ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

ขอถามเพื่อนๆหน่อยค่ะ ครั้งที่แล้วทีถามว่าเครื่องสั่นแล้วดับ

ไปเช็คทีศูนย์แล้ว 0 บอกเป็นที่ท่อไอดีตัวที 2/3 ต้องทำใหม่และ

เปลี่ยนทั้งหมด 16 ตัว ราคา แสนกว่า เจ้เลยเอามาทำช่างนอก

ประมาณหมื่นกว่า ใช้เวลา อาทิตย์กว่า และมีคนแนะนำให้ซื้อเครื่องเก่า

เชียงกงราคาไม่กี่พัน ใช้เวลาเปลี่ยนเครื่องไม่กี่วัน อยากทราบแบบไหนดีกว่ากัน

 

ข้อมูลน้อยไปครับเจ๊ ...

 

1. ยี่ห้อรถ รุ่น ปี แล้ววิ่งมาแล้วกี่ km ?

 

2. " ไปเช็คทีศูนย์แล้ว 0 บอกเป็นที่ท่อไอดีตัวที 2/3 ต้องทำใหม่ และ เปลี่ยนทั้งหมด 16 ตัว " ... ไม่เข้าใจ เจ๊ต้องขยายความเพิ่มว่าที่บอกว่า ท่อไอดี ต้องทำใหม่ นั้นทำอะไร แล้วเปลี่ยน 16 ตัว นี่ เปลี่ยนอะไหล่อะไร ...

 

3. " เจ้เลยเอามาทำช่างนอกประมาณหมื่นกว่า ใช้เวลา อาทิตย์กว่า " สรุป ตกลงเจ๊ ทำไปหรือยัง ?

 

เอาแค่นี้ก่อน ท่านอื่นๆจะได้แนะนำเพิ่มเติมได้ พอดีผมไม่ใช่ช่าง .. แต่ข้อมูลที่เจ๊ให้มานั้นน้อยนิดไปครับ โชคดีครับเจ๊

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รถ วิช ใช้แก๊สวิ่งมาประมาณ สองแสนโล เค้าบอกต้องเจียร์บ่าวาล ตัวที่มันยันแล้วก็เปลี่ยนวาล์ทั้งหมด

เรียกว่า โอเวอร์ฮอลืครึ่งท่อน อะไรแบบนี้ กะลังไปทำ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รถ วิช ใช้แก๊สวิ่งมาประมาณ สองแสนโล เค้าบอกต้องเจียร์บ่าวาล ตัวที่มันยันแล้วก็เปลี่ยนวาล์ทั้งหมด

เรียกว่า โอเวอร์ฮอลืครึ่งท่อน อะไรแบบนี้ กะลังไปทำ

เป็นเด็กขายของ จะให้เมียไปยกเครื่องใหม่ ทำ Repair ปรับปรุงแก้ไขสิ่งที่หย่อนยานให้กลับมาเต่งตึง จะได้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ถึงแม้ว่าจะไม่เหมือนใหม่แกะกล่องป้ายแดง ก็ถือว่า ได้ปรับเปลี่ยนแล้ว / เปรียบเทียบกับเอาของมือ 2 มาทดแทน ล่ะก็ น่าจะไม่ดีหรอกครับ เพราะพอได้ของมือ 2 มา ประกอบเสร็จ เครื่องยนต์อาจจะไม่สมบูรณ์ก็ได้ อาจจะแย่กว่าเดิม อย่าลืมนะว่า มันก็คือของที่คนอื่นเค้าใช้แล้ว ส่งมาให้คนอื่นใช้ต่อ ทำให้ มันอยู่ที่ดวง แล้วไหนจะต้องไปจดทะเบียนหย่าของเดิม ย้ายเข้าของใหม่อีก ไหนต้องไปตรวจสภาพอีก

 

แต่ถ้าเมียคนเดิม ทำ Repair มาเสร็จ เต่งตึง กระปรี้กระเป่า ขึ้นขี่ได้ทันที ไม่ต้องมาทำอะไรอื่นให้ดูวุ่นวาย

ถูกแก้ไข โดย เด็กขายของ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- เสาร์ที่ 11 พฤษภาคม 2556 18:00:38 น.

