ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

 

 

สำหรับผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการทั้ง 50 เขตนั้น พบว่า พรรคเพื่อไทยชนะเพียง 12 เขตคือ เขตดุสิต เขตหนองจอก เขตบางเขน เขตลาดกระบัง เขตหนองแขม เขตบางซื่อ เขตดอนเมือง เขตหลักสี่ เขตสายไหม เขตคันนายาว เขตคลองสามวา เขตคันนายาว

 

1.เขตพระนคร พล.ต.อ.พงศพัศได้ 8,854 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 15,074 คะแนน

 

2.เขตดุสิต พล.ต.อ.พงศพัศได้ 21,818 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 17,386 คะแนน

 

3.เขตหนองจอก พล.ต.อ.พงศพัศได้ 32,168 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 29,912 คะแนน

 

4.เขตบางรัก พล.ต.อ.พงศพัศได้ 4,824 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 13,632 คะแนน

 

5.เขตบางเขน พล.ต.อ.พงศพัศได้ 43,024 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 37,591 คะแนน

 

6.เขตบางกะปิ พล.ต.อ.พงศพัศได้ 26,330 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 35,581 คะแนน

 

7.เขตปทุมวัน พล.ต.อ.พงศพัศได้ 7,265 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 13,242 คะแนน

 

8.เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย พล.ต.อ.พงศพัศได้ 5,890 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 14,837 คะแนน

 

9.เขตพระโขนง พล.ต.อ.พงศพัศได้ 16,173 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 23,346 คะแนน

 

10.เขตมีนบุรี พล.ต.อ.พงศพัศได้ 27,327 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 28,744 คะแนน

 

11.เขตลาดกระบัง พล.ต.อ.พงศพัศได้ 38,370 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 25,179 คะแนน

 

12.เขตยานนาวา พล.ต.อ.พงศพัศได้ 11,148 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 21,359 คะแนน

 

13.เขตสัมพันธวงศ์ พล.ต.อ.พงศพัศได้ 2,752 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 9,346 คะแนน

 

14.เขตพญาไท พล.ต.อ.พงศพัศได้ 13,559 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 17,254 คะแนน

 

15.เขตธนบุรี พล.ต.อ.พงศพัศได้ 20,235 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 28,279 คะแนน

 

16.เขตบางกอกใหญ่ พล.ต.อ.พงศพัศได้ 13,046 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 17,393 คะแนน

 

17.เขตห้วยขวาง พล.ต.อ.พงศพัศได้ 14,906 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 18,616 คะแนน

 

18.เขตคลองสาน พล.ต.อ.พงศพัศได้ 11,088 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 21,089 คะแนน

 

19.เขตตลิ่งชัน พล.ต.อ.พงศพัศได้ 22,704 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 23,504 คะแนน

 

20.เขตบางกอกน้อย พล.ต.อ.พงศพัศได้ 20,510 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 26,695 คะแนน

 

21.เขตบางขุนเทียน พล.ต.อ.พงศพัศได้ 32,378 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 33,989 คะแนน

 

22.เขตภาษีเจริญ พล.ต.อ.พงศพัศได้ 27,327 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 28,009 คะแนน

 

23.เขตหนองเขม พล.ต.อ.พงศพัศได้ 33,129 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 29,232 คะแนน

 

24.เขตราษฎร์บูรณะ พล.ต.อ.พงศพัศได้ 17,305 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 17,625 คะแนน

 

25.เขตบางพลัด พล.ต.อ.พงศพัศได้ 20,244 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 22,877 คะแนน

 

26.เขตดินแดง พล.ต.อ.พงศพัศได้ 25,297 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 29,484 คะแนน

 

27.เขตบึงกุ่ม พล.ต.อ.พงศพัศได้ 29,737 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 33,679 คะแนน

 

28.เขตสาทร พล.ต.อ.พงศพัศได้ 10,488 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 24,600 คะแนน

 

29.เขตบางซื่อ พล.ต.อ.พงศพัศได้ 27,070 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 26,781 คะแนน

 

30.เขตจตุจักร พล.ต.อ.พงศพัศได้ 31,227 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 38,648 คะแนน

 

31.เขตบางคอแหลม พล.ต.อ.พงศพัศได้ 12,977 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 25,107 คะแนน

 

32.เขตประเวศ พล.ต.อ.พงศพัศได้ 28,514 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 34,919 คะแนน

 

33.เขตคลองเตย พล.ต.อ.พงศพัศได้ 16,516 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 22,060 คะแนน

 

34.เขตสวนหลวง พล.ต.อ.พงศพัศได้ 17,758 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 29,803 คะแนน

 

35.เขตจอมทอง พล.ต.อ.พงศพัศได้ 29,458 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 33,968 คะแนน

 

36.เขตดอนเมือง พล.ต.อ.พงศพัศได้ 40,073 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 28,092 คะแนน

 

37.เขตราชเทวี พล.ต.อ.พงศพัศได้ 11,216 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 14,841 คะแนน

 

38.เขตลาดพร้าว พล.ต.อ.พงศพัศได้ 24,717 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 29,690 คะแนน

 

39.เขตวัฒนา พล.ต.อ.พงศพัศได้ 8,179 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 19,877 คะแนน

 

40.เขตบางแค พล.ต.อ.พงศพัศได้ 37,430 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 44,419 คะแนน

 

41.เขตหลักสี่ พล.ต.อ.พงศพัศได้ 24,518 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 23,981 คะแนน

 

42.เขตสายไหม พล.ต.อ.พงศพัศได้ 45,767 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 30,424 คะแนน

 

43.เขตคันนายาว พล.ต.อ.พงศพัศได้ 19,137 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 18,042 คะแนน

 

44.เขตสะพานสูง พล.ต.อ.พงศพัศได้ 15,599 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 23,928 คะแนน

 

45.เขตวังทองหลาง พล.ต.อ.พงศพัศได้ 20,645 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 26,437 คะแนน

 

46.เขตคลองสามวา พล.ต.อ.พงศพัศได้ 35,758 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 35,051 คะแนน

 

47.เขตบางนา พล.ต.อ.พงศพัศได้ 16,651 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 21,764 คะแนน

 

48.เขตทวีวัฒนา พล.ต.อ.พงศพัศได้ 15,009 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 20,559 คะแนน

 

49.เขตทุ่งครุ พล.ต.อ.พงศพัศได้ 21,416 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 27,081 คะแนน

 

50.เขตบางบอน พล.ต.อ.พงศพัศได้ 19,731 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ 22,934 คะแนน

 

ขอบคุณข้อมูลจาก thaiinsider.info

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

World Markets: สรุปภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ

 

 

ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 4 มีนาคม 2556 06:25:15 น.

ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อวันศุกร์ (1 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก หลังจากมีรายงานว่าดัชนีภาคการผลิตของอังกฤษและจีนชะลอตัวลง

 

ดัชนี Stoxx 600 ร่วงลง 0.3% ปิดที่ 289.02 จุด

ดัชนี DAX ของตลาดหุ้นเยอรมนีปิดลบ 33.54 จุด หรือ 0.43% แตะที่ 7,708.16 จุด ดัชนี CAC-40 ของตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดลดลง 23.09 จุด หรือ 0.62% แตะที่ 3,699.91 จุด ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 6,378.60 จุด เพิ่มขึ้น 17.79 จุด หรือ 0.28%

 

 

 

-- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อวันศุกร์ (1 มี.ค.) ขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐ รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นเกินคาด ซึ่งข้อมูลดังกล่าวช่วยบรรเทาปัจจัยลบที่เกิดจากความวิตกกังวลในเรื่องมาตรการลดรายจ่ายของสหรัฐ

 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 35.17 จุด หรือ 0.25% แตะที่ 14,089.66 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 3.52 จุด หรือ 0.23% แตะที่ 1,518.20 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 9.55 จุด หรือ 0.30% แตะที่ 3,169.74 จุด

 

-- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อวันศุกร์ (1 มี.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากมาตรการลดการใช้จ่ายโดยอัตโนมัติของสหรัฐ ซึ่งความกังวลในเรื่องดังกล่าวได้สกัดปัจจัยบวกจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ

 

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย.ร่วงลง 1.37 ดอลลาร์ หรือ 1.48% ปิดที่ 90.68 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนเม.ย.ที่ตลาดลอนดอน ลดลง 98 เซนต์ ปิดที่ 110.40 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

-- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อวันศุกร์ (1 มี.ค.) ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 3 วันทำการ เนื่องจากสกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อบรรยากาศการซื้อขายในตลาดทองคำ

 

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.ร่วงลง 5.8 ดอลลาร์ หรือ 0.37% ปิดที่ 1,572.3 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค.เป็นต้นมา

 

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 28.490 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 5.8 เซนต์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนมี.ค.ลดลง 5.8 เซนต์ ปิดที่ 3.4985 ดอลลาร์/ปอนด์

 

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย.ปิดที่ 1,573.50 ดอลลาร์/ออนซ์ ร่วงลง 10.00 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 720.40 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 14.15 ดอลลาร์

 

-- ราคาทองคำตลาดลอนดอนปิดเมื่อวันศุกร์ (1 มี.ค.) ที่ 1,585.25 ดอลลาร์/ออนซ์

-- สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (1 มี.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับมาตรการลดการใช้จ่ายโดยอัตโนมัติของสหรัฐได้กระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ที่ปลอดภัย รวมถึงสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ

 

ทั้งนี้ ดอลลาร์สหรัฐดีดตัวขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 0.9438 ฟรังค์ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 0.9369 ฟรังค์ และพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 93.62 เยน จากระดับ 92.69 เยน

 

ค่าเงินยูโรร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ 1.3018 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 1.3063 ดอลลาร์สหรัฐ และเงินปอนด์ร่วงลงมาอยู่ที่ 1.5019 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5172 ดอลลาร์สหรัฐ

 

-- -ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อวันศุกร์ (1 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงเดินหน้าซื้อหุ้น แม้มีรายงานว่าดัชนีภาคการผลิตของอังกฤษและยูโรโซนหดตัวลงก็ตาม

 

ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 6,378.60 จุด เพิ่มขึ้น 17.79 จุด หรือ 0.28%

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

 

ถูกแก้ไข โดย เด็กขายของ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

(เพิ่มเติม) จีนเผยดัชนี PMI ภาคบริการหดตัวลงในเดือนกุมภาพันธ์

 

 

ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อาทิตย์ที่ 3 มีนาคม 2556 15:30:41 น.

สหพันธ์พลาธิการและการจัดซื้อของจีน (CFLP) เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของจีนหดตัวลงในเดือนกุมภาพันธ์

 

รายงานของ CFLP ระบุว่า ดัชนี PMI ภาคบริการอยู่ที่ 54.5% ในเดือนกุมภาพันธ์ ลดลง 1.7% จากเดือนมกราคม และเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา

 

ทั้งนี้ ค่าดัชนีที่สูงกว่า 50% บ่งชี้ถึงการขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา ในขณะที่ค่าดัชนีที่ต่ำกว่า 50% บ่งชี้ถึงการหดตัว

 

 

 

นายไค จิน รองประธานของ CFLP กล่าวถึงสาเหตุของการปรับตัวลงว่า ส่วนใหญ่เกิดจากการหดตัวลงของภาคก่อสร้างในเดือนดังกล่าว เนื่องจากเป็นเดือนที่มีช่วงวันหยุดที่ยาวนานในเทศกาลตรุษจีน

 

รายงานดังกล่าวระบุว่ากิจกรรมธุรกิจของอุตสาหกรรมก่อสร้างและตกแต่งบ้านได้ปรับตัวลงอย่างมากในเดือนกุมภาพันธ์ ในขณะที่ยอดคำสั่งซื้อใหม่ของภาคก่อสร้างพุ่งแตะสถิติสูงสุด และคาดว่าการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2556

 

แต่ถึงแม้ว่าดัชนี PMI ภาคบริการจะปรับตัวลงในเดือนกุมภาพันธ์ แต่การบริโภคในช่วงเทศกาลตรุษจีน ซึ่งเป็นเทศกาลที่มีความสำคัญที่สุดของจีน ยังช่วยให้ดัชนีอยู่ในระดับค่อนข้างสูงที่ 54.5%

 

ทั้งนี้ เทศกาลวันหยุดเป็นการช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมขนส่งและค้าปลีก โดยการเดินทางทางอากาศมีกิจกรรมทางธุรกิจและยอดสั่งซื้อใหม่สูงสุดในบรรดาอุตสาหกรรมบริการของจีน

 

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนี PMI ภาคบริการของ CFLP เป็นการประมวลผลจากการสำรวจความคิดเห็นจากทั้งหมดประมาณ 1,200 บริษัทใน 27 อุตสาหกรรม ซึ่งรวมไปถึง การขนส่ง อสังหาริมทรัพย์ บริการอาหาร และพัฒนาซอฟต์แวร์

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย เกตุ โนนทิง โทร.02-2535000 ต่อ 315 อีเมล์: ket@infoquest.co.th--

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อรุนสวัสดิ์ ทุกท่าน ครับ

 

คำกล่าวของนายคุโรดะเช้านี้

  • บีโอเจไม่ควรแสดงความเห็นในเรื่องระบบเงินตรา
  • บีโอเจมีความรับผิดชอบในเรื่องเสถียรภาพของราคา (อัตราเงินเฟ้อ)
  • มีหนทางมากมายที่จะบรรลุอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 2%
  • เขาจะตัดสินใจในเรื่องนโยบายต่างๆ ที่เกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจ
  • เป็นเรื่องมาตรฐานของโลกในการบรรุลเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2% ในเวลา 2 ปี
  • เขาให้คำปฏิญาณในเรื่องการดำเนินการทางการเงินที่ชัดเจนมากขึ้นเพื่อบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อ 2%
  • ผู้ว่าบีโอเจไม่ใช่คนเดียวที่จะเป็นผู้ตัดสินใจทางนโยบายการเงิน
  • บีโอเจควรเสียใจถึงความชะงักงันด้านการสื่อสารกับรัฐบาลญี่ปุ่น
  • เขามีความสงสัยในเรื่องการยกเลิกนโยบายผ่อนคลายการเงินของบีโอเจในปี 2006
  • มีความจำเป็นในการเพิ่มปริมาณการซื้อสินทรัพย์เพิ่มเติม
  • เขาจะพิจารณาการเิริ่มใช้มาตรการซื้อสินทรัพย์แบบไม่จำกัดจำนวนก่อนกำหนด
  • การผ่อนคลายการเงินของบีโอเจไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อทำให้สกุลเงินเยนอ่อนค่า
  • แผนเศรษฐกิจของนายอาเบะเป็นการดำเนินการที่ถูกต้อง
  • การสิ้นสุดเศรษฐกิจถดถอยเป็นสิ่งที่ดีต่อเศรษฐกิจโลก

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ราคาทองคำปรับตัวลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 3 ต่อกัน เนื่องจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำที่ลดลง พร้อมกับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาแข็งแกร่ง

 

นักวิเคราะห์จาก Reuters ระุบุว่า การตัดลดงบประมาณสหรัฐไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับทองคำมากนัก

 

ทำเนียบขาวเปิดเผยเมื่อวันเสาร์ว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐ ได้ลงนามในคำสั่งเพื่อเริ่มบังคับใช้มาตรการลดการใช้จ่ายของรัฐบาล วงเงินรวม 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ จากความล้มเหลวที่ทั้งสองพรรคไม่สามารถตกลงกันได้

 

การลงนามดังกล่าวมีขึ้นหลังจากพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันประสบความล้มเหลวในการหาทางออกร่วมกันเพื่อหลีกเลี่ยงการตัดลดงบประมาณแบบอัตโนมัติ โดยตัวแทนจากพรรคเดโมเครตเรียกร้องให้มีการขึ้นภาษีกับคนรวย ขณะที่ทางพรรครีพับลีกันคัดค้านการเก็บภาษีเพิ่ม

 

เมื่อวานนี้ทางทำเนียบขาว กล่าวว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามา เพิ่มการปรับแผนร่างการตั

ดลดงบประมาณอีกครั้ง อันได้แก่ สวัสดิการด้านสุขภาพ และประกันสังคม เพื่อให้ออกจากความเสียหายที่จะเกิดจากการตัดลดงบประมาณ ทั้งนี้ทั้งสองพรรคพยายามที่จะจำกัดขอบเขตวิกฤตทางการเงินที่อาจส่งผลกระทบในเร็วๆนี้ต่อประชาชนนับล้านคนได้

 

 

