ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ginger

หัวใจทองคำกับรอยหยักของสมอง

โพสต์แนะนำ

Inv_KnowProduct_EQ_Overview_r2_c1.jpg spacer.gif

แนวคิดการวิเคราะห์หลักทรัพย์โดยใช้ปัจจัยพื้นฐาน เป็นแนวคิดที่มุ่งวิเคราะห์ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนด อัตราผลตอบแทน ความเสี่ยงจาก

การลงทุน และมูลค่าของหลักทรัพย์ ซึ่งปัจจัยพื้นฐานดังกล่าว ได้แก่ ปัจจัยด้านภาวะเศรษฐกิจ ปัจจัยด้านภาวะอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง และปัจจัยที่เกี่ยวกับผลการดำเนินงาน รวมทั้งฐานะทางเงินของบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์

 

ดังนั้น "การวิเคราะห์หลักทรัพย์โดยใช้ปัจจัยพื้นฐาน" หรือเรียกง่ายๆ ว่า "การวิเคระาห์ปัจจัยพื้นฐาน" จึงเป็นการวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจ

ภาวะอุตสาหกรรม และภาวะบริษัท เพื่อนำมาใช้ในการกำหนดมูลค่าที่แท้จริงของหลักทรัพย์ ซึ่งมีกรอบแนวคิด ดังนี้

Inv_KnowProduct_EQ_Overview_r3_c9.jpg

 

“การวิเคราะห์เศรษฐกิจ” จะเป็นการวิเคราะห์และพยากรณ์แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจในอนาคต ทั้งแนวโน้ม

ระยะยาวและระยะสั้น ทั้งเศรษฐกิจของประเทศและเศรษฐกิจโลก นอกจากนั้น ยังรวมไปถึงการวิเคราะห์วัฏจักรเศรษฐกิจ (Economic Cycle) ดัชนีชี้วัดภาวะเศรษฐกิจในด้านต่างๆ และนโยบายเศรษฐกิจของรัฐ เช่นนโยบายการเงิน นโยบายการคลัง นโยบายการค้าระหว่างประเทศ ว่าจะมีผลกระทบต่อธุรกิจที่ออกหลักทรัพย์ มากน้อยเพียงใด Inv_KnowProduct_EQ_Overview_r6_c15.jpg spacer.gif spacer.gif spacer.gif Inv_KnowProduct_EQ_Overview_r10_c2.jpg Inv_KnowProduct_EQ_Overview_r10_c3.jpg Inv_KnowProduct_EQ_Overview_r10_c12.jpg Inv_KnowProduct_EQ_Overview_r10_c15.jpg spacer.gif Inv_KnowProduct_EQ_Overview_r11_c2.jpg “การวิเคราะห์อุตสาหกรรม” จะเป็นการวิเคราะห์วงจรอุตสาหกรรม (Industry Life Cycle) สภาพการแข่งขันในอุตสาหกรรม ตลอดจนอนาคตของอุตสาหกรรมว่าจะมีแนวโน้มอัตราการเจริญเติบโตอย่างไร ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างด้วยกัน เช่น นโยบายของรัฐบาลที่จะให้การสนับสนุนหรือเป็นอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ โครงสร้าง

การเปลี่ยนแปลงของระบบภาษีของรัฐบาล โครงสร้างของอุตสาหกรรมแต่ละประเภท เป็นต้น Inv_KnowProduct_EQ_Overview_r11_c15.jpg spacer.gif spacer.gif Inv_KnowProduct_EQ_Overview_r15_c3.jpg Inv_KnowProduct_EQ_Overview_r15_c12.jpg Inv_KnowProduct_EQ_Overview_r15_c15.jpg spacer.gif Inv_KnowProduct_EQ_Overview_r16_c2.jpg

 

“การวิเคราะห์บริษัท” เป็นขั้นสุดท้ายของการวิเคราะห์หลักทรัพย์ด้วยปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งเป็นการวิเคราะห์เพื่อคัดเลือกบริษัทที่ควรลงทุน โดยจะเน้นการวิเคราะห์ทั้งเชิงคุณภาพ (Qualitative Analysis) เช่น ประสบการณ์และความน่าเชื่อถือของผู้บริหาร บุคลากร ขีดความสามารถด้านการตลาด การผลิต / การบริการ การวิจัยและพัฒนา

การบริหารและระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร ฯลฯ และการวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative Analysis) ซึ่งจะวิเคราะห์จากงบการเงินทั้งในอดีตและปัจจุบันของบริษัท เพื่อนำมาประมาณการกำไรต่อหุ้นและราคาหุ้นในอนาคต Inv_KnowProduct_EQ_Overview_r16_c15.jpg spacer.gif spacer.gif Inv_KnowProduct_EQ_Overview_r18_c2.jpg spacer.gif Inv_KnowProduct_EQ_Overview_r20_c3.jpg Inv_KnowProduct_EQ_Overview_r20_c15.jpg spacer.gif Inv_KnowProduct_EQ_Overview_r21_c2.jpg Inv_KnowProduct_EQ_Overview_r21_c15.jpg spacer.gif spacer.gif Inv_KnowProduct_EQ_Overview_r23_c6.jpg spacer.gif องค์ประกอบที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจ และวัฏจักรเศรษฐกิจ โดยใช้ตัวชี้วัดต่างๆ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ผลผลิตอุตสาหกรรม ดัชนีราคาผู้ผลิต อัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย อัตรา การว่างงาน ฯลฯ นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ได้แก่ นโยบายการคลัง นโยบายการเงิน และภาพรวมเศรษฐกิจ ตลอดจนความมั่นคง ทางการเมือง และความสงบสุขของประเทศ

spacer.gif Inv_KnowProduct_EQ_Overview_r25_c7.jpg

 

spacer.gif Inv_KnowProduct_EQ_Overview_r26_c4.jpg Inv_KnowProduct_EQ_Overview_r26_c6.jpg Inv_KnowProduct_EQ_Overview_r26_c10.jpg spacer.gif

องค์ประกอบที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ วงจรการขยายตัวของอุตสาหกรรม โครงสร้างการแข่งขันของอุตสาหกรรม ผลกระทบของข้อตกลงระหว่างประเทศ และการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง spacer.gif spacer.gif Inv_KnowProduct_EQ_Overview_r28_c7.jpg

Inv_KnowProduct_EQ_Overview_r29_c6.jpg spacer.gif องค์ประกอบที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ประเภทของบริษัท ลักษณะของบริษัททั้งในเชิงคุณภาพ และ เชิงปริมาณ เช่น ขนาดของบริษัท อัตราการเติบโต นโยบายการบิรหารงาน เป็นต้น รวมถึงผลการดำเนินงาน ฐานะทางการเงิน และกระแสเงินสดของบริษัท

spacer.gif Inv_KnowProduct_EQ_Overview_r31_c4.jpg spacer.gif Inv_KnowProduct_EQ_Overview_r32_c5.jpg spacer.gif Inv_KnowProduct_EQ_Overview_r33_c2.jpg spacer.gif

การวิเคราะห์ดังกล่าวเป็นการวิเคราะห์จากภาพรวมเศรษฐกิจลงมาสู่บริษัทหรือหุ้นเฉพาะตัว เราจึงเรียกการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานตามแนวคิดนี้ว่า

“วิธีวิเคราะห์แบบบนลงล่าง” (Top-Down Approach) กล่าวคือ ใช้ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานมากำหนดขอบเขตการลงทุนให้แคบลง โดยพิจารณาเฉพาะหุ้นที่มีแนวโน้มดี น่าสนใจลงทุน จากนั้นจึงคำนวณมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น แล้วนำมาเปรียบเทียบกับราคาตลาดของหุ้น เพื่อดูว่าราคาตลาดของหุ้นสูงเกินกว่าที่ควรจะเป็น หรือราคาต่ำ น่าซื้อ

 

การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานยังสามารถใช้

“วิธีวิเคราะห์จากล่างขึ้นบน” (Bottom-Up Approach) ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลรายบริษัทก่อน เช่น ข้อมูลจากงบการเงิน เพื่อเสาะหาหุ้นที่มีลักษณะเด่นน่าลงทุนตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้

ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาเปรียบเทียบราคาต่อกำไรต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio : P/E Ratio) ราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (Price to Book Value Ratio : P/BV Ratio) หรืออัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ฯลฯ

หลังจากวิเคราะห์ข้อมูลเจาะลึกรายบริษัทเรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็จะดูแนวโน้มความน่าลงทุนในแง่ของสภาวะแวดล้อมทางอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของหุ้นนั้นๆ

อย่างไรก็ตาม เนื้อหาในหัวข้อนี้จะมุ่งเน้น “วิธีวิเคราะห์แบบบนลงล่าง” เป็นหลัก

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขีดๆเขียนๆ ปีหน้าจะเป็นยังไง หุ้นไทยจะมีอะไรมากระทบ?

 

logowordpress.png

wf_2013_market_outlook_lg-300x168.jpg ไม่ว่าจะเป็นกีฬาประเภทใด การไปให้ถึงคำว่าชัยชนะ สิ่งที่สำคัญที่สุดอันดับต้นๆ ก็คือ “การวางแผน” และแผนนั้นจะเป็นเป็นไปได้หรือไม่ ส่วนหนึ่ง ก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจในจุดอ่อน จุดแข็ง ของตัวเราเอง ซึ่งสามารถตรวจสอบได้จากการย้อนไปดูอดีต หรือหาโค้ชดีๆมาช่วยแนะนำและปรับปรุงพัฒนาตัวเราให้ดียิ่งๆขึ้น ในการลงทุนก็เช่นเดียวกัน การเรียนรู้จากอดีต จะช่วยให้เราสามารถเตรียมพร้อมและวางแผนการลงทุนได้อย่างไม่ประมาท และยิ่งถ้ามี Roadmap ดีๆ โค้ชดีๆอีกด้วยแล้วนั้น มันคือของขวัญดีๆให้เราอุ่นใจในการเดินทางในโลกแห่งการลงทุนใบนี้นะครับ

งั้นขอเล่าอดีต 10 ปีย้อนหลังแบบสั้นๆในหนึ่งย่อหน้าให้ฟังซักเล็กน้อย ถ้าพูดถึงเศรษฐกิจไทยในช่วงเวลาเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา จะพบความจริงที่ว่า เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ต่ำกว่าศักยภาพอยู่พอสมควร หลังจากฟื้นตัวจากวิกฤต 2540-2541 ที่เราโดน Hedge Fund ทุ่มค่าเงิน จนต้องประกาศอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวคัร้งนั้น การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนของไทยเติบโตในระดับที่ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านมาตลอด แต่มาจนกระทั่งถึงปี 2547 พอเศรษฐกิจดูทำท่าจะดีขึ้น เราก็ดันเจอปัญหาการเมืองในประเทศตั้งแต่ปี 2549 รวมถึงวิกฤตครั้งใหม่ที่สหรัฐฯที่เราเรียกกันว่า วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ช่วงปี 2552-2553 ซึ่งจริงๆแล้วในปี 2553 เราก็ยังเจอกับปัญหาความไม่สงบภายในประเทศซึ่งมีมาให้เห็นเรื่อยๆ พอเข้าปี 2554 ญี่ปุ่นก็เจอภัยสึนามิต้นปี เข้าไตรมาส 4 ไทยเราก็ต้องรับมือกับวิกฤตน้ำท่วมอีก มาถึงปี 2555 นี้ ความกังวลกับปัญหาหนี้ยุโรปก็ถึงจุดที่เรียกว่าเกือบแตกหัก เมื่อกรีซเงินหมดคลัง ไม่มีตังค์มารันประเทศต่อ แต่สุดท้ายก็ผ่านไปได้ด้วยเงินช่วยเหลือจากกลุ่ม TROIKA และการเปลี่ยนแปลงผู้นำทางการเมืองในหลายประเทศก็ทำให้ใครหลายคนกังวลว่า ทิศทางการดำเนินนโยบายจะเปลี่ยนไปในทิศทางใดกันแน่ แต่จนถึงวันนี้ เมื่อดูการเคลื่อนไหวของดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ในระยะสั้น หรือระยะกลาง จะมีการเคลื่อนไหวตามข่าวสารและเหตุกาณ์บ้านเมืองที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์อยู่บ้าง แต่เมื่อมองภาพในระยะยาว ต้องบอกว่า ถ้าใครไม่ได้ลงทุนในตลาดหุ้นไทย เท่ากับท่านกำลังเสียโอกาสครั้งใหญ่ในการสร้างผลตอบแทนดี

 

คำถามคือ ทำไมตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา ถึงสามารถฝ่ามรสุมเศรษฐกิจมาได้?