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงการประชุมร่วมระหว่างกระทรวงการคลัง คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และภาคเอกชน ในวันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคมนี้ ว่าเป็นไปตามคำเชิญของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รมว.คลัง ที่ต้องการให้ทุกหน่วยงานมาแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ซึ่งโดยปกติ กนง. และ ธปท. มีการรับทราบข้อมูลด้านเศรษฐกิจอยู่แล้ว

 

โดยขณะนี้ กนง.กำลังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดที่จะประกาศตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 1 ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในวันที่ 20 พฤษภาคมนี้ เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 29 พฤษภาคม ซึ่งหากข้อมูลล่าสุดเศรษฐกิจไม่ร้อนแรงและเข้าสู่ภาวะปกติ ก็อาจจะมีการผ่อนคลายอัตราดอกเบี้ยลงได้ และหวังว่าการประชุมครั้งนี้จะไม่ใช่การเพิ่มแรงกดดันให้ กนง.ต้องลดอัตราดอกเบี้ย เพราะตนเองเป็นหนึ่งใน กนง.เท่านั้น ยังมี กนง.อีก 6 ท่านที่มีภาวะเป็นผู้ใหญ่ และมีความรู้ในการพิจารณา

 

ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวด้วยว่า แม้เงินบาทขณะนี้อ่อนค่าลงมาอยู่ที่ประมาณ 29.50-29.60 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แต่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป เพราะเราต้องมองการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในอนาคตด้วย ยังไม่สามารถวางใจได้ ตราบใดที่เศรษฐกิจประเทศใหญ่ยังมีปัญหาอยู่ ตลาดการเงินก็ยังมีความผันผวน ดังนั้น จึงต้องเตรียมเครื่องมือไว้ใช้ในยามจำเป็น โดยกระทรวงการคลัง และ ธปท.ได้เตรียมมาตรการจำกัดการไหลเข้าของเงินทุนระหว่างประเทศที่ผสมผสานเครื่องมือหลายด้าน ทั้งอัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน และมาตรการจำกัดการเคลื่อนย้ายเงินทุน โดยเลือกใช้ตามจังหวะเวลาที่เหมาะสม

 

อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร โทร.02-2535000 ต่อ 353 อีเมล์: saowalak@infoquest.co.th--

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ข่าวลือที่ ธนาคารกลางสหรัฐ Fed กำลังหาทางลงของ QE เริ่มกระจายเข้าสู่นักลงทุนอีกครา

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

EUR/USD: H&S figure in between Fibonacci levels

Fri, May 10 2013, 10:47 GMT

by Valeria Bednarik | FXstreet.com

 

http://www.fxstreet.com/technical/forex-strategy/the-best-pair-to-trade-now/2013/05/10/

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รถ วิช ใช้แก๊สวิ่งมาประมาณ สองแสนโล เค้าบอกต้องเจียร์บ่าวาล ตัวที่มันยันแล้วก็เปลี่ยนวาล์ทั้งหมด

เรียกว่า โอเวอร์ฮอลืครึ่งท่อน อะไรแบบนี้ กะลังไปทำ

 

OK ถ้า toyota wish ซ่อม 0 แสนกว่าบาท ... ซึ่งเปรียบเทียบกับจำนวน km ที่วิ่งมา 2 แสนกว่าโลแล้ว ( เดาเอง รถคงหลายปีแล้ว เพราะเจ๊ไม่ได้บอกปีรถ ) ซึ่งราคากลางๆในตลาดตอนนี้ ก็คงไม่น่าลงทุน ( ความเห็นส่วนตัว )

 

โดยส่วนตัวแนะนำทำอู่นอกครับ ... เลือกอู่ที่มาตรฐานหน่อย ไม่รู้เจ๊มีอู่ประจำไหม ถ้ามีก็ลองปรึกษาเค้าแบบละเอียดๆดู คุยเรื่องรายการที่ต้องทำ + อะไหล่ที่ต้องเปลียน + ระยะเวลารับประกัน

 

ถ้าไม่มีลองหาข้อมูลจากพวก wish club or toyota club ดู ...

