ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

ธนาคารกลางจีนระบุในแถลงการณ์บนเว็บไซท์ว่า ณ สิ้นเดือนส.ค. ปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบ M2 ซึ่งครอบคลุมถึงเงินสดหมุนเวียนและเงินฝากทั้งหมด เพิ่มขึ้น 13.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ 78.07 ล้านล้านหยวน ลดลง 1.2% จากการขยายตัวของเดือนก.ค. และ 5.7% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

 

ปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบ M1 ซึ่งเป็นมาตรวัดที่แคบกว่า เพิ่มขึ้น 11.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี 27.33 ล้านล้านหยวน ลดลง 0.4% จากเดือนก.ค. และ 10.7% จากเดือนส.ค.ปีที่แล้ว

 

ยอดปล่อยกู้ใหม่ในเดือนส.ค.สูงกว่าเงินกู้ที่เพิ่มขึ้นในเดือนก.ค.อยู่ 5.59 หมื่นล้านหยวน

 

"เงินกู้ใหม่ในเดือนส.ค.โดยพื้นฐานแล้วสอดคล้องกับคาดการณ์ของผมที่ 5.50 แสนล้านหยวน" นายจ้าว ชิงหมิง นักวิจัยระดับสูงของธนาคารไชน่า คอนสตรัคชัน แบงก์ ซึ่งเป็น 1 ในธนาคารรายใหญ่ที่สุดของประเทศ กล่าว

 

นายจ้าวกล่าวว่า การขยายตัวของเงินกู้ฟื้นตัวขึ้นในช่วงเดือนส.ค. เนื่องจากธนาคารกลางตั้งข้อสังเกตว่า บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กกมีความลำบากในการเข้าถึงเงินกู้ และดังนั้น จึงผ่อนคลายความพยายามคุมเข้มสภาพคล่องในตลาด

 

นอกจากนี้ นายจ้าวยังกล่าวว่า การก่อสร้างที่เร็วขึ้นในโครงการที่อยู่อาศัยที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ยังช่วยหนุนการเพิ่มขึ้นของการให้เงินกู้ในเดือนส.ค

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณทุกคำตอบอ่านแล้วเข้าใจทะลุปรุโปร่งคะ. สุดโค่ย ๆๆๆๆๆ

 

อิอิ หมดโควต้าบวกแล้วคะ

ถูกแก้ไข โดย Aiya

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณคุณเด็กขายของที่ช่วยตอบข้อข้องใจครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

พรุ่งนี้น้องทองจะเป็นอย่างไร อยากให้โดนทุบๆๆ จะได้เข้าเก็บของถูก

 

ขออภัยคนเชียร์ขึ้นนะครับ !ghost !ghost

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

พรุ่งนี้ทองขึ้นแต่เช้ามืด แล้วภาพรวมทั้งวันคงขึ้นทดสอบ 1900 หมดสภาพอากาศแปรปรวนแล้ว ขอแสดงความยินดีกับคนที่มีทองคำแท่งอยู่ครับผม อิอิ :upstrong: :upstrong: :upstrong:

 

ปล. ของถูกมีให้เก็บไปแล้วครับ คริคริ

 

http://www.youtube.com/watch?v=xwCTyo9JVaI

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กัปตันมาพูดอวยพรแบบนี

ขอไปนอนฝันหวานดีก่า

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อรุณสวัสดิ์ค่ะทุกๆท่าน

ห่างหายไปหลายวันไม่มีเวลาเข้ามาเลย..เมื่อวานตามอ่านข่าว จากคุณเด็กขายของ คุณเศรษฐีน้อยฯ และเฮียแบทแมน..อัดแน่นไปด้วยสาระจริงๆค่ะ ขอบคุณมากนะคะ !thk !thk !thk

สัปดาห์นี้พร้อมรับสถาณการณ์ ไม่ว่าจะทำ New high หรือหล่นลงมาก็ตาม (ในใจเชียร์ new high) !La !La !La

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทิศทางค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ คาดอยู่ในกรอบ 29.90-30.10 บาท/ดอลลาร์ฯ

 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 กันยายน 2554 00:55 น.

