเลยก็ได้ อันนี้ต้องดูกราฟและวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งแนวต้านแนวรับ ของแต่ละท่านจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับมุมมอง และประสบการณ์ของแต่ละท่าน 5.ออกข้าง หรือ side way คือเกิดจากกรณีที่ กราฟทดสอบแนวรับ และแนวต้านแล้วไม่สามารถออกนอกกรอบ แนวต้านแนวรับ มันจะเป็นรูปฟันปลา คือขึ้นสลับลง เรียกว่าออกข้าง 6.การซ๊อต (short)ใช้กับตลาดอนุพันธ์ (ตลาดล่วงหน้า) คือกรณีที่เราไม่มีของในมือ และเราคาดว่าราคาจะลงเราจะทำการขายทอง ณ วันที่ปัจจุบัน ขณะที่ยังไม่มีของ แล้วไปซื้อ พอราคาต่ำลงในวันข้างหน้า เราจะได้ส่วนต่างกำไรจากการ ขายล่วงหน้า 7.ลอง (long)ใช้กับตลาดอนุพันธ์ (ตลาดล่วงหน้า) คือกรณีที่เราไม่มีของในมือง และเราคาดว่าราคาจะสูงขึ้นในวันข้างหน้า ณ วันที่ปัจจุบัน เราจะทำการซื้อล่วงหน้า ในลักษณะของสัญญา พอถึงกำหนดสัญญา คืออีก 3 เดือนราคาที่เราซื้อล่วงหน้าต่ำกว่า ราคา realtime เราจะได้กำไรจากส่วนต่างการซื้อล่วงหน้า 8.คัดลอส (cut loss) คือใช้ตอนขาลงของทอง คือทองลงแล้วเราคาดว่า ทองจะลงอีกมากๆ ถ้าเราขายขาดทุน ณ ปัจจุบัน กรณีที่มันลงต่อเนื่อง เราอาจจะขาดทุนน้อยกว่า รอให้มันลงไปเรื่อยๆ การตัดขาดทุนเรียกว่า cut loss 9.กลับตัว คือกรณีที่เป็นขาขึ้นแล้วกำลังจะกลับเป็นขาลง หรือกรณีขาลงแล้วจะกลับเป็นขาขึ้น (ต้องวิเคราะห์ตามทฤษฏี Elliot Wave) 10.พอร์ต คือกรณีที่เรามีเงินที่จะลงทุนอยู่จำนวน 100% แล้วเราเอามาแบ่งเป็นย่อยๆ เพื่อที่จะสามารถซื้อได้หลายๆครั้ง เพื่อความปลอดภัย บางท่านอาจจะแบ่งเป็น 25% 25% 25% 25% แล้วเข้าซื้อทีละครั้ง ได้ 4 ครั้งเรียกว่า 4 พอร์ต เข้าซื้อครั้งละ 25% ได้ 4 ครั้ง บางท่านอาจจะแบ่งเป็น 40% 30% 20% 10% แล้วเข้าซื้อทีละครั้ง ได้ 4 ครั้งเรียกว่า 4 พอร์ต เข้าซื้อตามที่แบ่งได้ 4 ครั้งเช่นกัน กรณีที่เดิมทีคาดว่า จะแบ่งแค่ 4 พอร์ต แล้วซื้อตามสูตรแล้ว ปรากฎว่าติดดอยหมดทุกพอร์ต อาจจะมีการขยายพอร์ตการลงทุน คือเพิ่มไปอีก 100% จากของเดิมที่ติดดอย แล้วเอามาแบ่งเพื่อเข้าซื้ออีก เรียกว่าขยายพอร์ต การแบ่งพอร์ตของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน เพราะบางคนอาจจะแบ่ง 2 พอร์ตใหญ่ และใน 2 พอร์ตมีพอร์ตย่อยอีก 3 หรือ 4 หรือ 5 ก็ได้ ขึ้นอยู่กับเงินลงทุน และอาจจะมีการปรับพอร์ต ณ เวลาที่เปลี่ยนไป ขึ้นอยู่กับเงินลงทุนของแต่ละคนครับ 11.เฉลี่ยดอย กรณีที่ เราเข้าซื้อในระดับราคาสูง แล้วปรากฏว่าราคาทองลงมามาก แล้วมีเงินในพอร์ตเหลือ ต้องการให้ราคาที่ซื้อในราคาสูง(ติดดอย) ต่ำลงมาเราจะนำพอร์ตที่เหลือ (เงินที่เหลือทำการซื้อเพิ่ม) แล้วเราราคาที่ซื้อสูง และราคาต่ำมารวมแล้วหารตามจำนวนทองที่ซื้อ ราคารวมมันก็จำต่ำลงเรียกว่าเฉลี่ยดอย เช่น ครั้งแรกเราซื้อที่ 14000 ต่อบาททอง จำนวน 10 บาททอง ครั้งทีสองเราซื้ออีกที่ 12000 ต่อบาททอง จำนวน 10 บาททอง ต้นทุนเฉลี่ยของทองจะเหลือแค่ 13000 บาทต่อบาททอง เรียกว่าซื้อ ณ ราคาต่ำเพื่อเอามาเฉลี่ยดอย อ้างถึง ภาวะกระทิง กับภาวะหมี มันเป็นเรื่องที่ตอบยากพอกับการนับคลื่น Elliot Wave ของผู้เชี่ยวชาญการวิเคราะห์ครับผม คือความหมายเดิม ภาวะกระทิงมาจากสัญลักษณ์ของกระทิงที่ขวิดขึ้น และภาวะหมีมาจากหมีที่ตบลง หรือความหมายแฝงหมายถึงกรทิงที่คึกคัก หรือหมีที่จำศีล ดังนั้นภาวะกระทิงจึงหมายถึง การขึ้นของหุ้น หรือทองคำอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นภาวะหมีจึงหมายถึง การลงของหุ้น หรือทองคำอย่างต่อเนื่อง แล้วถ้ามันเกิดเป็นกระทิงอยู่ คือขึ้นอย่างต่อเนื่อง แล้วลงมา 1 ครั้ง แล้วขึ้นต่อเราจะเรียกมันว่าภาวะกระทิงหรือภาวะหมี โดยปกติเราก็เรียกมันว่าภาวะกระทิง เพราะเหมือนกับการลงมาพักนิดหนึ่งแล้วไปต่อ ทีนี้ในคลื่น Elliot Wave เวลาเราจะวิเคราะห์ รูปแบบคลื่น เราจะต้องดูเป็นรายชั่วโมง รายสี่ชั่วโมง รายวัน รายเดือน รายปี ซึ่งถ้าใช้มุมมองที่ต่างกัน การจะกำหนดภาวะว่าเป็นกระทิง หรือภาวะหมี นั้นก็ต้องแล้วแต่การวิเคราะห์ ของนักวิเคราะห์แต่ละคน เช่น รายวันของเดือนอาจจะอยู่ในภาวะหมี แต่รายเดือน กับรายปีอาจจะยังคงอยู่ในภาวะกระทิง ซึ่งจะให้กำหนดว่าภาวะกระทิงหรือภาวะหมี คงไม่มีใครบอกได้จริงๆ ในระยะอันใกล้หรอกครับ โดยส่วนใหญ่ ถ้าภาวะที่ indicator ทุกตัวทั้งรายชั่วโมง รายสี่ชั่วโมง รายวัน รายเดือน รายปี และรายสิบปี เป็นไปในทิศทางที่ขึ้นอย่างต่อเนื่องก็จะระบุเป็นภาวะกระทิง แต่ในทางกลับกัน indicator ทุกตัวทั้งรายชั่วโมง รายสี่ชั่วโมง รายวัน รายเดือน รายปี สนับสนุนให้ราคาสู่ภาวะซบเซา ก็จะกำหนดภาวะให้เป็นตลาดหมี ดังนั้นจะเป็นแบบหนึ่ง หรือแบบ 2 มันต้องดูว่าเขาดูภาพแคบ หรือภาพกว้าง ภาพแคบอาจจะเป็นหมี ภาพกว้างอาจจะเป็นกระทิง ก็ได้ ถ้าให้นักวิเคราะห์มานั่งคุยกัน คนหนึ่งอาจจะเห็นว่าลงแค่ช่วงเวลา 1 เดือน แล้วขึ้นต่อไปเป็นกระทิง คนหนึ่งอาจจะบอกว่ามันคงไม่ขึ้นแล้วเป็นหมีไปแล้ว คนหนึ่งบอกว่ากระทิงมันแค่หลับ 1 เดือนเดี๋ยวมันตื่นขึ้นมาขวิดต่อ ดังนั้นมันก็ไม่มีอะไรตายตัวเหมื่อนคลื่น Elliot Wave ดังนั้นจะเรียกอะไรแล้วแต่มุมมองของนักวเคราะห์ ดังนั้นมันก็ไม่พ้นสัจจะธรรม อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ////////////////////////////////////////////////////////////////// โพสต์ 07 มิถุนายน 2010 - 16:30 ปุยเมฆ พูดว่า: STOP LOSS คือการหยุดการเสียหาย หรือการขายเพื่อกันการขาดทุน เป็นการลดความเสี่ยงโดยแท้จริง CUT LOSS คือการลดการขาดทุน ไก่บ้าน: stop loss คือการหยุดการเสียหายครับ คือเราต้องการ สู้แค่ไหน เช่น ถ้าผมลงทุนไป 100บาท ผมยอมขาดทุนแค่ 20บาท ผมก็ตั้งไว้เลย ว่าจะยอมขาดทุนแค่ 20บาท ไก่บ้าน: การ cut loss เกิดจาก การที่เราต้องรู้แน่ว่า มันลงยาวและหนักจริงๆ และสามารถ ซื้อกลับมาในราคาที่ทำกำไรได้จริงๆ ครับ ///////////////////////////////////////////////////////////////////// ที่มา: อ้่านตำรา ลอกการบ้าน มาฟันธง
  2. ฟันธง ปี2556 4 ข้อดี เรียงใหม่แบบกลับด้านพูดเป็นข้อเสีย
  3. ทฤษฏี Elliott Wave สร้างขึ้นโดย Ralph Nelson Elliott ซึ่งเขาได้พัฒนามาจาก Down Theory โดยเนื้อหาบทสรุปของทฤษฎีนี้คือ Pattern ของราคาหุ้นมันจะมีพฤติกรรมเป็นลักษณะลูกคลื่น ซึ่งสามารถแจงรายละเอียดในหลักการได้ดังนี้ ถ้ามีแรงกระทำย่อมมีแรงโต้ตอบ ซึ่งอนุมานในการเล่นหุ้นคือ เมื่อหุ้นมีขึ้น มันก็ต้องมีลง และเมื่อมันลงถึงจุดนิ่งแล้ว มันก็พร้อมที่จะขึ้นในรอบต่อไป ซึ่งภาษานักวิเคราะห์หุ้นทั้งหลายเขาเรียกว่าหุ้นรีบาวน์ ( rebound ) และหุ้นปรับฐาน ( retrace ) Elliott Wave ประกอบด้วยลูกคลื่นในขาขึ้น 5 ลูก ( 1-2-3-4-5) และลูกคลื่นในขาลง 3 ลูก (a-b-c) ในช่วงขาขึ้นเราเรียกว่า Impulse ส่วนขาลงเราเรียกว่า Correction ในหนึ่งรอบหรือ cycles ของ Elliott Wave นั้นจะเป็น series ของ impulse และ correction .....