ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ginger

หัวใจทองคำกับรอยหยักของสมอง

โพสต์แนะนำ

‎"“การลงทุนที่ประสพผลสำเร็จคือการเข้าไปลงทุนก่อนใครในขณะที่ยังมีราคาถูก

ในขณะที่ทุกอย่างดูแย่ไปหมด และในยามที่ทุกคนรู้สึกท้อถอย”

 

..... Jim Rogers

 

(สรุปความโดย วรวรรณ ธาราภูมิ CEO กองทุนบัวหลวง)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วรวรรณ ธาราภูมิ

‎"ในสภาพแวดล้อมที่อัตราดอกเบี้ยสุทธิหลังหักเงินเฟ้อแล้วกลายเป็นติดลบ เ

 

ราจะเผชิญกับความผันผวนเป็นอย่างมาก

 

มี 2 กลยุทธ์ในการลงทุน อย่างแรกคือแสวงหาสินทรัพย์ที่คิดว่าจะดีแล้วโยกไปมาบ่อยๆ เพราะมันจะผันผวน

 

อีกวิธีคือแบ่งเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ 4 ประเภทหลัก ได้แก่ 1. โลหะมีค่า 2. หุ้น 3. อสังหาริมทรัพย์

 

และ 4. เงินสดกับพันธบัตร

 

ในระยะยาว แนวโน้มราคาทองคำจะมั่นคง แต่ดอลลาร์กับสกุลเงินอื่นๆ จะเสื่อมค่า

 

นั่นก็คือราคาทองคำที่คิดป็นดอลลาร์มีแนวโน้มจะสูงขึ้น

 

และถ้าอยากรู้ว่าจะขึ้นไปได้เท่าไร ก็ให้โทรศัพท์ไปถาม Ben Bernanke กันเอาเอง

 

ทางที่ดีแล้วเราควรมีทองคำกันไว้ แต่อย่าเก็บมันในสหรัฐ เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ (FED)

 

จะปล้นมันไปจากเราสักวันหนึ่ง

 

ผมติดรูป ตา Ben Bernanke ไว้ในห้องน้ำ เพราะถ้าผมคิดจะขายทองคำ

 

ผมมองเห็นรูปเขาแล้ว จะได้คิดได้ถูกต้อง"

 

..... Marc Faber

 

(สรุปความโดย วรวรรณ ธาราภูมิ CEO กองทุนบัวหลวง)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สิ่งที่ทางการควรทำ สำหรับเศรษฐกิจไทยปีหน้า

 

 

ใกล้เทศกาลปีใหม่ เราจะเห็นนักวิเคราะห์และผู้รู้ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจปีหน้า ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี

 

 

เพราะเป็นเรื่องที่นักลงทุนและภาคธุรกิจอยากรู้ เพื่อจะได้วางแผนหรือหาแนวทางลงทุนได้ถูกต้อง วันนี้ผมเขียนเรื่องนี้ เพราะอยากให้ความเห็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจปีหน้า รวมถึงนโยบายที่ทางการควรทำ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ต่อเนื่อง และมีเสถียรภาพ

 

 

 

 

ปีที่แล้วช่วงปลายปี ผมได้ให้ความเห็นว่าปีนี้คือปี 2555 จะเป็นปีสำคัญที่ทดสอบการทำหน้าที่ของรัฐบาลว่าจะให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ประเทศมีอยู่ โดยเฉพาะผลกระทบจากมหาอุทกภัยน้ำท่วมขณะนั้น หรือจะมุ่งผลักดันนโยบายของพรรคให้ออกมาตามที่หาเสียงไว้ เพื่อผลทางการเมือง สิ่งที่ออกมาจากงานของรัฐบาลเรื่องเศรษฐกิจปีนี้ชัดเจนว่า รัฐบาลได้เลือกที่จะให้ความสำคัญกับนโยบายหาเสียงของพรรคมากกว่ามุ่งแก้ไขปัญหาที่เศรษฐกิจของประเทศประสบอยู่ เห็นได้จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะเพื่อป้องกันหรือบรรเทาผลกระทบของน้ำท่วมระยะยาว ที่ผ่านมาหนึ่งปียังไม่ชัดว่ารัฐบาลได้ตัดสินใจทำอะไร ที่สำคัญปัญหาสำคัญที่กระทบศักยภาพเศรษฐกิจระยะยาวที่รอการแก้ไข เช่น ปัญหาคุณภาพการศึกษา การขาดแคลนแรงงาน การบริหารจัดการในภาครัฐ ปัญหาค่าครองชีพ การสร้างโอกาสทางรายได้ให้กับกลุ่มคนรายได้น้อย และการทุจริตคอร์รัปชั่น ปัญหาเหล่านี้ชัดเจนว่าไม่ได้มีความพยายามจริงจังที่จะแก้ไขเป็นรูปธรรม มีแต่การลดภาษีที่มุ่งกระตุ้นการใช้จ่าย เช่น บ้านหลังแรก รถยนต์คันแรก และการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่ให้ประโยชน์แก่ผู้มีรายได้สูงและบริษัทธุรกิจ รวมถึงการแทรงแซงเศรษฐกิจ เพื่อบิดเบือนการทำงานของกลไกตลาด เช่น โครงการจำนำข้าวที่จะมีผลทางลบต่อแรงจูงใจทางเศรษฐกิจของคนในประเทศและเปิดประตูให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นมากมาย

 

 

ดังนั้น พูดได้ว่าหนึ่งปีที่ผ่านมานโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ได้มุ่งทำในสิ่งที่พรรคการเมืองของรัฐบาลต้องการ มากกว่าทำในสิ่งที่ระบบเศรษฐกิจต้องการ ในแง่ของการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ประเทศมีอยู่ จนนักลงทุนต่างประเทศบางส่วนมองว่าประเทศไทยขณะนี้ไม่มีนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ประเทศมี มีแต่มาตรการของรัฐที่มุ่งสร้างความนิยมเพื่อผลทางการเมือง

 

 

เมื่อนโยบายเศรษฐกิจของประเทศเป็นแบบนี้ คำถามก็คือ เราจะหวังอะไรได้สำหรับเศรษฐกิจไทยปีหน้า ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกที่กำลังเกิดขึ้น

 

 