 

Share

 

 

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่าเงินบาทอ่อนค่ากว่าระดับ 30.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ หลังจากที่ขยับแข็งค่าขึ้นช่วงสั้นๆ ต้นสัปดาห์จากแรงขายเงินดอลลาร์ฯ ที่คาดว่ามาจากผู้ส่งออกและผู้ค้าทองคำ อย่างไรก็ดี เงินบาททยอยอ่อนค่าลงในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ มาอยู่ที่ระดับอ่อนค่ากว่า 30.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ท่ามกลางแรงซื้อเงินดอลลาร์ฯ ที่มาจากฝั่งผู้นำเข้า และทิศทางการอ่อนค่าของสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลัก

ในวันศุกร์ (9 ก.ย.) เงินบาทอยู่ที่ 30.04 จากระดับ 29.93 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (2 ก.ย.)

แนวโน้มสัปดาห์นี้ (12-16 ก.ย. 2554) เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ 29.90-30.10 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยคงต้องจับตาการปรับตัวของตลาดการเงินในช่วงต้นสัปดาห์เพื่อตอบรับถ้อยแถลงของการประชุมกลุ่ม G-7 ข้อมูลเศรษฐกิจจีนเดือนส.ค. รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดค้าปลีก ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ข้อมูลการผลิตในภาคอุตสาหกรรม อัตราการใช้กำลังผลิต ดัชนีราคานำเข้าและส่งออก ฐานะการคลังเดือนส.ค. ข้อมูลเงินทุนไหลเข้าสุทธิสู่ตลาดการเงินสหรัฐฯ สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนก.ค. ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์ก ผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจัดทำโดยรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกน (ขั้นต้น) เดือนก.ย. ดุลบัญชีเดินสะพัดไตรมาส 2/2554 และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แนวโน้มตลาดหุ้น ดัชนีมีแนวรับ 1,055 และแนวต้าน 1,077 จุด

 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 กันยายน 2554 00:56 น.

 

Share

3

 

 

ดัชนี SET ปรับตัวลดลง จากแรงขายต่างชาติ ท่ามความกังวลต่อปัญหาหนี้ยูโรโซน โดยดัชนีปิดที่ระดับ 1,062.37 จุด ลดลง 0.26% จากสัปดาห์ก่อน ด้านมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดลง 10.02% จากสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 24,156.99 ล้านบาท โดยนักลงทุนรายย่อย และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ ขณะที่ นักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนสถาบัน ขายสุทธิ ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 298.14 จุด ลดลง 0.01% จากสัปดาห์ก่อน

ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงในวันจันทร์ โดยมีแรงขายในหุ้นขนาดใหญ่ จากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก่อนที่ดัชนีจะปรับตัวขึ้นช่วงกลางสัปดาห์ โดยปรับขึ้นตามตลาดต่างประเทศ หลังศาลเยอรมนีประกาศยกฟ้องคดีเงินสมทบกองทุนช่วยเหลือทางการเงินแก่กรีซ และแรงซื้อเก็งกำไรในแผนการจ้างงานของประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี ดัชนีปรับลดลงในวันศุกร์ หลังนายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ไม่ได้บ่งชี้ถึงมาตรการใหม่ๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ

สำหรับแนวโน้มสัปดาห์ระหว่างวันที่ 12-16 ก.ย. 2554 บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด และบริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีอาจยังคงผันผวน และมีโอกาสปรับฐาน โดยจะต้องติดตามสถานการณ์หนี้ยุโรปอย่างใกล้ชิด ซึ่งรวมถึงการประมูลพันธบัตรอิตาลีในวันที่ 12 ก.ย. นอกจากนี้ ปัจจัยที่ต้องจับตา ได้แก่ รายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ อาทิ ดัชนีราคาผู้บริโภค ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และความเชื่อมั่นผู้บริโภค ตลอดจนข้อมูลเศรษฐกิจจีน ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 1,055 และ 1,040 ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,077 และ 1,084 จุด ตามลำดับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บึ้มพลีชีพค่ายทหารNATOตาย4เจ็บ77ข่าวต่างประเทศ วันจันทร์ที่ 12 เดือนกันยายน พ.ศ.2554 01:07 น.

