ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

ขาใหญ่ SPDR ใจถึงจริงๆๆๆๆ ยอมเข้าซื้อราคาที่สูงเพื่อมิให้ราคาทองดิ่งลง

เพี้ยง อยากให้การดำเนินธุรกิจขาดทุนจริงๆๆๆ กฎแห่งกรรมมีจริง กรรมตามทัน คอยดูต่อไป

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าเพิ่ม หลังความต้องการนำเข้าสินค้าทุนพุ่ง

 

Posted on Friday, October 15, 2010

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาเมื่อวานนี้ (พฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม)

• ดุลการค้าระหว่างประเทศ (ส.ค.) ขาดดุล 46,300 ล้านดอลลาร์

• ดัชนีราคาผู้ผลิต หรือ PPI (ก.ย.) เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้า

• สต็อกน้ำมันสำรองประจำสัปดาห์ลดลง 0.4 ล้านบาร์เรล

• จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์ 462,000 ราย

 

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่จะประกาศออกมาวันนี้ (ศุกร์ที่ 15 ตุลาคม 2553)

• ดัชนีราคาผู้บริโภค (ก.ย.) โดย กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ

• ยอดค้าปลีก (ก.ย.) โดยกระทรวงพาณิชย์

• ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ต.ค.) โดย มหาวิทยาลัยมิชิแกน

• สินค้าคงคลังภาคธุรกิจ (ส.ค.) โดย กระทรวงพาณิชย์

 

 

สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าเพิ่ม หลังความต้องการนำเข้าสินค้าทุนพุ่ง

 

ยอดขาดดุลการค้าสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคมพุ่งเกินระดับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ เมื่อความต้องการสินค้านำเข้า อย่างเช่น รถยนต์และอุปกรณ์เครื่องจักรต่างๆ ปรับตัวสูงขึ้นเร็วกว่าสินค้าส่งออก

 

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ รายงานตัวเลขการขาดดุลเพิ่มขึ้นอีกเกือบ 9% ไปอยู่ที่ระดับ 4.63 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทะลุเกินระดับ 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยมูลค่าการนำเข้าปรับเพิ่มขึ้นราว 2% ขณะที่ส่งออกขยับขึ้นเพียง 0.2% เท่านั้น

 

ความต้องการสินค้าจากต่างประเทศที่เป็นไปในทิศทางบวก กำลังเป็นสัญญาณว่าบริษัทอเมริกันยังเดินหน้าลงทุนในอุปกรณ์และเครื่องจักรใหม่ รวมถึงการสะสมสต็อกสินค้า ส่วนตัวเลขส่งออกที่สร้างสถิติสูงสุดในรอบสองปี ก็เป็นสิ่งที่ตอกย้ำถึงเหตุผลที่บริษัทชั้นนำ เช่น Intel ผู้ผลิตชิพคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่ จึงยังคงมีมุมมองที่สดใสต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

 

นักเศรษฐศาสตร์ของ Barclays Capital ในนิวยอร์กมองว่า ตัวเลขขาดดุลการค้ามีแนวโน้มปรับสูงขึ้น ตามการขยายตัวของความต้องการภายในประเทศ ซึ่งหมายความว่ามีโอกาสที่มูลค่านำเข้าจะปรับตัวขึ้นเร็วกว่าอัตราการเติบโตของภาคส่งออก อย่างไรก็ดี แนวโน้มการส่งออกของอเมริกาก็ยังมีตัวช่วยสำคัญ ที่มาจากความต้องการของประเทศตลาดเกิดใหม่ อย่างเช่น จีน อินเดีย และบราซิล เมื่อประเทศเหล่านี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงและพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน ขณะเดียวกัน ทางด้านผู้บริโภคเองก็มีความสามารถในการจับจ่ายซื้อสินค้าและบริการจากต่างประเทศมากยิ่งขึ้น

 

 

AOL จับมือหลายบริษัทเตรียมซื้อ Yahoo

 

วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานว่า บริษัท อเมริกาออนไลน์ (AOL) ผู้ให้บริการทางอินเทอร์เน็ตยักษ์ใหญ่สัญชาติสหรัฐฯ จับมือบริษัทเอกชนหลายแห่งเพื่อสอบถามถึงความเป็นไปได้ในการซื้อกิจการของยาฮู

 

สื่อสิ่งพิมพ์ฉบับดังกล่าว ระบุว่า บริษัท ซิลเวอร์เลคพาร์ตเนอร์ และบริษัท แบล็กสโตนกรุป เป็นสองบริษัทในหลายแห่ง ที่แสดงความสนใจในการร่วมทุนกับทาง AOL โดยทั้งหมดจับมือร่วมกัน เพื่อยื่นข้อเสนอซื้อ ยาฮู หรือแม้แต่จะยื่นข้อเสนอเพียงลำพังโดยไม่ร่วมกับ AOL

 

หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล ซึ่งอ้างแหล่งข่าวจากบุคคลผู้สนิทชิดเชื้อกับทางบริษัทดังกล่าว รายงานว่า อย่างน้อยมี 2-3 บริษัท ที่แสดงความสนใจเข้าร่วมข้อเสนอดังกล่าว หากมีการผลักดันแผนการนี้อย่างเป็นทางการ

