ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ginger

หัวใจทองคำกับรอยหยักของสมอง

โพสต์แนะนำ

 

 

วรวรรณ ธาราภูมิ

3 hours ago

 

 

ในระยะสั้น 3-6 เดือน ดร.ศุภวุฒิบอกว่า เศรษฐกิจไทยในภาพรวม ไม่เหลือเครื่องยนต์ผลักดันแล้ว จะใช้นโยบายการเงินช่วยก็ทำไม่ได้

 

เศรษฐกิจไทยและความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่น

----------------------------------------------------

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

กรุงเทพธุรกิจ 8 กรกฎาคม 2556

 

ผมขอเขียนเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยในตอนแรกและจะขอเขียนถึงความสัมพันธ์ของจีนกับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน แต่อยากกล่าวถึง เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ

 

สำหรับเศรษฐกิจไทยนั้นขอกล่าวต่อจากตอนที่แล้วว่ามีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวลงอย่างมากใน 3-6 เดือนข้างหน้าด้วยเหตุผลดังนี้

 

1. ธนาคารกลางสหรัฐจะลดทอนคิวอีซึ่งส่งผลกระทบทำให้ต่างชาติขายพันธบัตรและหุ้นในประเทศตลาดเกิดใหม่ ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่า ดอกเบี้ยระยะยาวปรับตัวสูงขึ้นและความมั่งคั่งของคนไทย (วัดจากมูลค่าของหุ้น) ลดลงอย่างมาก ส่งผลในเชิงลบต่อความมั่นใจในการลงทุนและลดกำลังซื้อลง

 

2. เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงแต่ผู้นำจีนไม่แสดงท่าทีเป็นห่วงมากนัก โดยบอกว่าต้องการ “คุณภาพ” มากกว่าปริมาณ กล่าวคือลดคอร์รัปชัน พัฒนาสิ่งแวดล้อม และกำจัดฟองสบู่อสังหาฯ ฯลฯ ทำให้เศรษฐกิจจีนที่เคยโตปีละ 10% จะลดลงเหลือปีละ 7% นอกจากนั้นก็ยังเป็นห่วงว่าธนาคารกลางจีนอาจกำกับสภาพคล่องอย่างเข้มงวด ทำให้ธุรกิจหลายประเภทที่เคยพึ่งพาระบบการธนาคารเงา (shadow banking) ประสบปัญหา ทั้งนี้ shadow banking ของจีนนั้นถูกเปรียบเทียบกับ subprime ของสหรัฐ

 

3. การที่ทหารอียิปต์ยึดอำนาจจากประธานาธิบดีเมอร์ซี เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคมนั้น แม้ว่าจะมีกลุ่มสนับสนุนเป็นจำนวนมาก แต่ก็มีความเสี่ยงว่ากลุ่มมุสลิมที่ถูกโค่นล้มจะไม่ประนีประนอมด้วย ทำให้ความแตกแยกในอียิปต์รุนแรงกว่าเดิม เป็นผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศไทยที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 10% ของจีดีพี

 

4. เศรษฐกิจยุโรปเองก็ยังอยู่ในสภาวะถดถอย ขณะที่ปัญหาของกรีกและโปรตุเกสเริ่มก่อตัวขึ้นจนกลายเป็นเรื่องที่ถูกนำมาพาดหัวข่าวอีกครั้ง แม้ว่าปัญหากรีกและโปรตุเกสไม่น่าจะทำให้เกิดความปั่นป่วนของเศรษฐกิจโลกเพราะปัจจุบันนักลงทุนเชื่อว่าธนาคารกลางและผู้นำยุโรปจะ “เอาอยู่” แต่ก็สะท้อนความฝืดเคืองของอุปสงค์โลกโดยรวม ทำให้รัฐบาลไทยเองก็ยอมรับว่าการส่งออกของไทยในปีนี้ไม่น่าจะโตได้ตามเป้าที่ 7% แต่อาจขยายตัวได้เพียง 3-5% ทำให้หลายหน่วยงานเริ่มปรับลดการคาดการณ์การขยายตัวของจีดีพีจากประมาณ 5% ลงเหลือ ประมาณ 4-4.5%

 

5. กระแสข่าวในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้สรุปได้ว่าจะมีอุปสรรคในการขับเคลื่อนการลงทุน 3.5 แสนล้านเพื่อบริหารจัดการน้ำและการออกกฎหมายเพื่อกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อลงทุนปรับโครงสร้างการขนส่งของประเทศไทย

 

ในกรณีแรกศาลปกครองตัดสินว่ารัฐบาลมิได้ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 57 และ 67 ในการทำประชาพิจารณ์และการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ทำให้พรรคประชาธิปัตย์เสนอต่อวุฒิสภานำเรื่องเสนอต่อคณะกรรมการปราบปรามคอร์รัปชันให้ถอดถอนคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ

 

สำหรับพ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านนั้นประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมายก็ได้ออกมาแถลงว่าเป็นพ.ร.บ.ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 169 ทำให้มองได้ว่าเศรษฐกิจไทยอาจไม่ได้รับแรงขับเคลื่อนจากการลงทุนระยะยาวจากภาครัฐดังที่เคยคาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่ต้นปี

 

เรื่องที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเรื่องที่จะต้องติดตามเพื่อประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องหรือจะชะลอตัวลง ทั้งนี้ผมมองไม่เห็นว่าจะมีปัจจัยอื่นใดที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้ บางคนบอกว่าหากเศรษฐกิจชะลอตัวลงก็น่าจะเป็นโอกาสให้ปรับลดดอกเบี้ยลงได้ ซึ่งผมมองว่ามีความเป็นไปได้ยากด้วยเหตุผล 4 ประการคือ