จากนิยามข้างต้นสามารถแสดงด้วยกราฟดังข้างล่าง และแนะนำว่าคุณต้องจำ pattern นี้เอาไว้ให้แม่นยำ wave 1,2,3,4,5,a,b,c จากกราฟจะเห็นว่าจุดสูงสุดของรอบจะอยู่ที่คลื่นลูกที่ 5 ส่วนจุดเริ่มต้นคือคลื่นลูกที่ 1 ในช่วงที่หุ้นเป็นขาขึ้น การขึ้นยังไม่แรงเท่าที่ควร เพราะนักลงทุนหรือนักเล่นหุ้นต่างคอยดูเชิงซึ่งกันและกัน ราคาหุ้นก็จะไต่ขึ้นมาที่คลื่นลูกที่ 1 หลังจากนั้น ก็จะมีนักเล่นหุ้นบางกลุ่มที่คอยจังหวะขายหุ้นโดยที่หวังกำไรไม่มากนัก หรือ อย่างน้อยก็ขาดทุนไม่มาก ทำให้หุ้นปรับฐาน( retrace ) ลงมาเล็กน้อยที่คลื่นลูกที่ 2 หลังจากราคาหุ้นได้ปรับฐานมาที่คลื่นลูกที่ 2 แล้ว ในช่วงนี้เอง volume การซื้อขายเริ่มมากขึ้น ทำให้นักเล่นหุ้นอื่นๆมองเห็นแนวโน้มทิศทางของหุ้นตัวนี้ จึงเริ่มเข้าซื้อหุ้นด้วย volume ที่มาก ทำให้ราคาหุ้นปรับตัว ( rebound ) สูงขึ้นมาก โดยทฤษฏีแล้ว คลื่นลูกที่ 3 จะเป็นคลื่นลูกที่สูงที่สุด ราคาหุ้นปรับตัวมาที่คลื่นลูกที่ 3 ทำให้นักเล่นหุ้นมีกำไรเป็นกอบเป็นกำ จึงเริ่มทะยอยขายหุ้นออกมา ราคาหุ้นก็เริ่ม retrace มาที่คลื่นลูกที่ 4 การปรับฐานของราคาหุ้นมาที่คลื่นลูกที่ 4 นี้ ดูเหมือนว่ามันน่าจะหยุดขึ้นต่อไป แต่ทั้งนี้ยังมีนักเล่นหุ้นบางกลุ่มที่ตกขบวนรถไฟ และยังมีความเชื่อว่าหุ้นตัวนี้สามารถวิ่งต่อได้ จึงเข้าไล่ซื้ออีกรอบหนึ่ง ทำให้หุ้นสามารถวิ่งต่อไปได้จนถึงคลื่นลูกที่ 5 แต่โดยพฤติกรรมแล้ว คลื่นลูกที่ 5 จะมีขนาดสั้นกว่าลูกที่ 3 เนื่องจากความกล้าๆกลัวๆของนักเล่นหุ้นทำให้ตัดขาย หรือทำกำไรเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว .เมื่อราคาหุ้นปรับตัวมาที่จุดสูงสุดคือคลื่นลูกที่ 5 แล้ว และมีการขายทำกำไรกันออกมา ทำให้ราคาหุ้นปรับฐานลงมาที่คลื่น a, การขายรอบนี้นักเล่นหุ้นจะประสานเสียงหรือร่วมมือร่วมใจกันขายหุ้นออกมาปริมาณมาก หรือบางครั้งเกิด panic เล็กๆ เมื่อหุ้นปรับฐานมาที่คลื่น a นักเล่นหุ้นบางคนจะมองว่าราคาหุ้นมันถูกลงจึงเข้าซื้อทำให้ราคาหุ้น rebound เล็กน้อยไปที่คลื่นลูกที่ b แต่การขึ้นครั้งนี้มันขึ้นไม่แรง เพราะมันยังไม่สามารถเอาชนะใจคนอื่นๆได้ พอขึ้นไม่แรงก็ขายดีกว่า ทำให้มีการขายหุ้นกันออกมาทำให้ราคาหุ้นปรับฐานลงที่คลื่น c หลังจากจบคลื่น c แล้วก็ถือว่ามันครบรอบหรือ cycle ของหุ้นอย่างสมบูรณ์ ผมขอทวนนะครับ คลื่น Elliott Wave ประกอบด้วยหุ้นขาขึ้น ( impulse) คลื่นลูกที่ 1,2,3,4,5 ส่วนหุ้นขาลง ( correction ) มีคลื่นลูก a,b,c การเข้าใจพฤติกรรมของหุ้นโดยอาศัยหลัก Elliott Wave จะทำให้เรารู้สถานะและแนวโน้มของมัน ทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้นในการ trade จากที่กล่าวข้างต้นเป็นเพียง Basic Concept เท่านั้น แต่มันยังมีความซับซ้อนมากกว่านี้ โดยที่หุ้นขาขึ้นลูกที่ 1,2,3,4,5 สามารถรวบเป็นคลื่นลูกที่ 1 และหุ้นขาลง a,b,c สามารถรวบเป็นคลื่นลูกที่ 2 ได้ เช่นกราฟด้านล่าง การที่หุ้นมัน rebound หรือ retrace นั้น ถามว่ามันจะขึ้นไปถึงไหน และ มันจะลงมาถึงไหน ตรงจุดนี้ก็มีทฤษฎีที่อธิบายได้เช่นกันนั่นคือ Fibonacci Numbers ซึ่งเป็นเนื้อหาที่สามารถเขียนเป็นหนังสือหรือคู่มือเป็นเล่มหนาประมาณ 1 นิ้วได้ ซึ่งผมไม่สามารถนำมาอธิบายในที่นี้ได้ แต่ก็ขอนำเอาผลของมันมาใช้เลยดีกว่าครับ Fibonacci Numbers เป็นตัวเลขที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับธรรมชาติ เป็นตัวเลขที่เรียกได้ว่ามหัศจรรย์เลยทีเดียว ตัวเลขที่เราสามารถนำมาใช้ได้เลยมีดังนี้ แบบทศนิยม แบบเปอร์เซ็นต์ 0.236 23.60 % 0.382 38.20 % 0.500 50.00 % 0.618 61.80 % 0.764 76.40 % 1.000 100.00 % 1.382 138.20 % 1.618 161.80 % 2.618 261.80 % 4.236 423.60 % ...... . หลายคนคงพอจะคุ้นกับตัวเลขพวกนี้บ้างนะครับ อย่างน้อยนักวิเคราะห์หุ้นหลายสังกัดก็นิยม หรือพูดถึงกันมากเช่น หุ้นกำลังปรับฐานลงมาในระดับ 38.20% ซึ่งก็คือแนวรับที่นักวิเคราะห์จะทำนายได้ว่าราคาหุ้นมันมีแนวรับที่ระดับราคาเท่าไหร่ ซึ่งอันที่จริงนักวิเคราะห์ก็ไม่ใช่หมอดู หรือนักคำนวนที่เก่งกาจเท่าไหร่ (ต้องขอโทษที่กล่าวเช่นนี้ ) เพราะเราสามารถใช้โปรแกรมวิเคราะห์หุ้นมาใช้หาจุดแนวรับ แนวต้านโดยใช้ tool ได้มากมาย รวมทั้ง Fibonacci Numbers ที่กล่าวไว้เช่นกัน โปรแกรมที่นิยมสุดๆก็คือ Meta Stock ซึ่งปัจจุบันล่าสุดได้พัฒนาไปถึง Version 8.00 แล้ว ราคาก็ประมาณหมื่นกว่าบาท แต่คิดว่ามันมีประโยชน์ก็เลยแนะนำกัน เราลองมาดูตัวอย่าง Fibonacci Numbers ที่ใช้ใน Meta Stock กันดูบ้าง จากกราฟราคาหุ้นข้างต้น เป็นตัวอย่างจริงของหุ้น BBL เมื่อราคาหุ้นมันขึ้นจากจุดที่ 1 ไปจุดที่ 2 และมันก็ปรับฐาน retrace ลงมา ทีนี้หากเราไม่มีวิชาติดตัวถามว่าราคาหุ้นมันควรจะลงมาเท่าไหร่ก็ไม่สามารถจะคาดคะเนได้ แต่หากเรามีวิชาติดตัว คุณคงบอกได้นะครับว่าแนวรับมันควรจะอยู่ที่ไหน ถ้าเราใช้ Meta Stock เราก็จะได้แนวรับหลายระดับได้แก่ แนวรับที่ 23.6% , 38.2%, 50.0%, 61.80% ในที่นี้แนวรับมันหยุดที่ 50% ที่ราคาใกล้ๆ 48 และหลังจากนั้นมันก็ rebound ขึ้นต่อไป โดยที่ตัวเลขแนวรับที่เกิดขึ้น Meta Stock จัดการให้ทั้งหมด .แน่นอนครับเราคงไม่ได้ใช้เจ้า Fibonacci Numbers เพียงอย่างเดียวมาวิเคราะห์หุ้น ถ้าจะให้ดีเราควรนำเอา indicators ตัวอื่นๆมาวิเคราะห์ด้วยเช่นกัน ซึ่ง indicators พวกนี้ศึกษาได้จากหนังสือที่เกี่ยวกับ technicalanalysis ได้หลายเล่มในท้องตลาด ตัวอย่างข้างล่างเป็นการนำเอา indicator เช่น MACD ( Oscillator ) มาประกอบในการวิเคราะห์ เพื่อหาว่าคลื่นของ ELLIOTT มันวิ่งไปถึงคลื่นลูกที่ 5 หรือยัง ซึ่งจะสังเกตุเห็นว่าเส้นสีแดงที่ลากเชื่อมระหว่างจุด 3 และ 5 มีทิศทางขึ้น ในขณะที่เส้นแดงที่ลากเชื่อมระหว่างจุดยอดของ MACD มีทิศทางลง ลักษณะนี้เรียกว่าเกิด divergence คือมันมีทิศทางสวนทางกัน เช่นนี้ก็จะสามารถ forecast ได้ว่ากราฟหุ้นได้มาถึงจุดสูงสุดคลื่นลูกที่ 5 แล้ว ช่วงขาขึ้นประกอบด้วยคลื่น 1,2,3,4,5 สังเกตว่าคลื่นลูกที่ 2,4 เป็นคลื่นช่วงปรับฐานย่อย ส่วนคลื่น 1,3,5 เป็นคลื่น rebound แต่ถ้ามองเป็น Channel แล้ว ภาพรวมมันเป็น Uptrend ลักษณะของคลื่นลูกที่ 2 จะปรับฐานโดยจะไม่ต่ำกว่าจุดเริ่มต้นของ คลื่นลูกที่ 1 การปรับฐานคลื่นลูกที่ 2 นั้นเกิดจากขายเพื่อหนีต้นทุน เนื่องจากก่อนการเกิดคลื่นลูกที่ 1 มันผ่าน downtrend มาก่อน ทำให้พอหุ้นมีการ rebound ขึ้นมาที่ลูกคลื่นที่ 1 ได้ นักเล่นหุ้นบางกลุ่มก็ยอมขายขาดทุนออกมา ทำให้ราคาหุ้นตก และปรับฐานเป็นคลื่นลูกที่ 2 การ form ตัวคลื่นลูกที่ 3 นั้นจะสังเกตุได้จากยอดของคลื่นลูกที่ 1จะเป็นแนวต้านที่สำคัญ หากมันไม่สามารถทะลุผ่านจุดนี้ไปได้ นั่นแสดงว่าคลื่นลูกที่ 3 นั้นมันมีปัญหา หรือผิดพลาด แต่ถ้าลูกคลื่น สามารถทะลุผ่านแนวต้านนี้ ไปได้แสดงว่าการ form ตัวเป็นคลื่นลูกที่ 3 น่าจะสมบูรณ์ ส่วนมากแล้วคลื่นลูกที่ 3 จะเป็นคลื่นที่แรงที่สุด ดังนั้นหากราคาหุ้นมันทะลุยอดของคลื่นลูกที่ 1 พร้อมทั้งเกิด Gap กระโดดอยู่เหนือยอดคลื่นลูกที่ 1 ได้ ย่อมแสดงถึงทิศทางของหุ้นกำลังเข้าสู่ Bullish state อย่างคึกคัก สาเหตุที่คลื่นลูกที่ 3 เป็นคลื่นลูกที่ร้อนแรงที่สุดนั้น ก็เพราะว่านักเล่นหุ้นต่างก็มองเห็นทิศทาง ของมันอีกทั้งยังเกิด gap ของราคาหุ้นด้วย ทำให้นักเล่นหุ้นที่พลาดโอกาสซื้อ ณ จุดต่ำสุดนั้น ต้องรีบกระโดดเข้ามาร่วมวงด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองต้องตกขบวน เมื่อคลื่นลูกที่ 3 ได้ไต่ระดับขึ้นมามากแล้ว นักเล่นหุ้นกลุ่มแรกที่ซื้อหุ้นไว้ ณ ระดับราคาช่วงต่ำสุด ก็เริ่มทะยอยขายทำกำไรออกมา ทำให้ราคาหุ้นมีการปรับฐานเกิดคลื่อนลูกที่ 4 ส่วนนักเล่นหุ้นกลุ่มที่ไม่ได้ซื้อหุ้น ณ ระดับราคาต่ำสุดยังไม่ได้ขายหุ้นออกมาก อีกทั้งยังมีการซื้อเฉลี่ยต้นทุนด้วย และเชื่อว่าโอกาสที่หุ้นจะขึ้นยังมีอยู่ จึงเข้าซื้อ ทำให้ราคา rebound ขึ้นไปเป็นคลื่นลูกที่ 5 แต่การ form ตัวเป็นคลื่นลูกที่ 5 จะไม่คึกคักเท่ากับคลื่นลูกที่ 3 แล้วจุด peak ของ uptrend ก็มาหยุด ณ คลื่นที่ 5 ช่วงขาลง downtrend เป็นช่วงที่คาดคะเนได้ยากพอสมควร นักเล่นหุ้นบางคนสามารถทำกำไรจาก price gainging ได้ในช่วงหุ้นขาขึ้น แต่ก็ต้องขาดทุนในช่วงหุ้นขาลง เพราะการพยากรณ์ หรือ คาดคะเนหุ้นขาลงมันจะยุ่งยากและซับซ้อนกว่าช่วงขาขึ้น หุ้นขาลงประกอบด้วยคลื่นลูกที่ A,B,C ซึ่งการปรับทิศทางลง แบ่งเป็น Simple Correction Complex Correction Simple Correction หรือเรียกว่า zig-zag ก็ได้ โดยการปรับทิศทางลงของหุ้นประกอบด้วยคลื่นลูกที่ A,B,C ทั้งนี้คลื่นลูก B จะ retrace ไม่เกิน 75% ของคลื่น A.