เมื่อลองพิจารณาก็จะพบปัจจัยหลักๆอยู่หลายข้อด้วยกัน

  • หนี้สาธารณะของประเทศอยู่ในระดับต่ำ
  • เงินทุนสำรองต่างประเทศของเรายังเข้มแข็ง
  • ภาคธนาคารและธุรกิจเอกชนมีความแข็งแกร่ง
  • และ การว่างงานอยู่ในระดับต่ำ

โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเราได้ภาคการส่งออกเป็นตัวขับเคลื่อนในการเติบโตได้มาตลอด สาเหตุก็เป็นเพราะปัญหาวิกฤตการเมืองในช่วงที่ผ่านมาฉุดให้อุปสงค์ในประเทศเติบโตในระดับต่ำ

 

ภาพย้อนหลัง 10 ปี กับดัชนีตลาดหลักทรัพย์บ่งบอกได้ชัดว่า บริษัทจดทะเบียนที่คุณภาพดี แข็งแกร่งจริงๆ ไม่ว่าจะเจอปัญหาอุปสรรคใดๆจากทั้งภายนอก และภายในประเทศ ก็สามารถฟันฝ่ามาได้ตลอด ดังนั้นหน้าที่ของนักลงทุนคือ เลือกหาบริษัทเหล่านั้นให้เจอ แล้วก็ถือไป แค่นั้นเอง แต่ถือแล้วจะกำไรมากหรือน้อย ก็คงต้องขึ้นอยู่กับข่าวสารเศรษฐกิจซึ่งจะมากระทบกับราคาหุ้นในระยะสั้น มันเลี่ยงไม่ได้หรอกครับ จะให้หุ้นมันขึ้นอย่างเดียว มันก็ไม่ใช่หุ้นแล้ว อย่าไปหวังอะไรที่ไม่มีทางเกิดขึ้นเลย เชื่อผม

 

แล้วในปี 2556 เศรษฐกิจไทยจะยังดีหรือเปล่า แล้วเราจะยังพึ่งพาการส่งออกได้หรือไม่?

ภาคการส่งออกซึ่งเคยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยดูจะเริ่มชะลอตัวลงแล้วในช่วงปี 2555 ที่ผ่านมา สาเหตุจากปัญหาการที่เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาขยายตัวช้ากว่าที่ธนาคารกลางเองต้องการจะให้เป็น จนทำให้เราได้เห็นมาตรการอัดฉีดเงินเข้าระบบของ Fed ไปแล้วหลายครั้งด้วยกัน โดยครั้งล่าสุดก็เพิ่งต้นเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมานี่เอง อีกทั้งเศรษฐกิจยุโรปเองก็มีหลักฐานหลายอย่างบ่งบอกว่าเศรษฐกิจน่าจะชะลอตัว และไม่มีการเติบโตไปอีกหลายปี ซึ่งเกิดจากมาตรการรัดเข็มขัดเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้เสีย จะยิ่งกดดันให้เศรษฐกิจถดถอย และอัตราการว่างงานคงตัวในระดับสูง เมื่อเห็นเช่นนี้ คำตอบสำหรับคำถามข้างต้นก็คือ ตลาดส่งออกตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ และยุโรป ไม่สามารถเป็นที่พึ่งพาได้อีกต่อไป อย่าไปหวังกับการส่งออกหลังจากนี้เลยครับ ถ้าเป็นผม จะกลับมาดูที่การบริโภคภายในประเทศซึ่งเชื่อเหลือเกินว่าจะเป็นความหวังของไทยในช่วงถัดไปหลังจากนี้อีกยาวทีเดียว

สำหรับปี 2556 นี้ จะเป็นปีที่ยังมีความเสี่ยงที่นักลงทุนยังต้องเผชิญอยู่เช่นเดียวกับปีก่อนๆ เรื่องแรกก็คือ ปัญหาหน้าผาทางการคลัง (Fiscal Cliff) ต่ออายุมาตรการลดหย่อนภาษีและสวัสดิการอื่นๆ ซึ่งมีท่าทีว่าจะยืดเยื้อซักระยะ และฉุดให้เศรษฐกิจสหรัฐฯเองยังไม่ไปไหน

ในขณะที่ยุโรปเอง ก็ยังไม่ได้แก้ปัญหาในเชิงโครงสร้าง ตอนนี้มีการจัดตั้งองค์กรเพื่อกำกับดูแลธนาคาร (A Single Banking Supervisor) เพื่อปูทางสู่การจัดตั้งสหภาพธนาคารยุโรป (European Banking Union) ซึ่งเป็นการขยายรูปแบบการรวมกลุ่มจากเดิมเป็นการรวมตัวด้านการเงิน (Monetary Union) เพียงอย่างเดียว และบอกได้เลยว่า แก้ไม่ง่าย เพราะแต่ละประเทศน่าจะยังคำนึงถึงการสูญเสียอำนาจอธิปไตยหากรวมกันจริง ดังนั้นความหวังของเศรษฐกิจโลกจึงอยู่ที่ “ประเทศจีน”

ถึงแม้จีนจะชะลอตัวทางเศรษฐกิจมาตลอดในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมา แต่ตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุด ก็เริ่มบ่งบอกถึงการกลับมาของจีน และตลาดหุ้นจีนก็ตอบรับด้วยการวิ่งขึ้นไปไม่ต่ำกว่า 15% ในช่วงไตรมาส 4 ปีที่แล้ว หากจีนยังรักษาอัตรการเติบโตได้ในระดับนี้ ก็ถือว่าเป็นปัจจัยบวกที่ดีต่อภาวะการลงทุนมากขึ้น

การเติบโตภายในประเทศของไทยเอง น่าจะเป็นพระเอกหลักสำหรับปี 2556 และการลงทุนภาครัฐจะเริ่มมีบทบาทมากขึ้น ทั้งแผนการใช้จ่ายภาครัฐตามการลงทุนในโครงการบริหารจัดการน้ำ (4 ปี มูลค่า 3.5 แสนล้านบาท) ที่จะเริ่มทยอยดําเนินการได้มากขึ้นในปีหน้านี้ บวกกับการลงทุน Infrastructure ต่างๆ (5 ปีมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านบาท) รวมถึงการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งจะมาช่วยลดผลกระทบจากการส่งออกที่ชะลอตัวต่อเนื่อง สุดท้าย การลงทุนใน 3G ทั้งหมดนี้เป็นการเพิ่มขีดความสามารถของประเทศรองรับการเปิดประชาคมอาเซียน AEC ในอีก 3 ปีข้างหน้าอีกด้วย พูดถึงเรื่อง AEC ส่วนตัวผมก็เห็นด้วยกับนักวิเคราะห์และกูรูหลายสำนักที่มองว่า AEC จะเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในหลายๆมุมให้กับประเทศในแถบอาเซียนในระยะยาวได้จริงๆ ด้วยแรงงานที่มีมาก และทรัพยากรธรรมชาติที่เตรียมนำมาพัฒนาเศรษฐกิจ การเคลื่อนย้ายเงินทุนที่เสรีมากขึ้น สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องนำมาคำนวนเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาลงทุนในทุกๆประเภทอุตสาหกรรมและทุกๆบริษัทก่อนตัดสินใจเอาเข้าพอร์ตนะครับ (สำหรับนักลงทุนระยะสั้น คงไม่จำเป็นมากเท่าไหร่นะ)

จะเห็นว่า ในปี 2556 นักลงทุนอาจจะต้องเผชิญกับสายฝนโปรยที่อาจจะกลายเป็นพายุได้ซักวัน แต่ในขณะเดียวกัน ในวิกฤต ก็ยังมีโอกาสให้เรามองหาอยู่เสมอ จากที่ผมเล่าเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าสิ่งที่เราต่างกังวล ปัญหาหลายปัญหาที่ดูว่ายากจะแก้ไข แต่เศรษฐกิจโลก รวมทั้งเศรษฐกิจไทยเราก็สามารถฟันผ่าและผ่านมาได้ สิ่งนี้จึงเป็นเหมือนเครื่องยืนยันว่า ถ้าเราเข้าใจความเสี่ยง ไม่กลัวจนเอาเงินทั้งก้อนไปดองอยู่ในธนาคาร ไม่โลภมากเอาเงินทั้งหมดยัดเข้าไปในตลาดหุ้นแถมเปิดบัญชี Margin เพิ่ม หวังรวยทางลัด เมื่อนั้นจริงๆโอกาสในการลงทุนก็เปิดรับผู้ที่พร้อมเสมอ

สรุปในมุมมองของผมนะครับ ตลาดหุ้นไทยน่าจะยังพอมี Upside ให้ลงทุนอยู่พอสมควร แต่จากระดับดัชนีวันนี้ที่ 1,37X จุดนั้น ถือว่าตลาดได้สะท้อนมูลค่าของปี 2013 ไปแล้วพอสมควร นั้นแปลว่า ตอนนี้ ดัชนีไม่ได้ราคาถูกแล้ว แต่สำหรับนักลงทุนที่พยายามมองดัชนีตอนนี้เทียบกับอดีต เทียบกับข่าวร้ายที่น่าจะมีตามมา ก็คงมองว่า มันน่าจะเป็นเวลาขาย มากกว่าจะเป็นเวลาซื้อ แต่ผมอยากให้มองถึงแนวโน้มใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นจาก AEC และการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ กับการบริโภคในประเทศที่น่าจะยังขยายตัวได้ดี ก็จะพอเห็นภาพว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ยังอยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง

สำหรับ Fiscal Cliff ยิ่งยืดเยื้อออกไปจะยิ่งไม่ดีต่อใครเลย แต่ดูแล้ว ยืดเยื้อแน่นอน ซึ่งอาจจะชนกับตอนที่หนี้สาธารณะของอเมริกาชน Debt Ceiling พอดี ยิ่งเพิ่มข้อต่อรองให้กับพรรค Republican อีก ดังนั้น จนกว่าจะเห็นแสงสว่างจากการผ่าน Fiscal Cliff ตลาดหุ้นที่ Valuation อยู่ในระดับที่ไม่ถูก (อย่างเช่น ไทย) น่าจะเจอแรงขายจากการปรับพอร์ต และโยกย้ายเงินทุนไปหาตลาดที่มี Margin of Safety สูงกว่า (อย่างเช่น จีน ไต้หวัน) สำหรับยุโรปนั้น ประเทศที่ต้องจับตาคือ สเปน ต้องเอาตัวรอดเป็นไตรมาสๆ มีโอกาสจะเข้าขอความช่วยเหลือจาก Troika เหมือนกรีซ แต่ถ้าเข้าจริง ตลาดน่าจะผ่อนคลายและโล่งอกมากกว่า สำหรับในเอเชีย อินเดียมีสัญญาณฟองสบู่ในอสังหาฯตามติดจีนมาห่างๆ แต่จีนเองก็เหมือนจะหลุดจากการชะลอตัวมาได้แล้ว ดังนั้นในครึ่งปีแรก หุ้นไทยจะผันผวน ไม่น่าจะรีบพุ่งไป 1,500 จุดอย่างที่นักวิเคราะห์มองเป้าปีหน้าได้เร็ว แต่ก็คงไม่ลงหนักมาก (ถ้าไม่มีเหตุการณ์ หรือปัจจัยอะไรใหม่ๆมา surprise เรา) และถ้าสามารถผ่าน Fiscal Cliff ไปได้ ครึ่งปีหลัง ก็ยังมีปัจจัยที่ต้องระวังคือ ประเด็นเรื่องโครงการพัฒนานิวเคลียร์ทั้งในอิหร่าน และเกาหลีเหนือ ที่น่าจะตึงเครียดมากขึ้น อาจทำให้ราคาน้ำมันขยับตัวขึ้น และดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมาด้วย ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วอเมริกาดันไม่โตดีอย่างที่ Fed คิด แล้วมากระทบกับไทยเราอีก กระสุนที่แบงค์ชาติจะใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจก็แทบไม่เหลือ ตอนนั้นก็เหนื่อยแน่นอน ซึ่งขอว่า อย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นนะครับ ลองมองย้อนไปสิ เรื่องร้ายๆตั้งเยอะเรายังผ่านมาได้ โลกก็ไม่ได้แตกปี 2012 ซักหน่อย กับอีแค่ปัญหาเดิมๆซึ่งทุกคนพยายามร่วมกันแก้มาตลอด ทำไมมันจะผ่านไปไม่ได้ จริงไหม หุ้นดีๆยังมี ใครได้ประโยชน์จาก AEC ไปเลือกตัวนั้น

จบแล้วครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ถ้าแก้ไม่ได้ ก็อย่ามาบอกว่าตัวเองเป็น “นักลงทุน”

 

 

ก.ค.

17

 

 

 

 

ถ้าแก้ไม่ได้ ก็อย่ามาบอกว่าตัวเองเป็น “นักลงทุน” (แก้อะไรหว่าาาา??)

ผมเชื่อว่าไม่มีนักลงทุนทั้งหน้าใหม่หรือหน้าเก่าคนไหนไม่รู้วิธีทำกำไรจากตลาดหุ้น!!