 

1. แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวลง แต่การว่างงานอยู่ในระดับต่ำเพียง 0.9% แสดงว่าเศรษฐกิจยังอยู่ไม่น่าเป็นห่วง เพราะเกือบทุกคนมีงานทำ

 

2. ในเดือนเมษายนและพฤษภาคมไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งมองได้ว่าเป็นการที่ประเทศไทยใช้จ่ายเกินรายได้และเมื่อใช้จ่ายเกินตัว (ดังนั้นจึงกำลังสร้างหนี้สินเพิ่มขึ้น) จึงไม่มีเหตุผลที่จะลดดอกเบี้ย

 

3. การที่ราคาน้ำมันโลกกำลังปรับตัวสูงขึ้น จะทำให้เงินเฟ้อไทยสูงขึ้น การที่ไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและต่างชาติขายหุ้นและพันธบัตรก็ได้ทำให้เงินบาทอ่อนค่า ซึ่งจะทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น

 

4. ดอกเบี้ยระยะยาวของไทยนั้นมีความสัมพันธ์กับดอกเบี้ยสหรัฐสูง ดังนั้น หากดอกเบี้ยสหรัฐปรับขึ้นจากการลดทอนคิวอี ก็จะทำให้ดอกเบี้ยระยะยาวของไทยปรับสูงขึ้นด้วย ในกรณีดังกล่าวแม้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะลดดอกเบี้ยระยะสั้น แต่หากดอกเบี้ยระยะยาวปรับสูงขึ้นก็อาจจะไม่ช่วยให้ดอกเบี้ยในระบบธนาคารพาณิชย์ลดลงแต่อย่างใด

 

สำหรับเรื่องจีน-ญี่ปุ่นนั้น หนังสือพิมพ์ Wall Street Journal วันที่ 4 กรกฎาคมสรุปว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองเสื่อมลงไปอีกระดับหนึ่งเมื่อญี่ปุ่นแสดงความกังวลอย่างยิ่ง (grave concern) ที่จีนกำลังก่อสร้างแท่นขุดเจาะกลางทะเลในพื้นที่ซึ่งจีนและญี่ปุ่นต่างอ้างกรรมสิทธิ์ในทะเลจีนตอนใต้ ซึ่งโฆษกประจำตัวของนายกรัฐมนตรีอาเบะกล่าวว่าเป็นเรื่องที่ญี่ปุ่น “รับไม่ได้” (unacceptable)

 

แต่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนกล่าวตอบโต้ว่าจีนกำลังดำเนินการสำรวจแหล่งทรัพยากรธรรมชาติในน่านน้ำที่อยู่ภายใต้การปกครองของจีน ซึ่งอยู่ทางเหนือของหมู่เกาะที่ญี่ปุ่นเรียกว่า Senkaku และจีนเรียกว่า Diaoyu ซึ่งผมเคยเขียนถึงมาแล้ว

 

อีกเรื่องหนึ่งที่กำลังส่งผลกระทบในเชิงลบต่อความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับจีนและกับเกาหลี คือการที่นายกรัฐมนตรีอาเบะซึ่งเป็นนักการเมืองรักชาติแบบขวาจัดได้โต้วาทีกับฝ่ายค้านในการหาเสียงเลือกตั้งวุฒิสภา (ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 21 กรกฎาคม) ตอนหนึ่งว่าเขาไม่มีจุดยืนในเรื่องว่าเขาเชื่อหรือไม่ว่าญี่ปุ่นได้รุกรานและยึดครองจีนและเกาหลีในศตวรรษที่แล้ว ทั้งนี้ เขาขยายความว่า...

 

“I am not saying that there was no colonial rule or aggression. But I am not in a position to define those terms”

 

แน่นอนว่าคำพูดดังกล่าวทำให้โฆษกของกระทรวงการต่างประเทศจีนออกมาตอบโต้ว่า การทำสงครามและการรุกรานของทหารญี่ปุ่นได้ทำให้เกิดความทรมานและความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงให้กับประเทศต่างๆ ในเอเชีย และมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์มากมายที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าญี่ปุ่นได้ทำทารุณกรรมอะไรเอาไว้บ้าง ดังนั้น หากผู้นำญี่ปุ่นยังไม่ยอมรับในข้อเท็จจริงดังกล่าวก็ยากที่ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียจะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น

 

ผมคิดว่าจีนเชื่อว่าตนพูดถูกที่ญี่ปุ่นมีประวัติศาสตร์ที่ยังค้างชำระกับประเทศเอเชียหลายประเทศ แต่คนไทยที่อ่านตรงนี้อาจไม่ค่อยเข้าใจถึงความรู้สึกโกรธแค้นการกระทำของญี่ปุ่นในอดีต

 

เพราะสำหรับประเทศไทยนั้น ถ้าพูดถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่สองคนไทยส่วนใหญ่จะนึกถึงละครความรักระหว่างสาวไทยกับทหารญี่ปุ่นมากกว่าและจะไม่ได้รับรู้ข้อมูลอื่นๆ มากนัก ทำให้ญี่ปุ่นมองว่าเมืองไทยน่าลงทุนที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียเพราะญี่ปุ่นจะไม่เคยถูกทวงถามเกี่ยวกับอดีตเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ในเอเชีย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ประเทศอยู่ไม่ได้ ถ้ารัฐไม่เอาจริงกับคอร์รัปชัน