 

ส่วนเรื่องจะโอเวอร์ฮอลครึ่งท่อน หรือ ยกเครื่องเซียงกงนั้น ต้องดูอาการของเครื่องเดิมเจ๊ครับ ว่าแค่วาล์วยัน แค่นั้นใช่ไหม ไม่มีอาการอื่นๆ ตามมาด้วย เช่น พวกฝาสูบ ( พอดีเห็นราคา 0 ประเมินมา แสนกว่าบาท เลยเดาว่า คงไม่แค่เปลี่ยนวาล์ว 16 ตัว เปลี่ยนประเก็น คงมีอื่นๆอีกพอสมควร )

 

อีกอย่าง อาการวาวล์ยัน บางครั้ง เปลี่ยนแค่วาล์วมันไม่หาย เพราะสาเหตุมันเกิดจากบ่าวาล์วทรุดด้วย แค่เจียร์บางครั้งไม่หาย ในบางกรณีอาจต้องเปลี่ยนฝาเพิ่มเติมด้วยครับ

 

ไงโชคดีครับเจ๊

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เจ้เกี๋ยมอี๋อยู่แถวไหนค่ะ หากแถวพระรามสอง ราชพฤกษ์ มีร้านประจำที่ทำอยู่แนะนำค่ะ ซื่อสัตย์ไม่หลอกเรา ราคาไม่แพง ถ้าอยู่ใกล้ลองไปดูนะคะ โทรไปถามก่อนนะคะ คิวเยอะจะได้ไม่เสียเวลาไปค่ะ ชื่ออู่วันชัย เบอร์โทร 0814240407 พอดีไม่ค่อยมีความรู้ลองโรถามช่างโดยตรงเลยนะคะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ข่าวลือที่ ธนาคารกลางสหรัฐ Fed กำลังหาทางลงของ QE เริ่มกระจายเข้าสู่นักลงทุนอีกครา

 

 

หมายความว่าทองจะลงแรงใช่ไหมค่ะป๋า

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เจ้เกี๋ยมอี๋อยู่แถวไหนค่ะ หากแถวพระรามสอง ราชพฤกษ์ มีร้านประจำที่ทำอยู่แนะนำค่ะ ซื่อสัตย์ไม่หลอกเรา ราคาไม่แพง ถ้าอยู่ใกล้ลองไปดูนะคะ โทรไปถามก่อนนะคะ คิวเยอะจะได้ไม่เสียเวลาไปค่ะ ชื่ออู่วันชัย เบอร์โทร 0814240407 พอดีไม่ค่อยมีความรู้ลองโรถามช่างโดยตรงเลยนะคะ

ขอบคุณค่ะ

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

12 พฤษภาคม 2556 10:00

ราคาทองสุดสวิง กูรูพร้อมใจหั่นเป้าปีนี้

news_img_504576_1.jpg

โดย : กาญจนา หงษ์ทอง

 

การที่ทองคำเคลื่อนไปอย่างเหวี่ยงสวิงเช่นนี้ ทำให้นักวิเคราะห์จากสถาบันต่างๆ พาเหรดกันออกมา รื้อปรับขยับเป้ากันอีกรอบ

 

ท่ามกลางกระแสเหวี่ยงสวิงของราคาทองตั้งแต่ช่วงต้นปี และหนักหนาสาหัสในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา

 

โดยได้ดำดิ่งทิ้งตัวหลุดแนวรับ 1,550 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ลงมา และลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 1,340 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้ช่วงวันหยุดยาวของไทยที่ผ่านมากลายเป็นฝันร้ายของผู้ที่มีทองคำอยู่ในครอบครองหลายคน

 