ฟิทช์ เรทติ้งส์เปิดเผยว่า การลดรายจ่ายโดยอัตโนมัติที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มี.ค. จะไม่กระตุ้นให้มีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐ และฟิทช์ยัวระบุว่า การขยายเพดานหนี้ไปจนถึงวันที่ 19 พ.ค.2556 ได้ลดแรงกดดันระยะใกล้ต่ออันดับความน่าเชื่อถือที่ AAA ของสหรัฐ

 

“ผลการดำเนินการดังกล่าวจะบั่นทอนความเชื่อมั่นที่ว่าจะมีการบรรลุข้อตกลงได้ทันเวลาว่าด้วยมาตรการลดยอดขาดดุลเพิ่มเติมที่จำเป็นในการรักษาอันดับเครดิตที่ AAA" ฟิทช์เตือน

 

นักวิเคราะห์จาก DailyFX วิเคราะห์ราคาทองคำว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาทองคำแกว่งตัวอย่างผันผวนจากข่าวความกังวลในเรื่อง Sequestration ของสหรัฐ โดยทองคำยังคงอยู่ในสถานะที่ไม่ปลอดภัยในตอนนี้ แม้ส่วนใหญ่จะมองทองคำในทิศทางขาลง แต่อาจมีการฟื้นตัวในระยะสั้นไปที่แนวต้านสำคัญบริเวณ $1626 หรือหากหลุดระดับแนวรับสำคัญบริเวณ $1550 อาจไปทดสอบเป้าหมายจุดต่ำสุดเดือนพฤษภาคม ปี 2012 ที่ $1527 และ $1483 ตามลำดับ

 

 

ราคาทองคำในคืนวันศุกร์ร่วงลงนับเป็นครั้งที่สามติดต่อกัน ซึ่งถือว่าเป็นการตกลงจากอันดับความเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่น่าดึงดูดใจแก่ผู้ซื้อทั้งหลาย หลังจากที่มีการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ รวมไปถึงการที่ตลาดต่างๆทั่วโลกจับตาไปยังการตัดลดงบประมาณวงกว้างของรัฐบาลสหรัฐ โดยทองคำดิ่งลงจากการที่ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น หลังจากข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ อันประกอบไปด้วย ดัชนีค่าใช้จ่ายผู้บริโภค ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และกิจกรรมภาคการผลิตชี้ให้เห็นว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ

 

 

ปีเตอร์ บุชนัน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสประจำสถาบัน CIBC กล่าวว่า Sequester ไม่ส่งผลสนับสนุนต่อทองคำ เนื่องจากเป็นการเกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย และไม่ส่งผลให้เกิดความวุ่นวายหนักให้เห็นชัด อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงนั้นมาจากการที่พรรครีพับลิกัน และพรรคเดโมแครตไม่สามารถยอมรับความล้มเหลวทางคำพูดของพวกเขาเองที่กล่าวอ้างจะทำการยับยั้งเพดานหนี้ให้ได้ภายในกลางเดือนเมษายนนี้”

 

นักลงทุนบางรายเชื่อว่าการที่มุมมองเศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้น อาจเป็นเพราะการที่เฟดประกาศจะหยุดใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนกำหนด

 

นายเบน เบอร์นันเก้ กล่าวเตือนสภาคองเกรสว่า Sequester อาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อการเติบโตเศรษฐกิจ ซึ่งเฟดจะมีการแถลงมุมมองเศรษฐกิจสหรัฐจากสมาชิกทั้ง 12 เขตในรายงาน Beige Book คืนวันพุธ

 

นอกจากนี้ การรายงาน Non-farm payroll และอัตราการว่างงานสหรัฐในคืนวันศุกร์ ก็เป็นอีกความสนใจในการสะท้อนว่าเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจาก Sequester อย่างไรบ้าง

 

ประเด็นหลักต่อไปที่นักลงทุนจะจับตาอย่างใกล้ชิดก็คือ การที่สภาคองเกรสจะทำการหาข้อตกลงเรื่องระดับเพดานหนี้ที่เลื่อนออกไปเป็นวันที่ 19 พฤษภาคม ซึ่งราคาทองคำฟื้นตัวสูงขึ้นตลอดช่วงเดือนกันยายนในปี 2011 ซึ่งเป็นเดือนที่สหรัฐสูญเสียระดับความน่าเชื่อถือในปีดังกล่าว

 

จีนประกาศเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า มีความพร้อมรับมือกับสงครามค่าเงิน เร่งประเมินผลกระทบ QE ซึ่งจีนคาดว่าจะสามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์ดังกล่าวได้

 

HSBC คาดว่าจะประกาศผลประกอบการรายปีที่ใกล้ระดับ 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์ในวันนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากการตัดลดค่าใช้จ่าย และการฟื้นโครงสร้างการกำหนดแผนงานภาคธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรปจากแนวโน้มที่แสดงให้เห็นว่าสหรัฐกลับคืนสู่ปัญหาในอดีต

 

อัตราการว่างงานของยูโรโซนเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ที่ 26.2%

 

กลุ่มผู้นำยุโรปมีความต้องการให้สมาชิกในยูโรโซนทำการตัดลดงบประมาณเพื่อยุติวิกฤตหนี้ ในขณะที่การเลือกตั้งครั้งใหม่ของอิตาลีใกล้เข้ามา โดยรัฐมนตรีคลังยูโรโซนจะหารือกันในกรุงบรัสเซลส์วันนี้เกี่ยวกับการช่วยเหลือทางการเงินแก่ไซปรัส

 

 

 

สัญญา ทองคำส่งมอบเดือนเมษายน ปรับตัวลดลง 5.80 ดอลลาร์ แตะระดับ 1,572.30 ดอลลาร์ จากข้อมูลของสำนักข่าวรอยเตอร์ส แสดงให้เห็นว่ามีปริมาณการซื้อขายประมาณ 10% เหนือระดับเส้นค่าเฉลี่ย 250 วัน ซึ่งทองคำและกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวล่วงลงจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของจีน รวมไปถึงการสูญเสียความเชื่อมั่นในภาคยูโรโซน

 

ความล้มเหลวในกลุ่มสินทรัพย์ซึ่งมีปริมาณลดลงนั้น เกิดขึ้นจริงเนื่องจากตลาดทั่วโลกส่วนใหญ่เน้นไปที่การตัดลดงบประมาณของสหรัฐ ในขณะที่เมื่อวันศุกร์หน่วยงานจัดอันดับ Standard&Poor กล่าวว่า การตัดลดงบประมาณสหรัฐอาจมีแนวโน้มในการจำกัดผลกระทบได้เพียงเล็กน้อย

 

มาร์ค อาร์เบเตอร์ ประธานนักกลยุทธ์เชิงเทคนิคอล ประจำสถาบัน S&P Capital IQ กล่าวว่า ทองคำอยู่ในช่วงเวลาวิกฤตครั้งสำคัญ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า ราคาทองคำจะทำการ “double bottom” หลังจากที่ซีรี่ย์ต่างๆปรับตัวลดลงจากที่เคยอยู่ระดับสูงในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

 

อาร์เบเตอร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หากราคาทองคำทะลุเส้นเทรนไลน์แนวต้านด้านบนที่ระดับ 1,650 เหรียญ จะ้เป็นจุดเปลี่ยนให้ราคาทองคำเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้น

 

 

อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำยังได้รับแรงกดดันจากการที่กองทุน SPDR ลดการถือครองทองคำลงเป็นวันที่เก้าติดต่อกัน โดยเมื่อวันศุกร์ SPDR ขายทองคำออกมาอีก 0.61 ตัน คงทองที่ระดับ 1,253.88 ตัน ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา SPDR มีการขายทองคำออกทั้งสิ้น 73.6 ตัน

 

บาร์เคลย์ กล่าวว่า การขายทองคำออกของกองทุน ETPs ทำให้ปริมาณการถือครองทองคำลดลงทำจุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ โดยในวันที่ 20-25 ก.พ. ขายออกไป 10 ตัน ซึ่งสาเหตุการลดลงส่วนใหญ่มาจาก SPDR

 

รายงานเมื่อวันศุกร์ระบุว่า EPFR Global กล่าวว่านักลงทุนดึงเงินออกจากกองทุน ETPs 4.23 พันล้านดอลลาร์ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ โดย 95% ที่ออกไปเป็นกองทุนทองคำและกลุ่มกองทุนโลหะมีค่า

 

