ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

ขอบคุณคะ อาจารย์ทองใหม่ที่เมตตาชี้แนะนะคะ :wub:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณมากค่ะ อ.ทองใหม่

ขอให้อาจารย์สุขภาพแข็งแรงนะคะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ผู้เชี่ยวชาญสหรัฐคาดโลกจะเผชิญศก.ช่วงขาลงรุนแรงขึ้นครั้งที่ 2 ในปีหน้า

 

 

ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อาทิตย์ที่ 11 กันยายน 2554 15:09:20 น.

นายแฮร์รี เดนท์  นักคาดการณ์เศรษฐกิจชาวอเมริกันคาดในวันนี้ว่า โลกจะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจช่วงขาลงที่รุนแรงขึ้นครั้งที่ 2 ระหว่างช่วงต้นปีและกลางปีหน้า

 

เขากล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจช่วงขาลงจะเริ่มขึ้นในยุโรปและลุกลามไปยังสหรัฐ, จีน และออสเตรเลียในที่สุด

 

"ออสเตรเลียอาจจะเป็นที่ที่ดีที่สุดในโลกที่จะรอดพ้นภาวะนี้ แต่เราคิดว่า ออสเตรเลียจะไม่สามารถรอดพ้นได้ดีเท่าที่สามารถรอดพ้นจากวิกฤติครั้งที่แล้วในปี 2551" นายเดนท์กล่าวกับสำนักข่าวเอพีในวันนี้

 

 

เขากล่าวว่า ศูนย์กลางของวิกฤติหนี้ที่จะเกิดขึ้นอยู่ที่ภาคอสังหาริมทรัพย์

เขาเสริมว่า ช่วงขาลงจะกระทบราคาบ้านในออสเตรเลีย โดยจะทำให้ราคากลับไปสู่ช่วงสปลายทศวรรษ 2533 หรือระดับของต้นปี 2543

 

นายเดนท์กล่าวว่า ปัจจัยที่ผลักดันการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเหล่านี้คือปัจจัยด้านประชากร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จุดสูงสุดของการใช้จ่ายของกลุ่มเบบี้ บูมเมอร์

 

"คนยุคเบบี้ บูมเมอร์จำนวนมากที่สุดจะมาถึงจุดที่มีการใช้จ่ายสูงสุดแล้ว โดยจะซื้อบ้านแล้ว และจะเริ่มออมเงินสำหรับวัยเกษียณ และคุณจะเห็นช่วงขาลงนี้"

 

นายเดนท์กล่าวว่า การใช้จ่ายที่ลดลงจะกระทบทุกคน แม้แต่จีน

นายเดนท์กล่าวว่า "เพื่อที่จะรอดพ้นจากสึนามิทางเศรษฐกิจที่กำลังจะเกิดขึ้น นักลงทุนควรขายอสังหาริมทรัพย์ส่วนเกิน และซื้อสินทรัพย์สกุลดอลลาร์สหรัฐ"

 

"ทองและโลหะเงินจะทรุดตัวลงจากภาวะฟองสบู่ " เขากล่าว

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย สุนีย์พร เหลือทรัพย์ โทร.02-2535000 อีเมล์: suneeporn@infoquest.co.th-

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คอลัมน์: จับประเด็น: เศรษฐกิจหดแห่ตุนทองดันราคาพุ่ง 35%

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- จันทร์ที่ 12 กันยายน 2554 00:00:16 น.

นายธนรัชต์ พสวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นกว่า 35% จากระดับ 1,400 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ จนทำนิวไฮที่ 1,900 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งทุบสถิติสูงสุดในรอบ 11 ปี โดยปัจจัยที่ทำให้ราคาทองผันผวน เกิดจากเสถียรภาพเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย รวมถึงปัจจัยลบหลายด้าน ทำให้นักลงทุนที่ถือพันธบัตรในสหรัฐหันมาถือสินทรัพย์ทองคำ มากขึ้น

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คอลัมน์: กลยุทธ์พิชิตหุ้น: รับแรงกระทบวิกฤติหนี้สาธารณะ

 

 

ข่าวทั่วไป หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- จันทร์ที่ 12 กันยายน 2554 00:00:56 น.

ธวัชชัย ฐิติวณิชภิวงศ์

รับแรงกระทบวิกฤติหนี้สาธารณะ

กลายเป็นเรื่องที่พูดกันไม่จบไม่สิ้น เหมือนยิ่งทำก็ยิ่งยุ่ง เพราะด้วยความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดเก็งกำไรอื่นๆ เมื่อมีข่าวออกมาไม่หยุดหย่อนในเชิงลบต่อไป โดยเฉพาะเมื่อประธานาธิบดีสหรัฐออกมาประกาศว่าจะใช้เงิน 4.47 แสนล้านดอลลาร์ เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการการสร้างงานทั่วประเทศ และเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย แต่เมื่อกลับมาดูผลกระทบทางด้านตลาดทุนผิดหวังกับสหรัฐที่ไร้มาตรการใหม่ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เห็นได้ชัดเจนจากการดิ่งลงต่อเนื่องของดัชนีดาวโจนส์ที่ปิดติดลบอีก 303.68 จุด หรือลดลง 2.69% และยังทำให้ตลาดทองคำพลอยอ่อนตัวลงมาด้วย ส่วนราคาน้ำมันก็อ่อนตัวลงเช่นกัน พูดได้ว่าทุกตลาดรับข่าวในด้านลบ จึงไม่มั่นใจว่านักลงทุนคิดเองหรือไร้มาตรการจริง ในเมื่อมีการประกาศใช้เงินมหาศาลหลายแสนดอลลาร์ แต่กลับตีความกันว่าไร้มาตรการอุ้มเศรษฐกิจ ดูก็น่าแปลกมาก กลายเป็นไม่รู้ว่าอะไรจริงหรือไม่จริง หรือคิดกันไปเอง หรือไม่เข้าใจในคำพูดของโอบามากันแน่

 

 

สิ่งที่คาดหมายกันต่อคือ เมื่อมีการตีความกันว่าผิดหวังที่สหรัฐไม่มีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ทำให้เกิดความวิตกกังวลกันมากว่า สหรัฐจะก้าวเดินได้อย่างไร มีแต่จะคิดกันต่อว่าเศรษฐกิจโลกจะไม่มีเสถียรภาพและอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างที่มีการวิจารณ์กันได้มาก จึงมีการเทขายหุ้นและพันธบัตรออก ขณะเดียวกันทางด้านยุโรปก็คงยังมีปัญหาหนี้สาธารณะของหลายประเทศเกิดขึ้น ปัญหาที่เกิดในกรีซจะคล้ายกับสหรัฐและกลัวกันมากว่าจะลุกลามไปสู่ประเทศอื่นๆ ในยุโรป ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลในเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และผลกระทบในภูมิภาคเหล่านี้ มีการคาดหมายกันมากว่าอาจจะมีการโยกย้ายเม็ดเงินทุนไปตลาดทองคำมากขึ้น ทำให้มีการออกมาชี้นำตลอดเวลาว่า ราคาทองคำจะยังปรับสูงขึ้นไปได้อีก กลายเป็นการเชียร์ให้นักลงทุนและนักเก็งกำไรต่อไปอีก เท่ากับเพิ่มความเสี่ยงให้กับบรรดานักลงทุนทั่วไปมากขึ้น ก็คงยับยั้งอะไรไม่ได้ ต้องพูดว่าตัวใครตัวมัน ในเมื่อรักจะเก็งกำไร ก็คงต้องรับกับความเสี่ยงในการเก็งกำไรไปด้วย

 

สำหรับตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ ในเมื่อรับผลกระทบจากข่าวและภาวะตลาดทั่วโลกที่กำลังตื่นตกใจกับข่าว และผิดหวังกับข่าวที่ออกมา ผลลัพธ์ก็คงไม่ต่างจากตลาดหุ้นทั่วโลก คือ ดัชนีตลาดจะต้องผันผวนมากและมีทิศทางที่อ่อนลงได้มากด้วย กลายเป็นตลาดที่จะรับแรงกระแทกจากปัจจัยภายนอก ก็คงได้แต่บอกว่า อย่าตื่นตระหนกจนเกินไป ในเมื่อตลาดหุ้นไทยยังมีพื้นฐานหลายอย่างที่ดี แต่แน่นอนว่า การจะสวนกระแสตลาดโลกคงทำได้ยากเช่นกัน

 

กลยุทธ์ที่ดีในการลงทุนก็คือ การชะลอการลงทุน กับการทยอยเลือกลงทุน เพราะในเมื่อตลาดหุ้นไทยยังมีพื้นฐานที่ดี เหมาะกับลงทุนที่คุ้มค่ามากกว่า ย่อมเป็นโอกาสที่ดีกับการลงทุนไปด้วย เพียงแต่รู้จักใช้จังหวะที่มีปัญหาในจุดอื่นๆ มากดราคาหุ้น จะทำให้สามารถเลือกลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี แต่ราคาต่ำเกินจริงได้มากขึ้น โอกาสที่จะได้กำไรย่อมมีมากไปด้วย.

 

ธ.กรุงไทย

KTB ได้พูดมาหลายครั้งแล้วว่า ในช่วงที่เศรษฐกิจดี ธุรกิจที่จะได้รับผลดีจากการขยายตัวของเศรษฐกิจมากที่สุดธุรกิจหนึ่งก็คือ ธุรกิจธนาคาร เพราะเมื่อธุรกิจอื่นๆ มีการเติบโตตามเศรษฐกิจแล้ว ผลสุดท้ายจะตกอยู่ที่ธุรกิจธนาคาร ไม่ว่าจะมองในด้านความต้องการลงทุน ขยายกำลังการผลิต ก็ล้วนเป็นความต้องการเงินด้านสินเชื่อเพิ่มนั่นเอง ทำให้ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น มีผลดีต่อธนาคารโดยตรง ส่วนทางด้านเงินฝากก็เช่นกัน เมื่อธุรกิจและบุคคลทั่วไปมีรายได้มาก ก็จะต้องใช้บริการด้านเงินฝากมากไปด้วย จึงเป็นการเสริมธุรกิจเงินฝากของธนาคารไปโดยปริยาย แม้ธุรกรรมด้านบริการต่างๆ ก็เช่นกัน เมื่อมีธุรกรรมมากขึ้น ธนาคารก็จะมีรายได้จากค่าธรรมเนียมรับต่างๆ เพิ่มไปด้วย กรณี KTB จุดที่ดีกว่าธนาคารอื่นๆ ทั่วไปคือ การมีเงินฝากจากภาครัฐอยู่มาก ข้อดีในส่วนนี้คือ แม้ดอกเบี้ยในระบบจะเปลี่ยนแปลงไป ธนาคารอื่นๆ อาจมีการถูกโยกเงินไปที่อื่นๆ ที่ลูกค้ามองว่าดีกว่า แต่กรณี KTB กลับมีผลในลักษณะนี้น้อย เพราะภาครัฐจะไม่ค่อยหยุมหยิมกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มากนัก ทำให้ KTB ไม่ได้รับผลกระทบยุ่งยากในประเด็นนี้ และยังทำให้ต้นทุนทางการเงินของ KTB ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ มีผลให้พบว่า KTB จะมีอัตรากำไรที่ดีกว่าธนาคารอื่นๆ มาก ดังนั้น ในช่วงที่ดอกเบี้ยมีทิศทางปรับขึ้นนี้จะพบว่า KTB กลับมีกำไรในเกณฑ์ดีมาตลอด โดยครึ่งปีแรก 2554 นี้ KTB ทำกำไรสุทธิได้แล้ว 10,729 ล้านบาท เป็นกำไรที่สูงกว่าปีก่อนในช่วงเวลาเดียวกันมากถึง 66% ทำให้คาดว่าตลอดปี 2554 นี้ KTB คงจะทำกำไรได้มากถึง 21,000 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นที่ 1.88 บาท เมื่อมาคำนวณราคาหุ้นที่เหมาะสมจากค่าพีอีกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ปัจจุบันมีค่า 12.3 เท่าจะได้คำตอบออกมาว่าราคาควรยืน 23.12 บาทได้ทันที แต่ราคาซื้อขายในตลาดอยู่แค่ 18.90 บาท จึงยังมี Up side ได้อีก 22.35% โดยยังไม่ได้คิดรวมผลตอบแทนจากเงินปันผลที่จะได้รับอีกกว่า 3.5% รวมอยู่ด้วย