ปีหน้าชัดเจนว่า เศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะเศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมหลัก เช่น สหรัฐ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น คงจะอ่อนแอต่อไป ถึงแม้ตัวเลขจีดีพีโลกปีหน้าที่ส่วนใหญ่ประเมินจะดูดีขึ้นกว่าปีนี้ แต่โดยพื้นฐานแล้วเศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมหลักยังอ่อนแอ จากปัญหาเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนด้านนโยบายที่มีอยู่ ทำให้ตลาดการเงินไม่สามารถประเมินได้อย่างมั่นใจว่า เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวได้อย่างจริงจังปีหน้า และตัวเลขที่ดูดีขึ้นปีหน้า ก็มาจากการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศตลาดเกิดใหม่เป็นสำคัญ แต่เศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมหลักยังจะคงเป็นเหมือนปีนี้ คือ ขยายตัวต่ำ การว่างงานสูง และนโยบายแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะปัญหาหนี้สาธารณะไม่มีแนวทางชัดเจน ทำให้ธนาคารกลางของประเทศอุตสาหกรรมหลักคงต้องอัดฉีดสภาพคล่องให้กับระบบการเงินต่อไปเหมือนที่ทำปีนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ที่มีอยู่ประทุขึ้นเป็นวิกฤติใหญ่อีกรอบหนึ่ง

 

 

แต่จุดหนึ่งที่อาจแตกต่างระหว่างปีนี้กับปีหน้าก็คือ ความอดทนของตลาดการเงินและนักลงทุนที่มีต่อการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลประเทศอุตสาหกรรมหลักที่อาจลดลงในปีหน้า นำไปสู่การลดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ของประเทศอุตสาหกรรมหลัก การปรับลดของราคาสินทรัพย์ การปรับสูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ยระยะยาว และการอ่อนค่าของเงินสกุลหลัก รวมไปถึงประชาชนในประเทศอุตสาหกรรมหลัก โดยเฉพาะยุโรป ที่อาจหมดความอดทนกับความเดือดร้อนจากปัญหาเศรษฐกิจ นำไปสู่การเกิดปัญหาการเมือง สิ่งเหล่านี้จะทำให้ภาวะเศรษฐกิจการเงินโลกปีหน้าผันผวนมากขึ้น และกระทบการฟื้นตัว

 

แล้วผลต่อเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร และอะไรเป็นสิ่งที่ทางการไทยควรทำและไม่ควรทำ ในแง่การดำเนินนโยบาย

 

 

สิ่งแรกที่ชัดเจนคือ การส่งออกของไทยคงถูกกระทบต่อเนื่องในปีหน้า เพราะเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัว แต่เศรษฐกิจไทยจะได้ประโยชน์จากเงินทุนต่างประเทศไหลเข้า ที่เป็นผลจากการผ่อนคลายนโยบายการเงิน และการอัดฉีดสภาพคล่องต่อเนื่อง ทั้งโดยธนาคารกลางสหรัฐ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ทำให้สภาพคล่องในประเทศไทยจะมีมาก สินเชื่อธนาคารพาณิชย์จะเติบโตมาก นำไปสู่การขยายตัวของการบริโภคของครัวเรือน การลงทุนและการขยายหรือซื้อกิจการในภาคธุรกิจเอกชนก็จะบูมเพราะอัตราดอกเบี้ยต่ำ แต่การเติบโตนี้ โดยพื้นฐานแล้วก็คือการก่อหนี้ใหม่ของภาคครัวเรือน และภาคธุรกิจ ผ่านการปล่อยกู้ของสถาบันการเงินในประเทศ ขณะที่ภาครัฐเองก็จะเร่งลงทุนและกู้ยืมมากขึ้นด้วย ดังนั้นปีหน้าเป็นปีที่เศรษฐกิจไทยจะก่อหนี้มาก ทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ต่อเนื่อง แต่เป็นการเติบโตบนความล่อแหลมที่มีมากขึ้น

 

ด้วยเหตุนี้ ในการประเมินเศรษฐกิจไทยปีหน้า นักวิเคราะห์ต่างๆจึงมองเศรษฐกิจไทยว่าจะโตต่อเนื่องในปีหน้า โดยมีการใช้จ่ายในประเทศเป็นตัวขับเคลื่อน แต่ประเด็นที่ไม่ได้พูดกันต่อมากนักก็คือ การเติบโตดังกล่าวเป็นการเติบโตเชิงปริมาณขับเคลื่อนโดยเงินทุนไหลเข้า และการกระตุ้นของภาครัฐ แต่น่าห่วงในแง่คุณภาพ เพราะอาจสร้างความเสี่ยงที่รุนแรงต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศตามมาได้ ที่สำคัญ การเติบโตที่ทุกคนจะชอบจะปิดบังความอ่อนแอที่ระบบเศรษฐกิจมีอยู่ ทำให้การเติบโตที่เกิดขึ้นจะไม่ยั่งยืน ความอ่อนแอที่ซ่อนอยู่ก็คือ หนึ่ง นโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่ไม่มีทิศทางชัดเจนที่จะสร้างความมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโต พร้อมกับหลีกเลี่ยงปัญหาเสถียรภาพได้ สอง ไม่มีความพยายามด้านนโยบายที่จะปฏิรูปเศรษฐกิจ เพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่เศรษฐกิจมีอยู่ และ สาม ปัญหาธรรมาภิบาลในระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาครัฐเห็นได้จากการทุจริตคอร์รัปชั่นที่นับวันจะรุนแรงขึ้น ความอ่อนแอเหล่านี้ เมื่อประเมินร่วมกับปัญหาการเมืองที่ประเทศมี ทำให้นักลงทุนต่างประเทศบางส่วนมองประเทศไทยเฉพาะเพื่อหาประโยชน์ทางการเงินระยะสั้น แต่ไม่มั่นใจต่อแนวโน้มของเศรษฐกิจในระยะยาว สะท้อนจากอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ไม่เคยถูกปรับให้ดีขึ้นในช่วงสิบปีที่ผ่านมา

 

 

แล้วรัฐบาลควรและไม่ควรทำอะไรปีหน้า

 

 

สิ่งที่รัฐบาลควรต้องทำคือ สร้างความมั่นใจต่อนักลงทุน และภาคเอกชน ว่ารัฐบาลมีนโยบายเศรษฐกิจมหภาคทั้งในระยะสั้นและระยะยาวที่จะดูแลให้เศรษฐกิจโตอย่างปลอดภัยจากความเสี่ยงต่างๆ และรัฐบาลกำลังแก้ไขปัญหาที่สำคัญต่ออนาคตเศรษฐกิจของประเทศ ในความเห็นของผม สิ่งที่ควรต้องทำทันที ในแง่นโยบายเศรษฐกิจมหภาค คือ

 