 

อย่างไรก็ตาม สื่อดังกล่าวระบุว่า ในขั้นต้นการเจรจายังคงอยู่เฉพาะในกลุ่มผู้สนใจ อย่างบริษัทเอกชน ผู้บริหารเอโอแอล และที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจเท่านั้น ทางยาฮูไม่ได้ยังไม่ได้แสดงท่าทีแต่อย่างใด

 

รายงานข่าวยังเสริมว่า ทางเอโอแอล ซึ่งแยกกิจการออกจาก ไทม์วอร์เนอร์ เมื่อปีที่แล้ว มีมูลค่าหุ้น 2.68 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งนับว่าน้อยกว่ายาฮูอยู่มาก โดยยาฮูมีมูลค่าหุ้นทั้งหมด 2.056 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 6.13 หมื่นล้านบาท

 

 

นายกฯญี่ปุ่นไม่พอใจตลาดเงินผันผวน ด้านโตโยต้าเตรียมระงับส่งออก

 

นายนาโอโตะ คัง นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวแสดงความเห็นหลังจากที่เงินเยนแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 80 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐครั้งแรกในรอบกว่า 15 ปีว่า อัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนมากจนเกินไปนั้นเป็นสถานการณ์ที่ไม่น่าพอใจ พร้อมระบุว่า ญี่ปุ่นจำเป็นต้องพิจารณาการตัดสินใจที่มีความหลากหลาย โดยรัฐบาลจะดำเนินมาตรการที่เด็ดขาดเพื่อควบคุมการแข็งค่าของเงินเยน หากเห็นว่าเป็นเรื่องที่จำเป็น

 

ขณะที่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น กำลังพิจารณาว่าจะระงับการส่งออกรถโคโรลล่า และจะผลิตรถรุ่นดังกล่าวที่โรงงานในต่างประเทศแทนตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นไป เพื่อรับมือกับเงินเยนที่แข็งค่า

 

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ในปี 2552 ปีเดียว โตโยต้าผลิตรถโคโรลล่าที่โรงงานในประเทศจำนวน 215,000 คัน และราว 60% ของทั้งหมดถูกส่งออกไปขายยังต่างประเทศ โดยนับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2509 จนถึง ณ สิ้นปี 2552 โตโยต้าผลิตรถโคโรลล่าในประเทศรวมทั้งสิ้น 24.49 ล้านคัน และส่งผลให้โคโรลล่าเป็นรถรุ่นที่ขายดีที่สุดตลอดกาลของโตโยต้า

 

ผู้สังเกตการณ์กล่าวว่า หากโตโยต้าระงับการส่งออกรถโคโรลล่าและย้ายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศจริง ก็จะเป็นการส่งผลทางจิตวิทยาให้ผู้ผลิตรถรายอื่นพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศเช่นกัน

 

จนถึงตอนนี้โตโยต้าส่งสัญญาณว่าจะไม่ปิดโรงงานผลิตรถโคโรลล่าในประเทศและจะไม่ปลดพนักงาน เนื่องจากคาดการณ์ว่ายอดผลิตรถโตโยต้าทุกรุ่นในประเทศจะไม่ร่วงลงต่ำกว่า 3.2 ล้านคัน ขณะเดียวกันคาดว่าโตโยต้าจะใช้โรงงานดังกล่าวผลิตรถรุ่นอื่นแทน

 

อย่างไรก็ตาม ผู้สังเกตการณ์เตือนว่าหากเงินเยนแข็งค่าขึ้นอีก ก็อาจกดดันให้โตโยต้าต้องลดกำลังการผลิตโดยรวมในประเทศลงเป็นจำนวนมาก

 

เงินเยนที่แข็งค่าแตะ 81 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงนี้ทำให้บริษัทผลิตรถยนต์มีกำไรน้อยลง เนื่องจากบริษัทส่วนมากพึ่งพิงการส่งออก ขณะที่โตโยต้าคาดการณ์ว่าเงินเยนจะมีค่าเฉลี่ย 90 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐในปีงบการเงิน 2553 ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคม 2554

 

ทั้งนี้ โตโยต้าส่งออกรถไปทั่วโลกจำนวน 1.64 ล้านคันในปีงบการเงิน 2552 ขณะที่ยอดผลิตรถโตโยต้าทั่วโลกอยู่ที่ 7.28 ล้านคัน โดย 3.21 ล้านคันจากทั้งหมดผลิตในประเทศญี่ปุ่น

 

 

กูรูคาดเศรษฐกิจจีนขยายตัวแข็งแกร่งต่อเนื่องอีก 10 - 20 ปี

 

ผู้เชี่ยวชาญคาดเศรษฐกิจจีนจะยังคงรักษาระดับการขยายตัวอย่างรวดเร็วได้ในอีก 10 - 20 ปีข้างหน้า แต่ในขณะเดียวกันก็จะเผชิญกับความท้าทายควบคู่ไปด้วย

 

