ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

17 เมษายน 2556 08:29

4ปัจจัยทุบราคาทองดิ่งต่ำสุดในรอบ30ปี

news_img_500653_1.jpg

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 

4 ปัจจัยเสี่ยงทุบราคาทองคำในตลาดโลก ดำดิ่งวันเดียวหนักสุดในรอบ 30 ปี "เงินเฟ้อต่ำ-ความเสี่ยงศก.โลกลด-หุ้นพุ่ง-ดบ.จ่อขยับขึ้น"

 

ราคาทองคำร่วงภายในวันเดียวหนักสุดในรอบกว่า 30 ปี ราคาลดลงไปถึง 140.30 ดอลลาร์ หรือ 9% มาอยู่ที่ 1,361 ดอลลาร์ ในการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์ก สหรัฐ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (15 เม.ย.) แม้ราคาจะค่อยๆ ปรับตัวลงมา นับแต่พุ่งไปแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อเดือนส.ค. 2554 แต่กระแสการเทขายอย่างหนักเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

 

ก่อนราคาในตลาดโลกจะร่วงลงมาอย่างหนัก ราคาทองคำไต่ระดับขึ้นมาทุกปี เนื่องจากนักลงทุนพากันเข้าซื้อทองคำ เพื่อเป็นเกราะป้องกันจากเงินเฟ้อ และในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งสวรรค์สำหรับการลงทุนอย่างปลอดภัย

 

ราคาทองคำพุ่งขึ้นไปทำสถิติสูงสุดเมื่อครั้งที่รัฐสภา สหรัฐกำลังงัดข้อกันในเรื่องการเพิ่มเพดานหนี้ จนทำให้เกิดความเสี่ยงว่า สหรัฐ ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดของโลกจะผิดนัดชำระหนี้

 

แต่การชะลอตัวของเงินเฟ้อ ประกอบกับกระแสคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กำลังพิจารณาลดการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จุดชนวนให้บรรดานักลงทุนพากันเทขายทองคำ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (12 เม.ย.) ตลาดยังได้แรงกระตุ้นจากรายงานข่าวที่ว่า ไซปรัสอาจเทขายทองคำสำรองบางส่วน เพื่อหาเงินมาจ่ายหนี้ หลังจากได้รับการอัดฉีดจากนานาประเทศแล้ว

 

สาเหตุที่ทำให้ราคาทองคำร่วงลง และการปรับตัวลดลงที่อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ อาจเป็นไปได้ดังต่อไปนี้

 

1. เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ

 

นักลงทุนเข้าซื้อทองคำ เพราะเกรงว่าเงินเฟ้อจะพุ่งสูงขึ้นเร็วเกินไป จากการที่เฟดดำเนินความพยายามกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมา ผ่านการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาล โดยต้นทุนสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น จะบั่นทอนกำลังการซื้อของเงินดอลลาร์

 

อย่างไรก็ดี จนถึงขณะนี้ เงินเฟ้อยังคงอยู่ภายใต้การควบคุม แม้เศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นแล้วก็ตาม ทั้งเมื่อเร็วๆ นี้ เงินดอลลาร์ ยังแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ทำให้ทองคำกลายเป็นแหล่งลงทุนที่มีความน่าสนใจน้อยลง

 

2. ความกังวลเศรษฐกิจโลกลดลง

 

การเข้าซื้อทองคำ ยังเกิดจากการที่ทองคำเป็นแหล่งลงทุนที่ปลอดภัย เป็นเสมือนสินทรัพย์ที่สร้างความอุ่นใจให้กับนักลงทุน ในช่วงเวลาที่เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะเกิดการล่มสลายในผลิตภัณฑ์การเงินต่างๆ

 

สถานการณ์ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดความวิตกต่างๆ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น วิกฤติการเงิน ความเป็นไปได้ที่สหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้ หรือการล่มสลายในยุโรป ซึ่งล้วนแต่เป็นแรงกระตุ้นที่ทำให้เกิดการเข้าลงทุนในทองคำมากขึ้น จนดันให้ราคาพุ่งสูงขึ้น

 

แต่เมื่อความกังวลเริ่มหายไป หลังธนาคารกลางประเทศต่างๆ พากันเข้าอัดฉีดเศรษฐกิจที่มีปัญหารายแล้วรายเล่า จึงทำให้การเข้าซื้อทองคำลดลง

 

นายนิโคลาส บรูคส์ หัวหน้าฝ่ายวิจัย และกลยุทธ์การลงทุน จากอีทีเอฟ ซิเคียวนริตีส์ ระบุว่า ทองคำเป็นเหมือนหลักทรัพย์ค้ำประกัน เมื่อสถานการณ์การลงทุนอยู่ในสภาวะย่ำแย่อย่างหนัก และตอนนี้ที่ราคาลดลง ก็เป็นเพราะผู้คนรู้สึกว่า ไม่จำเป็นต้องมีการค้ำประกันในขณะนี้แต่อย่างใด

 

3. ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น

 

แม้ตลาดหลักทรัพย์เกือบทั่วโลก จะปรับลดลงเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา แต่ตลอดทั้งปีนี้ ตลาดหุ้นอยู่ในขาขึ้นเป็นส่วนใหญ่ เพราะนักลงทุนต่างมองแง่ดีว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะหลุดพ้นจากภาวะซบเซา หลังหลุดพ้นจากภาวะถดถอยครั้งใหญ่ ซึ่งก่อนหน้าที่จะเกิดการเทขายทองคำครั้งใหญ่นั้น ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับขึ้นมาแล้วถึง 11%

 