หนึ่ง หยุดกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยยกเลิกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย เช่น บ้านหลังแรก รถยนต์คันแรก รวมถึงมาตรการลดภาษีอื่นๆที่กำลังคิดอยู่ เพราะเศรษฐกิจขณะนี้ขยายตัวแล้วและจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง ปีหน้าจากเงินทุนไหลเข้า ดังนั้นไม่มีความจำเป็นที่รัฐบาลต้องกระตุ้นเพิ่มเติม เพราะจะมีผลต่อฐานะการคลังของประเทศและสร้างความเสี่ยงเพิ่มเติมต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจ

 

 

สอง ต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันความเสี่ยงของการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจรอบใหม่ที่จะมาจากเงินทุนไหลเข้า ที่ปีหน้าอาการอาจเริ่มแสดงในรูปปัญหาฟองสบู่ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด การขาดดุลการคลัง ปัญหาเงินเฟ้อ และปัญหาหนี้เสียในระบบสถาบันการเงิน เพื่อลดความเสี่ยงนี้ นโยบายการคลังต้องเน้นการรักษาวินัยทั้งด้านการใช้จ่าย และการก่อหนี้ภาครัฐ ขณะที่นโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องป้องกันความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการเงินของประเทศจากเงินทุนไหลเข้า และต้องพร้อมกำกับควบคุมการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ถ้าจำเป็น เพราะถ้าธนาคารแห่งประเทศไทยละเลยไม่ทำหน้าที่ เศรษฐกิจอาจเดินไปสู่สถานการณ์เหมือนก่อนปี 2540 ที่การปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน นำไปสู่การเกิดปัญหาฟองสบู่โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์

 

 

สาม ทางการต้องหยุดแทรกแซงการทำงานของเศรษฐกิจ เพราะการแทรกแซงหมายถึงการลดบทบาท และลดศักยภาพของภาคธุรกิจเอกชน ที่จะผลักดันการพัฒนาประเทศ การแทรงแซงมักนำมาสู่การบิดเบือนแรงจูงใจทางเศรษฐกิจที่ส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพ และการจัดสรรทรัพยากรการเงินของประเทศ ในประเด็นนี้อยากให้รัฐบาลตระหนักว่า ไม่มีการแทรกแซงเศรษฐกิจโดยภาครัฐที่ประสบความสำเร็จและยั่งยืน แม้แต่ประเทศในระบบสังคมนิยมเดิม ก็ต้องมาใช้กลไกตลาดในการผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจ

 

 

ที่สำคัญจากบทเรียนวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ ชัดเจนว่าโอกาสหรือความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจของประเทศจะมาจากความถูกต้อง หรือความผิดพลาดในการทำนโยบายเป็นสำคัญ ดังนั้น ปีหน้าก็หวังว่ารัฐบาลจะทำในสิ่งที่ควรทำเพื่อประโยชน์ของเศรษฐกิจ ไม่มาแบบเดิม ที่มุ่งกระตุ้นการใช้จ่ายเพื่อผลระยะสั้น เพราะมีต้นทุนและความเสี่ยงสูงต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศ

 

news_img_tassana_137.jpg

 

Tags : ดร.บัณฑิต นิจถาวร

ดร.บัณฑิต นิจถาวร

คอลัมนิสต์ประจำคอลัมน์ "เศรษฐศาสตร์บัณฑิต

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Full Version การวิเคราะห์แนวโน้มก่อนตัดสินใจเทรด

 

ForexExchangeStore > Article

 

 

การวิเคราะห์แนวโน้มก่อนตัดสินใจเทรด Date : 2012-01-10 21:31:47

 

 

 

บทเรียนแรก การวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดเบื้องต้น ในรูปแบบคลิปวีดีโอ ค่ะ

ขอบคุณผู้จัดทำ น้อง MAX แห่ง

http://www.thaiforexschool.com & http://9porfessionaltrader.blogspot.com

 

==================================================

 

บทเรียนที่ 2 โดย the_greenday

เอื้อเฟื้อโดย ThailandInvestorClub.com ( ผู้สนับสนุน และเจ้าของพื้นที่ถ่ายทอดความรู้ )

 

 

หลักการมองแนวโน้ม เริ่มจากการมองเทรนให้ออกก่อนเสมอ เทรนในตลาด จะมีแค่ 3 แบบ

 

1. Up Trend แบบขาขึ้น จะวิ่งขึ้นอย่างเดียว (เหมาะกับการเข้าเทรด)

 

trend01.gif

 

 

2. Down Trend แบบขาลงจะวิ่งลงอย่างเดียว (เหมาะกับการเข้าเทรด)

 

trend02.gif

 

 

3. Sideway Trend แบบขนาน เคลื่อนตัวไปทางด้านข้าง แบบฟันปลา ขึ้นๆลงๆ พูดง่ายๆกราฟวิ่งไม่สวย ไม่มีแนวโน้ม

(ตลาดช่วงนี้ นักลงทุนมักจะขาดทุนเสมอๆ)

 

trend03.gif

Sideway แยกออกได้เป็น sidewayในช่วง(พักตัว)เทรนขาขึ้น

 

trend04.gif

 

sidewayในช่วง(พักตัว)เทรนขาลง

trend05.gif

 

เมื่อมองแนวโน้มแล้วรู้ว่าแบบนี้คือ ขึ้น ลง ด้านข้างแล้ว ต่อมาก็มาเรียนรู้ การเริ่มสร้างแน้วโน้ม

แนวโน้มขาขึ้น Up Trend --->จะขึ้นแบบค่อยๆขึ้นไปก่อนแล้ว พักตัว(เราเรียกว่า HL)

แล้วขึ้นไปต่อทำแนวโน้มสูงขึ้น (เราเรียกว่า HH )

แนวโน้มขาลง Down Trend ----->จะลงแบบค่อยๆลงไปก่อนแล้ว พักตัว(เราเรียกว่า LH)

แล้วลงไปต่อทำแนวโน้มต่ำลง (เราเรียกว่า LL )

 

H = High

L = Low

trend06.gif

 

trend07.gif

 

trend08.gif

 

trend08.2.gif

 

ต่อมาก็มาถึง การฝึกหัด ลากๆ ขีดๆ ยิ่งฝึกลากบ่อยๆยิ่งมองภาพรวมตลาดง่ายขึ้น

 

ในเทรนขาขึ้น จะเริ่มจาก ต่ำสุดไปสูงใหม่ ได้สูงใหม่แล้วก็จะมีการ(พักตัว)ลงมาทำฐาน(เรียกว่า HL)