ผู้เชี่ยวชาญจากจีนและสวีเดนเข้าร่วมการสัมนาในหัวข้อ "Is China a Sustainable Engine for the Global Economy" ซึ่งจัดโดยสมาคม Stockholm China Alliance (SCA) และได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจมหภาคในปัจจุบัน รวมถึงความท้าทายและโอกาสทางเศรษฐกิจในระยะกลางของจีน

 

แอนเดอร์ส อาห์นลิด ผู้อำนวยการทั่วไปด้านการค้าจากกระทรวงต่างประเทศสวีเดนกล่าวว่า จีนกำลังก้าวขึ้นเป็นแกนนำการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก หลังจากที่ทั่วโลกเผชิญวิกฤตการเงินและภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ

 

ลู่ เฟิง รองคณบดีประจำมหาวิทยาลัย National School of Development at Beijing University กล่าวว่า เศรษฐกิจจีนเคลื่อนไหวในรูปตัว V และสามารถฟื้นตัวกลับมาแข็งแกร่งได้อย่างรวดเร็วจากอานิสงส์ของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 4 ล้านล้านหยวน หรือ 5.86 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังเกิดวิกฤตการเงินโลก

 

นอกจากนี้ จีนยังดำเนินนโยบายในเชิงรุกด้วยการยืดหยุ่นนโยบายการเงินโดยใช้เครื่องมือที่หลากหลายเพื่อควบคุมภาวะฟองสบู่

 

ด้านศาสตราจารย์เหยา หยาง คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนจะยังคงขยายตัวได้อย่างน้อยที่ 8% ในอีก 10 ปีข้างหน้า แต่ขณะเดียวกันจีนอาจเผชิญความท้าทายที่เป็นอุปสรรคต่อแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของจีน เช่น ภาวะประชากรผู้สูงอายุ

 

 

สิงคโปร์เผย GDP ไตรมาส 3/53 ขยายตัวช้าลง

 

กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์เปิดเผยในวันนี้ว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 3/53 ขยายตัวในอัตรา 10.3% ซึ่งชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/53 ที่สามารถขยายตัวได้ถึง 19.6% เนื่องจากภาคการผลิตของสิงคโปร์หดตัวลง

 

รัฐบาลสิงคโปร์ยังคงคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจภายในประเทศจะขยายตัวราว 13 - 15% ในปีนี้

 

ทั้งนี้ สิงคโปร์ยังต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมการผลิต การเงิน และการท่องเที่ยวเป็นหลัก เพื่อพยุงเศษฐกิจให้ขยายตัว โดยประชาชนชาวสิงคโปรกว่า 5 ล้านคนได้ประโยชน์จากดีมานด์สินค้าส่งออกจากทั่วโลกที่ขยายตัวขึ้น และนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนสิงคโปร์มากขึ้น

 

รายงานระบุว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของสิงคโปร์หดตัวเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันหลังทำสถิติเพิ่มขึ้น 15 เดือนติดต่อกัน โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต ซึ่งเป็นมาตรวัดการผลิตของโรงงานที่สำคัญ เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 49.5 จุดในเดือนกันยายน ถึงแม้จะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย 0.1 จุด ในเดือนสิงหาคม แต่ดัชนีที่เคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 50 จุดนั้น บ่งชี้ว่าภาคการผลิตยังคงหดตัว

 

 

ริโอ ทินโต เผยยอดการผลิตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ใน ไตรมาส 3/53

 

ริโอ ทินโต บริษัทเหมืองแร่ยักษ์ใหญ่ของออสเตรเลีย เปิดเผยว่า ปริมาณผลผลิตสินแร่เหล็ก อลูมินา และถ่านโค้ก ของบริษัททำสถิติสูงเป็นประวัติการณ์ในไตรมาส 3/53 โดยยอดการผลิตสินแร่เหล็กในช่วงเดือนก.ค.-ก.ย. 2553 มีปริมาณทั้งสิ้น 47.608 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 43.61 ล้านตันในช่วง 3 เดือนก่อนหน้า ในขณะที่ยอดผลิตอลูมินา อยู่ที่ 2.347 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากระดับ 2.24 ล้านตัน และยอดการผลิตถ่านโค้กแตะ 2.43 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากระดับ 2.39 ล้านตัน

 

นอกจากนี้ ริโอ ทินโต คาดว่า เหมืองแร่เหล็กทั่วโลกของบริษัทจะมียอดการผลิตใกล้เคียงกับกำลังการผลิตสูงสุดตลอดช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ ส่วนปริมาณการผลิตสินแร่เหล็กในช่วง 9 เดือนแรกของปีมีปริมาณสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 10%

 

ทั้งนี้ การผลิตที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของ ริโอ ทินโต สะท้อนให้เห็นถึงสภาวะตลาดที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงปี 2552

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Tisco Market Insight :บทวิเคราะห์และกลยุทธ์รายวัน

วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม 2010 เวลา 11:21 น. บล.ทิสโก้ ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ

Tisco Market Insight :บทวิเคราะห์และกลยุทธ์รายวัน

 