และคลื่น C จะมีขนาดมากกว่าหรือเท่ากับคลื่น A WAVE-B ปกติจะมีขนาดของคลื่นเป็น 50% ของคลื่น A และไม่ควรเกิน 75% ของคลื่น A WAVE-C เป็นไปได้ตามกรณี = 1.00 เท่าของ คลื่น A. = 1.62 เท่าของ คลื่น A. = 2.62 เท่าของ คลื่น A. นี่คือรูปแบบตัวอย่างของ ZIG-ZAG Correction Complex Correction มีด้วยกัน 3 รูปแบบ FLAT IRREGULAR TRIANGLE Flat Correction ลักษณะนี้จะมีรูปแบบเหมือน sideway ออกไปด้านข้าง โดยคลื่นลูก A,B,C จะอยู่ในแนวราบออกด้านข้าง Irregular รูปแบบนี้คลื่น B จะ retrace เกินขนาดของคลื่น A Triangle Correction : รูปแบบของ Triangle Corrections จะformตัวขึ้นเป็นรูป 3 เหลี่ยม โดยลากเส้นเชื่อมแนวต้าน และลากเส้นเชื่อมแนวรับ เส้นทั้งสองจะ form ตัวเป็นรูปสามเหลี่ยมที่ภายในมีคลื่น a,b,c,d,e ถ้าหุ้นอยู่ในช่วง uptrend มันก็จะทะลุผ่านแนวต้านสามเหลี่ยมและก็วิ่งขึ้นต่อไป ถ้าหุ้นอยู่ในช่วง down trend มันก็จะทะลุผ่านแนวรับสามเหลี่ยมและก็ล่วงลง การนำ Elliott Wave มาวิเคราะห์หุ้นนั้นนับว่ามันมีประโยชน์มากทีเดียว แต่เชื่อหรือไม่ครับว่า คนสิบคนกำหนดหรือสร้าง Elliott Wave ไม่เหมือนกันคือ บางคนระบุราคาหุ้นตอนนั้นเป็นคลื่นลูกที่ 3 แต่บางคนก็ระบุเป็นคลื่นลูกที่ 5 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ และเครื่องมือที่นำมาประกอบการวิเคราะห์ กราฟที่ระบุจุด Buy-Sell ที่ RicherStock นำเสนอนั้น ได้ผ่านขบวนการใช้ Elliott Wave Analysis แล้ว และนำเอาผลมา plot ลงในกราฟเพื่อบอกจุด turning point ซึ่งนั่นก็คือจุดต่างๆของคลื่น Elliott นั่นเอง ดังนั้นคุณสามารถนำเอาจุด Buy-Sell ไปใช้ประโยชน์ในการ trade ได้โดยขอให้ดูวิธีการใช้ใน Profit Making Manual สิ่งสำคัญที่ขอเน้นนะครับคือ ไม่ว่าเราจะมีเครื่องมือที่ดีเลิศอะไรก็ตาม แต่สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดคือ DISICIPLINE อย่าลืมนะครับ discipline ต้องยึดมั่นให้ดีแล้วคุณจะประสบความสำเร็จ
  4. #3pongacku โพสต์ 21 มิถุนายน 2010 - 04:48 วิธีการออกจากการลงทุนมี 3 รูปแบบ จริงๆแล้ว เราก็ใช้วิธีนี้ในการเข้าก็ได้ครับ 1 การเข้าออกไม้เดียว นิยมใช้กับการลงทุนทั่วไป โดยเรามีความมั่นใจในอ่านการลงทุนนั้นๆ และใช้กับการลงทุนกลางน้ำ อธิบายเพิ่มเติม คือการเข้าออก 100% ของที่จำนวนเงินที่เราต้องการลงทุน เวลาเข้า เหตุผลที่เรานิยมใช้ วิธีนี้จุดที่ 3 คือคุณเข้าช้าแล้วมีโอกาสผิดพลาดสูงหากแบ่งเข้าขอบอกเลยโอกาสทำกำไรจะต่ำมากๆ เวลาออก เหตุผลที่เรานิยมใช้คือ มั่นใจและเก่งด้านการอ่านจังหวะเข้าและไม่กลัวที่จะขายหมูมากนัก เราก็ใช้ระบบในการตัดสินใจนะครับ รูปที่ให้คือจุด 1-3 นะครับ อธิบายเพิ่มเติม จุดที่1 คือจุดสะสมกำลัง (การลงทุนควรเข้าจุดนี้แต่คุณต้องอ่าน Value มันออกซึ่งถ้าเป็นหุ้นคงง่ายกว่าทองถ้าคุณอ่านงบดุลและคาดการณ์มันได้) จุดที่2 ต้นน้ำขาขึ้น (การลงทุนควรเข้าจุดนี้ ขึ้นจากจุดสะสมกำลัง) จุดที่3 กลางน้ำ (ควรตัดสินใจถ้ายังมีGAP ในการลงทุนพอควร) รูปย่อ #4pongacku 2 การเข้าออกโดยทยอยแบ่งเป็น % เข้า นิยมใช้จุดที่2ตอนต้นน้ำและจุดที่1ช่วงสะสมกำลัง เราจะแบ่งพอร์ตเป็นส่วนๆเท่าๆกันแล้วทยอยเข้าเป็นไม้ๆ เวลาเข้า อันนี้คงต้องอธิบายหน่อยเช่น เราแบ่งพอร์ตเป็น 3ส่วนเท่าๆกัน และกำหนดเข้า ทุกๆ0.5 บาท ไม้แรก เราลงทุน 20บาท หาก ราคาตกไปกว่า 19บาท Cutloss หากวิ่งไป 20.5ตัดสินใจเข้าอีกไม้ ไม้สอง เราลงทุน 20.5 หากราคาตกไปที่ 19.5 เราCutloss 2 ไม้หากวิ่งไป 21 เราก็ตัดสินใจเข้าอีกไม้ *ขอสังเกตุไม้แรกเราจะเลื่อนCutloss แล้ว ตามราคาที่วิ่งขึ้นสูงสุด ไม้ที่สาม เราลงทุน 21 บาท หากตกไปที่ 20บาท เราจะCutloss 3 ไม้ หากราคาวิ่งไป24บาท ทุกไม้จะcutloss ที่ 23 บาทครับ *ขอสังเกตุไม้แรกและไม้สองเราจะเลื่อนCutloss แล้ว ตามราคาที่วิ่งขึ้นสูงสุด เวลาออก ก็อาจใช้ร่วมกับระบบต่างๆ เช่น%port,Moving Avg,ค่าความSwing จะพูดอีกทีในส่วนนั้นครับ รูปย่อ #5pongacku โพสต์ 21 มิถุนายน 2010 - 04:49 3 การเข้าออกแบบปีรามิดคว่ำ-หงาย พูดง่ายๆคือการแบ่งเข้าออกแบบมากไปน้อยหรือน้อยไปมาก เช่น (40% 30% 20% 10%),(50%,30%,20%),(60%,40%),(70%,30%) เวลาเข้า เรานิยมใช้แบบปิรามิดหงาย(มาก=>น้อย) จุดที่1ช่วงสะสมกำลังและจุดที่2ตอนต้นน้ำ จุดที่3ช่วงกลางน้ำ พูดง่ายๆทุกช่วงที่สามารถลงทุนได้ยกเว้นปลายน้ำ เรานิยมแบบปิรามิดคว่ำ(น้อย=>มาก) จุดที่1ช่วงสะสมกำลังและจุดที่2ตอนต้นน้ำ เท่านั้น ถ้าเข้าช่วงกลางน้ำ ถือว่ามีความเสี่ยงมาก เวลาออก เรานิยมใช้แบบปิรามิดหงาย(มาก=>น้อย) สถานะการณ์ที่เราจะออกแบบนี้ต่อเมื่อมันใกล้เป้าหมายที่กำหนดมากเช่นทองวิ่งไป 122X ในสมัยก่อนซึ่งทำ New High ทั้งๆที่เป้าหมายประมาณ 1250 ดังนั้นเราจะออกมากก่อนแล้วมันดันลงมาอีกขั่นเราก็ค่อยๆออกจนหมด สรุป วิธีออกแบบนี้นิยมใช้กับจุดที่ใกล้เป้าหมาย หรือ ช่วงเวลาที่ราคาทุบหนักมากและมี Volume เรานิยมแบบปิรามิดคว่ำ(น้อย=>มาก) รูปแบบนี้นิยมใช้ต่อเมื่อเราคิดว่ายังไม่ถึงเวลาหรือเป้าหมายเราจะได้เล่นรอบไปในตัวและไม่ทำport ใหญ่เสียหายครับ รูปย่อ #6pongacku โพสต์ 21 มิถุนายน 2010 - 04:53 วิธีกำหนดจุดออก มี 3วิธี แก้ไขนะครับ ขอโทษด้วยครับ ใช้วิธีนี้จะง่ายกว่าครับ วิธีUpdate High จากราคาปิด 1 เริ่มจากคุณลงทุนซื้อทองหุ้นหรือการลงทุนใด ให้คิดจุดนั้นเป็นสูงสุด 2 หากราคาปิดอีกวันสูงกว่าที่คุณซื้อ ให้เปลี่ยนราคานั้นเป็นจุดสูงสุด 3 จะ บันทึกราคาสูงสุดที่เกิดขึ้น หลังปิดวันเท่านั้นครับ ยกตัวอย่างเช่น วันแรกเราซื้อหุ้น 20 บาท จุด Cutเรา 19 บาทหากราคาปิดที่20.5 วันที่2 ราคาCutคือ19.5 หากราคาปิดตกไปที่ 20.3 วันที่3 ราคาCutคือ 19.5 คิดจาก High หลังซื้อเดิม หากราคาปิดที่20.8 วันที่4 ราคา Cutคือ19.8 หากราคาปิดเท่ากับ 21.5 วันที่5 ราคา Cutคือ 20.5 หากราคาปิด 21.2 วันที่6 ราคาCutคือ 20.5 ครับ หากราคาระหว่างวันตกลงมาเลยจุด Cut ให้ออกครับ * ใช้กับวิธีการใช้%Port , การคำนวนค่าผันผวน #7pongacku โพสต์ 21 มิถุนายน 2010 - 04:54 1 กำหนดจาก % Port ง่ายมากครับ คุณสามารถกำหนดการออกตามพอร์ตที่มูลค่าลดลง ณ ตำแหน่งซื้อครับ 3% , 5% , 7% ใช้ร่วมกับวิธีออกได้ทั้ง3รูปแบบครับ ใช้ร่วมกับการ Update ราคาสูงสุดที่ขึ้นไปได้นะครับ ข้อดี ง่ายสะดวกและรวดเร็วและมีการ updateตลอดเวลาตามราคาสูงสุด ข้อเสีย มันยังไม่เหมาะกับดารลงทุนที่มีความผันผวนสูง แต่ถ้าเราจะใช้ให้คุณดูค่าเฉลี่ยความผันผวนของราคาไว้หน่อยเพื่อเลือก%ขาดทุนให้เหมาะสม หากเลือกไม่เหมาะสมแทนที่คุณจะหนีได้คุณอาจกลับกลายเป็นขายหมู ข้อบ่งชี้ ระยะสั่นดี ระยะกลางดี ระยะยาวปกติ ความน่ากลัวหากมีการกระชากราคาโดยเจ้าเป็นคนทำคุณจะขายหมูทันที ปล การกำหนดการออก แบบ% Port นิยมเพราะง่ายและกำหนดค่าความเสียหายของ Port ไว้เลยแต่จะไม่เข้ากับ หน่วยลงทุนที่มีความผันผวนสูงมาก ปล2 จากประสบการณ์ที่ได้ใช้งาน เวลาราคาขึ้นไปสูงสุด ท่านควรทอนราคามา 1 ช่องเช่นสูงสุด คือ 25 ให้ทอนมาเป็น 24.9 และหักด้วย 3%,5%,7% #8pongacku โพสต์ 21 มิถุนายน 2010 - 04:55 2 กำหนดจาก Moving Average หลายท่านสงสัยว่าทำอย่างไร วิธีนี้เป็นที่นิยมของนัก เล่นในส่วนหนึ่งโดยค่าเฉลี่ยของระยะเวลา 20 50 100 200 แล้วแต่เราจะกำหนด เราใช้ร่วมกับ 3 วิธีออกได้ทั้งหมด และการใช้วิธีนี้จะมีกราฟที่เราต้องดู แต่ละเส้นจะถูก Update อยู่แล้วเราไม่จำเป้นต้องไปดูค่าสูงสุดเลย ข้อดี ง่ายสะดวกและรวดเร็วมันupdate ให้ในกราฟของมันครับ ข้อเสีย หากคุณใช้ไม่เหมาะสมแล้วน่าจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี แต่เราสามารถลดทอนได้โดยการใช้การแบ่งออกเป็น % ได้ครับ และมันเกิดจากค่าเฉลี่ยมันจะช้าหน่อยครับ ข้อบ่งชี้ ระยะสั่นไม่ดี ระยะกลางปกติ ระยะยาวใช้ได้ดี รูปย่อ #9pongacku โพสต์ 21 มิถุนายน 2010 - 04:56 3กำหนดจากการSwingของราคา หรือคำนวนจากการผันผวนของราคา ภาษาอังกฤษคือ True Range(ATR) เราใช้ร่วมกับ 3 วิธีออกได้ทั้งหมด ข้อดี ค่อนข้างดีมีโอกาสเล่นรอบได้ลักษณะเหมือนกับ %Port ข้อเสีย มีการกระชากตัวของราคา มันมีผลทำให้คลาดเคลื่อน แต่จะดีมากหากคุณมีการตัดสินใจในการเล่นรอบและอ่านจังหวะเข้าเก่ง ข้อบ่งชี้ ระยะสั่นดี ระยะกลางดี ระยะยาวปกติ ความน่ากลัวหากมีการกระชากราคาโดยเจ้าเป็นคนทำคุณจะขายหมูทันที #10pongacku โพสต์ 21 มิถุนายน 2010 - 04:56 ปล การเทรดทองแท่ง ควรใช้ MOVING AVERAGE การเทรดฟิวเจอร์ ควรใช้ %Port และขยายวงเงินให้มีผลกระทบกับPort ที่สามารถรับได้ด้วยครับ การเทรดหุ้น สามารถใช้ได้ 3วิธี ขออีกทีครับระบบนี้ " วินัย ไร้ความรู้สึก วางแผนที่จะออก"
  5. จูกัดเหลี่ยง, เมื่อ 19 มกราคม 2011 - 13:01, พูดว่า: อันข้าน้อยคิดว่า กำลังข้าศึกครานี้มิอาจดูเบา อันกำลังของเราที่มีก็มิอาจที่จักมีชัยอย่างเบ็ดเสร็จได้ พิชัยสงครามกล่าวไว้ เมื่อมิอาจจะมีชัยเหนือข้าศึกได้ ก็จงทำให้ข้าศึกมิอาจรุกกลับได้ กลศึกครานี้จึงเน้นรุกรับสลับไป ทำกำไรใกล้แนวต้าน แล้วถอยร่นมาเก็บอีกครั้งแถวแนวรับ รอจนสามารถหักด่านสำคัญ (แนวต้านหลัก) จึงจักรวบรวมกำลังเข้าทำโรมรันให้มีชัยต่อไป ^^ ปล.ยินดีครับ ถ้าความรู้อันน้อยนิดของผมจะมีประโยชน์กับผู้อื่นบ้างก็ยินดีครับ ลอกคำคม ท่านมาเป็นกลยุทธิ์ ใช้ในพลานี้
  6. ของปัจจุบัน ค่ะ ลอกหน่อยนะเฮีย เอาไฮสุด มาเปรียบโลค์สุดตอนนี้ แบบเอาไฮกลับหัวมา หางโลคปัจจุบันมันยังสั้นๆยังไงไม่รู้ ดูแล้วหนาวแล้วค่ะ
  7. จัดไปอีกหนึ่งร้อยเลยจะได้ ครบพันสี่ค่ะ
  8. ลอกการบ้านของทิศทางทองปี 2010 ช่วงเวลาทอง ราคาคล้ายๆตอนนี้ เพื่อใครดูแล้วมีไอเดีย วันนี้ลอกของแรง เฮียกัมพลเลยจะโดนเปล่าค่ะนิ Quote เมื่อ: มิถุนายน 10, 2010, 09:28:49 am เมื่อวาน ไม่ยอมขึ้น แต่ลงทดสอบแนวรับแทน โดยหลุดลงไปถึง 1221 เหรียญ ก่อนจะดีดกลับขึ้นมายืนแถว 1230+ เหรียญในช่วงเช้า ภาพรวมถือว่าพอทน ยังไม่หลุดครับ เราเข้าซื้อไว้ ก็ถือต่อไป หลุดแล้วค่อยว่ากันอีกที วันนี้ให้ดู chart แนวรับ หลุดจาก 1226 เหรียญไป ด่านต่อไปยังมีแข็งๆอีกที่ 1217 เหรียญ บริเวณ trendline ที่หลุดขึ้นมา กับ 1207 เหรียญ trendline ขาขึ้นย่อยรอบนี้ ถ้าหลุดลงต่ำกว่า 1226 ไปอีก ไม่ใช่ขึ้นไม่ได้อีกนะครับ เพียงแต่อาการมันจะไม่พุ่ง ถือไว้แล้ว ลุ้นเหนื่อย ถอยไปตั้งหลักดีกว่า แต่ตอนนี้ ยังไม่หลุด ถือลุ้นต่อไปก่อน ////////////////////////////////////////////////////////////////////// ราคาตอนไฮ kumponys, เมื่อ 06 กันยายน 2011 - 07:37, พูดว่า: เมื่อวานวันหยุดอเมริกา หาคนทุบไม่เจอ ราคาเลยค่อยๆล่องลอยขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่เข้าไปเฉียดแนวต้านระดับ high เดิม 1911 เหรียญ เพราะต้องรอพี่ใหญ่เป็นคนนำ เลข 1911 เหรียญนี่ ถือว่าอาถรรพณ์สำหรับอเมริกานะครับ เดาใจยาก ว่าพี่แกจะเอาเลขนี้แก้แค้น ทุบราคาทองลงมาอีกรอบจากตรงนี้ หรือจะเอาเป็นเลขตัดสินชะตาดอลล่าร์ ไม่ทราบได้ ส่วนตัวเดาว่า มันจะเป็นอันหลัง เพราะดอลล่าร์ตอนนี้ แข็งเสียเหลือเกิน คงไม่ใช่สิ่งพึงปรารถนาของอเมริกาในยามนี้ มาดูกราฟกันต่อ วันนี้ ราย 4 ชม เช่นเดิม ดูจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ มีด่าน 1888 เหรียญ ที่กลายมาเป็นแนวรับเพิ่มอีกแนว และวันนี้ แนว stoploss ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 1866 เหรียญ ตามแนว trendline จริงๆ ตาม chart รายวัน ราคาตรง 1866 เหรียญนี่ น่าสนใจ เพราะเป็นแนวเส้น ma5 วัน อ่อ อย่าลืมนะ ว่าผมเล่นเลขสวย ที่จริง ต่ำมาแถว 1870 เหรียญ ก็ถือว่า น่าสนแล้ว ส่วนตัว ดูมุมมองรายวันประกอบ จึงเชื่อว่า มันจะหลุดต่ำไปกว่านี้ได้ยาก ราคาที่ยืนได้แถวนี้อีกวัน สัญญาณ MACD ในรายวันจะเป็นสัญญาณซื้อ ราคาที่ย่อลง จึงควรตีตั๋วโดดขึ้นขบวนไว้ก่อน ส่วนใครจะรอสัญญาณ ก็อาจจะทำได้ แต่เท่าที่เห็นในอดีตที่ผ่านมา คงทราบกันดีนะครับว่า รอแล้ว บางที ซื้อไม่ลง เพราะมันหนีไปซะไกลลิบ สรุป แนวรับ 1888 1877* 1866 แนวต้าน 1911* 1940 1969 ระยะสั้น 1877-1911 ระยะกลาง ->1969 ระยะยาว ->2041 ฟันธง เฮียใจดีไม่แบนหนูนะ เฮียคนดีที่หนึ่งค่ะ
  9. ป๋าพูดเมื่อปี 2011 สุดยอดไม๊ค่ะคุณ อันนี้ก็สุดยอดค่ะป๋า ******************************************************************************************** ป๋าพูดปี2013 สุดยอดกว่าค่ะ ฟันธง ป๋าสุดยอด เป็นครู การเงิน การทองค่ะ
  10. ประวัติราคาทอง. ลอกมาจากคุณบอนไซ8-4-56 อ่านไปเรื่อย เผื่อมีไอเดียดีดี ภาพทองการขึ้นลงในอดีต 1976-1980 การขี้น 1 *******ผมของสรุปภาพใหญ๋1976 – 1980 (5 ปีขึ้น จาก 110 มา 840 ขึ้นมาถึง 580-600 เป็นภาพการขี้นภาพใหญ่ที่ 1****** 1980-1985 การลง 2 **************ขอสรุปภาพใหญ่ การลง1 ตั้งแต่ 840 จุด มา 280 จุด กินเวลา 5 ปั ลงมา 400 เปอร์เซ็นต์******************* 1985 - 1987 การขึ้น 2 **************ขอสรุปภาพใหญ่ การขึ้น2 ตั้งแต่ 1985 มา 1987 ประมาณ 2 ปี จาก 280 – 500 ขึ้น 90เปอร์เซ็นต์***************** 1987 – 1993 การลง 2 *********** 500 ลงมา 330 ตั้งแต่ มกราคา 1988 ถึง มิถุนายน 1990 มีสัญญาณผิดปกติการลงรุนแรงสุดท้ายประมาณ กุมภาถึง มิถุนายน 1990 จาก 420 เหรียญ มา 340 เหรียญ และสัญญานผิดปกติขี้นรุนแรงกลับคืนทันไปที่เดิม 420 กินเวลา เพียง 1 เดือน หลังจากนั้นทองลงมาเรื่อยๆถึงเมษา 1993 กินเวลา 5 ปี จาก 500 เหรียญ มา 330 เหรียญ คิดเป็น 70 เปอร์เซ็นต์************ 1993มกราคม – 1993 มิถุนายน 1993 การขึ้น 3 ******************การขึ้นที่ผมคิดว่าสำคัญตอบสนแงการลง 5 ปี คือ การขึ้น 6 เดือน กลับไปเกือบที่เดิมเลยคือจาก 330มา 410 แนวการแบบนี้ในอตีต ณ เวลานั้นยิ่งใหญ่มาก********************** 1993 ถึง 2001(เมษายน) การลง 3 ******************เป็นขาลงที่ซึ่มเศร้า ยาวนาน กินเวลาประมาณ 8 ปีเต็ม ทองลงจาก 410 มา ถึง 260 เหรียญ ผมยังจำได้ไม่ลืม ประเทศอังกฤษได้ขายทองในคลังสำรองประเทศในช่วงทองตกต่ำสุดและกล่าวว่า ทองคำในอนาคต จะมีค่า ด้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะในโลกเรามีการสำรองเงินตราต่างประเทศในรูปแบบอื่นๆ ไม่ได้มีการนำเอาทองคำมาเป็นเงินทุนสำรองประเทศกันแล้ว********************** 2001 - 2007 การขึ้น 4 *****************จาก 260 แนวต้านก็ปราฎเรื่อยๆ มีแนวต้านที่สำคัญคือ ที่ 500 แต่ก็ไม่รุนแรง มาที่แนวต้าน 1000จุด ทองจะถึง 1000 ตอนนี้นทุกคนไม่มีใครเชื่อทั้งวงการทอง ถ้ามากู ขาย มีทองเท่าไร กูก็จะขาย กูเบื่อขายทองแล้ว มีร้านทองก็จะบอกว่า เลิกร้านตอนองมาไต่ระดับ 1000 ดอลลาร์ ราคาทองมาใต่ระดับ 1000 ประมาณ 2 ครั้ง ในเดือน มีนา 2007 (ทดสอบครั้งที่ 1) และมิถุนายน 2007 (ทดสอบครั้งที่2) การขึ้นครั้งนี้ขึ้นจาก 260 มา 1000 กินเวลา 6 ปี คิดเป็นการขึ้น 370-400 เปอร์เซ็นต์ มกราคม 2008 - กันยายน 2008 การลง 4 ****************กลางปีมีเหตุผิดปกติคือ มีเหตุการณ์ขีนไป100 เหรียญ แต่ก็มาลงต่อจนถึง 750 ทองจาก 1000 ลงมา 730 เหรียญ กินเวลา 1 ปี การขึ้นด้วยความผิดปกติในเดือนกันยายน 2508 จาก 750 เป็น 930 กลางเดือนตุลา 2008 ลงต่ำสุด 730 จุด สรุป การลงครั้งนี้ กินเวลา 1 ปี จาก 1000 – 730 คิดเป็นการลงครั้งนี้ 26 เปอร์เซ็นต์ ตุลาคม 2008 - กันยายน 2511 การขึ้น 5 ***************ด้วยความผิดปกติในเดือนกันยายน 2008 จาก 750 เป็น 930 และใต่ระดับเป้าหมาย 1000 จุด และ ในปี 2008 มีนาคม ทดสอบ 1000 จุด (ครั้งที่ 3) อีกครั้ง จน ถึงต้นเดือนกันยายน 2008 (ทดสอบ 1000 จุดเป็นครั้งที่ 4) ///// ในวันที่ 5-9 กันยา 2009 ขั้น 1000 เป็น 1050 (ผิดปกติ) ////// 2-6 คุลาคม 2009 ขี้น จาก 1060 มา 1100 (ผิดปกติ) ///// แล้วอะไรอะไรก็ผ่านไป 1000 จุด อตีตแล้ว ทองเดินหน้าที่แนวต้าน 1200 เป็นจิตวิทยา สำคัญ มากที่สุด ในเดือนธันวาคม ปี 2009 ปี2010 ขี้นทั้งปี ทองขึ้นทั้งปีและยังขึ้นต่อเนื่องใน เดือน มกรา ถึง มิุุถุนายน 2011 (1ปี หกเดือน ขึ้นไป ราว 400 จุด) กรกฎา ถึง กันยา 2011 1500 ไป 1800 ในสามเดือน ราคาทองรุนแรงมาก ขึ้น ลง 30 จุด 50 จุด เป็นเรื่องปกติ (ผู้เขียนขอให้ช่วงนี้ผิดปกติมากที่สุดตั้งแต่ทองขี้นมาตอน 1993 ซึ่งตอนนั้นทองตำสุดที่ 260 เหรียญ ต่อออนซ์) ผิดปกติแล้วยังไง 6 กันยายน 2011 ทองคำโลกทำประวัติศาสตร์ที่เคยมีมามูลค่า สูงสุดที่ 1895 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สรุป ขี้นครั้งที่ 5 จาก 750 จุด มา 1895 จุด กินเวลา 4 ปั ( ตุลา2008 ถึง 6 กันยา2011) ต้องสรุปภาพแห่งทศวรรษว่า จาก 270 ยูเอสดอลลาร์ต่อ ออนซ์ มา 1895 กินเวลา ตั้งแต่ 1993 ถึง กันยายน 2011 18ปี คิดเป็นการขึ้น 700 เปอร์เซ็นต์ การลง 6 ไฮไลน์มาแล้ว ค่อยๆอ่านนะครับ เป็นความจริงในตอนแรก 2011. - 2013 ก่อน สงกรานต์ จะทำนาย ในอนาคต คั้งแต่ หลังสงกราต์ 2556 ครับ ---ทองลง จาก วันที่ 5 กันยายน จากราคา 1895 จุด ถึง 25 กันยายน 2011 ราคา 1620 จุด ---ทองขึ้น จาก วันที่ 25 กันยายน จากราคา 1620 จุด ถึง 7 พฤศจิกายน 2011 ราคา 1800 จุด --- ทองลง จาก วันที่ 7 พฤศจิกายน 1800 จุด ถึง 25 พฤศจิกายน 2011 ราคา 1680 จุด ---ทองขึ้น จาก วันที่ 25 พฤศจิกายน 1680 จุด ถึง 2 ธันวาคม 2011 ราคา 1750 จุด ................................................................................................................................................................... ---ทองลง จาก วันที่ 2 ธันวาคม 1750 จุด ถึง 29 ธันวาคม2011 ราคา 1540 จุด (ผิดปกติ) ---ทองขึ้น จาก วันที่ 29 ธันวา 2011 1540 จุด ถึง 28 กุมภา2012 ราคา 1780 จุด (ผิดปกติ) (คำ ว่า ผิดปกติ ของผมที่เล่ามาตั้งแต่ต้น ผมหมายถึง การมีคนปั่นราคา หรือ กองทุน หรือ ประเทศทำ order หรือมีเหตุการ รุนแรงในโลกโดยไม่เดาคิด ซึ่งอย่างสุดท้ายเกิดขี้นได้น้อยมากๆเช่น สงครามอ่าว- 911 ตึก เวลเทรด ) ---ทองลง จาก วันที่ 28 กุมภา 2012 1780 จุด ถึง 27 มิถุนายน 2013 ราคา 1550 จุด ( ลงเยอะแต่ไม่ผิดปกติ เป็นคนต้องการของตลาดโดยแท้จริงไม่ได้ข้ามคืนเป็นการซึมแบบสะท้อนสภาพตลาดอย่างแท้จริง ) .............................................................................................................................................................. ---ไม่ขึ้น ไม่ลง ไปเรื่อย 13 พฤษภาคม 2012 /// ถึง 19 กันยายน ทองอยู่ 1600 ยิ่งย้ำ ถึงความมีเสถียรภาพของราคา หมายเหต1 สรุป ปี 2012 ช่วง มกราคม ถึง มิถุนายน 1780- 1550 ทองก็ทยอยลงสะท้อนราคาตลาด และ ช่วงมิถุนายนถึง 19 สิงหา 2012 ก็ปกติ ขึ้น จากวิ่ง ขึ้นเล็กน้อย ระหว่าง 1550-1620 จะยิ่งย้ำ ถึงความมีเสถียรภาพของราคาทองคำ ในตลาดโลก ----15-25 สิงหา 2012 ทองขึ้น 1600- 1670 ขึ้น10 วันหลังมาสงบมา 8 เดิอน เป็นความ (ผิดปกติ) กันยาก็ขึ้นต่อทั้งเดือน ขึ้นถึง 5 ตุลาคม 2012 รวม 2 เดือน ขึ้น 1600-1800 (200 จุด) ----แล้วก็วิ่ง 1700-1800 คั้งแต่ สิงหา 2012 ถึง สิ้นปี 31 ธันวาคม 2012 รวมเวลา 4 เดือน หมายเหตุ 2 สรุป สิงหา 2012 วิ่งจาก 1600-1800 แล้วผลลัพธ์ของการที่กองทุนมาทำราคาทอง ท ำ ให้ทองกลับมาวิ่ง 1700 - 1800 ประมาณ 4 เดือน บทเรียน ที่จะบอก คือ ทุกครั้งที่ ผิดปกติ โดยการปั่น ขึ้น และ ลง จะมีผลในอนาคตของทอง เสมอ ---- ในวันที่ 2 มกราคม 2556 มีความ ผิดปกติ เกิดขึ้นกับ ราคาทอง 1700 ลง 1650 มีวัตถุประสงค์ให้ทองลงแต่ไม่สำเร็จ ทองขึ้น ต้าน มาถึง วันที่ 21 มกราคม 2556 เกิดความผิดปกติอีก ปั่นรอบสอง จาก 1700 ลง 4 วัน 50 เหรียญ แค่ไม่สำเร็จ แต่ก็ บอกถึง แม้ไม่สำเร็จ แต่ ทอง ก็ต้าน ธรรมดา แต่ไม่ได้ย้อนขี้น ---- ตั้งแต่ 21 มกราคม 56 ทอง 1685 มีการทยอยลงมาเรื่อยๆ ในวันที่ 14 กุมภา 56 เกิดเรื่อง ผิดปกติ อีก ครั้ง มีการปั่นทองให้ ลง 7 วัน ถึง 21 กุมภา 56 ลงมาถึง จาก 1640 ลงมาที่ 1580 ---- แล้วหลังจาก 21 กุมภาพันธิ์ 56 ทองไม่ขึ้นไม่ลง ถึง 11 มีนาคา 56 และ ต่อมาก็ทยอย ปรับ ตัว ขึ้น เล็กน้อย จากเดิม 1580 ขี้นมาในวันที่ 21 มีนาคม 2556 ----- 21 มีนา ถึง 7 เ มษายน 2556 ปรับลงเล็กน้อย มาสร้าง นิวโลค์ 1545 ////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// เกร็ดความรู้ ท้ายบทความลำดับความมีอิทธิพลต่างๆที่จะทำให้ทองขึ้นหรือลง 1. ใหญ่สุด รายย่อยรวมกันให้ขึ้นลงเพราะเหตุการณ์ในโลกที่สำคัญ (เช่น นิวเครียร์ ะเป็นเหตุการณ์ ที่มี อิทธพลที่ยากที่จะเกิด) 2. กองทุน ไอ้ประเภทนี้ ตัวแสบมาก ไอ้ทองที่ขึ้นลงเราเจ๋งๆกันเพราะไอ้กองทุนนี่ล่ะ บางกองทุน ก็มีประเทศแอบ backup อยู่แบบแอบแอบ 3. ประเทศ ประเทศหนึ่งมีทองเยอะ แต่โดยภาพรวม แม้จะใหญ่ แต่ก็ไม่เคยปั่นราคาทอง ไม่เคยทำลาย ตลาดทองคำ ///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// ตามมาตั้งนานเนื่อยยัง เบื่อยังครับ บอนไซมาเล่าประวัติศาสตร์อีกแล้ว ต่อไปนี้ อนาคตแล้วนะครับ มหัศจรรย์ที่ 1 (ราคาเป็นอย่างไรในอนาคต) ที่ผ่านมา ตั้งแต่ ทองทำ นิวไฮ ตั้งแต่ปี 2011 จะกล่าวได้ว่า ยังไม่มีสัญญานทอง คำ ที่จะเดินต่อทำ นิว ไฮ ใหม่ ผมเชื่อทองจะต้องลงมาถึง ประมาณ 25 เปอร์ เซนต์ ไม่ว่าจะไปต่อ (ขึ้นต่อ) หรือจะ ลง ต่อไป **ตั้ง 1895 เท่ากับ 100 เปอร์เซนต์ **นับ 210 เท่ากับ 0 เปอร์เซนต์ 20 เปอร์เซนต์ เท่ากับ 1348 ///// 25 เปอร์เซนต์ เท่ากับ 1263 ** นับ 110 เท่ากับ 0 เปอร์เซนต์ 20 เปอร์เซนต์ เท่ากับ 1428 ///// 25เปอร์เซนต์ เท่ากับ 1338 บอนไซ เมษา2556