นายปีเตอร์ ชิฟฟ์ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) จากยูโร แปซิฟิก แคปิตัล แสดงความเห็นว่า ในโลกของเงินร้อนนั้น ผู้คนมักไม่ค่อยมีความอดทน และเมื่อดาวโจนส์ เริ่มขยับขึ้นทำสถิติใหม่ ทำให้นักลงทุนเริ่มคิดว่า การอยู่ในตลาดทองคำ ทำให้พวกเขาพลาดโอกาสไป จึงเกิดการเทขายทองคำ เพื่อนำเงินมาลงทุนในตลาดหุ้น

 

4. ดอกเบี้ยจ่อขยับขึ้น

 

ธนาคารกลางสหรัฐ เริ่มพิจารณาถึงการปรับลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจลงมา ถ้าหากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจยังดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจรวมถึง การปรับขึ้นดอกเบี้ย เพื่อรักษาสภาพเศรษฐกิจไม่ให้ร้อนแรงจนเกินไป ซึ่งนักวิเคราะห์ชี้ว่าการถือครองทองคำในช่วงเวลาที่ดอกเบี้ยใกล้ถึงระดับ 0% เหมือนในขณะนี้ เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เพราะเงินฝากในบัญชีจะไม่ได้ให้ผลตอบแทนใดๆ

 

แต่หากดอกเบี้ยสูงขึ้น ก็จะทำให้ความน่าสนใจในทองคำลดลง

 

http://www.bangkokbiznews.com

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

ป๋า ส่งสัญญาณด้วยนะ นะได้ซื้อด้วย

 

ป๋า ใจเย็นโคตร เมื่อวานเห็นดีดขึ้น เป็นเจ้คงมือเท้าเย็น

จะบ้าเหรอให้รีบซื้อเข้าเมื่อคืน. ตอนเช้า ผมพึ่งไปรอคิวขายทองทิ้ง ที่ร้านนาย ฮ. สาขาซีคอน ทำระบบ " ขายก่อน รอซื้อต่ำ " และเมื่อวานก็บอกแล้วว่า มันเป็นการจัดฉากระหว่างสัญญานขาขึ้น กับ เมฆเงาขายทะมึน มิกล้ายื่นมือไปรับ จนกว่า 7,5,2 จะบอกมา แต่หุหุ บอกได้เลยว่า " สรุปคราวนี้ ลดต้นทุนอื้อ หรืออีกด้านก็ ปริมาณทองเท่าเดิมแต่เงินในปัญชีเหลือมากขึ้น

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอคำพูดป๋ามาลงอีกที ขำๆนะคะ ทองคำทำตัวตกต่ำไร้ค่าลงทุกวันไม่รักดีจริงๆสงสัยที่ด่ายังไม่สำนึก ตกเอาๆจนฉันจะตัดใจ(ขาดทุน)ทิ้งเธอแล้วนะย่ะ :061

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทองคำโลกส่อซึมยาวผวากระแสแบงก์ชาติเทขาย (18/04/2556)

กลายเป็นข่าวที่สร้างความสั่นสะเทือนแก่วงการเศรษฐกิจทั่วโลก เมื่อราคาทองคำโลกได้ร่วงลงมาอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุดในรอบ 2 ปี ที่ 1,361.70 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ในวันที่ 15 เม.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่ในเดือน ก.ย. 2011 ราคาทองคำยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 1,900 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์

 

แม้ราคาจะเริ่มเข้าสู่ภาวะขาลงตั้งแต่เดือน ต.ค.ปีที่แล้ว แต่การที่ราคาทองหล่นฮวบลงภายในวันเดียวเกือบ 10% ในวันที่ 15 เม.ย.ที่ผ่านมา และลดไปถึง 29% เมื่อเทียบกับช่วงที่ราคาทองคำโลกทำสถิติสูงถึง 1,923.70 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ในเดือนก.ย. 2011 ภาวะดังกล่าวถือว่าไม่ปกติเป็นอย่างยิ่ง

 

เนื่องจากจริงๆ แล้วท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่มีความแน่นอน และสภาพคล่องทั่วโลกที่มีมากมายอย่างเหลือล้น ซึ่งเป็นผลมาจากการที่หลายประเทศยักษ์ใหญ่โลกต่างพร้อมใจกันเดินหน้าอัดฉีด อย่างหนัก ในการเข้าไปถือทองคำ ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยก็มักเป็นที่นิยมทำกัน แต่ทว่าปัจจุบันเงื่อนไขทุกอย่างได้แปรเปลี่ยนไปหมดแล้ว

 

สาเหตุที่นำไปสู่การดิ่งลงของราคาทองครั้งประวัติศาสตร์ จนเข้าสู่ “ภาวะตลาดหมี” ทั้งๆ ที่ภาวะเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันดูเหมือนว่าจะเข้าสู่ภาวะการชะลอตัวอย่างหนัก และหลายประเทศก็เตรียมจะออกมาตรการอัดฉีดเพิ่มอีก ก็คือ ความหวาดหวั่นว่าบรรดาประเทศในกลุ่มยูโรโซนที่กำลังเผชิญกับวิกฤตหนี้อย่าง หนักจะพากันเทขายทองคำสำรองออกมา เพื่อแก้ไขปัญหาของตนเอง เหมือนเช่นที่ไซปรัสกำลังคิดจะทำอยู่ในเร็วๆ นี้

 

แฮริส จอร์เกียดส์ รัฐมนตรีคลังไซปรัส เปิดเผยว่า ภายในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ รัฐบาลไซปรัสกำลังมีแผนที่จะขายทองคำสำรองบางส่วนออกมา เพื่อระดมทุนให้ได้อีก 1.1 หมื่นล้านยูโร ตามเงื่อนไขการรับเงินช่วยเหลือ 1 หมื่นล้านยูโร จากสหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)

 

