ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

รหัสฯ 7,5,2 ลากยาวแบบแดงอยู่ด้านล่างเส้นดำ วิ่งขนานมาตลอดเลย หลายวันแล้ว

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

น้ำมันลงแรงคาดอุปสงค์อ่อน หุ้นมะกันขึ้น-ทองคำปิดลบ

 

 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 เมษายน 2557 05:23 น.

 

 

 

 

เอเอฟพี/มาร์เก็ตวอชต์ - ราคาน้ำมันสหรัฐฯวานนี้(22) ดิ่งแรง คาดสต๊อกเชื้อเพลิงภายในประเทศพุ่งสูง บ่งชี้ถึงอุปสงค์ที่อ่อนแอ ส่วนวอลล์สตรีท ปิดบวกพอสมควร จากข้อตกลงภาคเวชภัณฑ์ ขณะที่ทองคำขยับลง หลังความต้องการในจีนอ่อนแอ

 

สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคม ลดลง 2.24 ดอลลาร์ ปิดที่ 102.13 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน ลดลง 68 เซนต์ ปิดที่ 109.27 บาร์เรล

 

น้ำมันตลาดนิวยอร์กตกอยู่ภายใต้แรงกดดันของการคาดเดาของนักลงทุนต่อรายงานคลังเชื้อเพลิงสำรองของรัฐบาลสหรัฐฯที่มีกำหนดเผยแพร่ในวันพุธ(23) ด้วยเชื่อว่าน่าจะเพิ่มขึ้นราวๆ 2.4 ล้านบาร์เรล สอดคล้องกับผลสำรวจที่จัดทำโดยดาวโจนส์นิวส์ไวร์ บ่งชี้ถึงอุปสงค์ที่อ่อนแอภายในชาติผู้บริโภครายใหญ่ที่สุดในโลก

 

ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทต่างๆและข้อตกลงทางธุรกิจของภาคเวชภัณฑ์ ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯวานนี้(22) ปิดในแดนบวก โดยเฉพาะเอสแอนด์พี500และแนสแดก ที่ขยับขึ้น 6 วันติดต่อกัน

 

ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 65.02 จุด (0.40 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 16,514.27 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 7.72 จุด (0.41 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,879.61 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 39.91 จุด (0.97 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,161.46 จุด

 

หุ้น GlaxoSmithKline ปรับตัวขึ้น 5.2% ภายหลัง Novartis AG บรรลุข้อตกลงที่จะซื้อธุรกิจยารักษาโรคมะเร็งของบริษัทและจะจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเกี่ยวกับสุขภาพผู้บริโภคร่วมกัน นอกจากนี้แล้วตลาดยังได้แรงหนุนจากผลประกอบการไตรมาสแรกที่เหนือความคาดหมายของบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่ง

 

ด้านราคาทองคำวานนี้(22) แตะระดับต่ำสุดในรอบ 10 สัปดาห์ นักลงทุนเพิกเฉยต่อความตึงเครียดในยูเครน และให้ความสำคัญกับอุปสงค์ที่เบาบางลงในจีน รวมถึงสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ผลักให้นักลงทุนหันไปหาสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง โดยราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์ ลดลง 7.40 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,281.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดเมื่อคืนนี้ (22 เม.ย.) สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ร่วงลง 7.4 ดอลลาร์ หรือ 0.57% ปิดที่ 1,281.1 ดอลลาร์/ออนซ์ ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ กดดันให้นักลงทุนเทขายทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาริชมอนด์ เปิดเผยว่า ดัชนีกิจกรรมภาคการผลิตเดือนเม.ย.ดีดตัวขึ้นมาสู่ระดับ 7 หลังจากที่อยู่ในภาวะหดตัวที่ -7 ในเดือนมี.ค.