  11. เหตุผลทองขึ้นลง ลอกมาจาก คุณ zagio ฟันธง ดีมากค่ะ จะบอกหนูว่าหากินง่าย ลอกตำราคนอื่นมา ก็ยอมรับค่ะ ก็ บทความเค้าดีนิค่ะ อันนี้ของพี่zagioก็ดีมากค่ะ zagio, เมื่อ 27 มกราคม 2011 - 15:44, พูดว่า: 10 Signs That Gold Is In A Bubble That Is Going To Burst Read more: http://www.businessi...3#ixzz1CDs3n2jx 1.It has very few industrial uses. 2.Gold has no dividend yield. 3.Gold has no earnings yield. 4.The US should start selling its gold to pay down its debt. อันนี้ก็น่ากลัว พี่มีทองอยู่ 8000 ตัน เอามาขายสัก 1000 ทองคงร่วงกรู 5.Interest rates are at zero and the Fed is printing money. หมายถึงว่า ขนาดเฟดปั้มเิงิน+ ดอกเบี้ย 0% ถ้าเฟดหยุดพิมพ์เงินปุ้บ + ขึ้นดอกเบี้ยสัก 2-3% ทองก็น่ามืด 6.Soros has even begun reducing his position in the gold ETF, GLD. He also reduced his position in Novagold (NG) คงรวมถึง SPDR ด้วย 7.Gold production is rising. in 2009 ถามใจจริง ๆ ว่าหากไม่มีเงิน ใครจะขุด 8.Gold sentiment is at an all-time bullish high. 9.Assets in the GLD ETF, the ETF which tracks gold, are also reaching a level usually associated with a top: 10.Warren Buffett ไม่ซื้อทอง จากเหตุผลข้อ 2-3 แต่เหตุผลเค้าดีนะ บอกว่า ระหว่างให้ซื้อทอง ขอซื้อเป็นบริษัทที่มี productivity ดีกว่า เป็นเหตุผลคล้าย ๆ ว่า ทองกินไม่ได้ ********************************************************************************************************************************** อันนี้ลอกมาจาก เด็กขายของค่ะ เรื่องเมืองจีน เพราะช่วยนี้ดูเมืองจีนจะมีปัญหา ดอกเบี้ย อินเตอร์แบงค์ระยะสั้นขึ้นไปมาก หลายคนบอกว่าจะมีปัญหาแบบ สหรัฐ ข่าวบอกมาว่า จีนให้เอกชนกู้200เปอร์เซนต์ของ จีดีพี (ไทยน้อยกว่า100เปอร์เซนต์) มาดูแต่ก่อนจีนเป็นอย่างไร
  12. ท่านลงทำนายราคาทองไว้ในปี2010 ลอกจาก heng heng 24-6-2010 ท่านที่ 1 นาย Arnold Bock นักวิเคราะห์ที่มีชื่อเสียง (เขาอ้างไว้อย่างนั้น) เค้าทำนายไว้ว่าทองจะถึง 10,000 USD ภายในปี 2010 ครับทุกท่าน !!! โดยเค้าให้เหตผลไว้ดังนี้ ภาวะเงินเฟ้อและการเสื่อมค่าของเงินตราทั่วโลก สภาวะการเก็งกำไรในราคาทองคำเอง ปริมาณของทองคำในตลาดโลกที่อาจไม่เพียงพอต่อความต้องการครอบครอง ทุกคนนต้องการโยกเงินหนีมาที่ safe heaven (ตลาดทองคำ) และด้วยเหตผลข้างบน กราฟราคาทองจะตั้งชันอย่างที่คาดไม่ถึง ท่านที่ 2 นาย Peter Cooper ผู้แต่งหนังสือ "Dubai Sabbatical: The Road to $5,000 Gold" (พักร้อนที่ดูไบ : เส้นทางสู่ทอง 5000 USD) โดยเขาให้เหตผลไว้ว่า ปัจจุบันรัฐบาลทั่วโลกถูกบังคับให้ดำเนินนโยบายดอกเบี้ยต่ำ เพื่อต่อกรกับสภาวะตกต่ำทั่วโลก ซึ่งดอกเบี้ยต่ำหมายถึง ราคาของพันธบัตรรัฐบาลที่ราคาสูง (Low interest rates mean high bond prices ผมแปลถูกมั้ยเนี่ย) ซึ่งในที่สุดแล้ว ทุกๆ รัฐบาลทั่วโลกต้องขึ้นดอกเบี้ยอยู่ดี ไม่ช้าก็เร็ว ซึ่งดอกเบี้ยที่สูงขึ้นหมายถึง ราคาของพันธบัตรรัฐบาลที่ราคาถูกลง เมื่อพันธบัตรรัฐบาลราคาถูกลง นักลงทุนส่วนใหญ่จะโยกเงินออกจากพันธบัตรรัฐบาลเพราะให้ผลตอบแทนที่น้อย ตลาดพันธบัตรรัฐบาลเงินมีขนาดใหญ่กว่าตลาดทองคำหลายเท่าตัวมากนัก หากเพียงนักลงทุนโปรยเงินบางส่วนจากตลาดพันธบัตรรัฐบาลมาลงที่ตลาดทองคำราคาก็จะพุ่งไปถึง 5,000 USD "อันนี้เป็นการวิเคราะห์แบบ ไม่ประมาทแล้วนะ จริงๆน่าจะไปกว่านี้" เค้าว่าไว้อย่างนั้น ท่านที่ 3 นาย Peter Krauth นักวิเคราะห์ที่มีชื่อเสียง และผู้เชี่ยวชาญด้านการคาดการณ์ราคาโลหะมีค่าต่างๆ เค้าว่า 5 เหตุผลที่ทองควรขึ้นไปถึง 5,000 USD สภาวะเงินเฟ้อในปี 2001 ที่อัตรา 2.5% ทำให้ราคาทองขึ้นไปถึง 400% ปัจจุบันนี้ธนาคารกลางได้ดำเนินนโยบายดอกเบี้ยต่ำมาก ซึ่งเท่ากับเปิดประตูกว้างเชื้อเชิญสภาวะเงินเฟ้ออีกครั้ง และธนาคารกลางของสหรัฐบังพิมพ์เงินออกมามากถึง 1,200,000,000,000,000 USD(12 พันล้าน ล้าน) ซึ่งเงินนี้กำลังถูกใช้จ่ายอยู่โดยรัฐบาลสหรัฐ นั่นหมายถึงสภาวะเงินเฟ้อที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในมุมมองของนาย Peter สภาวะการตื่นตัวอย่างมากในการลงทุนในตลาดการเงินต่างๆ ตามรายงานของ Wolrd Gold Concil ได้บอกว่าสถาบันการเงินขนาดใหญ่ กลุ่มทุนขนาดใหญ่ต่างๆ หรือแม้แต่นักลงทุนบุคลต่างๆ ได้หันมาลงทุนในตลาดทองคำมากขึ้นถึง 15% ภายในไตรมาสที่ 2-3 ของปี 2009 โดยเฉพราะนักลงทุนส่วนบุคคล (อย่างเราๆ ท่านๆ )ได้หันมาลงทุนในทองมากขึ้นเพราะมีเงินเก็บเหลือมากขึ้น (เนื่องมาจากภาวะเงินเฟ้อ)จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ดันราคาทองคำให้สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเพราะการลงทุนและเก็งกำไร ธนาคารกลางของสหรัฐหันมาซื้อทองคำเป้นครั้งแรกในรอบ 20 ปี ตั้งแต่ปี 2009 ปัญหาการเงินลูกใหม่ในยุโรป หรือ PIGS (Portugal, Italy, Greece and Spain) หรือ PIIGS หากรวม Ireland เข้าไปด้วย ประเทศเหล่านี้กำลังตกที่นั่งลำบากในเรื่องสภาวะการเงิน นอกจากประเทศข้างบนนี้ประเทศ Iceland เน่าไปแล้วในสายตาของนาย Peter การเงินของ USA และ England นั้นก็ไม่ได้แข็งแกรงอย่างที่คิด และด้วยความจริงเกี่ยวกับสถานะการณ์ข้อนี้ นักลงทุนจะเริ่มกังวลเกี่ยวกับค่าเงินต่างๆ ที่มี USD เป็นตัวหนุนหลังอีกที (fait currencies) และภายใต้สภาวะตื่นกลัวนั้นทองจะเป็นสวรรค์แห่งเดียวที่สามารถปกป้องกำลังซื้อของพวกเขาได้ ยังมันยังไม่จบแค่นั้น ราคาทองคำเริ่มเข้าสู่สภาวะฟองสู่บในสามขั้นตอน ขั้นที่ 1 เมื่อค่าเงินทั่วโลกเข้าสู่สภาวะเสื่อมค่า ขั้นที่ 2 นักลงทุนหันมาลงทุนในทองคำ ขั้นที่ 3 สภาวะการเก็งกำไร ราคาทองคำจะสูงขึ้นไปจนถึงชั้นบรรยากาศ (สูงมาก ) "ขีดเส้นใต้ของผมไว้เลย ไม่ผิดแน่นอน" นาย Peter เค้าว่าไว้อย่างนั้น ซึ่งราคาจะถึง 5,000 USD ก็ในขั้นที่ 3 สุดท้ายนี่แหละ ตอนแรกอ่านแล้วขำมากนะครับ ใครบ้าที่ไหนฟ่ระ ทำนายว่าทองจะไป 10,000 USD แต่ก็น่าคิดนะครับ ปัจจัยต่างๆ ที่ยกมาอ้างอิงก็มีเหตผลที่มองข้ามไม่ได้เลย โดยเฉพาะปัจจัยที่ว่า ขนาดของตลาดทองคำนั้นเล็กและปริมาณทองคำจริงๆ ในโลก(physical gold)ที่มีน้อยนั้นอาจจะบีบให้ราคาสูงได้อย่างรวดเร็วก็เป็นได้ ฟันธง ฝรั่ง3คนโกหก ปี2010 ทองไม่ถึง10,.000 ยูเอส ต่อออนซ์ ค่ะ