แม้การประกาศท่าทีดังกล่าวของรัฐมนตรีคลังจะยังคงต้องรอผ่านความเห็นชอบ จากธนาคารกลางไซปรัสก่อน และก่อนหน้านี้ทางแบงก์ชาติไซปรัสเองก็เพิ่งปฏิเสธไปว่าไม่มีแผนขายทองคำ สำรอง แต่ภาวะดังกล่าวที่เกิดขั้นก็ถือเป็นแบบอย่างและแนวทางในการแก้ปัญหาให้ ประเทศอื่นๆ ที่กำลังประสบปัญหาหนี้อย่างหนัก เช่น สเปน อิตาลี ได้ทำตาม ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงผลกระทบย่อมกระเทือนต่อภาวะตลาดทองคำโลกย่อมเลวร้ายกว่า การที่ไซปรัสได้คิดจะขายทองคำออกมามาก

หมายเหตุ : ประเด็นนี้ ยากที่ใครจะมาสั่งห้าม เพราะถือหลัก รู้รักษาตัวรอด เป็นยอดดี / ยังไม่ตาย หาใหม่ได้ ธนาคารกลางทั่วโลกคงด่าระงม

ฉะนั้น ภาวะที่เกิดขึ้นจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดตื่นตระหนกและแห่เทขายทองคำจนราคาดิ่งลงอย่างรุนแรงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

 

นอกจากนี้ ราคาทองที่ดิ่งลงอย่างหนักก็ยังเกิดมาจากความหวาดหวั่นว่าความต้องการทองคำ ของจีนซึ่งเป็นผู้ซื้อทองคำรายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลกรองจากอินเดีย จะลดปริมาณการซื้อทองคำลง เนื่องจากแนวโน้มทางเศรษฐกิจจีนที่กลับมาชะลอตัวอีกครั้ง โดยเฉพาะผลจากการขยายตัวของจีดีพีที่ทำได้น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ในไตรมาส แรกที่ 7.7% นั้นกำลังเป็นตัวบั่นทอนรายได้และเงินในกระเป๋าของประชาชนชาวจีนให้น้อยลง ดังนั้นความต้องการทองคำในตลาดแดนมังกรจึงคาดว่าจะลดน้อยลง

หมายเหตุนี้ อยากให้ทองขึ้น ต้องรีบใช้สินค้าผลิตในจีน. หุหุ ไม่เอา กลัวระเบิด

“โดยปกติราคาทองคำจะดีดตัวสูงขึ้นในจังหวะที่เศรษฐกิจโลกย่ำแย่ แต่จากราคาทองที่ดิ่งลงอย่างหนักตอนนี้ เราได้เห็นชัดเจนแล้วว่าปัจจัยจากความเสี่ยงของไซปรัสที่จะเทขายทองและ เศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลงได้ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป” จาคอบ ฟังค์กริเคการ์ด นักวิจัยอาวุโสจากสถาบันเศรษฐกิจระหว่างประเทศปีเตอร์สัน กล่าว

 

สาเหตุประการถัดมาที่ทำให้ราคาทองดิ่งลงก็คือ การที่เหล่านักลงทุนและนักเก็งกำไรราคาทองชื่อดังก้องโลกต่างหันมาเทขาย ทองคำทิ้งกันเป็นจำนวนมากในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เช่น จอร์จ โซรอส ที่หันมาลดสัดส่วนการลงทุนในกองทุนทองคำเอสพีดีอาร์โกลทรัสต์ถึง 55% ในช่วงไตรมาส 4 ที่ผ่านมา หมายเหตุ : เดี๋ยวได้ราคาที่ถูกใจ ราคาถูกๆๆ ต่ำกว่า $1100 มันก็อ้างว่า " ทองคำ " น่าลงทุน " หุ้น ขึ้นมาสูงแล้ว "

 

โดยปัจจุบันกองทุนโซรอส ถือครองหุ้นในตลาดทองคำอีทีเอฟราว 6 แสนหุ้น ซึ่งลดลงมาจากเดิมที่ 1.3 ล้านหุ้น ขณะที่กองทุนพอลสันแอนด์โค ได้ลดการลงทุนในกองทุนทองคำเอสพีดีอาร์ในไตรมาส 3 ปีที่แล้วลงไปมากถึง 1 ใน 3

 

ทั้งนี้ แม้นักลงทุนชื่อดังกล่าวที่กล่าวมาจะเป็นเพียงผู้เล่นในตลาดรายหนึ่ง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทิศทางการลงทุนของนักลงทุนชื่อก้องโลกเหล่านี้ล้วน ส่งผลกระทบทางจิตวิทยาและความเชื่อมั่นของผู้ถือครองทองคำทั่วโลกอย่างมาก มายมหาศาล

 

นอกจากนั้น ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ ก็ได้ออกมาแนะนำนักลงทุนทั่วโลกให้เทขายทองเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งผลจากการแนะนำดังกล่าวทำให้นักลงทุนจำนวนไม่น้อยได้กำไรจากการที่ภาย หลังจากนั้น 3 วันราคาทองได้ดิ่งลงไปกว่า 5%

 

ดังนั้น การที่บรรดานักเก็งกำไรและสถาบันการเงินชื่อดังพากันแห่ถอนตัว ไปจนถึงการแนะนำให้ขายทองคำ จึงทำให้บรรดานักลงทุนทั่วโลกพากันแห่เทขายตามไปด้วย ซึ่งบางครั้งก็ไม่ได้พิจารณาถึงปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจโลกเลยเสียด้วยซ้ำ

 

กรณีการแห่ลงทุนทองตามนักลงทุนชื่อดังนั้น เห็นได้จากการที่นักลงทุนจำนวนมากได้หนีการลงทุนทองในตลาดซื้อขายแบบสปอตไป สู่ตลาดล่วงหน้ากันเป็นจำนวนมาก โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนหน้าที่ราคาทองคำจะดิ่งลงอย่างหนักเพียง ไม่กี่วันเท่านั้น

 

