ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

ทองปิดลบ $5.5 หลังซิตี้กรุ๊ปลดคาดการณ์ราคาทอง

ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 24 กันยายน 2556 06:40:03 น.

 

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (23 ก.ย.) เพราะได้รับแรงกดดันหลังจากซิตี้กรุ๊ป และและมอร์แกน สแตนลีย์ ปรับลดคาดการณ์ราคาทองคำ

 

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 5.5 ดอลลาร์ หรือ 0.41% ปิดที่ 1,327 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 7 เซนต์ ปิดที่ 21.857 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค.ร่วงลง 6.70 ดอลลาร์ ปิดที่ 1425.90 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 4 ดอลลาร์ ปิดที่ 717.95 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สัญญาทองคำร่วงลงหลังจากซิตี้กรุ๊ปได้แสดงความคิดเห็นในรายงานล่าสุดว่า การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจเดินหน้าใช้มาตรการ QE นั้น จะช่วยหนุนตลาดทองคำแค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น และสัญญาทองคำยังคงมีแนวโน้มขาลง พร้อมกับคาดการณ์ว่าราคาทองอาจร่วงลงต่ำกว่าระดับ 1,250 ดอลลาร์/ออนซ์ก่อนสิ้นปีนี้ เนื่องจากคาดว่าข้อมูลเศรษฐกิจจะส่งสัญญาณแข็งแกร่งขึ้น

 

ขณะที่มอร์แกน สแตนลีย์ คาดว่าราคาทองคำจะอยู่ที่ 1,200 -1,350 ดอลลาร์ในปีหน้า ก่อนที่จะมีแนวโน้มปรับตัวลง และโกลด์แมน แซคส์ คาดว่าสัญญาทองคำจะร่วงลงไปอยู่ต่ำกว่าระดับ 1,000 ดอลลาร์ในปีหน้า

 

สัญญาทองคำร่วงลงต่อเนื่องจากวันศุกร์ หลังจากนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ ส่งสัญญาณว่าเฟดอาจจะลดขนาดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ลงในการประชุมเดือนต.ค.หลังจากที่ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 18 ก.ย. ราคาทองพุ่งขึ้นถึง 4.5% จากการที่เฟดมีมติคงโครงการซื้อพันธบัตรวงเงิน 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือนต่อไปหลังเสร็จสิ้นการประชุมระหว่างวันที่ 17-18 ก.ย.

 

สำหรับในปีนี้ ราคาทองคำได้ร่วงลงไปแล้ว 21% เนื่องจากมีสัญญาณว่าเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น จึงทำให้นักลงทุนลดการถือครองทองคำ ซึ่งจัดเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

 

http://www.ryt9.com/s/iq31/1741316

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

น้ำมันลงแรงหลังคลายกังวลทางอุปทาน หุ้นมะกัน-ทองคำปิดลบ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 กันยายน 2556 05:30 น.

 

เอเอฟพี - ราคาน้ำมันดิ่งลงแรงวานนี้(23) หลังนักลงทุนคลายกังวลต่อความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่อาจส่งผลกระทบต่ออุปทานทางพลังงาน ส่วนวอลล์สตรีทและทองคำก็ปิดลบ หลังสมาชิกระดับสูงของเฟดส่งสัญญาณว่าธนาคารแห่งนี้จะคงกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป แต่ก็มีสิทธิ์ลดระดับในช่วงสิ้นปีนี้

 

สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนตุลาคม ลดลง 1.16 ดอลลาร์ ปิดที่ 103.59 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน ลดลง 1.06 ดอลลาร์ ปิดที่ 108.16 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 

"ความกังวลด้านอุปทานค่อยๆสูญหายไป ปฏิบัติการทางทหารต่อซีเรียมีความเป็นไปไม่ได้มากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ประธานาธิบดีอิหร่าน ก็ส่งสัญญาณแสดงความตั้งใจเจรจาในโครงการนิวเคลียร์ของพวกเขา" ฟาวัด ราซักซาดา นักวิเคราะห์จากจีเอฟพีกล่าว

 

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯวานนี้(23) ปิดลบพอสมควร หลังเจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางอเมริกา(เฟด) แสดงความคิดเห็นบ่งชี้ว่าเฟดจะยังคงเหยียบคันเร่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามเดิม แต่ก็พร้อมลดระดับหากว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจดีขึ้น

 

ดัชนีดาวโจนส์ ลดลง 48.62 จุด (0.31 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 15,402.47 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 7.99 จุด (0.47 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,701.92 จุด แนสแดก ลดลง 9.44 จุด (0.25 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 3,765.29 จุด

 

ปัจจัยนี้เองที่เผยให้เห็นว่ายังมีความเป็นไปได้ที่เฟดจะลดระดับโครงการเข้าซื้อพันธบัตรรายเดือนในช่วงสิ้นปี ก็ส่งผลให้ทองคำวานนี้(23) ขยับลงเล็กน้อยเช่นกัน โดยราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์ ลดลง 5.50 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,327.00 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9560000120234

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ร้านทองจ๊าก กม.คุมเก็งกำไร “จิตติ” แนะดูแลโบรกฯ ที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดสปอต blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 กันยายน 2556 19:21 น.