เมื่อรู้แล้วว่าพักตัวก็จะเริ่มลากเทรนขาขึ้นได้

ในเทรนขาลง จะเริ่มจาก สูงสุดไปต่ำใหม่ ได้ต่ำใหม่แล้วก็จะมีการ(พักตัว)ขึ้นไปทำฐาน(เรียกว่า LH)

เมื่อรู้แล้วว่าพักตัวก็จะเริ่มลากเทรนขาลงได้

 

ส่วนการลากในกรอบ sideway นั่น จะมีหลายแบบด้วยกัน แบบ ขนาน แบบสามเหลี่ยม แบบกว้างไปแคบ

บีบตัว ฟันปลา มีหลายรูปแบบ

 

trend09.gif

trend10.gif

 

เทรนขาลงลากเทรน ได้สามช่วงเวลาคือ เทรนขาลงระยะสั้น เทรนขาลงระยะกลาง เทรนขาลงระยะยาว

 

trend11.gif

 

เทรนขาขึ้นลากเทรน ได้สามช่วงเวลาคือ เทรนขาขึ้นระยะสั้น เทรนขาขึ้นระยะกลาง เทรนขาขึ้นระยะยาว

 

trend12.gif

ส่วนกรอบ sideway ไม่ควรเข้าเทรด เสียเวลานานกว่าจะหลุดกรอบ ส่วนใหญ่แล้วมักจะคืนกำไร(ขาดทุน)

เป็นส่วนใหญ่ วิธีมองกรอบวิธีมองกรอบ รอการทะลุกรอบได้แล้วมีแนวโน้มขึ้นหรือลง ค่อยพิจารณาซื้อ ขาย

trend12.gif

 

ในเทรนขาขึ้นขาลงนั่นจะมีแนวรับและแนวต้าน เสมอๆ

อะไรคือแนวรับแนวต้าน แนวรับ = Support = S แนวต้าน = Resistance = R

แนวรับ คือกราฟราคาวิ่งลงมาทำฐานแล้วลงต่อไปไม่ได้ เรียกว่า แนวรับ

แนวต้าน คือกราฟราคาวิ่งขึ้นไปชนทำฐานแล้ววิ่งขึ้นไปต่อไม่ได้ เรียกว่า แนวต้าน

 

ในเทรนขาขึ้นนั่นกราฟจะวิ่งขึ้นไปจนสุดจนกว่าจะลง รู้ได้ไงว่าลง เมื่อลากเทรนขาขึ้นแล้วหลุดเทรนขาขึ้นนั่นแล้วก็จะลง(เปลื่ยนทิศทาง)

ในเทรนขาลงนั่นกราฟจะวิ่งลงไปจนสุดจนกว่าจะขึ้น รู้ได้ไงว่าขึ้น เมื่อลากเทรนขาลงแล้วหลุดเทรนขาลงนั่นแล้วก็จะขึ้น(เปลื่ยนทิศทาง)

 

ส่วนใหญ่แล้ว เมื่อมีเทรน จนหมดเทรน มักจะเกิด Sideway ก่อนเสมอๆ เปรียบเสมือนการวิ่งมานานๆแล้วเหนื่อยก็เลยต้อง หยุดพัก(เกิดsideway) เมื่อลากกรอบsidewayได้หลุดกรอบไปแล้วก็จะวิ่งไปต่อ(แสดงว่าหายเหนื่อยแล้ว)

trend14.gif

 

trend15.gif

 

ตอนนี้ มีความรู้เรื่องเส้น TREND LINE แล้วก็ แนวรับ แนวต้าน เทรนขาขึ้น ขาลง

 

ต่อไปก็ ลองวิชากันครับ

เมื่อเกิดเทรนขาขึ้น แล้วลงมารับที่เส้น(แนวรับ)ลากเทรนขาขึ้นได้แล้ว สามารถเป็นจังหวะเข้า ซื้อ

เมื่อเกิดเทรนขาลง แล้วขึ้นมาต้านที่เส้น(แนวต้าน)ลากเทรนขาลงได้แล้ว สามารถเป็นจังหวะเข้า ขาย

 

ไม่ว่าจะเทรดช่วงเวลาไหนก็ตาม 1m 5m 15m 30m 1h 4h 1d ทุกช่วงเวลามีเทรนเสมอ อยู่ที่เราแล้วว่ามองแนวโน้มออกหรือยัง...

และทุกช่วงเวลาไม่ว่าจะเกิดเทรนขาขึ้น เทรนขาลง เมื่อขึ้นแล้วก็จะขึ้นเป็นรอบจนหมดรอบ เมื่อเกิดเทรนขาลงก็จะลงจนหมดรอบ

คือควรเทรดเป็นรอบๆไปครับ

 

เทรนสามารถบอกจังหวะเข้า ซื้อ ขายได้ ตามระดับ แนวรับ แนวต้าน

เทรนสามารถบอกจังหวะหมดเทรนของขาขึ้นขาลง ของรอบนั่นๆ

แล้วช่วยให้มองภาพรวมได้ง่ายขึ้น

เทรนยังช่วยให้ขาดทุนได้น้อยลง เมื่อรู้ว่าเข้าเทรดผิดทาง(สำคัญต้องมองแนวโน้มให้ออก รู้ว่าผิดทางก็มีวินัยโดยการกล้า stop loss )

 

หวังว่าข้อมูลคงมีประโยชน์สำหรับมือใหม่ทุกท่าน ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในอาชีพนักเทรดค่ะ

 

สรุปท้ายบทเรียน.......

trend16.gif

 

trend17.gif

 

trend18.gif

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้สำหรับผู้สนใจศึกษาเท่านั้น ไม่สนับสนุนการระดมทุน ใด ๆ ทั้งสิ้น และแนะนำให้ผู้สนใจ หาข้อมูลอย่างครบถ้วนเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ และเพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนของท่านเอง

.