เพราะหลักการง่าย ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนประเภทไหน คุณก็ต้อง “ซื้อถูก ขายแพง” ก็แค่นั้นเอง

ถ้าคุณเป็น Value Investor (VI) คุณก็ต้องพยายามมูลค่าที่แท้จริง เพื่อเลือกหุ้นที่ราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่า และเข้าซื้อตอนที่มันยังถูกอยู่ เพื่อไปขายตอนที่ราคามันเกินปัจจัยพื้นฐาน หรือถือไปนั้นหล่ะจนกว่าจะสูญเสียศรัทธาในตัวบริษัท

ถ้าคุณเป็นพวก Trend Follower วิ่งไปตามแนวโน้ว คุณจนต้องไม่สนว่าราคาตอนนั้นมันถูกหรือแพงเมื่อเทียบกับอะไรก็ตาม ที่คุณสนคือ เมื่อมีเงินก้อนใหญ่มาซื้อ เราก็ว่าวิ่งไปตามแนวโน้มที่กำลังก่อตัว และขายเมื่อแนวโน้มนั้นเปลี่ยนไป

ถ้าคุณเป็นนักเทคนิค (Technical Analysis) คุณจะซื้อเมื่อสัญญาณซื้อเกิด และขายเมื่อสัญญาณขายโผล่มาแทน

จะเห็นว่า ไม่ว่าเราเป็นนักลงทุนประเภทไหน ทุกคนต่างเล็งเป้าหมายเหมือนกัน นั้นก็คือ

ซื้อถูก ขายแพง”

ms155495-500x500-300x300.jpg

หลักการลงทุนทั้ง 3 สไตล์ สามารถนำมาประยุกต์ใช้รวมกันได้ไหม?

คำตอบคือ ได้! แต่ต้องอาศัยประสบการณ์ และความชำนาญ ซึ่งไม่ยากเกินความสามารถของใคร

3 ข้อต่อไปนี้ คือ สิ่งที่หากใครก็ตามคิดจะประสบความสำเร็จจากการลงทุน เขาต้องแก้ให้ได้เสียก่อน มิฉะนั้น โอกาสเดินออกจากวงการก่อนเวลาอันควรจะสูงมากทีเดียว

 

เชื่อในทฤษฏีใดทฤษฏีหนึ่งมากเกินไป – ยกตัวอย่างเช่น เป็น VI จ๋าเลย เข้าตลาดในช่วงตลาดขาขึ้น คิดว่าถือไปเรื่อยๆ จะทำให้ตัวเองกลายเป็น ดร.นิเวศน์ 2 แต่สุดท้ายก็กลายเป็นแค่นักลงทุนธรรมดาที่เกือบรวย

คำถามคือ เพราะอะไร? นั้นก็เพราะ Fundamental Analysis ช่วยให้นักลงทุนรู้ว่า อะไรที่น่าลงทุน แต่ Technical Analysis ช่วยให้นักลงทุนรู้ว่า ควรลงทุนมื่อไหร่ หากคุณไม่เปิดใจยอมรับในอีกมุมหนึ่งบ้าง นั้นก็เท่ากับเสียโอกาสในการเรียนรู้ทันที

ยังใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล – ลองพิจารณาย้อนดูอดีตกันครับว่า ตลาดหุ้น ตกเพราะอะไร? หุ้นตกก็ต้องเพราะข่าวร้าย และลองถามตัวเองว่า ตอนที่เราได้ยินข่าวร้าย เรารู้สึกอย่างไร? คนส่วนใหญ่ก็จะเป็นเหมือนกัน ก็คือ เกิดอาการกลัวลองกลับมาดูที่หลักการลงทุนดีๆแล้วคิดใหม่นะครับ ซื้อถูก ขายแพง”

นั้นหมายความว่า คุณต้องทำในสิ่งที่ฝืนใจตัวเอง ต้องเข้าซื้อในตอนที่มีข่าวร้าย ตอนที่คนอื่นเขาขาย คุณถึงจะได้ของถูกมาอยู่ในมือ และเช่นกัน ไม่ใช่เห็นว่า หุ้นวิ่งยาวๆ แล้วกลับไปนึกว่า มันจะไม่มีวันย่อลงมา นี่ก็เข้าข่ายประมาท ความรู้สึกดีกับตลาดขาขึ้น จะเข้ามาบดบังความจริง จนเราลืมนึกไปว่า ราคากับปัจจัยพื้นฐาน มันอาจไม่ได้ไปด้วยกันแล้วก็ได้

ไม่ปรับกลยุทธ์ เมื่อแนวโน้มตลาดเปลี่ยนไป – ข้อนี้ อาจเป็นผลจากข้อ 1 และข้อ 2 มารวมกันด้วย ในช่วงภาวะตลาดขาขึ้น (Bull Market) เงินในพอร์ตของนักลงทุนที่อยู่ในตลาดจะโตขึ้นแบบที่เราไม่ต้องทำอะไร จนบางครั้งทำให้คนที่ไม่ได้ลงทุน เห็นนักลงทุนอย่างเราๆว่าเป็น “อัฉริยะ” แล้วเซียนก็เกิดขึ้นเต็มบ้านเต็มเมือง

แต่ความจริงก็คือ ในตลาดขาขึ้น แม้แต่คุณที่ไม่รู้เรื่องการลงทุนมากที่สุด เขาก็สามารถทำกำไรจากมันได้ แต่ภาวะตลาดที่ทำให้เศรษฐีกลายเป็นยาจกภายในข้ามคืน ก็คือ ช่วงตลาดขาลง (Bear Market) และเพื่อที่จะรับมือกับภาวะตลาดขาลง นักลงทุนจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ของตัวเองตามสภาพตลาด แต่ถ้าคุณวิเคราะห์เจาะลึกมาดีจริง และหุ้นที่คุณถือ มันสามารถทนสภาวะตลาดที่โดนเทขายแรงๆได้ และใจของคุณพร้อมซื้อเพิ่มเมื่อราคามันลงมาถูกเรื่อยๆ ก็ขอให้ระลึกไว้ว่า มันควรเป็นการตัดสินใจ และเป็นการวิเคราะห์ที่คุณเป็นคนวิเคราะห์เอง ไม่ใช่ฟังจากใครต่อใครมา

จาก 3 ข้อผิดพลาดข้างต้น หากนักลงทุนสามารถแก้ไข และพัฒนาตัวเองได้ ผมเชื่อว่า เราก็จะสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่เราวางไว้ได้อย่างแน่นอน

จำไว้นะ “อยากซื้อหุ้นถูกๆ มันมาพร้อมข่าวร้ายเสมอ” อย่าให้อารมณ์มาอยู่เหนือเหตุผล เพราะไม่ว่าจะในชีวิตจริงหรือในโลกการลงทุน อารมณ์ชั่ววูบก็ไม่เคยทำให้ใครได้ดี พัฒนาและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ไปตามสภาพตลาดที่เปลี่ยนไป สิ่งเหล่านี้ จะทำให้คุณเป็นนักลงทุนที่ดีขึ้น

 

โชคดีในการลงทุนครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณนะคะ ginger

ปีเก่า๒๕๕๕กำลังจะลาไป

ปีใหม่๒๕๕๖กำลังจะมา

ขอให้ginger มีความสุขกายใจ สุขภาพแข็งแรงนะคะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

SUNDAY, DECEMBER 27, 2009

 

 

 

Written on 2:38 PM

 

5 ขั่นในการเป็นนักเทรด

 

 

 

 

ขั้นเเรก - ไร้สติเเละไร้คุณสมบัติ

นี้เป็นขั้นเเรกของนักเทรดทุกคนเมื่อคิดที่จะเริ่มเทรด ท่านรู้ว่าการเทรดเป็นการหาเงินที่ดีเพราะท่านได้ยินใครๆก็พูดถึงเรื่องของนักเทรดที่เป็น millionaire เหมือนกับคุณเริ่มคิดที่จะขับรถทุก อย่างดูเหมือนง่ายมันไม่น่าจะยากอะไรขนาดนั้น เหมือนกับการเทรดราคามีเเค่ขึ้นกับลง มันจะมีความลับอะไรกันมากมาย ท่านเลยคิดว่าเทรดเลยดีกว่าไม่น่าจะยาก เเต่เช่นเดียวกับการขับรถเมื่อท่านจับพวงมาลัยครั้งเเรก ท่านถึงได้รู้ว่าท่านไม่รู้อะไรเลย ท่านเปิดออเดอร์มากมาย เเละรับความเสี่ยงสูง พอท่านเปิดซื้อกราฟก็ตกพอท่านสั่งขายกราฟก็ขึ้นเป็นอยู่อย่างนี้ บางทีท่านอาจจะประสบความสำเร็จ นั้นเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด เพราะในสมองของท่านจะคิดว่าการเทรดเป็นเรื่องง่าย เเล้วท่านก็จะเพิ่มความเสี่ยงขึ้น เเละลงเงินมากขึ้นไปอีก ท่านพยายามที่จะเปลี่ยนการจากออเดร์ที่เสียด้วยการดับเบิ้ลเงินลงไปทุกครั้งในการเทรด บางครั้งท่านก็รอดมาได้เเต่ไม่บ่อยครั้งที่จะผ่านมาเเบบไม่เสีย ท่านยังไม่คิดว่าท่านไม่มีความสามารถในการเทรด ขั้นตอนนี้กินเวลาอาทิตย์ถึงสองอาทิตย์ ก่อนที่ท่านจะย้ายไปอีกขั้นนึง

 

ขั้นสอง - มีสติเเต่ขาดคุณสมบัติ

ขั้นตอนสองคือท่านทราบการเทรดนั้นต้องมีการวางเเผน เเละลงมือลงเเรง จิตใต้สำนึกท่านทราบว่าท่านเป็นนักเทรดที่ขาดคุณสมบัติท่านไม่มีทักษะหรือความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในการทำกำไรในตลาดเงิน ท่านเริ่มที่จะหาซื้อระบบการเทรดและ e-book ท่านหาหนังสืออ่านตามเว็บไซต์ทุกที่จากสหรัฐอเมริกาถึงยูเครน ช่วงนี้ท่านเริ่มต้นค้นหาอินดี้หรือระบบศักดิ์สิทธิ์ ขณะนี้ท่านจะย้ายจากระบบไประบบนึง อินดี้นึงไปอินดี้นึง ท่านจะเปลี่ยนจากวิธีนี้วันวิธีนู้นอีกวัน และสัปดาห์โดยสัปดาห์ไม่ใช่มันนานพอที่จะดูว่ามันใช่ได้หรือไม่ เวลาที่ท่านเจออินดี้ตัวใหม่ คุณจะมีความตื้นเต้น เเละคิดว่าอินดี้นี้ ละสุดยอดเเล้ว ท่านจะทดสอบระบบ อัตโนมัติใน Metatrader ท่านจะเล่นกับmoving average, Fibonacci, support และ resistant, Pivots, Fractals, DMI, ADX และอื่นๆ อีกร้อยเเปดในความหวังว่ามันจะเป็นระบบมหัศจรรย์ของท่าน ท่านจะเป็นคนเลือกบนเเละล่างพยายามหาจุดกลับตัวของกราฟและท่านจะพบตัวว่าเองไล่กวดเทรดที่เสีย และยังเพิ่มเงินลงไปเพราะคุณมั่นใจว่าท่านถูก ท่านจะไปอยู่ในเเชทลูมและเห็นว่าคนอื่นๆทำกำไรเเต่ทำไมไม่ใช่ท่านท่านมีปัญหาที่ต้องการคำตอบล้านเเปด บางคำถามเมื่อตัวท่านเองย้อนกลับไปดูตัวท่านเองยังรู้สึกว่าเป็นคำถามที่งี่เง่า แล้วท่านจะถึงจุดที่ท่านคิดว่าคนที่ออกมาบอกว่าได้กำไรทั้งหมดโกหก พวกเขาไม่น่าจะทำไรได้เพราะท่านก็ได้ศึกษาการเทรดมาเเต่ได้เเต่ขาดทุน ท่านก็รู้เท่าเท่ากับที่พวกเขารู้พวกเขาต้องโกหกเเน่เเน่. เเต่ พวกเขาอยู่ในตลาดเทรดทุกวัน และบัญชีของพวกเขาเพิ่มมากขึ้นในขณะที่ของท่านลดลงเรื่อยๆ ท่านจะกลับไปเป็นเเบบวัยรุ่นอีกครั้งนึง – นักเทรดที่มีประสบการเเละสำเร็จให้คำอธิบายบอกเหตูผลบอกวิธีเเบบฟรีๆเเต่ท่านก็ยังดื้อรั้นคิดว่าตัวเองถูกเเละท่านรู้ดีที่สุด ท่านก็ยังดั้นด้นเทรนทั้งที่ทุกคนรอบรอบข้างบอกว่าคุณบ้าไปเเล้วเเต่ท่านคิดว่าท่านรู้ดีกว่า เมื่อท่านจะคิดได้เเล้วจะพยายามเทรดตามคนอื่นเเต่ก็ไม่สำเร็จ.ท่านพยายามจ่ายค่าสัญญาณจากคนอื่น.ท่านก็จะจ่ายเงินให้กูรูคอยบอกเเละสอนไม่ว่ากูรูจะดีหรือไม่ดียังไงท่านก็ยังไม่สำเร็จเพราะท่านยังคิดว่าท่านรู้ดีที่สุด