 

 

blank.gif TabOver.gif คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น 556000012597801.JPEG

blank.gif blank.gif นายกสมาคมค้าทองฯ แนะ ธปท. แก้ปัญหาเก็งกำไร “ทองคำ-ค่าบาท” ควรออกมาตรการคุมร้านขายทองให้ตรงจุด แนะดูแลโบรกเกอร์ที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดสปอต และถ้าจะออกกติกาเรื่องใดมาขอให้เชิญสมาคมฯ เข้าร่วมหารือด้วยเพื่อให้ข้อมูล และแก้ปัญหาให้ถูกต้อง เพราะหากออก กม. ควบคุมธุรกิจทั้งหมด อาจกระทบภาพรวมตลาดทองคำได้

 

นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ และประธานห้างทองจินฮั่วเฮง กล่าวถึงกรณีธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หารือร่วมกับกระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อวางกติกาในการซื้อขายทองคำหลังพบการเก็งกำไรในอัตราแลกเปลี่ยน

 

กรณีดังกล่าว ทางสมาคมฯ ได้นำเสนอให้ออกกฎหมายมาดูแลการซื้อขายสัญญาซื้อขายทองคำที่มีการชำระราคาใน ทันที (spot) เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เพราะพบว่ามีการจัดตั้งบริษัทนายหน้าซื้อขายทองคำ (โบรกเกอร์) ทางออนไลน์เป็นจำนวนมาก ซึ่งโบรกเกอร์บางรายไม่มีที่มาที่ไป และไม่ได้เป็นสมาชิกของสมาคมค้าทองคำ และสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งอาจสร้างความเสียหาแก่บลูกค้าได้หากปิดสำนักงานหนี

 

ดังนั้น จึงเห็นด้วยหากจะคุมเข้มการซื้อขายออนไลน์ในตลาดสปอต และทางสมาคมฯ ก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าโบรกเกอร์ที่ไม่ได้จดทะเบียนมีการเก็งกำไรในอัตรา แลกเปลี่ยนหรือไม่

 

อย่างไรก็ตาม หาก ธปท.จะออกกติกาเรื่องใดมาขอให้เชิญสมาคมค้าทองคำเข้าร่วมหารือด้วย เพื่อให้ข้อมูลเพื่อจะได้แก้ปัญหาให้ตรงจุด เพราะหากออกกติกา หรือกฎหมายมาควบคุมธุรกิจค้าทองทั้งหมดอาจจะเป็นปัญหาต่อภาพรวมตลาดทองคำได้ เนื่องจากมีโบรกเกอร์ที่ถูกกฎหมายได้รับผลกระทบไปด้วย

 

นายจิตติ กล่าวว่า ร้านค้าทองคำ และโบรกเกอร์ที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องไม่ได้มีลักษณะการเก็งกำไรอัตราแลก เปลี่ยน เพราะขณะนี้ค่าเงินบาทมีความผันผวนมาก การเข้าเก็งกำไรอาจจะทำให้เสียหายได้ และที่ผ่านมา ปริมาณการนำเข้า และส่งออกทองคำก็เป็นไปอย่างสมดุล

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

23 กันยายน 2556 10:00

เล็งคุมค้าทองสกัดเก็งกำไรบาท

 

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

news_img_531603_1.jpg

ธปท.เตรียมจัดระเบียบซื้อขายทองคำ ถก 'คลัง-ก.ล.ต.' ออกมาตรการดูแลโบรกเกอร์-ร้านค้าทอง หลังพบนักลงทุนใช้เป็นช่องทางเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยน

 

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.อยู่ระหว่างหารือร่วมกับ กระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อวางกติกาเกี่ยวกับการซื้อขายทองคำของร้านค้าทอง หรือ บริษัทที่เป็นนายหน้า (โบรกเกอร์) ซื้อขายทองคำ เพื่อป้องกันใช้เป็นช่องทางเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยน

 

"ที่ผ่านมาพบว่ามีปริมาณการซื้อขายทองคำเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก และส่วนใหญ่เป็นลักษณะที่ไม่ได้มีการส่งมอบกันจริง อีกทั้งยังมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับอัตราแลกเปลี่ยนด้วย"

 

ปัจจุบันโบรกเกอร์มีทั้งสิ้น 14 ราย และมีตัวแทนขาย 21 รายที่ได้รับอนุญาตให้ทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้

 

นายประสาร กล่าวว่า การวางกติกาซื้อขายทองคำจะเกี่ยวข้อง 2 ส่วน คือ ส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับอัตราแลกเปลี่ยน และส่วนที่เป็นการซื้อขายสัญญาซื้อขายทองคำที่มีการชำระราคาในทันที (spot)

 

นายประสาร กล่าวว่า ที่ผ่านมา ธปท. ได้ติดตามดูการซื้อขายทองคำของร้านค้าหรือบริษัทที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง โดยดูว่าตัวเลขที่มีการซื้อขายเมื่อหักกลบกันแล้วเป็นอย่างไร โดยมีการนำตัวเลขต่างๆ มาดู ทั้งตัวเลขการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ และตัวเลขการซื้อขายทองคำ ซึ่งปรากฏว่าตัวเลขการซื้อขายเงินตราต่างประเทศมีมากกว่าการซื้อขายทองคำค่อนข้างมากแบบมีนัยสำคัญ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า การซื้อขายในส่วนนี้ คงมีเรื่องการเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

 