 

TOP  ขณะนี้ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงผันผวนจากการเก็งกำไรของตลาดอยู่มาก แต่แนวโน้มดูจะเริ่มเป็นทางบวกมากขึ้น หลังจากราคาได้ตกต่ำลงต่ำกว่า 80 ดอลลาร์มานาน การเปลี่ยนจากแนวโน้มลบมาเป็นบวกของราคาน้ำมันจะมีผลกับผลกำไรของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันของ TOP มากไปด้วย เพราะทุกครั้งที่ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น จะทำให้

 

บมจ.ไทยออยล์

TOP มีกำไรในส่วนสต็อกน้ำมันมากไปด้วย นอกเหนือจากรายได้จากค่าการกลั่นที่มีอยู่ตามปกติ โดยรวมแล้วมองว่า กำไรของ TOP ในไตรมาส 1 และไตรมาส 4 จะดีกว่า 2 ไตรมาสที่เหลือ และจากผลประกอบการครึ่งปีแรกที่ผ่านมาพบว่า TOP ทำกำไรได้แล้ว 10,473.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนมากถึง 242.74% หรือเกือบ 3 เท่าตัว ดังนั้น แม้ว่าไตรมาส 3 ผลกำไรจะลดลงจากราคาน้ำมันที่ลดลงก็จะถูกชดเชยจากกำไรในไตรมาส 4 ที่จะออกมาดี ทั้งในส่วนกำไรในสต็อกน้ำมันและการใช้น้ำมันสูงในญี่ปุ่นและฤดูหนาวปลายปีทุกปี จึงสามารถคาดหมายได้ว่าอย่างน้อยกำไรของ TOP ในปี 2554 นี้ คงจะทำได้ถึง 1.7 หมื่นล้านบาท กำไรต่อหุ้นที่ 8.33 บาท แม้จะใช้ค่าพีอีกลุ่มพลังงานที่อยู่ต่ำกว่า 9 เท่ามาประเมินราคาหุ้นที่เหมาะสม ก็ยังได้ราคาที่ 75 บาท แม้ราคาในตลาดอยู่แค่ 67.50 บาทเท่านั้น จึงมี Up side อีกอย่างน้อยๆ ก็กว่า 11% ซึ่งความเป็นจริงแล้วควรใช้ค่าพีอีของตลาดที่ 12.7 เท่าจะเหมาะสมกว่า นั่นหมายถึงราคาควรอยู่สูงกว่า 105 บาท จึงสรุปว่ายังน่าลงทุนมาก

 

