ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

จีนเล็งลดภาษีครั้งใหญ่ในปี 2554-2558

 

Posted on Wednesday, December 15, 2010

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาเมื่อวานนี้ (อ. 14 ธ.ค. 2553)

• ดัชนีราคาผู้ผลิต (พ.ย.) เพิ่มขึ้น 0.8% จากเดือนก่อนหน้า

• ยอดค้าปลีก (พ.ย.) เพิ่มขึ้น 0.8% จากเดือนก่อนหน้า

• สินค้าคงคลังภาคธุรกิจ (ต.ค.) เพิ่มขึ้น 0.7% จากเดือนก่อนหน้า

• ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ตัดสินใจคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0 - 0.25%

 

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่จะประกาศออกมาวันนี้ (พ. 15 พ.ค. 2553)

• ดัชนีราคาผู้บริโภค (พ.ย.) โดย กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ

• ประสิทธิภาพการผลิต (พ.ย.) โดย ธนาคารกลางสหรัฐฯ

• อัตราการใช้กำลังการผลิต (พ.ย.) โดย ธนาคารกลางสหรัฐฯ

• ดัชนีตลาดอสังหาริมทรัพย์ (ธ.ค.) โดยสมาคมผู้รับสร้างบ้านแห่งชาติของสหรัฐฯ

• สต็อกน้ำมันสำรองประจำสัปดาห์ โดย EIA

 

 

จีนเล็งลดภาษีครั้งใหญ่ในปี 2554-2558

 

การลดภาษีสำหรับผู้ที่มีรายได้ต่ำและธุรกิจส่วนใหญ่คาดว่า จะเป็นประเด็นสำคัญของการปฏิรูปด้านการจัดเก็บภาษีของจีนในช่วงปี 2554-2558 ตามแผนโครงการระยะเวลา 5 ปีฉบับที่ 12

 

จากการประชุม China's Central Economic Work Conference นั้น จีนจะสนับสนุนการปฏิรูปการจัดเก็บภาษีและการคลังอย่างแข็งขัน – โดยจะมีการพิจารณาเรื่องแนวทาง 4 เรื่องด้วยกัน คือ การปฏิรูปการจัดสรรรายได้ / การเปลี่ยนแปลงภาษีเงินได้ส่วนบุคคล / การปฏิรูปภาษีทรัพยากร / การใช้นโยบายภาษีมูลค่าเพิ่มในธุรกิจบริการบางประเภท

 

เจ้าหน้าที่ด้านภาษี กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะช่วยลดภาษีสำหรับผู้มีรายได้น้อยได้หลายพันล้านหยวนและจะพิจารณาเรื่องการจัดระบบภาษีให้มีความชัดเจน และลดประเภทภาษีลงในช่วงปี 2554 - 2558

 

สำนักงานศุลกากรจีนได้ร่างกรอบการปฏิรูปการจัดเก็บภาษีในช่วงแผนการพัฒนาฉบับที่ 12 ระยะเวลา 5 ปี โดยภายใต้กรอบการดำเนินการดังกล่าว จีนจะลดจำนวนหน่วยงานที่ดูแลด้านภาษีลงเหลือประมาณ 10 แห่ง จากเดิม 17 แห่ง เพื่อที่จะลดการจัดเก็บภาษีทางอ้อม

 

ธุรกิจต่างๆ อาจจะพอใจกับการลดภาษีลง ขณะที่จีนวางแผนที่จะทดแทนภาษีธุรกิจด้วยภาษีมูลค่าเพิ่มในช่วงปี 2554-2558

 

จีนได้เริ่มการปฏิรูปภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อปี 2552 ซึ่งการปฏิรูปครั้งนี้มีเป้าหมายที่การปรับเปลียนจุดสำคัญจากพื้นฐานการผลิตที่มีอยู่เดิมไปเป็นระบบภาษีมูลค่าเพิ่มบนพื้นฐานของการบริโภค เพื่อให้บริษัทต่างๆได้รับส่วนลดภาษีสำหรับการลงทุนในสินทรัพย์คงที่ของตนเอง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นส่วนของอุปกรณ์