"เราเอาตัวเลขเงินตราต่างประเทศที่เขาบอกว่า ขอแลกเพื่อไปซื้อทองคำ มาดูเทียบกับตัวเลขที่มีการซื้อขายทองคำกันจริงๆ ปรากฏว่าตัวเลขการขอแลกเงินตราต่างประเทศมันสูงกว่า ดังนั้น คงมีเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอนในเรื่องนี้"นายประสาร กล่าว

 

ชี้คนไทยนิยมซื้อ-ขายเพิ่มขึ้น

 

นายประสาร กล่าวว่า อีกส่วนหนึ่งที่เป็นการซื้อขายชำระราคาในทันทีหรือตลาดสปอต โดยในระยะหลังคนไทยซื้อทองคำในลักษณะที่เป็นการเทรดมากขึ้น และมากกว่าการซื้อเพื่อเก็บสะสม ประกอบกับผู้ประกอบการร้านค้าทองได้ขยายการให้บริการของตัวเองไปสู่การเป็นโบรกเกอร์มากขึ้น และมีการซื้อขายผ่านทองคำทางออนไลน์ ซึ่งไม่ได้มีการส่งมอบทองคำกันจริงๆ มากขึ้น

 

"จึงมีโจทย์ในเรื่องของความเรียบร้อย กับการคุ้มครองผู้บริโภคเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะต้องทำให้แน่ใจว่า ถ้าลูกค้าต้องการทองคำขึ้นมาแล้วไม่มีของ จะหาวิธีชดเชยกันอย่างไร ที่สำคัญโบรกเกอร์เหล่านี้มีเงินกองทุนเพียงพอหรือไม่"

 

เตรียมวางกติกาซื้อ-ขายทอง

 

นายประสาร กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ ธปท.เชิญผู้ประกอบการร้านค้าทองมาหารือเป็นระยะ เพราะให้ความสนใจมาตั้งแต่ช่วงที่ปริมาณการซื้อขายทองคำไม่มาก เพียงแต่ตอนนั้นยังเป็นแค่การขอความร่วมมือแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน

 

"ตอนนี้คงเป็นโจทย์ว่า เราจะวางกติกาต่างๆ ยังไง เพื่อให้มีความชัดเจนมากขึ้น ตอนนี้ก็อยู่ในชั้นการปรึกษาหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” นายประสาร กล่าว"

 

มูลค่านำเข้าทองพุ่งแตะ 8.2%

 

ข้อมูล ธปท. ระบุว่า ปริมาณการนำเข้าทองคำ 7 เดือนแรกของปีนี้ มีจำนวน 10,858.64 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 8.2% ของปริมาณการนำเข้ารวม 131,058.21 ล้านดอลลาร์ ถือว่าเป็นสัดส่วนที่สูงมากเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านๆ มา หรือมีอัตราการขยายตัวสูงมาก โดยในปี 2555 มีการนำเข้าทองคำ 12,378.60 ล้านดอลลาร์ คิดเป็น 5.63% ของการนำเข้ารวม 219,860.33 ล้านดอลลาร์

 

ถ้าหักมูลค่าการนำเข้าทองคำออกในช่วง 7 เดือนแรกปีนี้ จะทำให้ประเทศไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 4,793 ล้านดอลลาร์ แต่ถ้านับรวมทองคำเข้าไปด้วย จะทำให้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด 5,000 ล้านดอลลาร์

 

อย่างไรก็ตาม นายประสาร ไม่กังวลว่าการนำเข้าทองคำจะทำให้ประเทศขาดดุลบัญชีเดินสะพัด เนื่องจากยังเห็นว่าผู้ประกอบการอัญมณีในประเทศ นำทองคำเข้ามาเป็นวัตถุดิบผลิตเครื่องประดับเพื่อส่งออกด้วย

 

http://www.bangkokbiznews.com/

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ค่าเงินบาทเช้านี้อ่อนค่ามาที่ 31.26 บาท ก็น่าจะวิ่งที่ระดับนี้ แบะจะอ่อนค่าอีก 31.3x ก็ตัองดูตลาดหุ้นแดงไหม ? วันนี้ รัฐฯ แถลงผลงานที่ผ่านมา คุณว่าดำหรือแดง ผมว่า " แดงแจ๋ " ให้เข้ากับบรรยากาศ รัฐฯบวม

ชอบวิเดาของป๋าที่ซู๊ด.............ขอบคุณหลายๆครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ราคาทองคำปรับตัวลดลงเมื่อวานนี้ จากแรงเทขายทางเทคนิค ประกอบกับการที่ไม่มีข่าวใหม่มาสนับสนุนราคาทองคำ และในสัปดาห์นี้จะมีสมาชิกเฟดออกมาพูดหลายราย ซึ่งตลาดยังรอดูท่าทีในเรื่องนโยบายของเฟด

 

เมื่อวานนี้ นายวิลเลี่ยม ดัดเล่ย์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังจำเป็นต้องได้รับการผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไป นอกจากนี้ นายเดนนิส ล็อคฮาร์ท ประธานเฟดสาขาแอตแลนตา ก็ออกมากล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังอ่อนแอเกินกว่าที่จะลด QE ส่งผลให้ราคาทองคำนั้นขยับขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,330 เหรียญโดยประมาณ พร้อมๆ กับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐก็ปรับตัวลงในทันทีและทำจุดต่ำสุดในรอบ 1 เดือน

 

SPDR ขายออกเพียงเล็กน้อยอีก 0.6 ตัน คงเหลือการถือครองทองคำที่ 909.59 ตัน

 