เมื่อทองคำเดินมาถึงจุดนี้ หลายคนจึงชักไม่มั่นใจว่า ที่บรรดากูรูทองและเซียนทองจากค่ายต่างๆ ออกมาพยากรณ์เมื่อต้นปี จะยังเคลื่อนไปตามกรอบที่ทำนายกันไว้หรือไม่

 

Fundamentals เพิ่งทำสกู๊ปรวบรวมความเห็นของ 23 นักวิเคราะห์ทองจากทั่วโลกที่ออกมาคาดการณ์ราคาทองไปเมื่อเดือนก.พ. ที่ผ่านมาแต่การที่ทองคำเคลื่อนไปอย่างเหวี่ยงสวิงเช่นนี้ทำให้ตอนนี้มีนักวิเคราะห์จากสถาบันต่างๆ พาเหรดกันออกมารื้อปรับขยับเป้ากันอีกรอบ มาดูเป้าใหม่ที่พวกเขามองนั้นเป็นอย่างไรบ้าง

 

จากผลสำรวจประมาณการราคาทองคำประจำปี 2013 เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา สมาคมผู้ค้าทองคำแห่งลอนดอน หรือ London Bullion Market Association (LBMA) ได้สำรวจนักวิเคราะห์ทองคำจากทั่วโลกที่คาดการณ์ราคาทองคำในแต่ละปี ซึ่งในปีนี้มี 23 นักวิเคราะห์ทองคำ โดยแต่ละสำนักจะคาดการณ์ ราคาทองคำสูงสุด-ราคาเฉลี่ย- ราคาต่ำสุด ผลการสำรวจปีนี้ ออกมาว่าราคาเฉลี่ยทั้งปี อยู่ที่ 1,753 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากราคาคาดการณ์เฉลี่ยเมื่อปี 2012 อยู่ที่ 1,766 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

เพียงแค่ช่วงไตรมาสแรก สถานการณ์ความเคลื่อนไหวในตลาดทองคำ ก็ดูเหมือนว่าจะทำให้หลายสำนักนิ่งเฉยไม่ได้ ล่าสุดเว็บไซต์ www.trustablegold.com ได้มีการรวบรวมความเห็นเรื่องราคาทองคำของสถาบันการเงินต่างๆ และมี 21 สำนักที่ออกมาปรับเป้าราคาทองคำกันใหม่

 

ซึ่งแม้ว่าหลายคนจะเริ่มมีสุ้มเสียงกังวลถึงอนาคตของราคาทองคำกันมากขึ้น และหลายคนเชื่อไปแล้วว่า วัฏจักรขาลงของทองคำกำลังเริ่มต้นขึ้น แต่ก็มีถึง 15 สำนักที่เชื่อมั่นว่า ยังไงก็ตามราคาทองหลังจากนี้จะยังคงปรับขึ้นอย่างแน่นอน เพียงแต่อาจจะไม่ร้อนแรงเหมือนปีก่อนๆ เท่านั้นเอง ที่เหลืออีก 6 สำนัก มองว่าทองน่าจะปรับลดลง ซึ่งก็สอดรับกับเมื่อต้นปีที่นักวิเคราะห์ที่ร่วมคาดการณ์ราคาทองคำปีนี้ มองบวกกับราคาทองคำ (bullish)

 

เอชเอสบีซีปรับลดเหลือ 1,542

 

ก่อนหน้านี้ เจมส์ สตีล นักวิเคราะห์จากเอชเอสบีซี นิวยอร์ก เคยมองราคาทองเฉลี่ยปีนี้ที่ 1,760 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และในปีนี้ทองน่าจะเคลื่อนไหวช่วง 1,575 - 1,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ล่าสุดได้ปรับเป้าเฉลี่ยทั้งปี 2013 เหลือ 1,542 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และ 1,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในปี 2014

 

โกลด์แมน แซคส์ มองเทรนด์ลดลง

 