สรุปภาวะตลาดวันก่อน

• SET ปิด +1.12 จุด หรือ +0.11% มาที่ 993.72 โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 47,399.89 ล้านบาท ดัชนีกลุ่มพลังงาน +0.92%, กลุ่มแบงก์ -0.05%, กลุ่มวัสดุก่อสร้าง -0.61% ตลาดหุ้นที่ปรับขึ้น เพราะได้รับผลดีจากเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามการที่เงินบาทยังแข็งค่า ถือเป็นปัจจัยกดดันตลาด เพราะทำให้นักลงทุนมีความกังวลว่า ทางการจะออกมาตรการเพิ่มเติม เพื่อมาดูแลค่าเงินบาท 

 

ทิศทางตลาดวันนี้

• แนวโน้มเดือน ต.ค. “ ยืนเหนือ 960-978 จุด จะ Sideways Up เป้า 1020 จุด ปัจจัยลบคือ SET ขึ้นมา 279 จุด ( 38 % ) ตลอด 5 เดือน จาก 720 – 999 จุด นักลงทุนต่างประเทศอาจกลับลำขายสุทธิบางวัน - หลังจากกำไร 2 เด้ง จากค่าบาทแข็งขึ้นอีก 8.00 % แต่เชื่อว่าเม็ดเงินยังไม่ไหลออก - ปัจจัยบวกคือการประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 กลุ่มธนาคารจะออกมาดีกว่าคาด (SCB , KTB , KBANK) และกลุ่มพลังงาน บางหลักทรัพย์ออกมาดี (PTTEP , BANPU , TOP , PTTAR ) กลุ่มพลังงานจะกลับมา Out Perform จากราคา Commodities และ น้ำมันกลับมาเป็นขาขึ้นในไตรมาส 4 (รับ $ US อ่อนค่า) สรุป คาด SET หากยืนเหนือ 960-978 จุด จะ Sideways Up เป้า 1020 จุด

 

 

 

แนวโน้มวันนี้ คาด SET ซิกแซกขึ้นต่อทดสอบแนวต้าน 1000 , 1005 จุดกรณี SET ขึ้นไม่ผ่าน 1000 จุด ( ไม่ทำ New High จากเมื่อวาน ) จะเกิดแรงขายทำกำไรจาก Over Bought – SET จะลงปรับฐานทดสอบแนวรับ 985 , 980 จุด กลยุทธ์วันนี้ ; 1. Port ลงทุน ; ถือรอขาย 1,050 จุด ; SET ลงต่ำกว่า 978 จุด = ขายบางส่วน 2. Port เก็งกำไร ; ลงซื้อ 985, 980 จุด – ขาย 1000 จุด 3. SET หลุด 978 , 960 จุด = ขาย Stop Loss ( ยิ่งลง – ยิ่งขาย ) จะลงถึง 940,920 จุด 3. หุ้นแนะนำ “ SCB, KTB, TPIPL , IRPC , TOP , BANPU , ADVANC , DTAC , THAI

 

ปัจจัยติดตาม

วันที่ เหตุการณ์

15 ต.ค. ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐฯ ในเดือน ก.ย.

ตัวเลขยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ ในเดือน ก.ย.

ตัวเลขผลสำรวจภาคการผลิตของสหรัฐฯ ในเดือน ต.ค.

ตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ ในเดือน ต.ค. (เบื้องต้น)

ตัวเลขสต็อกสินค้าภาคธุรกิจของสหรัฐฯ ในเดือน ส.ค.

15-21 ต.ค. กลุ่มธนาคารพาณิชย์ทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/53

ตัวเลขยอดขายรถยนต์ของไทยในเดือน ก.ย.

18 ต.ค. TFEX เปิดซื้อขาย Interest Rate Futures

ศาลรัฐธรรมนูญนัดไต่สวนพยานของผู้ถูกร้องครั้งสุดท้ายในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์

ตัวเลขผลิตและอัตราการใช้กำลังการผลิตของสหรัฐฯ ในเดือน ก.ย.

ตัวเลขดัชนีตลาดบ้านของสหรัฐฯ (NAHB) ในเดือน ต.ค.

19 ต.ค. ตัวเลขการเริ่มและอนุญาตสร้างบ้านของสหรัฐฯ ในเดือน ก.ย.

20 ต.ค. ประชุมดอกเบี้ยธนาคารกลางไทย (BOT)

ตัวเลขการค้าเบื้องต้นของไทยในเดือน ก.ย.

ตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์ สิ้นสุดวันที่ 17 ต.ค.