นายรูบินี่ นักเศรษฐศาสตร์ ฉายา ดอกเตอร์ดูม กล่าวเมื่อวานนี้มีมุมมองเป็นลบต่อทองคำ เนื่องจากความเสี่ยงในเศรษฐกิจทั่วโลกดูลดลง และส่งผลกระทบต่อปริมาณความต้องการในทองคำ ประกอบกับดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นและอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น

 

นายจิม ริคการ์ดส์ กล่าวต่อสำนักข่าว Kitco ว่า เฟดรู้อยู่แล้วว่าราคาทองคำจะปรับตัวสูงขึ้น แต่การคุยกันเรื่องลด QE ยังคงกดดันราคาทองคำ

<img alt="ภาพในบรรทัด 2" />

ประเด็นงบประมาณและเพดานหนี้ของสหรัฐกำลังเข้ามาในความสนในของตลาด โดยจะมีการหารือกันในสภาคองเกรสกับฝ่ายบริหารของนายโอบามาในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งอาจเป็นผลลบต่อตลาดส่วนใหญ่

ทางด้านยุโรปหลังจากที่ประเทศเยอรมนีได้นายกรัฐมนตรีหญิง อังเกล่า แมร์เคล ต่ออีกสมัย ก็ส่งผลให้เศรษฐกิจนั้นมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น

นายมาริโอ ดรากี ประธานอีซีบี กล่าวเมื่อวานนี้ว่า แผนการระดมทุนระยะยาวแผนใหม่ การแก้ไขปัญหาภาคธนาคารของกรีซไม่ได้ต้องรับการช่วยเหลือรอบสาม เป็นส่วนหนึ่งของการที่อีซีบีจะรับประกันว่าเศรษฐกิจยูโรโซนจะฟื้นตัวในทิศทางที่ถูกต้อง

 

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลว่าเฟดอาจจะลดขนาด QE และกังวลเรื่องความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเพดานหนี้สินของรัฐบาลสหรัฐ

ดัชนีตลาดหุ้นฮั่งเซ่งปิดปรับตัวลดลงจากที่ช่วงเช้าได้เลื่อนทำการเนื่องจากพายุไต้ฝุ่นเข้าและแม้ว่าตัวเลขภาคอุตสาหกรรมของจีนจะดีกว่าที่คาดก็ตาม โดยเช้านี้ก็เปิดตลาดลดลงจากคำพูดของสมาชิกเฟดที่สร้างความไม่แน่นอนเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

 

ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดร่วงลงเช้านี้ เพราะได้รับแรงกดดันจากการอ่อนแรงลงของตลาดหุ้นนิวยอร์ก และเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีค่ะ คุณปะป๋า ช่วยบ่นเรื่องการควบคุมการนำเข้าทองคำ จะมีผลอย่างไรบ้าง ขอบคุณค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ดอลลาร์ทรงตัวอยู่กลางกรอบบนของ 98 เยนในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตราโตเกียวเช้าวันนี้ เนื่องจากการซื้อขายเป็นไปอย่างบางเบา หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศเดินหน้าใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินต่อไป ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ผิดไปจากที่ตลาดคาดการณ์ ส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐ

ณ เที่ยงวันนี้ ตามเวลาโตเกียว ดอลลาร์ซื้อขายที่ระดับ 98.79-98.83 เยนเมื่อเทียบกับ 98.79-98.89 เยนที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อเวลา 17.00 น. ของเมื่อวานนี้ และ 99.23-99.25 เยนที่ตลาดโตเกียวเมื่อเวลา 17.00 น. ของวันศุกร์ที่ผ่านมา

ยูโรซื้อขายที่ระดับ 1.3493-1.3497 ดอลลาร์ และ 133.31-133.33 เยนเมื่อเทียบกับ 1.3488-1.3498 ดอลลาร์และ 133.27-133.37 เยนที่ตลาดนิวยอร์กช่วงบ่ายวานนี้ และ 1.3534-1.3536 และ 134.30-134.34 ที่ตลาดโตเกียวช่วงบ่ายวันศุกร์

นักลงทุนต่างพากันประหลาดใจที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจไม่ลดขนาดโครงการซื้อพันธบัตรในการประชุมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยเฟดระบุว่า ต้องการให้ตลาดแรงงานปรับตัวดีขึ้นมากกว่านี้ ซึ่งส่งผลให้ดอลลาร์ร่วงลงต่ำกว่า 98 เยน

ดีลเลอร์กล่าวว่า ดอลลาร์ปรับตัวลงเพราะมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากตลาดหุ้นสหรัฐ และญี่ปุ่นที่อ่อนตัวลง โดยมีแนวโน้มจะทำให้นักลงทุนหันไปลงทุนในพันธบัตรแทน สำนักข่าวเกียวโดรายงาน

 

ที่มา: ทันหุ้น(วันที่ 24 กย.56)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีค่ะ คุณปะป๋า ช่วยบ่นเรื่องการควบคุมการนำเข้าทองคำ จะมีผลอย่างไรบ้าง ขอบคุณค่ะ