ข้อมูลจาก บลูมเบิร์ก บอกว่า โกลด์แมน แซคส์ ได้ปรับตัวเลขคาดหมายของราคาทองลดลงในระยะ 12 เดือนหลังจากนี้จากเดิมที่เคยมองไว้ที่ 1,615 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ในช่วง 3 เดือนหลังจากนี้ น่าจะปรับลงไปอยู่ที่ 1,530 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และช่วง 6 เดือนลดลงไปอยู่ที่ 1,490 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และ 12 เดือนหลังจากนี้ อยู่ที่ 1,390 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากเดิม 1,550 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

ทั้งนี้ เพราะว่า โกลด์แมน แซคส์ มองว่าการที่เศรษฐกิจทั่วโลกมีแนวโน้มฟื้นตัว ทำให้ความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัยปรับตัวลดลง และการปรับลดเป้าหมายราคาทองของโกลด์แมน แซคส์ ในครั้งนี้สอดคล้องกับที่ธนาคารบาร์เคลย์ส, เครดิต สวิส, โซซิเอเต เจนเนอรัล, บีเอ็นพี พาริบาส์ และ ดอยช์ แบงก์ ได้ปรับลดประมาณการของราคาทองลง

 

เครดิต สวิส มองเหลือ 1,580

 

ก่อนหน้านี้ ทอม เคนดอลล์ นักวิเคราะห์จากเครดิต สวิส ซิเคียวริตี้ส์ (ยุโรป) มองว่า ราคาทองน่าจะเฉลี่ยที่ 1,740 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเขามองความเคลื่อนไหวของปีนี้ที่ 1,885 และต่ำสุดที่ 1,545 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ข้อมูลจากการรวบรวมล่าสุด เครดิต สวิสได้ปรับเป้าของปี 2013 เหลือ 1,580 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนปี 2014 ลดลงเหลือ 1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

โซซิเอเต เจนเนอรัล คาดปีหน้า 1,400

 

ก่อนหน้านี้ พาร์ โรบินนักวิเคราะห์ทองจากโซซิเอเต เจนเนอรัล คาดการณ์ว่าราคาทองในปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยเขามองว่าราคาทองน่าจะเคลื่อนไหวที่ระดับ 1,400-1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่เป้าหมายที่ โซซิเอเต เจนเนอรัล ปรับใหม่คือปี 2013 เฉลี่ยอยู่ที่ 1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และปี 2014 อยู่ที่ 1,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

แบงก์ ออฟ อเมริกา มองปีนี้ 1,680

 

นักวิเคราะห์ของแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ เคยคาดการณ์ว่า ราคาทองยังเชื่อว่าจะแตะระดับ 2,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ภายในสิ้นปี 2014 และยังเคยคาดการณ์ว่าราคาทองไม่มีแนวโน้มที่จะร่วงลงต่ำกว่า 1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ เพราะมีแรงหนุนจากกลุ่มผู้ซื้อในตลาดเกิดใหม่ ล่าสุด แบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ ได้มีการปรับประมาณการอีกรอบหนึ่ง โดยมองว่า ค่าเฉลี่ยของราคาทองในปี 2013 น่าจะอยู่ที่ 1,680 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และในปี 2014 จะอยู่ที่ 1,838 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

จากการปรับตัวลดลงของราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ของ แบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ ก็ยังเคยมองว่า เป็นการร่วงลงที่ยากจะอธิบาย และทำให้ตอนนี้ความน่าเชื่อถือในการลงทุนในทองคำเริ่มลดลง

 

มอร์แกน สแตนเลย์ ยังเชื่อทองน่าลงทุน

 

ตั้งแต่เมื่อต้นปี 2013 ที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ของ มอร์แกน สแตนเลย์ ก็บอกแล้วว่าทองคำและโภคภัณฑ์ยังอยู่ในลิสต์แนะนำการลงทุนในปีนี้ของ มอร์แกน สแตนเลย์ ซึ่งการแนะนำให้ลงทุนทองคำเป็นผลจากคาดการณ์นโยบายผ่อนคลายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และ ธนาคารกลางชาติอื่นทั่วโลก มีแนวโน้มจะกดสกุลเงินสำคัญหลายสกุลให้อ่อนค่าลงอีก และกระตุ้นให้เกิดเงินเฟ้อ แต่การเติบโตแข็งแกร่งของประเทศตลาดเกิดใหม่ ควรช่วยหนุนราคาสินค้าโภคภัณฑ์ให้สูงขึ้นได้