 

ขั้นนี้อาจจะนานตราบเท่านาน - ในความเป็นจริงเเห่งโลกของความเป็นจริง เเละหลังจากที่พูดคุยกับนักเทรดคนอื่นๆ เเละจากประสบการขั้นนี้อาจจะนานเป็นปีถึงสามปี นี้เป็นขั้นที่นักเทรดถอนตัวถอดใจในการเทรด ประมาณ 60% ของนักเทรดใหม่ถอดใจใน 3 เดือนเเรก – พวกเขาถอดใจเป็นสิ่งที่ดี - ลองคิดดู - ถ้าการเทรดเป้นเรื่องง่ายทุกคนก็รวยกันหมดเเล้วอีก 20% ให้เวลาอีกหนึ่งปีแล้วความหมดหวังในการเสี่ยงจะทำให้บัญชีพวกเขาหมดไปอย่างเเน่นอน

 

สิ่งที่ท่านอาจจะแปลกใจก็คือที่เหลืออีก 20% พวกเขาผ่านได้ประมาณ 3 ปี และเขาก็จะคิดว่าพวกเขาจะปลอดภัยแต่แม้จะผ่าน 3 ปีเเต่เเค่อีกเพียง 5-10% จะทำกำไรได้สมำเสมอ ตัวเลขอันนี้ไม่ได้เกิดมาได้จากอากาศไม่ได้โมเมขึ้นมา หลังจากที่คุณผ่านสามปีได้อย่าพึ่งวางใจ.มีคนเคยเถียงเรื่องเวลาหลายคนทุกทุกคนไม่เคยรอดเกินสามปี.ถ้าท่านคิดว่าท่านรู้ดีลองถามตามบอดร์ดูว่าใครเทรดมาห้าปีเเล้วสามารถที่จะเทรดเต็มความสามารถ 100% บางทีอาจจะมีบางคนเป็นข้อยกเว้น เเต่ที่ผ่านมาไม่เคยเจอเองสักคน ท่านจะค่อยๆ ออกมาจากขั้นนี้ ท่านลงทุนลงเเรงกับมันไปมากกว่าที่ท่านคาดคิด ท่านหมดเงินไปจากบัญชีเป็นสิบครั้งเ เละคิดจะเลิกตั้งหลายครั้งเเต่ท่านไม่เลิกเ พราะมันอยู่ในสายเลือดไปเเล้ว วันนึงในเสี้ยววินาทีท่านก็จะเข้าขั้นที่สาม

 

ขั้นที่สาม – Eureka

ช่วงสุดท้านของขั้นที่สองท่านเริ่มคิดได้ว่ามันไม่ใช่ที่ระบบที่ทำให้เกิดความเเตกต่าง ท่านเริ่มที่จะคิดได้ว่าท่านสามารถทำเงินได้กับเเค่ simple moving average เเละไม่มีอย่างอื่น หากเเต่ว่าความคิดของท่านเ เละการจัดการเงินของท่านเป็นไปอย่างถูกต้อง ท่านเริ่มอ่านหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยาในการเทรด เเละเข้าใจในตัวคาเเรกเตร์ในหนังสือทำให้เกิดความกระจ่าง การกระจ่างนี้เกิดจากสมองของท่านประติดประต่อได้ว่าไม่ว่าใคร ก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าตลาดจะเป็นอย่างไรได้อย่างเเม่นยำในเวลาข้างหน้า ไม่ว่าจะสิบวินาทีหรืออีกยี่สิบนาที ท่านจะเลิกสนใจความคิดของคนอื่น ท่านเริ่มที่จะสร้างระบบของท่านเองเพียงระบบเดียว เเละมีความสุขกับระบบของท่าน เเละท่านเป็นคนกำหนดกะเกณฑ์ความเสี่ยงของตัวเอง ท่านจะเริ่มเทรดเมื่อท่านเห็นว่าท่านมีโอกาสที่จะทำกำไร เเละเมื่อเสียท่านก็ไม่โกรธตัวท่านเอง เพราะท่านรู้ว่าอยู่ในหัวของท่านว่าท่านไม่อาจคาดเดาตลาดได้เเละมันไม่ใช่ความผิดของท่าน เมื่อท่านเทรดเเล้วเเล้วรู้ว่าเสียท่านปิดออเดอร์ เทรดอันต่อไปเเละต่อไปท่านรุ้ว่ามีเปอรเซ็นสำเร็จ เพราะท่านรู้ว่าระบบของท่านสามารถทำกำไรได้ ท่านเลิกที่จะมองเเค่การเทรดเเค่มุมมองของเทรดออเดอร์เดียว ท่านเปลี่ยนมุมมองของท่านเป็นอาทิตย์เเละคิดว่าเทรดผิดครั้งเดียวไม่ได้หมายความว่าระบบของท่านใช่ไม่ได้ ท่านจับไดว่าการเทรดขึ้นอยู่กับสิ่งเดียวคือความสมำเสมอเเละการมีวินัย ท่านเรียนรู้เรื่องการจัดการเงิน เเละความเสี่ยงทุกอย่างเริ่มซึมซับ ท่านมองย้อนกลับไปถึงนักเทรดที่ใหห้ความรู้กับท่าน เเต่ก่อนด้วยความยิ้มเเย้มว่าตอนนั้นท่านยังไม่พร้อมเเต่ตอนนี้พร้อมเเล้ว

 

ขั้นสี่ - มีสติเเละความสามารถ

ท่านทำการเทรดเมื่อระบบของท่านบอก ท่านทำใจยอมรับการเสียได้เหมือนกับท่านได้กำไรจากการเทรด ตอนนี้ท่านปล่อยให้ออเดรที่ทำกำไรทำกำไรถึงที่สุด โดยยอมรับความเสี่ยง เเละรู้ว่าระบบของท่านทำกำไรได้มากกว่าที่เสียไป.เเละเมื่อท่านอยู่ฝั่งที่เสียท่านปิดออเดอร์โดยเจ็็บปวดเล็กน้อยใน account ของท่าน ตอนนี้ท่านถึงจุดที่ท่านเสมอตัวซะส่วนมาก ทุกทุกวันจะมีบางอาทิตย์ที่ท่านได้100 pips เเละสัปดาห์ที่เสีย100 pips เเต่ท่านก็เสมอตัวไม่ขาดทุน ตอนนี้ท่านรู้ว่าท่านเป็นคนตัดสินใจในการเทรดเเละเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องตามระบบของท่านไม่ว่าได้หรือเสีย.ท่านได้รับการยอมรับจากนักเทรดคนอื่นๆ ท่านยังต้องขัดเกลาเเละเช็คการเทรดของท่านอย่างสมำเสมอ ท่านเริ่มที่จะทำเงินได้มากกว่าเสีย ท่านจะเริ่มวันด้วยการได้กำไร 20 pips เเละก็ เสีย 35 pips เเต่ท่านไม่รู้สึกอะไร เพราะท่านรู้ว่าเสียไปเเล้วมันก็จะกลับมาหาท่านอีก ท่านเริ่มที่จะทำกำไรสัปดาร์ต่อสัปดาร์ 20 pipsสัปดาร์นี้ 50 pips สัปดาร์หน้า ขั้นนี้จะประมาณ หกเดือน

 

ขั้นห้า – ไร้สติเเต่มีความสามารถ

ขั้นนี้เหมือนเราขับรถ ทุกวันเราขึ้นรถขับออกไปปโดยสัณชาตญาณ เหมือนกับเราเทรด ท่านเทรดโดยสัญชาตญาณ เทรดเเบบ autopilot ท่านไม่ตื่นเต้นไม่ว่าจะทำได้ 200 pips หรือ 1 pip ท่านเห็นเด็กใหม่ในฟอรั่มเเล้วย้อนคิดไปถึงท่านในอดีตหลายปีมาเเล้ว นี้คือสวรรคของการเทรด – ท่านได้บรรลุโดยการเทรดเเบบไม่ใช่อารมณ์ เเละความรู้สึกมาร่วม Account ของท่านเติบโตขึ้น ท่านเป็นที่รู้จักของนักเทรดทุกคนคอยฟังความเห็นของท่าน เเต่ท่านรู้ว่าบางคนก็ไม่ทำตามเหมือนท่านสมัยก่อน การเทรดเริ่มน่าเบื่อเพราะพอท่านทำอะไรได้ดีหรือเก่งท่านก็จะเริ่มเบื่อไม่มีอะไรมาทำให้ท่านได้รู้สึกเเข่งขัน ท่านเริ่มหายจากห้องสนทนา เเละหาเพื่อนคุยกันรู้เรื่องโดยที่ไม่ผันตามความคิดของท่าน ท่านไม่ได้เปลี่ยนเเปลงระบบ เเต่พัฒนาระบบให้ดีขึ้น ตอนนี้ท่านมีสัญชาตญาณในการเทรด ท่านสามารถเรียกตัวเองได้เต็มปากว่า “forex trader” เเต่ท่านไม่รู้สึกอะไรคิดเเค่มันก็เเค่เป็นอาชีพอาชีพหนึ่ง

 

โปรดจำไว้ว่าเเค่ ห้าเปอรเซ็นของนักเทรดที่สามารถถึงจุดนี้ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความฉลาดหรือความสามารถ เเต่ขึ้นอยู่กับความสามารถที่จะเปลี่ยนความคิดของตัวเอง เเละความหัวเเข็งของท่านได้ไหม เมื่อเวลาที่ท่าได้รับความคิด เเละความรู้ใหม่ๆ ก่อนที่ท่านจะถอดใจ ลองคิดดูว่าท่านจะยอมใช่เวลาไปโรงเรียนกี่ปี ถ้าท่านรู้ว่าตอนจบมามีงานที่ทำเงินได้ล้านนึงต่อปีรออยู่

 

ที่มา : thailandinvestorclub.com

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณนะคะ ginger

ปีเก่า๒๕๕๕กำลังจะลาไป

ปีใหม่๒๕๕๖กำลังจะมา

ขอให้ginger มีความสุขกายใจ สุขภาพแข็งแรงนะคะ

 

ดีจ้า พวงชม กายใจแข็งแรง รู้ทันใจ โชคดี เป็นสุขเสมอนะคะ

222387_334400760000177_1242582750_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

SATURDAY, JANUARY 16, 2010

 

 

 

Written on 2:06 AM

ขั้นที่ 3 ฝึกลากรูปแบบต่างๆ

 

 

 

 

Forex Course by the_greenday

 

บทความนี้เขียนโดย the_greenday จากบอร์ด www.thailandinvestorclub.com

 

หลังจากที่ฝึกหัดการมองเทรนแนวโน้มให้อออกแล้ว ก็เริ่มไปฝึกการมองหา แนวรับ-แนวต้าน รู้จักกันดีแล้วก็เริ่มมองหาจังหวะเข้าซื้อ ขาย ฝึกกันบ่อยๆครับ มองหาให้เจอบ่อยๆ นานๆไปจะทำให้เรามองภาพได้เร็วขึ้นและมองหาจังหวะได้ดีกว่านักลงทุนคนอื่น

 

ต่อไปก็มารู้จักรูปแบบจากการใช้เส้น TRENDLINE ในการลากรูปแบบต่างๆ ที่ฝรั่งเค้าเรียกว่า Chart patterns เราจะมาฝึกลากรูปแบบแรก คือ SYMMETRICAL TRIANGLEเป็นรูปแบบสามเหลี่ยมที่สมดุลกัน ลักษณะจะลากเอียงขาขึ้นและขาลงได้เอียงพอๆ กัน (ดูจากในรูป) ในกรอบสามเหลี่ยมนั่นจะเห็นว่าเปิดกว้างแล้วค่อยๆ เล็กลงจนทำมุมเป็นสามเหลี่ยม เป็นการเล่นราคากันระหว่างแรงซื้อ และแรงขายที่ค่อยๆ บีบตัวจนเกิดรูปแบบดังกล่าว จนกว่าการบีบตัวในกรอบสามเหลี่ยมแคบลง โอกาสที่จะเกิดการระเบิดของราคาก็ยิ่งสูงขึ้น เมื่อทะลุกรอบสามเหลี่ยมได้ (break out) กราฟก็จะกลับมาวิ่งแรงอีกครั้ง (อธิบายแบบง่ายๆ คือ รอให้ราคาซื้อราคาขายวิ่งในกรอบสามเหลี่ยมจากกว้าง แล้วบีบตัวไปแคบทะลุได้เมื่อไหร่แล้วค่อยพิจารณา ซื้อ ขาย (การทะลุได้ คือการระเบิดที่เกิดจากการบีบตัวของราคาซื้อราคาขายนั่นเอง) )

 

 