ที่มา : Bloomberg, TISCO Research

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ไทยพาณิชย์ชำแหละ "เงินบาทแข็งค่า ธุรกิจใดเสียหรือได้ประโยชน์"

วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม 2010 เวลา 11:53 น. ณัฐญา เนตรหิน ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ

 

 

 

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ออกบทวิเคราะห์ " เงินบาทแข็งค่า ธุรกิจใดเสียหรือได้ประโยชน์" โดยระบุว่า เพราะธุรกิจมีลักษณะแตกต่างกัน แต่ละธุรกิจจึงได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นแตกต่างกันไป SCB EIC จึงทำการวิเคราะห์ว่าธุรกิจใดที่เสียผลประโยชน์จากการแข็งค่าของค่าเงินบาทมากน้อยไปกว่ากัน รวมทั้งธุรกิจใดได้รับผลประโยชน์จากการแข็งของค่าเงิน โดยสามารถแบ่งหลักๆ ได้ดังนี้

 

 

 

กลุ่มธุรกิจที่เสียประโยชน์ ซึ่งก็คือธุรกิจที่ส่งออกมากนำเข้าน้อย หรือ export content สูง ขณะที่ import content ต่ำ เพราะต้นทุนที่ลดลงจากการนำเข้าที่ถูกลงไม่มากพอที่จะทดแทนรายได้ที่สูญเสียไปจากราคาขายที่ลดลงได้ ดังนั้น ทุกบาททุกสตางค์ที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นคือรายได้ที่ลดลง ส่งผลให้กำไรของกลุ่มธุรกิจประเภทนี้ลดลงทันที แม้อาจยังไม่ถึงกับขาดทุน ตัวอย่างเช่น ผู้ผลิตยางแปรรูปขั้นต้น (เช่น ยางแผ่นรมควันและยางแท่ง) และผู้ค้าข้าว เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนการส่งออกสูงมากและการนำเข้าน้อยมาก โดยผู้ผลิตยางแปรรูปขั้นต้น มีสัดส่วนการส่งออกสูงเกือบ 90% แต่แทบจะไม่มีการนำเข้าวัตถุดิบหรือสินค้าสำเร็จเลย และหากค่าเงินบาทแข็งค่าเกินราว 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในไตรมาส 4 ปีนี้ ผู้ผลิตยางแปรรูปขั้นต้นและผู้ค้าข้าวจะประสบปัญหาขาดทุน

 

 

 

นอกจากนั้น ยังมีกลุ่มธุรกิจส่งออกที่แม้เสียประโยชน์แต่ทนต่อการแข็งค่าของเงินบาทได้มากกว่า โดยระดับค่าเงินบาทที่รับได้จะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับการลดความเสี่ยงในแบบต่างๆ กันไป เช่น

 

 

 

ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบธุรกิจในลักษณะ OEM (original equipment manufacturing) ให้กับเจ้าของผลิตภัณฑ์ hard disk drive ชั้นนำ โดยมีสัดส่วนการส่งออกและนำเข้าสูงมากราว 70% และเพื่อลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน จะพยายามตั้งราคาขายและราคาซื้อวัตถุดิบด้วยราคาเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ แม้บริษัทคู่ค้าจะอยู่ในไทย อย่างไรก็ตาม ก็ไม่สามารถลดความเสี่ยงได้ทั้งหมด (fully hedge) เนื่องจาก ไม่สามารถซื้อวัตถุดิบทั้งหมดในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ ยิ่งไปกว่านั้น ราคาสินค้าที่ผลิตได้นั้นสูงกว่าราคาวัตถุดิบ ดังนั้น ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จึงยังคงเสียประโยชน์จากการแข็งค่าของเงินบาท แต่ไม่มากเท่ากับธุรกิจที่ส่งออกมากนำเข้าน้อย และหากค่าเงินบาทแข็งค่าเกินราว 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในไตรมาส 4 ปีนี้ ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ถึงจะประสบปัญหาขาดทุน

 

 

 

ผู้ผลิต hard disk drive ที่ส่งออกสินค้าที่ผลิตได้ทั้งหมดให้กับบริษัทแม่ด้วยราคาขายที่ตั้งไว้เป็นดอลลาร์สหรัฐฯ และซื้อวัตถุดิบด้วยราคาเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ เช่นกัน แม้ supplier อยู่ในไทย เพื่อลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ตาม ก็ไม่สามารถลดความเสี่ยงได้ทั้งหมด (fully hedge) เนื่องจาก ไม่สามารถซื้อวัตถุดิบทั้งหมดในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ ยิ่งไปกว่านั้น ราคาสินค้าที่ผลิตได้นั้นสูงกว่าราคาวัตถุดิบ ดังนั้น ผู้ผลิต hard disk drive จึงยังคงเสียประโยชน์จากการแข็งค่าของเงินบาท แต่ไม่มากเท่ากับธุรกิจที่ส่งออกมากนำเข้าน้อย

 

 

 

ผู้ผลิตรถยนต์ มีลักษณะคล้ายกับผู้ผลิต hard disk drive หากแต่สินค้าที่ผลิตได้นั้นไม่ได้ส่งให้กับบริษัทแม่ทั้งหมด จะแบ่งไว้สำหรับขายในประเทศและเพื่อส่งออก ในส่วนของวัตถุดิบ ผู้ผลิตรถยนต์จะมีการตกลงราคากับทาง supplier เป็นที่เรียบร้อยเพื่อรักษาอัตรา margin ดังนั้น ผู้ผลิตรถยนต์ จึงยังคงได้รับผลกระทบจากบาทที่แข็งค่า แต่จะไม่เร็วเท่ากับธุรกิจที่กล่าวมาข้างต้น