share

 

เกิดเหตุมือระเบิดฆ่าตัวตายก่อเหตุขับรถบรรทุกระเบิดที่ค่ายทหารนาโต้ ทางตอนกลางของอัฟกานิสถาน ทำให้ปชช.ตาย4 คน ทหารต่างชาติบาดเจ็บมากถึง 77 นาย ด้านกลุ่มตอลีบานอ้างตัวเป็นผู้ก่อเหตุ

 

 

เหตุเกิดขึ้นที่ค่ายทหารนาโตในจังหวัดวาร์ดัก ห่างจากกรุงคาบูลไปทางใต้ 50 กิโลเมตร นาโต้แจ้งว่า ทหารที่บาดเจ็บส่วนใหญ่จะสามารถกลับมาทำหน้าที่ได้ดังเดิม ระเบิดที่เกิดขึ้นทำให้ทางเข้าและกำแพงของค่ายทหารเสียหาย ขณะที่สำนักงานผู้ว่าการเขตไซเอ็ดอาบัดเผยว่า ระเบิดรุนแรงมากจนบ้านเรือนและร้านค้าใกล้เคียงเสียหายกว่า 100 หลัง ด้านโฆษกกลุ่มตอลีบานแถลงว่า รถบรรทุกคันที่ก่อเหตุนั้นมีระเบิด 9 ตัน ทำให้ทหารต่างชาติล้มตายหรือบาดเจ็บมากกว่า 100 นาย ก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วโมงกลุ่มตอลีบานออกแถลงการณ์กล่าวโทษสหรัฐว่าทำให้เกิดเหตุนองเลือดในอัฟกานิสถาน การรำลึกเหตุวินาศกรรม 11 กันยายนที่สหรัฐในแต่ละปีล้วนแต่ย้ำเตือนชาวอัฟกันถึงสิ่งที่พวกเขาไม่ได้ทำ แต่เหตุการณ์นี้ถูกใช้เป็นข้ออ้างของจักรวรรดินิยมอเมริกันในการฆ่าล้างชาวอัฟกันผู้บริสุทธิ์หลายหมื่นคน

 

Link : http://www.innnews.co.th/บึ้มพลีชีพค่ายทหารNATOตาย4เจ็บ77--307520_04.html

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

'จิตติ'ลากไส้กองทุนโลกปั่นทอง ฟันธงปีนี้แตะ 28,000 บาท

 

จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดีจากภาวะกระแส"ตื่นทอง"ทั่วโลก หันไปทางไหนก็จะได้ยินแต่คำว่าทอง ทอง และทอง นักลงทุนแห่ลงทุนในทองคำ ดันราคาพุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ หรือนิวไฮ ครั้งแล้วครั้งเล่า โดยราคาทองคำในตลาดโลก ทำนิวไฮที่ 1,922 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำในประเทศก่อนหน้านี้ทำนิวไฮที่ 27,000 บาท ขณะเดียวกับที่มีความผันผวนสูงมาก เห็นได้จากราคาทองคำในประเทศที่สมาคมค้าทองคำประกาศ มีการปรับราคาขึ้นลงวันละหลาย ๆ รอบ โดยล่าสุดวันที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา มีการปรับราคาถึง 22 รอบ

7 กันยายนที่ผ่านมา "ฐานเศรษฐกิจ"ได้บุกถนนสายทองคำ ย่านเยาวราช โดยมีนัดสัมภาษณ์พิเศษ "จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี " นายกสมาคมค้าทองคำ และประธานกรรมการบริษัท ห้างขายทองจินฮั้วเฮง จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจที่เขาสร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง

บทสัมภาษณ์ที่"ฐานเศรษฐกิจ"จะนำเสนอบรรทัดถัดจากนี้ จึงน่าสนใจยิ่งว่าผู้ที่มีประสบการณ์ในธุรกิจค้าทองคำมานานถึง 56 ปี มีมุมมองต่อภาวะตื่นทอง และราคาทองอย่างไร

***กระแสตื่นทองตอนนี้น่ากลัวหรือเปล่า

ผมคิดว่าเป็นภาวะที่น่ากลัว เพราะในอดีตตลอดเกือบ 60 ปีที่อยู่ในวงการค้าทองมา ไม่เคยมี เนื่องจากพวกกองทุนในยุโรป และสหรัฐอเมริกา ไม่มีทางหากิน และธุรกิจก็เจ๊งหมด จึงหันมาเก็งกำไรทอง อาศัยจากเครดิตดี เงินหนา และมีการสร้างกระแสจน "ตื่นทอง"ทั่วโลก

ในประเทศไทยเองก็เช่นกัน แม้ว่าราคาปรับขึ้นไปบาทละ 27,000 กว่าบาท นักลงทุนก็ยังกล้าซื้อทอง เนื่องจากจากกลุ่มนักวิเคราะห์ในต่างประเทศ ออกมาให้ข้อมูลว่า ทองคำมีโอกาสปรับขึ้นไปได้ถึง 2,000-2,500 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ส่วนราคาในประเทศก็มีคนคาดการณ์ว่า มีโอกาสถึงบาทละ 28,000-30,000 บาท เทียบกับในอดีต ราคาทองเคยปรับขึ้นไปบาทละ 20,000 บาท คนก็เริ่มนำทองออกมาขายแล้ว

แต่เวลานี้ไปไหนมาไหนก็มีคนพูดถึงแต่ทอง แม้จะยอมรับว่าทองคำถือเป็นสินทรัพย์ที่มั่นคงและคล่องตัว แต่ราคาที่เปลี่ยนแปลงเร็วมาก 20 กว่าครั้งต่อวันอย่างนี้ และทำให้ราคาปรับขึ้นลงบาทละ 600 บาทต่อวัน ถือว่าแรงมาก ถ้าไม่มีคนสร้างกลไก สร้างกระแสเพื่อหวังดันราคา คงเป็นไปไม่ได้ และในภาวะปกติคงไม่มีคนกล้าซื้อแน่ เพราะถือว่าราคาแพงมาก หากราคาทองคำปรับขึ้นไปถึงบาทละ 30,000 บาท

***เป็นเครื่องมือเก็งกำไร

หากมองให้ชัด ๆ นั้น ทองคำเป็นสินทรัพย์ตัวหนึ่งที่มั่นคงและคล่องตัว ควรซื้อลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยงและกระจายความเสี่ยง จนทำให้แต่ละประเทศถือทองคำเป็นทุนสำรองเพื่อป้องกันความเสี่ยง แต่เวลานี้ทองคำกลับเป็นเครื่องมือเก็งกำไร ให้กับกลุ่มกองทุนขนาดใหญ่ระดับโลก

"จากที่ผมคลุกคลีในวงการค้าทองกว่า 50 ปี ผมจึงกล้าวิจารณ์ ล่าสุดรอบที่ผ่านมาราคาทองคำก็ยังเคยปรับขึ้นไปสูงถึง 1,910 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ แล้วก็ถูกทิ้งดิ่งลงมาอย่างหนัก นี่เป็นสถิติที่ผ่านมา จะอ้างเหตุผลอะไรล่ะ หากไม่ใช่เป็นการสร้างกระแสจากนักวิเคราะห์ระดับโลก"

เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีก่อน และ 30 ปีก่อน แต่ในอดีตเป็นช่วงที่เศรษฐกิจดีด้วย โดยให้เหตุผลว่าคนมีกำลังซื้อเพิ่ม (เมื่อ30 ปีก่อน)ก็แห่ซื้อทอง เพชร พลอย ช่วงนั้นราคาทองขึ้นไป 800 กว่าดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ และสุดท้ายก็ตกลงมาเหลือ 257 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ จนสุดท้ายเหมืองทองเจ๊ง ขณะที่บรรดากองทุนก็เข้าไปเทกโอเวอร์เหมืองทองใหญ่ ๆทั่วโลก 10 กว่าเหมืองเพื่อควบคุมบริหารเอง

ประเทศจีนถือว่ามีทองมากที่สุด แอฟริกาใต้ เป็นอันดับ 2 กำลังผลิต 700-750 ตัน/ปี รวมทั่วโลกกำลังผลิตปีละ 3,000-3,500 ตันต่อปี ใกล้เคียงกับความต้องการใช้ในอุตสาหกรรม 3,000 กว่าตันต่อปี แต่ปัจจุบันความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมเพียง 2,000 กว่าตันก็ไม่หมดแล้ว เนื่องจากราคาทองคำปรับขึ้นได้ด้วย

***ห่วงรายย่อย แพงก็ซื้อ ถูกก็ซื้อ

แม้กระทั่งประเทศไทย คนซื้อขายทองกลายเป็นนักเก็งกำไร จนมีการเข้าแถวซื้อขายทองเกิดขึ้น ขณะที่ในอดีตไม่มี แต่เดี๋ยวนี้การเข้าคิวซื้อขายทองกลายเป็นภาวะปกติไปแล้ว ดังนั้นกระแสการซื้อทองในทุก ๆ ราคาที่ปรับขึ้น แม้กระทั่งราคาปรับขึ้นไปถึง 1,900 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ เพราะมองว่าราคาจะปรับขึ้นไปอีก 2,500 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ หรือประมาณ 30,000 บาทต่อบาททอง

จนในที่สุดราคาถูกปรับลงแรงถึง 1,800 กว่าดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์นั้น คือ บรรดากองทุนที่เป็นรายใหญ่เทขายออกมานั่นเอง ก็ยังมีคนเข้าซื้ออีก เหมือนกับพวก "หมูไม่กลัวน้ำร้อน" ของพวกนักลงทุนรายย่อย ราคาก็เลยปรับขึ้นมาใหม่อีกรอบนั่นเอง ซึ่งแสดงถึงกลยุทธ์การเก็งกำไร

"รอบนี้ราคาทองคำมีโอกาสจะร่วงแรงกว่าครั้งที่แล้ว แต่คาดว่าคงไม่ต่ำกว่าบาทละ 20,000 บาท ดังนั้น ราคาทองคำที่ขึ้นมาเป็นกลยุทธ์เก็งกำไร มากกว่าเกี่ยวกับปัจจัยเศรษฐกิจโลก ซึ่งมีผลต่อราคาทองคำน้อยกว่า"

***รอบนี้ได้เห็นทอง 30,000 บาท หรือไม่

ผมมองว่ากองทุนทองคำทั่วโลก ขนาดใหญ่ ๆ ที่มี 10 กว่าแห่ง มีการฮั้วกัน หากราคาทองคำปรับขึ้นไป 2,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ หรือเป็นเงินบาทประมาณบาทละ 28,000 บาท จะยิ่งทำให้มีกำไรเยอะมาก จนอาจจะแตกคอกันและเทขายออกมาได้

"รอบนี้กองทุนขนาดใหญ่มีต้นทุนทองคำที่ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ และเป้าหมายของกลุ่มนี้คือ การจ้องกินตลาดใหญ่ คือ ประเทศจีน ซึ่งสะสมทองคำไว้มากที่สุด เพราะว่าทองคำต้นทุนการผลิตหน้าเหมืองอยู่ที่ 720 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์เท่านั้น"