-----------------------------------------------

ดร.บัณฑิต นิจถาวร

กรุงเทพธุรกิจ 8 กรกฎาคม 2556

 

ระยะนี้ข่าวความห่วงใยของประชาชนเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันในหน้าหนังสือพิมพ์มีค่อนข้างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นกรณีจำนำข้าว ความห่วงใยกรณีการลงทุนในโครงการภาครัฐ รวมถึงการนำเข้ารถหรู ที่อาจมีประเด็นการประพฤติมิชอบ นอกจากนี้ พฤติกรรมการทุจริตคอร์รัปชันในแง่การติดต่อราชการก็มีการพูดถึงกันมากในหมู่นักธุรกิจ ทำให้รู้สึกว่าขณะนี้ ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันในสังคมมีทุกระดับ และนับวันจะรุนแรงและโจ่งแจ้งขึ้น

 

ความรู้สึกและข้อสังเกตเหล่านี้ตรงกับข้อมูลที่ทางสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย หรือ IOD ร่วมกับบริษัท GFK Marketwise ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้นำธุรกิจเกี่ยวปัญหาคอร์รัปชันในประเทศไทยเมื่อต้นปี ซึ่งมีข้อมูลสำคัญ ดังนี้

 

หนึ่ง ผู้นำธุรกิจกว่าร้อยละ 93 มีความเห็นว่า ระดับความรุนแรงของการทุจริตคอร์รัปชันปัจจุบันอยู่ในระดับสูงและสูงมาก โดยร้อยละ 75 ของผู้นำธุรกิจเห็นว่าปัญหาทุจริตคอร์รัปชันในช่วงที่ผ่านมาได้เพิ่มมากขึ้น ใกล้เคียงกับข้อมูลที่สำรวจปี 2553 ที่ร้อยละ 77 มีความเห็นว่าการทุจริตเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

 

สอง ผู้นำธุรกิจมองว่า ผลที่การทุจริตคอร์รัปชันมีต่อประเทศมากที่สุด คือ ลดทอนประสิทธิภาพในการแข่งขันของประเทศ นำประเทศสู่ความตกต่ำด้านจริยธรรม และสร้างชื่อเสียงที่ไม่ดีให้กับประเทศ (ในแง่การทำธุรกิจ)

 

สาม ความรุนแรงของปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ส่งผลต่อการทำธุรกิจของบริษัทเอกชนในเกณฑ์สูงและสูงมาก ขนาดของต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมีตั้งแต่ระดับ 1-5 เปอร์เซ็นต์ ไปถึงระดับมากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ จนถึงระดับที่ไม่สามารถระบุได้

 

สี่ กระบวนการที่เกิดการทุจริตมากที่สุด สามอันดับแรก คือ กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างกับภาครัฐ การจดทะเบียนและการขออนุญาตต่างๆ และการร่วมประมูลโครงการภาครัฐ ทั้งสามกระบวนการ เป็นความเห็นของผู้นำธุรกิจเกือบ ร้อยละ 50 ที่ให้ความเห็น

 

ห้า รูปแบบการทุจริตคอร์รัปชันที่พบมากที่สุดก็คือ อันดับหนึ่ง การใช้ตำแหน่งทางการเมืองเอื้อประโยชน์ให้แก่พรรคพวกของตนเอง คิดเป็นร้อยละ 20 ของบริษัทที่ให้ความคิดเห็นในการสำรวจ อันดับที่สอง ก็คือ การให้ของขวัญหรือการติดสินบน (ร้อยละ 17) และอันดับสาม คือ การทุจริตเชิงนโยบาย โดยผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (ร้อยละ 15)

 

หก สาเหตุสำคัญในความเห็นของผู้นำธุรกิจ ที่ทำให้ประเทศไทยมีการทุจริตคอร์รัปชันมาก อันดับหนึ่ง คือกฎหมาย ระเบียบ และคำสั่งต่างๆ เปิดโอกาสให้บุคลากรภาครัฐสามารถใช้ดุลยพินิจที่เอื้ออำนวยให้สามารถเกิดการทุจริต สอง กระบวนการทางการเมืองขาดความโปร่งใส และตรวจสอบได้ยาก และสาม ผลประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งผู้นำธุรกิจกว่าร้อยละ 49 เห็นว่า สามเรื่องนี้เป็นต้นเหตุหลักของการทุจริตคอร์รัปชันในปัจจุบัน

 

เจ็ด แม้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันจะรุนแรงแต่ หนึ่งในสี่ของผู้นำธุรกิจเชื่อในเกณฑ์ค่อนข้างสูงและสูงมาก ว่าปัญหาทุจริตคอร์รัปชันจะสามารถแก้ไขได้ และบุคคลที่จะต้องมีบทบาทช่วยในการแก้ปัญหาในความเห็นของผู้นำธุรกิจ ก็คือ รัฐบาล (ร้อยละ 68) นักการเมือง (ร้อยละ 66) และสถาบันในภาคธุรกิจ (ร้อยละ 52)

 

และ แปด ร้อยละ 51 ของผู้นำธุรกิจ พร้อมที่จะเข้าเป็นแนวร่วมปฏิบัติภาคเอกชนในการต่อต้านการทุจริตแน่นอน สูงกว่าร้อยละ 14 ซึ่งเป็นตัวเลขเมื่อสามปีก่อน ขณะที่อีกร้อยละ 46 พร้อมเข้าร่วมหากมีแผนที่ปฏิบัติได้

 