Symmetrical triangle มีแบบ ขาขึ้น และ ขาลง

และยังสามารถหาเป้าหมาย(target)ของรูปแบบนี้ได้ เป็นเป้าหมายระยะสั้น(ใช้หลักความน่าจะเป็น) (ดูจากรูป)

 

พื้นฐานจากรูปแบบนี้มาจากการรู้จักเทรนขาขึ้น ขาลง ด้านข้าง ลากเป็นก็สามารถหารู้แบบนี้ได้ มักจะเกิดขึ้นให้เห็นบ่อยๆ

 

003_001.gif

 

 

003_002.gif

 

 

003_003.gif

 

 

003_004.gif

 

 

003_005.gif

 

 

003_006.gif

 

 

 

รูปแบบต่อคือ DESCENDING TRIANGLE ขาลง

เป็นรูปแบบสามเหลี่ยมที่สามารถลาก Trendline ได้เทรนขาลงหนึ่งเส้นแล้วลากเส้นตรงในแนวนอนได้อีกหนึ่งเส้น เมื่อลากสองเส้นนี้ได้แล้วก็คือกรอบสามเหลี่ยมของขาลง(descending triangle downtrend ) จากในรูปจะสังเกตุเห็นว่าเมื่อลากกรอบสามเหลี่ยมขาลงได้แล้วจะมีการบีบตัวในกรอบยิ่งแคบมากโอกาสที่จะระเบิดตัวของราคาลงต่อยิ่งมีโอกาสสูงมากขึ้น

 

ส่วนในกรอบสามเหลี่ยมขาลงนั่น จะสังเกตุเห็นของการลากเส้นตรง บางครั้งอาจจะการเกิด double bottom or triple bottom (false) หลอกเกิดขึ้นแล้วราคาดีดตัวลงไปต่อ จะเห็นว่าไม่ว่ารูปแบบและระบบอะไรก็ตามมักมีหลอกให้เห็นเสมอๆเราควรใช้เครื่องมือกรองกราฟหลายๆชั้นเพื่อพาจังหวะที่ดีที่สุดและผิดทางต้องกล้าที่ stop loss

 

003_007.gif

 

 

003_008.gif

 

 

003_009.gif

 

 

 

รูปแบบต่อคือ ASCENDING TRIANGLE ขาขึ้น

เป็น รูปแบบสามเหลี่ยมที่สามารถลาก Trendline ได้เทรนขาขึ้นหนึ่งเส้นแล้วลากเส้นตรงในแนวนอน(ด้านบน)ได้อีกหนึ่งเส้น เมื่อลากสองเส้นนี้ได้แล้วก็คือกรอบสามเหลี่ยมของขาขึ้น(ascending triangle uptrend ) จากในรูปจะสังเกตุเห็นว่าเมื่อลากกรอบสามเหลี่ยมขาขึ้นได้แล้วจะมีการบีบตัว ในกรอบยิ่งแคบมากโอกาสที่จะระเบิดตัวของราคาขึ้นต่อยิ่งมีโอกาสสูงมากขึ้น

 

ส่วนในกรอบสามเหลี่ยมขาขึ้นนั่น จะสังเกตุเห็นของการลากเส้นตรง บางครั้งอาจจะการเกิด double top or triple top (false) หลอกเกิดขึ้นแล้วราคาดีดตัวขึ้นไปต่อได้

003_010.gif

 

 

003_011.gif

 

 

003_012.gif

 

 

 

รูปแบบ WEDGES

 

มีด้วยกัน 2 แบบคือ FALLING WEDGES(เกิด bullish) แบ่งได้อีกสองรูปแบบคือ ในช่วงการเกิดของขาขึ้นและขาลง

RISING WEDGES(เกิด bearish) แบ่งได้อีกสองรูปแบบคือ ในช่วงการเกิดของขาขึ้นและขาลง

 

FALLING WEDGES(เกิด bullish)ของในช่วงขาขึ้นจะสามารถลากกรอบสามเหลี่ยมได้ในช่วงเทรนขาขึ้น(ช่วงพักตัวของเทรนขาขึ้น)เมื่อทะลุกรอบสามเหลี่ยมขึ้นไปต่อได้คือการเกิด break out ของ FALLING WEDGE IN AN UPTREND (BULLISH)แล้วจะวิ่งขึ้นไปต่อ

 

FALLING WEDGES(เกิด bullish)ของในช่วงขาลงจะสามารถลากกรอบสามเหลี่ยมได้ในช่วงเทรนขาลง(ช่วงพักตัวของปลายเทรนขาลง)เมื่อทะลุกรอบสามเหลี่ยมขึ้นไปต่อได้คือการเกิด break out ของ FALLING WEDGE IN A DOWNTREND(BULLISH)แล้วจะวิ่งเปลื่อนทิศจากขาลงไปเป็นขาขึ้น

 

RISING WEDGES(เกิด bearish)ของในช่วงขาขึ้นจะสามารถลากกรอบสามเหลี่ยมได้ในช่วงเทรนขาขึ้น(ช่วงพักตัวของปลายเทรนขาขึ้น)เมื่อทะลุกรอบสามเหลี่ยมลงมาได้คือการเกิด break out ของ RISING WEDGE IN AN UPTREND (BEARISH)แล้วจะวิ่งเปลื่อนทิศจากขาขึ้นไปเป็นขาลง

 

RISING WEDGES(เกิด bearish)ของในช่วงขาลงจะสามารถลากกรอบสามเหลี่ยมได้ในช่วงเทรนขาลง(ช่วงพักตัวของเทรนขาลง)เมื่อทะลุกรอบสามเหลี่ยมลงไปต่อได้คือการเกิด break out ของ RISING WEDGE IN A DOWNTREND (BEARISH) แล้วจะวิ่งลงไปต่อ

 

003_013.gif

 

 

003_014.gif

 

 

003_015.gif

 

 

003_016.gif

 

 

003_017.gif

 

 

003_018.gif

 

 

 

รูปแบบ RECTANGLES

 

มีรูปแบบด้วยกัน 2 แบบ คือ RECTANGLE UPTREND (เกิด bullish)

เป็นรูปแบบเส้นขนานกันสองเส้นในแนวโน้มขาขึ้น(ช่วงพักตัว)เมื่อลากกรอบเส้นขนานได้แล้วหลุดกรอบได้เกิด break out แล้วขึ้นต่อ

 

 

RECTANGLE DOWNTREND (เกิด bearish)

เป็นรูปแบบเส้นขนานกันสองเส้นในแนวโน้มขาลง(ช่วงพักตัว)เมื่อลากกรอบเส้นขนานได้แล้วหลุดกรอบได้เกิด break out แล้วลงต่อ

 

003_019.gif

 

 

003_020.gif

 

 

003_021.gif

 

 

003_022.gif

 

 

 

รูปแบบ FLAGS AND PENNANTS

 

รูปแบบ FLAGS จะเป็นรูปแบบ ธง(ขนานด้านข้าง)จะเกิดช่วงพักตัวของแนวโน้ม มี 2 แบบคือ

 

ขาขึ้น(uptrend)เมื่อเราลากเส้น trendlind ได้รูป ธง(แบบขนานด้านข้าง) ทะลุขึ้นไปได้เรียกว่า break out วิ่งขึ้นไปต่อ

 

ขาลง(downtrend)เมื่อเราลากเส้น trendlind ได้รูป ธง(แบบขนานด้านข้าง) ทะลุลงไปได้เรียกว่า break out วิ่งลงไปต่อ

 

 

รูปแบบ PENNANTS จะเป็นรูปแบบ ธงสามเหลี่ยม จะเกิดช่วงพักตัวของแนวโน้ม มี 2 แบบคือ

 

ขาขึ้น(uptrend)เมื่อเราลากเส้น trendlind ได้รูป ธงสามเหลี่ยม ทะลุขึ้นไปได้เรียกว่า break out วิ่งขึ้นไปต่อ

 

ขาลง(downtrend)เมื่อเราลากเส้น trendlind ได้รูป ธงสามเหลี่ยม ทะลุลงไปได้เรียกว่า break out วิ่งลงไปต่อ

 

003_023.gif

 

 

003_024.gif

 

 

003_025.gif

 

 

003_026.gif

 

 

003_027.gif

 

 

003_028.gif

 

 

 

รูปแบบ HEAD AND SHOULDERS

 

head and shoulders pattern นั่นจะมี หัว และ ไหล่(ด้านซ้ายและขวา) จะมี head and shoulders ของขาขึ้น และ ขาลง

 

ส่วนใหญ่จะเรียก head and shouldersขาขึ้นว่า หัวตั้ง(ด้านบน) เมื่อเกิดแบบนี้แล้วจะเป็นการกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลงแรงๆเสมอ ลักษณะนี้จะมี หัวอยู่บนสุด และไหล่ทั้งซ้ายและขวาต้องไม่สูงกว่าหัว ถึงจะเรียกว่า head and shoulders(หัวตั้งด้านบน) เมื่อเกิดแล้วต้องสามารถลากเส้น neckline ได้เพื่อ confirm การลง

 

 

ส่วน head and shouldersขาลง เรียกว่าหัวกลับ(ด้านล่าง) เมื่อเกิดแบบนี้แล้วจะเป็นการกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้นแรงๆเสมอ ลักษณะนี้จะมี หัวอยู่ล่างสุด และไหล่ทั้งซ้ายและขวาต้องไม่สูงกว่าหัว ถึงจะเรียกว่า head and shoulders(หัวกลับด้านล่าง) เมื่อเกิดแล้วต้องสามารถลากเส้น neckline ได้เพื่อ confirm การขึ้น

 

 

ที่สำคัญ หัวต้องอยู่สุงและต่ำกว่าไหล่เสมอๆ ไม่ว่าจะมีไหล่ขวากี่ครั้ง ไหล่ซ้ายกี่ครั้ง แต่หัวต้องสูงกว่าและต่ำกว่าเสมอๆ ถึงจะเรียกว่า head and shouldersของขาขึ้น ขาลงนั่นๆ

 

003_029.gif

 

 

003_030.gif

 

 

003_031.gif

 

 

003_032.gif

 

 

 

รูปแบบ Triple top และ Triple bottom

 

Triple top ลักษณะจะเกิดการทำราคาดีดตัวไปชน แนวต้านที่เดียวกันถึง 3 ครั้ง พยายามทะลุขึ้นไปต่อไม่ได้ก็จะเกิดการกลับตัวลงอย่างแรงจนทะลุเส้น neckline ลงต่อไปได้ก็จะเป็นการเกิด Triple top เพื่อกลับตัวเป็นขาลง

 

 

Triple bottom ลักษณะจะเกิดการทำราคาดีดตัวไปชน แนวต้านที่เดียวกันถึง 3 ครั้ง พยายามทะลุลงไปต่อไม่ได้ก็จะเกิดการกลับตัวขึ้นอย่างแรงจนทะลุเส้น neckline ขึ้นต่อไปได้ก็จะเป็นการเกิด Triple top เพื่อกลับตัวเป็นขาขึ้น

 

003_033.gif

 

 

003_034.gif

 

 

003_035.gif

 

 

003_036.gif

 

 

ขั้นที่ 1 มองแนวโน้มให้ออกก่อน

ขั้นที่ 2 รู้แนวรับ แนวต้าน

ขั้นที่ 4 วัฎจักรของกราฟ

ขั้นที่ 5 เครื่องมือช่วยการยืนยัน

 

 

ที่มา : http://thailandinves...hp?topic=6110.0

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

SATURDAY, JANUARY 16, 2010

 

 

 

Written on 2:06 AM

 

>ขั้นที่ 4 วัฎจักรของกราฟ

 

 

 

 

Forex Course by the_greenday

 

บทความนี้เขียนโดย the_greenday จากบอร์ด www.thailandinvestorclub.com

 

ช่วงเวลาในตลาด forex

 

ตลาด Australian Dollar or AUD เวลาเปิดตรงกับประเทศไทยเวลา 5.00 – 13.00 น.

 

ตลาด Japanese Yen or JPY เวลาเปิดตรงกับประเทศไทยเวลา 7.00 – 14.00 น.

 

ตลาด Euro or EUR เวลาเปิดตรงกับประเทศไทยเวลา 13.00 – 21.00 น.

 

ตลาด British Pound or GBP เวลาเปิดตรงกับประเทศไทยเวลา 14.00 - 22.00 น.

 

ตลาด Swiss Franc or CHF เวลาเปิดตรงกับประเทศไทยเวลา 13.00 – 21.00 น.