 

 

 

กลุ่มพลังงาน เป็นกลุ่มธุรกิจที่อาจเรียกได้ว่าเป็นธุรกิจที่ fully dollarized กล่าวคือ ราคาขายสินค้าสำเร็จและราคาขายวัตถุดิบถูกตั้งราคาในรูปของดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม เนื่องจากราคาสินค้าสำเร็จแพงกว่าราคาวัตถุดิบ จึงส่งผลให้ธุรกิจกลุ่มพลังงานได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทบ้างเช่นกัน แต่จะน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ

 

 

 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ก็ยังมีกลุ่มธุรกิจที่ได้ประโยชน์ ซึ่งก็คือธุรกิจที่นำเข้าสูงส่งออกจำกัด หรือ import content สูง ขณะที่ export content ต่ำ เพราะสามารถประหยัดต้นทุนจากการนำเข้าวัตถุดิบหรือสินค้าสำเร็จได้มากกว่ารายได้ที่สูญเสียไปจากราคาขายที่ลดลง ตัวอย่างเช่น ผู้ผลิตเหล็กทั้งเหล็กเส้นและเหล็กรีดร้อน เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนการนำเข้าสูงส่งออกจำกัด โดยมีสัดส่วนการนำเข้าสูงราว 70% ขณะที่มีสัดส่วนการส่งออกเพียงราว 15% และหากค่าเงินบาทอ่อนค่าเกินราว 40 – 45 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในไตรมาส 4 ปีนี้ ผู้ผลิตเหล็กถึงจะประสบปัญหาขาดทุน

 

 

 

แม้ว่าภาครัฐมีความพยายามออกมาตรการต่างๆ เพื่อสกัดกั้นค่าเงินบาทไม่ให้แข็งขึ้น แต่จะช่วยได้ในระยะสั้นๆ เท่านั้น คงไม่สามารถทำให้ทิศทางของค่าเงินบาทกลับมามีแนวโน้มอ่อนค่าได้ และในระยะยาวน่าจะยังคงมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อไป ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ที่คงหลีกเลี่ยงได้ยากและไทยคงทำอะไรไม่ได้มากนัก ดังนั้น ผู้ประกอบการควรเตรียมรับมือแนวโน้มดังกล่าวดังนี้

 

 

•ระยะสั้น: ควรต้องทำป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (hedging) ตามความเหมาะสม

•ระยะกลาง: ควรหาโอกาสและตลาดใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นในประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงจากการแข็งค่าของเงินบาท หรือตลาดต่างประเทศที่ค่าเงินของ

 

 

ประเทศนั้นต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่ามากกว่าค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเทียบค่าเงินระหว่างประเทศนั้นกับค่าเงินบาทแล้ว (cross currency) ค่าเงินบาทจะอ่อนตัวลง ยกตัวอย่างเช่น ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งค่าเงินเยนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ตั้งแต่สิ้นปี 2009 จนถึงวันที่ 14 ตุลาคม 2010 นั้น ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นราว 14.4% ส่วนค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ นั้นแข็งค่าขึ้น 11.8% ดังนั้น ค่าเงินบาทจะอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินเยนราว 3%

 

 

 

•ระยะยาว: ควรสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าตนเอง โดยการต่อยอดสินค้าที่มีอยู่ให้มีสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ผลที่ได้คือ รายได้เพิ่มมากขึ้น และยังสามารถหาตลาดใหม่ๆ ได้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ผู้ผลิตยางแปรรูปขั้นต้น นอกเหนือจากการส่งออกยางแปรรูปขั้นต้นเพียงอย่างเดียว ยังสามารถนำสินค้าที่มีอยู่มาผลิตเป็นยางรถยนต์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น เช่น จากการผลิตยางแผ่นรมควันราคา 400 บาท มาเป็นการผลิตยางรถยนต์ธรรมดา 4,000 บาท และ 20,000 บาท สำหรับการผลิตยางรถยนต์สำหรับรถยนต์พิเศษ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สรุปภาวะ Gold Futures By GT Wealth Management 15 ต.ค. 53 (ภาคเช้า)

ข่าวเศรษฐกิจ ThaiPR.net -- ศุกร์ที่ 15 ตุลาคม 2553 11:26:59 น.