ข้อมูลทั้งหมดย้ำเตือนว่า ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันในความรู้สึกของภาคธุรกิจขณะนี้รุนแรง และเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายที่ต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหา และถ้าไม่แก้ ก็มั่นใจได้ว่าการทุจริตคอร์รัปชันในประเทศไทยจะยิ่งรุนแรงขึ้นและจะทำลายความเป็นเศรษฐกิจ ความเป็นสังคม และอนาคตของความเป็นประเทศในที่สุด เพราะไม่มีใครอยากทำธุรกิจในประเทศที่มีปัญหาคอร์รัปชันรุนแรง

 

ที่สำคัญการทุจริตคอร์รัปชัน คือ การทำผิดกฎหมาย ถ้าสังคมมีการทำผิดกฎหมาย แต่ไม่มีการเอาผิดลงโทษ สังคมก็จะอยู่เป็นสังคมที่ดีได้ยาก เพราะบ้านเมืองเหมือนไม่มีขื่อมีแป ในทางเศรษฐศาสตร์ การไม่มีการบังคับใช้กฎหมาย (Rule of law) ที่เข้มแข็ง จะทำลายแรงจูงใจให้คนในสังคมอยากทำมาหากิน อยากร่ำรวยอย่างสุจริต ทำให้คนไม่อยากลงทุน ไม่อยากทำธุรกิจ เพราะกฎหมายไม่เอาผิดคนที่รวยจากการทุจริตคอร์รัปชัน ทำให้แรงจูงใจในระบบเศรษฐกิจถูกบิดเบือน ซึ่งเป็นอันตรายมากต่ออนาคต และการเติบโตของประเทศ

 

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นก็เพราะผู้มีหน้าที่รักษากฎหมาย ไม่ทำหน้าที่ ไม่เอาผิดกับผู้ทุจริตคอร์รัปชันอย่างจริงจัง

 

ในประเทศที่เคยมีปัญหาทุจริตคอร์รัปชันรุนแรงแต่สามารถแก้ไขหรือลดทอนได้ เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน และเกาหลีใต้ สิ่งที่สำคัญที่สุดและเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดที่ต้องเกิดขึ้นที่ทำให้การแก้ปัญหาคอร์รัปชันประสบความสำเร็จก็คือ การเอาจริงของรัฐบาลที่จะจับกุมดำเนินคดีกับผู้ที่ทุจริตแม้จะเป็นคนในระดับสูงของรัฐบาลก็ตาม

 

แต่รัฐบาลจะเอาจริงก็ต่อเมื่อผู้นำสูงสุดเอาจริงและสั่งการ และเมื่อผู้นำสูงสุดเอาจริง การแก้ไขปัญหาก็จะเกิดขึ้นตามมาทันที

 

ในทุกประเทศที่แก้ปัญหาคอร์รัปชันได้สำเร็จ จุดเปลี่ยนสำคัญก็คือ ผู้นำเอาจริง สั่งการ จับกุม และดำเนินคดีกับปลาตัวใหญ่ที่ทุจริตคอร์รัปชัน อันนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนและจุดเริ่มต้นสำคัญในการแก้ปัญหาที่จะนำมาสู่การเปลี่ยนทัศนคติของคนในสังคมจากที่เชื่อว่าคอร์รัปชันไม่มีการเอาผิด ไม่มีการลงโทษ มาเป็นการทุจริตคอร์รัปชันมีการเอาผิด มีการลงโทษจริงจัง ทำให้คนในสังคมไม่กล้าทำ ไม่กล้าทุจริต และนำมาสู่การเปลี่ยนพฤติกรรมของสังคมในเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันในที่สุด

 

ดังนั้น ข่าวเรื่องคอร์รัปชันที่ออกมาและเป็นความห่วงใยของสังคมมากขณะนี้ อีกด้านหนึ่งก็คือโอกาสให้ผู้นำประเทศแสดงฝีมือ แสดงความจริงใจในการแก้ปัญหาคอร์รัปชัน ตามที่แถลงไว้ว่าเป็นนโยบายของรัฐบาล และตามที่ได้ประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบ อันนี้คือโอกาส

 

แต่ถ้ารัฐไม่ใช้โอกาสนี้ ไม่แสดงให้เห็นว่าการแก้ไขปัญหาเกิดขึ้นจริง พวกคอร์รัปชันก็ยิ่งได้ใจ และจะเป็นแรงส่งให้มีการทุจริตคอร์รัปชันมากขึ้น

ก+ Ctrl+(คลิกและกดCrtl+)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

MTS GOLD

สำหรับบทวิเคราะห์ทองคำจาก MTS Gold แม่ทองสุก ประจำวันจันทร์ที่ 8 ก.ค. 2556 (ภาคเช้า)

 

เวลา 9.55 น.

 

MTS Gold คาดว่าในวันนี้จะมีแนวรับอยู่ที่บริเวณ 1,200 เหรียญ แนวต้านจะอยู่ที่ระดับ 1,250 เหรียญ

 

สำหรับ Gold Futures จะมีแนวรับแนวต้านระยะสั้นรายวันดังนี้

 

Gold Futures Q13 จะมีแนวรับที่ระดับ 18,050 บาท และแนวต้านที่ระดับ 18,250 บาท

Gold Futures V13 จะมีแนวรับที่ระดับ 18,130 บาท และแนวต้านที่ระดับ 18,330 บาท

 

ถ้าท่านต้องการรายละเอียดสามารถติดตามได้ในบทวิเคราะห์ Dr. Gold Analysis ผ่าน www.mtsgold.co.th

 

 

1000397_634506613226591_83384065_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

1001351_634507833226469_205604516_n.jpg

เวลา 9.55 น.

