ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ginger

หัวใจทองคำกับรอยหยักของสมอง

โพสต์แนะนำ

เครือข่ายกลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตshared ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ's photo.

 

15421_453453301386773_458539448_n.jpg

 

โรคทางใจที่ตัวใหญ่ๆ มีอยู่ ๓ ตัว คือ โลภ โกรธ หลง โรคนี้ มันกินติดต่อลุกลามถึงคนอื่นด้วย เข้าใกล้ลูกติดลูก เข้าใกล้หลานติดหลาน เข้าใกล้เพื่อนติดเพื่อน เข้าใกล้ใครก็ติดคนนั้น ทำอันตรายทั้งแก่ตนและผู้อื่น

 

โรคที่เล็กหน่อยรองลงมาก็มีอยู่ ๕ ตัว กามฉันทะ พยาปาทะ ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา โรคนี้เปรียบเหมือนโรคขี้กลาก ใจมันหยิบๆ แยบๆ แลบไปโน่นมานี่ อยู่นิ่งไม่ได้ โรคนี้รักษายาก นายแพทย์ก็ไม่สามารถจะเยียวยาได้ นอกจากใช้ พุทธโอสถ

 

แต่โรคที่สำคัญก็มีอยู่ ๒ ตัวเท่านั้น คือ อวิชชา กับ ตัณหา โรคนี้เปรียบเหมือนกับโรควัณโรค เพราะเป็นโรคผู้ดี มองภายนอกไม่ใคร่เห็น หน้าตาก็ดี ผิวพรรณเหลือง แต่ตัวเชื้อโรคมักค่อยๆ เกาะกินอยู่ภายใน โดยเจ้าของไม่รู้สึกตัว โรคนี้มันกินลึกซึ้งมาก กินถึงกระดูก ขั้วปอด ขั้วหัวใจ อวิชชามันแทรกในหัวใจก็ไม่รู้สึกตัว ตัณหามันแทรกอยู่ในหัวใจก็ไม่รูู้สึกตัว โรคอย่างนี้คนกลัวกันมาก เพราะมันร้ายกว่าโรคอย่างอื่น โรค ๒ โรคนี้ไม่มียาอะไรแก้ได้นอกจาก พุทธโอสถ คือ สมาธิ ปัญญา ยาขนานนี้ใช้บำบัดโรคได้อย่างดี มากก็จะเหลือน้อย โรคน้อยก็จะบรรเทา โรคทางใจเป็นเข้าแล้วมันร้ายมาก โรคที่เนื้อที่หนังเขาก็ยังรักษาด้วยยาภายนอกได้

 

หลวงปู่ลี ธมฺมธโร

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณมากคับ คุณป้าจิน หาสิ่งดีๆ มาฝากตลอด

ตั้งแต่วันแรกๆ ที่เห็นห้องนี้ ก้อได้แต่แอดห้องเก็บเอาไว้คับ

แร้วก้อเพิ่งมีโอกาสเข้ามาอ่านในวันนี้ เพราะติดเรื่องเวลา

เด๋วจาไล่อ่านตั้งแต่หน้าแรกเรย แต่เน้นอ่านเกี่ยวกับการเทรดเป็นหลักก่อน

 

สวัสดีปีใหม่คับ คุณป้าจิน...

 

ym2Ij4.gif

ถูกแก้ไข โดย ValentineBoy

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สำหรับเด็กเทคนิค

 

**อ่านเล่น ว่างๆ**

 

1. ตามแนวโน้ม

ศึกษากราฟระยะยาว เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ กราฟ รายเดือน และรายสัปดาห์

ด้วยการดูย้อนหลังหลายปี

ด้วยการทำแบบนี้ จะทำให้มีมุมมอง ระยะยาว ต่อตลาดได้ดีขึ้น

ขณะที่ศึกษา กราฟระยะยาว จบแล้ว ควรศึกษา กราฟรายวัน และ กราฟ เทรดภายในวัน

การดูกราฟระยะสั้นเพียงอย่างเดียวอาจทำให้เกิดความเข้าใจที่ผิดได้

แม้ว่าคุณจะทำการซื้อขาย ในระยะที่สั้นมากๆก็ตามคุณจะซื้อขายหุ้นได้กำไรมากขึ้น

ถ้าคุณซื้้อขายในทิศทางเดียวกับ แนวโน้มระยะกลางและระยะยาว

 

2. พุ่งเป้าไปที่แนวโน้ม และ ไปกับมัน

ตัดสินแนวโน้มและ ซื้อขายตามแนวโน้มตลาด แนวโน้มตลาดแบ่งเป็น สามรูปแบบคือ

ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว

เริ่มแรก ควรที่จะใช้กราฟก่อนที่จะเทรด คุณต้องแน่ใจก่อนว่า

คุณทำตามทิศทางเดียวกับในแนวโน้มตลาดซื้อ เมื่อ แนวโน้มขึ้น ขายเมื่อแนวโน้มลง

 

ถ้าคุณ เทรดในระยะกลาง ควรใช้กราฟ วัน และรายสัปดาห์

ถ้าคุณ เดย์เทรด ควรใช้กราฟ วัน และกราฟการซื้อขายภายในวัน

 

แต่ในแต่ละกรณี ควรใช้กราฟระยะยาวตัดสินแนวโน้ม

และใช้ กราฟระยะสั้น ตัดสิน ช่วงจังหวะเวลาซื้อขาย

 

3.

หาจุดต่ำสุดและสูงสุดของมัน

หาระดับแนวต้านและแนวรับ

 

ตำแหน่งที่ดีสำหรับการซื้อคือซื้อไกล้กับ แนวรับ โดยที่ แนวรับนั้น ไกล้เคียงกับ จุดต่ำสุดของเดิม

ตำแหน่งที่ดีสำหรับการขายคือ ไกล้เคียงกับแนวต้าน (ตีความได้ว่าไม่ใช่แนวต้านพอดี)

แนวต้านปรกติแล้วคือจุดสูงสุดเดิม

 

หลังจากผ่านแนวต้านไปได้ จะทำให้เกิดแนวรับใหม่ตรงจุดที่ผ่านไป หรือจะพูด

อีกอย่างหนึ่งได้ว่า ราคาตรงแนวต้านที่ผ่านไป จะเป็นราคาต่ำสุดใหม่ (แนวรับในอนาคต)

 

ในอีกขณะที่ เมื่อแนวรับถูกทำลาย ราคาตรงตรงนั้นจะกลายเป็น จุดสูงสุดใหม่(แนวต้านในอนาคต)

 

4. เราจะมองย้อนหลังกลับไปอย่างไร

เราจะใช้การวัดเปอร์เซนต์ retracements

การที่ตลาดขึ้นหรือลง โดยปรกติจะเป็นสัดส่วนจาก แนวโน้มเดิม

 

( คำแนะนำทางทฤษฏี

คุณสามารถวัด การเปลี่ยนแปลงได้จาก แนวโน้มที่เป็นอยู่ ใน รูปแบบของ % ง่ายๆ

50% retracements ในแนวโน้มหลัก ถือเป็นระดับปรกติ

ระดับน้อยที่สุด คือ 1 ใน สามของแนวโน้มหลัก

ระดับมากที่สุดคือ 2 ใน 3 ของแนวโน้มหลัก

retracementsแบบ Fibonacci ระดับ 38% และ 62% ก็น่าสนใจ ขณะที่เปลี่ยนเป็นแนวขึ้น

จุดซื้อควรเป็นระดับที่ 33-38)

 

5.ลากเส้น

วาดเส้นแนวโน้ม เส้นแนวโน้ม เป็นหนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดและ

มี ประสิทธิภาพที่สุดในเครื่องมือแบบกราฟ สิ่งที่คุณต้องการคือ

เส้น ตรง 1 เส้น และ จุดสองจุดบน กราฟ เส้นแนวโน้มขึ้นลากจาก จุดต่ำสุด 2 จุด

เส้นแนวโน้มลง ลากจุดจุดสูงสุด 2 จุด ราคา มักจะถูกดึงกลับไปตามแนวโน้ม

ก่อนที่จะไปตามแนวโน้มต่อไป

 

โดยการขึ้นลงผ่านเส้นแนวโน้มนั้นปรกติจะถือว่า เป็นการเปลี่นแนวโน้ม

เส้นแนวโน้มที่ใช้ได้มักจะถูกทดสอบอย่างน้อยสามครั้ง

เส้นแนวโน้มระยะยาว จะมีประสิทธิภาพมาก และ ยิ่งจำนวนครั้งที่

ถูกทดสอบมีมากเท่าไหร่ ความสำคัญก็จะยิ่งมีมากขึ้น

 

6. ตามค่าเฉลี่ย

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะให้ สัญญาณเป้าหมาย ซื้อและขาย ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะบอกคุณ

ว่า แนวโน้มยัง อยู่ ในแนวโน้มเดิม และช่วยในการทำให้แน่ใจ ถึงการเปลี่ยนแนวโน้ม

แม้ว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะไม่สามารถบอกคุณถึงอนาคตล่วงหน้าได้

อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแนวโน้มตามค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจ

 

การผสมผสานของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ สองค่า เป็นวิธีการ ที่เป็นที่นิยมมาก สำหรับใช้หา

สัญญาณ ซื้อและสัญญาณขาย การผสมผสานสัญญาณซื้อขายที่เป็นที่นิยมกันคือ 4 กับ 9 วัน

, 9 กับ 18 วัน , 5 และ 20 วัน จะให้สัญญาณเมื่อ

เส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นตัด ค่าเฉลี่ยระยะยาวกว่าตัวอย่างเช่น

 

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 4 วัน(ระยะสั้น) ตัด เส้น ค่าเฉลี่ย 9 วัน (ระยะยาวกว่า)ขึ้น หมายถึงสัญญาณซื้อ

 

เมื่อราคาตัดสูงขึ้น(สัญญาณซื้อ)หรือต่ำกว่า(สัญญาณขาย)ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 40 วัน

ถือว่า เป็นสัญญาณซื้อขายที่ดี

 

โดยที่ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ จะ เป็นตัวชี้การเป็นไปตามแนวโน้ม,

ซึ่งวิธีการใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เหล่านี้จะดีที่สุดใน ตลาดที่มีแนวโน้มอย่างชัดเจน

 

7. เรียนรู้การเปลี่ยนแนวโน้ม

ตรวจดูเครื่องมือ oscillators ต่างๆ เครื่องมือ oscillators นั้นช่วยในการหา

ตลาดที่เกิดภาวะซื้อมากเกินไป และ ตลาดที่เกิดภาวะขายมากเกินไป

 

ขณะที่ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ให้ความแน่ใจในการเปลี่ยนแนวโน้มตลาด

เครื่องมือ oscillators จะเป็นตัวบอกว่าตลาดจะ ขึ้นหรือลง มากขึ้น หรือ จะกลับตัวในไม่ช้า

ที่เป็นที่นิยมมากคือ Relative Strength Index (RSI) and Stochastics

ทั้งสองค่านี้เป็นที่นิยมใช้ในสเกล 0 ถึง 100

 

ค่า RSI ที่มีค่ามากกว่า 70 ถือว่าเป็นภาวะที่ซื้อมากเกินไป ขณะที่ ถ้าอ่านค่าได้ต่ำกว่า 30

ถือเป็นภาวะที่ขายมากเกินไป

การซื้อหรือขายมากเกินไป สำหรับ Stochastics คือ 80 และ 20

 

ผู้เล่นหุ้นส่วนใหญ่นิยมใช้ค่า 14 วัน หรือ สัปดาห์ สำหรับ stochastics และ 9 หรือ 14 วัน

หรือ สัปดาห์ สำหรับ RSI

เมื่อตัว Oscillator เกิด divergences บ่อยครั้งที่จะแสดงถึงการเปลี่ยนแนวโน้ม

เครื่องมือต่างๆเหล่านี้ใช้ได้ดีสุดในตลาดที่ไม่มีแนวโน้ม สัญญาณรายสัปดาห์

จะใช้ กรอง สัญญาณ รายวัน สัญญาณรายวัน สามารถใช้ในการกรองสัญญาณภายในระหว่างวัน

 