กรุงเทพฯ--15 ต.ค.--GT Wealth Management

ราคาทองคำในตลาดโลกในช่วงเช้าทรงตัวใกล้ระดับ 1,380 ดอลล่าร์หลังจากปรับตัวย่อลงในช่วงคืนที่ผ่านมาใกล้ระดับ 1,373 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ โดยราคาได้รับผลดีจากดอลล่าร์ที่ยังคงร่วงลงต่อเนื่อง การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจยังคงน่าผิดหวัง โดยผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดการณ์เพิ่มขึ้นอีก 13,000 ราย ขณะยอดการขาดดุลยังคงเพิ่มขึ้น โดยนักลงทุนจับตาการกล่าวสุนทรพจน์ของประธาน FED ในช่วงคืนวันนี้ ขณะปริมาณการซื้อขายทองคำล่วงหน้าในตลาดนิวยอร์กมีประมาณ 182,000 สัญญา ขณะเงินบาททรงตัวใกล้ระดับ 29.80 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ SPDR ซื้อทองเพิ่ม 19.14 ตัน ทำให้มีการถือครองที่ระดับ 1,304.34 ตัน ค่าเงินบาทเช้าวันนี้ทรงตัวใกล้ระดับ 29.80 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ โกลด์ฟิวเจอร์สัญญาสิ้นสุดอายุเดือนตุลาคม (GFV10) เปิดตลาดบวกเพิ่มขึ้น 20 บาทจากช่วงปิดตลาดวันพฤหัสบดี (14 ต.ค. 53) โดยเปิดที่ระดับราคา 19,530 บาท ส่วนราคาทองคำที่ประกาศโดยสมาคมค้าทองคำวันนี้ ราคาเสนอซื้อ 19,350 บาท ราคาเสนอขาย 19,450 บาท

 

ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุนบริษัทจีที เวลธ์แมเนจเมนท์ จำกัดกล่าวว่า แรงขายทำกำไรในช่วงสั้นยังไม่สามารถกดดันราคาให้ปรับตัวลงต่ำ สะท้อนให้เห็นมุมมองในเชิงบวกต่อราคาทองคำของนักลงทุนในตลาด โดยยังคงมีความกังวลในความผันผวนของค่าเงินในอนาคตและเข้าถือครองทองคำเพื่อใช้เป็นที่พักเงินและป้องกันความเสี่ยง ประกอบกับดอลล่าร์ที่ปรับอ่อนค่าลงยิ่งสร้างแรงจูงใจเพิ่ม ทำให้ในระยะต่อไปทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ยังคงอยู่ในช่วง bullish

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

!thk ขอบคุณ ข่าวสารที่เป็นความรู้ มีประโยชน์มากคะ รวบรวมมาให้อ่านอย่างจุใจ !thk !gd !01

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ปรับปรุงใหม่---ย้ายเส้นปากถุงมารวมกับกราฟGold1

เส้นปากถุงเส้นกลาง ปรุงปรุงใหม่ สามารถเปลี่ยนสีได้ สีเหลืองเข้ม -----ทิศทางขึ้น สีแดง ---กำลังเลือกทิศทางใหม่ สีฟ้า---ทิศทางลง

เส้นปากถุง (BollingerBandsเส้นสีขาวทั้ง๓เส้น(เส้นกลางสีขาวเปลี่ยนเปลี่ยนปรุงปรุงใหม่เป็น สามารถเปลี่ยนสีได้ สีเหลืองเข้ม -----ทิศทางขึ้น สีแดง---กำลังเลือกทิศทางใหม่ สีฟ้า---ทิศทางลง)แบบง่ายๆ ไม่ปวดเศียรเวียนเกล้า

 

เส้นบน---แนวต้าน

เส้นกลาง---แนวโน้ม(สำคัญสุด)เส้นปากถุงเส้นกลาง ปรุงปรุงใหม่ สามารถเปลี่ยนสีได้ สีเหลืองเข้ม -----ทิศทางขึ้น สีเหลืองอ่อน---กำลังเลือกทิศทางใหม่ สีฟ้า---ทิศทางลง

เส้นล่าง---แนวหนุน

ลักษณะที่๑---ทิศทางขึ้นเบื้องต้น---เส้นบนหันหัวขึ้น เส้นกลางหันหัวขึ้น เส้นล่างหันหัวลง

ลักษณะที่๒---ทิศทางขึ้นเต็มตัว---เส้นบน กลาง ล่าง ล้วนหันหัวขึ้น

เมื่อเจอลักษณะทั้ง๒นี้ ราคาระหว่างวันที่ขึ้นๆลงๆ เมื่อเจอจุดที่เห็นว่าต่ำแล้วให้ซื้อเข้าได้เลยครับ ขอเพียงเส้นกลาง(แนวโน้ม)ยังหันหัวขึ้นอยู่ แม้ราคาเแท่งเทียนจะอยู่ต่ำกว่าเส้นกลาง ก็ยังซื้อเข้าได้ หากเส้นบนเดินขวางเมื่อไหร่ ให้ทยอยลดพอร์ตได้เลยครับ

ลักษณะที่๓---เลือกทิศทาง---เส้นบนหันหัวลง เส้นล่างหันหัวขี้น ปากถุงแคบลง ถึงช่วงนี้ ให้ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว หากใครยังคิดอยากเคลื่อนไหว ก็จงเคลื่อนไหวไปหน้าทีวี จงอย่าทำการอย่างอื่นใด หากใครเป็นจอมยุทธ์ ก็ชิงเคลื่อนไหวก่อนใครได้

ขอแถมอีกนิด จงโฟกัสที่เส้นกลาง หากเส้นกลางเริ่มขยบหัวหัวขึ้นหรือลง ทิศทางอาจขึ้นหรือลงตามเส้นกลางแนวโน้มนั้น