ข้อมูลจากคณะกรรมการการค้าในตลาดโภคภัณฑ์ล่วงหน้าเผยว่า นักเก็งกำไรหันไปถือทองคำในตลาดล่วงหน้าเพิ่มมากขึ้นถึง 19% ไปอยู่ที่ 5.6 หมื่นสัญญาในวันที่ 9 เม.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่วันที่ 12 เม.ย. ราคาทองดิ่งลงในวันเดียวถึง 5% ที่ 1,482 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์

 

ขณะที่วันที่ 15 เม.ย. ลงมาอยู่ที่ 1,348 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ส่วนราคาในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้าอื่นๆ กลับลดลง 7.9% ไปเหลือที่ 4.3 แสนสัญญา ซึ่งต่ำสุดในรอบ 5 สัปดาห์ ขณะที่ตลาดสินค้าเกษตรลดลงต่ำสุดในรอบ 7 ปี

 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเมื่อวันที่ 17 เม.ย.ที่ผ่านมา ราคาทองคำโลกจะเริ่มฟื้นตัวกลับขึ้นมาเล็กน้อยที่ 1,385 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ แต่การที่ราคาทองคำจะหวนกลับไปสู่ภาวะกระทิงนั้นอาจจะยุติลงแล้ว เนื่องจากนักวิเคราะห์ต่างเชื่อกันว่าราคาทองคำนั้นถ้าจะฟื้นตัวกลับมาจะ ขึ้นมาได้แค่เพียง 1,400 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์เท่านั้น

 

“ในภาวะตลาดหมีเช่นนี้ ผมเชื่อว่าราคาทองจะไม่ฟื้นกลับไปสูงกว่า 1,400 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ เพราะปัจจัยที่สนับสนุนให้ไปลงทุนในทองคำไม่ได้เอื้อเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงแทบจะไม่มีโอกาสได้เห็นราคาทองคำกลับไปยืนในจุดที่ราคา 1,920 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ในเดือน ก.ย. 2011 อีกแล้ว” แอนดริว เดล หัวหน้าฝ่ายวิจัยของบริษัทหลักทรัพย์แมควาลี กล่าวให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นบีซี

 

จึงกล่าวได้ว่า ทองในยุคกระทิงที่พุ่งขึ้นขานรับต่อเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนได้จบลงแล้ว เพราะในวันนี้ปัจจัยใหม่อย่างไซปรัสและจีน รวมถึงอิทธิพลของนักเก็งกำไรชื่อดังได้เข้าครอบงำตลาดทองคำโลกไปเสียแล้ว

 

ที่มา : โพสต์ทูเดย์(วันที่ 18 เมษายน 2556)

ถูกแก้ไข โดย เด็กขายของ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เอาให้จมดิน

 

 

ไซปรัส เตรียมขายทองคำสำรองอีก 14 ตัน (18/04/2556)

รมว.คลังไซปรัส ระบุ ธนาคารกลางเตรียมขายทองคำสำรองอีก 14 ตัน เพื่อระดมเงิน ตามเงื่อนไขการขอรับความช่วยเหลือ

 

 

นาย ฮาริส จอร์เจียเดส รัฐมนตรีคลังไซปรัส กล่าวในวันนี้ว่า ไซปรัสวางแผนจะขายทองคำสำรองบางส่วนภายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ แต่การขายดังกล่าวต้องได้รับการอนุมัติจากธนาคารกลางไซปรัสก่อน ซึ่งนับเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ โดยบอร์ดของธนาคารกลางจะพิจารณากำหนดรายละเอียดที่ชัดเจน

 

ธนาคาร กลางไซปรัส เปิดเผยว่ามีทองคำสำรองราว 16.5 ตัน และการประเมินของคณะกรรมาธิการยุโรปเมื่อเร็วๆนี้ ระบุว่า รัฐบาลไซปรัสได้ตกลงที่จะขาย “ทองคำสำรองส่วนเกิน" เพื่อระดมทุนราว 400 ล้านยูโร (542 ล้านดอลลาร์) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขในการรับเงินช่วยเหลือที่ได้ตกลงไว้กับบรรดา เจ้าหนี้ระหว่างประเทศ โดยคาดว่า ไซปรัสต้องขายทองคำ 14 ตันเพื่อระดมเงิน 400 ล้านยูโร

 

รมว.คลังไซปรัสกล่าวว่า ยังไม่มีความชัดเจนว่าการขายทองคำของไซปรัสที่มีการเสนอนั้น เป็นสาเหตุให้ราคาทองร่วงลงหรือไม่

 

ทั้ง นี้ ไซปรัสจะต้องการเม็ดเงินที่ยังไม่มีการระบุจำนวนแน่นอน ในการเพิ่มทุนแก่ระบบธนาคารและเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของรัฐบาล ซึ่งนายวูลฟ์กัง ชอยเบิล รมว.คลังเยอรมนี ระบุว่าจะสูงกว่า 2.0 หมื่นล้านยูโรเล็กน้อย และไซปรัสจะได้รับเงิน 1.0 หมื่นล้านยูโรภายใต้แผนช่วยเหลือ ซึ่งอยู่ระหว่างกระบวนการของการได้รับอนุมัติจากรัฐสภาและรัฐบาลของยูโร กรุ๊ป

 

ที่มา : money channel (วันที่ 18 เมษายน 2556)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นักวิเคราะห์จับตาทิศทางทองหลังราคาทรุดตัวครั้งใหญ่ในรอบ 30 ปี (18/04/2556)

หลังจากราคาทองดิ่งลงอย่างรุนแรงในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาจนแตะระดับ ต่ำสุดในรอบ 2 ปี นักลงทุนก็ตั้งคำถามว่า ทองควรจะครองสัดส่วนมากเพียงใด ในพอร์ทลงทุน

 

 