 

เมื่อปีที่แล้วนั้น การปฏิรูปช่วยลดภาษีให้กับบริษัทต่างๆได้ถึง 1.70 แสนล้านหยวน ทั้งนี้ ภาษีธุรกิจของจีนครอบคลุมถึงธุรกิจบริการ อสังหาริมทรัพย์ และสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้

 

หากมีการใช้ภาษีมูลค่าเพิ่มแทนที่ภาษีธุรกิจ บริษัทต่างๆก็จะสามารถลดค่าใช้จ่ายในด้านสินทรัพย์คงที่ เช่น อุปกรณ์และอสังหาริมทรัพย์ และเวิร์คช็อปจากภาษีประเภทต่างๆ

 

หยาง จีหยง นักวิจัยของสถาบันสังคมศาสตร์จีน กล่าวว่า การปฏิรูปครั้งนี้จะช่วยลดการจัดเก็บภาษีซ้ำซ้อน และยังเป็นประโยชน์กับธุรกิจบริการต่างๆ ซึ่งรวมถึงธุรกิจการเงิน ทรัสต์ ลอจิสติกส์ และขนส่ง

 

นอกจากนี้ จีนยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาเรื่องภาษีอสังหาริมทรัพย์และสิ่งแวดล้อม การขึ้นภาษีทรัพยากร การจัดเก็บภาษีผู้ที่มีรายได้สูง และจัดเก็บภาษีอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยมลภาวะสูง และใช้พลังงานจำนวนมาก

 

กระทรวงการคลังจีนจะปรับขึ้นภาษีการส่งออกผลิตภัณฑ์แร่ธาตุหายากบางรายการตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2554 เป็นต้นไป เพื่อกำกับดูแลการส่งออกแร่ธาตุหายาก นอกจากนี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงภาษีการส่งออกและนำเข้าผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกหลายรายการด้วย

 

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงคลังจีนจะยังคงเก็บภาษีส่งออกสำหรับผลิตภัณฑ์ที่สร้างมลภาวะสูงหรือผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้พลังงานสูง เช่น ถ่านหิน น้ำมันดิบ โลหะนอกกลุ่มเหล็ก และปุ๋ย

 

 

เงินเฟ้ออังกฤษเดือนพ.ย.สูงขึ้นแตะ 3.3%

 

สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษเปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษในเดือนพ.ย. ขยายตัวขึ้นสู่ระดับ 3.3% จากระดับ 3.2% ในเดือนต.ค. เนื่องจากราคาอาหารและเสื้อผ้าที่สูงขึ้น ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งเดือนที่เงินเฟ้อสูงกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนดไว้ที่ 2%

 

ทั้งนี้ ราคาอาหารและเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์ปรับตัวขึ้น 1.6% ในเดือนต.ค. เปรียบเทียบกับปีที่แล้วที่ราคาสูงขึ้น 0.6% ส่วนราคาเสื้อผ้าพุ่งขึ้นถึง 2%

 

ธนาคารกลางอังกฤษคาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อจะยังอยู่ในระดับสูงต่อไปจนถึงปีหน้า เนื่องจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่สูงขึ้น

 

 

ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมยุโรป ต.ค.ขยายตัว 0.7%

 

ยูโรสแตทเปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนต.ค.ขยายตัว 0.7% จากระดับเดือนก.ย. เนื่องจากยอดสั่งซื้อสินค้าทุน เช่น เครื่องจักรและเครื่องมือที่สูงขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม อัตราการขยายตัวดังกล่าวต่ำกว่าระดับ 1.3% ที่นักเศรษฐศาสตร์ได้คาดการณ์ไว้

 

ทั้งนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในกลุ่ม 16 ประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโร ได้รับปัจจัยหนุนจากการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งสืบเนื่องมาจากการค้าทั่วโลกที่ดีดตัวขึ้น แต่การเปิดเผยตัวเลขล่าสุดนี้สะท้อนให้เห็นว่า การฟื้นตัวอาจไม่มั่นคง เนื่องจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังสะดุดและปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป

 

 

Mercedes จ่อรั้งอันดับ 3 ยอดขายรถแบรนด์หรูในสหรัฐฯ

 

ปีนี้อาจไม่ใช่ปีทองของแบรนด์รถยนต์หรูสัญชาติยุโรป เมื่ออาจต้องรั้งตำแหน่งที่สามด้านยอดขายในตลาดสหรัฐฯ ก่อนปล่อยให้แบรนด์คู่แข่งจากแดนอาทิตย์อุทัย รวมถึงผู้ผลิตสัญชาติเดียวกันขึ้นนั่งตำแหน่งแชมป์และรองแชมป์

 

รถหรู Mercedes จากค่าย Daimler ของเยอรมัน จ่อที่จะทำสถิติยอดขายสูงสุดในอันดับที่ 3 ในตลาดสหรัฐฯ รองจาก Lexus ของค่าย Toyota รวมถึงคู่แข่งที่เป็นเจ้าของโลโก้กังหันสีฟ้า อย่าง BMW

 

นาย Ernst Lieb ผู้บริหารที่ดูแลแบรนด์ Mercedes Benz ในสหรัฐฯ แสดงความมั่นใจว่า ตนจะทำอันดับยอดขายดังกล่าวได้ หลังจากที่ในปีนี้บริษัทพยายามไล่ตีตื้นในตลาดรถยนต์หรู ที่รวมถึงรถประเภท SUV หรือ sport-utility vehicles ที่มียี่ห้อ Lexus เป็นผู้นำมาตั้งแต่ปี 2000

 

นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนพฤศจิกายน ยอดขายของ Lexus ยังคงนำหน้า BMW อยู่ถึงเกือบ 5,000 คัน ขณะที่ BMW ก็ยังแซงหน้า Mercedes อยู่กว่า 500 คัน

 

อย่างไรก็ดี นาย Lieb บอกว่า สถิติที่จะจบลงในปีนี้ถือว่าเป็นความสำเร็จของบริษัท เพราะถ้าหากมองย้อนกลับไปดูเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ยอดขายของ Lexus นำหน้าตนอยู่ถึง 75,000 คัน ขณะที่ค่าย BMW มียอดขายที่เหนือกว่าตนอยู่ 40,000 คัน

 

ผู้เชี่ยวชาญอุตสาหกรรมรถยนต์รายหนึ่งมองว่า ยอดขายของรถแบรนด์หรูคึกคักขึ้นมากเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่กำลังฟื้นตัว รวมถึงแคมเปญการเช่าซื้อที่น่าดึงดูดใจลูกค้ามากขึ้น

 

 

จีนเตรียมคุมเข้มการกำกับดูแลกระแสเงินทุนแบบข้ามแดน

 

สำนักปริวรรตเงินตราแห่งรัฐของจีน (SAFE) จะควบคุมกระแสเงินทุนข้ามแดนอย่างเข้มงวดมากขึ้น และจะกวาดล้างกิจกรรมที่ผิดปกติ เช่น กระแสเงินร้อน ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงความกังวลของ SAFE ที่ว่า กระแสเงินร้อนอาจจะส่งผลกระทบต่อความพยายามในการควบคุมเงินเฟ้อของจีน

 

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เจ้าหน้าที่จีนได้เตือนเกี่ยวกับเรื่องกระแสเงินทุนไหลบ่าเข้าประเทศอันเนื่องมาจากการใช้นโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณของประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐมาแล้วหลายครั้ง

 

จีนยังได้เปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินสำหรับปี 2554 ให้เป็นนโยบายแบบระมัดระวัง จากเดิมที่ใช้นโยบายแบบผ่อนคลายในระดับปานกลาง

 

นอกจากนี้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางจีนได้ประกาศขึ้นเพดานกันสำรองอีก 0.50% โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 20 ธ.ค.เป็นต้นไป เพื่อลดสภาพคล่อง