เค้าไม่ได้คิดจะควบคุมการนำเข้าทองคำหรอกครับ แต่คงอยากให้ราคาทองทำการ Fixed ค่าเงินไว้ที่ระดับใดระดับหนึ่ง แบบคิดเหมาๆๆ แล้วให้ค่าธรรมเนียมในการซื้อเงินตราล่วงหน้า ตกอยู่ที่ผู้ซื้อทองคำ ซึ่งผมว่า มันจะบ้าไปใหญ่แล้ว มูลค่างทองคำไม่ใช่ซองละ 6 บาทเหมือนบะหมี่สำเร็จรูป หรือ คิดเป็นตันละ 15,000 บาท เหมือนข้าวเน่าค้างปี งานนี้ ทำออกมาจริง ทำลายการค้าขายทองคำ เมืองไทยแน่ๆๆ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งผู้ซื้อ ก็ไม่อยากซื้อ ฝั่งขาย ขายไม่ออก ก็ต้องหาอาชีพใหม่ทำ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีค่ะ คุณปะป๋า ช่วยบ่นเรื่องการควบคุมการนำเข้าทองคำ จะมีผลอย่างไรบ้าง ขอบคุณค่ะ

ผู้ค้าทองคำรายใหญ่ของไทย เตรียมทำหนังสือถึงผู้ว่าแบงก์ชาติ ชี้แจงข้อเท็จจริง ยืนยัน ไม่ได้เก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยนจากการซื้อขายทองคำ

 

วง การค้าทองของไทยปั่นป่วนพอสมควร หลังธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ ที่ออกมาบอกว่า แบงก์ชาติ ได้ตรวจพบว่ามีการเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยน ผ่านการซื้อขายทองคำของผู้ค้าทอง โดยเฉพาะการซื้อขายผ่านสัญญาซื้อขายทองคำ ที่มีการชำระราคาในทันที หรือ spot จนนำไปสู่แนวทางที่แบงก์ชาติ อาจจะวางกติกาในการซื้อขายทองคำ เพื่อป้องกันการเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยน

 

นาย ธนรัชต์ พสวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ฟิวเจอร์ส จำกัด บอกกับ Money Channel ว่า กระแสข่าวที่เกิดขึ้นทำให้ผู้ค้าทองส่วนใหญ่ไม่สบายใจพอสมควร ซึ่งก่อนหน้านี้ประมาณ 1 ปีกว่าๆ ที่ผ่านมา ทางแบงก์ชาติเองก็ได้เข้ามาขอข้อมูลการนำเข้า และซื้อขายทอง จากผู้ค้าทองอยู่แล้ว

 

ผู้บริหาร ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ฟิวเจอร์สบอกอีกว่า การซื้อขายทองในประเทศไทย ถูกกำหนดให้อิงการค่าเงินบาท ซึ่งที่ผ่านมาถือว่าผันผวนพอสมควร โดยมีตัวแปรที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก ซึ่งการคงปริมาณ QE ของธนาคารกลางสหรัฐจากการประชุมเฟดครั้งล่าสุด ก็ทำให้ค่าเงินผันผวน กลับมาแข็งค่าอีกครั้ง ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ถือว่าเป็นการเก็งกำไร แต่เกิดจากความผันผวนของเงินบาท ซึ่งเหตุการณ์ในลักษณะนี้ ก็เกิดขึ้นกับสินทรัพย์อื่นๆ เช่น จิวเวอร์ลี่ เช่นกัน

 

ทั้งนี้ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ทางรัฐบาลสิงค์โปร์ เข้ามาติดต่อกับผู้ค้าทองรายใหญ่หลายรายทั้ง 5 ราย ให้ไปเปิดบริษัทในสิงคโปร์ และจะอำนวนความสะดวกให้การทำธุรกิจให้ ซึ่งเราเองก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย แต่อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผู้ค้า ขณะนี้คงต้องขอติดตามท่าทีของแบงก์ชาติก่อน ว่าจะมีความชัดเจนในการเข้ามาควบคุมอย่างไร ซึ่งในวันนี้เอง ผู้ค้าทองรายใหญ่ทั้ง 5 ราย จะทำหนังสือถึงผู้ว่าแบงก์ชาติ เพื่อขอพบและทำความเข้าใจ ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

 

ด้านนายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ บอกว่า เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา แบงก์ชาติได้เข้ามาขอข้อมูลและมีการพูดคุยถึงการนำเข้าทองคำในปริมาณที่มี นัยยะสำคัญ ซึ่งสมาคมก็ชี้แจงกลับไปว่า สัดส่วนการนำเข้าที่ขยับขึ้นเป็น 200 ตัน เป็น 100 ตัน ไม่น่าจะเกิดจากการนำเข้ามาเพื่อเก็งกำไรค่าเงิน แต่เป็นการนำเข้าตามความต้องการในประเทศที่สูงขึ้น หลังจากราคาทองคำในช่วงครึ่งปีแรกยังอยู่ในระดับต่ำ

 

แต่อย่างไรก็ ตาม หากแบงก์ชาติจะออกกติกาเข้ามาดูแล สมาคมฯ ก็เห็นด้วย แต่ก็ขอให้เชิญสมาคมค้าทองคำ เข้าร่วมหารือด้วย เพื่อจะได้แก้ปัญหาให้ตรงจุด และไม่ให้โบรกเกอร์ที่ถูกกฎหมายได้รับผลกระทบ

 