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณ ginger :gd

 

เทคนิคการดูปริมาณการซื้อขาย

 

 

 

การดูปริมาณการซื้อขายนั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้เราตัดสินใจการซื้อ-ขายได้ โดยดูผลจากการใช้เครื่องมือต่างๆแล้ว นำมาวิเคราะห์กับ ปริมาณการซื้อขาย จะได้ไม่ถูกกราฟหลอก เพราะบางที ปริมาณการซื้อขายน้อย แต่เครื่องมือต่างๆบอกว่า มีแนวโน้มไปทิศทางใดทิศทางหนึ่ง เราอาจตัดสินใจผิดได้ครับ

วิธีการดูดังนี้

 

marketiva+68.JPG

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้สำหรับผู้สนใจศึกษาเท่านั้น ไม่สนับสนุนการระดมทุน ใด ๆ ทั้งสิ้น และแนะนำให้ผู้สนใจ หาข้อมูลอย่างครบถ้วนเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ และเพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนของท่านเอง

.

post-4992-0-55019800-1351734909.gif

ลงทุนแบบผู้หญิง....โดย ดร. นิเวศน์

 

ความแตกต่างในการลงทุนระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง มีการพูดถึงกันอยู่เรื่อยๆ ในสังคมไทยดูเหมือนจะมีการยอมรับพอสมควรว่า ผู้ชายเป็นนักลงทุนที่ดีกว่า

 

 

โดยมีเหตุผลหลายๆ อย่างเช่น ผู้ชายตัดสินใจได้ "เด็ดขาด" กว่า ไม่ "ลังเล" แบบผู้หญิง ผู้ชายกล้าได้กล้าเสียกว่า ผู้ชายมีความมั่นใจในตนเองสูงกว่า ผู้ชายฟังคนอื่นน้อยกว่า และผู้ชายเก่งกว่าในด้านตัวเลข ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ เป็นต้น ด้วยความคิดนี้ ประกอบกับการที่คนมองเห็น แต่ "เซียนหุ้น" ที่เป็นผู้ชายเสียเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ "การลงทุนแบบผู้หญิง" เป็นวิธีการลงทุนที่ไม่มีประสิทธิภาพ เป็นการลงทุนที่พึงหลีกเลี่ยง ถ้าไม่อยากขาดทุน หรือไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุน ทั้งหมดที่พูดถึงนี้ เป็นความคิดของคนไทยที่โลกของการลงทุนยังถูกครอบงำโดยบุรุษเพศ

 

 

ในต่างประเทศมีการศึกษาเรื่องจิตวิทยาของผู้หญิงกับการลงทุนมากมาย พบว่า สิ่งที่คนไทยจำนวนมากอาจจะคิดนั้นไม่เป็นจริง

การลงทุนแบบ "ผู้หญิง" เขาพบว่าเป็นวิธีการลงทุนที่เหนือกว่าการลงทุนแบบ "ผู้ชาย" และสิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้ชาย "แพ้" มีสาเหตุสำคัญหลายๆ อย่าง เรื่องหนึ่ง ก็คือ ผู้ชายมีความมั่นใจในตนเองสูงเกินไป และสำคัญตนเองผิดว่า ตนเองมีความเก่งเหนือกว่าคนอื่นโดยเฉลี่ย ทำให้ผมนึกถึงการศึกษาที่ให้คนจัดเกรดตนเองว่า ขับรถได้ดีแค่ไหน ซึ่งผู้ชายส่วนใหญ่มีความเห็นว่า ตนเองขับรถได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยซึ่งทางทฤษฎีแล้วเป็นไปไม่ได้ เพราะความเป็นจริง ก็คือ ต้องมีคนครึ่งหนึ่งที่ขับรถดีกว่าค่าเฉลี่ย และอีกครึ่งหนึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย มาลองดูกันว่าการศึกษาเรื่องการลงทุนระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายเป็นอย่างไร

 

 

การศึกษาในตลาดสหรัฐอเมริกาพบว่า

 

ผู้หญิงซื้อขายหุ้นบ่อยน้อยกว่าผู้ชาย แปลว่าผู้หญิงถือหุ้นยาวกว่าผู้ชาย นี่คงเป็นเรื่องการตัดสินใจที่ผู้ชายมักจะทำเร็วและเด็ดขาดกว่า แต่การซื้อๆ ขายๆ หุ้นบ่อย ทำให้เกิดค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายสูง การ "ขาดทุน" จากส่วนต่างระหว่างราคาซื้อกับราคาขายก็จะ "กินกำไร" ที่ควรจะได้ไปไม่น้อย ยิ่งในตลาดอเมริกาที่ต้องเสียภาษีกำไรจากการซื้อขายหุ้นด้วย ยิ่งทำให้ผลตอบแทนของผู้ชายลดลงเมื่อเทียบกับผู้หญิง

 

 

คุณสมบัติข้อต่อมาของผู้หญิง ก็คือ มักกลัวความเสี่ยงมากกว่าผู้ชาย คนที่ลงทุนแบบผู้หญิงมักต้องการ Margin of Safety หรือส่วนต่างเผื่อความปลอดภัยสูงกว่า นี่ก็เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่ง ที่จะทำให้การลงทุนแบบผู้หญิงเหนือกว่าการลงทุนแบบที่ "กล้าได้กล้าเสีย" แบบผู้ชาย จริงอยู่ การลงทุนแบบที่กล้าเสี่ยงมากๆ เช่น การลงทุนในหุ้นที่ผันผวนมาก หรือการใช้มาร์จินซื้อหุ้นเหล่านี้ อาจทำให้นักลงทุนแบบผู้ชาย "รวยไปเลย" แต่หลายคนที่ผิดพลาดก็ "จนไปเลย" มองในแง่ค่าเฉลี่ยระยะยาวแล้ว การลงทุนที่เน้นความปลอดภัยสูงน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า

 

 

ผู้หญิงนั้นจะมองโลกในแง่ที่ดีน้อยกว่าผู้ชาย ผู้หญิงมองโลกในแง่ที่เป็นจริงมากกว่า เวลาที่ตลาดสดใสมาก ผู้หญิงก็จะไม่ "ฝันเฟื่อง" มากเท่าผู้ชาย เช่นเดียวกัน เวลาที่ตลาดเลวร้าย ผู้หญิงก็มักจะไม่ "หดหู่" เท่าผู้ชาย มองในแง่นี้ ผู้หญิงก็จะไม่เป็น "เหยื่ออารมณ์" ของ "นายตลาด" เท่าผู้ชาย พูดง่ายๆ ผู้หญิงจะไม่ซื้อขายตามภาวะตลาดมากเท่าผู้ชาย ซึ่งมักทำให้ผู้หญิงมีแนวโน้มน้อยกว่าผู้ชาย ที่จะซื้อตอนตลาดแพงและขายตอนตลาดถูก

 

 