Credit :: MTS GOLD

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

พี่ใหญ่ มะตอบลายน้อง เลย งอล ละ

พึงเห็นค้างอยู่ตอนเช้า เมื่อคืนกว่าจะถึงบ้านก็ ตี 3 เพราะนั่งสังสรรค์เฮฮา สบายใจ หลังจากนั่งลุ้นผลคะแนนตอน 4 โมงเย็น : ส่วนประเด็นนายเบนฯ กล่าวที่ซานฟรานฯ ก็ไม่มีอะไร เพราะเดิมๆ ต้นทุนการทำ QE สูง แต่เมื่อมีการลดค่าใช้จ่ายภาครัฐฯ ก็คงต้องทำ ส่วนในเรื่องดอกเบี้ยนโยบาย ผมว่า ดอกเบี้ยนโยบายเป็นสิ่งที่ ขาใหญ่ เลิกให้ความสนใจแล้วนะ มีแต่รายย่อยที่ดู และเฮ ตามแค่นั้น Fed โกหกสีขาว

 

ผมบอกไปแล้วเมื่อวันหยุด ว่า ประเด็นที่ขาใหญ่ มองต่อการลงทุน คือ พันธบัตรสหรัฐระยะยาว 10 ปี ว่าการปรับขึ้นผลตอบแทนนี่แหละ ที่จะทำให้ราคาทองลดลง ถ้าสหรัฐร้อนเงินมากเท่าไหร่ ก็คงต้องดึงดูด ถ้าอัตราเพิ่มถึง 2.5% น่าห่วงสำหรับทองที่จะลดลง แต่ตอนนี้ 1.86% ยังพอไหวที่จะลุ้นสู่ ระดับราคา $1600

 

อาศัยดูดอกเบี้ยที่นี่ครับ. http://www.treasury.gov/resource-center/data-chart-center/interest-rates/Pages/TextView.aspx?data=yieldYear&year=2013

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เงินบาทเปิด 29.79/81 อ่อนค่าตามภูมิภาคและยูโร คาดกรอบวันนี้ 29.75-29.85 (04/03/2556)

นักบริหารเงินจากธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ระดับ 29.79/81 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวอ่อนค่าจากเย็นวันศุกร์ที่ระดับ 29.77/79 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นผลจากประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐ ได้ลงนามในคำสั่งเพื่อเริ่มบังคับใช้มาตรการลดการใช้จ่ายของรัฐบาล วงเงินรวม 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา

 

"เงินบาทอ่อนค่าเล็กน้อยจากมาตรการตัดงบประมาณของสหรัฐ...แนวโน้มวันนี้น่าจะอ่อนค่า" นักบริหารเงิน กล่าว

 

นักบริหารเงินประเมินการเคลื่อนไหวของเงินบาทวันนี้ไว้ในกรอบระหว่าง 29.75-29.85 บาท/ดอลลาร์ แนวโน้มอ่อนค่า

 

*ปัจจัยสำคัญ

- อัตราแลกเปลี่ยน บาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของ ธปท.วันนี้ อยู่ที่ 29.750 บาท/ดอลลาร์

 

- เงินเยนอยู่ที่ระดับ 93.45/47 เยน/ดอลลาร์ อ่อนค่าจากเย็นวันศุกร์ที่ระดับ 92.73/75 เยน/ดอลลาร์

 

- เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.3010/3012 ดอลลาร์/ยูโร อ่อนค่าจากเย็นวันศุกร์ระดับ 1.3026/3027 ดอลลาร์/ยูโร

 

- ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้นเช้านี้ โดยได้รับแรงหนุนจากตลาดหุ้นญี่ปุ่น หลังจากนายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น(BOJ) กล่าวต่อรัฐสภาว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อขจัดปัญหาเงินฝืด

 

- นายซอง เกาฉิง ที่ปรึกษาธนาคารกลางจีนกล่าวว่า จีนมีแรงกดดันลดลงในเรื่องการคุมเข้มทางการเงินและการควบคุมเศรษฐกิจในระดับมหภาค เนื่องจากคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำในเดือนนี้ เพราะราคาอาหารปรับตัวขึ้นในอัตราที่ช้าลง และคาดว่าเศรษฐกิจจีนจะขยายตัว 8.3% ในไตรมาสแรกปีนี้

 

- สถานการณ์ทางการเมืองของอิตาลียังมีความผันผวน ขณะเดียวกันภายในปีนี้แต่ละประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปจะทยอยจัดการเลือกตั้งใหม่ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่กดดันให้นักลงทุนถือครองสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำมากขึ้น

 

- สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (1 มี.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับมาตรการลดการใช้จ่ายโดยอัตโนมัติของสหรัฐได้กระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ที่ปลอดภัย รวมถึงสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 4 มีนาคม 2556)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

โอมานวางแผนเพิ่มผลผลิตน้ำมันอีกร้อยละ 4 เทียบจากปีที่แล้ว (04/03/2556)

โอมาน หนึ่งในประเทศที่ส่งออกน้ำมันมากที่สุดในโลก วางแผนเพิ่มการผลิตน้ำมันขึ้นอีกร้อยละ 4 เมื่อเทียบจากปีก่อน โดยมีข้อมูลว่าจะเพิ่มการผลิตน้ำมันเป็น 939,500 บาเรลต่อวัน จากเดิมที่เคยผลิตอยู่ 918,500 บาเรลต่อวัน นอกจากนี้โอมานยังวางแผนที่จะเพิ่มการส่งออกแก๊สธรรมชาติเพิ่มขึ้นจากปีที่ แล้วอีกร้อยละ 3.3 ด้วย

 

ที่มา : สำนักข่าวแห่งชาติ(วันที่ 4 มีนาคม 2556)

 

 

ตลาดซื้อขายดอลลาร์/เยน:ยูโรทรงตัวใกล้นิวโลว์ช่วงเช้านี้ (04/03/2556)

ยูโรทรงตัวใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือนครึ่ง ขณะที่ดอลลาร์ทรงตัวใกล้ระดับ สูงสุดในรอบ 6 เดือนเมื่อเทียบกับตะกร้าเงินในช่วงเช้านี้ที่ตลาดเอเชีย เนื่องจากสัญญาณ การปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจสหรัฐขัดแย้งอย่างมากกับข้อมูลเศรษฐกิจที่ อ่อนแอของยูโรโซน การปรับลดงบรายจ่ายโดยรวมของสหรัฐ ซึ่งมีผลบังคับใช้โดยอัตโนมัติเมื่อวันศุกร์ ที่ผ่านมา และจะกระทบการขยายตัวทางเศรษฐกิจนั้น แทบไม่ได้สกัดดอลลาร์ ซึ่งได้แรงหนุน จากข้อมูลเมื่อวันศุกร์ที่พบว่า ภาคการผลิตของสหรัฐขยายตัวมากขึ้น

 

ข้อมูลจากยูโรโซนบ่งชี้ถึงภาพรวมที่มืดมน ขณะที่ผลสำรวจภาคธุรกิจเมื่อวันศุกร์ พบว่า ภาคการผลิตของยุโรปไม่ใกล้เคียงการฟื้นตัวในเดือนก.พ. ขณะที่ข้อมูลของทางการ พบว่า อัตราว่างงานในยูโรโซนพุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 11.9% ในเดือนม.ค.