ที่มา:money channel (วันที่ 24 กย.56)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ที่เศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมหลัก คือ สหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น กำลังฟื้นตัวพร้อมกัน ตลาดการเงินโลกได้ตอบรับการฟื้นตัว โดยการเคลื่อนย้ายเงินทุนออกจากประเทศตลาดเกิดใหม่กลับเข้าประเทศอุตสาหกรรม จากที่คาดว่าการฟื้นตัวจะทำให้ทิศทางนโยบายการเงินของประเทศอุตสาหกรรมเปลี่ยนจากผ่อนคลายมาก เป็นผ่อนคลายน้อยลง และเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในที่สุด และประเทศที่ตลาดการเงินจับตามากที่สุดขณะนี้ ในแง่นโยบายการเงิน ก็คือ สหรัฐ เพราะเป็นประเทศแถวหน้าในวัฏจักรการฟื้นตัวที่กำลังเกิดขึ้น

 

คำถามที่ตามมามีสองคำถาม หนึ่ง การฟื้นตัวของประเทศอุตสาหกรรมหลักจะต่อเนื่อง และยั่งยืนมากน้อยแค่ไหน สอง ถ้าเศรษฐกิจอุตสาหกรรมหลักฟื้นตัว ผลกระทบที่จะเกิดกับประเทศตลาดเกิดใหม่จะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะผลที่เงินทุนไหลออกจะกระทบเสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้

 

ผมได้เขียนถึงประเด็นเงินทุนไหลออกมาแล้วครั้งหนึ่ง โดยพูดถึงกรณีประเทศไทยกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการไหลออกของเงินทุน วันนี้จะเขียนในประเด็นคำถามแรกโดยมุ่งไปที่สหรัฐ นั้นก็คือ ความยั่งยืนหรือความต่อเนื่องของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจะมีมากน้อยแค่ไหน

 

ในประเด็นนี้ ถ้าจะสรุป ผมเห็นว่าการฟื้นตัวจะเกิดขึ้นได้ต่อเนื่อง ก็ต่อเมื่อทางการสหรัฐลดความกังวลของตลาดการเงิน ในความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐที่ขณะนี้มีอยู่สามประเด็น หนึ่ง ทิศทางนโยบายการเงินจากนี้ไป สอง ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐคนต่อไป และสาม แนวทางแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะ โดยเฉพาะเพดานก่อหนี้ตามกฎหมาย ผมคิดว่าตราบใดที่ความไม่แน่นอนในสามประเด็นนี้ยังมีอยู่ ตลาดการเงินคงจะผันผวนต่อไป และภาคธุรกิจก็จะมีความมั่นใจน้อยในทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐ ทำให้การฟื้นตัวจะมีข้อจำกัดและไม่ยั่งยืน

 

ประเด็นแรก เรื่องนโยบายการเงิน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำในปัจจุบัน ได้สร้างเงื่อนไขที่เหมาะสมให้ธนาคารกลางสหรัฐเริ่มลดการผ่อนคลายนโยบายการเงินลง แต่คงต้องทำเป็นขั้นตอน เริ่มโดยการลดปริมาณการอัดฉีดสภาพคล่องผ่านมาตรการคิวอี ไปสู่การดูดซับสภาพคล่องที่ได้ปล่อยไปกลับ (โดยขายพันธบัตร หรือไม่ Rollover พันธบัตรที่หมดอายุลง) และไปสู่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในที่สุด ความไม่แน่นอนขณะนี้ คือ เงื่อนเวลาและขนาดของการลดทอนที่จะเกิดขึ้น ทำให้ข่าวที่ออกมาเรื่องมาตรการคิวอีทุกครั้ง ไม่ว่าบวกหรือลบ จะกระทบตลาดการเงิน โดยเฉพาะตลาดหุ้นทั่วโลกมากเกินกว่าเหตุ

 

ในประเด็นนี้สิ่งที่ต้องเข้าใจ ก็คือ แม้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจะดีต่อเศรษฐกิจโลกในระยะยาว ทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกต่อไปจะเข้มแข็ง แต่ตลาดการเงินได้ตอบรับข่าวดังกล่าวในเชิงลบ เพราะกลัว “สภาพคล่อง” ที่จะลดลงจากการลดทอนมาตรการคิวอี ซึ่งจะฉุดให้ราคาสินทรัพย์ โดยเฉพาะ หุ้น ให้ตก ดังนั้น ข่าวมาตรการคิวอีที่ออกมา (Tapering) จึงกระทบตลาดหุ้นมาก เทียบกับตลาดตราสารหนี้ ที่ได้เริ่มปรับตัวตามปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไปแล้ว สะท้อนจากอัตราดอกเบี้ยระยะยาวในตลาดพันธบัตรที่ปรับสูงขึ้น

 

ที่สำคัญ ทั้งๆ ที่คณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐยังไม่ได้พูดชัดเจนว่าจะเริ่มลดทอนขนาดการอัดฉีดเท่าไร และเมื่อไร ตัวเลขฐานะสินทรัพย์ของธนาคารกลางสหรัฐ (ดู Fed Report เผยแพร่วันที่ 12 กันยายนปีนี้) ชี้ว่า สินทรัพย์ของธนาคารกลางสหรัฐในบัญชีการเงินประจำเดือน เริ่มแสดงอัตราการเพิ่มลดลงจากเดิม คือ จากที่เคยเพิ่มเฉลี่ยต่อเดือนในอัตราร้อยละ 3 ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ล่าสุดอัตราการเพิ่มช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมลดลงเหลือร้อยละ 1.5 ซึ่งชี้ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐสนับสนุนการลดการผ่อนคลายนโยบายการเงิน และคงทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้น การประกาศขนาดการลดทอน และเงื่อนเวลาการลดทอนคงจะเกิดขึ้นเร็ว และควรต้องเกิดขึ้นเร็วเพื่อลดความไม่แน่นอนที่มีอยู่ ผมเขียนต้นฉบับนี้เมื่อวันพุธที่ 18 กันยายน ดังนั้นความชัดเจนอาจมีมากขึ้นแล้ว จากการประชุมของเฟดล่าสุดเมื่อปลายอาทิตย์ที่แล้ว

