ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 20.88 จุดจากคาดการณ์เฟดผ่อนคลายการเงิน

 

 

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม 2555 07:48:15 น.

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (12 ธ.ค.) เพราะได้รับปัจจัยบวกจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะออกมาตรการผ่อนคลายการเงินเพิ่มเติม โดยเฟดได้แถลงผลการประชุมหลังจากตลาดหุ้นลอนดอนปิดทำการแล้ว

 

ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 20.88 จุด หรือ 0.35% ปิดที่ 5,945.85 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 5,915.91-5,948.50 จุด

 

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า เฟดจะประกาศแผนการซื้อพันธบัตรเพิ่มเติมในการประชุมครั้งล่าสุดซึ่งจะเสร็จสิ้นในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ โดยมีเป้าหมายที่หนุนเศรษฐกิจสหรัฐให้ขยายตัวอย่างยั่งยืน

 

การที่นักลงทุนนักลงทุนจับตาดูการประชุมเฟดในครั้งนี้อย่างใกล้ชิดก็เพราะว่า มาตรการ Operation Twist จะหมดอายุลงในสิ้นเดือนนี้ ซึ่งทำให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่า เฟดอาจจะประกาศใช้ QE4 ด้วยการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐรอบใหม่วงเงิน 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน เพื่อรองรับแนวโน้มเศรษฐกิจเมื่อมาตรการ Operation Twist หมดอายุลง

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

 

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

จากประโยคคำแปลที่มาจากประชุมเฟด " นอกจากนี้ เฟดยังมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) ที่ระดับ 0 - 0.25% พร้อมกับให้คำมั่นสัญญาว่าจะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำเป็นพิเศษที่ 0-0.25% ไปจนกว่าอัตราว่างงานจะลดลงต่ำกว่า 6.5% โดยมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจและการสร้างงาน "

 

นักลงทุนมองกันที่ตัวเลขการว่างงาน ที่เฟดระบุไว้ 6.5% ถ้าอยู่ที่จุดนี้เมื่อไหร่ หรือต่ำกว่านี้ เมื่อไหร่ " จะปรับขึ้นดอกเบี้ย " มันแฝงไว้ด้วยความระแวงจากบรรดานักกู้เงินดอกเบี้ยถูกเพื่อไปทำสงครามการเงินในภาคส่วนต่างๆๆ ที่จะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น เพราะอะไร ? ล่าสุด ที่กรมแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลออกมา บอกว่า อเมริกันชนตกงาน 7.7% มันมีช่วงห่างจากที่เฟดบอกไว้แค่ 0.8% คิดว่ายังไง จะนานไหมจากนี้เป็นต้นไป มันเป็นตัวเลขที่ห่างกันน้อยมาก เพราะถ้ามองจากนโยบายของผู้นำสหรัฐฯ โอบามา และ ภาคโรงงานในธุรกิจสหรัฐ เพราะ

1. ตามนโยบายโอบามา Forward เดินหน้าต่อไป สร้างงาน

2. นโยบาย ย้ายฐานการผลิต จากที่เคยไปจ้างการผลิตที่ประเทศจีน จะย้ายฐานมาผลิตในสหรัฐอเมริกา เช่น Apple เป็นต้น

 

ความตกใจในเรื่องนี้แหล่ะ น่าจะเป็นต้นเหตุให้นักลงทุน ไม่ไว้วางใจ ในเรื่องเงินกู้ดอกเบี้ย 0% ที่นำมาสร้างผลตอบแทนแบบง่ายๆ อีกต่อไป ต้นทุนจะต้องเพิ่มขึ้น พร้อมความเสี่ยงที่มีอย่างต่อเนื่อง

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

goldich1_20121212115312.gif

 

จากกราฟฯ เมื่อคืน ผลออกมาก็ตกเกินคาด

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

XAUUSD_20121212122402.png

 

และก็มาเข้าทาง ในมุมมองของกราฟฯ ส่วนนี้ โดยมองจากข่าวสารของเฟด และ Panic ขาย ในประเด็น ช่วงถ่างของอัตราว่างงานที่แคบ ทำให้มีการคาดการณ์ว่า ปลายปี 2014 ก็ถึงแล้ว และปรับดอกเบี้ยขึ้น ฝรั่งจึงน่าจะรีบตักตวงผลตอบแทนให้มากที่สุด ช่วงที่เหลือนี้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

การเมืองฉุด!S&Pคงเครดิตไทยหุ้นปิด1,354จุดสูงสุด16ปีธปท.ยันไร้แววฟองสบู่ (13/12/2555)

คลังแห้ว! เอสแอนด์พีคงอันดับเครดิตไทย แจงยังห่วงปัญหาการเมืองกระทบการเติบโตของประเทศ หุ้นกระฉูด บวกต่อ 13 จุด ปิดทะลุ 1,354 จุด ตลท.เตือนนักลงทุนระวัง ด้าน ธปท.ยันยังไม่พบฟองสบู่ตลาดหุ้น จับตาหนี้ภาคครัวเรือนสูงไม่หยุด

 

น.ส.จุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำ นวยการ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยถึงผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย โดยบริษัท สแตน ดาร์ดแอนด์พัวร์ส (เอสแอนด์พี) ว่า เอสแอนด์พีได้ยืนยันระดับอัน ดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ระยะยาวที่ระดับ BBB+ และระยะสั้นสกุลเงินต่างประเทศที่ระดับ A-2 และระดับอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ระยะยาวที่ระดับ A- และระยะสั้นสกุลเงินบาทที่ระดับ A-2 และได้ยืนยันแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของไทยที่ระดับมีเสถียรภาพ

 

นอกจากนี้ยังยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยบน ASEAN Regional Scale ระยะยาวที่ axAA และระยะสั้นที่ axA-1 ตามลำดับ

 

ทั้งนี้ แนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือที่มีเสถียรภาพสะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าจะไม่เกิดความไม่สมดุลระหว่างภาคต่างประ เทศ การคลัง และการเงินของประ เทศ รวมถึงเศรษฐกิจการเมืองของ ประเทศไทยจะยังคงอยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ

 

อย่างไรก็ดี เอสแอนด์พีอาจปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยลง หากฐานะการคลังและตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจลดลงอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากนโยบายประชานิยมของรัฐบาล เอส แอนด์พีเชื่อว่าโอกาสในการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ไทยจะปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น หากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ ทางการเมืองลดลง ซึ่งจะเพิ่มความ แข็งแกร่งให้แก่สถานะอันดับความ น่าเชื่อถือของประเทศ

 