ผู้หญิงมีความละเอียดลออมากกว่าผู้ชายในเรื่องของการศึกษาหาข้อมูลเพื่อการลงทุน การ "คิดแล้ว คิดอีก" "อ่านแล้ว อ่านอีก" จนมั่นใจว่าไม่พลาดแน่ เป็นวิธีการลงทุนระยะยาวที่ดีกว่าการรีบตัดสินใจซื้อขายโดยที่ยังไม่ได้ศึกษาอย่างรอบคอบ ดังนั้น นิสัยผู้หญิงแบบนี้ จึงเป็นนิสัยการลงทุนที่น่าจะประสบความสำเร็จสูงกว่านิสัยแบบผู้ชายที่มักเอาเร็วเข้าว่า

 

 

ผู้ชายมีความเชื่อมั่นในตนเองสูงกว่าผู้หญิง มักเชื่อว่าตนเอง "รู้" หรือมีความรู้เรื่องต่างๆ มากกว่าที่เป็นจริง ขณะที่ผู้หญิง มักยอมรับว่าพวกเธอรู้เรื่องอะไรบ้าง และเรื่องอะไรที่ไม่รู้ มองในแง่นี้ ผู้ชายอาจจะมีแนวโน้มลงทุนในสิ่งที่ตนเองไม่รู้มากกว่าผู้หญิง การลงทุนในสิ่งที่ตนเองคิดว่ารู้ดีแต่จริงๆ แล้วตนเองไม่รู้ ย่อมมีอันตรายสูง การลงทุนแบบผู้หญิงในแง่นี้ น่าจะมีความปลอดภัยสูงกว่า และย่อมหมายความว่า ผลตอบแทนในระยะยาวต้องดีกว่า

 

 

ผู้หญิงเรียนรู้จากความผิดพลาดมากกว่าผู้ชาย พูดง่ายๆ ผู้หญิง "เจ็บแล้วจำ" มากกว่าผู้ชาย นี่ก็เป็นคุณสมบัติที่ดีในการลงทุน เพราะการลงทุน บ่อยครั้งมากที่เรามักจะทำผิด "ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า" อาจเนื่องจาก "ความโลภ" ที่อยากจะได้กำไรสูง ทำให้ลืมบทเรียนความเสียหายที่เกิดขึ้น หรือไม่ก็คิดว่าครั้งนี้ "ไม่เหมือนเดิม"

 

 

สุดท้ายที่ผมจะพูดถึง ก็คือ ผู้หญิงมักจะเปรียบเทียบตนเองกับเพื่อน หรืออยู่ใต้อิทธิพลของเพื่อน น้อยกว่าผู้ชาย พูดง่ายๆ ผู้ชายเวลาตัดสินใจอะไร ถ้ามีเพื่อน หรือเพื่อนร่วมงานจับตาดูอยู่ เขาจะมี "แรงกดดัน" มากกว่าผู้หญิงที่ต้องทำตามแนวทางของกลุ่ม ตัวอย่างเช่น ถ้าเขารู้ว่าผลตอบแทนการลงทุนของเพื่อน หรือเพื่อนร่วมงานกำลังโดดเด่นมาก เพราะพวกเขากำลังเล่น หรือลงทุนหุ้นบางกลุ่มในภาวะตลาดที่กำลังร้อนแรง ก็ยากที่ผู้ชายจะอยู่ "นิ่งเฉย" ไม่ยอมเปลี่ยนแนวทางการลงทุนของตนเอง และยอมรับผลตอบแทนที่ต่ำกว่า มองในแง่นี้ การลงทุนแบบผู้หญิงน่าจะมีหลักการที่มั่นคง และเป็นสิ่งที่ตนเองมีความชำนาญมากกว่า ผู้หญิงน่าจะตัดสินใจที่อิสระมากกว่าผู้ชาย

 

 

ผลการลงทุนของผู้หญิงโดยทั่วไปในอเมริกา เพราะซื้อขายหุ้นน้อยกว่า นั่นอาจจะเป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้ผลตอบแทนดีกว่าผู้ชาย แต่ด้านของมืออาชีพที่บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ที่ต้องอาศัยฝีมือและอารมณ์ขั้นสูงสุด ก็พบว่า ผู้บริหารเฮดจ์ฟันด์ที่เป็นผู้หญิง สามารถสร้างผลงานเฉลี่ยที่ดีกว่าผู้ชาย รวมถึงผลตอบแทนสม่ำเสมอกว่าผู้บริหารชาย ที่สำคัญ ในยามที่ตลาดเลวร้ายมาก ผลตอบแทนของผู้บริหารหญิง จะเลวร้ายน้อยกว่าของผู้บริหารชายมาก

 

 

หลายคนยังอาจจะสงสัยว่า ทำไมนักลงทุนเอกของโลก ที่สร้างผลตอบแทนระยะยาวได้สูงมากอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ปีเตอร์ ลินช์ และอีกหลายๆ คนจึงมีแต่ผู้ชาย แล้วจะบอกได้อย่างไรว่าการลงทุน "แบบผู้หญิง" มีประสิทธิภาพเหนือกว่า ประเด็นนี้ คำตอบน่าจะมีได้สองทาง

 

ทางแรก คือ การลงทุนแบบผู้ชาย มีความผันผวนสูงมาก คนที่ทำได้ดีก็ดีมากๆ แต่คนที่ทำได้แย่ ผลงานก็ "ตกเหว" ไปเลย โดยค่าเฉลี่ยต่ำกว่าการลงทุนของผู้หญิง

 

 

คำอธิบายอีกทางหนึ่ง ก็คือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ หรือเซียนหุ้นที่ประสบความสำเร็จระดับโลกที่เป็นผู้ชาย แท้ที่จริงแล้ว เขาใช้แนวทางการลงทุนแบบ "ผู้หญิง" ส่วนการที่ยังไม่มีผู้หญิงก้าวขึ้นมาเป็น "เซียนระดับโลก" อาจจะเป็นเรื่องของ "เวลา" ก็ได้

 

เหนือสิ่งอื่นใด ผู้หญิงเพิ่งจะก้าวเข้ามาในโลกของการลงทุนไม่นานนัก ในอนาคต อาจจะได้เห็นเซียนที่เป็นผู้หญิงก็ได้ นี่รวมถึงตลาดหุ้นไทยที่ผมคิดว่า ในที่สุดต้องมี "เซียนหุ้นหญิง" เหมือนกัน

 

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ ^^

ถูกแก้ไข โดย กระต่ายทอง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

spacer.gif index_r4_c2.jpg

 

Inv_KnowProduct_EQ_Technical_r2_c2.jpg spacer.gif

การวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิค (Technical Analysis) เป็นการศึกษาพฤติกรรมของราคาหุ้น หรือพฤติกรรมของตลาดในอดีตโดยใช้หลักสถิติ เพื่อนำมาใช้คาดการณ์พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในอนาคต และช่วยให้ผู้ลงทุนหาจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม โดยข้อมูลหลักที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้แก่ ระดับราคา และปริมาณการซื้อขายหุ้น

ทั้งนี้ ทฤษฎีที่ใช้ในการวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิคมีอยู่อย่างหลากหลาย

ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะทฤษฎีหรือแนวคิดพื้นฐานสำคัญที่ผู้ลงทุนควรทราบ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนในเบื้องต้น Inv_KnowProduct_EQ_Technical_r3_c13.jpg spacer.gif Inv_KnowProduct_EQ_Technical_r4_c2.jpg spacer.gif Inv_KnowProduct_EQ_Technical_r5_c2.jpg spacer.gif Inv_KnowProduct_EQ_Technical_r6_c2.jpg

แนวคิดการวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิคจะอยู่บนสมมติฐาน 3 ประการ คือ...