 

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจออนไลน์ (23/04/2557)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ค่าเงินบาทเปิดตลาดที่ 32.32-32.33 บาท/ดอลลาร์ ทรงตัว จับตาผลประชุม กนง. ประเมินกรอบที่ 32.40-32.34 บาท/ดอลลาร์

 

นักบริหารเงินจากธนาคารพาณิชย์ กล่าวว่า ค่าเงินบาทเปิดตลาดที่ 32.32-32.33 บาท/ดอลลาร์ ทรงตัวจากวานนี้ แต่หลังเปิดตลาดไม่นาน ค่าเงินบาทก็ขยับอ่อนค่าขึ้นมาตามสกุลภูมิภาคมาอยู่ที่ 32.37-32.39 บาท/ดอลลาร์ เนื่องจากทิศทางดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับทุกสกุล หลังตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐหลายตัวออกมาดี

 

อย่างไรก็ตาม วันนี้ต้องติดตามปัจจัยในประเทศ คือ ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งจะประกาศวันนี้ช่วงบ่าย รวมถึงคืนนี้มีตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐ เช่น ยอดขายบ้านใหม่เดือน มี.ค.

 

โดยวันนี้คาดว่า เงินบาทน่าจะมีทิศทางอ่อนค่า ประเมินที่ 32.40-32.34 บาทต่อดอลลาร์

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ (วันที่ 23 เมษายน 2557)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ประธานเฟดระบุ เงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานานเป็นภัยคุกคามที่เร่งด่วนต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากกว่าปัญหาเงินเฟ้อ พร้อมย้ำว่าเฟดจะยังใช้นโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไปอีกระยะหนึ่ง

 

นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด กล่าวว่า "ด้วยอัตราเงินเฟ้อที่คงอยู่ที่ระดับประมาณ 1% ในเวลานี้ดิฉันคิดว่าเป็นความเสี่ยงสูงกว่า ซึ่งเราควรกังวลว่าเงินเฟ้อจะอยู่ที่ต่ำกว่าเป้าหมายของเราและหาทางทำให้เงินเฟ้อกลับขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 2%" ทั้งนี้นางเยลเลนกล่าวด้วยว่า แน่นอนว่าท้ายที่สุดแล้วเฟดจำเป็นต้องกลับมาใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เงินเฟ้อสูงเกินไป "เงินเฟ้อที่พุ่งสูงเกินเป้าหมายจะก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างมากในการดึงกลับลงมา"

เยลเลนระบุเพิ่มเติมว่า เฟดไม่ใช่ธนาคารกลางเพียงแห่งเดียวที่มีปัญหาในการดึงอัตราเงินเฟ้อให้เพิ่มสูงขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะเงินฝืด ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) กำลังพิจารณานำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบที่ไม่เคยใช้มาก่อนมาใช้เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อที่ลดต่ำลงเหลือเพียง 0.5% ในเดือนมีนาคม ขณะที่ญี่ปุ่นยังคงพยายามต่อสู้กับภาวะเงินฝืดที่รุมเร้ามา 15 ปี

เฟดคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่เกือบ 0% มาตั้งแต่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจอย่างหนักในช่วงปลายปี 2551 และนับตั้งแต่นั้นได้ซื้อสินทรัพย์เป็นมูลค่ากว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อช่วยลดต้นทุนกู้ยืมและกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ เยลเลนระมัดระวังที่จะไม่คาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับขึ้นเมื่อใด เพียงเน้นย้ำว่า การตัดสินใจในเรื่องดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน และเงินเฟ้อจะปรับขึ้นถึงเป้าหมาย 2% รวดเร็วเพียงใด

การจ้างงานในเดือนที่ผ่านมาอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพึงพอใจ แต่อัตราว่างงานยังคงที่อยู่ในระดับ 6.7% เมื่อชาวอเมริกันเริ่มกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานเพื่อหางานทำอีกครั้ง เยลเลนกล่าวว่า การปรับเพิ่มขึ้นของค่าแรงยังเกิดขึ้นในอัตราที่ช้าที่สุดเป็นประวัติการณ์ และมีสัญญาณบ่งชี้เพียงน้อยนิดว่าจะมีปัจจัยมาสนับสนุนอัตราการเพิ่มขึ้นของค่าแรง "คนที่ตกงานเป็นเวลานานน่าจะเริ่มกลับเข้ามาสู่ตลาดแรงงานและมีงานทำ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มแรงกดดันต่อค่าแรงและราคา" นางเยลเลนกล่าว