ด้านดัชนีหุ้นไทยวันที่ 12 ธ.ค.2555 ปิดการซื้อขายที่ 1,354.57 จุด เพิ่มขึ้น 13.24 จุด มูลค่าการซื้อขาย 43,485.08 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 150.89 ล้าน บาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขาย สุทธิ 902.88 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 4,387.76 ล้านบาท และรายย่อยขายสุทธิ 3,635. 77 ล้านบาท

 

นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลัก ทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า หุ้นไทยวันที่ 12 ธ.ค.2555 ปิดที่ 1,354.57 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของปีนี้ และทำสถิติสูงสุดใหม่ในรอบ 16 ปี 10 เดือน นับจากวันที่ 22 ก.พ.2539 ซึ่งปิดที่ 1,361.42 จุด

 

อย่างไรก็ตาม จากการที่มี ข่าวต่างๆ ส่งผลกระทบต่อตลาด หลักทรัพย์ทั่วโลก ผู้ลงทุนควรติด ตามข่าวสาร ข้อมูล บทวิเคราะห์เพื่อติดตามผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด และพิจารณากระจายความ เสี่ยงในการลงทุนให้เหมาะสม

 

นายทรงธรรม ปิ่นโต ผู้อำนวยการสำนักนโยบายการเงิน ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนา คารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าว ในงานสัมมนา อนาคตเศรษฐกิจไทย สร้างโอกาสลงทุน ลุ้นผลตอบ แทนปี 2556 จัดขึ้นที่ ตลท. ว่า ธปท.ยังไม่เห็นสัญญาณว่าจะเกิดฟองสบู่ในตลาดหุ้นไทย แม้ว่าใน ช่วงนี้หุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างสูง แต่สาเหตุส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะว่านักลงทุนสถาบันต่างประ เทศให้ความสนใจแก่ตลาดหุ้นใหม่ๆ ที่อยู่ในเอเชีย รวมถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไทยดีขึ้น

 

ส่วนประเด็นที่มีการจับตามองคือ แนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่องของสินเชื่อภาคครัวเรือนโดยเฉพาะสินเชื่อส่วนบุคคลในส่วนสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยก็ขยายตัวดี โดยล่าสุดทาง ธปท.ยังไม่พบ สัญญาณเก็งกำไรราคาภาคที่อยู่อาศัย แต่มีสิ่งที่ต้องติดตามต่อไป คือ การเร่งตัวของราคาที่อยู่อาศัย ประเภทคอนโดมิเนียม และสัญ ญาณการผิดนัดชำระหนี้ภาคที่อยู่อาศัยที่สูงขึ้นมาในระยะหลัง.

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ (วันที่ 13 ธันวาคม 2555)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ป๋าครับ ย่อลงมาให้ซื็อป่าวครับ ควรซื้อที่ประมาณเท่าไหร่ ประเด็นที่สอง หมายความว่าต่อไป ฝรั่งจะขายหุ้นที่มาลงทุนในบ้านเราไป??

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทองปิดบวก $8.3 หลังเฟดใช้ QE4 ฉุดเงินดอลล์อ่อน

วันพฤหัสบดี, 13 ธันวาคม 2555 07:48 | อัพเดตล่าสุดเมือ วันพฤหัสบดี, 13 ธันวาคม 2555 07:48 | วันเผยแพร่ | พิมพ์ | อีเมล

 

ทองปิดบวก $8.3 หลังเฟดใช้ QE4 ฉุดเงินดอลล์อ่อน

 

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 8.3 ดอลลาร์ หรือ 0.49% ปิดที่ 1,717.9 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 33.782 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 76.5 เซนต์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 2.95 เซนต์ ปิดที่ 3.7160 ดอลลาร์/ปอนด์

 

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค.ปิดที่ 1646.40 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 6.40 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 701.15 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 4.35 ดอลลาร์

 

โดยสัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (12 ธ.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบที่ 4 (QE4) ซึ่งส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำอย่างคึกคัก

 

http://www.moneychannel.co.th

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

QE4มาเร็ว เฟดกระตุ้นเศรษฐกิจอีกรอบ(13/12/2555)

 

เทรเดอร์ในตลาดหุ้นสหรัฐฯแสดงปฏิกริยาหลังธนาคารกลางกระตุ้นเศรษฐกิจอีกรอบ

 

เอเอฟพี/เอเจนซี - ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เมื่อวันพุธ(12) ประกาศแผนซื้อพันธบัตรรอบใหม่ วงเงิน 45,000 ดอลลาร์ต่อเดือนตามความคาดหมาย เพื่อรองรับแนวโน้มเศรษฐกิจเมื่อมาตรการ Operation Twist หมดอายุลง พร้อมกันนั้นยังตั้งเป้าระดับคนว่างงานและอัตราเงินเฟ้อสำหรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรก ความเคลื่อนไหวหลังที่สร้างความประหลาดใจแก่นักวิเคราะห์ ที่คาดกันว่าคงต้องรอไปจนกระทั่งปีหน้า

 

ในความพยายามส่งสัญญาณที่ดีขึ้นเกี่ยวกับเส้นทางเดินนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ หลังจากคงอัตราดอกเบี้ยระดับร้อยละ0-0.25 มานานกว่า 4 ปี ในถ้อยแถลงของเฟดวานนี้(12)ระบุว่าจะไม่ยกเลิกอัตราดอกเบี้ยต่ำเตี้ยติดพื้นนี้จนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะต่ำว่าร้อยละ2.5 และหากว่าอัตราคนว่างงานยังคงมากกว่าร้อยละ 6.5 ขณะที่ตอนนี้อัตราคนว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 7.7

 

ด้วยที่มองว่าเศรษฐกิจของประเทศยังเติบโตในระดับปานกลาง คณะกรรมการกำกับนโยบายตลาดการเงิน (เอฟโอเอ็มซี) ยังประกาศแผนเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาววงเงิน 45,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อเดือน แทนมาตรการ "Operation Twist" ซึ่งจะหมดอายุลงในช่วงสิ้นปี 2012

 

แผนล่าสุดนี้ส่งผลให้รวมแล้วการเข้าซื้อสินทรัพย์หรือมาตรการการผ่อนคลายทางการเงินเชิงปริมาณ(QE) ทั้งพันธบัตรของกระทรวงการคลังและตราสารหนี้ที่มีหลักทรัพย์จำนองค้ำประกัน ซึ่งมีเป้าหมายกดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวเพื่อสนับสนุนการลงทุน เพิ่มขึ้นเป็นสูงถึง 85,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อเดือนเข้าให้แล้ว

 