ที่ผ่านมา ราคาทองปรับตัวขึ้นติดต่อกันนาน 12 ปี ขณะที่โพลล์รอยเตอร์ ที่สำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ 37 รายในเดือนม.ค.แสดงให้เห็นว่า ถึงแม้ นักวิเคราะห์คาดว่าภาวะกระทิงของราคาทองจะชะลอตัวลง แต่ค่าเฉลี่ยของราคา ทองก็จะขึ้นไปทำสถิติสูงสุดใหม่ในปีนี้และปีหน้า ถึงแม้ธนาคารหลายแห่งเริ่มปรับลดการคาดการณ์ที่ว่า ราคาทองจะสามารถ ทำลายสถิติสูงสุดที่ 1,920.30 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งทำไว้ในปี 2011 ได้ใน อนาคต แต่ธนาคารส่วนใหญ่ก็ยังคงเห็นด้วยกับเหตุผลพื้นฐานที่สนับสนุนให้ถือ ครองทองในฐานะสกุลเงินทางเลือก และในฐานะเครื่องมือประกันความเสี่ยงจาก ภาวะเงินเฟ้อ

 

 

อย่างไรก็ดี ปัญหาไซปรัสทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป เอกสารของคณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) ที่ออกมาในวันพุธที่ 10 เม.ย.ระบุว่า รัฐบาลไซปรัสจำเป็นต้องขายทองคำสำรองส่วนเกินเพื่อระดมทุน 400 ล้านยูโร เพื่อนำมาใช้ตามเงื่อนไขของมาตรการให้ความช่วยเหลือทาง การเงินจากสหภาพยุโรปและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้เปิดเผยรายงานการประชุมกำหนด นโยบายประจำวันที่ 19-20 มี.ค.ในวันที่ 10 เม.ย.เช่นกัน โดยรายงาน การประชุมดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่เฟดมีแนวโน้มที่จะยุติมาตรการ เข้าซื้อตราสารหนี้ครั้งใหญ่ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งการกระทำดังกล่าวจะส่งผลกระทบ ต่ออัตราเงินเฟ้อ

 

 

ราคาทองดิ่งลง 1.6 % ในวันที่ 10 เม.ย. ก่อนจะเข้าสู่เสถียรภาพ ในวันที่ 11 เม.ย. อย่างไรก็ดี ราคาทองรูดลง 5.2 % ในวันศุกร์ที่ 12 เม.ย. และดิ่งลง 8.4 % ในวันจันทร์ที่ 15 เม.ย. ในขณะที่นักลงทุน พากันเทขาย โดยการทรุดตัวลงของราคาทองในวันศุกร์และวันจันทร์นี้ถือเป็น การปรับตัวลงระยะสองวันครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 30 ปี

 

 

ราคาทองอยู่ที่ราว 1,380 ดอลลาร์/ออนซ์เมื่อวานนี้ เทียบกับระดับ สูงกว่า 1,560 ดอลลาร์ในช่วงเปิดตลาดวันศุกร์

 

 

นายเปโดร เด โนรอนฮา หุ้นส่วนของบริษัทนอสเตอร์ แคปิตัล กล่าวว่า "สำหรับสินทรัพย์ที่ไม่ได้ก่อให้เกิดกระแสเงินสดประเภทนี้ ถือเป็นเรื่องที่ยากมาก ที่จะตัดสินใจได้ว่า เราควรจะเข้าซื้อเพิ่มเติมเมื่อใด และการดิ่งลงของราคาทอง ได้สิ้นสุดลงแล้วหรือไม่"

 

 

"เราโชคดีที่สามารถระบายสถานะซื้อทั้งหมดของเราออกมาเมื่อราคาทอง อยู่ที่ราว 1,560 ดอลลาร์ โดยเรากำลังจับตาดูสถานการณ์ แต่จะยังไม่ทำสิ่งใด ในช่วงนี้"

 

 

ดัชนีความผันผวนของกองทุน ETF ทองในตลาดออปชั่นชิคาโก บอร์ด (CBOE) พุ่งขึ้นกว่า 60 % ในวันจันทร์ ในขณะที่ราคาทองดิ่งลงแตะจุดต่ำสุด รอบ 2 ปี โดยดัชนีดังกล่าวเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่าราคาทอง จะมีความผันผวนอย่างมาก

 

 

นักลงทุนในกองทุน ETF ทองได้ไถ่ถอนเงินลงทุนออกมาเป็นจำนวนมาก ในช่วงนี้

 

 

นายฌอน คอร์ริแกน หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัทเดียพาสัน คอมมอดิตีส์ แมเนจเมนท์ กล่าวว่า "ผมไม่คิดว่ามีใครที่ได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า ราคาทองจะเคลื่อนไหวมากขนาดนี้ และวอลุ่มการซื้อขายจะอยู่สูง ขนาดนี้ เหตุการณ์นี้ได้สร้างความเสียหายเป็นอย่างมากต่อความเชื่อมั่นของ นักลงทุน"

 

 

นายคอร์ริแกนกล่าวเสริมว่า ประสิทธิภาพของทองในฐานะสินทรัพย์ ปลอดภัยได้ลดลงมานานระยะหนึ่งแล้ว ในขณะที่ปัจจัยต่างๆที่เคยหนุนราคา ทองให้พุ่งขึ้นในอดีตกลับไม่ส่งผลเช่นนั้นในปัจจุบัน เช่น วิกฤติหนี้ไซปรัส วาณิชธนกิจบางแห่งได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์ราคาทองลงในช่วง ก่อนหน้านี้ด้วย โดยในวันที่ 10 เม.ย.โกลด์แมน แซคส์ได้ปรับลดตัวเลข คาดการณ์ราคาทองลงเป็นครั้งที่สองในรอบ 6 สัปดาห์ โดยให้เหตุผลว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น และราคาทองอยู่ใน ระดับอ่อนแอในระยะหลัง