 

ตลาด US Dollar or USD เวลาเปิดตรงกับประเทศไทยเวลา 19.00 ถึงเวลาตี 3 ปิดตลาด

 

--------------------------------------------------------------------------------------------

 

ธรรมชาติของสกุลค่าเงินมักจะมีธรรมชาติในตัวมันเองให้เห็นเสมอๆ

การเกิด Cycle วงจรของรอบกราฟ มีธรรมชาติให้เห็นทุกๆ เวลา (TF)

การฝึกมองธรรมชาติของแต่ละสกุลเงินนั่นจะทำให้เข้าใจการวิ่งของค่างเงินนั่นๆและจะเข้าใจการหยุดนิ่งว่าทำไมถึงนิ่ง

การวิ่ง คือ การเกิดแนวโน้ม การนิ่งสวิงไปมาก็ คือ ไม่มีแนวโน้ม (sideway)

 

จุดที่น่าสนใจของการมองหาจังหวะเข้าเทรด นั่นสำคัญมากๆ

โดยจะแบบเป็นรอบที่น่าสนใจเป็น 3 รอบด้วยกันใน 1 วัน

โดยมี 2 รอบที่มักจะวิ่งแรงๆและมีแนวโน้มเหมาะกับการเทรดเสมอๆ คือ ช่วงรอบ 13.00 – 17.00 โดยเฉลี่ยมักจะวิ่งและมีแนวโน้มให้เห็นเสมอๆ

และช่วงรอบ 19.00 – 23.00 โดยเฉลี่ยมักจะวิ่งและมีแนวโน้มให้เห็นเสมอๆ

ส่วนอีก 1 รอบ ที่วิ่งก่อนตลาด Us Dollar จะปิด

รอบ 12.00 – ประมาณตี 1 (แต่การเคลื่อนไหวของราคาบางวันก็ไม่วิ่ง บางวันก็วิ่งแรง )

รอบนี้โดยทั่วไปจะไม่สำคัญเท่า 2 รอบแรก (ฉะนั่นหาเวลาเล่นแค่ 2 รอบตอนแรกต่อวันก็พอแล้ว)

เวลาที่มักจะวิ่งดูได้จากเวลาการเปิดและปิดตลาดของแต่ละสกุลเงินชนกัน และอยู่ในโซนเดียวกันมักจะมีแรงซื้อ แรงขายเข้ามามาก

 

สรุปแล้วเวลาที่เหมาะกับการเทรด

อยู่ระหว่าง 13.00 – 23.00 น. ของโซนตลาด EUR GBP USD สามตลาดนี้มักจะเป็นตัวการสำคัญของการวิ่งและมีแรงซื้อ ขายเข้ามามาก

โดยจังหวะการเข้าเทรด มักจะนิยมเล่นเป็นรอบๆไปคือรอบ เวลา 13.00 – 17.00 โดยประมาณจะวิ่งหนึ่งรอบแล้วถึงมีการพักตัวของกราฟ(ราคาไม่วิ่งไปไหนมาก)

และอีกหนึ่งรอบ ช่วงรอบ 19.00 – 23.00 อีกหนึ่งรอบแล้วถึงเกิดการพักตัวของกราฟ (ราคาไม่วิ่งไปไหนมาก)

 

 

ความสัมพันธ์ของแต่ละ สกุลเงิน ที่นิยมเทรด

 

เริ่มจาก EUR/USD เรียกกันย่อๆว่า Eu

ถ้า Eu ดีดตัวแรงมักจะดึง Ej ไปตามทิศทางเดียวกันด้วยเสมอๆ

 

GBP/USD เรียกย่อๆว่า Gu

ถ้า Gu ดีดตัวแรงมักจะ ดึง Gj ไปตามทิศทางเดียวกันด้วยเสมอๆ

 

EUR/GBP เรียกย่อๆว่า Eg

ถ้า Eg ดีดตัวแรง จะเห็น Gu วิ่งตรงข้ามกับ Eg เสมอๆ

 

USD/JPY เรียกย่อๆว่า Uj

ถ้า Uj ดีดตัวแรงมักจะ Ej และ Gj ไปทิศทางเดียวด้วยเสมอๆ

(โดยเฉพาะถ้า Eu Gu อยู่ในช่วงกราฟนิ่งๆ(sideway) แต่Ujมีแรงวิ่งมาก มักจะดึง Ej Gj ไปแรงๆเสมอๆ )

 

Eu มักจะวิ่งไปทางทิศเดียวกับ Gu เสมอๆ โดยเฉพาะถ้าสองตัวนี้วิ่งไปแนวโน้มเดียวกันจะสังเกตุเห็นว่าวันนั่นตลาดจะเล่นง่าย เพราะเกิดแนวโน้มที่ชัดเจน และจะไปดึงให้สกุลอื่นๆมีแนวโน้มที่ชัดเจนตามด้วยเสมอๆ

 

 

ธรรมชาติของการวิ่ง

 

มักจะเห็นการวิ่งระหว่างช่วง ท้ายชั่วโมง กับ ต้นชั่วโมงเสมอๆ

มักจะวิ่งตอนปลายนาทีระหว่าง นาทีที่45 ถึงต้นชั่วโมงช่วง 15นาทีแรก

และมักจะไปหยุด(พักตัว)วิ่งช่วงระหว่างนาทีที่ 25-40 ของในหนึ่งชั่วโมง โดยประมาณจากการศึกษาธรรมชาติ

 

การวิ่งของสกุลเงินแต่ละตัวนั่น โดยเฉลี่ย 1 สัปดาห์ 5 วันของการเทรด มักจะวิ่งโดยมีแนวโน้มและจับจังหวะไม่ยาก ประมาณ 2-3 วันต่อสัปดาห์แค่นั่น

ที่เหลือส่วนใหญ่จะเป็นช่วง สวิงไปๆมาๆ นิ่งๆไม่ไปไหน

ฉะนั่นในหนึ่งสัปดาห์ต้องวางแผนและมองภาพรวมให้ออกก่อนเสมอๆ

 

ในรอบ 1 เดือนนั่นจะมีให้เทรดทั้งหมด 4 สัปดาห์

ช่วงต้นเดือนมักจะเล่นยากเสมอๆ(กราฟไม่ค่อยไปไหน)

ส่วนช่วงกลางเดือนมักจะมีจังหวะไม่ยาก และปลายเดือนก็มักจะเล่นไม่ยากเช่นกัน

 

ต่อไปก็มาดูกันว่า ว่าธรรมชาติของการวิ่งระดับ

1m 5m 15m 30m 1h 4h 1d ว่าธรรมชาติการวิ่งเป็นอย่างไร

 

 

เริ่มต้นฝีกสังเกตธรรมชาติของกราฟระดับ M1

 

ดูธรรมชาติของจากเริ่มต้นไปถึงสุดทางวิ่งเท่าไหร่

ดูธรรมชาติของเวลาว่าการกินเวลาของช่วงเริ่มต้นไปจนสุดกินเวลาเท่าไหร่

ฝึกดูจังหวะพักตัวมักจะพักตัวที่เวลาไหน นาทีที่เท่าไหร่

ฝึกดูว่าจังหวะไหนเหมาะสมกับการเข้าไปเล่น จังหวะไหนควรรอ

ธรรมชาติของเวลาและการขึ้น การลง มักจะเกิดซ้ำๆให้เห็นบ่อยๆ

(โดยมองหลักความน่าจะเป็นควบตาม)

 

โดยเฉลี่ยระดับการวิ่งของกราฟที่ 1 นาทีวิ่งได้ตั้งแต่ 5 จุด - 100ต้นๆโดยประมาณต้องดูให้ออกก่อนว่าแนวโน้มที่เกิดขึ้นเป็นแบบใหญ่ แบบเล็ก แบบย่อย ต่อหนึ่งรอบการวิ่ง

โดยการกินเวลาจะอยู่ระดับโดยเฉลี่ยที่ สิบนาทีขึ้นไปแต่ไม่เกินสองชั่วโมงต่อหนึ่งรอบการวิ่งของแบบแนวโน้มใหญ่ เล็กและย่อย

 

 

004_001.gif

 

004_002.gif

 

 

 

เริ่มต้นฝึกสังเกตธรรมชาติของกราฟระดับ M5

 

ดูธรรมชาติของจากเริ่มต้นไปถึงสุดทางวิ่งเท่าไหร่

ดูธรรมชาติของเวลาว่าการกินเวลาของช่วงเริ่มต้นไปจนสุดกินเวลาเท่าไหร่

ฝึกดูจังหวะพักตัวมักจะพักตัวที่เวลาไหน นาทีที่เท่าไหร่

ฝึกดูว่าจังหวะไหนเหมาะสมกับการเข้าไปเล่น จังหวะไหนควรรอ

ธรรมชาติของเวลาและการขึ้น การลง มักจะเกิดซ้ำๆให้เห็นบ่อยๆ

(โดยมองหลักความน่าจะเป็นควบตาม)

 

โดยเฉลี่ยระดับการวิ่งของกราฟที่ 5 นาทีวิ่งได้ตั้งแต่ 20 จุด -100 ต้นๆ โดยประมาณต้องดูให้ออกก่อนว่าแนวโน้มที่เกิดขึ้นเป็นแบบใหญ่ แบบเล็ก แบบย่อย ต่อหนึ่งรอบการวิ่ง

โดยการกินเวลาจะอยู่ระดับโดยเฉลี่ยตั้งแต่ ครึ่งชั่วโมงขึ้นไปแต่ไม่เกิน 3-4 ชั่วโมง ต่อหนึ่งรอบการวิ่งของแบบแนวโน้มใหญ่ เล็กและย่อย

 

004_003.gif

 

004_004.gif

 

 

เริ่มต้นฝึกสังเกตธรรมชาติของกราฟระดับ M15

 

ดูธรรมชาติของจากเริ่มต้นไปถึงสุดทางวิ่งเท่าไหร่

ดูธรรมชาติของเวลาว่าการกินเวลาของช่วงเริ่มต้นไปจนสุดกินเวลาเท่าไหร่

ฝึกดูจังหวะพักตัวมักจะพักตัวที่เวลาไหน นาทีที่เท่าไหร่

ฝึกดูว่าจังหวะไหนเหมาะสมกับการเข้าไปเล่น จังหวะไหนควรรอ

ธรรมชาติของเวลาและการขึ้น การลง มักจะเกิดซ้ำๆให้เห็นบ่อยๆ

(โดยมองหลักความน่าจะเป็นควบตาม)

โดยเฉลี่ยระดับการวิ่งของกราฟที่15นาทีวิ่งได้ตั้งแต่ 30 จุดถึง100-200จุด โดยประมาณต้องดูให้ออกก่อนว่าแนวโน้มที่เกิดขึ้นเป็นแบบใหญ่ แบบเล็ก แบบย่อยต่อหนึ่งรอบการวิ่ง

โดยการกินเวลาจะอยู่ระดับโดยเฉลี่ยที่ ครึ่งชั่วโมงขึ้นไปแต่ไม่เกินหนึ่งวันต่อหนึ่งรอบการวิ่งของแบบแนวโน้มใหญ่ เล็กและย่อย

 

004_005.gif

 

004_006.gif

 

 

 

เริ่มต้นฝึกสังเกตธรรมชาติของกราฟระดับ M30

 

ดูธรรมชาติของจากเริ่มต้นไปถึงสุดทางวิ่งเท่าไหร่

ดูธรรมชาติของเวลาว่าการกินเวลาของช่วงเริ่มต้นไปจนสุดกินเวลาเท่าไหร่

ฝึกดูจังหวะพักตัวมักจะพักตัวที่เวลาไหน นาทีที่เท่าไหร่

ฝึกดูว่าจังหวะไหนเหมาะสมกับการเข้าไปเล่น จังหวะไหนควรรอ

ธรรมชาติของเวลาและการขึ้น การลง มักจะเกิดซ้ำๆให้เห็นบ่อยๆ

(โดยมองหลักความน่าจะเป็นควบตาม)

 

โดยเฉลี่ยระดับการวิ่งของกราฟที่ 30 นาทีวิ่งได้ตั้งแต่ 50 จุดขึ้นไปถึง 400 จุด โดยประมาณต้องดูให้ออกก่อนว่าแนวโน้มที่เกิดขึ้นเป็นแบบใหญ่ แบบเล็ก แบบย่อย ต่อหนึ่งรอบการวิ่ง

โดยการกินเวลาจะอยู่ระดับโดยเฉลี่ย 1 วันขึ้นไปแต่ไม่เกิน 5 วันต่อหนึ่งรอบการวิ่งของแบบแนวโน้มใหญ่ เล็กและย่อย

 

004_007.gif

 

004_008.gif

 

 

 

เริ่มต้นฝึกสังเกตธรรมชาติของกราฟระดับ H1

 

ดูธรรมชาติของจากเริ่มต้นไปถึงสุดทางวิ่งเท่าไหร่

ดูธรรมชาติของเวลาว่าการกินเวลาของช่วงเริ่มต้นไปจนสุดกินเวลาเท่าไหร่

ฝึกดูจังหวะพักตัวมักจะพักตัวที่เวลาไหน นาทีที่เท่าไหร่

ฝึกดูว่าจังหวะไหนเหมาะสมกับการเข้าไปเล่น จังหวะไหนควรรอ

ธรรมชาติของเวลาและการขึ้น การลง มักจะเกิดซ้ำๆให้เห็นบ่อยๆ

(โดยมองหลักความน่าจะเป็นควบตาม)