  13. ลอกตำราแรก ศัพท์ ลอกจาก สาวกคุณ next สิงหา2011 ดอย = ราคาทองคำขึ้นสูงแล้วตกลงมา ติดดอย = ซื้อทองตอนที่ราคาสูง แล้วยังขายขาดทุนไม่ได้ ต้องรอจนราคาขึ้นมาอีกรอบจึงค่อยขาย โดมิโน่ = ทองคำแท่งประมาณ 5-10 บาท เพราะมีขนาดใกล้เคียงกัน แต่ทองคำหนักกว่ามาก พอร์ต = สัดส่วนการลงทุนประเภทต่าง ๆ Bull = ตลาดทองคำที่ราคากำลังแพงขึ้น เปรียบเสมือนกระทิงที่ดุร้าย Bear = ตลอดทองคำที่ราคากำลังตกลง เปรียบเสมือนหมีจำศีล จรวด = ราคาทองคำที่กำลังพุ่งพรวด ราวกับจรวดกำลังทะยาน slope อยู่ในแนวดิ่ง ตาโป๊งเหน่ง = นายเบอร์นันเก้ ผู้ทำหน้าที่ดูแลการคลังของ US Treasury QE = Quantitative Easing หมายถึงการพิมพ์เงินกระดาษออกมาเพิ่ม โดยไม่ได้อ้างอิงกับจำนวนทองคำ ย่อ = ปรับฐาน = ราคาทองคำตกลงมาจากเดิม buy the dip = รอซื้อเมื่อราคาตกลงมาจากเดิม ส่วนซื้อที่เท่าไรก็สุดแล้วแต่ละคนตัดสินใจ เหว = ราคาทองคำตกลงดิ่งมากกว่าคาดไว้ หรือหมายถึงจุดต่ำสุด sideway = ราคาทองคำทรงตัว ราคาขึ้นลงไม่มาก ปกติถ้าทองคำราคาบาทละ 25000 บาท อาจขึ้นลง 100-200 บาทต่อวันเป็นปกติ ผันผวน = ราคาขึ้นลงในแต่ละวันแตกต่างกันมาก เช่น 500-1000 บาทต่อวัน คลื่น Elliot = การขึ้นลงของราคาทอง 5 จังหวะ 1-3-5 ขึ้น 2-4 ลง โดยนิยมเริ่มต้นซื้อที่ 3 และราคาไปไกลสุดที่ 5 จากนั้นราคาจะตกลงมามากเพื่อเริ่มต้นคลื่นใหม่ Mania Phase = ช่วงเวลาที่คนตื่นทอง ไปซื้อทองเพิ่มทั้ง ๆ ที่ราคาทองแพงสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลายคนคาดว่าช่วงเวลาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2554 คือจุดเริ่มต้น ฟองสบู่ = ราคาทองสูงเกินจริงและพร้อมที่จะตกลงกลับมาสู่ราคาจริงของมัน SPDR = กองทุนทองคำใหญ่ที่สุดในโลก ที่เอาเงินคนซื้อกองทุนไปซื้อทองแท่งแล้วเก็บไว้ที่ธนาคารในสหรัฐหรือฮ่องกง เมื่อมีคนซื้อเพิ่มหรือขายออก กองทุนก็จะมีการซื้อขายตาม กองทุนทองคำ = กองทุนในตลาดหุ้นสิงคโปร์หรือนิวยอร์กหรือลอนดอนที่หาซื้อได้จากธนาคารต่าง ๆ โดยมักเอาเงินเราไปซื้อกองทุน SPDR อีกต่อหนึ่ง Fort Knox = สถานที่เก็บทองคำแท่งของประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งได้ชื่อว่ามีมากที่สุดในโลก แต่หลายคนวิจารณ์ว่าที่นี่ไม่มีทองคำจริง ๆ อยู่ hinalove พูดว่า: จริง ที่เราใช้กัน แบบไม่เป็นทางการใน web นี้ได้แก่ 1.ติดดอย คืออาการของคนที่ซื้อ ณ ราคาสูงโดยคาดว่าราคาจะขึ้น แล้วปรากฎว่าราคาลง กรณีที่เป็นการลงครั้งแรกๆ ราคาต่างจากที่ซื้อไม่มาก เราจะเรียกว่าเนินดอย ครับผม แต่ถ้าลงมากๆ หลายๆครั้งอย่างต่อเนื่อง จากเนิน ก็จะกลายเป็นดอยในทันที 2.ขายหมู กรณีที่ เราซื้อในราคาต่ำ แล้วคาดการณ์ว่ามันจะขึ้น แล้วมันก็ขึ้นไปนิดเดียว แล้วมันลงมานิดหน่อย แล้วเราขายเพราะกลัวว่ามันจะลงเยอะ เราจะได้กำไรนิดเดียว แต่พออีกซักพักหนึ่ง ราคาขึ้นแบบสูงมากๆ แต่นั่นเสียดายว่า ถ้ารออีกหน่อย กำไรเยอะกว่า เรียกว่าขายหมูครับ 3.ตกรถ กรณีที่เราคาดว่า ราคาจะลงต่ำอีก ในขณะที่คนอื่นเขาซื้อกันแล้ว แต่เราคิดว่าราคาจะลงต่ำอีก เลยรอที่จะซื้อ แต่ปรากฎว่าราคามันวิ่งไปสูงมากๆ จนเราไม่อยากจะซื้อ ดังนั้นรอบที่มันขึ้นนั้น คนอื่นเขาขายได้กำไร แต่เราไม่มีของให้ขาย เรียกว่าตกรถครับ 4.พิสูจน์ราคาฐาน ส่วนใหญ่ที่เราเรียกกันในเว็บนี้ จะเรียกว่าทดสอบราคาฐาน ไม่เรียกว่าพิสูจน์ราคาฐาน แต่น่าจะเป็นคำเดียวกัน คือการที่เมื่อวัดจากทฤษฎี Elliot Wave โดยปกติ คนที่มีความรู้ทางด้านเทคนิคของกราฟ จะมีอีก 2 คำที่ควรรู้คือ แนวต้าน คือ ระดับราคาสุงสุดที่คาดว่ากราฟจะวิ่งขึ้นไปทดสอบ ซึ่งจะแบ่งเป็นแนวต้านย่อยๆ ตามทฤษฏี Elliot Wave แบ่งได้เป็นด่าน คือ ต้าน 1,ต้าน 2,ต้าน 3 แนวรับ คือ ระดับราคาต่ำสุดที่คาดว่ากราฟจะวิ่งลงมาทดสอบ ซึ่งจะแบ่งเป็นแนวรับย่อยๆ ตามทฤษฏี Elliot Wave แบ่งได้เป็นด่านๆ คือ รับ 1,รับ 2,รับ 3 กรณีที่กราฟวิ่งขึ้นแล้วไปทดสอบแนวต้าน ที่คาดไว้ คือวิ่งไปแล้วเด้งกลับ ทั้งขาขึ้นและขาลง เรียกว่าทดสอบแนวต้านหรือแนวรับไม่ผ่าน มีโอกาสที่จะกลับทิศได้ เช่นทดสอบแนวต้านไม่ผ่านมันจะเด้งลงมา ถ้าเด้งลงไม่แรงก็อาจจะไปทดสอบแนวต้านครั้งที่ 2 แสดงว่ามีแรงเทขายทำให้ราคาเด้งกลับลงมา กรณีที่กราฟวิ่งลงแล้วทดสอบแนวรับ คือลงไปแล้วเด้งกลับขึ้นมา คือทดสอบแนวรับไม่ผ่าน กรณีที่ทดสอบแล้วเด้งขึ้นนิดหน่อย อาจจะมีการลงไปทดสอบอีกหลายรอบ หรืออาจจะกลับตัวเป็นขาขึ้นเลยก็ได้ อันนี้ต้องดูกราฟและวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งแนวต้านแนวรับ ของแต่ละท่านจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับมุมมอง และประสบการณ์ของแต่ละท่าน 5.ออกข้าง หรือ side way คือเกิดจากกรณีที่ กราฟทดสอบแนวรับ และแนวต้านแล้วไม่สามารถออกนอกกรอบ แนวต้านแนวรับ มันจะเป็นรูปฟันปลา คือขึ้นสลับลง เรียกว่าออกข้าง 6.การซ๊อต (short)ใช้กับตลาดอนุพันธ์ (ตลาดล่วงหน้า) คือกรณีที่เราไม่มีของในมือ และเราคาดว่าราคาจะลงเราจะทำการขายทอง ณ วันที่ปัจจุบัน ขณะที่ยังไม่มีของ แล้วไปซื้อ พอราคาต่ำลงในวันข้างหน้า เราจะได้ส่วนต่างกำไรจากการ ขายล่วงหน้า 7.ลอง (long)ใช้กับตลาดอนุพันธ์ (ตลาดล่วงหน้า) คือกรณีที่เราไม่มีของในมือง และเราคาดว่าราคาจะสูงขึ้นในวันข้างหน้า ณ วันที่ปัจจุบัน เราจะทำการซื้อล่วงหน้า ในลักษณะของสัญญา พอถึงกำหนดสัญญา คืออีก 3 เดือนราคาที่เราซื้อล่วงหน้าต่ำกว่า ราคา realtime เราจะได้กำไรจากส่วนต่างการซื้อล่วงหน้า 8.คัดลอส (cut loss) คือใช้ตอนขาลงของทอง คือทองลงแล้วเราคาดว่า ทองจะลงอีกมากๆ ถ้าเราขายขาดทุน ณ ปัจจุบัน กรณีที่มันลงต่อเนื่อง เราอาจจะขาดทุนน้อยกว่า รอให้มันลงไปเรื่อยๆ การตัดขาดทุนเรียกว่า cut loss 9.กลับตัว คือกรณีที่เป็นขาขึ้นแล้วกำลังจะกลับเป็นขาลง หรือกรณีขาลงแล้วจะกลับเป็นขาขึ้น (ต้องวิเคราะห์ตามทฤษฏี Elliot Wave) 10.พอร์ต คือกรณีที่เรามีเงินที่จะลงทุนอยู่จำนวน 100% แล้วเราเอามาแบ่งเป็นย่อยๆ เพื่อที่จะสามารถซื้อได้หลายๆครั้ง เพื่อความปลอดภัย บางท่านอาจจะแบ่งเป็น 25% 25% 25% 25% แล้วเข้าซื้อทีละครั้ง ได้ 4 ครั้งเรียกว่า 4 พอร์ต เข้าซื้อครั้งละ 25% ได้ 4 ครั้ง บางท่านอาจจะแบ่งเป็น 40% 30% 20% 10% แล้วเข้าซื้อทีละครั้ง ได้ 4 ครั้งเรียกว่า 4 พอร์ต เข้าซื้อตามที่แบ่งได้ 4 ครั้งเช่นกัน กรณีที่เดิมทีคาดว่า จะแบ่งแค่ 4 พอร์ต แล้วซื้อตามสูตรแล้ว ปรากฎว่าติดดอยหมดทุกพอร์ต อาจจะมีการขยายพอร์ตการลงทุน คือเพิ่มไปอีก 100% จากของเดิมที่ติดดอย แล้วเอามาแบ่งเพื่อเข้าซื้ออีก เรียกว่าขยายพอร์ต การแบ่งพอร์ตของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน เพราะบางคนอาจจะแบ่ง 2 พอร์ตใหญ่ และใน 2 พอร์ตมีพอร์ตย่อยอีก 3 หรือ 4 หรือ 5 ก็ได้ ขึ้นอยู่กับเงินลงทุน และอาจจะมีการปรับพอร์ต ณ เวลาที่เปลี่ยนไป ขึ้นอยู่กับเงินลงทุนของแต่ละคนครับ 11.