8. เรียนรู้ สัญญาณเตือน

Moving Average Convergence Divergence (MACD) เป็นการรวมระบบ

การตัดกันของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ด้วยการวัด ระดับ ภาวะ ซื้อเกินไป และขายเกินไปด้วย

สัญญาณ ซื้อจะเกิดขึ้นเมื่อ สัญญาณที่เร็วกว่าตัดสัญญาณที่ช้ากว่า และ เส้นทั้งสองเส้นต่ำกว่า 0

 

สัญญาณขายคือ สัญญาณที่ช้ากว่าตัดสัญญาณที่เร็วกว่า และ ค่าทั้งสองค่า มากกว่า 0 สัญญาณราย สัปดาห์ ถือว่ามีความสำคัญเหนือกว่า รายวัน

 

MACD histogram วาดความแตกต่างระหว่างสองเส้นและให้การเตือนก่อนถึง

การเปลี่ยนแนวโน้ม มันถูกเรียกว่า histogram เนื่องจาก ระดับความสูงของแท่ง

แสดงถึงความแตกต่างระหว่างสองเส้นบนกราฟ

 

9 มีแนวโน้ม หรือไม่มีแนวโน้ม

ใช้ ADX เส้น Average Directional Movement Index (ADX) ช่วยให้ตัดสินใจได้ว่า

ตลาดในขณะนั้นมีแนวโน้ม หรือ ไม่มีแนวโน้ม มันวัดถึงระดับการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มและ ทิศทางของตลาด

การเพิ่มขึ้นของเส้น ADX แนะนำถึง การมีแนวโน้มที่มากขึ้น

การลดลงของ ADX แนะนำถึงการ ที่ตลาดไม่มีแนวโน้ม

การเพิ่มของ ADX แสดงให้เห็นว่า ควรใช้ ค่า เฉลี่ยเคลื่อนที่เป็นตัวชี้วัด

การลดลงของ ADX แสดงให้เห็นว่า ควรใช้ค่า oscillators

ด้วยการ ลากทิศทางของเส้น ADX ผู้ซื้อขาย สามารถตัดสินใจ ระหว่าง สไตล์ในการซื้อขาย

และ อะไรเป็นตัวชี้วัดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับภาวะในตลาดในขณะนั้น

 

10 เรียนรู้ถึง การสนับสนุนสัญญาณการซื้อขาย

สิ่งที่สนับสนุนสัญญาณการซื้อขายนั้นประกอบด้วย ปริมาณการซื้อขายรวม

และ ปริมาณการซื้อขายขณะเปิดทำการ เป็นสิ่งที่ สนับสนุนสัญญาณ

การซื้อขายในตลาดล่วงหน้า ปริมาณ การซื้อขายรวมมีความสำคัญมาก่อนราคา

ปริมาณการซื้อขายที่หนาแน่น จะทำให้เชื่อได้ว่า ชักจูงสู่แนวโน้มในขณะที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ปริมาณการซื้อขายรวมควรมากขึ้น การเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายขณะเปิด

เป็นสิ่งที่สนับสนุนว่า เงินใหม่ได้เข้ามาสู่ ชักจูงเข้ามาสุ่แนวโน้ม

การที่ปริมาณซื้อขายขณะเปิดลดลง บ่อยครั้งจะเป็นการเตือนว่า แนวโนมโน้มไกล้จบลง

ราคาที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้นควรมีทั้ง ปริมาณการซื้อขายรวมที่มากขึ้น และ ปริมาณการซื้อขายขณะเปิดทำการ

 

11. การศึกษาทางเทคนิคเป็นทักษะที่ทำให้ดีขึ้นด้วยประสบการณ์และการศึกษา ดังนั้นควรศึกษาและเรียนรู้ตลอดเวลา

 

ที่มา: จากคุณ @Phee Rada

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

 

 

 

 

เหตุเกิด ที่ เส้นค่าเฉลี่ยฯ ภาค 1 : ค่าเฉลี่ยอย่างที่ ใครๆ เขาก็รู้กัน

 

 

 

คนเรา ก็แปลก นะ อยู่ดีๆ ก็เอาหลักการ Demand & Supply เอามา ออกแบบเป็น การประมูลซื้อ-ขาย สินค้า พอมีคนมากๆ มารวมกัน ความต้องการซื้อ ต้องการขาย ก็เริ่มมีหลากหลาย ก็กลายมาเป้น การ จับคู่ราคา ของผู้ที่ต้องการซื้อ กับผู้ที่ต้องการขาย จนพัฒนากลายมา เป็น ระบบ Bid-Offer จากซื้อ-ขาย สิ่งที่จับต้องได้ ก็พัฒนามาเป็น สิ่ง ที่จับต้องไม่ได้ ตลาดจับคู่ราคาแบบนี้ ไม่ได้มี แต่หุ้น แต่มันมี แทบจะทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ราคาสินค้าการเกษตร ราคาอนุพันธ์ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างสกุลเงินต่างๆ ก็ยังเอาไป ทำกันได้ .. เออ ดีจริงๆ

ข้อมูลการจับคู่ซื้อขายต่างๆ ก็มี กูรู คิดค้น นำไปแสดง ให้อยู่ในรูปกราฟ ที่ลักษณะพิเศษ ที่ในช่วงเวลาหนึ่ง แท่งกราฟ 1 แท่ง สามารถมีค่าได้ถึง 4 ค่า นั่นก็คือ Bar Chart และ กูรู ทางเอเชีย ของเรา ก็ไม่น้อยหน้า คิดค้น กราฟแท่งเทียน (Candle Stick) ขึ้นมา ใช้ด้วย

จากนั้นมา ภาพกราฟ ของราคาในตลาดจับคู่ซื้อ-ขาย ต่างๆ ก็กลายเป็นกราฟ หน้าตา นี้กันไปหมด

 

ศึกษาอ่านเรื่องของ กราฟแท่ง (Bar Chart) ได้ที่

<a href="http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irsta01/irsta01-2.htm" style="text-decoration: initial; color: rgb(0, 115, 196);">http://www.taladhoon...1/irsta01-2.htm

และ เรื่องของ กราฟแท่งเทียน (Candle Stick) ได้ที่

http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irsta01/irsta01-4.htm

..

คนเรา มีความคิดสร้างสรรค์ มีจินตนาการ มีนักคิด นักคำนวณ มากมาย คิดค้นทฤษฎี ทางเทคนิค และเครื่องมือต่างๆ ที่จะใช้ดูกราฟ แบบนี้ ออกมากมาย จน คนที่จะใช้เทคนิค ในการเทรด สับสนไปหมดว่า จะให้อะไรดี .. เพื่อนว่า ใช้อันนั้นดี ใช้อันนี้ก็ เยี่ยม .. ตัดสินใจไม่ได้ ก็ ใช้มันหมดเลย

กราฟ ทีดูก็เลย มีอะไร ไม่รู้ เต็มไปหมด บางทีหน้าจอเดียวไม่พอ เปิดจอไป 3-4 จอ จอนึงเป็นกราฟแท่งราคา อีกจอเป็น เป็น เครื่องมือล้วนๆ ใสไปเต็มจอเลย มีทั้ง RSI, MACD, MACD Oscillator, Stochastic, Bollinger Band. etc.. อีกจอเป็นเป็น Ticker วิ่ง ... โอ้ว อะไร กันนั่น

ใช้กันสะเปะสะปะ ไปหมด มึนๆ งง แล้ว ความรู้ก็ตีกันเอง.. สุดท้ายไม่รู้ จะเชื่อสัญญาณ ซื้อขายอันไหนดี

..

แต่บางที เราก็ลืม ที่จะใช้อะไรง่ายๆ ที่จะทำให้ชีวิต ในการเทรด ของเรา ง่ายๆ

ไม่สับสน ซับซ้อน วุ่นวาย

อะไร ง่ายๆ ที่ว่า ก็คือ ค่าเฉลี่ย ..

ใช่แล้ว เรากำลังจะ พูดถึง เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) -- MA นั่นเอง

 

..เฮ้อ!! ... ลำพัง เส้นค่าเฉลี่ยฯ เอง ยังมีคนแย่งกันคิดขึ้นมา ตั้ง 5 แบบ

(อ่านรายละเอียดแต่ละแบบ ได้ที่ http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irsta01/irsta01-5.htm)

.. แล้วจะเลือกใช้กันได้ไหมนะ

..

หลักการของ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ก็เป็นอะไร ที่ง่ายๆ หลักการคำนวณค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบพื้นฐาน ทำได้โดยนำราคาของวันปัจจุบันและวันก่อนหน้านี้มารวมกัน แล้วหารด้วยจำนวนวันที่ต้องการเฉลี่ยทั้งหมด

คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่จะนำข้อมูลมาคำนวณแล้วล่ะ ว่าจะใช้ย้อนหลังไป เท่าใด เช่น MA5 ก็เป็นค่าเฉลี่ยย้อนหลังคราวละ 5 วัน หรือ MA50 ก็ค่าเฉลี่ยย้อนหลังคราวละ 50 วัน เป็นต้น

..และเมื่อเวลาเดินไป มีข้อมูลเกิดขึ้นใหม่ ทุกๆวัน ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง ก็เกิดขึ้นใหม่ ทุกวัน

จึงเรียกว่า "เคลื่อนที่" MOVING นั่นเอง

..

จากบทความข้างต้น ก็จะรู้จัก Moving Average กัน ตั้ง 5 แบบ แต่ละแบบก็มี วิธีการคำนวณค่าเฉลี่ยที่ต่างกัน ที่เป็น ที่นิยม ทั่วไป ก็จะมีให้เห็นใช้กันบ่อยๆ

ก็คือ SMA--Simple Moving Average

และ EMA-- Exponential Moving Average

..

ถึงจะมีวิธีการคำนวณหลากหลายอย่างนััน เวลาใช้งานในการ เทรด เพื่อหาจุดซื้อ จุดขาย จริงๆ ก็ใช้เหมือนกัน คือการใช้ เพื่อหา GOLDEN CROSS และ DEAD CROSS

..

อาการ CROSS ที่ว่า ก็หมายถึง การที่ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (MA) 2 เส้น มีการตัดกัน นั่นเอง โดยทฤษฎี ก็จะใช้ เป็นเส้นที่ มีระยะเวลาเฉลี่ยที่สั้น กับระยะเวลาเฉลี่ยที่ยาว มาใช้ในการ พิจารณา

..

GOLDEN CROSS ก็จะเป็น การตัดกันที่ เส้นค่าเฉลี่ยระยะเวลาสั้น ตัดกับเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว แล้ว ค่าเฉลี่ยระยะสั้นมีค่ามากกว่า เส้นกราฟของค่าเฉลี่ยระยะสั้น จะอยู่สูงกว่า ระยะยาว

เช่น MA75 กับ MA200 เมื่อเกิด GOLDEN CROSS แล้ว MA75 ตัดกับ MA200 แล้ว MA75 จะวิ่งจากด้านล่าง MA200 ตัดขึ้นมาอยู่ เหนือด้านบนของ MA200

GOLDEN CROSS จึงถือว่าเป็น สัญญาณ "ซื้อ"

..

DEAD CROSS ก็จะกลับตรงข้ามกับ Golden Cross คือ เส้นค่าเฉลี่ยระยะเวลาสั้น จะวิ่งจากด้านบน ตัดลงไปอยู่ด้านล่างของกับเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว

 

เช่น MA75 กับ MA200 เมื่อเกิด DEAD CROSS แล้ว MA75 ตัดกับ MA200 แล้ว MA75 จะวิ่งจากด้านบนลงไปอยู่ด้านล่างของเส้น MA200

DEAD CROSS จึงถือว่าเป็น สัญญาณ "ขาย"..