 

SAFE ยังให้คำมั่นเรื่องการปรับปรุงด้านการบริหารทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ และเดินหน้าเพื่อดูแลและให้ความสำคัญกับมูลค่าของสินทรัพย์ในทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ

 

 

อัตราเงินเฟ้ออินเดียลดลงต่อเนื่องแตะ 7.48%

 

กระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมอินเดียรายงานว่า อัตราเงินเฟ้ออินเดียปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 7.48% ในเดือนพฤศจิกายนเมื่อเทียบรายปี จากระดับ 8.58% ในเดือนตุลาคม สอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด

ดัชนีราคาค้าส่งที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤษภาคมทำให้ธนาคารกลางอินเดียไม่ถูกกดดันให้ต้องขึ้นดอกเบี้ย

 

อย่างไรก็ตาม ดัชนีราคาค้าส่งสินค้าพื้นฐาน เชื้อเพลิงและพลังงาน รวมถึงสินค้าภาคการผลิต มีการขยายตัว 0.8%, 0.3% และ 0.3% ตามลำดับในเดือนพฤศจิกายนเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า

 

ส่วนเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ดัชนีราคาค้าส่งสินค้าพื้นฐานและสินค้าภาคการผลิตขยายตัว 13% และ 4.56% ขณะที่ราคาเชื้อเพลิงและพลังงานทะยาน 10.32%

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ราคาทองสัปดาห์นี้มีโอกาสแตะ 2 หมื่นบาทอีกครั้ง

 

 

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม 2010 เวลา 17:36:37 น. วายแอลจี ชี้สัปดาห์นี้ราคาทองคำในประเทศมีโอกาสแตะ 2 หมื่นบาทอีกครั้ง พร้อมแนะจับตาประชุมผู้นำกลุ่มยุโรป แก้วิกฤตหนี้ลุกลาม

 

นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางทองคำในสัปดาห์นี้ว่า วายแอลจียังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อราคาทองคำ เนื่องจากประเมินว่าแรงขายทำกำไรในสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ทำให้ราคาทองคำมีการปรับฐานระยะสั้นไปแล้ว ทำให้สัปดาห์นี้ราคาทองคำมีโอกาสที่จะไต่ระดับขึ้นไปทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 1,410 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศมีโอกาสแตะระดับ 2 หมื่นบาทอีกครั้ง ในขณะที่ทางวายแอลจีประเมินแนวรับไว้ที่ 1,370 ดอลลาร์ต่อออนซ์หรือ 19,500 บาท/บาททอง

 

อย่างไรก็ตามหากมีปัจจัยที่เข้ามากระทบต่อตลาดทองคำและส่งผลให้ราคาทองคำอ่อนตัวหลุดแนวรับดังกล่าว แนะนำให้นักลงทุนไปรอซื้อบริเวณแนวรับต่อไปที่ระดับ 1,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (19,200 บาท/บาททอง) หรือ 1,330 ดอลลาร์ต่อออนซ์(18,900 บาท/บาททอง) ซึ่งทางวายแอลจีเชื่อว่า ณ ระดับแนวรับดังกล่าวจะเป็นระดับราคาที่จะทำให้ราคาทองคำมีการตั้งฐานในระยะสั้นและจะสามารถดีดตัวขึ้นได้อย่างแข็งแกร่งในที่สุด

 

นางสาวฐิภา กล่าวว่า สำหรับปัจจัยที่นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิดในสัปดาห์นี้ก็คือการประชุมของผู้นำรัฐบาลกลุ่มยุโรปที่จะมีขึ้นในวันที่ 16-17 ธ.ค.นี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับ วิกฤติหนี้สินที่ลุกลามของยูโรโซน โดยมีการคาดการณ์ความคืบหน้าอยู่ในระดับต่ำ หลังจากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเยอรมนีและฝรั่งเศสปฏิเสธเสียงเรียกร้องในการเพิ่มกองทุน ช่วยเหลือและการออกพันธบัตรร่วม หากผลการประชุมดังกล่าวยังไม่สามารถสร้างเสถียรภาพให้กับระบบเศรษฐกิจในยุโรปหรือได้มีการแสดงให้เห็นถึงควมขัดแย้งมากขึ้นแล้วละก็อาจส่งผลให้ราคาทองคำดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยก็เป็นได้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตลท.เลือกแล้ว 6 หุ้น SET 50 และ 3 หุ้น SET 100