  • ราคาเป็นผลรวมที่สะท้อนให้ทราบถึงข่าวสารในด้านต่างๆ ทั้งหมดแล้ว
  • ราคาจะเคลื่อนไหวอย่างมีแนวโน้ม และจะคงอยู่ในแนวโน้มนั้นๆ ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง จนกว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มใหม่
  • พฤติกรรมการลงทุนของผู้ลงทุน จะยังคงมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับพฤติกรรมการลงทุนในอดีต

Inv_KnowProduct_EQ_Technical_r6_c20.jpg spacer.gif spacer.gif Inv_KnowProduct_EQ_Technical_r8_c5.jpg spacer.gif spacer.gif Inv_KnowProduct_EQ_Technical_r10_c2.jpg spacer.gif Inv_KnowProduct_EQ_Technical_r11_c2.jpg spacer.gif Inv_KnowProduct_EQ_Technical_r12_c2.jpg spacer.gif Inv_KnowProduct_EQ_Technical_r13_c2.jpg

เป็นการบ่งบอกถึงลักษณะการเคลื่อนไหวโดยรวมของราคาหุ้นภายในช่วงเวลาสั้นๆ ระยะหนึ่ง โดยรูปแบบ

การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นอาจเคลื่อนไหวโดยมีแนวโน้มเป็นเส้นตรงในระยะยาว หรือมีแนวโน้มการเคลื่อนไหวที่

ต่างรูปแบบออกไป ดังต่อไปนี้

  • เส้นแนวโน้มขึ้นเป็นเส้นตรง (Uptrend) ให้จินตนาการเหมือนคุณกำลังเดินขึ้นบันไดก้าวไปสู่ขั้นที่สูงขึ้น
    เปรียบเหมือนหุ้นที่มีแนวโน้มของราคาสูงขึ้น โดยพิจารณาจากคุณลักษณะสำคัญ คือ ราคาหุ้นสูงสุดจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าราคาสูงสุดครั้งก่อน หรือราคาหุ้นต่ำสุดก็จะอยู่สูงกว่าราคาหุ้นต่ำสุดครั้งก่อน นั่นคือ ราคาหุ้น
    เคลื่อนไหวเป็นแนวลาดขึ้น หรือแปลความได้ว่าราคาหุ้นอยู่ในช่วงขาขึ้นนั่นเอง

Inv_KnowProduct_EQ_Technical_r13_c20.jpg spacer.gif spacer.gif Inv_KnowProduct_EQ_Technical_r15_c4.jpg Inv_KnowProduct_EQ_Technical_r15_c7.jpg Inv_KnowProduct_EQ_Technical_r15_c9.jpg spacer.gif

เพื่อเป็นการยืนยันถึงทิศทางแนวโน้มขึ้น ให้ผู้ลงทุนลากเส้นเชื่อมอย่างน้อย 3 จุด เริ่มจากจุดที่ 1 ไปจุดที่ 3 โดยให้

ส่วนปลายจุดที่ 3 เลยออกไป หากราคามีการปรับตัวถึงจุดที่ 5 จะเป็นสัญญาณยืนยันของแนวโน้มขึ้น ดังนั้น หากราคามีการปรับตัวลงมาใกล้เส้นแนวโน้มขึ้นอีกครั้งที่จุดที่ 7 จะเป็นจุดที่ผู้ลงทุนควร “ซื้อ” ตามสัญญาณทางเทคนิค

  • เส้นแนวโน้มลงเป็นเส้นตรง (Downtrend) ให้จินตนาการเหมือนคุณกำลังเดินลงบันไดก้าวไปสู่ขั้นที่ต่ำกว่า เปรียบเหมือนหุ้นที่มีแนวโน้มของราคาต่ำลง โดยพิจารณาจากคุณลักษณะสำคัญ คือ ราคาหุ้นต่ำสุดจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าราคาต่ำสุดครั้งก่อน หรือราคาหุ้นสูงสุดก็จะอยู่ต่ำกว่าราคาหุ้นสูงสุดครั้งก่อน นั่นคือ ราคาหุ้น
    เคลื่อนไหวเป็นแนวลาดลง หรือแปลความได้ว่าราคาหุ้นอยู่ในช่วงขาลงนั่นเอง

Inv_KnowProduct_EQ_Technical_r17_c4.jpg Inv_KnowProduct_EQ_Technical_r17_c7.jpg Inv_KnowProduct_EQ_Technical_r17_c9.jpg spacer.gif

เพื่อเป็นการยืนยันถึงทิศทางแนวโน้มลง ให้ผู้ลงทุนลากเส้นเชื่อมจากจุดที่ 1 ไปจุดที่ 3 โดยให้ส่วนปลายของ

จุดที่ 3 เลยออกไป หากราคาหุ้นไม่สามารถข้ามเส้นแนวโน้มลงในจุดที่ 5 ได้จะเป็นสัญญาณยืนยันแนวโน้มลง ดังนั้น

หากราคาหุ้นมีการปรับตัวขึ้นมาใกล้เส้นแนวโน้มลงอีกครั้งที่จุดที่ 7 ผู้ลงทุนควร “ขาย” หุ้น ณ จุดนี้

  • เส้นแนวโน้มไม่เปลี่ยนแปลง หรือแนวโน้มราบ (Sideways) จะแสดงให้เห็นลักษณะการปรับตัวของราคาหุ้นในช่วงแคบๆ อาจกล่าวได้ว่าเป็นช่วงที่มีอุปสงค์และอุปทานในหุ้นนั้นใกล้เคียงกัน กล่าวคือ ราคาหุ้นที่สูงขึ้นครั้งใหม่จะเท่ากับที่เคยสูงขึ้นครั้งก่อน หรือราคาหุ้นต่ำลงครั้งใหม่จะเท่ากับหรือใกล้เคียงกับราคาที่ต่ำลงครั้งก่อน