 

โดยยังมองว่าในไตรมาส 2 ของปีนี้ ค่าเฉลี่ยของทองคำจะอยู่ที่ 1,745 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ไตรมาส 3 อยู่ที่ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนไตรมาสสุดท้ายของปีอยู่ที่ 1,830 ดอลลาร์ต่อออนซ์

OLBMA ประเมินเฉลี่ย 1,753

 

สมาคมผู้ค้าทองคำแห่งลอนดอนเองก็ได้มีการประมาณการเช่นกัน โดยคาดว่าราคาทองเฉลี่ยน่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,753 ดอลลาร์ต่อออนซ์ซึ่งหากเป็นไปตามนี้ เท่ากับว่าในปีนี้ราคาทองเพิ่มขึ้นประมาณ 5.3% เท่านั้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการประมวลจากความเห็นของสถาบันและองค์กรต่างๆ 23 แห่ง ปรากฏว่ามีการคาดการณ์ราคาทองสูงสุดที่ 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

นี่เป็นเพียงตัวอย่างคร่าวๆ ของบริษัทที่มีการรื้อปรับขยับเป้าของราคาทองเชื่อแน่ว่า นี่คงไม่ใช่การปรับครั้งสุดท้ายของปีนี้เพราะนอกจากจะไม่ใช่ปีทองของทองแล้วยังเป็นปีแห่งความผันผวนสุดๆ ของราคาทองอีกด้วย

 

http://www.bangkokbiznews.com/

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เอกสารชี้แจงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ๙ หน้า ฉบับเต็ม ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ออกหนังสือชี้แจง ฉบับที่ 22/2556 ผ่านทางเว็บไซต์ www.bot.or.th เรื่อง ชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้งหมด 4 ประเด็น ทั้งหมด 9 หน้า กระดาษด้วยกัน โดยมีรายละเอียด ดังนี้

 

เรื่อง ชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทย

 

ในระยะนี้ มีกระแสข่าวตามสื่อต่างๆ เกี่ยวกับการทาหน้าที่ดูแลเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งอาจทำให้สาธารณชนเกิดความสับสนและกระทบต่อความเชื่อมั่นในการทาหน้าที่ธนาคารกลางของประเทศได้

 

ธปท.จึงขอชี้แจงข้อเท็จจริงแก่สื่อมวลชนและสาธารณชน เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในประเด็นสาคัญเกี่ยวกับการทำหน้าที่ของ ธปท. อันเป็นหนึ่งในสถาบันหลักที่ทาหน้าที่ดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินของประเทศมากว่า 70 ปี โดยจะครอบคลุมใน 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1) บทบาทหน้าที่และความเป็นอิสระของ ธปท. 2) การดูแลความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน 3) การดาเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ย และ 4) การขาดทุนจากการดาเนินงานของ ธปท.

 

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ (วันที่ 10 พฤษภาคม 2556)

 

เอกสารฉบับ 9 หน้า http://www.bot.or.th/Thai/PressAndSpeeches/Press/News2556/n2256t.pdf

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สาหรับประเด็นที่มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าสถานการณ์ในปัจจุบันอาจนาไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในปี 2540 นั้น ธปท. ขอชี้แจงว่าสถานการณ์และปัจจัยแวดล้อมในปัจจุบันแตกต่างกับ ในช่วงก่อนเกิดวิกฤตครั้งก่อนโดยสิ้นเชิง ซึ่งทาให้โอกาสที่จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจการเงินเช่นในอดีตมีน้อยมาก

ประการแรก การใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบยืดหยุ่นในปัจจุบัน แทนระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบ คงที่ ทางการไม่จาเป็นต้องรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนไว้ที่ระดับใดระดับหนึ่ง แต่สามารถปล่อยให้ค่าเงิน เคลื่อนไหวในระดับที่สอดคล้องกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น จึงไม่มีโอกาสที่จะถูกโจมตีค่าเงิน เช่นในอดีต