 

ดัชนีดอลลาร์อยู่ที่ 82.334 หลังจากพุ่งแตะระดับสูงสุดที่ 82.509 เมื่อวันศุกร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 6 เดือน

 

ยูโรปรับตัวลง 0.1% มาที่ 1.3011 ดอลลาร์ ใกล้ระดับต่ำสุดที่ 1.2966 ดอล ลาร์ที่ทำไว้ในระบบ EBS เมื่อวันศุกร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่วันที่ 11 ธ.ค. และเป็นระ ดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 เดือนครึ่ง

ดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.1% มาที่ 93.57 เยน

 

ในสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลญี่ปุ่นได้เสนอชื่อนายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ประธานธนาคาร เพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) เป็นผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) คนใหม่แทนนาย มาซาอากิ ชิราคาวะ ซึ่งจะลาออกจากตำแหน่งในเดือนนี้

 

นายคุโรดะกล่าวว่า การยุติภาวะเงินฝืดในญี่ปุ่นจะช่วยเศรษฐกิจในเอเชียและ เศรษฐกิจโลก และเขายังกล่าวอีกว่า บีโอเจต้องดำเนินมาตรการใดๆก็ตามที่จำเป็นเพื่อ บรรลุเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ 2% โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

 

ที่มา: ทันหุ้น(วันที่ 4 มีนาคม 2556)

 

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หุ้นเดือนมี.ค.มีลุ้นขึ้นต่อ ทองเสี่ยงหลุด$1500(04/03/2556)

ฟันด์เมเนเจอร์มองแนวโน้มหุ้นไทยเดือนมี.ค. มีโอกาสขึ้นต่อ เตือนลงทุนทอง"อันตราย" เสี่ยงหลุดแตะ 1,500 ดอลลาร์/ออนซ์

 

กระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายจากทั่วโลก ผลพวงวิกฤติหนี้ยุโรปและปัญหาหนี้สหรัฐ ธนาคารกลางสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น ต่างใช้มาตรการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ หรือ QE เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้มีการโยกเงินเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยในเดือนก.พ. ดัชนีทะยานตัวสูงสุดในรอบ 18 ปีครั้งใหม่ แม้จะมีแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติออกมากว่า 1.7 หมื่นล้านบาท แต่แรงซื้อของนักลงทุนสถาบันอย่างกองทุนรวม ที่มีการออกกองทุนทริกเกอร์ ออกมา แรงซื้อจากพอร์ตโบรกเกอร์ และนักลงทุนรายย่อยก็สามารถทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังคงทะยานตัวขึ้นต่อเนื่อง

 

ขณะที่ภาพของการลงทุนทองคำ ในเดือนก.พ.ที่ผ่านมา ราคาทองแกว่งตัวผันผวน และทำสถิติต่ำสุดในรอบ 6 เดือน โดยปิดตาดเมื่อวันที่ 28 ก.พ.หลุด 1,600 ดอลลาร์/ออนซ์ แตะที่ระดับ 1,595 ดอลลาร์/ออนซ์

 

นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด มองว่า แนวโน้มการลงทุนตลาดหุ้นไทยในเดือนมี.ค. คาดว่าจะแกว่งตัวผันผวนในกรอบ 1,500-1,550 จุด เพราะต้องยอมรับว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงมาตลอด ทำให้อาจจะเห็นการปรับฐานในบางช่วง แต่ก็ยังมีมุมมองในเชิงบวกสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น เนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนจาก ดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวดีขึ้น และเงินที่ท่วมโลกในขณะนี้ จากมาตรการ QE

 

อย่างไรก็ตาม คงต้องจับตาปัญหาหน้าผาการคลังของสหรัฐ ที่กำลังจะคืบคลานเข้ามา ขณะที่ปัญหาการเลือกตั้งของอิตาลี แม้ตลาดจะเริ่มซึมซับข่าวร้าย แต่ก็ยังเป็นประเด็นสำคัญที่กดดันการลงทุน

 

ส่วนการลงทุนในทองคำ นายวิน ให้ความเห็นว่า มุมมองของบลจ.วรรณ ยังไม่แนะนำให้เข้าลงทุน ในระยะสั้น เพราะมีความเสี่ยงปรับตัวลดลง คาดว่าอาจเห็นทองลงไปทดสอบแนวรับที่ 1,500 จุด ได้

 

ขณะการลงทุนตราสารหนี้ ยังคงไม่แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักลงทุนตราสารหนี้ในประเทศ

 

นายสุรศักดิ์ ธรรมโม คณะกรรมการการลงทุน บลจ.ฟินันซ่า มองว่า ปรากฎการณ์เคลื่อยย้ายเงินลงทุนพันธบัตร มายังตลาดทุน (Great Rotation) ของบรรดากองทุนสำรองเลี้ยงชีพขนาดใหญ่ ถือว่ามีส่วนสำคัญในการผลักดันตลาดหุ้นทั่้วโลก หลังจากที่้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งทำให้ภาพของการลงทุนตลาดหุ้นโดยรวมยังอยู่ในช่วงขาขึ้น และคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในเดือนมี.ค. น่าจะแกว่งตัวในช่วงแคบ และอาจเห็นการย่อตัวเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม มุมมองตลาดส่วนใหญ่มองว่าในปีนี้อาจเห็นหุ้นไทยขึ้นทดสอบ 1,600 จุด

 

"แม้อาจจะมีแรงขายของต่างชาติ แต่ด้วยความเชื่อมั่นว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะไปถึง 1,600 จุด ทำให้มีแรงซื้อของนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยเข้ามา ซึ่งจะช่วยพยุงดัชนีไม่ให้แกว่งตัวลดลงมาก"

 

ปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบการลงทุนตลาดหุ้นไทยในเดือนมี.ค. ยังคงเป็นปัจจัยจากต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะผลการเลือกตั้งอิตาลีที่ออกมาต่างจากที่คาด และอาจส่งผลกระทบกับแผนการรัดเข็มขัดของอิตาลี ส่งผลกระทบยูโรโซน

 

ทั้งนี้ ในสัปดาห์หน้าบลจ.ฟินันซ่าจะมีการปรับเป้าดัชนีใหม่ จากเดิมมองที่ 1,470 จุด ซึ่งขณะนี้ดัชนีได้ปรับสูงเกินเป้าที่คาดการณ์แล้ว

 

กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นในเดือนมี.คง. แนะนำให้ลงทุนหุ้นที่อิงกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจค) ของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มวัสดุ กลุ่มรับเหมา กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มธนาคารพาณิชย์

 

ส่วนการลงทุนในทองคำ แม้จะแกว่งตัวในช่วงขาลง แต่ถ้าหากราคาทองลงมาแตะที่ 1,550 ดอลลาร์/ออนซ์ ก็เหมาะที่จะเข้าไปลงทุน และขายในช่วงที่ราคาปรับขึ้นมายืนเหนือระดับ 1,600 ดอลลาร์/ออนซ์

 

ไพศาล ครุฑดำรงชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทหารไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยน่าจะแกว่งตัวผันผวนขาขึ้น โดยได้รับปัจจัยหนุนจากฟันด์โฟลว์ จากการที่ธนาคารกลางทั่วโลกใช้มาตรการQE และการที่เงินบาทปรับตัวแข็งค่า ส่งผลให้เริ่มมีเม็ดเงินกลับเข้ามาลงทุนตลาดหุ้นไทย แม้พอร์ตการลงทุนต่างชาติในเดือนก.พ.จะขายสุทธิ

 

ส่วนแนวโน้มราคาทองคาดว่าจะผันผวนขาลง แนะนำให้เข้าลงทุนในกรอบ 1,550-1,540 ดอลลาร์/ออนซ์ และทยอยขายช่วงที่กับมายืนเหนือ 1,600 ดอลลาร์/ออนซ์

 

ที่มา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ (วันที่ 4 มีนาคม 2556)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แผนลดขาดดุลมะกันเหลวผิดเวลา ผิดทาง ขวางเศรษฐกิจ (04/03/2556)

ทันทีที่ประธานาธิบดี บารัก โอบามา แห่งสหรัฐ จรดปากกาลงนามรับรองคำสั่งมาตรการตัดลดงบประมาณแบบเหมารวม(ซีเควสเตรชัน) เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังการเจรจาหาทางออกกับพรรครีพับลิกันในสภาคองเกรสล้มเหลว กริ่งเตือนถึงอันตรายการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐก็เริ่มส่งเสียงดังให้ได้ ยินอย่างชัดเจน

 

เพราะการกระทำดังกล่าวคือการส่งสัญญาณว่า อีกไม่นานประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับหนึ่งของโลกจะเดินหน้าเข้าภาวะ รัดเข็มขัดอย่างเต็มตัว ซึ่งเป็นหนทางที่ แอนดรูว์ ฟิลด์เฮาส์ นักวิเคราะห์นโยบายงบประมาณรัฐจากสถาบันนโยบายเศรษฐกิจในวอชิงตัน เห็นว่ายังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากการประหยัดรายจ่ายภาครัฐท่ามกลางการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่ยังเซื่อง ซึมจะสร้างความเสียหายมากกว่าเป็นผลดีต่อการเติบโตประเทศ

 

ความเห็นข้างต้นสอดคล้องกับนักวิเคราะห์อีกหลายสำนักที่กล่าวตรงกันว่า ไม่ว่าอย่างไรสหรัฐก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการจัดการกับการขาดดุลงบประมาณของตน เอง ทว่าการทำตามแผนซีเควสเตรชันในขณะที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวจากวิกฤตก่อนหน้าไม่ เต็มที่ รังแต่จะทำให้เศรษฐกิจดิ่งลงต่ำที่สุดอย่างน้อยในรอบ 50 ปี