 

 

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม 2010 เวลา 16:18:41 น. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) คัดเลือกหลักทรัพย์ชุดใหม่ เพื่อใช้คำนวณ ดัชนี SET50 และดัชนี SET100 ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 54 ที่จะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1ม.ค.-30 มิ.ย.54 โดยหลักทรัพย์ชุดใหม่ที่ใช้คำนวณดัชนี SET50 มีหลักทรัพย์ที่ได้รับคัดเลือกเข้ามาใหม่ 6 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ปโฮลดิ้งส์ (BTS), บมจ. ไดนาสตี้เซรามิค (DCC), บมจ.ธนาคารเกียรตินาคิน (KK) บมจ.ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน (ROBINS), บมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) และบมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA)

 

ส่วนดัชนี SET100 มี 3 หลักทรัพย์ใหม่ ได้แก่ บมจ. สยามโกลบอลเฮ้าส์ (GLOBAL),บมจ.กุลธรเคอร์บี้ (KKC) และบมจ.สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) หรือ SMT

 

ตลท.ระบุว่า ตลท.ได้ใช้ข้อมูลการซื้อขายหลักทรัพย์ย้อนหลัง 12 เดือน ช่วงวันที่1 ธ.ค.52-30 พ.ย.53 และข้อมูลมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดย้อนหลัง 3 เดือน เป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกหลักทรัพย์ชุดใหม่ดังกล่าว

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กราฟวิเคราะห์ ให้ดูกราฟประกอบ

ก่อนเปิดสถานะควรดูแนวโน้มว่าขึ้นหรือลง หากแนวโน้มขึ้นเปิดสถานะL หากราคาขึ้นถึงH3 หากต้านอยู่ ให้ปิดสถานะL เปลี่ยนเปิดสถานะS แต่หากราคาทะลุด่าน

H3แตก ให้ถือLต่อ ถ้าราคาถึงH4ให้ทยอยออกหรือปิดL แต่ถ้าชอบเสี่ยงก็ให้ถือต่อ โดยมีเป้าหมายที่H5

หากเปิดSไว้ก่อน ราคาไปที่L3 หากรับไว้อยู่ ให้ปิดSแล้วเปิดL หากL3แตกให้ถือSต่อ ราคาถึงL4ให้ทยอยปิดS แต่ถ้าชอบเสี่ยงให้ถือSต่อ โดยมีเป้าหมายที่L5

post-237-067586800 1292389038.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กราฟวิเคราะห์ ให้ดูกราฟประกอบ

ก่อนเปิดสถานะควรดูแนวโน้มว่าขึ้นหรือลง หากแนวโน้มขึ้นเปิดสถานะL หากราคาขึ้นถึงH3 หากต้านอยู่ ให้ปิดสถานะL เปลี่ยนเปิดสถานะS แต่หากราคาทะลุด่าน

H3แตก ให้ถือLต่อ ถ้าราคาถึงH4ให้ทยอยออกหรือปิดL แต่ถ้าชอบเสี่ยงก็ให้ถือต่อ โดยมีเป้าหมายที่H5

หากเปิดSไว้ก่อน ราคาไปที่L3 หากรับไว้อยู่ ให้ปิดSแล้วเปิดL หากL3แตกให้ถือSต่อ ราคาถึงL4ให้ทยอยปิดS แต่ถ้าชอบเสี่ยงให้ถือSต่อ โดยมีเป้าหมายที่L5

post-237-096129900 1292389061.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...