หลังจากประชุมของ คณะกรรมการกำกับนโยบายตลาดการเงินซึ่งจัดขึ้นเป็นเวลา 2 วัน นายเบน เบอร์นันกี ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ย้ำว่าเศรษฐกิจของประเทศที่แม้จะเติบโตในอัตราปานกลาง แต่ก็ยังถูกฉุดรั้งไว้โดยอัตราคนว่างงานระดับสูง ที่เขาบอกว่าก่อความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อศักยภาพในทางเศรษฐกิจ

 

นอกจากนี้เขายังเตือนไปถึงสภาคองเกรสและทำเนียบขาว ว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งรวดที่จะหาทางคลี่คลายวิกฤตหน้าผาการคลังอย่างเร่งด่วน ด้วยความกังวลว่ามันอาจฉุดเศรษฐกิจกลับคืนสู่ภาวะถดถอยอีกครั้งในปีหน้า

ที่มา : ASTVผู้จัดการออนไลน์ (13 ธันวาคม 2555)

 

การเมืองฉุด!S&Pคงเครดิตไทยหุ้นปิด1,354จุดสูงสุด16ปีธปท.ยันไร้แววฟองสบู่ (13/12/2555)

ผู้ว่าธปท.เผยนโยบายการเงินปีหน้ายังผ่อนคลาย จับตาสินเชื่อครัวเรือน-อสังหาฯ (13/12/2555)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

น้ำมัน-ทองคำขึ้น หุ้นมะกันทรงตัวหลังเฟดกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 ธันวาคม 2555 05:09 น.

 

blank.gif blank.gif 555000015923801.JPEG blank.gif เอเอฟพี - ราคาน้ำมันวานนี้(12) ขยับขึ้น หลังโอเปกมีมติคงกำลังผลิตและดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงหลังเฟดขยายขอบเขตซื้อ พันธบัตรกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจัยนี้เองก็ผลักให้ทองคำพุ่งแรง แต่วอลล์สตรีทแค่ทรงตัว เหตุเพราะเป็นไปตามที่นักลงทุนคาดหมายไว้

 

สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนมกราคม เพิ่มขึ้น 98 เซนต์ ปิดที่ 86.77 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน เพิ่มขึ้น 1.49 ดอลลาร์ ปิดที่ 109.50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 

ดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงและโอเปกมีมติคงกำลังผลิตส่งผลให้ราคาน้ำมันดีด ตัวขึ้นในช่วงต้นของการซื้อขาย แต่ความคึกคักก็มีแค่จำกัดลงหลังกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เผยข้อมูลคลังเชื้อเพลิงสำรองรายสัปดาห์ในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 7 ธันวาคม พบว่าสต๊อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นถึง 843,000 บาร์เรล มากกว่าที่คาดหมายไว้

 

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯวานนี้(12)ปิดทรงตัว หลังธนาคารกลางอเมริกา(เฟด) แถลงขยายขอบเขตซื้อพันธบัตรเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ความเคลื่อนไหวที่เป็นไปตามที่คาดหมายไว้แล้วก่อนหน้านี้

 

ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ลดลง 3.30 จุด (0.20 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 13,245.14 จุด แนสแดค ลดลง 8.49 จุด (0.28 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 3,013.81 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 0.71 จุด (0.05 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,428.55 จุด

 

คณะกรรมการกำกับนโยบายตลาดการเงิน (เอฟโอเอ็มซี) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ แถลงเมื่อวันพุธ (12) จะเริ่มเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาววงเงิน 45,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อเดือนโดยไม่จำกัดระยะเวลา และจะคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำต่อไปเรื่อยๆตราบใดที่อัตราคนว่างงานสหรัฐฯยัง คงมากกว่าร้อยละ6.5 โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่นี้จะถูกนำมาใช้แทนมาตรการ "Operation Twist" ซึ่งจะหมดอายุลงในช่วงสิ้นปี 2012

 

ปัจจัยดังกล่าวก่อความคึกคักอย่างยิ่งต่อนักลงทุนในตลาดทองคำ ส่งผลให้ราคาทองคำวานนี้(12) ปิดบวกพอสมควร โดยราคาทองคำตลาดโคเมกซ์ของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ เพิ่มขึ้น 8.30 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,717.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

***เฟด ประกาศใช้ QE4

 

วันพฤหัสบดี, 13 ธันวาคม 2555 07:55 | อัพเดตล่าสุดเมือ วันพฤหัสบดี, 13 ธันวาคม 2555 07:55 | วันเผยแพร่ | printButton.png | emailButton.png

 

 

เฟด ประกาศใช้ QE4 ด้วยการซื้อบอนด์รอบใหม่ 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน และคงดอกเบี้ย 0-0.25% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

 

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) ที่ระดับ 0 - 0.25 % ในการประชุมระยะเวลา 2 วันซึ่งเสร็จสิ้นเมื่อวานนี้ (12 ธ.ค.) นอกจากนี้ เฟดประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบที่ 4 (QE4) โดยระบุว่าจะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐรอบใหม่ในวงเงิน 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน พร้อมกับให้คำมั่นสัญญาว่าจะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำเป็นพิเศษจน กว่าอัตราว่างงานจะลดลงต่ำกว่า 6.5% โดยมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจและการสร้างงาน

 

แถลงการณ์ภายหลังการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) ระบุว่า "เฟดจะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในวงเงิน 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือนม.ค.ปี 2556

 

ทั้งนี้ การเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐรอบใหม่ในวงเงิน 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน หรือ QE4 นั้น เป็นมาตรการที่เฟดนำมาใช้เพื่อแทนที่มาตรการ Operation Twist (การขายพันธบัตรระยะสั้นและเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาวเพื่อฉุดอัตราดอกเบี้ย ระยะยาวให้ลดลง) ซึ่งจะหมดอายุลงในช่วงสิ้นเดือนธ.ค.ปีนี้

 

นอกจากนี้ แถลงการณ์ของเฟดยังระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการจ้างงานยังคงขยายตัวปานกลางในช่วงหลายเดือนที่ผ่าน มา แม้สหรัฐได้เผชิญกับสภาพอากาศที่เลวร้าย อย่างไรก็ตาม อัตราว่างงานยังคงอยู่ในระดับที่สูงมาก ส่วนตัวเลขการใช้จ่ายภาคครัวเรือนยังคงขยายตัว ขณะที่ตลาดที่อยู่อาศัยก็ส่งสัญญาณการฟื้นตัวเช่นกัน แต่อัตราการขยายตัวของการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรยังคงชะลอตัวลง

 

http://www.moneychannel.co.th

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ป๋าครับ ย่อลงมาให้ซื็อป่าวครับ ควรซื้อที่ประมาณเท่าไหร่ ประเด็นที่สอง หมายความว่าต่อไป ฝรั่งจะขายหุ้นที่มาลงทุนในบ้านเราไป??