บมจ.น้ำตาลครบุรี

KBS ในขณะที่ปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปและอเมริกายังคงกดดันตลาดหุ้นมาก แต่เศรษฐกิจไทยก็ได้รับผลกระทบไม่มาก ทำให้การตกต่ำของราคาหุ้นกลับเป็นโอกาสและจังหวะที่ดีในการเลือกลงทุนที่จะมีความคุ้มค่าสูงมาก ทำให้ยังคงต้องตั้งสติและพิจารณาการลงทุนในตลาดหุ้นต่อไป ด้วยความเชื่อมั่นที่ว่ายิ่งราคาหุ้นตกต่ำมาก ก็จะเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุนมากด้วย อย่างกรณีหุ้นของบริษัท น้ำตาลครบุรี หรือ KBS แม้จะเป็นหุ้นใหม่ในกลุ่มธุรกิจอาหารฯ ที่มีการเก็งกำไรต่ำ แต่เมื่อดูราคาหุ้น KBS ในตลาดเปรียบเทียบกันกับผลประกอบการแล้ว พบว่าราคายังต่ำกว่าพื้นฐานจริงอยู่มาก ขนาดดูผลกำไรต่อหุ้นในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มีกำไรต่อหุ้นที่ 1.86 บาท ก็นับว่าน่าสนใจมาก อย่างไรก็ดี มีการประเมินว่ากำไรตลอดปี 2554 นี้ จะมีกำไรมากกว่า 760 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นที่ 1.52 บาท และไม่ต้องใช้ค่าพีอีกลุ่มอาหารที่อยู่สูงกว่า 17 เท่ามาคิดราคา เอาแค่ค่าพีอี 10 เท่ามาคิด ก็ยังได้คำตอบว่าราคาหุ้นควรยืน 15.20 บาทได้อย่างสบาย แต่รา คาในตลาดยังซื้อขายแค่ 11.60 บาท จึงมี Up side ได้อีกอย่างน้อย 31% โดย ยังไม่ได้คิดรวมเงินปันผลตอบแทนอีก 3.5% รวมอยู่ด้วย ก็น่าลงทุนเช่นกัน

 

บมจ.อสมท

MCOT มีการมองว่าหุ้น MCOT มีผลประกอบการที่แข็งแกร่งดีในไตรมาส 2 นั้น เป็นแค่จุดเริ่มต้นของปีนี้เท่านั้น แล้วจะได้พบเห็นผลกำไรที่ดีกว่าในครึ่งปีหลังต่อไป ทำให้มีการเลือก MCOT เป็นหุ้น Toppick ในกลุ่มสื่อสาร จากการเพิ่มรายการบันเทิงและรายการข่าว ทำให้ MCOT มีรายได้เพิ่มสูงขึ้นมาก จากผลกำไรที่ MCOT ทำได้ในช่วงครึ่งปีแรกที่ 863.60 ล้านบาท ในขณะที่มีการประเมินว่าผลกำไรในครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรกด้วย ทำให้กำไรรวมของ MCOT ในปี 2554 นี้ ควรจะมากกว่า 1,750 ล้านบาท แต่แม้จะประมาณการกำไรไว้ที่ระดับนี้ก็ยังได้กำไรต่อหุ้นที่ 2.55 บาท หากมาประเมินราคาหุ้นจากค่าพีอีกลุ่มสื่อและบันเทิงที่ปัจจุบันอยู่ระดับ 18 เท่า ก็จะได้คำตอบออกมาว่าราคาควรเป็น 45.90 บาท ก็คงจะเป็นราคาที่สูงกว่าราคาหุ้นในตลาดค่อนข้างมาก เพราะราคาในตลาดอยู่ที่ 30.50 บาท ดังนั้น เมื่อลองไปใช้ค่าพีอีตลาดที่อยู่ระดับ 12.73 เท่ามาคิดจะได้ราคาที่ 32.46 บาท ก็ยังมี Up side ได้อีก 6.43% เช่นกัน หมายความว่าราคาหุ้น MCOT ในปัจจุบันยังต่ำกว่าที่ควรจะเป็นอยู่ค่อนข้างมาก จึงยังเลือกลงทุนได้ดี

 