เฉลี่ยดอย กรณีที่ เราเข้าซื้อในระดับราคาสูง แล้วปรากฏว่าราคาทองลงมามาก แล้วมีเงินในพอร์ตเหลือ ต้องการให้ราคาที่ซื้อในราคาสูง(ติดดอย) ต่ำลงมาเราจะนำพอร์ตที่เหลือ (เงินที่เหลือทำการซื้อเพิ่ม) แล้วเราราคาที่ซื้อสูง และราคาต่ำมารวมแล้วหารตามจำนวนทองที่ซื้อ ราคารวมมันก็จำต่ำลงเรียกว่าเฉลี่ยดอย เช่น ครั้งแรกเราซื้อที่ 14000 ต่อบาททอง จำนวน 10 บาททอง ครั้งทีสองเราซื้ออีกที่ 12000 ต่อบาททอง จำนวน 10 บาททอง ต้นทุนเฉลี่ยของทองจะเหลือแค่ 13000 บาทต่อบาททอง เรียกว่าซื้อ ณ ราคาต่ำเพื่อเอามาเฉลี่ยดอย อ้างถึง ภาวะกระทิง กับภาวะหมี มันเป็นเรื่องที่ตอบยากพอกับการนับคลื่น Elliot Wave ของผู้เชี่ยวชาญการวิเคราะห์ครับผม คือความหมายเดิม ภาวะกระทิงมาจากสัญลักษณ์ของกระทิงที่ขวิดขึ้น และภาวะหมีมาจากหมีที่ตบลง หรือความหมายแฝงหมายถึงกรทิงที่คึกคัก หรือหมีที่จำศีล ดังนั้นภาวะกระทิงจึงหมายถึง การขึ้นของหุ้น หรือทองคำอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นภาวะหมีจึงหมายถึง การลงของหุ้น หรือทองคำอย่างต่อเนื่อง แล้วถ้ามันเกิดเป็นกระทิงอยู่ คือขึ้นอย่างต่อเนื่อง แล้วลงมา 1 ครั้ง แล้วขึ้นต่อเราจะเรียกมันว่าภาวะกระทิงหรือภาวะหมี โดยปกติเราก็เรียกมันว่าภาวะกระทิง เพราะเหมือนกับการลงมาพักนิดหนึ่งแล้วไปต่อ ทีนี้ในคลื่น Elliot Wave เวลาเราจะวิเคราะห์ รูปแบบคลื่น เราจะต้องดูเป็นรายชั่วโมง รายสี่ชั่วโมง รายวัน รายเดือน รายปี ซึ่งถ้าใช้มุมมองที่ต่างกัน การจะกำหนดภาวะว่าเป็นกระทิง หรือภาวะหมี นั้นก็ต้องแล้วแต่การวิเคราะห์ ของนักวิเคราะห์แต่ละคน เช่น รายวันของเดือนอาจจะอยู่ในภาวะหมี แต่รายเดือน กับรายปีอาจจะยังคงอยู่ในภาวะกระทิง ซึ่งจะให้กำหนดว่าภาวะกระทิงหรือภาวะหมี คงไม่มีใครบอกได้จริงๆ ในระยะอันใกล้หรอกครับ โดยส่วนใหญ่ ถ้าภาวะที่ indicator ทุกตัวทั้งรายชั่วโมง รายสี่ชั่วโมง รายวัน รายเดือน รายปี และรายสิบปี เป็นไปในทิศทางที่ขึ้นอย่างต่อเนื่องก็จะระบุเป็นภาวะกระทิง แต่ในทางกลับกัน indicator ทุกตัวทั้งรายชั่วโมง รายสี่ชั่วโมง รายวัน รายเดือน รายปี สนับสนุนให้ราคาสู่ภาวะซบเซา ก็จะกำหนดภาวะให้เป็นตลาดหมี ดังนั้นจะเป็นแบบหนึ่ง หรือแบบ 2 มันต้องดูว่าเขาดูภาพแคบ หรือภาพกว้าง ภาพแคบอาจจะเป็นหมี ภาพกว้างอาจจะเป็นกระทิง ก็ได้ ถ้าให้นักวิเคราะห์มานั่งคุยกัน คนหนึ่งอาจจะเห็นว่าลงแค่ช่วงเวลา 1 เดือน แล้วขึ้นต่อไปเป็นกระทิง คนหนึ่งอาจจะบอกว่ามันคงไม่ขึ้นแล้วเป็นหมีไปแล้ว คนหนึ่งบอกว่ากระทิงมันแค่หลับ 1 เดือนเดี๋ยวมันตื่นขึ้นมาขวิดต่อ ดังนั้นมันก็ไม่มีอะไรตายตัวเหมื่อนคลื่น Elliot Wave ดังนั้นจะเรียกอะไรแล้วแต่มุมมองของนักวเคราะห์ ดังนั้นมันก็ไม่พ้นสัจจะธรรม อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ////////////////////////////////////////////////////////////////// โพสต์ 07 มิถุนายน 2010 - 16:30 ปุยเมฆ พูดว่า: STOP LOSS คือการหยุดการเสียหาย หรือการขายเพื่อกันการขาดทุน เป็นการลดความเสี่ยงโดยแท้จริง CUT LOSS คือการลดการขาดทุน ไก่บ้าน: stop loss คือการหยุดการเสียหายครับ คือเราต้องการ สู้แค่ไหน เช่น ถ้าผมลงทุนไป 100บาท ผมยอมขาดทุนแค่ 20บาท ผมก็ตั้งไว้เลย ว่าจะยอมขาดทุนแค่ 20บาท ไก่บ้าน: การ cut loss เกิดจาก การที่เราต้องรู้แน่ว่า มันลงยาวและหนักจริงๆ และสามารถ ซื้อกลับมาในราคาที่ทำกำไรได้จริงๆ ครับ //////////////////////////////////////////////////////////////////////// เรื่่องที่ 2 เรื่องสาเหตุแนวโน้มทองขาขึ้นในปี 2554 ลอกจาก เตรียมทัพ จับทอง พร้อมลงสนาม (ฉบับนักค้าทอง)โดย จูกัดเหลี่ยง แนวโน้มทองขาขึ้นในปี 2254 มาจาก การปรับเพิ่มขึ้นของปริมาณเงิน (สภาพคล่องในระบบ) ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ด้วย QE2 (Quantitative easing Package 2) ก่อนปี 2554 ธนาคารกลางสหรัฐได้ดำเนินการเข้าซื้อใน QE1 แล้วกว่า 1.7 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐ --ยังมีการพูดกันถึง QE3 ซึ่งโดยส่วนตัวเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ ถ้าเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงครึ่งแรกของปียังคงไม่เป็นที่น่าพอใจ ทำให้แนวโน้มของปริมาณดอลล่าร์ในระบบยังคงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น แนวโน้มเพิ่มเฟ้อที่ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจัยสำคัญมาจากราคาสินค้าเกษตรและราคาพลังงานเป็นสำคัญ จะเห็นว่าอัตราเงินเฟ้อโดยรวมกับราคาทองคำมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ประกอบกับความเชื่อของนักลงทุนในตลาดที่คิดว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ใช้ในการต่อสู้กับเงินเฟ้อ จึงทำให้เวลาที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญก็จะทำให้นักลงทุนสะสมทองคำเพิ่มเติมและส่งผลต่อราคาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ความต้องการทองคำในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้นซึ่งในประเด็นนี้ก็ต้องแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ภาคธนาคารกลางเริ่มมีการกลับมาสะสมทองคำเพิ่มขึ้น โดยถ้าเรามองย้อนหลังไป 10-20 ปีก่อนหน้าจะเห็นว่าภาคธนาคารกลางมีการขายทองคำออกอย่างต่อเนื่อง การเพิ่มขึ้นของราคาทองคำในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีค่าเฉลี่ยผลตอบแทนที่สูงมาก โดยเมื่อเทียบราคาเปิดในช่วงต้นปี 2550 ที่ระดับ 636 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ กับราคาปัจจุบันแถว 1,360 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ หรือ 114% ในช่วงเวลาเพียง 4 ปี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีผู้สนใจเข้ามาลงทุนในทองคำเพิ่มขึ้น ความต้องการใช้ทองคำทั้งหมด แต่กลับเพิ่มขึ้นมาในช่วงปี 2552 อยู่ที่ประมาณ 40% สะท้อนให้เห็นได้ชัดความพฤติกรรรมของผู้ลงทุนมีการเปลี่ยนแปลงไป และปัจจัยสุดท้ายมาจากความต้องการทองคำจากการใช้จริงทั้งในด้านของการใช้เป็นเครื่องประดับ ซึ่งการเพิ่มขึ้นมาจากกลุ่มประเทศเกิดใหม่อย่างจีนและอินเดีย 4. ความเสี่ยงในตลาดการลงทุน โดยเฉพาะประเด็นปัญหาหนี้ในยุโรปที่เชื่อว่าจะยังคงสร้างแรงกดดันต่อตลาดการลงทุน และสกุลเงินยูโรต่อเนื่องไป เนื่องจากปัญญานี้ค่อนข้างลึกอยู่ทีเดียว เนื่องจากเป็นปัญหาในเชิงโครงสร้าง การใช้เวลาในการแก้ไขอาจจะกินเวลานาน 2-3 ปี เรื่องที่ 3 หลักการคิดวิเคราะห์ทองคำ ลอกจาก คุณพ่อมือใหม่ 1. ภาพเล็กคลุมภาพใหญ่ หมายถึง ดูกราฟช่วงเวลาเยอะ เป็นหลักว่าเทรนขึ้น หรือลง เป็นหลักก่อน แล้ว ค่อยๆ หาจุดที่เราคิดว่า เราจะเข้าซื้อ หรือเราจะ take profit อาจจะดูกราฟราย 30 นาที ,กราฟราย 1 ชม.,กราฟราย 4 ชม.เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ 2. ตัวช่วยตัดสินใจ คือ indicator และ ประสพการณ์ ข่าว ค่าเงินบาท การไหลเข้าออกของเงินบาท 3. มั่นสังเกต และจดบันทึกทุกครั้งที่ทำการซื้อขาย ว่าเราซื้อหรือขายอะไร ตอนนั้นอินดี้ แต่ละตัวอยู่ตำแหน่งไหน ทำไมเราถึงคิดทำการตัดสินใจซื้อขาย 4.หาข้อผิดพลาดของตัวเองให้เจอเผื่อสร้างเป็นระบบให้กับตัวเอง บางคนเขามีระบบของตัวเอง โดยที่ไม่ได้ใช้อินดี้ใดๆ เลย ก็มี มีเพื่อนคนนึงเขาเคยพูดกับผมว่า ไม่มีอินดี้ตัวได้ที่ฉลาดและวิเคราะห์ได้ถูกหมด เพราะหากมีจริงคนที่ทำราคาหรือรายใหญ่ซื้อทอง เขาก็เจ๊งให้กับรายย่อยแบบเราหมดน่ะสิ มีแต่ประสพการณ์ ที่จะช่วยให้รายย่อยอย่างเราเอาตัวรอดได้ในตลาด 5.ต้องมีระเบียบวินัย รู้ว่าผิดต้องถอย อย่าดื้อรั้น เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย นี่คือ แนวความคิดและใช้วิเคราะห์ในการซื้อทองครับ ///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// เรื่องที่4 การเกิดของธนบัตร ตั๋วเงิน บทความดีจาก ห้องโอกาศจริงๆ ค่ะ ฟันธง โอกาสทองจริงๆ ////เค้าเยี่ยมนะค่ะ ยิ่งปี2013 มีทั้ง เฟค ทั้งห้องโอกาศ เราขาดเค้าไม่ได้จริงๆ เยี่ยมจริงๆค่ะถ้ามีโอกาศมีความรู้มากหมายที่ห้อง โอกาศทองจริงๆ ศึกษาง่าย ค้นง่ายมีลิงค์ไว้เลยจะดูหรือสนใจหัวข้อไหนไปหาความรู้ได้นะค่ะ
×
×
  • สร้างใหม่...