แหง่ครับ ย่อมาให้ซื้อ ( ถ้าพอร์ทว่าง หรือ ยังพออัดเข้าเพิ่มได้ ) ราคาฯ ที่คาดว่าอาแปะจะประกาศ 24,700 บาท ก็ดีครับ แต่ถ้ามาสัก 24,650 บาท ดียิ่งกว่า ส่วนประเด็นที่ 2 เรื่องตลาดหุ้นฯ ส่วนตัว วันนี้ เด็กขายของถอนตัวออกมาทั้งหมด เพื่อปิดบัญชีงบฯ ก็อย่างที่บอก 2 อาทิตย์สุดท้ายของปี เขาจะขอเห็นตัวเลขกำไรสุทธิ ไม่อยากเห็นตัวเลขลอยๆๆ ในบัญชีหุ้น แต่ทุนฝรั่งไม่เยอะหรอครับ เขาขายออกมา กองทุนไทยก็เข้าซื้อเรียบวุธ ทุนไทยเยอะมาก ไม่รู้เอาเงินมาจากไหน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

13 ธันวาคม 2555 05:43

ไนเม็กซ์ปิดบวกขานรับแผนเฟดซื้อบอนด์เพิ่ม

news_img_481898_1.jpg

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 

ราคาน้ำมันสหรัฐปิดตลาดปรับตัวขึ้นเพราะได้แรงหนุนจากเฟดประกาศแผนซื้อบอนด์เพิ่มเดือนละ4.5หมื่นล้านดอลลาร์และไออีเอเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์น้ำมัน

 

ราคาน้ำมันดิบไลท์สวีท ตลาดไนเม็กซ์ สหรัฐ ส่งมอบเดือนม.ค. ปรับตัวขึ้น 98 เซนต์ ปิดตลาดที่ 86.77 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ทะเลเหนือ ตลาดลอนดอน ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 1.49 ดอลลาร์ ปิดตลาดที่ 109.50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลง

 

ราคาน้ำมันดิบตลาดสหรัฐ ปรับตัวเพิ่้มขึ้น หลังจากที่สำนักงานพลังงานสากล (ไออีเอ) ปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์น้ำมัน ขณะที่รัฐมนตรีกลุ่มโอเปค ประชุมร่วมกันที่กรุงเวียนนาเพื่อกำหนดเป้าหมายการผลิตน้ำมัน โดยไออีเอ ระบุในรายงานประจำเดือนว่า การบริโภคน้ำมันทั่วโลกในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้จะอยู่ที่เฉลี่ย 90.5 ล้านบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นราว 435,000 บาร์เรล หรือ 0.5% เมื่อเทียบกับการคาดการณ์ก่อนหน้านี้

 

ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาดูการประชุมของกลุ่มโอเปค ซึ่งสำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ประเทศสมาชิกโอเปคส่วนใหญ่ส่งสัญญาณว่า จะคงนโยบายการผลิตน้ำมันในองค์กรเอาไว้ โดยซาอุดิอาระเบีย อิรัก อิหร่าน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แองโกลา เอกวาดอร์ และลิเบีย ต่างระบุก่อนหน้านี้ว่า อุปทานและอุปสงค์นั้นอยู่ในระดับที่สมดุล ซึ่งชี้ให้เห็นว่า โอเปคจะคงเป้าหมายการผลิตอย่างเป็นทางการไว้ที่ 30 ล้านบาร์เรลต่อวัน

 

นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันสหรัฐ ยังได้อานิสงส์จากกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ ด้วยแผนซื้อพันธบัตรเพิ่มเดือนละ 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

น้ำมันดิบเพิ่มขึ้น หลังเฟดประกาศอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพิ่มเติม - บมจ.ไทยออยล์

 

 

" น้ำมันดิบเพิ่มขึ้น หลังเฟดประกาศอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพิ่มเติม "

 

เบรนท์ส่งมอบ ม.ค ปรับเพิ่มขึ้น 1.49 ปิดที่ 109.50 เหรียญฯ และน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสส่งมอบเดือน ม.ค. ปรับเพิ่มขึ้น0.98 ปิดที่ 86.77 เหรียญฯ

 

+ ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นหลังธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ โดยการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวของสหรัฐฯในวงเงิน 45,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือนม.ค.ปี 2556 นอกจากนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำที่ใกล้ 0% จนกว่าอัตราว่างงานจะลดลงต่ำกว่า 6.5% ซึ่งอัตราการว่างงานในเดือน พ.ย. ยังคงอยู่ระดับ 7.7%

 

+ สำนักพลังงานสากล (IEA) ปรับการคาดการณ์ความต้องการน้ำมันในปี 2556 เพิ่มขึ้น 111,000 บาร์เรลต่อวัน จากการคาดการณ์เมื่อเดือนก่อนหน้า โดยความต้องการใช้น้ำมันจะขยายตัว 865,000 ล้านบาร์เรลต่อวัน มาอยู่ที่ 90.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน และคาดว่าอุปทานจากสหรัฐฯ ในปี 2556 จะเพิ่มมากขึ้นโดยคิดเป็นสัดส่วน 2 ใน 3 ของอุปทานที่เพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตกลุ่มนอกโอเปก 890,000 บาร์เรลต่อวัน มาอยู่ที่ 54.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากการผลิตหินน้ำมัน (Shale Oil)เพิ่มมากขึ้น

 

- อย่างไรก็ดี โอเปคตัดสินใจคงเป้าหมายการผลิตน้ำมันไว้ที่ระดับเดิมที่ 30 ล้านบาร์เรลต่อวัน แม้คาดว่าความต้องการน้ำมันจากกลุ่มโอเปกจะลดลงในปีหน้า เนื่องจากปริมาณการผลิตหินน้ำมัน (Shale Oil) ในสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้น

 

- สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) ประกาศปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯสิ้นสุด ณ วันที่ 30 พ.ย. 55 ปรับเพิ่มขึ้น 0.84 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่คาดไว้ว่าจะลดลง 2.3 ล้านบาร์เรล ขณะที่ปริมาณน้ำมันดีเซลคงคลังปรับเพิ่มขึ้น 3.0 ล้านบาร์เรล และปริมาณน้ำมันเบนซินคงคลังปรับเพิ่มขึ้นมากถึง 5.0 ล้านบาร์เรล