บมจ.วีนิไทย

VNT หุ้นในกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีมักจะมีราคาปรับตามทิศทางราคาน้ำมัน เนื่องจากมีความเกี่ยวพันกันมาก และหุ้น VNT ในกลุ่มปิโตรเคมีนับเป็นหุ้นที่น่าสนใจมากตัวหนึ่ง เพราะเมื่อมาดูผลประกอบการในครึ่งปีแรก 2554 นี้ พบว่ามีกำไรแล้ว 971.31 ล้านบาท มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 71.5% นับเป็นผลกำไรเพิ่มที่โดดเด่นมาก ทำให้ต้องกลับมาดูว่าราคาหุ้นปัจจุบันได้มีการตอบรับกับผลประกอบการที่ดีแล้วหรือไม่ เพราะการมีกำไรดีขึ้นย่อมหมายถึงการจะจ่ายเงินปันผลได้มากกว่าปีก่อนๆ ด้วย ทำให้เกิดความคุ้มค่าของการลงทุนได้มากไปด้วย คาดว่ากำไรในปี 2554 นี้ จะได้ที่ 1,970 ล้านบาท กำไรต่อหุ้นที่ 1.66 บาทสบายๆ หากใช้ค่าพีอีกลุ่มปิโตรเคมีที่อยู่ต่ำแค่ 10 เท่ามาคิด จะได้คำตอบแรกว่า ราคาหุ้นควรยืนที่ 16.60 บาทได้ทันที แต่พีอีตลาดอยู่ที่ 12.73 เท่า คิดแล้วราคาหุ้นควรเป็น 21.13 บาท มากกว่าเท่าตัว สามารถลุ้นเก็งกำไรได้อีกมากถึง 29.64% โดยยังไม่ได้คิดรวมเงินปันผลตอบแทนที่จะได้รับอีก 5.2% รวมอยู่ด้วย แค่เงินปันผลอย่างเดียวก็คุ้มค่าแล้ว มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคาร จึงควรพิจารณาเลือกลงทุน.

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 12 กันยายน 2554 07:40:24 น.

ปฏิทินเศรษฐกิจรอบโลกในรอบสัปดาห์

 

วันจันทร์ที่ 12 กันยายน 2554 (เวลาประเทศไทย)

 

ญี่ปุ่น 06.50 น. ธนาคารกลางญี่ปุ่นเปิดเผยรายงานการประชุมเมื่อวันที่ 4-5 ส.ค.

 

06.50 น. กระทรวงการคลังญี่ปุ่นเปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค.-ก.ย.

 

วันอังคาร 13 กันยายน 2554 (เวลาประเทศไทย)

 

สหรัฐ 01.00 น. กระทรวงการคลังสหรัฐเปิดเผยงบประมาณของรัฐบาลกลางเดือนส.ค.

 

วันพุธที่ 14 กันยายน 2554 (เวลาประเทศไทย)

 

ประเทศไทย นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์

ประชุมผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ

หรือทูตพาณิชย์ 65 แห่งทั่วโลก

 

ออสเตรเลีย 07.30 น. ออสเตรเลียเปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย.

ซึ่งจัดทำโดยเวสต์แพค-สถาบันเมลเบิร์น

 

อังกฤษ 15.30 น. อังกฤษเปิดเผยอัตราว่างงานเดือนส.ค.

 

สหรัฐ 19.30 น. กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนส.ค.

 

19.30 น. กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนส.ค

 

21.00 น. กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนก.ค

 

22.00 น. สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานสหรัฐ(EIA)เผยสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์

 

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน 2554 (เวลาประเทศไทย)

 

สหรัฐ 19.30 น. กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยข้อมูลดุลบัญชีเดินสะพัดไตรมาส 2/2011

 

19.30 น. กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนส.ค.

 

19.30 น. ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) สาขานิวยอร์คเปิดเผยดัชนีภาวะธุรกิจเดือนก.ย.

 

19.30 น. กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

 

20.15 น. ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยข้อมูลภาคอุตสาหกรรม

และอัตราการใช้กำลังผลิตเดือนส.ค.

 

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน 2554 (เวลาประเทศไทย)

 

สหรัฐ 19.30 น. กระทรวงการคลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเงินทุนไหลเข้าสุทธิและปริมาณการซื้อพันธบัตร

รัฐบาลสหรัฐของต่างชาติเดือนก.ค.