 

โดยเฉลี่ยระดับการวิ่งของกราฟที่ 1 ชั่วโมงวิ่งได้ตั้งแต่ 100 จุดขึ้นไปถึง 600 จุดโดยประมาณต้องดูให้ออกก่อนว่าแนวโน้มที่เกิดขึ้นเป็นแบบใหญ่ แบบเล็ก แบบย่อย ต่อหนึ่งรอบการวิ่ง

โดยการกินเวลาจะอยู่ระดับโดยเฉลี่ย 2 วันขึ้นไปแต่ไม่เกิน 6 วันต่อหนึ่งรอบการวิ่งของแบบแนวโน้มใหญ่ เล็กและย่อย

 

004_009.gif

 

004_010.gif

 

004_011.gif

 

 

 

เริ่มต้นฝึกสังเกตธรรมชาติของกราฟระดับ H4

 

ดูธรรมชาติของจากเริ่มต้นไปถึงสุดทางวิ่งเท่าไหร่

ดูธรรมชาติของเวลาว่าการกินเวลาของช่วงเริ่มต้นไปจนสุดกินเวลาเท่าไหร่

ฝึกดูจังหวะพักตัวมักจะพักตัวที่เวลาไหน นาทีที่เท่าไหร่

ฝึกดูว่าจังหวะไหนเหมาะสมกับการเข้าไปเล่น จังหวะไหนควรรอ

ธรรมชาติของเวลาและการขึ้น การลง มักจะเกิดซ้ำๆให้เห็นบ่อยๆ

(โดยมองหลักความน่าจะเป็นควบตาม)

 

โดยเฉลี่ยระดับการวิ่งของกราฟที่ 4 ชั่วโมงวิ่งได้ตั้งแต่ 200 จุดขึ้นไปถึง 2500 จุดโดยประมาณต้องดูให้ออกก่อนว่าแนวโน้มที่เกิดขึ้นเป็นแบบใหญ่ แบบเล็ก แบบย่อย ต่อหนึ่งรอบการวิ่ง

โดยการกินเวลาจะอยู่ระดับโดยเฉลี่ย 5 วันขึ้นไปจนถึงระดับหนึ่งเดือนต่อหนึ่งรอบการวิ่งของแบบแนวโน้มใหญ่ เล็กและย่อย

 

004_012.gif

 

004_013.gif

 

 

 

เริ่มต้นฝึกสังเกตธรรมชาติของกราฟระดับ D1

 

ดูธรรมชาติของจากเริ่มต้นไปถึงสุดทางวิ่งเท่าไหร่

ดูธรรมชาติของเวลาว่าการกินเวลาของช่วงเริ่มต้นไปจนสุดกินเวลาเท่าไหร่

ฝึกดูจังหวะพักตัวมักจะพักตัวที่เวลาไหน นาทีที่เท่าไหร่

ฝึกดูว่าจังหวะไหนเหมาะสมกับการเข้าไปเล่น จังหวะไหนควรรอ

ธรรมชาติของเวลาและการขึ้น การลง มักจะเกิดซ้ำๆให้เห็นบ่อยๆ

(โดยมองหลักความน่าจะเป็นควบตาม)

 

 

โดยเฉลี่ยระดับการวิ่งของกราฟที่ 1 วันวิ่งได้ตั้งแต่ 500 จุดขึ้นไปถึง 3500 จุดโดยประมาณต้องดูให้ออกก่อนว่าแนวโน้มที่เกิดขึ้นเป็นแบบใหญ่ แบบเล็ก แบบย่อย ต่อหนึ่งรอบการวิ่ง

โดยการกินเวลาจะอยู่ระดับโดยเฉลี่ย 1เดือนขึ้นไปจนถึงระดับ 4 เดือนต่อหนึ่งรอบการวิ่งของแบบแนวโน้มใหญ่ เล็กและย่อย

 

004_014.gif

 

004_015.gif

 

 

ขั้นที่ 1 มองแนวโน้มให้ออกก่อน

ขั้นที่ 2 รู้แนวรับ แนวต้าน

ขั้นที่ 3 ฝึกลากรูปแบบต่างๆ

ขั้นที่ 5 เครื่องมือช่วยการยืนยัน

 

 

ที่มา : http://thailandinves...hp?topic=6743.0

 

ขอบคุณ อ.the_greenday

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

SATURDAY, JANUARY 16, 2010

 

 

 

Written on 2:07 AM

-ขั้นที่ 5 เครื่องมือช่วยการยืนยัน

 

 

Forex Course by the_greenday

บทความนี้เขียนโดย the_greenday จากบอร์ด www.thailandinvestorclub.com

 

 

เริ่มด้วย Macd เรียกเต็มๆว่า Moving Average Convergent Divergent

Macd สามารถบอกแนวโน้มได้ บอกการเกิด Overbought Oversold

และสามารถหาการการเกิด Divergent

Macd ขอยกให้เป็นราชาแห่ง Indicator ใช้ได้ดีกับทุกช่วงเวลา

(Overbought = อยู่ในสภาพที่มีแรงซื้อมากเกินไป อิ่มตัวขาขึ้น แต่ไม่ใช้หมายความว่าเป็นจังหวะขายเสมอๆไป เพราะการอิ่มตัวขาขึ้นกราฟอาจจะวิ่งต่อได้ )

(Oversold = อยู่ในสภาพที่มีแรงขายมากเกินไป อิ่มตัวขาลง แต่ไม่ใช้หมายความว่าเป็นจังหวะซื้อเสมอๆไป เพราะการอิ่มตัวขาลงกราฟอาจจะวิ่งต่อได้เหมือน )

 

Macd คือการใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ใช้หากำลังแนวโน้มของทิศทางว่ามีพลังมากน้อยแค่ไหน ช่วยในการยืนยันของการมองกราฟอีกชั้นเพื่อความถูกต้องและน่าจะเป็นในทิศทางที่่จะเกิดขึ้น

 

การบอกสัญญาณของ Macd

เส้นน้ำเงินตัดแดงขึ้น คือสัญญาณ ซื้อ

เส้นน้ำเงินตัดแดงลง คือสัญญาณ ขาย

สัญญาณที่บอก ซื้อ ที่ชัดเจนขึ้น เมื่อเส้นMacd(น้ำเงินตัดแดงขึ้น) อยู่ต่ำกว่า 0 แล้ววิ่งขึ้นเหนือ 0 ขึ้นไปได้ เป็นสัญญาณที่บอกการ ซื้อ ชัดเจนขึ้น

สัญญาณที่บอก ขาย ที่ชัดเจนขึ้น เมื่อเส้นMacd(น้ำเงินตัดแดงลง) อยู่เหนือ 0 แล้ววิ่งลงต่ำกว่า 0 ลงมาไปได้ เป็นสัญญาณที่บอกการ ขาย ชัดเจนขึ้น

 

ข้อเสียของ Macd

บางครั้งจะให้สัญญาณช้าไป

ไม่เหมาะกับช่วงเกิด Sideway

บางครั้งจะเกิดสัญญาณหลอกเกิดขึ้น

อย่าใช้ Indicator นำการเข้าเทรด ซื้อ ขาย เด็ดขาด (สัญญาณหลอกมีเยอะ)

วิธีใช้ Macd

ให้มอง กราฟเป็นตัวนำเสมอๆ

Macd (เป็นตัวรองเสมอๆ) แค่เป็นตัวช่วยตรวจสอบทิศทาง เพื่อยืนยันทิศทางที่ถูกต้อง

ควรมองกราฟให้ออกก่อนว่าแนวโน้มไปทิศทางเดียวกับ Macd ถึงจะใช้ Macd ช่วยยืนยันทิศทางที่ถูกต้อง

 

005_001.gif

005_002.gif

005_003.gif

 

 

Divergence

เกิดจากการขัดแย้งกัน ระหว่างราคาในกราฟ และ Indicators

เครื่องมือที่เหมาะกับการดู Divergence มักนิยมใช้ Macd , Rsi ส่วน stochastic ดูได้เช่นกันแต่มักจะให้สัญญาณหลอกเยอะเกินไป

 

Bullish Divergence เกิดจากราคาในกราฟ ยังลงต่อ แต่ Macd มีทิศทางขึ้น เริ่มเกิดขัดแย้งกัน ซึ่งเป็นสัญญาณบอกได้ถึงราคาในกราฟจบขาลงและเตรียมกลับทิศเป็นแนวโน้มขาขึ้น (เรียกง่ายๆว่าเริ่มมี สัญญาณแนวโน้มขาขึ้นรอบใหม่)

Bearish Divergence เกิดจากราคาในกราฟ ยังขึ้นต่อ แต่ Macd มีทิศทางลง เริ่มเกิดขัดแย้งกัน ซึ่งเป็นสัญญาณบอกได้ถึงราคาในกราฟจบขาขึ้นและเตรียมกลับทิศเป็นแนวโน้มขาลง (เรียกง่ายๆว่าเริ่มมี สัญญาณแนวโน้มขาลงรอบใหม่)

 

 

Hidden Bullish Divergence

เกิดจากราคาในกราฟเริ่มมีแนวโน้มจากต่ำไปสูงใหม่(higher low ) แต่ Macd มีทิศทางลงแล้วลงต่อ(lower low) เริ่มเกิดขัดแย้งกัน ซึ่งเป็นสัญญาณบอกแนวโน้มของกราฟขึ้นต่อ (เรียกง่ายๆว่าเริ่มมี สัญญาณแนวโน้มขาขึ้นรอบใหม่)

 

Hidden Bearish Divergence

เกิดจากราคาในกราฟเริ่มมีแนวโน้มจากสูงไปต่ำใหม่ (lower high ) แต่ Macd มีทิศทางขึ้นแล้วขึ้นต่อ(higher high) เริ่มเกิดขัดแย้งกัน ซึ่งเป็นสัญญาณบอกแนวโน้มของกราฟลงต่อ (เรียกง่ายๆว่าเริ่มมี สัญญาณแนวโน้มขาลงรอบใหม่)

 

 

Bullish Divergence

Bearish Divergence

สองแบบนี้ บอกถึงการกลับตัวของราคา price reverse

 

Hidden Bullish Divergence

Hidden Bearish Divergence

สองแบบนี้ บอกถึงการวิ่งไปต่อของแนวโน้ม price follow

 

ข้อเสียของ Divergence

บางครั้งจะเกิดการหลอก(false)บ่อยเช่นกัน

ไม่ควรใช้เป็นสัญญาณเข้าเทรด ซื้อ ขาย (ควรดูแนวโน้ม ยืนยันความถูกต้องก่อน)

 

หลักการใช้

ควรดูแนวโน้มของกราฟให้ออกก่อนว่าเป็นทิศทางเดียวกันกับการเกิด Divergence เพื่อยืนยันความถูกต้อง(ไม่โดนหลอก)

การเกิด double top or double bottom ในกราฟหรือใน Indicators ถือว่าเป็นการเกิดสัญญาณ Divergence เช่นกัน

 

ดูสัญญาณตามรูปครับในภาพน่าจะมองง่าย

 

005_004.gif

005_005.gif

005_006.gif

005_007.gif

 

 

การเกิด Bullish Divergence

Bearish Divergence

มักจะเกิดให้เห็นเสมอๆในทุกๆช่วงเวลา บอกได้ถึงการกลับตัวมามีแนวโน้มครั้งใหม่อีกครั้งแต่เพื่อความมั่นใจในความถูกต้องควรใช้เครื่องมืออย่างอื่นช่วยยืนยันด้วย

จะได้ไม่โดนกราฟหลอกครับและบางครั้งมักจะเกิดช่วงเป็น double top double bottom ให้เห็นด้วยเช่นกัน

 

ส่วนการเกิด Hidden Bullish Divergence

Hidden Bearish Divergence สองแบบนี้นานๆครั้งถึงจะเกิดให้เห็น

 

 

005_008.gif

005_009.gif

005_010.gif

005_011.gif

005_012.gif

005_013.gif

 

 

RSI เรียกเต็มๆว่า Relative Strength Index

เป็นเครื่องมือบอกถึงความแข็งแกร่งและบอกการเกิดแนวโน้ม

บอกการเกิด Overbought (อิ่มตัวขาขึ้น) , Oversold (อิ่มตัวขาลง)

บอกการเกิด Divergence ได้เช่นกัน

Rsi เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่นิยมใช้กันมากเช่นกัน

โดยจะแนะนำให้ใช้ค่าเดิม Rsi(14)

 

การดูเส้น Rsi ดูที่ระดับ 30 กับ 70

ต่ำกว่าเส้น 30 คืออยู่ในเขต Oversold ช่วงอิ่มตัวขาลงเป็นช่วงแรงขายมาก

แต่บางครั้งถ้าเทรนแนวโน้มยังคงเป็นขาลงก็ยังไม่สามารถซื้อได้ถ้าเทรนยังลงอยู่

 