***สูตรวิเคราะห์ราคาทองคำของคุณจิตติ

การวิเคราะห์ราคาทองคำของผมจะอิงจาก 1.ราคาหน้าเหมือง ซึ่ง ณ วันนี้ราคาทองคำปรับเกินไปมากแล้ว โดยต้นทุนหน้าเหมืองอยู่ที่ 750 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ 2.อิงจากต้นทุนบรรดากองทุนขนาดใหญ่ ซึ่งพบว่าพวกเขามีต้นทุนประมาณ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์

"หากราคาปรับขึ้นไปมาก ๆ ขณะที่ความต้องการใช้ทองคำในอุตสาหกรรมจิวเวลรีกลับลดลง ซึ่งแสดงถึงการปั่นราคาชัดเจน เพราะผมคิดว่าราคาที่ปรับขึ้น มันไม่มีเหตุผลรองรับ เมืองไทยสมัยก่อนคนนิยมซื้อทองคำ จนมียอดรวมกันถึง 4,000 ตัน เดี๋ยวนี้ขายเกือบหมดแล้ว เหลือไม่ถึงครึ่ง อีกอย่างก็ไม่มีปัญญาซื้อ เพราะตอนนี้ราคาทองคำแพงขึ้น ขนาดราคาทองคำสลึงเดียว ก็ประมาณ 5,000-6,000 บาทแล้ว"

***ปัจจุบันความต้องการทองคำในอุตสาหกรรมเท่าไหร่

ปัจจุบันความต้องการทองคำในอุตสาหกรรมจิวเวลรีและกลุ่มซื้อทองคำรูปพรรณด้วย โดยรวมประมาณ 3,000-3,500 ตันเท่านั้น

***แนะนำลงทุนอย่างไร

ทองคำทุกวันนี้ที่มีการซื้อ ๆ ขาย ๆ กันวันละ 1,000 ตัน เป็นการซื้อขายผ่านทองคำกระดาษ (อีทีเอฟทองคำ หรือทองคำล่วงหน้า) หากจะมีการซื้อทองคำกันจริงระดับนี้คงไม่ไหว

เพราะฉะนั้นการลงทุนทองคำในทุกวันนี้ ไม่ควรถือลงทุนตลอด(ลงทุนระยะยาว) ควรขายทำกำไรออกมาเมื่อมีกำไรด้วย และไม่แนะนำหากลงทุนแล้วมีกำไรแต่ไม่ขายออก แต่กลับจะซื้อเพิ่ม โดยเฉพาะผู้ลงทุนในทองกระดาษ (โกลด์ฟิวเจอร์ส) อันตราย แต่หากซื้อทองคำจริง ๆ ไม่น่าห่วง

นอกจากนี้แนะนำการทำกำไร 2 ตลาด (อาบิธาท) คือ โกลด์ฟิวเจอร์สและตลาดทองคำแท่ง ซึ่งในบางช่วงราคาโกลด์ฟิวเจอร์สสูงถึง 1,000 บาท ต่างกันมาก มีวิธีทำกำไรโดยการซื้อทองคำจริงและขายในตลาดโกลด์ฟิวเจอร์สพร้อมกัน และปิดบัญชี นั่นคือกำไรทันที 1,000 บาท

***สิ้นปีได้เห็นราคาทองเท่าไหร่

สำหรับแนวโน้มราคาทองคำยังเป็นขาขึ้น แต่จริง ๆ แล้วเขาคาดการณ์กันไม่เกิน 3 เดือนเท่านั้น หากมองนานกว่านี้ลำบาก มีความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

"คาดว่าราคาทองคำรอบนี้ ภายใน 3 เดือน มีโอกาสขึ้นถึง 2,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ หรือบาทละประมาณ 28,000 บาท"

ทั้งนี้ ราคาทองคำในประเทศยังขึ้นกับค่าเงินบาทด้วย แต่ปัจจุบันค่าเงินยังนิ่งอยู่ที่ 29-30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถ้าค่าเงินเปลี่ยนแปลงไป 1 สตางค์ ราคาทองคำจะเปลี่ยนแปลงไป 8 บาท และถ้าค่าเงินเปลี่ยนไป 10 สตางค์ราคาทองคำเปลี่ยนไป 80 บาท ถ้า 2 อย่างเปลี่ยนแปลงทั้งค่าเงิน และ ราคาทองโลก นักลงทุนปวดหัวแน่!