 

+ โรงกลั่นน้ำมัน Motiva หน่วยใหม่กำลังการผลิต 325,000 บาร์เรลต่อวัน ที่ Port Arthur รัฐเท็กซัส สหรัฐฯ เกิดการรั่วที่ท่อน้ำมันทำให้เกิดไฟไหม้เมื่อคืนวันอังคารในระหว่างการเดินเครื่อง หลังปิดซ่อมเมื่อเดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้นราคาน้ำมันเบนซิน ปรับเพิ่มขึ้นน้อยกว่ากับราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากปริมาณน้ำมันเบนซินคงคลังที่ญี่ปุ่นปรับเพิ่มขึ้น อีกทั้งคาดว่าโรงกลั่นน้ำมันที่ประเทศอินเดียจะกลับมาดำเนินการผลิตในช่วงปลายเดือนธ.ค. หลังปิดซ่อมบำรุงเป็นเวลา 1 เดือนราคาน้ำมันดีเซล ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากโรงงกลั่นในประเทศญี่ปุ่นลดปริมาณน้ำมันดีเซลลง เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันก๊าด เนื่องจากความต้องการน้ำมันก๊าดเพื่อใช้ทำความร้อนเพิ่มขึ้น

 

ทิศทางราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นและปัจจัยที่น่าจับตามอง

 

กรอบการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้ เบรนท์ 105 -112 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ส่วนเวสต์เท็กซัส 83-90 เหรียญฯ ราคาจะยังคงผันผวนจากแรงกดดันเรื่องปัญหาหน้าผาการคลังของสหรัฐฯ ขณะที่ความตึงเครียดในตะวันออกกลางยังคงสร้างความกังวลต่ออุปทานน้ำมันดิบ ติดตามการประชุมสุดยอดผู้นำกลุมยูโรโซนในวันนี้

 

ตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่

วันพฤหัส:ยอดค้าปลีก ยอดขอรับสิทธิประโยชน์จากการว่างงานสหรัฐฯ การประชุมผู้นำกลุ่มยูโรโซน รวมทั้งดัชนีชี้วัดภาคการผลิตจีน (HSBC)

วันศุกร์: ดัชนีชี้วัดภาคการผลิตสหรัฐฯ ดัชนีชี้วัดภาคการผลิตและบริการ รวมทั้งดัชนีราคาผู้บริโภคยูโรโซน

 

- การประชุมสุดยอดผู้นำยุโรปในวันที่ 13-14 ธ.ค. ติดตามการอนุมัติเงินช่วยเหลือกรีซรอบใหม่อย่างเป็นทางการหลังมีการเห็นชอบในหลักการเบื้องต้นไปก่อนหน้านี้

- ความคืบหน้าของการหาทางออกให้กับปัญหาหน้าผาทางการคลัง (Fiscal Cliff) ของสหรัฐฯ หลังประธานาธิบดีโอบามาออกมาแสดงความเห็นว่าการเจรจาระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันใกล้ได้ข้อยุติหากรีพับลิกันยอมรับประเด็นการขึ้นภาษีผู้มีรายได้สูง

- ติดตามผลการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญในอียิปต์วันที่ 15 ธ.ค.นี้ หลังเกิดการประท้วงอย่างรุนแรงจากฝ่ายต่อต้านที่ไม่เห็นด้วยในหลายมาตรา นอกจากนี้ล่าสุดสมาคมผู้พิพากษาอียิปต์ออกมาประกาศจะไม่กำกับดูแลการลงประชามติดังกล่าว

- นอกจากนี้ติดตามสถานการณ์ความตึงเครียดรอบใหม่ระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์หลังอิสลาเอลประกาศแผนเดินหน้าสร้างที่อยู่อาศัยในเขตเวสต์แบงค์เพื่อตอบโต้ UN ที่รับรองสถานะปาเลสไตน์ให้เป็นรัฐชาติ รวมทั้งสถานการณ์ความรุนแรงในซีเรียยังเป็นที่กังวลต่อนานาชาติโดยเฉพาะประเด็นความเสี่ยงของการใช้อาวุธเคมี

 

ราคาน้ำมันดิบ (เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล)

-----------------------------------------------------------------

ราคาน้ำมันตลาดจร 11 ธ.ค.55 12 ธ.ค.55 เปลี่ยนแปลง

-----------------------------------------------------------------

เวสต์เท็กซัส (ม.ค.) 85.79 86.77 0.98

เบรนท์ (ม.ค.) 108.01 109.50 1.49

ดูไบ 104.10 104.68 0.58

เงินดอลลาร์ (เหรียญสหรัฐฯ ต่อ ยูโร) 1.3006 1.3072 0.0066

ดัชนีอุตสหกรรมดาวโจนส์ (จุด) 13248.44 13245.45 -2.99

ราคาทองคำ (เหรียญสหรัฐฯ ต่อ ออนซ์)1709.60 1717.90 8.30

----------------------------------------------------------------

 

ราคาขายปลีกและค่าการตลาด (บาท/ลิตร)

-------------------------------------------------------

UG91 GSH95 GSH91 B5

-------------------------------------------------------

ราคาหน้าโรงกลั่น 22.81 23.20 23.08 24.60

ภาษี 10.54 9.38 9.22 1.96

กองทุน 7.45 3.05 0.75 2.25

ค่าการตลาด 2.45 1.70 1.83 0.98

ราคาขายปลีก 43.25 37.33 34.88 29.79

-------------------------------------------------------

กบง. มีมติเก็บเงินกองทุนกลุ่มเบนซินและดีเซลเพิ่ม 50 และ 80 สต. / ลิตร มีผลวันที่ 12 ธ.ค. 55

ปตท.-บางจาก ลดราคาน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ 50 สต./ลิตร ส่วนดีเซลคงเดิม มีผลวันที่ 7 ธ.ค. 55

 

ราคาน้ำมันสำเร็จรูปประเทศสิงคโปร์ (เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล)

----------------------------------------------------------------

ราคาน้ำมันตลาดจร 11 ธ.ค.55 12 ธ.ค.55 เปลี่ยนแปลง

----------------------------------------------------------------

เบนซินออกเทน 95 116.43 116.83 0.40

น้ำมันก๊าดและอากาศยาน 121.96 122.70 0.74

น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (0.5%กำมะถัน) 121.00 121.72 0.72

น้ำมันเตา (3.5% กำมะถัน) 95.49 95.89 0.40

----------------------------------------------------------------

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สรุปประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจและการเงินรายวัน - ธ.ซีไอเอ็มบี ไทย