ตัวอย่าง

 

 

จากภาพจะแสดงการเกิด Golden Cross และ Dead Cross ให้เห็น

 

 

WR11-01.jpg

 

 

การตั้งค่าของ เส้นค่าเฉลี่ย ที่ นิยม ใช้กันจะเป็น

5 วัน สำหรับการลงทุน ระยะสั้นมาก

10 วัน สำหรับการลงทุนระยะสั้น

25 วัน สำหรับการลงทุนระยะค่อนข้างกลาง

75 วัน สำหรับการลงทุนระยะกลาง

200 วัน สำหรับการลงทันระยะยาว

..

ใครที่ชอบหาความรู้ ก็ลอง ถาม Google ดูก็ได้ว่า Moving Average มันเป็นยังไง

อาจจะได้ คำตอบ แบบนี้

http://stockcharts.com/school/doku.php?id=chart_school:technical_indicators:moving_averages

 

หรือแบบนี้

http://www.babypips.com/school/moving-average-crossover-trading.html

 

หรือแบบนี้

http://www.swing-trade-stocks.com/moving-averages.html

 

หรืออาจจะเป็น แบบนี้ *** (Recommended)

http://www.informedtrades.com/3754-introduction-simple-exponential-moving-average-ema-forecasting-model-calculation.html

และ

http://www.informedtrades.com/3779-learn-trade-using-moving-averages-part-2-a.html

 

..

สุดท้าย Moving Average ที่ว่ามาเหล่านี้ ก้เป็น เพียง สิ่งที่ ใครๆ เขาก็คงจะรู้

และศึกษาหาความรู้กันได้เอง

แต่ ยังไม่จบ ภาคต่อไป จะเอา เรื่องที่ ได้พบจากการใช้ EMA ในการเทรด จริงๆ มาเล่าให้ฟัง

..

..

ปุกปุย

 

 

บทความแนะนำ

 

  1. ใช้ EMA หา Direction
  2. MACD แบบนี้ ใช้ดีจริงๆ
  3. MACD Behavior Part 1 ; show Direction

 

 

<-- Previous : HEAD and SHOULDERS ; Part 2 ; ตำนาน หัว-หัวไหล่-เข่า-เท้า

Next --> : เหตุเกิดที่เส้นค่าเฉลี่ย ภาค 2 : 5 อัศวิน EMA - ตอนแรก

 

 

 

เขียนโดย Pragasit Thitaram (Pookpui) ที่ 02:03

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

Wave Riders Fan Page

 

WRpage2.jpg

ตามไปคุยกันที่ Wave Riders Fan Page ได้นะครับ click ที่ ภาพเลย

 

 

 

 

วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

 

 

 

 

เหตุเกิดที่เส้นค่าเฉลี่ย ภาค 2: 5 อัศวิน EMA - ตอนแรก

 

จาก blog แรกๆ เคยคุยไว้ถึง direction ใน <a href="http://waveridersclub.blogspot.com/2010/09/direction.html" style="text-decoration: initial; color: rgb(0, 115, 196);">Direction สำคัญนะ จะบอกให้

และก็เคย คุยไว้ถึงการใช้ EMA ใน ใช้ EMA หา Direction. แต่จริงๆ แล้ว EMA หรือ เส้น Exponential Moving Average นั้น ยังมีความสำคัญในการใช้งานอย่างอื่นอีก ซึ่งเปรียบไปก็สามารถเป็น อัศวิน ผู้พิทักษ์ พอร์ทของเราไว้ได้เป็นอย่างดีเลย

การพิทักษ์พอร์ท นั้น 5 อัศวิน EMA ส่วนใหญ่ จะใช้ ช่วยตัดสินใจ ขาย แต่จะ ไม่ช่วย ตัดสินใจ ซื้อ

 

 

แต่ความศักดิ์สิทธิ์ของอัศวินนั้น ต้องมีอายุ ที่เหมาะสม จึงจะใช้ให้ทำงาน ตามหน้าที่ ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยปกติอัศวินที่ถูกนำมาใช้งานบ่อยๆ นั้นจะมี 5 คนด้วยกัน ซึ่งจะมีอายุแตกต่างกันไป

 

อัศวินคนแรก เป็น ภูตตัวน้อย ซุกซน เคลื่อนไหวได้รวดเร็ว อายุ 5-8 แท่งเทียน เท่านั้น คือ สามารถเลือกใช้ระหว่าง EMA5 - EMA8. แต่โดยส่วนตัวชอบใช้ EMA5 มากกว่า ในภาพกราฟ จะใช้เป็น เส้นสีเขียว

 

Bishojo+Navi+-+Green+Angel.jpg

 

มีหน้าที่ บินตามแท่งเทียน เพื่อคอยยืนยัน นิสัยของแท่งเทียนว่ายังดีอยู่ ให้เรามั่นใจอยู่ เสมอว่า พอร์ท ของเรายังมีกำไรอยู่ และแท่งราคายังพร้อมจะเหาะทะยานขึ้นไปได้อีกเรื่อยๆ

ถ้าแท่งเทียน นิสัยดี ภูตน้อยสีเขียว จะอยู่ประคองด้านล่างยกให้ลอยขึ้นไปเรื่อยๆ ดังนั้น แท่งราคา จะแดงจะเขียว อย่าไปสนใจ ตราบใดที่ แท่งราคายังยืน ปิด (Close) อยู่บน EMA5 ได้ ราคานั้นก็พร้อมจะขึ้นไปต่อได้

 

แต่ถ้า แท่งเทียน นิสัย ไม่ดี กลายเป็นมาร สีแดง หัวปักลงมา แท่งเทียนจะอยู่ใต้ เส้น EMA5 ดังนั้นต่อไปนี้ เมื่อ มี อัศวินภูต EMA5 คุ้มครองแล้ว ต่อไปนี้ เลิก ขายหมู กันซะที นะ จ้ะ

..

 

 

EMA5-01.jpg

..

 

อัศวินคนที่สอง เป็น อัศวินที่มีพลังร้อนแรง ที่มีเพลงดาบอันเฉียบขาด มี "CUT-LOSS SWORD" เป็น อาวุธประจำกาย อายุ 12-15 แท่งเทียน คือสามารถเลือกใช้ระหว่าง EMA12 - EMA15. โดยส่วนตัว จะใช้ เป็นEMA15 ในภาพกราฟ จะใช้ เป็นเส้นสีแดง

 

ferd-zelgius.jpg

มีหน้าที่ ในการยับยั้ง การทิ้งตัวของแท่งราคา ใช้เป็นจุดในการตัดสินใจว่า จะถือ (Hold) หรือจะหยุด (Stop Loss)

ถ้า แท่งราคามาที่ EMA15 แล้ว อัศวินแดงกระแทกให้เด้งกลับขึ้นไป ก็ยังพอลุ้นไปต่อได้ แต่ถ้าราคาไปไม่รอด ทิ้งตัวแรง แท่งราคาหลุดลงมาใต้ EMA15แล้ว จะเป็นเวลาที่เราต้องให้ อัศวินแดง (Red Knight) ของเราใช้ CUT-LOSS SWORD ทำการ Stop Loss เพื่อหยุดขาดทุนในทันทีโดยที่ไม่ต้องไปหาเหตุผล ใดๆ ทั้งสิ้น เรียกว่า โหดเข้าไว้ ถ้าผ่านด่าน Red Knight ต้อง ฆ่าก่อน ถามทีหลัง

 

 

 

.

 

 

 

EMA15-01.jpg

..

 

 

อัศวินคนที่สาม เป็น เทพรักษา SPIRIT HEALER ที่ผ่านกาลเวลามาหลายปี อายุ 25 - 35 แท่งเทียน คือสามารถเลือกใช้ระหว่าง EMA25 - EMA35. โดยส่วนตัวจะใช้เป็น EMA35 มากกว่าในภาพกราฟจะใช้เป็น เส้นสีฟ้า

 

 

 

spirit-healer.jpg

มีหน้าที่ ในการโอบอุ้ม รักษาแท่งเทียน ให้สามารถมีกำลัง ฟื้นคืนจากการ อ่อนแรงลงมาได้ประหนึ่งเป็นผู้รักษา (Healer) พยาบาลการบาดเจ็บของแท่งเทียนให้หายจากการบาดเจ็บ

ดังนั้น การที่แท่งเทียนตกเส้นสีแดง EMA15 แล้ว มักจะมาชะลอตัวใกล้ๆ เส้นฟ้า EMA35 เพื่อรวบรวมกำลัง กลับขึ้นไปใหม่ เป็นการพักรอบของชุดคลื่นของแท่งเทียนราคา

แต่หาก แท่งเทียนตกลงมาแล้ว Healer EMA35 ก็รับไม่อยู่ (หมายถึง ใน Day Frame หรือเล็กว่า ตกเส้นต่อเนื่อง 2 แท่ง แต่ถ้าเป็น Week หรือ Month Frame ตกแท่งเดียวก็ได้แล้ว) จะถือว่า แท่งเทียนนั้นบาดเจ็บ เกินจะเยียวยารักษาเสียแล้ว ตายอย่างเดียว ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนเทรนทิศทางระดับกลาง หรือเป็นการจบ wave ชุดหนึ่ง

ถ้าจะให้บอกตรงๆ ก็คือ ถ้าตก EMA15 แล้วขายไม่หมด หรือ เผลอซื้อไปตอนไหน หรือจะอะไรก็ตามแต่ มีหุ้นอยู่ แล้วหุ้นนั้น ตก EMA35 ได้ 2 แท่ง สรุปเลยว่า "โยนทิ้ง" เท่านั้นเป็นทางออกสุดท้าย เพราะว่า ไม่มีทางรักษาแล้ว

...

 

 

 

EMA15-02.jpg

...

ในภาพ จะพบว่า การตกเส้นฟ้า EMA35 เพียงวันเดียว แล้ว เด้ง กลับมายืนได้ ก็ยังลุ้นไปต่อได้

..

แต่ภาพนี้ มีการตกแส้น EMA15 บ่อยมาก ไม่ได้วิ่งอย่างต่อเนื่อง ยาวๆ มักพบว่า ถึงจะเป็นการวิ่งขึ้นของแท่งเทียน แต่จะเป็นการวิ่งขึ้นใน ชิ้นส่วนที่ เป็น Corrective Wave ทำให้ การเทรดทำได้ยากมาก

มือใหม่ ไม่แนะนำให้เข้าไปเล่น ครับ เพราะจะยาก และเข้าออกบ่อยเกินไป

 

..

แต่สำหรับ ชาว VI ที่อยากใช้ กราฟมาช่วย แนะนำให้ ปรับเวลา เป็น WEEK Frame จะช่วยทำให้ ดีขึ้น

ลองดู การใช้ EMA ช่วย VI Trader กันบ้าง เดี๋ยวจะมากบอกว่า ไม่ใช้ สไตล์ เรา มันเข้าออกเร็วเกินไป ชอบถือยาวกินปันผล

สำหรับ คนชอบถือยาวกินปันผล มันก็ต้องมีวันขายหุ้นออกมานะ คงไม่มีใครกอดหุ้นไปจนตายแน่นอน

อย่าลืมตัวครับ ว่า เราเป็นนักลงทุน ต้องลงทุนให้กิจการที่มีผลประกอบการที่ดี ไม่ใช่เจ้าของกิจการที่จะกอดหุ้นไว้ จนกว่าชีวิตจะหาไม่

สำหรับ พวกชอบกอดหุ้น ขอให้ ปรับ เวลาเป็น WEEK Frame ครับ แล้ว มีกฎให้ทำ 3 ข้อ หลังจากซื้อ

(เราบอกแล้วว่า อัศวิน EMA ไม่ช่วยตอนซื้อ แต่ช่วยตอนขาย)

1. ไม่ใช้ ภูตน้อย EMA5

2. ใช้ Red Knight EMA15 ทำหน้าที่ แทน ภูตน้อย EMA5

คือ ตราบใดที่ แท่งราคาไม่อยู่ใต้เส้น EMA15 ก็กอดเขาไว้แน่นๆ

ถ้าแท่งราคา ตกให้เส้น EMA15 อาจจะขาย ลดพอร์ท ลงมาบ้าง ลดความเสี่ยง

3. ใช้ EMA35 ทำหน้าที่ STOP LOSS

ถ้า CLOSE หรือ แท่งราคา เกินครึ่ง แท่ง หลุดลงมาใต้ EMA35 ให้ ทำการ STOP LOSS ด้วยการขายให้หมดให้เร็วที่สุด หรือ เราเรียกว่า "โยนทิ้ง" คือการขายทันที ทุกราคา ไม่มีการตั้งรอเด้ง

เพราะ ทันทีที่ แท่งราคา ลงต่ำว่า EMA35 แท่งราคาจะวิ่งลง อย่างรุนแรงเข้าหา EMA90 อย่างรวดเร็ว

...