 

สำหรับ SET50 Index Futures (S50U13) จะมีแนวรับแนวต้านระยะสั้นรายวันดังนี้

 

แนวรับที่ระดับ 950 จุด

แนวต้านที่ระดับ 975 จุด

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กวี ชูกิจเกษม

สวัสดีครับ KFC คำแนะนำยังเหมือนเดิม คือไม่ทำอะไรมากจนกว่า SET จะทะลุ 1,470-1,475 ขึ้นมา เพื่อขึ้นไปทดสอบ 1492 - 1500 แต่หากใครยังเก็งกำไร ให้ใช้วงเงินจำกัดไปก่อน และลดพอร์ตหาก SET หลุด 1,423 หรือ 1,419 ลงมา

 

ตลาดกลับมากังวลการถอน QE อีกครั้ง หลังสหรัฐฯ เผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรมิ.ย.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 195,000 ตำแหน่ง ซึ่งดีกว่าคาด ซึ่งประเด็นนี้จะยังคงกดดันตลาดต่อไปจนประชุมเฟด 29-30 ก.ค.นี้ สำหรับปัจจัยในประเทศ สัปดาห์นี้มีประชุม กนง. 10 ก.ค. คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันให้กับกลุ่มที่ไวต่ออัตราดอกเบี้ย อาทิ ธนาคารขนาดเล็กหรือเช่าซื้อ เป็นต้น

 

วันนี้แนะนำ PTTGC ราคาหุ้นค่อนข้างถูก ซื้อขายเพียง 8.2x PER และให้ปันผล 4.5% แม้ว่ากำไรมีแนวโน้มลดลง QoQ แต่โดยรวมยังอยู่ในระดับที่ดีจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ (spread) สายโอเลฟินส์ชดเชยการอ่อนตัวลงของผลิตภัณฑ์สายอะโรเมติกส์ได้ ขณะที่ตลาดเริ่มกลับมาเล่นหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตร ตามสัญญาณเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว แนวต้าน 73 ทะลุได้ก็ไปต่อที่ 75 และ 78 แนวรับ 70 ใช้ 64 เป็นจุด stop loss ครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หวัดดีค่ะคุณginger. Yott. ตู้เย็น สบายดีกันนะเพื่อนๆ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

KIMHENG 9999

ความแนวโน้มราคาทอง วันจันทร์ที่ 8/7/2556 (รอบเช้า)

 

สรุปเหตุการณ์ Week ที่ผ่านมา

 

เริ่มด้วยวันพุธพระรองอย่าง ตัวเลข ADP Non-Farm ที่เด่นไม่แพ้พระเอกอย่าง ตัวเลข Non-Farm ที่ออกมาดีกว่าคาด

 

วันพฤหัสฯที่ 4/7/56 เวลา 18.00น. ธนาคารกลางอังกฤษหรือ BOE คงนโยบายทางการเงิน (อัตราดอกเบี้ยที่ 0.50% และ Asset purchase (การซื้อสินทรัพย์)375B Pound ตามลำดับ) แต่ค่าเงินปอนด์กลับรูดลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงต้อนรับผู้ว่าธนาคารกลางคนใหม่ ต่อด้วยผลการประชุมธนาคารกลางยูโรโซน (ECB) ที่ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่เดิมเช่นกันตามคาด (0.50%) แต่ค่าเงินยูโร(EUR)ก็กลับรูดลงอย่างรวดเร็วและค่อนข้างแรงตามป๋าปอนด์(GBP) ลงมาหลังขาประจำ (ECB’s Draghi) ออกมากล่าวในลักษณะ “อัตราดอกเบี้ยจะยังคงอยู่ในระดับปัจจุบันหรือต่ำกว่า” ยิ่งเพิ่มกระแสว่าโอกาสที่จะได้เห็นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงไปต่ำกว่าศูนย์ยังคงมีอยู่ การเคลื่อนไหวของตลาดล่าสุดนี้บ่งบอกว่าตลาดค่อนข้างมีความมั่นใจว่า

 

สุดท้ายวันศุกร์ที่ 5/7/56 การเคลื่อนไหวของตลาดในวันนั้นบ่งบอกว่าตลาดค่อนข้างมีความมั่นใจว่า ตัวเลข Non-farm payrolls จะออกมาดีเกินการคาดการณ์โดยรวม ประกอบกับอัตราการว่างงานก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะต่ำกว่าเดือนก่อนหน้า (7.6%) และก็เป็นตามนั้นจริงๆ และแน่นอน “ราคาทองคำ” ก็เป็นไปตามที่คาดกันไว้ ....