ลักษณะที่๔---เคลื่อนไหวในกรอบแคบ---เส้นบน กลาง ล่าง เดินขวางทั้ง๓เส้น หากใครเล่นออนไลน์ สามารถเล่นได้เล็กน้อยอย่ามาก เมื่อราคาแท่งเทียนใกล้หรือทะลุเส้นบน จงขาย ใกล้หรือทะลุเส้นล่าง จงซื้อ ต้องเข้าออกให้ทันการณ์ หาไม่แล้วจากกำไรอาจขาดทุนได้นา ขอบอก

ลักษณะที่๕---ทิศทางลงเบื้องต้น---เส้นบนหันหัวขึ้น เส้นกลางหันหัวลง เส้ยล่างหัวหัวลง

ลักษณะที่๖---ทิศทางลงเต็มตัว---เส้นบน กลาง ล่าง ล้วนหันหัวลง เมื่อเส้นล่างเดินขวางเมื่อไหร่ ผู้ที่ใจกล้าที่เล่นออนไลน์ เริ่มทยอยซื้อเข้าได้ที่ละนิด อัตราเสี่ยงยังมีอยู่บ้างนะครับ สิบอกไห่

วิธีดูเส้นปากถุงที่กล่าวมานี้ .....ไม่ใช่ตำราของฝรั่ง แบบของฝรั่งผมเคยอ่านมาบ้างแล้ว ยาวมาก ปวดหัว ทำความเข้าใจได้ยากมากๆๆๆๆ ...........เหมาะเฉพาะกราฟราย๔ชม.และช่วงปกติเท่านั้นนะครับ (บางครั้งตลาดจงใจคึงขึ้นลงอย่าแรงๆ แทบหัวใจวายสำหรับผู้มีทองในมือและผิดทิศทางของตัวเอง เรียกว่า ช่วงไม่ปกติครับ)

ดูกราฟทุกครั้งให้ดูที่หัวมุมซ้ายบน จะบอกเวลา H4=4ชม. H1=1ชม. D1=1วัน และบอกชนิดของกราฟด้วย เช่น gold(XAUUSD)หรือset50เป็นต้น

กราฟGold 1

ช่อง1 เส้นแดงอยู่เหนือเส้นเขียว---ทิศทางขึ้น ผู้เล่นออนไลน์ให้ดูเส้นปะ(เส้นปะสีขาว---เส้นแนวต้านและหนุน)ประกอบ ตั้งจุดกำไรและขาดทุน เส้นเขียวอยู่เหนือเส้นแดง---ทิศทางลง ผู้เล่นออนไลน์ให้ดูเส้นปะ(เส้นปะสีขาว---เส้นแนวต้านและหนุน)ประกอบ ตั้งจุดกำไรและขาดทุน เส้นแดงและเขียวประสานเป็นกากะบาด ---กำลังจะเปลี่ยนทิศ ให้ดูเส้นแนวโน้มประกอบ(เส้นปากถุงเส้นกลางที่เปลี่ยนสีได้) หากเส้นแดงและเขียวกำลังจะประสาน แต่ไม่ทันได้ประสานก็หันหันหัวกลับขึ้นหรือลง แสดงว่ากำลังมีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนี่งเกิดขึ้น หากขึ้นทะลุเส้นปะแนวต้าน ให้ดูเส้นปะแนวต้านเส้นต่อไป หากลงทะลุเส้นปะแนวหนุน ให้ดูเส้นแนวหนุนเส้นต่อไป ส่วนจุดกลมเหลืองทอง---ทิศทางลง จุดกลมฟ้า---ทิศทางขึ้น หากกราฟวิ่งในยามปกติ พอเชื่อถือได้ หากกราฟวิ่งขึ้นลงแรงๆ คือยามไม่ปกติ ไม่อาจเชือถือได้

ช่อง2 ให้ดูเส้นสีม่วง ประกอบกับเส้นแนวโน้มในช่อง1 หากหันหัวไปในทิศทางเดียวกัน โอกาสที่จะผิดพลาดก็มีน้อย ส่วนเส้นปะสีเหลืองทองและฟ้า หากขึ้นเหนือเลข80 เข้าสู่เขตซื้อเกิน ระวังจะเปลี่ยนทิศได้ทุกเมื่อ หากลงต่ำกว่าเลข20 เข้าสู่เขตขายเกิน ระวังจะเปลี่ยนทิศได้ตลอดเวลา

ช่อง3 ให้ดูทั้ง2เส้น คือเหลืองทองและฟ้า หันหัวไปทิศทางเดียวกันหรือไม่ เท่านั้นยังไม่พอ ให้ดูประกอบทิศทางในช่อง1ว่าเป็นทิศทางเดียวกันหรือไม่ หากทิศทางหันหัวในแนวเดียวกัน ทิศทางนั้นเชื่อถือได้

ดูกราฟทุกครั้งให้ดูที่หัวมุมซ้ายบน จะบอกเวลา H4=4ชม. H1=1ชม. D1=1วัน และบอกชนิดของกราฟด้วย เช่น gold(XAUUSD)หรือset50เป็นต้น

post-237-090373800 1287120024.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

!_cd !21 ขอบคุณครับ คืนวันศุกร์ จะปล่อยผีกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...