หลังจากการดิ่งลงในช่วงนี้ ราคาทองก็ลดลงมาแล้วราว 20 %

 

 

จากช่วงต้นปีนี้ และดิ่งลงมาแล้ว 28 % จากสถิติสูงสุดที่ทำไว้ในปี 2011 ตัวเลขขั้นต้นที่ออกมาในวันจันทร์ระบุว่า วอลุ่มการซื้อขายสัญญา ล่วงหน้าทองในตลาด COMEX ของสหรัฐอยู่ที่ 689,000 สัญญา ซึ่งอยู่สูงกว่าสถิติสูงสุดที่เคยทำไว้ที่ 486,315 สัญญาในวันที่ 28 พ.ย. 2012

 

 

ธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ยอมรับว่า ปัจจัย สำคัญที่กระตุ้นแรงเทขายทองในครั้งนี้ คือความกังวลที่ว่าธนาคารกลาง ของประเทศอื่นๆในยูโรโซนอาจจะขายทองออกมาในอนาคตตามไซปรัส และคำสั่งขายของกลุ่มกองทุนก็ส่งผลให้ราคาทองดิ่งลงอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี แบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ระบุว่า "การดิ่งลงของราคาทองเป็นเรื่องที่ยากจะอธิบายได้ เมื่อพิจารณาจากตัวแปร ดั้งเดิม เช่น ค่าดอลลาร์ที่ถ่วงน้ำหนักทางการค้า หรืออัตราดอกเบี้ย และสิ่งนี้ทำให้เกิดความกังวลกันว่า ชื่อเสียงของทองในฐานะสกุลเงิน ทางเลือกอาจจะได้รับความเสียหาย"

 

 

ขณะนี้ยังไม่เป็นที่แน่นอนว่า จะต้องใช้เวลานานเพียงใดก่อนที่ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะกลับคืนมา ในขณะที่กลุ่มกองทุนมีแนวโน้ม ลดการลงทุนในทอง และมีการคาดการณ์กันว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวขึ้น ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลลบต่อราคาทอง

 

 

ผู้ที่ยังคงคาดการณ์ในทางบวกต่อราคาทองกล่าวว่า ธนาคารกลาง หรือภาครัฐของประเทศต่างๆยังคงเข้าซื้อทองอย่างจริงจัง และทองมี ประโยชน์ในฐานะเครื่องมือรักษามูลค่าที่มีสภาพคล่องสูง โดยสิ่งนี้ได้รับ การตอกย้ำจากข้อเสนอที่ให้ไซปรัสขายทองออกมา

 

 

นายแดเนียล เบรบเนอร์ นักวิเคราะห์ของดอยช์ แบงก์ กล่าวว่า "ธนาคารกลางโดยรวมไม่มีแนวโน่มที่จะเป็นผู้ขายทองสุทธิ" "ผมไม่แน่ใจว่า ความผันผวนที่ระดับสูงในช่วง 3 วันนี้จะส่งผล ให้บทบาทของทองลดลงเป็นอย่างมากหรือไม่ ผมคิดว่ามีสถาบันหลายแห่ง ที่จะปรับเปลี่ยนแนวคิดเรื่องการใช้ทองเป็นทางเลือกทางการลงทุน แต่เวลา เท่านั้นที่จะบอกได้ว่า ทองกลายเป็นอดีตไปแล้วจริงหรือไม่"

 

ที่มา : ทันหุ้น(วันที่ 18 เมษายน 2556)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมัน : บมจ.ไทยออยล์(18/04/2556)

ราคาน้ำมันดิบลงต่อ หลัง IMF ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกลง"

 

เบรนท์ส่งมอบเดือน พ.ค. ปรับลดลง 2.22 ปิดที่ 97.69 เหรียญฯ และเวสต์เท็กซัสส่งมอบเดือน พ.ค. ปรับลดลง 2.04 ปิดที่ 86.68 เหรียญฯ

 

- ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงต่อจากความกังวลของนักลงทุนต่อการขยายตัวของอุปสงค์ น้ำมันโลก หลังล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศออกมาปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทาง เศรษฐกิจของโลกในปีนี้และปีหน้าลงมาอยู่ที่ 3.3% และ 4.0% จากคาดการณ์เดิมในเดือน ม.ค.ที่ 3.5% และ 4.1% โดยสาเหตุสำคัญเนื่องจากการปรับลดรายจ่ายภาครัฐของสหรัฐฯ และปัญหาหนี้สินในยุโรป โดย IMF คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะกัลบมาขยายตัวได้ดีอีกครั้งในปี 2014

 

- ราคาน้ำมันดิบยังถูกกดดันจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นเทียบกับค่าเงินยู โรภายหลังจากการให้สัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารยุโรปว่าธนาคาร กลางยุโรปพร้อมที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงหากสภาพเศรษฐกิจในกลุ่ม ยุโรปมีสภาพที่แย่ลง

 

- นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบยังถูกกดันจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับลดลงวานนี้หลังแบงก์ออฟอเมริกาประกาศผลประกอบการณ์ไตรมาส 1 ออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาด เช่นเดียวกับหุ้นของแอปเปิ้ลที่ดิ่งลงกว่า 5% หลังจาก ผู้ผลิตชิพแก่แอปเปิ้ลลดตัวเลขประมาณการณ์ผลกำไรของบริษัทฯ ลง ตอกย้ำความกังวลเรื่องปริมาณความต้องการไอโฟนและไอแพดที่กำลังลดลง

 