 

ข้อมูลน่าสนใจในวันนี้

ข้อมูลแรงงานที่ส่งสัญญาณไปในทิศทางเดียวกันจุดกระแสให้นักลงทุนเริ่มเกิดความวิตกกังวลว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) อาจชะลอโครงการซื้อพันธบัตรเร็วกว่าที่คาดการณ์ (อีดแล้ว) เพราะนายเบน เบอร์นันเก้ ประธานFedเคยส่งสัญญาณว่าการลดขนาดโครงการซื้อสินทรัพย์จะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจด้านต่างๆรวมถึงการใช้จ่ายของผู้บริโภคและข้อมูลด้านการจ้างงานของสหรัฐ

 

อย่างไรก็ดีมีหลายปัจจัยที่อาจ “หนุน”ราคาทองคำให้ดีดตัวขึ้นในอนาคตอันใกล้ อาทิ

- สถานการณ์ทางการเมืองในอียิปต์ที่อยู่ในภาวะตึงเครียดและไร้เสถียรภาพ

- อุปสงค์ทองคำจากตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ

- วิกฤตหนี้ยูโรโซน

- อุปสงค์ทองคำจากจีนหากราคาทองคำร่วงลงแตะ 1,200 ดอลลาร์/ออนซ์

 

รายงานตัวเลขน่าสนใจวันนี้

 

13:00 EUR: German Trade Balance คาด17.4B / ครั้งก่อน 17.7B

 

17:00 EUR: German Industrial Production m/m คาด -0.5% / ครั้งก่อน 1.8%

 

19:30 EUR: ECB President Draghi Speaks

 

*โดยมีโฟกัสประจำ Week วันพุธ ตี1 FOMC Meeting และ ตี3 Fed Chairman Bernanke Speaks

 

แนวรับแนวต้าน วันจันทร์ที่ 8/7/56

R2 = 1242/1246

R1 = 1230

S1 = 1213

S2 = 1208

S3 = 1194

 

**สามารถดูภาพแนวโน้มราคาทอง และติดตามบทความต่อ ในตลาดรอบเย็น วันจันทร์ที่ 8/7/2556 ที่ www.thaigoldhips.com

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

http://www.youtube.c...ualuangiChanne

308 views 3 days ago

Investment Class Week #4 16/06/2013

ช่วงที่ 1 : การกระจายประเภทสินทรัพย์ในพอร์­ตการลงทุน

ช่วงที่ 2 : Understanding Foreign Institutional Investor

ช่วงที่ 3 : แนะนำการใช้โปรแกรม Aspen เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน

ช่วงที่ 4 : กลยุทธ์ในการเอาชนะตลาด ปรับได้หรือไม่ ทำอย่างไร

ช่วงที่ 5 : Stock Clinic

ช่วงที่ 6 : ห้องเย็น…

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Monday, 8 July 2013

 

คุณค่า(ทางจิตใจ) VS ราคา

 

« แรงปรารถนา | Main

 

ในแวดวงของนักลงทุนแบบแบบ Value Invesment นั้น คำสองคำที่เราพูดถึงอยู่เสมอก็คือ Value กับ Price หรือ คุณค่า กับ ราคา “คุณค่า” นั้นก็คือสิ่งที่เราจะได้จากการถือทรัพย์สินนั้น พูดง่าย ๆ เราจะได้อะไรจากทรัพย์สินนั้น ซึ่งในเรื่องของหลักทรัพย์ที่เป็นหุ้นก็คือ ปันผลที่เราจะได้ตลอดอายุของการลงทุนหรือตลอดไป ส่วน “ราคา” ก็คือสิ่งที่เราจะต้องจ่ายในการซื้อทรัพย์สินดังกล่าว หน้าที่หลักของเราก็คือ ประเมินดูว่าคุณค่าหรือมูลค่าของหุ้นตัวนั้นควรจะเป็นเท่าไรโดยหาจาก “มูลค่าปัจจุบัน” ของปันผลที่จะได้รับในอนาคตทั้งหมด แล้วก็นำมาเปรียบเทียบกับราคา หากมูลค่าสูงกว่าราคาเราก็ซื้อ แต่ถ้ามูลค่าต่ำกว่าราคา เราก็ขาย เพราะเราเชื่อว่าในระยะยาวแล้ว ราคาจะวิ่งเข้าไปหามูลค่าที่แท้จริงเสมอ ในเรื่องของการลงทุนในหุ้นนั้น มูลค่าหรือคุณค่าของหุ้นมีเพียงหรือควรจะมีเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือปันผลที่จะได้รับเป็นเงินสด คุณค่าอย่างอื่นที่ไม่ใช่ตัวเงินและมักจะไม่สามารถนำมาคำนวณเป็นตัวเงิน เช่น ชื่อเสียงหรือความรู้สึกทางจิตใจนั้น เราจะไม่นำมาคิด

แต่ในโลกที่กว้างออกไป “คุณค่า” นั้น ไม่ได้มีเฉพาะเรื่องของเงิน คุณค่าทางด้าน “จิตใจ” ก็มีอยู่มากพอที่จะทำให้คนยอมจ่าย “ราคา” เพื่อที่จะได้มันมา หรือถ้าจะพูดอีกแบบหนึ่งก็คือ คนแต่ละคนจะประเมินดู “คุณค่าทางด้านจิตใจ” ที่เขาจะได้รับทั้งหมด แล้วนำมาเปรียบเทียบกับ “ราคาหรือเม็ดเงิน” ที่เขาจะต้องจ่าย ถ้าคุณค่านั้นสูงกว่า เขาก็จะ “ซื้อ” แต่ถ้าไม่ เขาก็อาจจะขายถ้าสามารถขายได้ ประเด็นที่สำคัญที่สุดที่ทำให้คุณค่าทางจิตใจนั้นแตกต่างจากคุณค่าที่เป็นเม็ดเงินก็คือ คุณค่าทางจิตใจนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัวของแต่ละคน ของสิ่งเดียวกันสำหรับคนหนึ่งอาจจะมีคุณค่ามาก แต่สำหรับอีกคนหนึ่งมันอาจจะไม่มีค่าอะไรเลย ลองมาดูกันว่าใน “ตลาด” ที่ขาย “คุณค่าทางจิตใจ” ของประเทศไทยเรานั้นมีอะไรบ้างที่น่าสนใจ