 

ประเด็นที่สอง ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐคนใหม่ ขณะนี้ ชื่อที่เต็งหนึ่งคือ รองประธานเฟด นาง Janet Yellen หลังจากที่ตัวเลือกของประธานาธิบดีสหรัฐ คือ นาย Lawrence Summers ได้ประกาศถอนชื่อจากการพิจารณาด้วยเหตุผลทางการเมือง ที่ต้องการลดแรงกดดันต่อการทำงานของประธานาธิบดีสหรัฐ เพราะการเสนอชื่อนาย Summers คงมีแรงต่อต้านจากสมาชิกสภาสูงของพรรคเดโมแครตเอง และในฐานะรองประธานเฟด นาง Yellen มีความรู้ความเข้าใจเป็นอย่างดีที่จะสานต่อนโยบายการเงินตามทิศทางที่คณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐภายใต้ประธานเฟดคนปัจจุบันได้วางไว้ ดังนั้นการรีบประกาศแต่งตั้ง นาง Yellen เป็นผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะลดความไม่ชัดเจนในทิศทางนโยบายการเงินสหรัฐ พร้อมสร้างความมั่นใจให้กับตลาดการเงินว่านโยบายการเงินสหรัฐจะเดินตามแนวทางปัจจุบันต่อไป ไม่เปลี่ยนแปลง

 

ความไม่แน่นอนประเด็นที่สาม ก็คือ แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะของสหรัฐ ที่การก่อหนี้ได้โตขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่การแก้ไขปัญหายังไม่มีแนวทางชัดเจน ประเด็นนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่มีต่อนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐถูกกระทบ เพราะไม่มีความมั่นใจว่าปัญหาดังกล่าวจะแก้ไขได้ ทำให้ภาคธุรกิจชะลอการลงทุน ซึ่งกระทบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

 

ในเรื่องนี้ปัญหาเฉพาะหน้าก็คือ เพดานการก่อหนี้สาธารณะที่รัฐสภาได้กำหนดไว้ไม่ให้เกิน เพื่อเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้ แต่ในอีกหกอาทิตย์ข้างหน้า มีความเป็นไปได้สูงที่ระดับหนี้สาธารณะจะชนเพดานดังกล่าว ทำให้ทางการสหรัฐจะไม่สามารถกู้ยืมใหม่ได้ เพื่อใช้จ่ายตามงบประมาณ ที่สำคัญถ้าฝ่ายการเมืองสหรัฐไม่สามารถตกลงกันได้ ในแนวทางการลดหนี้ ก็จะไม่มีเหตุผลหรือพื้นฐานที่จะใช้อ้างสนับสนุนการเพิ่มเพดานหนี้เป็นการชั่วคราว ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ทางการสหรัฐอาจลดการใช้จ่ายที่จำเป็นลง เพราะติดเพดานหนี้ ทำให้ไม่สามารถกู้ใหม่ได้ กรณีเลวร้ายสุด ก็คือ รัฐบาลสหรัฐไม่มีเงิน แม้แต่จะชำระหนี้ หรือจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ ทำให้เกิดปัญหาชำระหนี้ เหมือนที่เกิดขึ้นในยุโรป ซึ่งถ้าเกิดจะสร้างความเสียหายมากต่อตลาดการเงินโลก ทางออกเรื่องนี้อยู่ที่ฝ่ายการเมืองสหรัฐทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านที่ต้องหาข้อยุติที่นำไปสู่การแก้ไขปัญหาหนี้ และเพิ่มเพดานก่อหนี้เป็นการชั่วคราว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤติ แต่ ณ วันนี้ ไม่มีความชัดเจนว่าจะมีทางออกหรือไม่อย่างไร อันนี้จึงเป็นอีกความไม่แน่นอนที่กระทบตลาดการเงินโลกค่อนข้างมากขณะนี้ (แม้จะไม่ค่อยมีข่าว)

 

ความไม่แน่นอนทั้งสามเรื่อง เป็นความไม่แน่นอนด้านนโยบาย เป็นเรื่องที่สามารถทำให้ชัดเจนได้ แต่ถ้าไม่ทำ ความไม่แน่นอนก็จะมีอยู่ และจะสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินโลกต่อไป รวมถึงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ โดยเฉพาะในช่วงหกถึงแปดอาทิตย์ข้างหน้า

 

พูดได้ว่า ขณะนี้ความไม่แน่นอนทั้งสามประเด็นกำลังจับตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลกเป็นเชลย

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์(วันที่ 24 กย.56)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นักบริหารเงินจากธนาคารซีไอเอ็มบีไทย เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ระดับ 31.23/25 บาท/ดอลลาร์ ใกล้เคียงกับเมื่อเย็นวานนี้ที่ปิดตลาดที่ระดับ 31.24/26 บาท/ดอลลาร์

 

 