+/- สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) ประกาศปริมาณน้ำมันคงคลังประจำสัปดาห์ พบว่าปริมาณน้ำมันดิบคงคลังปรับลดลง 1.23 ล้านบาร์เรลสวนทางกับที่คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรล เนื่องจากปริมาณนำเข้าน้ำมันดิบลดลง 0.289 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่อย่างไรก็ดี ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังที่คุชชิ่ง (จุดส่งมอบน้ำมันดิบ WTI) ปรับเพิ่มขึ้น 1.08 มาอยู่ที่ 51.15 ล้านบาร์เรล ในส่วนของน้ำมันเบนซินคงคลังปรับลดลง 0.63 ใกล้เคียงกับคาดการณ์ที่ปรับลดลง 0.5 ล้านบาร์เรล ในส่วนของน้ำมันดีเซลคงคลังเพิ่มขึ้น 2.36 ล้านบาร์เรล สวนทางคาดการณ์ที่ปรับลดลง 0.5 ล้านบาร์เรล

 

+ ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยหลังปิดตลาดหลังจากบริษัทน้ำมันเชลล์ ประกาศปิดฉุกเฉินท่อขนส่งน้ำมันในไนจีเรียที่มีกำลังการส่งกว่า 150,000 บาร์เรลต่อวันเพื่อหยุดซ่อม ส่งผลให้บริษัทฯไม่สามารถส่งออกน้ำมันดิบจากไนจีเรียได้ ทั้งนี้เชลล์ไม่ได้ระบุว่าจะใช้เวลาซ่อมท่อดังกล่าวนานเท่าไร

 

ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากอุปสงค์ภายในภูมิภาคที่มีอย่างต่อเนื่องจากทั้งเวียดนามและ อินโดนีเซีย อย่างไรก็ดีตลาดยังคงมีความกังวลอยู่ว่าอินโดนีเซียอาจนำเข้าน้ำมันเบนซินใน เดือน พ.ค.น้อยกว่าเดือน เม.ย.

 

ราคาน้ำมันมันดีเซล ปรับลดลงเล็กน้อยสวนทางราคาน้ำมันดิบดูไบ อย่างไรก็ดีความต้องการภายในภูมิภาคยังมีอย่างต่อเนื่องช่วยหนุนไม่ให้ราคาปรับลดลงมากนัก

 

ทิศทางราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นและปัจจัยที่น่าจับตามอง

กรอบการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้เบรนท์ 93-100 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ส่วนเวสต์เท็กซัส 83 -90 เหรียญฯ

ติดตามผลสำรวจดัชนีภาคอุตสาหกรรมของธนาคารกลางฟิลาเดลเฟีย ยอดขอรับสิทธิประโยชน์จากการว่างงานและดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ การประชุมกลุ่มประเทศ G20

 

ตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่

วันพฤหัส: ผลสำรวจดัชนีภาคอุตสาหกรรมของธนาคารกลางฟิลาเดลเฟีย ยอดขอรับสิทธิประโยชน์จากการว่างงานและดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ การประชุมกลุ่มประเทศ G20

วันศุกร์: ดุลบัญชีเดินสะพัดยูโรโซน การประชุม IMF

 

- ติดตามความคืบหน้าของผลการเลือกตั้งประธาธิบดีเวเนซูเอล่าหลังมาดูโร ได้รับเสียงส่วนมากและชนะการเลือกตั้ง แต่ผู้สมัครพรรคตรงข้ามอ้างว่านายมาดูโรโกงการเลือกตั้งและยังมีประชาชนส่วน หนึ่งยังประท้วงผลการเลือกตั้งอยู่

 

- จับตาการประชุมกลุ่มประเทศ G20 และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ว่าจะมีมุมมองต่อภาวะเศรษฐกิจและนโยบายการเงินการคลังอย่างไร หลังหลายประเทศในยูโรโซนยังต้องเผชิญกับภาวะหนี้สาธารณะสูงและตัวเลขสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลง

 

- จับตาความคืบหน้าในการจัดตั้งรัฐบาลของอิตาลี หลังยังไม่มีพรรคใดจัดตั้งรัฐบาลได้ ล่าสุดประธานาธิบดีของอิตาลีได้แต่งตั้งคณะที่ปรึกษาในการแก้ไขกฎหมายเกี่ยว กับการเลือกตั้ง เพื่อปูทางให้ประธานนาธิบดีคนใหม่ที่จะมีการเลือกตั้งภายในเดือน เม.ย. ยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ภายในปีนี้

 

- ติดตามความขัดแย้งระหว่างเกาหลีเหนือกับสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ หลังสถานการณ์เริ่มตึงเครียดขึ้น เมื่อเกาหลีเหนือขู่ที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์โจมตีฐานทัพสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ รวมทั้งขู่ที่จะปิดนิคมอุตสาหกรรมแคซองซึ่งเป็นความร่วมมือของทั้งสองประเทศ โดยล่าสุดญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ได้เตรียมอาวุธที่จะต่อต้านขีปนาวุธดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ(วันที่ 18 เมษายน 2556)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

น่าใจหายจริงๆ

 

 

ขวัญเอ๋ย ขวัญมา

:)

ถูกแก้ไข โดย เด็กขายของ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รายงานวันนี้ ไม่น่าส่งผลบวกกับราคาทอง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ค่าเงินสากล แข็งมากและอาจจะแข็งต่อไป

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เยาวราชยังคึกคักคนแห่ซื้อทองหลังลงอีก350บาท

ข่าวเศรษฐกิจ วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ.2556 11:38น.