 

ขณะเดียวกัน นอกจากจะเลือกจัดการกับการขาดดุลงบประมาณไม่ถูกเวลาแล้ว รัฐบาลสหรัฐยังเลือกตัดลดค่าใช้จ่ายไม่ถูกทาง เพราะแทนที่จะทำให้การขาดดุลงบประมาณลดลง กลับจะให้ผลในทางตรงกันข้ามในระยะยาว และส่งผลต่อการพัฒนาศักยภาพของประเทศสหรัฐโดยรวม

 

สำหรับผลกระทบหลักใหญ่และหนักที่สุดจากมาตรการซีเควสเตรชันครั้งนี้ก็คือ บรรดาโครงการที่ถือเป็นรายจ่ายจำเป็นของรัฐ เช่น กองทัพและความมั่นคง การศึกษา การบริการ การสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และโครงการช่วยเหลือแก้ไขความยากจนต่างๆ เนื่องจากโครงการเหล่านี้จะกำหนดงบประมาณเป็นรายปีตายตัว ทำให้ง่ายต่อการจัดการตัดลดมากกว่าโครงการสวัสดิการเงินบำนาญ หรือภาษีที่มีกฎหมายกำกับดูแลอีกขั้นหนึ่ง

 

ทั้งนี้ เหล่าผู้ที่เกี่ยวข้องอยู่ในแวดวงโครงการข้างต้นได้ออกโรงเตือนก่อนหน้านี้ เรียบร้อยแล้วว่า หากรัฐบาลยอมให้เกิดการตัดลดแบบเหมารวม สถานการณ์ที่จะได้เห็นมีตั้งแต่คิวรอแถวในสนามบินจะยาวขึ้น การรอข้ามพรมแดนจะนานขึ้น การตรวจตราชายฝั่งจะลดน้อยลง ครูจะตกงานและนักเรียน ตลอดจนโครงการศึกษาพิเศษจะหดหายไป

 

เหตุผลเพราะโครงการรัฐเหล่านี้จำต้องเลือกตัดลดค่าใช้จ่ายที่ทำได้ง่าย ที่สุดก่อน คือ การตัดลดกำลังคน ซึ่งล่าสุดในขณะนี้หน่วยงานรัฐหลายแห่ง เช่น สหภาพแรงงานรัฐ ได้วางแผนสั่งพักงานลูกจ้างแบบไม่จ่ายเงินเดือนแล้ว โดยมีระยะเวลาหยุดตั้งแต่อาทิตย์ละ 1 วัน ไปจนถึงต่อเนื่องกันเกือบ 1 เดือน เพื่อลดต้นทุน ซึ่งจะทำให้มีแรงงานว่างงานสูงถึง 7.5 แสนตำแหน่ง ภายในสิ้นปี 2556

 

และกลายเป็นห่วงโซ่กระทบภาคเศรษฐกิจจริงที่กำลังฟื้นตัวอย่างช้าๆ เนื่องจากพลเรือนส่วนใหญ่มีรายได้เข้ากระเป๋าน้อยลง หรืออยู่ในสภาพตกงานเพิ่มมากขึ้น แถมยังเลวร้ายกว่าตรงที่รัฐบาลไม่จ่ายเงินช่วยเหลือการว่างงานอีกต่อไป

 

นอกจากนี้ แผนดังกล่าวยังทำแบบผิดทาง โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์หลายราย เช่น วิลเลียม เกรล จากสถาบันบรูคกิง ยังเห็นอีกว่าการที่รัฐบาลเลือกที่จะจัดการกับค่าใช้จ่ายในส่วนที่จำเป็นต่อ การวิจัยพัฒนาและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งเป็นการลงทุนในระยะยาว มากกว่าการแตะเรื่องการปฏิรูประบบเงินบำนาญและการจัดเก็บภาษีเพื่อให้รัฐจัด เก็บรายได้ให้มากขึ้น เป็นการตัดสินใจที่ไม่ถูกต้อง

 

เพราะสุดท้าย ต่อให้รัฐสามารถตัดลดยอดการขาดดุลด้วยสารพัดวิธีประหยัดได้จริง แต่หากรัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีให้ได้ตามเป้า รัฐบาลสหรัฐย่อมหนีไม่พ้นคำว่า “ขาดดุล” โดยสำนักงานงบประมาณสภาคองเกรส(ซีบีโอ) ประเมินว่า ต่อให้แผนตัดลดงบประมาณอัตโนมัติมีผลบังคับใช้เต็มที่ ตัวเลขการขาดดุลในปี 2558 ก็จะลดระดับอยู่ที่ 2.4% ต่อจีดีพี ก่อนที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 3.8% ต่อจีดีพี ในปี 2565 อยู่ดี

 

ทั้งนี้ ซีบีโอได้เคยคาดการณ์ไว้ว่า การขาดดุลงบประมาณปี 2556 ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 30 ส.ค.นี้ จะลดลงมาอยู่ที่ 8.45 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 5.3% ต่อจีดีพี ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ตัวเลขการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐลดลงต่ำกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ นับตั้งแต่ปี 2551 โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลตัดสินใจไม่ต่ออายุลดภาษีเงินได้บุคคล ธรรมดา ทำให้คลังสามารถเก็บเงินได้ถึง 9,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

 

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์อีกส่วนหนึ่งกลับมองในแง่ดีว่า สถานการณ์ไม่น่าจะเลวร้ายเกินไป เนื่องจากพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันน่าจะหาทางยุติมาตรการซีเควสเตรชัน ได้ เพราะยังพอมีเวลาก่อนที่ปีงบประมาณ 2555 จะสิ้นสุดในวันที่ 27 มี.ค. หรือก่อนที่มาตรการซีเควสเตรชันจะมีผลต่องบประมาณภาครัฐทั้งระบบในอีก 7 เดือนข้างหน้า

 

และสิ่งที่น่าคิดวิตกมากกว่า คือ สหรัฐจะตัดลดงบขาดดุลได้เท่าไรและด้วยวิธีใด

 

ที่มา : โพสต์ทูเดย์(วันที่ 4 มีนาคม 2556)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เยอรมนี 4 มี.ค. - ผู้นำอิตาลี ระบุเยอรมนีต้องมีส่วนร่วมอย่างจริงจังในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในยุโรป

ในระหว่างการเยือนกรุงเบอร์ลิน ประธานาธิบดีจิออร์จิโอ นาโปลิตาโน แห่งอิตาลี กล่าวชื่นชมเยอรมนี และนายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล ที่มีบทบาทสำคัญในการแก้วิกฤตหนี้สินของกลุ่มประเทศยูโรโซน แต่ขณะเดียวกันก็กล่าวว่า นานาประเทศในยุโรป ต่างคาดหวังว่าเยอรมนีซึ่งรอดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง จะให้ความช่วยเหลือและมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง ในการพลิกฟื้นกระตุ้นเศรษฐกิจ และการจ้างงานในยุโรป พร้อมกันนี้ ยังกล่าวว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องกระตุ้นให้คนยุโรปมีความรู้สึกร่วมถึงการประสานผล ประโยชน์ร่วมกัน ทั้งนี้มีอีกหลายประเทศในยูโรโซน ที่ต้องการให้เยอรมนีช่วยกระตุ้นการส่งออกด้วยการเพิ่มค่าจ้างแรงงานใน เยอรมนี.-

ที่มา : สำนักข่าวไทย(วันที่ 4 มีนาคม 2556)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ไอเอ็มเอฟมีแนวโน้มที่จะปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐลง(04/03/2556)

นายวิลเลียม เมอร์เรย์ โฆษกของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) กล่าวว่า หากมาตรการลดงบประมาณรายจ่ายมีการบังคับใช้อย่างเต็มที่ ไอเอ็มเอฟมีแนวโน้มที่จะปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐลง อย่างน้อยที่สุด 0.5% จากปัจจุบันที่คาดไว้ที่ระดับ 2% ในปีนี้

 

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ(วันที่ 4 มีนาคม 2556)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บาทแข็ง-ลดดอกเบี้ย หนทางสู่วิกฤติ 'ส้มตำปู' (04/03/2556)