ในเมืองไทยที่สังคมยังค่อนข้างติดยึดกับระบบ “ศักดินา” ที่แบ่งคนเป็น “ชนชั้น” ตามฐานันดรต่าง ๆ นั้น ทำให้ยศถาบรรดาศักดิ์และตำแหน่งเป็นสิ่งที่คนต่างก็แสวงหา คนมักจะยกย่องเชิดชูคนที่มีฐานะและตำแหน่งที่เป็นทางการสูงโดยที่ไม่ใคร่สนใจว่าคน ๆ นั้นจะมีความรู้ความสามารถหรือมีคุณธรรมจริง ๆ หรือไม่ ดังนั้น คนที่มีปัญญา มีความรู้ความสามารถ หรือเพียงแต่มีเงินจึงต้องการ “หัวโขน” มาประดับด้วย หัวโขนหรือตำแหน่งที่เป็น “ทางการ” จึงเป็นสิ่งที่มีค่า เป็น Value สำหรับคนหลาย ๆ คน และดังนั้น พวกเขาจึงยินดีที่จะจ่ายเงินซื้อเป็น “ราคา” ที่หลากหลายขึ้นอยู่กับ “หัวโขน” แต่ละแบบ และนี่ก็เป็นที่มาของเรื่องการ “ขายปริญญา”ของ “มหาวิทยาลัย” ที่ไม่ได้มีมาตรฐาน หรือไม่ก็เป็นปริญญากิตติมศักดิ์ที่มอบให้แต่ผู้รับต้อง “จ่ายเงิน” นอกจากนั้น ในอดีตเราก็เคยมีกรณี “เครื่องราช” ที่คนต้องจ่ายเงินให้กับคนที่จัดการทำเรื่องหลอกลวงว่ามีการบริจาคเงินให้กับวัดเพื่อเสนอขอเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้กับคนที่ต้องการได้เครื่องประดับนี้โดยที่ตนไม่สมควรได้

อาหารเสริมเป็นธุรกิจที่ใหญ่มาก ผู้ผลิตมีตั้งแต่บริษัทระดับโลกไปยันกิจการครอบครัวขนาดเล็กที่ไม่มีการค้นคว้าวิจัยอะไรเลย “คุณค่า” ของอาหารเสริมจำนวนมากที่จะมีต่อร่างกายนั้นยังมีข้อสงสัยอยู่มาก หมอหรือนักวิชาการจำนวนมากที่ผมรู้จักหรือได้อ่านบทความนั้นบอกว่าอาหารเสริมส่วนใหญ่นั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลยนอกจากความรู้สึกทางใจที่ว่ามันช่วยให้สุขภาพดีขึ้น อย่างไรก็ตามคนจำนวนมากรวมทั้งผมต่างก็ดูว่ามีอาหารเสริมหลายอย่างที่ผมซื้อเพราะมัน “คุ้มค่า” คนจำนวนมากคิดว่าคุณค่าของมันเหนือกว่าราคาที่จ่าย คุณค่าที่ว่านี้ก็คือการมีสุขภาพที่ดีขึ้นสำหรับเขานั้น คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายมาก สำหรับผมเอง ผมก็ไม่ได้เชื่อมากนักว่าอาหารเสริมที่ผมกินนั้นจะช่วยให้สุขภาพผมดีมากมายอะไร อย่างไรก็ตาม เงินที่ผมจ่ายนั้น ก็น้อยนิดเมื่อเทียบกับทรัพย์สินที่ผมมี ดังนั้น เทียบแล้ว Value เหนือ Price และนี่เป็นเหตุผลที่อาหารเสริมนั้นเป็นธุรกิจที่เติบโตมาก

การพยากรณ์เหตุการณ์ในอนาคตเป็นธุรกิจที่ใหญ่โตไม่น้อยไปกว่าอาหารเสริม ไล่ตั้งแต่การดูหมอและการผูกดวงชะตาต่าง ๆ การวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค ไปจนถึงการคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจของนักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลาย นี่ก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่นักวิชาการมีการศึกษาและพบว่าการคาดการณ์ทั้งหลายดังกล่าวนั้นไม่มีความถูกต้องแม่นยำพอที่จะมีประโยชน์ในการตัดสินใจอะไรเลย แต่คนจำนวนมากก็ยังยอมจ่ายเงินไปเพื่อซื้อการคาดการณ์เหล่านั้น พวกเขาเห็น “คุณค่า” ของมัน คนบางคนเชื่อว่าการคาดการณ์นั้นมีความถูกต้องและจะทำให้สามารถนำไป “ทำเงิน” และคุ้มค่ากับราคาที่จ่าย คนบางคนนั้นได้ “คุณค่าทางจิตใจ” นั่นก็คือ มันทำให้เขารู้สึกสบายใจที่มีคนมาช่วย “รับภาระทางใจ” ต่อการตัดสินใจของเขา ในกรณีที่เกิดความผิดพลาดเขาก็สามารถที่จะอ้างได้ว่าเขาตัดสินใจโดยได้ใช้ข้อมูลและความเห็นของคนที่เชี่ยวชาญในการพยากรณ์อนาคตอย่างรอบคอบแล้ว