 

 

EMA35-03.jpg

...

จากภาพกราฟ มีสัญญาณเข้าซื้อ ตรง 52-55 และจนถึง สุดท้าย 120 กว่า ก็ยังไม่ มีการบอกให้ทิ้ง ตรงไหน เพราะไม่มีการตก EMA35 เลยแม้แต่ สัปดาห์เดียว ถึงจะตก EMA15 บ้าง ก็ เป็นการบอกให้ระวัง หรือ ลดพอร์ท

 

แบบนี้ นักลงทุนระยะกลางถึง ระยะยาว ก็น่าจะเล่นได้ง่ายขึ้น ... ลองดู ครับ

...

รู้จัก 3 อัศวิน กันไปพอสมควรแล้ว สำหรับ อีก 2 อัศวิน ที่เหลือ ค่อนข้างมีการใช้งานที่ ซับซ้อนกว่า

จึงตัดสินใจแยกไป อธิบาย ต่างหาก ดีกว่า สำหรับ บทความนี้ เอาแค่ 3 อัศวินนี้ก่อน

..

มาดูตัวอย่างกันอีก สัก ชุด จะได้เข้าใจ ยิ่งขึ้น

..

 

 

EMA35-02.jpg

 

...

จากภาพ จึงขอเพิ่ม วิธีการเทรด เข้าไป เพื่อให้เห็น ชัดขึ้น ถึงการใช้งานจริงๆ ระหว่างการใช้ Trend Line Break out ประสานกับ EMA ทั้ง 3 เส้น

..

 

EMA15-03.jpg

 

...

สัญญาณ เข้าซื้อ รอบแรก Break out ที่ 22.50 ซื้อที่ 22.75 แต่ว่า 3-4 วันถัดมา ย่อตัวไม่ตกเส้นแดง EMA15 จึง กัดฟันถือไว้ ในที่สุด ตกให้เส้นแดง ที่ 24.75 ก็ขายออกไป รอบนี้ กำไร 2.00

แท่งเทียน วิ่งไปชน เส้นฟ้า EMA35 แล้ว ไม่ตก ได้รับการชุบชีวิต ให้กลับมาใหม่ บอกให้ให้ จับตารอบต่อไป

สัญญาณ เข้าซื้อ มาอีกครั้ง Break out ที่ 25.75-26.00 ซื้อที่ 26.00 คราวนี้ ได้ EMA5 กุมารทองคุ้มครอบไปได้ หลายวัน ไม่ต้องลุ้น ให้เครียด เลย ระหว่างทางมี พักตัวมาทดสอบ เส้นแดง EMA15 อยู่บ้างแต่ CLOSE ของแต่ละวัน ไม่ตก เส้นแดง จึงไม่ขาย

จนขึ้นมาถึง 38.0-39.0 ก็ยังยืนบน EMA5 ได้สบายๆ แต่วันถัดมาราคาก่อนเปิดตลาดโชว์ ไว้ต่ำมาก น่ากลัวจริงๆ ซึ่งในที่สุดก็ OPEN แล้ว ราคาอยู่ใต้ เส้นแดง EMA15 ทันที โยนทิ้งทันที เพื่อ STOP LOSS ที่ 34.0 รอบนี้ จึงกำไร 8.0

..

เป็นเพียง 1 ตัวอย่าง ให้ ลอง เทรด กันดูจะรู้ว่า "รู้งี้" สนุกได้ แบบนี้ ตั้งนานแล้ว .....

..

 

ปุกปุย

....

 

To%252BGreen%252BAngel%252BTower.jpg

เหล่าอัศวิน ผู้กล้า ในตำนานทั้งหลาย ที่คอยปกป้องพิทักษ์รักษา หอคอย (Tower) ปราสาท (Castle) เหล่านั้น ....

เปรียบได้กับเหล่า EMA Knight ทั้งหลาย ที่จะคอยติดตาม ล้อม แท่งเทียน ไว้ตลอดการเดินทาง เพื่อทำหน้าปกป้อง แท่งเทียนศักดิ์สิทธิ์ ของ Portfolio ของเรา ผู้เป็นราชาแห่งการเทรด ได้มีกำไรอย่างยั่งยืนตลอดไป....

 

 

..

 

 

บทความแนะนำ

 

 

 

  1. MACD Behavior Part 1.5 : Signal for Action
  2. Sing a Song : Head-Shoulders-Knee and Toes ; Part 1

<-- Previous : เหตุเกิด ที่ เส้นค่าเฉลี่ยฯ ภาค 1 : ค่าเฉลี่ยอย่างที่ ใครๆ เขาก็รู้กัน

Next --> : เหตุเกิดที่เส้นค่าเฉลี่ย ภาค 2 : 5 อัศวิน EMA - ตอน สอง

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

 

 

 

เหตุเกิดที่เส้นค่าเฉลี่ย ภาค 2 : 5 อัศวิน EMA - ตอน สอง

 

หลังจาก พาไปพบ เพื่อนพ้อง EMA Knight ที่น่าสนใจไปแล้ว ทั้ง 3 คน เหล่า EMA Knight ทั้งสาม นั้น

เป็นกลุ่มกองหน้า ที่จะใช้จริงในสนามรบของการเทรดดิ้ง (Wars of Trading) ซึ่งจริงๆ แล้ว เพียง สามคน นี้ เราก็สามารถ ท่องทะยานไปได้ ทั่วอาณาจักร แล้ว

แต่ในตอนนี้ เราจะ แนะนำให้ รู้จักกับ EMA Knight อีก 2 คน ที่เหลือ ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นกองหลัง คอยดักเก็บพวก หุ้นเลวๆ ทั้งหลาย ที่ทะลุผ่านกองหน้ามาได้

..

 

 

อัศวินคนที่สี่ VIOLET SORCERER เป็นพ่อมดที่สูงวัย อายุ 90 - 100 แท่งเทียนคือสามารถเลือกใช้ระหว่าง EMA9 - EMA100. โดยส่วนตัวชอบให้ขยับเร็วๆ ก็จะใช้เป็น EMA90 ใช้เส้นในภาพกราฟ เป็น เส้นสีม่วง

<a href="

http://1.bp.blogspot.com/_prTGP0bLfTI/TPPNOlZGgEI/AAAAAAAAAI4/fKF-iBWhV5g/s1600/epicpaladin5cx.jpg" imageanchor="1" style="text-decoration: initial; color: rgb(0, 115, 196); clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;">epicpaladin5cx.jpg

มีหน้าที่ ใช้พลังวิเศษในการชุบชีวิต (Revive) แท่งเทียนที่ สิ้นสติ จากการตกส้นฟ้า EMA35.

การที่แท่งเทียนตก EMA35 นั้นเป็นการบอกว่าแท่งเทียนเข้าสู่การ Corrective พักตัวแล้ว หลังจากนั้น แท่งเทียนจะ Panic Sale วิ่งเข้าหาEMA90 อย่างรวดเร็วและรุนแรง

การที่แท่งเทียนวิ่งเข้าหา EMA90 นั้น เมื่อถึง EMA90 แล้ว จะมี 2 อาการ ตามความหนักหนาสาหัสของ ความ Panic

ส่วนใหญ่ จึงใช้ EMA90 เป็น แนวรับ ที่สำคัญ ในการอยู่ หรือไปของแท่งเทียน ถ้าแท่งเทียน มาเด้งที่ EMA90 หรือ หลุดลงใต้ EMA90 2-3 แท่ง แล้วกลับมายืนได้ ก็จะเป็น การบอกใบ้ว่า จบรอบการลงชุดนึงแล้ว

 

แต่ถ้าแท่งเทียน วิ่งทะลุ EMA90 ลงไปอย่างแรง หรือ นาน เกิน 3 แท่งแล้ว โอกาส ที่ แท่งเทียนนั้นจะกลับมา ร่าเริงอีก นั้น ค่อนข้างหายากมาก ที่พบส่วนใหญ่ ก็จะ ซึมๆ SIDEWAY หรือ ลงรุนแรง ต่อเนื่องไปเลย

 

ในทางกลับกัน ถ้าแท่งเทียนที่ลงใต้ EMA90 ไปลึกๆ หรือ วิ่งอยู่ใต้ EMA90 นานมากๆ แล้ว มีการที่แท่งเทียนดีดกลับมาข้าม EMA90 จากข้างล่างขึ้นมาข้างบน จะเป็น จุดที่เรา ใช้ เป็น สัญญาณ ในการ "ซื้อ" ได้ เช่นกัน

 

..

 

 

EMA90-01.jpg

 

..

และ

 

อัศวินคนสุดท้าย จะว่าเป็นอัศวิน ก็ไม่เชิง น่าจะเรียก ว่าเป็น GUARDIAN มากกว่า ขอเรียกชื่อว่า

The WHITE ROOK เป็น ศิลาเทพ ที่ เคลื่อนไหว ช้ามาก อายุก็มากมาย ถึง 200 - 230 แท่งเทียน คือสามารถเลือกใช้ระหว่าง EMA200 - EMA230 ใช้เส้นในภาพกราฟ เป็น เส้นสีขาว

 

..

rook.png

 

 

มีหน้าที่ เป็น ปราการด่านสุดท้าย ถ้าแท่งเทียนวิ่งลงมาผ่านได้ทุกด่านแล้ว ยังทะลุผ่าน The GUARDIAN White ROOK ได้ อีก ก็ หมดสิ้นความหวังแล้ว เลิกดูแท่งเทียนชุดนั้น ไปได้เลย

 

 

 

 

 

 

 

อีกอย่างนึง ที่จะใช้ คือ ใช้ เป็น ตัวบอก Direction ระยะกลางของแท่งเทียนนั้นๆ ตามลักษณะความชัน (Slope) ของเส้น

ถ้า แท่งเทียน วิ่งได้แรง เส้นจะวิ่งขึ้น ในSlope ที่มีความชันมาก ด้วย

แต่ถ้า เส้น เริ่มปรับระดับลงมา จนเหมือนจะเป็นเส้นตรงไปข้างๆ จะหมายถึงการชะลอตัวของ แท่งเทียนด้วย เช่นกัน

..

 

EMA230-01.jpg

 

 

.. อีกสักตัวอย่างนึง

EMA230 NO Slope --> No Good for Trade

SHOW SLOPE --> SHOW TRENDING

..