Inv_KnowProduct_EQ_Technical_r19_c4.jpg Inv_KnowProduct_EQ_Technical_r19_c8.jpg Inv_KnowProduct_EQ_Technical_r19_c10.jpg spacer.gif

หากเห็นได้ชัดว่า หุ้นกำลังเคลื่อนที่ในลักษณะคล้ายฟันปลา แสดงว่าหุ้นนั้นกำลังเคลื่อนที่อยู่ระหว่างจุดยอดและ

ก้นบึ้ง ผู้ลงทุนควรตัดสินใจ “ซื้อ” หุ้นนั้น เมื่อราคาหุ้นอยู่ใกล้เคียงกับก้นบึ้ง แล้วรอ “ขาย” เมื่อราคาเข้าใกล้จุดยอดอีกครั้งหนึ่ง

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ ให้ผู้ลงทุนลากเส้นเชื่อมระหว่างจุดยอดเก่า (จุดที่ 1) ไปยังจุดยอดใหม่ (จุดที่ 3 และ 5) พร้อมทั้งให้ลากเส้นเชื่อมระหว่างก้นบึ้งเก่า (จุดที่ 2) ไปยังก้นบึ้งใหม่ (จุดที่ 4 และ 6) คุณจะเห็นกรอบ

การเคลื่อนที่ของราคาหุ้น ซึ่งนักวิเคราะห์ทางเทคนิคทั่วไปใช้เรียกว่า “แนวรับ – แนวต้าน” (แนวรับ = จุดซื้อ,

แนวต้าน = จุดขาย) Inv_KnowProduct_EQ_Technical_r21_c2.jpg spacer.gif Inv_KnowProduct_EQ_Technical_r22_c2.jpg spacer.gif Inv_KnowProduct_EQ_Technical_r23_c2.jpg spacer.gif Inv_KnowProduct_EQ_Technical_r24_c2.jpg

แนวคิดนี้มีหลักการ คือ เมื่อราคาหุ้นลดลงมาถึง ณ ระดับราคาที่เป็นแนวรับ (Support Level) แล้ว ก็จะมีแรงซื้อเข้ามารองรับ ทำให้ระดับราคาหุ้นมีแนวโน้มที่จะไม่ลดต่ำลง

ในทางตรงกันข้าม เมื่อระดับราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นไปถึง ณ ระดับราคาที่เป็นแนวต้าน (Resistance Level) จะเป็นระดับราคาที่มีแรงขายมาก โดยแรงขายนั้นอาจเพียงพอที่จะหยุดราคาหุ้นไม่ให้สูงไปกว่าระดับราคานี้ได้ Inv_KnowProduct_EQ_Technical_r24_c20.jpg spacer.gif spacer.gif Inv_KnowProduct_EQ_Technical_r26_c6.jpg spacer.gif

โดยทั่วไป ราคาหุ้นจะเคลื่อนไหวจากแนวรับขึ้นไปสู่แนวต้าน และจากแนวต้านลงมาสู่แนวรับ กล่าวคือ เคลื่อนไหว

อยู่ในช่วงระหว่างแนวรับและแนวต้าน และภายหลังช่วงเวลาหนึ่ง ราคาหุ้นอาจสูงขึ้นจนทะลุแนวต้าน หรือลดต่ำลงกว่าแนวรับ

เทคนิคการลงทุน คือ ควรพิจารณาซื้อหุ้นเมื่อราคาหุ้นอยู่บริเวณแนวรับ และขายเมื่อราคาหุ้นอยู่บริเวณ

แนวต้าน และควรวิเคราะห์ว่าราคาหุ้นกำลังจะเคลื่อนไหวทะลุแนวรับหรือแนวต้านเมื่อใด เพื่อที่จะสามารถวางแผน

การลงทุนในระยะต่อไปได้

นอกจากทฤษฎีหรือแนวคิดที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีทฤษฎีหรือแนวคิดอื่นๆ เกี่ยวกับการวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิคที่น่าสนใจอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น...

  • ทฤษฎีดาว (Dow’s Theory)
  • ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages)
  • รูปแบบราคา (Price Pattern)
  • แผนภูมิแท่งเทียน (Candlesticks)
  • แผนภูมิ Point & Figure
  • ดัชนีบ่งชี้ (Indicators)
  • เครื่องมือทางเทคนิคอื่น ฯลฯ

 

ซึ่งผู้ลงทุนสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากหลักสูตรอบรมสัมมนา หรือตามเว็บไซต์ต่างๆ spacer.gif Inv_KnowProduct_EQ_Technical_r28_c2.jpg spacer.gif

กล่าวโดยสรุป... “การวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิค” เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถคาดการณ์ทิศทาง

การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น รวมทั้งสามารถหาจังหวะที่เหมาะสมในการซื้อขายหุ้น หรือระยะเวลาในการถือครองหุ้นได้

ในทางปฏิบัติ ผู้ลงทุนจึงควรวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เพื่อค้นหาหุ้นที่น่าลงทุน ควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ทางเทคนิค

เพื่อหาจังหวะในการเข้าลงทุน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถตัดสินใจลงทุนในหุ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Full Version การวิเคราะห์แนวโน้มก่อนตัดสินใจเทรด

 

ForexExchangeStore > Article

 

 

index_r4_c2.jpg

 

Inv_KnowProduct_EQ_Technical_r2_c2.jpgspacer.gif

 

 

Wow มีเทคนิคการวิเคราะห์ที่มีประโยชน์มากๆ ขอบคุณมากๆๆนะคะคุณ ginger^____^ :gd :57

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

photo-4992.jpg

โห ต่าย ๕๕๕๕๕๕ มิน่าใครๆเรียกคุณกระต่ายคนสวย

สวยทุกวันสบายใจดีแต่งตัวแข่งกะหนุ่มน้อยของต่ายไปเลยนะ

532621_454730421254830_866004771_n.jpg

มีความสุข บายใจ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

photo-4992.jpg

โห ต่าย ๕๕๕๕๕๕ มิน่าใครๆเรียกคุณกระต่ายคนสวย

สวยทุกวันสบายใจดีแต่งตัวแข่งกะหนุ่มน้อยของต่ายไปเลยนะ

532621_454730421254830_866004771_n.jpg

มีความสุข บายใจ

 

คุณแม่ยังสาว^___^

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...