Value หรือคุณค่าของ “ที่ปรึกษา” ทางธุรกิจนั้น บ่อยครั้งก็ไม่ได้มีคุณค่าที่ทำให้ธุรกิจดำเนินงานได้ดีขึ้นคุ้มค่ากับค่าที่ปรึกษาที่สูงลิ่ว เจ้าของหรือผู้บริหารสูงสุดของบริษัทหรือหน่วยงานเองนั้นส่วนใหญ่น่าจะรู้ดีกว่าที่ปรึกษาที่เป็นคนนอกและเพิ่งเข้ามาศึกษาการทำงานของบริษัทจากการสอบถามพนักงานภายในบริษัทเอง แต่ประเด็นอาจจะไม่ได้อยู่ตรงนั้น ประเด็นอาจจะอยู่ที่ว่าคุณค่าของที่ปรึกษาในสายตาของคนจ้างซึ่งเป็นผู้บริหารอาจจะอยู่ที่ว่า ที่ปรึกษานั้นเป็นผู้ที่จะบอกให้แต่ละหน่วยงานในบริษัททำตามเนื่องจากพวกเขาเป็น “ผู้เชี่ยวชาญคนนอก” ที่ไม่มี “การเมืองในบริษัท” ที่ทำให้ทุกฝ่ายยอมรับได้ง่ายกว่า นอกจากนั้น หากเกิดมีอะไรผิดพลาด ผู้บริหารก็ยังมีข้ออ้างว่าที่ปรึกษาได้แนะนำไว้ไม่ใช่ความผิดของฝ่ายบริหารทั้งหมด

ตลาดพระเครื่องน่าจะเป็นตลาดที่ “คุณค่าทางด้านจิตใจ” มีบทบาทสำคัญในทรัพย์สินที่มีตัวตนและเปลี่ยนมือได้ “คุณค่า” ของพระเครื่องแต่ละรุ่นนั้นเปลี่ยนแปลงไปได้ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง เช่น ถ้าเกิดอุบัติเหตุแล้วคนที่ห้อยพระเครื่องบางองค์รอดปลอดภัยอย่าง “มหัศจรรย์” คุณค่าในสายตาของคนเล่นพระเครื่องในพระรุ่นนั้นก็อาจจะสูงขึ้นมากและทำให้ “ราคา” ค่าเช่าพระองค์นั้นวิ่งสูงขึ้นด้วย แต่ถ้าถามว่าพระเครื่องรุ่นนั้นช่วยให้ “แคล้วคลาด” ได้จริงหรือเปล่า? คงไม่มีใครตอบได้จริง ๆ

Value ของบริษัทจัดการกองทุนรวมหรือผู้บริหารกองทุนรวมนั้น ในต่างประเทศเช่นในสหรัฐอเมริกามีการศึกษากันมากและพบว่า ผู้จัดการกองทุนรวมส่วนใหญ่มีคุณค่าในแง่ของการเลือกหุ้นที่ถูกต้องน้อยไม่คุ้มค่ากับค่าบริหารกองทุนที่คิดค่อนข้างสูงอาจจะ 3-4% ต่อปีของสินทรัพย์สุทธิ อย่างไรก็ตาม คนจำนวนมากก็ยังใช้บริการยอมจ่ายค่าบริหารกองทุนในอัตราสูงแทนที่จะซื้อกองทุนอิงดัชนีที่ไม่ต้องเลือกหุ้นและคิดค่าบริหารกองทุนต่ำกว่ามาก เหตุผลนั้นอาจจะเป็นเพราะคนยังเชื่อว่ามีกองทุนรวมที่มีฝีมือหรือคุณค่าสูงในการเลือกหุ้นเพราะพวกเขาเห็นว่ากองทุนนั้นมีผลงานที่ดีเด่นในช่วงเร็ว ๆ นี้ ความหวังที่จะได้กำไรดี ๆ และการ “ยกความรับผิดชอบ” ให้กับบริษัทจัดการการลงทุนที่ “มีผลงานโดดเด่น” ทำให้พวกเขายอมจ่าย“ราคา” ที่อาจจะสูงกว่าคุณค่าที่แท้จริงของ บลจ. นั้น ที่เขียนมาทั้งหมดนั้น ประเด็นสำคัญที่สุดที่ผมต้องการจะบอกก็คือ ในฐานะของ VI เราจะต้องเป็น “ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับ Value” หรือคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ เมื่อเทียบกับ ราคา ที่เราจะจ่าย และเราต้องเข้าใจด้วยว่า Value นั้นมีหลายรูปแบบและในสายตาของแต่ละคนก็อาจจะไม่เท่ากันถ้ามันไม่ใช่ Value ที่เป็นเม็ดเงิน ความเข้าใจเหล่านี้จะทำให้เราใช้เงินได้คุ้มค่าขึ้น ทั้งทางด้านของการลงทุนและในด้านการใช้จ่ายอย่างอื่นของชีวิต

Posted by nivate at 10:17 AM in โลกในมุมมองของ Value Investor

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ปั้นข้าวเหนียว

ความสุขไม่ " คงที่ "

ความดีสิ " คงทน "

" ความสุข " ไม่ได้มีกันทุกคน

แต่ " ความดี " น้อยคนที่จะมี

 

 

954634_598744083480904_1238479900_n.jpg

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หวัดดีค่ะคุณginger. Yott. ตู้เย็น สบายดีกันนะเพื่อนๆ

สวัสดี Lavander yot ตู้เย็น ลุงทอง เพื่อนทุกคน

1000085_550710364990997_1049509802_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

:) ขอบคุณค่ะ ชาย yot สำหรับประวัติเพลงนี้ค่ะ

ทราบแต่ว่าเพลงนี้มีภูมิหลัง แต่ไม่เคยทราบประวัติจริง ๆ ของเขา

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...