 

 

EMA230-02.jpg

.. สุดท้าย การใช้ EMA ทั้ง 5 เส้น ต้องใช้ ประสบการณ์ ในการเฝ้ามอง แล้วสังเกตุ ความเป็นไปอย่างต่อเนื่อง จริงๆ โดยส่วนใหญ่ ในการเทรด จริง เราจะใช้ เพียง สามเส้นแรก (EMA5, 15, 35) เป็นหลัก เป็น Major Signal ในการกำหนด จังหวะขาย ไม่ว่า จะเป็นการขาย Take Profit หรือ CUT LOSS ก็ตาม

.. ส่วน เส้น EMA อีก 2 เส้นนั้น ถ้าเป็น Trending ไม่ว่า จะเป็น UP Trend or Down Trend ก็ตาม จะไม่ค่อยถูกนำมาได้ใช้งาน แต่จะถูกใช้งาน ในสภาวะแพแตก PANIC หรือดิ่งนรก Red Bar มากกว่า ใช้ เพื่อหาแนวรับ หรือแนวชะลอตัว

.. ที่สำคัญ ใช้เพื่อเป็น สัญญาณในการ "ห้ามซื้อ" เพราะคนส่วนใหญ่ที่ไม่ดูสัญญาณใดๆ เมื่อเห็น หุ้นที่มีพื้นฐานดี หรือ หุ้น ที่เคยทำกำไร มักจะติดกับดับความคิดตัวเอง พอราคาหุ้น ลงมาลึกๆ แล้ว ชอบ ถามกัน ว่า ลงมาเยอะแล้ว ซื้อได้ รึยัง แต่ต่อไปนี้ ก็ จะดูเป็น และน่าจะเลิกถามกันได้ แล้ว

.. เพราะถ้าเจอ หุ้น วิ่งลง เทขายลงมา แล้ว เป็นเมื่อก่อน EMA35 ใน Day รับไม่อยู่ คุณจะไม่กล้า ซื้อจนกว่า มัน จะดีด กลับ ไปยืน บนเส้น EMA35 ได้ 2-3 วันก่อนถึงจะเริ่มซื้อ หรือ ราคาหล่นลงไปลึกๆ ใกล้ EMA90 แล้วไม่หลุด EMA90 อย่างนั้นล่ะ ถึง จะกล้าซื้อ

..

มาดูกันเป็น ตัวอย่าง ในการใช้ EMA ทั้ง 5 แบบ ร่วมกัน ในการเทรด

...

 

 

AllEMA.jpg

 

.. คงไม่ต้อง บรรยาย อะไร เพิ่มเติม อ่าน เอาในภาพ ก็คงพอจะเข้าใจในการ นำ EMA Knight ทั้ง 5 ไปใช้ ในการทำศึก แล้ว นะครับ

..

โชคดี ทุกท่าน

..

ปุกปุย

..

 

Rook_With_Crowd.jpg

 

 

 

บทความแนะนำ

  1. เหตุเกิดที่เส้นค่าเฉลี่ย ภาค 2: 5 อัศวิน EMA - ตอนแรก
  2. เหตุเกิด ที่ เส้นค่าเฉลี่ยฯ ภาค 1 : ค่าเฉลี่ยอย่างที่ ใครๆ เขาก็รู้กัน
  3. ใช้ EMA หา Direction

<-- Previous : เหตุเกิดที่เส้นค่าเฉลี่ย ภาค 2: 5 อัศวิน EMA - ตอนแรก

Next --> : เกิดเหตุ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2553 กับ S50Z10

.เขียนโดย Pragasit Thitaram (Pookpui) ที่ 06:47

 

 

ส่งอีเมลข้อมูลนี้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

<p>

4 ความผิดพลาดซ้ำซากในการลงทุน และวิธีเลี่ยงความผิดพลาดเหล่านั้น : Tent How

Posted by admin in Investment, Our Columnist on ธ.ค. 21st, 2012 | no responses

rating_off.gifrating_off.gifrating_off.gifrating_off.gifrating_off.gif (No Ratings Yet)

บทความนี้เขียนโดย Ivan Hoff ผมอ่านแล้วเห็นว่าเนื้อหาดีและมีประโยชน์มากๆ เลยให้เพื่อนช่วยแปลแล้วเอามาลงเวบครับ

####

mistakes-hiring.jpg

1. ซื้อขายหุ้นโดยไม่มีหลักการ

ถ้าคุณไม่มีจุดยืน คุณก็ไม่มีแก่นหรือสิ่งใดให้ยึดถือปฏิบัติ ถ้าคุณไม่มีเป้าหมายว่าจะไปที่ใด คุณก็ไม่มีวันไปถึงจุดหมาย… จงกำหนดหลักการ วางแผนการลงทุน และทำตามแผนที่คุณวางไว้เสมอ เพราะถ้าคุณไม่มีแผนการของตนเอง คุณก็จะต้องตกอยู่ในแผนการของคนอื่น

“ถ้าคุณไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงซื้อหุ้นตัวนั้น คุณก็จะไม่รู้ว่าควรขายมันตอนไหน ซึ่งนั่นมักจะทำให้คุณขายหุ้นทิ้งตอนที่ราคาของมันทำให้คุณกลัว ทั้งๆที่โดยส่วนมากแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณกลัวราคาหุ้นในขณะนั้น มันคือโอกาสซื้อ ไม่ใช่จุดบ่งชี้ว่าคุณควรขายมันทิ้ง”

– Martin Taylor -

2. เข้าซื้อหุ้นไม้ใหญ่เกินไป (Trading too big)

การเข้าซื้อหุ้นครั้งเดียวในสัดส่วนที่เยอะของพอร์ต จะทำให้คุณขายหุ้นเพราะความกลัวของคุณ ไม่ใช่เพราะระบบลงทุนของคุณบอกให้ขาย

ดังนั้น ก่อนที่จะซื้อหุ้น คุณควรกำหนดจำนวนเงินที่คุณสามารถยอมรับขาดทุนได้ให้อยู่ในระดับที่ไม่เสี่ยงมากไป ตัวอย่างเช่น คุณยอมรับขาดทุนได้ 20,000 บาท โดยที่จุดตัดขาดทุนของคุณคือ เมื่อราคาหุ้นตกลงไปต่ำกว่าต้นทุน 5 บาท ดังนั้น คุณควรซื้อหุ้นตัวนี้จำนวน 4,000 หุ้น

“นักลงทุนมักจะให้ความสำคัญเกือบทั้งหมดไปที่จุดเข้าซื้อ (entry price) ทั้งๆที่โดยส่วนมากแล้ว ขนาดของการเข้าซื้อ (entry size ) ในแต่ละครั้งมีความสำคัญกว่าจุดเข้าซื้อ เพราะหาก entry size แต่ละครั้งใหญ่มากเกินไป เวลาที่หุ้นปรับตัวลงอย่างไม่มีนัยสำคัญ มันก็มักจะทำให้คุณกลัวและขายหุ้นที่ยังมีแนวโน้มดีนั้นทิ้งไป ดังนั้น ยิ่งขนาดของการเข้าซื้อใหญ่มากไปเท่าไร ความกลัวจะเข้ามาครอบงำการตัดสินใจของคุณ แทนที่จะตัดสินใจจากแผนการและประสบการณ์ที่พิจารณาอย่างดีแล้ว”

– Steve Clark -

3. ซื้อขายมากเกินไป (Overtrading)

การที่เราจะซื้อขายหุ้นบ่อยขนาดไหนนั้นขึ้นอยู่กับแนวทางการลงทุนของเรา แต่ไม่ว่าคุณจะใช้แนวทางลงทุนแบบไหนก็ตาม การซื้อขายน้อยครั้งย่อมดีกว่าเสมอ (less is more)

อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิดไป เพราะไม่ว่าคุณจะทำการบ้านหรือเตรียมตัวมาอย่างดีแค่ไหนก็ตาม แต่ตลาดหุ้นนั้นก็มักจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอยู่บ่อยๆ ดังนั้น คุณควรจะมีไอเดียหรือหุ้นที่จะเลือกลงทุนมากกว่า 1 ตัวอยู่เสมอ

แต่การที่คุณซื้อๆขายๆในหุ้นทุกตัวที่เกิดสัญญาณ ทำให้เงินลงทุนและพลังงานของคุณถูกกระจายออกไปในหุ้นหลายตัวมากจนเกินไปนั้น คงไม่ใช่การตัดสินใจที่ฉลาดนัก

คุณควรยึดมั่นอยู่กับสิ่งที่คุณรู้และเข้าใจ เลือกใช้วิธีการที่คุณทำแล้วได้ผล อย่าหลงไปตามกระแสข่าวลือหรือการลงทุนที่คุณไม่ได้เปรียบ และหลีกเลี่ยงการลงทุนใดๆก็ตามที่คุณไม่ได้มีความเข้าใจในสิ่งนั้นเลยแม้แต่น้อย

ในบางครั้ง การเทรดที่ดีที่สุดก็คือ การไม่เทรดเลย และตั้งมั่นอยู่กับหุ้นที่เราถือ ผมรู้ดีว่าในช่วงตลาดกระทิงดุนั้น มันมีสิ่งที่เย้ายวนใจมากที่จะทำให้คุณซื้อๆขายๆบ่อยครั้ง เมื่อหุ้นเกือบทุกตัวขึ้นไปทะลุ High เดิม คุณรู้สึกเหมือนเด็กที่อยู่ในร้านขนมหวานแล้วไม่รู้จะเลือกหยิบขนมชิ้นไหนดี

จงเลือกหุ้นเพียงไม่กี่ตัวในจังหวะเวลาที่เหมาะสม อย่าพยายามที่จะไล่ซื้อหุ้นทุกๆตัว เพราะคุณไม่สามารถทำได้ (ยกเว้นว่าคุณเป็นคอมพิวเตอร์!!!)

เบื้องหลังของความผิดพลาดในข้อที่ 2 และ ข้อที่ 3 มักจะเกิดจากความมั่นใจที่มากเกินไป

ถึงแม้้ว่าความมั่นใจนั้นเป็นสิ่งสำคัญในการทำตามแผนและระบบลงทุนของคุณ แต่ถ้ามีความมั่นใจที่มากเกินพอดี (Overconfidence) มันจะก่อให้เกิดผลเสีย เพราะความมั่นใจที่มากเกินไปนั้น เป็น 1 ในเหตุผลสำคัญที่ว่า ทำไมนักลงทุนและนักเก็งกำไรที่มีประสบการณ์จึงยังสามารถขาดทุนได้

เมื่อไรก็ตามที่คุณรู้สึกว่า ความสำเร็จของคุณในตลาดมาจากการที่คุณเป็นอัจฉริยะ ไม่ได้มาจากความคิดที่รอบคอบและไตร่ตรองอย่างระมัดระวังในการลงทุน ก็เท่ากับว่าคุณใกล้ถึงเวลาที่จะขาดทุนแล้ว

4.) เฝ้าดูราคาหุ้นมากเกินไป (Watching your stocks too closely)

ถ้าคุณเป็นนักลงทุนแบบ day trader นั่นคือสิ่งคุณควรทำ แต่ถ้าคุณใช้กรอบการลงทุนที่ยาวนานกว่านั้น การเฝ้ามองราคาหุ้นตลอดเวลาจะก่อให้เกิดผลเสียซะมากกว่า

เมื่อคุณตัดสินใจใดๆแล้วคุณต้องให้เวลากับมัน เพื่อให้หลักการหรือไอเดียการลงทุนของคุณนั้นได้โชว์ผลลัพธ์ของมันจริงๆออกมาเสียก่อน

“การเฝ้ามองราคาหุ้นบนหน้าจอทั้งวันนั้น ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆและเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ผมเชื่อว่าการเฝ้าดูทุกคำสั่งซื้อขายจะทำให้คุณขายหุ้นก่อนเวลาอันควร (ขายหมู) และ มักทำให้คุณซื้อหุ้นในราคาที่สูงเกินไปหรือขายหุ้นในราคาที่ต่ำเกินไปของวันนั้น รวมถึงทำการซื้อขายมากเกินไป (Overtrading) ผมแนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงการเฝ้ามองราคาหุ้นตลอดเวลา และหันไปทำสิ่งอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อการลงทุนและต่อตัวของคุณเองในช่วงเวลาซื้อขาย เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเหล่านั้น”

- Steve Clark -

การเฝ้ามองราหาหุ้นอย่างใกล้ชิดจะทำให้เกิดผลเสียต่อผลตอบแทนของคุณ เมื่อคุณเข้าซื้อหุ้นแล้ว คุณไม่ควรซื้อขายเพียงเพราะเห็นคำสั่งซื้อขายเล็กๆน้อยๆที่สวนทางกับ Position ของคุณ การเฝ้ามองราคาหุ้นมากเกินไปนั้น ก็เปรียบเหมือนคุณนั่งอยู่ในร้านเบเกอรี่แสนอร่อยขณะที่คุณกำลัง diet

“หากคุณใช้เวลาอยู่ในร้านตัดผมสักพักหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็วคุณจะคิดว่าคุณต้องตัดผม ทั้งๆที่คุณหัวล้าน”