 

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,669 11-14 กันยายน พ.ศ. 2554

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

สมัยก่อนนานมาแล้ว เมื่อถึงวันอาทิตย์หลายบ้านจะไปซื้อหนังสือพิมพ์แอล.เอ.ไทมส์มาไว้ ส่วนหนึ่งจะนำมาตัดคูปองส่วนลดราคาต่างๆที่ห้างสรรพสินค้าหรือตลาดลงโฆษณาไว้  ครั้นตัดไว้มากๆก็จะประหยัดได้มาก  ร้านลิคเคอร์หลายแห่งก็ตัดคูปองเองเพื่อจะได้นำไปขึ้นเงินกับบริษัท                ทุกวันนี้คูปองที่ว่าก็ยังมีอยู่ อาจจะส่งมาให้สัปดาห์ละครั้ง ส่วนใหญ่เป็นพวกตลาดที่อยู่ใกล้บ้านหรือร้านยาCVSว่าสัปดาห์นี้มีอะไรลดบ้าง  การดูโฆษณาจากแผ่นใบปลิวที่ให้มาและไปซื้อหาสินค้าตามต้องการจะได้รับส่วนลดมา  เช่นตลาด Stater Bro. ปีนี้ครบรอบ 75 ปีของการก่อตั้งก็จะขายสินค้าให้ 75 เซ็นต์หลายรายการ แม้กระทั่งไก่สดเป็นตัวก็ปอนด์ละ 75 เซ็นต์เป็นต้น

 

นอกจากนี้ก็มีคูปองภัตตาคารต่างๆที่ให้ส่วนลด หากท่านจะไปรับประทานตามภัตตาคารขอแนะนำให้ตัดคูปองเพื่อจะได้ประหยัด

 

                ยุคสมัยใหม่คูปองขึ้นออนไลน์  เมื่อเราจะซื้อสินค้าอะไรก็ไปหาตามออนไลน์แล้วตัดคูปองนำไปแสดง  สิ่งเหล่านี้ถือเป็นโอกาสที่ร้านค้าหรือภัตตาคารมอบให้  จงอย่าอายเพราะจะทำให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้มาก

 

พูดถึงเรื่องนี้แล้วก็อยากจะก้าวไปถึงแสตมป์อาหารที่เรียกกันติดปากว่าฟู้ดแสตมป์(food stamps) อันว่าฟู้ดแสตมป์นี้ออกโดยกระทรวงเกษตรสหรัฐให้แก่ผู้มีคุณสมบัติครบอาทิเช่นครอบครัวรายได้น้อย,เด็ก,ผู้สูงอายุ,คนพิการ,ผู้รับเงินอุดหนุนจากประกันสังคมที่เรียกว่า SSI (Supplemental Social Security Income) คนจรจัด,หรืออายุกว่า 60 ปีขึ้นไป

 

การนำฟู้ดแสตมป์ไปจับจ่ายซื้อหาตามตลาด,ร้านค้า,ร้านโกรเซอรี่ จะปิดประกาศไว้ชัดเจนให้เห็นว่ารับฟู้ดแสตมป์

 

ปัจจุบันไม่เพียงแต่ตลาดและร้านโภชนาการเท่านั้นที่รับฟู้ดแสตมป์ มีข้อมูลจากกระทรวงเกษตรสหรัฐพบว่าในระหว่างปี 2005-2010 ธุรกิจต่างๆรับฟู้ดแสตมป์เพิ่มขึ้น เช่นร้านสะดวกซื้อหรือ Convenience store,ร้านขายยา,ปั๊มน้ำมัน,ภัตตาคารต่างๆ

 

 

.....