 

21.30 น. รอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นขั้นต้นเดือนก.ย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

7.00 น.หุ้นสหรัฐ-น้ำมันร่วง

 

Posted on Monday, September 12, 2011

ดัชนีหุ้นดาวโจนส์เมื่อวันศุกร์ ร่วงลง 303.68 จุด หรือ2.69% ปิดที่ 10,992.13 จุด แนสแดคลดลง 61.15 จุด หรือ 2.42 % ปิดที่ 2,467.99 จุด และเอสแอนด์พีลดลง 31.67 จุด หรือ2.67 %ปิดที่ 1,154.23 จุด

 

นักลงทุนยังกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในยูโรโซนและสหรัฐฯ ประกอบกับปัจจัยที่มีผลต่อหุ้นสหรัฐให้ปรับร่วงลงแรง มาจากการลาออกของเจอร์เกน สตาร์ค หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ประจำธนาคารกลางของยุโรป (อีซีบี) ผู้แทนคนสำคัญของเยอรมนีประจำอีซีบี โดยอ้างถึงเหตุผลส่วนตัว

 

การลาออกดังกล่าวสะท้อนความแตกร้าวภายในธนาคารกลางยุโรปต่อการจัดการกับปัญหาวิกฤตหนี้สินของยุโรป ซึ่งก่อนหน้านี้สตาร์ค เคยออกมาวิพากษ์วิจารณ์โครงการของอีซีบีที่เข้าซื้อพันธบัตรของรัฐบาลชาติต่างๆที่มีปัญหาหนี้สิน เช่น กรีซ ไอร์แลนด์ โปรตุเกส สเปนและอิตาลี

 

ทางด้านสัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนตุลาคม ลดลง 1.81 ดอลลาร์ ปิดที่ 87.24 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนตุลาคม ลดลง 1.78 ดอลลาร์ ปิดที่ 112.77 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 12 กันยายน 2554 08:56:50 น.

นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คงปรับตัวลงต่อตามตลาดหุ้นสหรัฐฯและยุโรป โดยปัจจัยกดดันมาจาก 2 เรื่อง ได้แก่ ความกังวลเรื่องแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโอบามา ว่าจะผ่านการอนุมัติจากสภาคองเกรสหรือไม่ และการลาออกอย่างไม่คาดคิดของหนึ่งในคณะกรรมการบริหารของธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี) ทำให้นักลงทุนมีความวิตกว่าวิกฤตหนี้ยุโรปอาจจะทวีความรุนแรงขึ้น

 

 

"เราเชื่อว่าบริเวณแนวรับ 1,040 จุด ค่อนข้างแข็งแรงพอสมควร เพราะรอบที่ผ่านมาก็ลงมาทดสอบแล้วก็ปรากฏว่าเป็นจุดที่ก่อให้เกิดการฟื้นตัวขึ้นค่อนข้างดี วันนี้ก็คงเป็นวันทดสอบอีกวัน ตอนนี้ก็อยู่ที่เรื่องจิตวิทยานักลงทุน ที่จะเป็นตัวกระชากดัชนีฯลงมา แต่ถ้าถึงจุดนั้นแล้วก็ขึ้นอยู่กับนักลงทุนจะหันมาสนใจถึงปัจจัยพื้นฐาน รวมถึงราคาหุ้นว่าต่ำมูลค่าพื้นฐานหรือไม่"นายปริญทร์ กล่าว

 

พร้อมให้แนวรับ 1,040 จุด แนวต้าน 1,060 จุด

--อินโฟเควสท์ โดย อาชวินท์ สุกสี/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

:wub: -8.40 น.ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดร่วง

 

Posted on Monday, September 12, 2011

ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดตลาดเคลื่อนไหวในแดบลบ ตามดัชนีดาวโจนท์ ตลาดหุ้นสหรัฐที่ปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาลดลงมากถึง 303.68 จุด หรือ 2.69% หลังนักลงทุนวิตกกังวัลเกี่ยวกับวิกฤตหนี้ยุโรป

 

โดยดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 8,578.71 จุด ลดลง 158.95 จุด // ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ปิดทำการ เนื่องในวันหยุด ขณะที่ ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียเปิดตลาดที่ 4,169.30 จุด ลดลง 25.40 จุด

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สุขสันต์วันไหว้พระจันทร์

post-237-091766800 1315806029.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

!01 สุขสันต์ครับอาจารย์

ถูกแก้ไข โดย deb99

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
post-442-031284100 1315814871.gifสุขสันต์วันไหว้พระจันทร์ครับอาจารย์ทองใหม่

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...