 

 

Snapshot

 

สหรัฐอเมริกา

- ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) ที่ระดับ 0 - 0.25 % ในการประชุมระยะเวลา 2 วันซึ่งเสร็จสิ้นในวันที่ 12 ธันวาคม พร้อมประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบที่ 4 (QE4) โดยระบุว่าจะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐรอบใหม่ในวงเงิน 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม 2556 และระบุให้คำมั่นสัญญาว่าจะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำเป็นพิเศษจนกว่าอัตราว่างงานจะลดลงต่ำกว่า 6.5% โดยมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจและการสร้างงาน ทั้งนี้ การเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐรอบใหม่ในวงเงิน 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน หรือ QE4 นั้น เป็นมาตรการที่ Fed นำมาใช้เพื่อแทนที่มาตรการ Operation Twist (การขายพันธบัตรระยะสั้นและเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาวเพื่อฉุดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวให้ลดลง) ซึ่งจะหมดอายุลงในช่วงสิ้นเดือนธันวาคมปีนี้ ขณะเดียวกัน แถลงการณ์ของ Fed ระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการจ้างงานยังคงขยายตัวปานกลางในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แม้สหรัฐได้เผชิญกับสภาพอากาศที่เลวร้าย อย่างไรก็ตาม อัตราว่างงานยังคงอยู่ในระดับที่สูงมาก ส่วนตัวเลขการใช้จ่ายภาคครัวเรือนยังคงขยายตัว ขณะที่ตลาดที่อยู่อาศัยก็ส่งสัญญาณการฟื้นตัวเช่นกัน แต่อัตราการขยายตัวของการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรยังคงชะลอตัวลง

- ราคาสินค้านำเข้าในเดือนพฤศจิกายนลดลง 0.9% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นการร่วงลงมากที่สุดในรอบ 5 เดือน และลดลงในอัตราที่มากกว่าการที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลง 0.5% หลังราคาอาหารและพลังงานลดลง ส่วนราคาสินค้าส่งออกลดลง 0.7% หลังจากทรงตัวในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นการร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

- ยอดขาดดุลงบประมาณในเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.72 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากระดับ 1.37 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับการสำรวจโดยรอยเตอร์คาดไว้ว่า ยอดขาดดุลงบประมาณจะอยู่ที่ 1.50 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

 

ยุโรป: สหภาพยุโรป

- ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจยูโรโซนในปีนี้และปีหน้า พร้อมกับคาดว่าเศรษฐกิจยูโรโซนจะกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้งก็ในช่วงปลายปี 2556 โดยอีซีบีคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจยูโรโซนจะหดตัวลง 0.3% ในปี 2556 ซึ่งเป็นการปรับทบทวนลงจากก่อนหน้านี้ที่คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 0.5% ส่วนในปี 2557 นั้น อีซีบีคาดว่าเศรษฐกิจยูโรโซนจะขยายตัวราว 0.2-2.2% สำหรับในปีนี้ อีซีบีคาดว่าเศรษฐกิจยูโรโซนจะหดตัว 0.5% มากกว่าก่อนหน้านี้ที่เคยคาดว่าจะหดตัว 0.4% นอกจากนี้ อีซีบียังได้ปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปี 2556 ลงมาอยู่ที่ระดับ 1.6% จากก่อนหน้านี้ที่คาดไว้ที่ 1.9% ส่วนในปี 2557 นั้น คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในช่วง 0.6-2.2%

- นายมาริโอ ดรากิ ประธานธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) กล่าวว่า เศรษฐกิจยูโรโซนมีแนวโน้มอ่อนแอลงไปจนถึงปีหน้า โดยข้อมูลเชิงสถิติและผลการสำรวจชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจยูโรโซนจะอ่อนแอลงไปจนถึงไตรมาส 4 ปี 2556 ขณะเดียวกันนายดรากิคาดว่า กว่าที่เศรษฐกิจยูโรโซนจะกลับมาขยายตัวได้อีกครั้งก็คือช่วงปลายปี 2556 เนื่องจากตลาดการเงินเริ่มมีความเชื่อมั่นมากขึ้นและจากผลกระทบในด้านบวกของการใช้นโยบายผ่อนคลายของอีซีบี

- องค์การเพื่อความร่วมมือและพัฒนาเศรษฐกิจ (OECD) เปิดเผยว่า อัตราว่างงานในกลุ่มประเทศสมาชิก OECD ในเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้น แตะระดับ 8% ซึ่งสูงกว่าเดือนกันยายนอยู่ 0.1% ทั้งนี้ โดยรวมแล้ว มีจำนวนผู้ว่างงาน 48.1 ล้านคนในกลุ่ม OECD ในเดือนตุลาคม 2555 ซึ่งเพิ่มขึ้น 400,000 คนจากเดือนกันยายน ในส่วนของยูโรโซนนั้น วิกฤตหนี้สินที่ยืดเยื้อได้กระตุ้นความกังวลเกี่ยวกับการว่างงานในยูโรโซน โดยอัตราว่างงานในภูมิภาคดังกล่าวแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ที่ 11.7% ในเดือนตุลาคม หลังจากที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องนับแต่เดือนมิถุนายน 2554 โดยแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของอัตราว่างงานเกิดขึ้นในหลายประเทศของยูโรโซน ซึ่งมีอัตราว่างงานแตะระดับสูงสุดครั้งใหม่ โดยรวมถึงฝรั่งเศสที่ 10.7%, อิตาลี 11.1%, โปรตุเกส 16.3% และสเปนที่ 26.2%

- ร่างแถลงการณ์ของการประชุมสุดสหภาพยุโรป (อียู) แสดงให้เห็นว่า บรรดาผู้นำอียูจะพิจารณาความเป็นไปได้ของการสร้างระบบที่มีการรวมศูนย์มากขึ้นในการกำกับดูและภาคธนาคารและการปฏิรูปทางการคลัง ทั้งนี้ ผู้นำอียูอาจจะบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับความจำเป็นในการจัดการนโยบายการคลังของชาติสมาชิกอียู ก่อนการจัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแลเพียงหนึ่งเดียวที่รับผิดชอบดูแลภาคการธนาคารของยูโรโซน ซึ่งอาจจะมีขึ้นในปี 2557 หลังจากที่กรีซและประเทศสมาชิกทางตอนใต้ของยูโรโซนเผชิญกับวิกฤตหนี้สิน

 