เหนือกว่าเส้น 70 คืออยู่ในเขต Overbought ช่วงอิ่มตัวขาขึ้นเป็นช่วงแรงซื้อมาก

แต่บางครั้งถ้าเทรนแนวโน้มยังคงเป็นขาขึ้นก็ยังไม่สามารถขายได้ถ้าเทรนยังขึ้นอยู่

 

 

วิธีใช้ Rsi

ให้มอง กราฟเป็นตัวนำเสมอๆ คือมองแนวโน้มให้ออกก่อน (ไม่ควรใช้ตอน Sideway)

Rsi (เป็นตัวรองเสมอๆ) แค่เป็นตัวช่วยตรวจสอบทิศทาง เพื่อยืนยันทิศทางที่ถูกต้อง

ควรมองกราฟให้ออกก่อนว่าแนวโน้มไปทิศทางเดียวกับ Rsi ถึงจะใช้ Rsi ช่วยยืนยันทิศทางที่ถูกต้อง

 

ข้อเสียของ Rsi

ไม่เหมาะกับช่วงเกิด Sideway

บางครั้งจะเกิดสัญญาณหลอกเกิดขึ้น

อย่าใช้ Indicator นำการเข้าเทรด ซื้อ ขาย เด็ดขาด (สัญญาณหลอกมีเยอะ)

 

ดูตัวอย่างของการใช้Rsi และการเกิด divergence

 

005_014.gif

005_015.gif

005_016.gif

005_017.gif

 

 

Moving Averages เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

โดยจะแนะนำ EMA เรียกว่า Exponential Moving Average

โดยเส้น Ema50 ผู้ใช้ได้ทดลองใช้แล้วคิดว่าลงตัวและใช้ได้ดี (ส่วนใครอยากทดลองใช้เส้นค่าเฉลี่ยอื่นๆก็ได้เช่นกันโดยมองด้วยตาแล้วคิดว่าลงตัวและเหมาะกับนิสัยที่เราเทรด)

เส้นค่าเฉลี่ยสามารถบอกได้ถึง จุดซื้อ จุดขายของการยืนเหนือเส้นและใต้เส้น

และการตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ยสองเส้นบอกการซื้อ และ ขาย

สามารถบอกได้ถึงแนวรับ แนวต้าน เมื่อวิ่งมาชนเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

 

โดยจะเริ่มที่เส้น EMA50

วิธีใช้ ยืนเหนือเส้น buy

ยืนใต้เส้น Sell

ช่วงเกิด Sideway เส้น Ema50จะเกิดการหลอก (งดดูช่วงนี้)

ควรมองแนวโน้มให้ออกก่อนแล้วจึงใช้ Ema50 ยืนยัน

ข้อเสีย

ยังคงมีสัญญาณหลอกเยอะเช่นกันไม่ควรใช้เป็นตัวนำ

ควรใช้เป็นตัวรองช่วยการยืนยันความถูกต้องจะดีกว่า

 

005_018.gif

005_019.gif

005_020.gif

 

 

จากการใช้เส้น Ema 50 เส้นเดียว

เพื่อการซื้อ การขาย ถูกต้องมากขึ้นก็จะเพิ่มเส้น Ema10(ให้สัญญาณเร็วขึ้น)

โดยเส้น Ema10 ตัด Ema50 ขึ้นได้คือสัญญาณ ซื้อ

Ema10 ตัด Ema50 ลงได้คือสัญญาณ ขาย

ข้อเสีย

มีสัญญาณหลอกช่วง Sideway เยอะเช่นกัน

ควรมองแนวโน้มให้ออกก่อนแล้วจึงใช้เส้นค่าเฉลี่ยยืนยันความถูกต้อง

 

(สามารถใช้เส้นค่าเฉลี่ยอื่นๆได้เช่นกันต้องทดสอบดูว่าเหมาะกับนิสัยเราแบบไหนในการเข้าเทรด)

 

005_021.gif

005_022.gif

 

 

ดูระดับเส้นค่าเฉลี่ย Ema

เริ่มจาก ระดับ Ema 5 10 15 20 เป็นเส้นระยะสั้น

ไม่เหมาะกับการใช้โดดเดี่ยวเพราะสัญญาณหลอกจะเยอะครับ เหมาะกับไว้ใช้เส้นตัดการขึ้น ลง ของเส้นระยะกลาง และระยะยาวมากกว่าเพื่อหาการจังหวะเข้าซื้อ ขาย

 

ระดับ 50 75 100 เส้นระดับกลาง

ใช้ได้ดีจุดหลอกจะน้อยลง ดูแนวรับแนวต้านได้เช่นกัน ใช้เส้นเดียวก็ได้ยืนเหนือเส้น ซื้อ ต่ำกว่าเส้น ขาย และเหมาะกับใช้เส้นระยะสั้นผสมยืนยันกัน ซื้อ ขาย

 

ระดับ 150 200 ระยะยาว

เหมาะกับการดูเป็นแนวรับ แนวต้านที่แข็งแรงมากกว่าและเหมาะกับเส้นเดียวเพื่อเล่นระยะยาว ยืนเหนือเส้น ซื้อ ต่ำกว่าเส้น ขาย และไว้ตัดกับระยะสั้นช่วยยืนยันได้

 

เมื่อรู้แล้วว่า เส้นค่าเฉลี่ยจากน้อยไปมาก แบบไหนเหมาะกับเราก็สามารถเอามาต่อยอดกับระบบเราได้

โดยใช้เส้นค่าเฉลี่ยเป็นตัวช่วย ยืนยัน ความถูกต้องของทิศทางนั่นๆ

ข้อเสียของ เส้นค่าเฉลี่ยคือ sideway จะเสียหาย

ข้อดี คือ เมื่อเราเลือกเส้นได้เหมาะสมกับค่าเงินสกุลนั่นๆ เมื่อถูกทางจะกำไรสูง

(ได้เป็นรอบๆของการจบการขึ้น การลง)

 

005_023.gif

005_024.gif

005_025.gif

005_026.gif

005_027.gif

005_028.gif

005_029.gif

005_030.gif

 

 

ทดลองนำเอาเครื่องมือมาร่วมกับ

Macd กับ Ema50

Macd กับ ema50 ตัดกับ ema10

Rsi กับ Ema50

เพื่อยืนยันความถูกต้องของทิศทางได้ดีขึ้น

หลักการ ต้องมองหาแนวโน้มก่อนเสมอๆ แล้วจึงใช้เครื่องมือช่วยยืนยัน

ข้อเสีย sideway (สัญญาณหลอกบ่อย)

(เมื่อรู้แล้วว่า เครื่องมือหลายๆแบบสามารถให้สัญญาณได้ดีช่วงมีแนวโน้ม นักลงทุนก็สามารถเอาไปประยุกต์ตามนิสัยการเทรดของตัวเองให้มั่นใจมากขึ้น)

 

005_031.gif

005_032.gif

005_033.gif

 

 

เริ่มต่อยอดโดย Rsi เส้นเดียวเราจะเพิ่มลูกเล่นโดยการใส่เส้น Ema เข้าไปเพิ่มเพื่อช่วยยืนยันการขึ้น การลง

โดย เส้น Rsi ตัดเส้น Ema ขึ้นไปคือสัญญาณ ซื้อ

เส้น Rsi ตัดเส้น Ema ลงมาคือสัญญาณ ขาย

โดยก็ต้องมองพื้นฐานด้วยเช่นกันว่าแนวโน้มเป็นยังไง เดินทิศทางเดียวกับ เครื่องมือนี้รึเปล่าเพื่อยืนยันการถูกต้อง

จุดอ่อนของ เครื่องมือนี้คือ การ sideway

 

005_034.gif

005_035.gif

005_036.gif

 

 

เครื่องมือที่ช่วยหาเป้าหมาย Fibonacci Retracement

โดยสามารถบอกได้ถึงระดับช่วงพักตัวและการหาเป้าหมาย

 

โดยจะแบ่งเป็นช่วงๆได้ดังนี้

ช่วงจุดพักตัว ระดับของ Fibonacci มักจะอยู่แถวๆระดับ 23.6 38.2 50.0 61.8 78.6 ทั้ง 5 ระดับนี้มักจะเป็นจุดแนวรับ แนวต้านที่ดีของการพักตัว(ทั้งระดับขาขึ้นและขาลง)

 

Fibonacci ใช้หาเป้าหมายในอนาคตนั่นมักจะอยู่แถวๆระดับ 161.8 261.8 423.6 เสมอๆ

 

ผมได้ทดลองใช้มานานพอสมควร จึงแนะนำว่า มีแค่สองหลักง่ายๆแค่นี้ครับ มองระดับการพักตัว และมองหาเป้าหมายตามที่บอก

 

วิธีการลาก Fibonacci Retracement

หาแนวโน้มขาลงให้ลากจาก ต่ำสุดไปหาสูงสุดของแนวโน้มอดีต(ที่จบแนวโน้มนั่นแล้ว)

 

หาแนวโน้มขาขึ้นให้ลากจาก สูงสุดลงมาต่ำสุดของแนวโน้มอดีต(ที่จบแนวโน้มนั่นแล้ว)

 

005_037.gif

005_038.gif

005_039.gif

005_040.gif

 

 

การลากเมื่อพักตัวในระดับ 23.6 38.2 50.0 61.8 78.6 เป็นระดับทดสอบ เมื่อผ่านไปได้ก็จะสามารถเห็นเป้าหมายที่ระดับ 161.8

การพักตัวของแนวโน้มนั่นๆบอกได้ถึงการพักตัว(สะสมแรง)แล้วดีดไปต่อ

 

005_041.gif

005_042.gif

005_043.gif

 

การหาการพักตัวและเป้าหมายขาขึ้น

 

หลักการต้องหมดหลุดแนวโน้มรอบนั่นๆก่อนถึงจะเริ่มลากเพื่อหาเป้าหมาย

 

005_044.gif

005_045.gif

005_046.gif

 

 

การหาการพักตัวและเป้าหมายขาลง

 

หลักการต้องหมดหลุดแนวโน้มรอบนั่นๆก่อนถึงจะเริ่มลากเพื่อหาเป้าหมาย

 

005_047.gif

005_048.gif

005_049.gif

 

 

Fibonacci Retracement นั่นสำหรับมือใหม่อาจจะงงว่าจะลากใหญ่แค่ไหน รอบประมาณไหน ลากแบบใหญ่ ลากแบบกลางๆ ลากแบบเล็ก ทุกแบบบางคนจะลากต่างกัน(ลากๆไปบ่อยๆครับเอาที่จบการขึ้นลงของเก่าแล้ว) สิ่งที่สำคัญคือ ระดับตัวเลขในกรอบนั่น อย่างที่บอกจุดพักตัวมักจะเกิดที่ระดับ 23.6 38.2 50.0 61.8 78.6 จุดเป้าหมายมักจะได้เห็นที่ 161.8 261.8 423.6 เสมอๆ

 

จะให้ตัวเลข Fibonacci ที่มีนัยสำคัญได้และแม่นยำต้องหมดการจบเทรนรอบเก่าแล้วจึงลาก พูดง่ายๆคือจบการขึ้นกราฟกำลังจะลงก็ลากของการขึ้นเพื่อดูตัวเลขตามระดับต่างๆของการลง จบการลงแล้วกราฟกำลังขึ้นก็ลากการลงเพื่อดูตัวเลขตามระดับต่างๆของการขึ้น

 

 

ขั้นที่ 1 มองแนวโน้มให้ออกก่อน

ขั้นที่ 2 รู้แนวรับ แนวต้าน

ขั้นที่ 3 ฝึกลากรูปแบบต่างๆ

ขั้นที่ 4 วัฎจักรของกราฟ

 

 

ที่มา : thailandinvestorclub.com

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สอนเทรด FOREX

 

Identifying The Trend And Using Multiple Time Frames

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบใจ ต่าย

20722_338292472944339_1637354160_n.jpg

:57 จินเจอร์..ปีใหม่ไปไหนรึป่าว..ไม่ไปก็อยู่เป็นเพื่อนกันนะ..ต่ายไม่ได้ไปไหน..

ช่วงเทศกาลเห็นคนมีคู่แล้วอิจฉาคริคริ :17

http://youtu.be/nOrdY-7kC74

ถูกแก้ไข โดย กระต่ายทอง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เจตนาเพียงแค่เรากดเข้ากระทู้ ทิศทางทอง--ตอน thaigold2 เพื่อดูคำอวยพรที่ส่งให้ อ.ทองใหม่เมื่อเช้า..แต่กลับเจอข้อความนี้ส่งมาทาง PM เมื่อซักครู่..พี่พ้องน้องเพื่อน..มีความเห็นว่าอย่างไรกับข้อความนี้คะ..

 

image-21C4_50DD79E1.jpg

เพสตืไว้แต่เช้า คงไม้นึกเพิ่งอ่าน ตะกี้นี้หรอกนะ ฉันรังเกียจเธอไง

ถูกแก้ไข โดย กระต่ายทอง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...