– Warren Buffett -

โซรอส เคยกล่าวไว้่ว่า

“ถ้าคุณออกไปทำงานทุกวัน เพียงเพราะคิดว่าคุณต้องทำอะไรซักอย่าง ผลก็คือ มันทำให้คุณมักจะทำสิ่งที่ไม่มีประโยชน์อะไรเพื่อไม่ให้เบื่อไปวันๆ ซึ่งผมคิดว่าคุณควรจะอยู่เฉยๆดีกว่า ปกติแล้วผมจะไปทำงานเฉพาะเวลาที่มีงานให้ทำ ในเวลาที่มันควรค่าแก่การทำจริงๆ ผลก็คือ ผมเรียนรู้ที่จะสามารถแยกแยะได้ว่า วันไหนที่มีงานสำคัญกว่าวันอื่นๆ และรู้ว่าเวลาไหนที่ควรมุ่งมั่นกับงานเป็นพิเศษ”

ดังนั้น ถ้าคุณเป็นนักลงทุนหรือนักเก็งกำไรที่ไม่ใช่ Day Trader คุณควรหาสิ่งอื่นทำแทนที่จะนั่งเฝ้าดูราคาหุ้นทั้งวัน อย่างเช่นการอ่านหนังสือ ออกกำลังกาย หรือ อะไรก็ตามที่ทำให้ไม่ต้องยุ่งกับการดูราคาหุ้นระหว่างวันมากเกินไป

ความไม่รู้ไม่ใช่อุปสรรคของคนส่วนใหญ่ในตลาด เพราะทุกคนต่างก็สามารถศึกษาหาความรู้ได้เหมือนๆกัน แต่เป็นความพยายามที่จะนำความรู้ต่างๆมาประยุกต์ใช้อย่างจริงจังต่างหาก เหมือนกับที่ทุกคนรู้ดีว่า ควรทำตัวอย่างไรเพื่อลดน้ำหนัก แต่จะมีสักกี่คนที่มีวินัยมากพอที่จะทำตามแผนของตนเองได้อย่างจริงจังและสม่ำเสมอ…

4 ความผิดพลาดซ้ำซากในการลงทุน และวิธีเลี่ยงความผิดพลาดเหล่านั้น

โดย Tent How

www.sarut-homesite.net

แปลจากบทความ Four Common Trading Mistakes and How to Avoid Them

rating_off.gifrating_off.gifrating_off.gifrating_off.gifrating_off.gif (No Ratings Yet)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

WilliamJ-ONeil-32-m.jpg&h=90&w=90&zc=1%22

สุดยอดวาทะ ‘William O’neil’ : Phantorm

Posted by admin in Our Columnist on ธ.ค. 17th, 2012 | 2 responses

rating_on.gifrating_on.gifrating_on.gifrating_on.gifrating_on.gif (1 votes, average: 5.00 out of 5)

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ‘วิลเลี่ยม โอนีล’ เป็นหนึ่งในเทรดเดอร์ที่เก่งที่สุดในช่วงเวลาของเราเมื่อมองดูจากผลงานและสิ่งต่างๆที่เขาได้ทำเอาไว้

WilliamJ-ONeil-32-m.jpg

เขาทำเงินจำนวนมหาศาลตั้งแต่ช่วงอายุยี่สิบกว่าปี มากพอที่ทำให้เขาสามารถก่อตั้งบริษัทวิจัยของตัวเอง และเป็นบุคคลที่สามารถสร้างผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กได้เลยทีเดียว บริษัทวิจัยของเขาได้ให้คำแนะนำด้านการลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงแก่บริษัทการเงินขนาดใหญ่หลายแห่ง

นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้คิดค้นระบบการลงทุน ‘CANSLIM’ ซึ่งสมาคมนักลงทุนรายย่อยแห่งสหรัฐอเมริกา (American Association of Individual Investors) ยกให้เป็นระบบการลงทุนที่ทำผลตอบแทนได้ดีที่สุดในช่วงปี 1998 จนถึงปี 2009

ทางสมาคมได้เปรียบเทียบและรวบรวมข้อมูลระบบการลงทุนกว่า 50 แนวทางที่แตกต่างกัน โดยในช่วงเวลา 12 ปี ระบบ CANSLIM ทำกำไรได้ถึง 2,763% สำหรับรายละเอียดแนวคิด CANSLIM สามารถหาอ่านได้จากหนังสือ How to Make Money in Stocks ซึ่งเขียนด้วยตัวโอนีลเอง

และในบทความนี้ ก็จะเป็นการรวบรวมวาทะเด็ดๆของโอนีลที่แสดงให้เห็นถึงมุมมองและแนวคิดการลงทุนของเขาครับ

การบริหารความเสี่ยง

1. “ผมตั้งเป็นกฏเอาไว้เลยว่า หากขาดทุนเกิน 7% จากราคาที่ซื้อมา ผมจะขายหุ้นทิ้งโดยไม่มีการลังเลเลยแม้แต่น้อย

2. “หลายคนมักพูดว่า ‘เขาไม่สามารถตัดขายหุ้นเหล่านั้นได้ เพราะเขาจะขาดทุน’ สำหรับผมแล้ว ถ้าราคาหุ้นที่คุณซื้อนั้นตกลงมาต่ำกว่าต้นทุนของคุณมากพอสมควร การขายมันไม่ได้ทำให้คุณขาดทุนหรอก เพราะคุณก็ขาดทุนไปเรียบร้อยแล้ว”

3. “การปล่อยให้ขาดทุนเรื้อรังต่อไปเรื่อยๆ เป็นข้อผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดของนักลงทุนส่วนใหญ่”

4. “ความลับทั้งหมดทั้งมวลของการประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นก็คือ การขาดทุนให้น้อยที่สุดในเวลาที่คุณคิดผิด”

หลักการลงทุน

1. “สิ่งที่ 90% ของคนในตลาดหลักทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือมือใหม่ต่างก็เหมือนกันคือ พวกเขายังทำการบ้านไม่มากพอ”

2. “ก้าวแรกของการเรียนรู้เพื่อจะค้นหาสุดยอดหุ้นที่จะชนะตลาดได้ก็คือ การศึกษา Big Winner ในอดีต เพื่อเรียนรู้ลักษณะและพฤติกรรมของหุ้น คุณจะได้เรียนรู้จากการสังเกตุหุ้นเหล่านี้ว่า แพทเทิร์นราคาแบบไหนที่หุ้นพวกนี้มักจะแสดงอาการออกมาก่อนที่ราคาหุ้นจะขยับขึ้นอย่างรวดเร็ว”

3. “มันช่างยากเอามากๆที่คุณจะได้รับผลตอบแทนสูงๆจากการลงทุนในหุ้น Laggard ถึงแม้ว่ามันจะดูราคาถูกอย่างน่าสนใจก็ตาม จงค้นหาและเลือกซื้อหุ้นนำตลาดเท่านั้น”

4. “สิ่งที่ดูแพงเกินไปและเสี่ยงเกินไปสำหรับคนส่วนใหญ่มักจะยิ่งขึ้นไปสูงกว่าเดิม และสิ่งที่ดูถูกๆและไม่เสี่ยงมักจะยิ่งลงไปต่ำกว่าเดิม”

5. “นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะรีบร้อนทำกำไร และไม่ตัดขาดทุน ในความคิดของผม ‘การเลือกขายหุ้นที่มีกำไร ก่อนจะขายหุ้นที่ขาดทุน’ เป็นแนวคิดที่ตรงกันข้ามกับหลักการลงทุนที่ถูกต้องโดยสิ้นเชิง”

6. “แนวทางที่จะทำให้บริษัทประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่และเพลิดเพลินไปกับราคาหุ้นที่สูงขึ้นอย่างมหาศาลนั้น ก็คือ การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาด แน่นอนเราไม่ได้พูดถึงสินค้าอย่างน้ำยาล้างจานสูตรใหม่ แต่เราพูดถึงสินค้าใหม่ของบริษัทที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนเราในแต่ละวันต่างหาก

7. “สำหรับการขายชอร์ตนั้น กฏสำคัญหมายเลขหนึ่งก็คือ ขายชอร์ตเฉพาะช่วงที่คุณคิดว่าตลาดกำลังเข้าสู่ขาลงเท่านั้น ไม่ใช่อยู่ในช่วงขาขึ้น”

8. “วิธีที่ดีที่สุดในการวัด Demand และ Supply ของหุ้น ก็คือการดู Volume เทรดในแต่ละวัน เมื่อราคาหุ้นปรับตัวลง คุณอยากจะเห็นว่า Volume มันน้อยลง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่มีแรงขายที่มีนัยยะสำคัญ ในทางกลับกัน เมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้น คุณอยากจะเห็นการเพิ่มขึ้นของ Volume ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นถึงการเข้าซื้อของสถาบันหรือนักลงทุนรายใหญ่”

9. “เหล่านักลงทุนผู้ละเลยสิ่งที่ตลาดพยายามจะบอกหรือส่งสัญญาณออกมา มักจะต้องจ่ายค่าบทเรียนราคาแพง ในขณะที่นักลงทุนที่สามารถแยกแยะสัญญาณต่างๆทั้งที่ปกติหรือไม่ปกติได้นั้น มักจะรู้สึกดีต่อตลาดมากกว่าคนส่วนใหญ่ เพราะพวกเขาสามารถเข้าใจตลาดได้เป็นอย่างดี”

10. “หุ้นนำตลาดนั้นไม่ใช่บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในตลาด หรือบริษัทที่มีแบรนด์เนมที่ผู้คนจดจำได้มากที่สุด แต่เป็นบริษัทที่มีผลประกอบการรายไตรมาส-รายปีเติบโตสูง, ROE และ Profit margins ดีขึ้น, มีการเติบโตของยอดขาย, และการเคลื่อนไหวของราคาที่ดูดีที่สุด”

จิตวิทยา

1. “หน้าที่ของคุณไม่ใช่การถกเถียงกับตลาด แต่เป็นการเรียนรู้ตลาด รับรู้ได้ว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วงที่อ่อนแอหรือแข็งแรง และพร้อมที่จะปรับตัวไปกับมันได้อย่างราบรื่น”

2. “นักลงทุนหลายคนมีปัญหาในการตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้น ลังเลและไม่สามารถตัดสินใจได้ เพราะพวกเขาเหล่านั้นไม่รู้จริงๆว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่ ไม่มีแบบแผนชัดเจน ไม่มีหลักการที่แน่นอน และไม่มีกฏเกณฑ์ที่จะช่วยชี้นำพวกเขา ทำให้พวกเขาไม่แน่ใจว่าพวกเขาควรจะทำอะไรกันแน่”

3. “เนื่องจากตลาดมักจะเคลื่อนที่สวนทางกับความคิดของคนส่วนใหญ่อยู่เสมอ ผมสามารถบอกได้ว่า 95% ของสิ่งที่คุณได้ยินจากรายการทางโทรทัศน์นั้นมาจากความเห็นส่วนตัว ซึ่งสำหรับผมแล้ว ความเห็นส่วนตัวนั้นแทบจะไร้ค่าอยู่เสมอในตลาดหุ้น ‘ข้อเท็จจริง ราคา และตลาด’ มีความน่าเชื่อถือกว่าความคิดเห็นพวกนั้นมาก”

‘สุดยอดวาทะ William O’neil’

โดย Phantorm

www.sarut-homesite.net

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วิธีการลงทุนของ พี่โจ ลูกอีสาน

 

Posted by admin in Investment on ก.ค. 4th, 2010 |

 

rating_on.gifrating_on.gifrating_on.gifrating_on.gifrating_half.gif (7 votes, average: 4.86 out of 5)

key-to-wealth.jpg

ผมตัดแปะมาจากกะทู้ในตำนานนะครับ : ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

ท่านนี้สุดยอดจริงๆ ไอดอลของผมเลย

####

วิธีการเรียบง่ายที่ผมใช้ทำมาหากินแทบทุกครั้ง จะเป็นอย่างนี้ครับ..