เยอรมนี

- สำนักงานสถิติแห่งชาติของเยอรมนี (Destatis) รายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของเยอรมนีในเดือนพฤศจิกายนปรับตัวลง 0.1% จากเดือนตุลาคม แต่เพิ่มขึ้น 1.9% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งสอดคล้องกับการประเมินเบื้องต้น Destatis ระบุว่า CPI ที่ลดลงเมื่อเทียบรายเดือนเป็นผลมาจากต้นทุนพลังงานที่ลดลง 1.1% จากเดือนก่อนหน้า แม้ว่าราคาอาหารเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ผ่อนคลายลงบ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก

 

ฝรั่งเศส

- ธนาคารกลางฝรั่งเศสเปิดเผยว่า ฝรั่งเศสมียอดขาดดุลบัญชีเดินสะพัดลดลงมาอยู่ที่ 2.8 พันล้านยูโรในเดือนตุลาคม จากตัวเลขขาดดุลที่ 3.4 พันล้านยูโรในเดือนกันยายน ธนาคารระบุว่า ยอดเกินดุลบัญชีภาคบริการที่เพิ่มขึ้น สู่ระดับ 2.8 พันล้านยูโร จากเดือนก่อนหน้าที่ 2.1 พันล้านยูโร เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ยอดขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของฝรั่งเศสลดลงในเดือนตุลาคม

- ร่างแถลงการณ์ของการประชุมสุดสหภาพยุโรป (อียู) แสดงให้เห็นว่า บรรดาผู้นำอียูจะพิจารณาความเป็นไปได้ของการสร้างระบบที่มีการรวมศูนย์มากขึ้นในการกำกับดูและภาคธนาคารและการปฏิรูปทางการคลัง ทั้งนี้ ผู้นำอียูอาจจะบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับความจำเป็นในการจัดการนโยบายการคลังของชาติสมาชิกอียู ก่อนการจัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแลเพียงหนึ่งเดียวที่รับผิดชอบดูแลภาคการธนาคารของยูโรโซน ซึ่งอาจจะมีขึ้นในปี 2557 หลังจากที่กรีซและประเทศสมาชิกทางตอนใต้ของยูโรโซนเผชิญกับวิกฤตหนี้สิน

 

เอเชีย: ญี่ปุ่น

- สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นรายงานว่าคำสั่งซื้อเครื่องจักรของญี่ปุ่นในเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้น 2.6% จากเดือนก่อนหน้า ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์จากการสำรวจของ Bloomberg ทึ่คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 3% อย่างไรก็ดีก็เป็นการขยายตัวเป็นครั้งแรกในช่วง 3 เดือนซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากการที่ผู้ประกอบการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวในปี 2556 หลังการเลือกตั้งกลางเดือนนี้ซึ่งรัฐบาลใหม่มีแนวโน้มจะกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น

 

อินเดีย

- สำนักงานสถิติของอินเดียรายงานว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมของอินเดียในเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้น 8.2% จากเดือนเดียวกันปีก่อน หลังจากเดือนกันยายนลดลง 0.7% ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์จากการสำรวจของ Bloomberg คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 5.1% ทั้งนี้การขยายตัวในเดือนตุลาคมถือว่าเป็นการขยายตัวที่สูงที่สุดในรอบกว่า 1 ปี หลังจากรัฐบาลอินเดียปรับนโยบายเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นการขยายตัวให้สูงขึ้น

- อัตราเงินเฟ้อของอินเดียเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 3 เดือนเนื่องจากราคาน้ำตาลและผักเพิ่มขึ้นมาก โดยสำนักงานสถิติของอินเดียรายงานว่าดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้น 9.9% จากเดือนเดียวกันปีก่อน หลังจากเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้น 9.75%

 

ฮ่องกง

- กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ( IMF )รายงานว่าฮ่องกงมีความเสี่ยงจากการที่ราคาอสังหาริมทรัพย์อาจจะลดลงมากอย่างรวดเร็วหลังจากที่ราคาเพิ่มขึ้นมากจากผลของอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำและอุปทานที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ที่มีน้อย โดย IMF มองว่าภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นเป็นต้นเหตุหลักของความเสี่ยงทางเศรษฐกิจของฮ่องกง ขณะเดียวกัน IMF เห็นว่าฮ่องกงควรรักษาระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบเดิมซึ่งตรึงค่าเงินไว้กับดอลลาร์สหรัฐฯ

 

ไทย

- ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายนระบุว่า กรรมการ กนง.มีมติด้วยเสียงเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.75% โดยมองว่า นโยบายการเงินที่ผ่อนปรน ยังมีความจำเป็นและเหมาะสม เพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้ต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ โดยเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันยังมีความเสี่ยงด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจ มากกว่าความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ แม้ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกจะปรับลดลงบ้างแต่ความไม่แน่นอนยังมีอยู่มาก ภายใต้ความเสี่ยงดังกล่าว นโยบายการเงินที่ผ่อนปรนยังมีความจำเป็นและเหมาะสม กนง.ประเมินว่า เศรษฐกิจโลกมีเสถียรภาพมากขึ้น และมีสัญญาณปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจไทยล่าสุด ชี้ถึงอุปสงค์ในประเทศที่ดีกว่าคาด และมีแรงส่งอย่างต่อเนื่อง แม้ตัวเลขการส่งออกและการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก จะแสดงให้เห็นถึงเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความเสี่ยง แต่แรงส่งของเศรษฐกิจในประเทศ จะสามารถรองรับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกได้ระดับหนึ่ง ทั้งนี้ในภาพรวมคณะกรรมการ กนง.ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปี 2555 และ 2556มีแนวโน้มขยายตัวสูงกว่าประมาณการเดิม เนื่องจากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวดีกว่าที่คาดไว้ ขณะที่ภาคส่งออกจะกลับมามีบทบาทต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังของปี 2556 อย่างไรก็ตาม กนง.มองว่าแม้เศรษฐกิจโลกมีเสถียรภาพมากขึ้น แต่ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกอาจจะเลวร้ายลงยังมีอยู่ จึงควรรักษาทางเลือกในการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้นโยบายการเงิน(policy space) ไว้ก่อน เพื่อรอดูความชัดเจนของพัฒนาการทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป นอกจากนี้ในภาวะที่สินเชื่อในภาพรวมยังขยายตัวสูง โดยเฉพาะสินเชื่อในภาคครัวเรือนบางประเภท และสินเชื่อของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ การที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานาน ก็อาจจะเป็นการสะสมความเสี่ยงด้านเสถียรภาพการเงินได้เช่นกัน ดังนั้น กนง.จะติดตามพัฒนาการของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิดและพร้อมจะดำเนินนโยบายการเงินที่เหมาะสม ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