ทำไม? กิตติรัตน์ ณ ระนอง หรือ เสี่ยโต้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังถึงออกคำสั่งเกือบถึงขั้นบังคับขืนใจให้แบงก์ชาติต้องลดดอกเบี้ย โดยอ้างเหตุผลเรื่องการแข็งค่าของเงินบาท ที่แข็งขึ้นประมาณ 2% นับจากต้นปี ค่าเงินบาทหลุดจากระดับ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เพราะมีเงินทุนไหลเข้ามามาก เสี่ยโต้งอ้างว่าเงินทุนไหลเข้านี้ เข้ามาเพื่อเก็งกำไรส่วนต่างดอกเบี้ยในประเทศกับต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งยิ่งขึ้นไปอีก ดังนั้น ดอกเบี้ยในประเทศจะต้องลดลง ซึ่งจะมีผลทำให้ค่าเงินพลอยอ่อนตัวไปด้วย

 

ข้ออ้างนี้เป็นทฤษฎีพื้นฐานของการบริหารเงิน เพราะในการบริ หารเงินโดยใช้นโยบายทางการเงินนั้น มีเครื่องมือไม่กี่ตัวที่จะควบคุมให้เศรษฐกิจอยู่ในร่องในรอยที่ต้องการ เครื่องมือที่ถือว่าทรงประสิทธิภาพมากที่สุด หนีไม่พ้นดอกเบี้ย เครื่องมือที่สองคืออัตราแลกเปลี่ยน โดยธนาคารกลางอาจเข้าไปแทรกแซงค่าเงินของตัวเองได้ อย่างที่แบงก์ชาติกำลังทำอยู่ ที่เรียกว่า Managed Float หรือการลอยตัวแบบมีการบริหารจัดการ

 

ส่วนการลดอัตราดอกเบี้ยนั้น มักใช้ในกรณีที่เศรษฐกิจฝืด หรืออืดไม่ค่อยขยับเขยื้อนขยายตัว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ในช่วงที่เศรษฐกิจมีปัญหา โดยเฉพาะถ้าตัวเลขเงินเฟ้อประเทศอยู่ในระดับสูง จะด้วยเหตุผลเศรษฐกิจขยายตัวที่ร้อนแรงเกินไป หรือราคาสินค้าอุปโภคบริโภคถีบตัวสูงขึ้นพรวดพราด ซึ่งจะทำให้เงินเฟ้อพุ่งขึ้นตามไปด้วย เมื่อนั้นอัตราดอกเบี้ยก็จะถูกใช้เป็นเครื่องมือ สกัดกั้นเงินเฟ้อด้วยเช่นกัน ด้วยการที่แบงก์ชาติจะส่งสัญญาณปรับอัตราแบงก์เรต (BANK RATE)

 

อัตราแบงก์เรตนี้ จะไปมีผลต่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดเงิน ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินระยะสั้น เช่น ตลาดอาร์พี หรือตลาดกู้ยืมระหว่างธนาคาร ที่เรียกว่าอินเตอร์แบงก์ ซึ่งต้นทุนดอกเบี้ยในตลาดเงินระยะสั้นนี้ หากปรับสูงขึ้นและทรงตัวระยะหนึ่ง ไม่มีการเปลี่ยนแปลง จะเท่ากับเป็นการส่งสัญญาณให้แบงก์พาณิชย์ปรับดอกเบี้ยสูงขึ้นตามไปด้วย

 

ทั้งหมดนี้เป็นทฤษฎีพื้นๆ ที่นักบริหารเงินหรือนักเศรษฐศาสตร์ในแวดวงต่างรู้กันดี

 

ในมุมของแบงก์ชาติที่ไม่ยอมลดดอกเบี้ยตามที่ รมว.การคลังต้องการ ก็มาจากพื้นฐานทฤษฎีที่กล่าวข้างต้น แม้ขณะนี้เศรษฐกิจไทยยังเดินไปข้างหน้าได้ มีการประมาณการว่าปี 56 จะขยายตัว 4-5% ก็ถือว่าไม่มากไม่น้อย แต่พฤติกรรมของรัฐบาลที่ดำเนินนโยบายประชานิยมแบบสุดลิ่มทิ่มประตู ไม่ว่าจะค่าแรง 300 หรือเงินเดือน 15,000 บ้านหลังแรก และที่ฮือฮามากที่สุด รถคันแรก แห่ใช้สิทธิ์กันมืดฟ้ามัวดินล้านคัน พร้อมที่จะวิ่งเพ่นพ่านเต็มถนนอีกไม่ช้า

 

นอกจากนี้ ยังมีนโยบายกองทุนโน่นนี่นั่นอีก เช่น กองทุนสตรี กองทุนตั้งตัวได้สำหรับนักศึกษา บัตรเครดิตชาวนา บัตรเครดิตพลังงานแท็กซี่ แจกแท็บเล็ต ป.1 ต่อไปก็จะมี ป.3 และทุกชั้นปีของเด็กนักเรียน

 

ที่สำคัญจะลืมไม่ได้ก็คือ นโยบายจำนำข้าว ทุ่มไปไม่ต่ำกว่า 4-5 แสนล้าน และส่อว่าจะขาดทุนแบบกู่ไม่กลับอีกเกินครึ่งหนึ่งของวงเงินที่โยนละลายแม่น้ำ และมีการวิเคราะห์พูดกันแบบปากแทบฉีก แต่รัฐบาลทำท่าไม่ได้ยินว่าโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์จะทำให้ตลาดข้าวไทยล่มในระยะนี้ (หมายถึงเห็นแบบจะจะคาตา) และล่มสลายในระยะยาว จากที่เป็น Top 3 ก็อาจจะหล่นไปอยู่ท้ายๆ แถว เพราะเพื่อนบ้านคู่แข่งไม่ยอมหยุดนิ่งอยู่กับที่แน่ ในช่วงไทยเพลี่ยงพล้ำเขาก็พร้อมจะพัฒนาถีบตัวให้ไปไกลยิ่งขึ้นอีก

 

ทีนี้มาเจาะเรื่องรถคันแรก หลังปิดโครงการไปช่วงสิ้นปี ก็เริ่มมีกระแสกระเส็นกระสายมาแล้วว่า หนี้เสียมาแล้วจ้า เพราะไม่มีปัญญาจ่ายค่างวด รถคันแรกล้านคัน จึงเป็นนโยบายกระตุ้นความต้องการเทียมให้เกิดขึ้นในระบบ หากเศรษฐกิจจะขยายตัวด้วยน้ำหนักแรงผลักของการแห่ซื้อรถคันแรก ก็ถือว่าเป็นการขยายตัวแบบกลวงๆ เพราะเป็นการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยล้วนๆ แม้จะกระตุ้นให้เกิดการผลิตในระบบ แต่คนที่ได้ประโยชน์ ฟันกำไรจากงานนี้ไปเหนาะๆ หนีไม่พ้นบริษัทรถที่เป็นของต่างชาติทั้งนั้น ที่โกยกำไรกลับบ้านกันหน้าบาน

 

ทั้งหมดนี้ แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์ที่โง่ที่สุด (แต่ทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์) ก็รู้ว่านโยบายของรัฐบาลที่ดำเนินอยู่ล่อแหลมเหลือเกิน และเสี่ยงต่อการจะก่อให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจในระยะยาว โดยเฉพาะเสี่ยงต่อสิ่งที่เรียกว่า "เสถียรภาพ" ในอนาคต

 

เมื่อเร็วๆ นี้แบงก์ชาติเองก็แพลมๆ มาบ้างแล้วว่า กำลังจับตาหนี้ครัวเรือนของประเทศ ซึ่งมีการขยับตัวในทิศทางที่สูงขึ้น เริ่มมีการผิดนัดชำระมากขึ้น มิหนำซ้ำยังมีแนวโน้มว่าอาจจะเป็นหนี้เสียได้ในอนาคต หากปล่อยให้แบงก์พาณิชย์ลดดอกเบี้ย ก็จะเท่ากับกระตุ้นให้มีการกู้ยืมเกิดขึ้นอีก

 

ไม่กี่วันมานี้มีบทสัมภาษณ์ ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ที่ตอบคำถามว่าทำไมแบงก์ชาติไม่ลดดอกเบี้ย ตามคำสั่ง รมว.การคลัง ใจความสำคัญ ความว่า

 

"ยุโรปได้ผ่านช่วงเวลาเลวร้ายสุดไปพอประมาณ อุปสงค์ในประเทศยังขยายตัวแข็งแกร่ง เศรษฐกิจโตเกินกว่าคาด ราคาสินทรัพย์ต่างๆ ปรับตัวสูงขึ้น สินเชื่อก็โตร้อนแรง ...