1. หา P/E ที่เหมาะสมของแต่ละบริษัท บริษัทไหนที่คาดการง่ายหน่อย กำไรโตเรื่อยๆ ปันผลดี พวกนี้จะ P/E สูงเหมือนพวกค้าปลีก โรงพยาบาล เป็นต้น ส่วนพวกที่ด้อยกว่า เช่น พวกรับเหมา ก็ให้ P/E ต่ำๆ

2. หา P/E ในอนาคต(อันใกล้)ของบริษัทที่เราสนใจ นี่หมายความว่าเราต้องประมาณกำไรของกิจการได้ เราจะทำได้ต้องหาข้อมูลเพื่อประเมินกำไรให้ผิดพลาดน้อยที่สุด

3. หาส่วนต่างของ P/E ที่เหมาะสม และ P/E ที่จะเกิดขึ้นจริง เช่น เราประเมินว่าบริษัทนี้ควรมี P/E 15 เท่า แต่เราประเมินแล้วราคาตลาดวันนี้หรือในอนาคตใกล้ๆนี้ P/E แค่ 7 เท่า นั่นแสดงว่า ราคาตลาดต่ำกว่าที่ควรจะเป็นถึง 50% (มี margin of safety 50%) อย่างนี้น่าสนใจครับ ปกติต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็นซัก 30% ผมก็สนใจแล้ว

ผมมีความเชื่ออย่างนี้นะ..

*ระยะยาว หุ้นเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดเสมอ

*ตลาดเหมือนฤดูกาลที่มีทั้งรุ่งเรืองตกต่ำ หน้าหนาว-หน้าร้อน ขอให้เราเข้าใจและหาประโยชน์จากความจริงข้อนี้

*นักลงทุนเอกของโลกทุกคน เคยผ่านวิกฤติมาแล้วหลายครั้ง หนักหนากว่านี้ก็มี ถ้าหยุดลงทุนก็คงไม่มีวันนี้ แม้แต่ ดร.นิเวศน์ ท่านเริ่มลงทุน 10 ปีที่แล้ว ตอนที่ดัชนีประมาณ 800 จุด ท่านได้ผลตอบแทน 30 เท่า ทั้งที่วันนี้ดัชนีตลาดต่ำกว่า 10 ปีที่แล้ว

*ผมพูดเสมอๆว่า ตรรกะของการทำกำไรจากหุ้นคือ ซื้อถูกขายแพง คำถามต่อไป แล้วเราจะขายได้แพงตอนตลาดเป็นแบบไหน และหากเราจะซื้อของให้ได้ราคาถูก เราจะซื้อได้ตอนที่ตลาดเป็นอย่างไร

*การขายหุ้นและเลิกลงทุนตอนตลาดตกต่ำ เป็นการละเมิดศีลที่สำคัญที่สุดของนักลงทุน vi เพราะนั่นหมายความว่า เราจะไม่มีโอกาสได้กำไรกลับคืนตอนตลาดกลับไปรุ่งเรืองเลย

*มองไปวันพรุ่งนี้ สัปดาห์หน้า เดือนหน้า ปีหน้า 5 ปี 10 ปีข้างหน้า แล้วทุกอย่างในวันนี้มันจะผ่านไป

*อย่าให้อารมณ์ของตลาด มาหยุดความมุ่งมั่นในการลงทุนของเรา อย่าทำให้เราหมดกำลังใจที่จะทำการบ้าน ศึกษาหาความรู้

*เราลงทุนวันนี้ ไม่ใช่เพื่อให้รวยพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ แต่เพื่อ 10 ปี 20 ปีข้างหน้า

*เราจะรู้ว่าใครแก้ผ้า ก็ตอนน้ำลด

ผมแนะนำครับ..

1. หามูลค่าที่เหมาะสมเสียก่อน พิจารณาจากปัจจัยต่างๆ

2. ดูราคาในตลาด ว่าสูงหรือต่ำกว่ามูลค่าที่เราคำนวณได้

3. ตัดสินใจ ซื้อหรือขาย

ผมมองว่าที่หลักการลงทุน vi เติบโตเด่นได้รับความนิยมขึ้นมา ไม่ใช่เพียงเพราะมีตัวอย่างคนที่ประสบความสำเร็จเท่านั้น แต่เป็นเพราะความเป็นเหตุเป็นผลของมัน คือหุ้นจะขึ้นจะลงเพราะมีเหตุผลทางธุรกิจ ไม่ใช่หุ้นจะขึ้นเพราะหลายคนบอกว่าจะขึ้น และมันจะลงเพราะหลายคนบอกว่ามันจะลง

คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพิจารณาด้วยเหตุด้วยผลอย่างเดียว เพราะเป็นคนก็ต้องมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ผมก็ยังเป็น แต่ถ้าเราจะเป็น vi ที่ประสบความสำเร็จ เราต้องพิจาณาด้วยเหตุผลธุรกิจเป็นหลักครับ

ส่วนเรื่องจาก ซื้อเพิ่ม, cut loss ผมไม่กล้าแนะนำ แต่ผมจำที่ใครคนหนึ่งเคยพูดทำนองว่า ลืมต้นทุนที่ซื้อมา คิดเสียว่าพอร์ตตอนนี้เป็นเท่าไหร่ หุ้นในตลาดตัวไหนน่าซื้อที่สุด ขายไปซื้อตัวนั้น ถ้าเป็นตัวเดิมก็ไม่ต้องทำไร

ผมเชื่อว่า มี 2 แรงที่ผลักดันราคาหุ้น

1. กำไร >> เราเรียกรวมว่า พื้นฐาน

2. ปัจจัยด้านจิตวิทยา – อารมณ์ของตลาด

ประเด็นแรก เป็นสิ่งที่นักลงทุนแนว vi ต้องวิเคราะห์อยู่แล้ว แต่ถ้าเข้าใจประเด็นที่สองด้วย ก็จะเพิ่มผลตอบแทนได้อีกครับ ผมตอบไม่ได้ชัดเจนว่า เราจะดูอารมณ์จิตวิทยาของตลาดได้อย่างไร(ยังไม่รู้จริง) แต่ประมาณว่า ถ้าเราเข้าใจอารมณ์ตลาด เรามักจะได้ซื้อหุ้นที่ดี ที่ราคาไม่แพง

เหมือนที่ Graham เปรียบเปรยเป็นนิทาน Mr. Market ครับ นอกจากนั้น เราอาจพิจารณาจิตวิทยาของนักลงทุนในตลาดว่า เค้านิยมหุ้นพิมพ์แบบไหน ในอุตสาหกรรมใดที่กำลังจะฮอต หุ้นตัวเล็กหรือตัวใหญ่ ราคาต่ำหรือราคาสูง เหล่านี้เป็นเกร็ดเล็กๆน้อยๆที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทนได้ครับ เราลงทุนแนว vi แต่พิจารณาไว้บ้างก็ไม่เสียอะไร

ผมปรับพอร์ตบ่อยๆครับ เหตุผลมักเป็นอย่างนี้

1. เจอหุ้นตัวที่ดีกว่า แต่ไม่มีเงินก็ต้องขายตัวที่ด้อยที่สุดไป

2. ตัวที่ถือพื้นฐานเปลี่ยน อันนี้แน่นอนก็ต้องขายออก

3. หุ้นขึ้นจนราคาสมเหตุสมผล ผมก็อาจจะขายไปเพิ่มตัวที่ยังต่ำกว่ามูลค่า

4. หุ้นลงผมก็ปรับพอร์ต ขายตัวที่ลงน้อยไปซื้อตัวที่มีอัพไซด์มาก

ผมก็ปรับไปเรื่อยครับ ตามข้อมูลที่ได้รับมา ไม่มีเกณฑ์ตายตัวว่าบ่อยแค่ไหน หรือกี่เปอร์เซนต์ของพอร์ต ตั้งแต่ซื้อหุ้นมายังถือไม่เกิน 3 ปีเลยครับ เฉลี่ยเกือบๆปีประมาณนั้น แต่เห็นด้วยครับว่า ตลาดผันผวน เราสามารถใช้การปรับพอร์ตหาประโยชน์จากความผันผวนนั้นได้

ผมยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เราลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ และหุ้น ถ้าตลาดซบเซาหนักๆเราก็ควรย้ายเงินจากกองทุนมาลงหุ้นให้มากขึ้น หรือเปลี่ยนไปถือหุ้นตัวทีมีอัพไซด์สูงกว่า หากตลาดเป็นขาขึ้น หาหุ้นลงทุนได้ยาก อาจจะต้องเปลี่ยนไปถือตัวที่ defensive มีปันผลเยอะหน่อยๆ ประมาณนี้ครับ

ระยะเวลาที่ถือหุ้น สั้นที่สุดนี่จำได้ว่าประมาณ 1 อาทิตย์ครับ ซื้อแล้วขึ้นไปประมาณ 30% ผมก็ขายซิครับ เพราะผมหวังผลตอบแทนแค่นั้น ส่วนยาวนี่ไม่แน่ใจครับ ประมาณ 2 ปี ที่จริง ประเด็นเรื่องเวลาการถือครองหุ้นไม่น่าจะเป็นประเด็นสำคัญ คำถามที่สำคัญกว่าคือ ราคาเหมาะสมกับพื้นฐานหรือยังและการถือหุ้นนานๆก็มีผลเสียนะครับ เช่น เราจะเฉื่อยชา ผูกผัน เกิดความลำเอียง รักหุ้นตัวเอง

และถ้ามองในแง่ผลตอบแทน ดูตัวเลขนี้ครับ

*หุ้นตัวแรก เราซื้อผ่านไป 1 ปี ขายที่ราคาเป้าหมายได้กำไร 60% ทั้งปีได้กำไร 60%

*หุ้นตัวที่ 2 เราซื้อผ่านไป 6 เดือนได้กำไร 40% ตามเป้าหมาย ขายออกไปซื้อหุ้นตัวที่ 3 ผ่านไป 6 เดือนได้กำไร 40% ตามเป้าหมายอีก รวมทั้งปีได้ผลตอบแทน 96%

หุ้นตัวแรกให้ผลตอบแทนมากที่สุด แต่ถ้าให้เลือกผมขอซื้อหุ้นตัวที่ 2-3 ดีกว่า นี่คงคล้ายกับ turnover rate ในงบดุลครับ ยิ่งหมุนมากกำไรก็ยิ่งมาก(เรายังไม่พูดถึงความเสี่ยงนะ)

ผมติดตามพื้นฐานของหุ้นที่อยู่ใน watch list เสมอๆ

ผมมีหุ้นที่ติดตามผลกำไรทุกไตรมาส ประมาณ 80 ตัว และหุ้นที่ติดตามแบบห่างๆอีกประมาณ 120 ตัว รวมๆก็ครึ่งนึงของตลาดพอดี

ผมเชื่อว่า ยิ่งติดตามมาก เราก็ยิ่งรู้พื้นฐานมากขึ้น ขอบข่ายความรู้มากขึ้น ยิ่งติดตามมาก โอกาสที่จะเจอช้างเผือกก็สูง เวลามีข่าวสารเข้ามาเราก็รู้ทันทีว่า เป็นข่าวดีหรือไม่ดี ซื้อหรือไม่ซื้อ ไม่ต้องเสียเวลาไปหาข้อมูลอีก

ผมอ่านหนังสือพิมพ์หุ้นเกือบทุกฉบับ ทั้งรายวัน รายสัปดาห์ อ่านงานวิจัยของโบรคเกอร์ อีไฟแนนซ์ ข่าวตลาด และ tvi ประมาณนี้ครับ อ่านแบบสแกน ถ้าเจอหุ้นที่น่าสนใจจะอ่านแบบละเอียด ไม่อย่างนั้นต้องใช้เวลาเยอะ

คือถ้าเราติดตามข่าวสารบ่อยๆเราจะรู้ว่าแหล่งข่าวไหนที่เราควรจะอ่านครับ

ที่จริงใช้เวลาวันละ 2 ชม. ก็น่าจะเพียงพอสำหรับการลงทุนแบบมุ่งเน้น(ผลตอบแทน) หรือวันละ 1 ชม. สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนหุ้นแบบการออม