 

บรรยากาศเยาวราช ยังคึกคัก หลังทองลงอีก 350 บาท รูปพรรณขายออก 19,000 บาท คนซื้อทองต้องจ่ายเงินสด เท่านั้น ขณะที่ "ธนวรรธน์" มอง เศรษฐกิจโลกทำราคาทองลงอีก แนะลงทุนตามความเหมาะสม

บรรยากาศร้านทอง ย่านถนนเยาวราช เช้าวันนี้ ยังคงเป็นไปอย่างคึกคัก โดยมีประชาชนทยอยซื้อทองคำเป็นจำนวนมาก หลังราคาในช่วงเช้าวันนี้ ปรับลดลงอีก 350 บาท โดย ทองคำรูปพรรณ ขายออกอยู่ที่บาทละ 19,000 บาท และทองคำแท่งขายออกอยู่ที่บาทละ 18,600 บาท อย่างไรก็ตาม สำหรับในส่วนผู้ที่ซื้อทองคำแท่ง จะต้องรอบัตรคิว รวมไปถึงจ่ายเป็นเงินสดเท่านั้น และจะได้รับตั๋วในการรับทองคำในสัดาห์ถัดไป ซึ่งตรงกับวันที่ 25 เม.ย.นี้

 

 

 

'ธนวรรธน์' มองศก.โลกทำทองลงอีกแนะลงทุนเหมาะสม

 

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยกับ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า จากสถานการณ์ราคาทองคำในประเทศได้ปรับราคาลงเมื่อวานนี้ ส่วนตัวมองว่าเกิดจากนโยบายการเงินที่ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ต้องการระดมเงินทุน ทำให้อาจมีนักลงทุนบางกลุ่มหันไปลงทุนในกลุ่มหุ้นแทน รวมทั้ง ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐที่ฟื้นตัวอ่อน ซึ่งในอนาคตอาจส่งผลต่อการส่งออกของประเทศไทยและค่าเงินบาท

 

อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวมองว่า ราคาทอง จะปรับลดลงอีก ดังนั้นสำหรับบุคคลที่ต้องการซื้อทองในช่วงนี้ก็ถือว่าเป็นช่วงที่เหมาะสม ส่วนบุคคลที่ต้องการซื้อเพื่อลงทุน ควรเลือกซื้อตามความเหมาะสม

 

ทองคำลง350บ.!รูปพรรณขายบาทละ19,000

 

สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาทอง ประจำวันพฤหัสบดีที่ 18 เดือนเมษายน 2556 เมื่อเวลา 09.52 น. เป็นดังนี้

 

ราคาทองรูปพรรณ รับซื้อบาทละ 18,237.48 บาท ขายออกบาทละ 19,000 บาท

 

ราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 18,500 บาท ขายออกบาทละ 18,600 บาท

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

โสมแดงยังไม่รับคำเสนอพิจารณาถกโสมขาว

ข่าวต่างประเทศ วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ.2556 11:17น.

 

เกาหลีเหนือ ยังไม่มีท่าทีการรับคำเสนอพิจารณาเจรจากับเกาหลีใต้

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า หลังจากที่เลขาธิการสหประชาชาติ (UN) ประกาศให้เกาหลีเหนือ พิจารณาการเสนอเจรจาอีกครั้ง และในวันนี้ (18 เม.ย.) เจ้าหน้าที่ของเกาหลีเหนือ เผย ยังไม่มีท่าทางจากผู้นำเกาหลีเหนือ ว่า จะรับตามคำเรียกร้องแต่อย่างใด แต่ในทางกลับกัน เกาหลีเหนือ กลับเรียกร้องว่า จะกำจัดวิธีการคว่ำบาตรของสหประชาชาติ ที่กำหนดบทลงโทษขึ้น หากเกาหลีเหนือยังคงยืนยันที่จะทดสอบขีปนาวุธและนิวเคลียร์ ซึ่งสหรัฐฯ ก็เข้าร่วมในการฝึกซ้อมกองกำลังเตรียมความพร้อมในการตอบโต้ความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น

 

http://www.innnews.co.th/shownews/show?newscode=447368

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สหรัฐ ยัน จม.ถึงโอบามาบรรจุสารพิษ ถึงตาย

ข่าวต่างประเทศ วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ.2556 7:45น.

 

เจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับ ยืนยัน จดหมายจ่าหน้าถึง ประธานาธิบดี บารัค โอบามา บรรจุสารพิษไรซิน อันตรายถึงชีวิต

สำนักข่าวเอพี , ซีเอ็นเอ็น ฟอกซ์นิวส์ และสื่อยักษ์ใหญ่ทั่วโลก รายงานว่า หน่วยสืบราชการลับของสหรัฐ ออกมาเปิดเผยว่า ได้ทำการสกัดจดหมายต้องสงสัย ที่จ่าหน้าซองถึง ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐ ซึ่งภายในบรรจุ สารต้องสงสัย ได้ ณ ศูนย์ตรวจสอบจดหมายและพัสดุภัณฑ์ บริเวณด้านนอกทำเนียบขาวและจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า มันคือสารพิษไรซิน ซึ่งเป็นสารอันตรายถึงชีวิต แต่ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า เหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับเหตุโจมตี ณ เส้นชัยของศึกบอสตัน มาราธอน ช่วงต้นสัปดาห์หรือไม่

 

ทั้งนี้ จดหมายฉบับดังกล่าวถูกพบ ณ ศูนย์ตรวจสอบจดหมายและพัสดุภัณฑ์ที่อยู่ห่างออกไปจากตัวทำเนียบขาว ในวันเดียวกับศูนย์ไปรษณีย์ของรัฐสภาสหรัฐ พบจดหมายลึกลับ จ่าหน้าถึง สมาชิกวุฒิสภา โรเจอร์ วิคเกอร์ และจากการตรวจสอบก็พบว่า มีสารพิษไรซินบรรจุอยู่ภายในเช่นกัน

 

ด้าน สำนักงานสอบสวนกลาง เปิดเผยว่า ในจดหมายต้องสงสัยที่จ่าหน้าถึง ประธานาธิบดี บารัค โอบามา นั้น มีผลตรวจหาสารพิษไรซินเบื้องต้น ออกมาเป็นบวก อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องรอยืนยันอย่างชัดเจนอีกครั้ง

 

http://www.innnews.co.th/shownews/show?newscode=447315

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...