 

...ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างดอกเบี้ยกับเงินทุนไหลเข้ามีน้อย ถ้าลดดอกเบี้ย 0.25% เกรงว่าเสียของ เพราะทำให้นอกจากเงินทุนไหลเข้าไม่ชะลอตัวแล้ว ยังไปสร้างผลข้างเคียงให้เกิดความไม่มีเสถียรภาพด้านราคาได้"

 

แปลไทยเป็นไทยก็คือ เศรษฐกิจไทยเวลานี้มีอุปสงค์มาก หรือกำลังโตด้วยกำลังการบริโภคในประเทศ ไม่ใช่การส่งออก สินเชื่อก็ขยายตัวร้อนแรง หากลดดอกเบี้ย จะไปกระตุ้นให้สินเชื่อขยายตัวมากยิ่งขึ้น และอาจก่อให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อตามมาได้ ซึ่งไอ้เจ้าเงินเฟ้อนี้ก็เหมือนไวรัสคอมพิวเตอร์ แพร่เชื้อลุกลามเร็ว สามารถบั่นทอนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้ฉมังนัก

 

ย้อนมาที่ข้ออ้าง เสี่ยโต้ง ที่ว่า ต้องลดดอกเบี้ยเพื่อทำให้ค่าเงินบาทอ่อน และเป็นการสกัดกั้นไม่ให้เงินทุนต่างประเทศไหลเข้ามาเก็งกำไรนั้น ในความเป็นจริงตอนนี้ดอกเบี้ยบ้านเราถือว่าต่ำมาก โดยเฉพาะดอกเบี้ยเงินฝาก ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบัน ซึ่งเท่ากับว่าคนที่ได้ดอกเบี้ยจากเงินฝากออมทรัพย์ จะไม่มีผลตอบแทนกลับมา มิหนำซ้ำอาจติดลบ เมื่อนำมาหักลบกับอัตราเงินเฟ้อ ส่วนพวกฝากประจำอาจจะได้ส่วนต่างนิดหน่อย หรือไม่ก็เสมอตัว

 

ธรรมดาการลดดอกเบี้ยเงินกู้ของแบงก์พาณิชย์ ไม่มีทางที่จะลดขาเดียว ต้องลดสองขา ดอกฝากจะต้องลดลงด้วย เพื่อลดต้นทุนการดำเนินงาน ไม่ให้ผลกำไรลดลง ซึ่งถ้าดอกเบี้ยเงินฝากลด ก็ไม่รู้ว่าจะต่ำติดดินอีกแค่ไหน เพราะทุกวันนี้ก็ต่ำจนแทบจะเป็นการฝากฟรีๆ แบบไม่ได้อะไรอยู่แล้ว

 

อีกทั้งการที่ดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำๆ ก็จะเป็นแรงจูงใจให้คนอยากกู้ยิ่งขึ้น แม้ว่าแบงก์พาณิชย์อาจจะระมัดระวังด้านความเสี่ยง แต่ธุรกิจต้องเดินหน้าและต้องแข่งขัน เรื่องความเสี่ยงอาจจะมาทีหลัง แต่ผลการดำเนินงาน ยอดการปล่อยสินเชื่อต้องมาก่อน

 

ความเสี่ยงที่แบงก์อาจจะไม่เลือกว่าเป็นลูกค้าชั้นดีหรือชั้นเลว แม้จะยังไม่ปรากฏผลออกมาในวันนี้พรุ่งนี้ แต่ความเสี่ยงนี้ถ้ามีอยู่จริงก็จะต้องปรากฏขึ้นในไม่ช้า ยอดหนี้เน่า หรือที่เรียกกันแบบทางการคือ Non performing Loan หรือสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ก็จะโผล่ออกมากันสลอน

 

แล้วอะไรล่ะที่เป็นแรงกระตุ้นให้ รมว.การคลังคิดพิสดาร

 

คำว่า "วาระซ่อนเร้น" ดูเหมือน "ควบคู่" กับคำว่า "บูรณาการ" ที่น้องปูชอบใช้บ่อยๆ อะไรๆ ก็บูรณาการ พูดเยอะใช้คำนี้เยอะเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง เหมือนติดอ่าง แต่ไม่รู้ว่าคนพูดรู้ความหมายที่พูดแค่ไหน

 

เรื่องลดดอกเบี้ยที่ไม่มีอะไรมายืนยันว่ามีวาระซ่อนเร้นหรือไม่ แต่โดยปกติเป็นที่รู้กันว่ารัฐบาลขยับอะไรก็มักจะมี "อะไรซ่อนเร้น" งานนี้เชื่อว่าอาจจะเป็นเพราะ "นายสั่ง"

 

นายใหญ่ดูไบ มักมองเกมขาดเสมอ ไม่เช่นนั้นคงไม่ชนะเลือกตั้งจนดันน้องสาวได้เป็นนายกฯ คงมองออกแล้วว่าสิ่งที่รัฐ บาล (ตัวเอง) ก่อไว้นั้น เริ่มจะหันกลับมารัดคอตัวเอง

 

ล่าสุดพิษสงของประชานิยมเริ่มส่งผลแล้ว ก็คือ รัฐบาลพยายามจะปลดเปลื้องลดภาระ ด้วยการลดวงเงินโครงการจำนำข้าวเหลือ 1.3 หมื่นบาท แต่ก็ยังไม่กล้า เพราะมีเสียงค้านจากชาวนาที่ไม่ยอมได้เงินน้อยลง

 

ด้านภาคอุตสาหกรรมที่เห็นชัดและน่าจะเกี่ยวกับดอกเบี้ยก็คือ ค่าแรง 300 กับ 15,000 ที่ทำให้เอสเอ็มอี อุตสาหกรรมร้องโอดร้องครวญครางกันเป็นแถว และเรียกร้องให้รัฐบาลเข้าไปช่วยเหลือ แต่จะช่วยยังไงล่ะถึงจะเพียงพอกับความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น รัฐจะต้องใช้เงินอีกเท่าไหร่ และยังมีนโยบายประชานิยมอื่นๆ ที่นายห้างดูไบกำลังนั่งใช้หมองคิดออกมาอีกเรื่อยๆ ก็ล้วนแต่ต้องใช้เงินทั้งนั้น แล้วเงินจะมาจากไหนล่ะ รายได้ภาษีมันก็มีเพดานของมัน

 

การจะปล่อยให้ภาคอุตสาหกรรม เอสเอ็มอี กระอักเลือดตาย ก็ดูจะไม่เข้าที เกิดกระทบกันเป็นลูกโซ่ เศรษฐกิจก็แย่ไปทั้งหมด กลายเป็นผลงานไม่สุดสวยของรัฐบาล สวนทางกับความสวยของนายกฯ อาจกลายเป็นผลงานสุดห่วยที่ถูกจารึก นายห้าง ดูไบก็คงทนไม่ได้

 

ดังนั้น จึงจำเป็นต้องหยอดน้ำมันให้เศรษฐกิจด้วยการลดดอกเบี้ย เพื่อลดภาระต้นทุนให้กับผู้ประกอบการที่กู้เงินมาลงทุนได้หายใจหายคอได้คล่องขึ้น และการลดดอกเบี้ยนี้ยังทำให้เศรษฐกิจสามารถเดินหน้าสวยหรูต่อไปได้อีก เป็นผลงานที่รัฐบาลและเสื้อแดงเอาไปคุยฟุ้งได้อีกนานว่า

 

นี่แหละฝีมือกระชากเศรษฐกิจของ "น้องปู" คนสวย

 

ยังไงก็ตาม นโยบายเศรษฐกิจประชานิยมอันล่อแหลมของรัฐบาล ดูเหมือนจะซุกซ่อนของเน่าของเสียไว้ใต้พรม ในไม่ช้าคงกลิ่นเหม็นคลุ้งโชยออกมา เมื่อนั้น วิกฤติเศรษฐกิจรอบใหม่อาจมาเยือน

 

คราวนี้คงไม่ใช่ต้มยำกุ้งอย่างปี 40

 

แต่อาจจะเป็น "ส้มตำปู" ปลาร้าเน่าก็เป็นได้.

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ (วันที่ 4 มีนาคม 2556)

 

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...