ผมเคยทำงานประจำมาก่อน ยอมรับว่ามีข้อจำกัดเยอะกว่าคนที่ลงทุนเต็มเวลา และไม่สนับสนุนให้ทุกคนลาออกเพียงเพื่อจะได้มีเวลาหาข้อมูล แต่เราก็ควรให้เวลากับการลงทุนตามสมควร

เพราะการใช้เวลาวันละเล็กละน้อยหลังเลิกงาน หาข้อมูล อาจจะเปลี่ยนสถานะภาพทางด้านการเงิน เปลี่ยนชีวิตคนๆนึงได้เลย ในขณะที่ถ้าทำงานประจำอย่างเดียวมีโอกาสน้อยกว่ามาก

ผมยังจำได้ดร.นิเวศน์เคยเขียนบทความทำนองว่า เราใช้เวลาส่วนใหญ่วันๆไปกับเรื่องที่ไม่สำคัญ และให้เวลาน้อยเกินไปกับเรื่องทีสำคัญที่สุด

ที่มา : ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

rating_on.gifrating_on.gifrating_on.gifrating_on.gifrating_half.gif (7 votes, average: 4.86 out of 5)

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

[Video] ก้าวต่อไปของตลาดหุ้น และวิธีมองหาLeader Stock ในแต่ละ Bull Cycle

 

Posted by admin in Investment on ธ.ค. 27th, 2012 | no responses

 

rating_on.gifrating_on.gifrating_on.gifrating_on.gifrating_on.gif (1 votes, average: 5.00 out of 5)

มีวีดีโอที่น่าสนใจมาฝากส่งท้ายปีครับ

เป็น WEBINAR (สัมนาออนไลน์) บรรยายโดย William O’neil และ Chris Gessel เนื้อหาเกี่ยวกับ วิธีการวิเคราะห์ตลาด และวิธีค้นหา Next Winner Stock ในแต่ละ Bull Cycle ครับ (บรรยายวันที่ 27 ก.ค. 2012)

เนื้อหายาวพอสมควร (1 ชั่วโมง 17 นาที) แต่ดูสนุกไม่น่าเบื่อเลยครับ แถมได้ฟังบรรยายจาก O’Neill โดยตรงด้วย และมี Case Study ให้ดูอย่างละเอียดหลายอันเลย เอาไว้ศึกษาช่วงวันหยุดปีใหม่น่าจะดีนะครับ 555+

ส่วนที่น่าจะมีประโยชน์มากๆที่ผมชอบก็คือ การมองหา Leader Stock ที่พวกมันมักจะมาพร้อมกับจุดเริ่มต้นของตลาดขาขึ้นรอบใหม่

ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ได้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกในช่วงร้อยปีที่ผ่านมาของตลาดหุ้น และก็เป็นวิธีการที่ทุกคนสามารถทำได้ แต่ต้องใช้เวลาในการฝึกฝนให้เชี่ยวชาญครับ

นอกจากนี้ O’Neill เค้ามองว่า Bull Market Cycle น่าจะเกิดในอีก 6-18 เดือนข้างหน้า เพราะตลาดหุ้น USA อยู่ในช่วง Sideway มาประมาณ 12 ปีแล้ว (นับจากปี 2000)

โดยที่ผ่านๆมาหลังจากตลาดเป็นกระทิงอย่างยาวนาน (หลายสิบปี) ตลาดก็มักจะพักอยู่ในกรอบ Sideway โดยใช้เวลาประมาณสิบกว่าปีเช่นกันครับ ก็ต้องรอดูกันไปว่ากระทิงจะมาจริงหรือไม่

รูปตัวอย่างครับ (กดที่รูปเพื่อดูขนาดเต็ม)

 

market-cycle.png

.

2010-leader-with-follow-through-day.png

IBD’s Bill O’Neil & Chris Gessel show how a new bull cycle may begin within 6 – 18 months, and how you can spot the stocks that lead it.

 

วิธีมองหา Leader Stock ในแต่ละ Bull Cycle

 

 

--------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------

 

 

 

Posted by admin in
on ส.ค. 19th, 2010 |

 

rating_on.gifrating_on.gifrating_on.gifrating_on.gifrating_on.gif

(
1
votes, average:
5.00
out of 5)

canslim.gif

 

วิลเลียม โอนิล (William O’Neil) เริ่มงานเป็นนายหน้าขายหลักทรัพย์ในปี 1958 สามปีที่เขาทำงานกับบริษัทนี้ เขาได้เรียนรู้การบริหารกองทุนรวมที่เด่นๆในขณะนั้น เขาได้ค้นพบว่ากองทุนเหล่านี้ประสบผลสำเร็จก็เพราะเลือกซื้อหุ้นที่ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ หรือทางเทคนิคเคิลเรียกว่า
“breaking out”
หุ้นหลายตัวที่มีลักษณะแบบนี้มักจะปรับตัวสูงขึ้นต่อมากกว่า 100%

 

โอนิล ได้เลียนแบบการลงทุนแบบนี้ ภายในหนึ่งปีผ่านไปเขาสามารถเพิ่มเงินของเขาจาก 5,000 เหรียญ เป็น 200,000 เหรียญ
เขาเป็นผู้จัดการกองทุนที่จัดว่ามีผลการดำเนินงานดีเด่นในยุค 60 เลยทีเดียว และเป็นผู้บุกเบิกการเลือกหุ้นโดยอาศัยข้อมูลทางสถิติ และบริษัทของเขาก็ยังคงให้บริการข้อมูลเหล่านี้แก่ผู้ลงทุนจนทุกวันนี้

 

ผลการดำเนินงานของเขามีทั้งขึ้นและลง โดยเฉพาะในช่วงที่หลังการปรับตัวที่ดีของตลาดหุ้นในช่วงยุค 60 ผลตอบแทนที่ได้รับจะอยู่ในอัตราเฉลี่ย 40% ในรอบสิบปี หุ้นที่เขาลงทุนแล้วประสบความสำเร็จอย่างมากเป็นหุ้นบริษัทยาซินเท็ค (SYNTEX) บริษัทนี้เป็นบริษัทแรกที่ผลิตยาคุมกำเนิด ขณะนั้นบริษัทประกาศผลกำไรโตขึ้นถึง 300% ราคาหุ้นปรับตัวจาก 100 เหรียญ เป็น 550 เหรียญ ทำให้เขามีกำไรมากพอที่จะเริ่มธุรกิจส่วนตัว ปัจจุบันเขาเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทที่ปรึกษาของเขาเองตั้งอยู่ที่ลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา

 

วิธีการและแนวทางการลงทุนของเขาคล้ายๆกับ จิม สแลตเตอร์ เขาให้ส่วนผสมของข้อมูลเชิงคุณภาพและข้อมูลเชิงปริมาณเป็นเกณฑ์ในการเลือกหุ้นลงทุน
แนวคิดที่สำคัญในการลงทุนคือ “มองหาหุ้นที่โตเร็วที่มีศักยภาพที่ราคาจะพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง”
นั้นคือ ซื้อหุ้นเมื่อบริษัทแข็งแกร่ง ขายออกเมื่อบริษัทอ่อนแอลง

 

เขาแนะนำนักลงทุนให้ใช้แนวทาง 7 ประการในการลงทุน
โดยมีตัวย่อ C-A-N-S-L-I-M ดังนี้

 

C = ผลกำไรไตรมาสก่อน (Current quarterly earnings)
มองหาบริษัทที่เพิ่งประกาศผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 40-500%

 

A = กำไรต่อปีเพิ่มขึ้น (Annual earnings increases)
มองหาบริษัทที่มีความเติบโตติดต่อกัน 5 ปี โดยมีอัตราเติบโตที่ไม่ต่ำกว่า 25% ต่อปี ถ้าหุ้นมีลักษณะอย่างนี้เราไม่จำเป็นต้องสนใจ P/E Ratio ซึ่งช่วงของ P/E อาจจะอยู่ที่ 20 ขึ้นไป

 

N = สินค้าใหม่ ทีมบริหารใหม่ จุดสูงสุดใหม่ (New products, new management, new highs)
หุ้นที่ดีมักจะมีเรื่องราวใหม่ๆอยู่เบื้องหลังมัน เช่น สินค้าใหม่ที่น่าสนใจ หรือ ผู้บริหารคนใหม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดจุดสูงสุดใหม่

 

S = อุปสงค์ และ อุปทาน (Supply and demand)
หากหุ้นที่มีขนาดเล็กมีปริมาณการซื้อขายสูงๆ จะทำให้โอกาสที่ราคาหุ้นจะถูกขับเคลื่อนสูงขึ้นได้

 

L = ผู้นำ และ ผู้ตาม (Leaders and laggards)
เลือกลงทุนในหุ้นที่มีความเข้มแข็งในอันดับต้นของหมวดนั้นๆ สัก 2-3 บริษัท หุ้นเหล่านี้มักจะปรับตัวดีกว่าหุ้นอื่นๆในหมวดเดียวกันในอัตรา 80-90% ภายใน 12 เดือน อยู่ให้ห่างหุ้นที่ปรับตัวแย่ลงในระยะ 7 เดือน

 

I = ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนสถาบัน (Institutional sponsorship)
หาให้ได้ว่าหุ้นตัวใดที่นักลงทุนสถาบันนิยมซื้อ หากเป็นหุ้นที่มีผลตอบแทนดีและนักลงทุนสถาบันยังมีอยู่น้อย เราอาจจะนำมาเป็นหุ้นที่เราจะเข้าซื้อ

 

M = ทิศทางของตลาด (Market direction)
ตรวจสอบตลาดทุกวันเพื่อหาสัญญาณของการปรับตัวลง และให้ระวังการเข้าซื้อในขณะนั้น

 

เขาแนะนำให้ทำการขายหุ้นตัดขาดทุนเมื่อหุ้นนั้นตกลงต่ำกว่า 7-8% จากราคาที่ซื้อมาโดยไม่ต้องมีคำถาม และให้ขายหุ้นที่ขึ้นไม่ถึง 20% ภายใน 13 สัปดาห์ ให้ถือหุ้นที่ขึ้นเกิน 20% ภายใน 4-5 สัปดาห์ หุ้นพวกนี้มักจะเป็นหุ้นที่ทำกำไรมากที่สุด

 

ในกรณีที่หุ้นที่ซื้อมาและมีการปรับตัวขึ้น 25% อย่างรวดเร็วภายใน 1-2 สัปดาห์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าอาจจะมีข่าวดี ทำให้นักลงทุนในตลาดแห่กันเข้าเก็บหุ้นอย่างเร่งร้อน เราควรรีบทำกำไรเช่นเดียวกัน

 

“C-A-N-S-L-I-M” 7 เคล็ดลับ “วิลเลียม โอนิล”

 

Value Way

 

วิบูลย์ พึงประเสริฐ

 

31 พฤษภาคม 2553

rating_on.gifrating_on.gifrating_on.gifrating_on.gifrating_on.gif

(
1
votes, average:
5.00
out of 5)

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

296308_199635770168886_1850723513_n.jpg

ข่ายความคิด ....ไร้ ...ขีดจำกัด... ขอบเขต

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

320432_199638970168566_429097234_n.jpg

ธรรมะอินเทรนด์ ธรรมะออนไลน์

 

 

ความสุขมักซ่อนตัวอยู่ใจกลางความเศร้า

 

ความเหงามักซ่อนตัวอยู่กลางความเริงร่า

 

ความกล้ามักซ่อนตัวอยู่ใจกลางความกลัว

 

ขอให้มั่นใจเถิดว่า ปัญญามักซ่อนตัวอยู่ภายในปัญหาเสมอ

 

ขอให้เรานิ่งคิด หยุดแล้วคิดให้นิ่ง ลึกซึ้งและหยุดความคิดให้ได้

 

ก็จะเห็นว่าปัญหาแต่ละอย่างนั้นมีทางออกเสมอ

 

[ท่านปิยโสภณ]

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...