อื่นๆ

- กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) มีมติคงเป้าหมายการผลิตน้ำมันไว้ที่ 30 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในการประชุมที่กรุงเวียนนา โดยพิจารณาจากความผันผวนและซบเซาของเศรษฐกิจโลกในปี 2556 พร้อมส่งสัญญาณว่า OPEC พอใจกับราคาน้ำมันที่เป็นอยู่ในขณะนี้ อย่างไรก็ดี OPEC ยังไม่สามารถเลือกเลขาธิการคนใหม่ได้ เนื่องจากยังมีความขัดแย้งระหว่างซาอุดิอาระเบียกับอิหร่าน

 

Money Market

- บาท/ดอลลาร์ เมื่อวันพุธ (12 ธ.ค.) ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินบาทในช่วงเช้าวันนี้แม้ว่าวันนี้ดัชนีตลาดหุ้นเอเซียโดยรวมจะสูงขึ้นอีกทั้งนักลงทุนก็คาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯจะขยายมาตรการซื้อสินทรัพย์อีกหลังเสร็จสิ้นการประชุมเป็นเวลาสองวันในวันนี้

- เยน/ดอลลาร์ เมื่อวันพุธ (12 ธ.ค.)ค่าเงินเยนอ่อนลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯในช่วงเช้าวันนี้แม้ว่านักลงทุนจะคาดการณ์ว่าวันนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯจะประกาศขยายมาตรการซื้อสินทรัพย์อีกและจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนลง อย่างไรก็ดี ค่าเงินเยนก็ถูกกดดันให้อ่อนลงเช่นกันจากการที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นขยายตัวติดลบติดต่อกันสองไตรมาสที่ผ่านมาซึ่งทำให้มีแนวโน้มที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นจะต้องผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะหลังการเลือกตั้งกลางเดือนนี้ซึ่งรัฐบาลใหม่อาจจะกดดันให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นเพิ่มเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ

- ยูโร/ดอลลาร์ เมื่อวันพุธ (12 ธ.ค.) ค่าเงินยูโรอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯในช่วงเช้าวันนี้ อย่างไรก็ดี นักลงทุนคาดการณ์ว่าการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ สองวันที่จะสิ้นสุดวันนี้จะมีการประกาศขยายมาตรการซื้อสินทรัพย์และอาจส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนลง อย่างไรก็ดีในช่วงตลาดสหรัฐฯค่าเงินยูโรได้ปรับตัวแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ

 

Capital Market

- ตลาดสหรัฐฯ เมื่อวันพุธ (12 ธ.ค.) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลดลง หลังนายเบนเบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ระบุย้ำว่า นโยบายการเงินไม่เพียงพอที่จะชดเชยความเสียหายจากภาวะ fiscal cliff ขณะที่ Fed ประกาศที่จะซื้อพันธบัตรรายเดือนวงเงิน 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์และจะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเกือบ 0% ต่อไปจนกว่าอัตราการว่างงานจะลดลงสู่ 6.5% จากปัจจุบันที่ 7.7% โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 2.99 จุดหรือ 0.02% สู่ 13,245.45, ดัชนี S&P 500 ปิดเพิ่มขึ้น 0.64 จุด หรือ 0.04% สู่ 1,428.48 และดัชนี Nasdaq ปิดลดลง 8.49 จุด หรือ 0.28% สู่ 3,013.81

- ตลาดหุ้นเอเชีย เมื่อวันพุธ (12 ธ.ค.) ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดเพิ่มขึ้น 0.59% ในวันนี้จากการที่นักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯจะผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้น ทั้งนี้แม้รัฐบาลญี่ปุ่นแถลงในวันนี้ว่าเกาหลีเหนือได้ยิงขีปนาวุธพิสัยไกลเป็นครั้งที่สองของปีในวันนี้และดูเหมือนว่าขีปนาวุธที่เกาหลีเหนือยิงได้ข้ามผ่านเมืองโอกินาว่าของญี่ปุ่น สำหรับดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตและดัชนีฮั่งเส็งวันนี้ปิดตลาดเพิ่มขึ้น 0.39% และ 0.80% ตามลำดับ โดยได้ปัจจัยสนับสนุนจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯจะขยายนโยบายผ่อนคลายทางการเงินรวมทั้งการที่หุ้นในกลุ่มก่อสร้างมีราคาเพิ่มขึ้นเนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าบริษัทเหล่านี้จะได้ประโยชน์จากการที่ทางการจีนจะกระจายความเจริญไปในพื้นที่ทางตะวันตกของประเทศมากขึ้น ขณะที่หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ก็มีราคาสูงขึ้นจากการที่ตลาดมองว่าราคาหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานเมื่อเทียบกับการคาดการณ์แนวโน้มความสามารถในการทำกำไร

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้าปรับขึ้นต่อ Flow หนุน แต่อาจมีขายทำกำไรเป็นระยะ

 

สำนักข่าวอินโฟเควสท์ รายงาน่า นักวิเคราะห์ฯคาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสปรับขึ้นต่อ โดยได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ ที่ยังมีการซื้อต่อเนื่อง แต่แนะระวังแรงขายทำกำไร นอกจากนี้ยังได้รับแรงหนุนจากปัจจัยต่างประเทศที่ Fed ประกาศใช้ QE4 แทน Operation Twist

นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้บริหารสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์และกลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสปรับขึ้นต่อจาก Fund Flow ที่เห็นความต่อเนื่องมากขึ้น หลังวานนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 4 พันกว่าลบ. จากวันก่อนหน้าที่ซื้อสุทธิราว 2 พันลบ.

ทั้งนี้ ใน 1-2 วันนี้ ยังมีแรงหนุนให้ตลาดไนไทยปรับขึ้น แต่อาจไม่แรงเพราะการปรับขึ้นจะมีแรงขายทำกำไรออกมาเรื่อยๆ

"มองว่า 1-2 วันนี้ยังมีแรงซื้อเข้ามาต่อเนื่อง ก่อนที่แรงซื้อจะแผ่วลงช่วงครึ่งหลังธ.ค. ซึ่งเป็นช่วงใกล้ฉลองคริสมาสต์และปีใหม่" นายปริญทร์ กล่าว

สำหรับตลาดต่างประเทศ ดาวโจนส์ ทรงตัว แต่มีแรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบที่ 4 (QE4) แทนมาตรการ Operation Twist ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้บวกลบกรอบแคบ

มองแนวโน้มดัชนีวันนี้เคลื่อนไหวในช่วง 1,350-1,360 จุด

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...