ประการทสี่ อง เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันมีโครงสร้างที่แข็งแกร่งกว่าในอดีตมาก ทาให้ผลกระทบที่อาจ เกิดขึ้นต่อเสถียรภาพทางการเงินจากการเปลี่ยนแปลงค่าเงินลดลงไปมาก เนื่องจาก (1) การกู้เงินตรา ต่างประเทศเพื่อใช้จ่ายและลงทุนในประเทศของภาคเอกชนลดลงมากเมื่อเทียบกับช่วงก่อนวิกฤตปี 2540 สะท้อนจากระดับหนี้ต่างประเทศของภาคเอกชนที่ลดลงจากร้อยละ 65 ของ GDP ในช่วงก่อนเกิดวิกฤต เหลือ เพียงร้อยละ 35 ในปัจจุบัน ประกอบกับการบริหารจัดการความเสี่ยงของภาคเอกชนที่ระมัดระวังมากขึ้น จึง ทาให้ความเสี่ยงจากการที่สกุลเงินด้านสินทรัพย์และหนี้สินไม่ตรงกัน (currency mismatch) น้อยลงกว่าใน อดีตมาก(2)สถานะด้านการค้าต่างประเทศของไทยในปัจจุบันอยู่ในเกณฑ์ดตี่อเนื่องต่างกับในช่วงก่อนวิกฤต ที่ไทยประสบปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึงร้อยละ 8 ของ GDP ในปี 2539 และ (3) ระบบสถาบัน การเงินในปัจจุบันมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งและมีเสถียรภาพมากกว่าในอดีต มีการบริหารจัดการความเสี่ยง อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ประการที่สาม ค่าเงินที่เคลื่อนไหวได้ตามกลไกตลาดภายใต้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน สามารถ ทาหน้าที่เป็นกลไกอัตโนมัติในการรักษาสมดุลของระบบเศรษฐกิจ โดยหากเศรษฐกิจเติบโตได้ดีและมีเงินทุน ไหลเข้ามาก ซึ่งทาให้ค่าเงินแข็งขึ้นจนเริ่มเกินกว่าระดับที่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน ดุลบัญชีเดินสะพัดและ เงินทุนไหลเข้าจะเริ่มชะลอลง นักลงทุนจะระมัดระวังในการนาเงินเข้ามาลงทุนมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความ ร้อนแรงของเศรษฐกิจและลดแรงกดดันต่อค่าเงิน ในทางกลับกัน ในยามที่เศรษฐกิจอ่อนแอ ค่าเงินก็มักปรับ อ่อนลงด้วย ช่วยกระตุ้นการส่งออก และเพิ่มแรงจูงใจในการลงทุนในสินทรัพย์ไทย ทาให้โดยรวมแล้วระบบ เศรษฐกิจจะไม่เบี่ยงเบนไปจากจุดสมดุลมากหรือยาวนานนัก

ประการทสี่ ี่ การที่ทางการไม่จาเป็นต้องแทรกแซงเพื่อรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนไว้ที่ระดับใดระดับ หนึ่ง ยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของนโยบายการเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือในการดูแลเสถียรภาพ เศรษฐกิจการเงินภายในประเทศอีกด้วย ต่างจากประเทศที่ใช้เป้าหมายอัตราแลกเปลี่ยนเช่นฮ่องกงหรือ สิงคโปร์ที่จาเป็นต้องปล่อยให้อัตราดอกเบี้ยปรับตามประเทศหลัก ไม่สามารถใช้ดอกเบี้ยเพื่อดูแลเศรษฐกิจใน ประเทศที่มีความร้อนแรงในตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้

ถูกแก้ไข โดย เด็กขายของ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อัยยะ เที่ยงครึ่งมีตัวเลขจีนออก ! บ่ายนี้มีธนาคารแห่งประเทศไทย รมต. เอกชน คุยหารือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...