วันนี้ทิศทางเงินบาทคาดว่าจะยังอ่อนค่าต่อเนื่องจากเมื่อวาน เนื่องจากนักลงทุนเริ่มกลับมากังวลประเด็นที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะลดขนาดมาตรการ QE

 

 

"วันนี้คงอ่อนค่าต่อเนื่อง ล่าสุดตอนนี้อยู่ที่ 31.36/38 แนวโน้มอ่อนค่าเพราะคนกลับมากังวลเรื่องนโยบาย QE อีกแล้ว ว่าเฟดจะลด QE" นักบริหารเงิน ระบุ

 

 

 

 

 

* ปัจจัยสำคัญ

 

- เปิดตลาดเช้านี้ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 98.73/74 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเย็นวานนี้ที่ระดับ 98.93/95 เยน/ดอลลาร์

- ส่วนเงินยูโร เช้านี้อยู่ที่ระดับ 1.3490/3493 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเย็นวานนี้ที่ระดับ 1.3517/3519 ดอลลาร์/ยูโร

- อัตราแลกเปลี่ยนบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของ ธปท.อยู่ที่ 31.121 บาท/ดอลลาร์

- นักวิเคราะห์ฯประเมินตลาดหุ้นไทยวันนี้ดัชนีอาจมีความผันผวนและปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นเอเชียในช่วงเช้าที่ดัชนีเคลื่อนไหวใน แดนลบ เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆเข้ามากระตุ้นการฟื้นตัวของตลาด

- สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (23 ก.ย.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ตัดสินใจเดินหน้าใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ต่อไป

- ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงเช้านี้ โดยดัชนี MSCI Asia Pacific ร่วงลง 0.4% เมื่อเวลา 10.11 น.ตามเวลาโตเกียว เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) อาจจะลดขนาดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ขณะเดียวกันก็รอดูข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐซึ่งจะมีการเปิดเผยในคืนนี้ตามเวลาไทย

- คืนนี้สหรัฐมีกำหนดเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายตัว ได้แก่ ดัชนีราคาบ้านเดือนก.ค.โดย S&P / Case-Shiller, ดัชนีราคาบ้านประจำเดือนก.ค., ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย.จาก Conference Board และดัชนีภาคการผลิตเดือนก.ย.จากเฟดสาขาริชมอนด์

- สมาคมแลกเปลี่ยนทองคำและเงินของจีน เปิดเผยราคาทองคำที่ตลาดฮ่องกงลดลง 10 ดอลลาร์ฮ่องกง เปิดที่ระดับ 12,340 ดอลลาร์ฮ่องกง/ตำลึงในวันนี้ โดยราคาดังกล่าวเทียบเท่ากับ 1,336.57 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ ร่วงลง 1.08 ดอลลาร์สหรัฐ ที่อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ/ 7.75 ดอลลาร์ฮ่องกงในวันนี้

- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่าเฟดอาจจะลดขนาดมาตรการ QE รวมทั้งความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาเพดานหนี้ของสหรัฐ โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค.ร่วงลง 1.16 ดอลลาร์ ปิดที่ 103.59 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย.ร่วงลง 1.06 ดอลลาร์ ปิดที่ 108.16 ดอลลาร์/บาร์เรล

- มาร์กิตเปิดเผยผลสำรวจดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ(PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นของสหรัฐในเดือนก.ย. ลดลงมาอยู่ที่ 52.8 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 53.1 ในเดือนส.ค.

 

ที่มา: ทันหุ้น(วันที่ 24 กย.56)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ภาวะตลาดทองเอเชีย: สัญญาทองทรงตัว หลังเฟดยังเห็นต่างเรื่องชะลอ QE

 

 

สัญญาทองคำทรงตัวในการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกช่วงเช้าวันนี้ เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการชะลอมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลังเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดยังเห็นต่างในประเด็นนี้

เมื่อเวลาประมาณ 11.15 น.ตามเวลาประเทศไทย สัญญาทองส่งมอบเดือนธ.ค.ที่ตลาด COMEX ทรงตัวที่ 1,326.8 ดอลลาร์/ออนซ์

เฟดได้สร้างความประหลาดใจแก่ตลาดด้วยการตัดสินใจไม่ชะลอ QE ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 17-18 ก.ย. ซึ่งสวนกระแสคาดการณ์ในวงกว้างที่ว่าเฟดจะปรับขนาดโครงการซื้อพันธบัตรลง 1.0-1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ จากในปัจจุบันที่มีวงเงิน 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน

หลังจากนั้นนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ ประเมินว่า เฟดอาจลดวงเงินซื้อพันธบัตรเล็กน้อยในการประชุมเดือนต.ค. หลังจากที่สมาชิกคณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟดมีมติอย่างเฉียดฉิวที่จะไม่ลดวงเงินในการประชุมครั้งล่าสุด

อย่างไรก็ดี นายเดนนิส ล็อคฮาร์ท ประธานเฟดสาขาแอตแลนตา กล่าวว่าภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนที่เป็นผลจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ยังคลุมเครือ ขณะที่ความขัดแย้งระหว่างทำเนียบขาวและคองเกรสในประเด็นงบประมาณและเพดานหนี้มีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจ จึงเป็นเรื่องยากที่เฟดจะหาเหตุผลในการลดขนาดโครงการการซื้อพันธบัตรในการประชุมกำหนดนโยบายในเดือนต.ค.

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...