โดยหลักการของกระทรวงเกษตรช่วงปี 1970 โครงการนี้เรียกว่า Supplemental Nutrition Assistance Program (SNAP) จะต้องนำฟู้ดแสตมป์ไปซื้ออาหารเพื่อนำมาปรุง,อาหารสำเร็จรูปเช่นนมให้เด็กหรืออาหารโภชนาการอื่นใด  ส่วนภัตตาคารจะรับฟู้ดแสตมป์ได้ก็จากคนพิการ,ผู้สูงอายุและคนจรจัด(homeless)เท่านั้น

 

ต่อมาโลกเปลี่ยนไป ภัตตาคารต่างๆจึงขอเข้าร่วมโครงการSNAPprogram มากขึ้น ธุรกิจที่รับฟู้ดแสตมป์จากปี 2005-2010 เติบโตจาก 156,000 เป็น 209,000 ราย  ยอดเงินก็เติบโตเช่นกันคือจาก 28.5 พันล้านดอลลาร์เป็น 64.7 พันล้านดอลลาร์

 

ขณะนี้ภัตตาคารประเภทอาหารจานด่วนหรือ “แฟ้สท์ฟู้ด”กระโดดร่วมแจมเข้ามา เพราะนี่คือตัวเงินเช่นกันแม้จะไม่ใช่เงินสด แต่ก็ไปขึ้นได้ ดังนั้นภัตตาคารชื่อดังก็รับฟู้ดแสตมป์ประกอบด้วย

 

Yum! Brands ที่มีภัตตาคารในสังกัดเช่น Taco Bell, KFC, Long John Silver’s และ Pizza Hut

 

การเข้ามาของYum! Brands  เริ่มจากรัฐฟลอริด้า ขณะนี้ขยายมาใช้กับแคลิฟอร์เนีย,อริโซนาและมิชิแกน โดยดำเนินตามกฎของกระทรวงเกษตรอย่างเคร่งครัดนั่นคือรับฟู้ดแสตมป์จากคนพิการ,ผู้สูงอายุและคนจรจัด

 

ที่รัฐมิชิแกนภัตตาคารอีกหลายแห่งเข้าร่วมรับฟู้ดแสตมป์ประกอบด้วย Church’s Chicken, KFC, McDonald’s, Subway, ร้านแพนเค้ก,ปิซซ่า,บาร์บีคิว,ร้านกาแฟ,ร้านขนมตลอดจนอาหารบุฟเฟต์ จึงน่าจะเห็นว่าหากใครไม่ร่วมก็จะตกรถด่วนหรืออดได้ประโยชน์ไป

 

คราวนี้ไม่แต่เพียงตลาดหรือภัตตาคารเท่านั้นที่รับแสตมป์อาหาร ธุรกิจอื่นก็กระโดดเข้ามาร่วมเช่นปั๊มน้ำมัน ที่มีอาหารจำหน่าย,ร้านไอสกรีมแม้กระทั่งกาแฟเย็นราคา$2.79 ก็ใช้ฟู้ดแสตมป์ กลายเป็นว่ากฎเกณฑ์ถูกละเลยเพราะฟู้ดแสตมป์ต้องการมุ่งขายอาหารประเภท”ร้อน”แก่คนพิการหรือคนชราเท่านั้นไม่ใช่ไอสกรีมหรือกาแฟเย็น

 

โดยสรุป”ทิป”ฉบับนี้ขอแนะนำให้ใช้คูปองและฟู้ดแสตมป์(ในกรณีที่ท่านมีคุณสมบัติครบ)เพราะโลกเราทุกวันนี้ทั้งอาหารและน้ำมันเติมรถมีแต่จะแพงขึ้น  สิ่งใดที่เราประหยัดได้ก็ต้องประหยัด

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...