มิลแลน มัลเรน รองหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากทีดี ซีเคียวริตีส์ กล่าวว่า "ความกังวลต่อเงินเฟ้อที่อ่อนแอเป็นเวลานานเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เฟดยังคงระมัดระวังเรื่องการปรับนโยบายให้รัดกุมขึ้นก่อนเวลาอันควรหรือมากเกินไป"

เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ดีขึ้นหลังจากได้รับผลกระทบจากสภาวะอากาศที่เลวร้ายในช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนหลายรายพยายามคาดการณ์ว่าเฟดจะตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยเมื่อใด ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าน่าจะเป็นช่วงกลางปี 2558

นางเยลเลนกล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะกลับเข้าสู่ภาวะการจ้างงานที่เกือบปกติ และภาวะเงินเฟ้อที่เข้มแข็งขึ้นภายในปลายปี 2559 "เรามองเห็นพัฒนาการที่มีความหมาย แม้ว่าจะยังไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมายในเวลานี้ เราจะให้ความสำคัญกับการถอนมาตรการกระตุ้นเมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึง"

ทั้งนี้เยลเลนชักชวนให้นักลงทุนจับตามองทิศทางการเคลื่อนไหวของข้อมูลเศรษฐกิจ เพื่อตัดสินว่าเมื่อใดที่อัตราดอกเบี้ยมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นจาก 0% หลังจากที่เมื่อเดือนก่อน เฟดยกเลิกเป้าหมายว่าจะรักษาดอกเบี้ยไว้ที่ 0% จนกว่าอัตราว่างงานจะลดลงต่ำกว่า 6.5% โดยเฟดกล่าวว่าจะพิจารณาจากข้อมูลที่หลากหลายแทน

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,941 วันที่ 20 - 23 เมษายน พ.ศ. 2557

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เอชเอสบีซี โฮลดิงส์เผย ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นของจีนในเดือนเม.ย.ขยับขึ้นแตะ 48.3 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน จาก 48.0 ในเดือนมี.ค.

 

ดัชนีที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่ากิจกรรมภาคการผลิตของจีนยังคงหดตัวลงจากเดือนก่อนหน้า

นายฉู หงปิน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเอชเอสบีซีกล่าวในแถลงการณ์ว่า ดัชนี PMI เบื้องต้นภาคการผลิตจีนในเดือนเม.ย.ขยับขึ้นในเดือนเม.ย. ขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยและแรงกดดันด้านเงินฝืดผ่อนคลายลง แต่ความเสี่ยงช่วงขาลงต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจยังคงมีความชัดเจน เนื่องจากคำสั่งซื้อสินค้าส่งออกล็อตใหม่และการจ้างงานต่างก็หดตัวลง

 

นายฉูกล่าวว่า สภาแห่งรัฐของจีนได้ประกาศมาตรการใหม่ๆเพื่อหนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน หลังการเปิดเผยจีดีพีไตรมาสแรก และได้ส่งสัญญาณความพร้อมที่จะดำเนินการมากขึ้น หากจำเป็น ขณะที่ผลเบื้องต้นของมาตรการดังกล่าวมีแนวโน้มจะอยู่ในวงจำกัด

 

เอชเอสบีซีคาดว่าทางการจีนอาจดำเนินมาตรการใหม่ๆเพิ่มเติมในช่วงหลายเดือนข้างหน้า และธนาคารกลางจีนจะยังคงมีสภาพคล่องเพียงพอ

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 22 เมษายน 2557)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

มีแรงขายออกมาค่อนข้างมากในการซื้อขายช่วงค่ำจนทำให้ราคาทองอ่อนตัวลงไป เคลื่อนไหวใกล้จุดต่ำสุดของเมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน และปิดตลาดทรงตัวบริเวณดังกล่าวซึ่งเป็นแนวรับสำคัญในทางเทคนิค หากราคาทองไม่สามารถประคองตัวเหนือแนวรับบริเวณ 1,275 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ ก็จะเป็นสัญญาณขายกดดันให้ราคาทองปรับตัวลงต่อไป

 

โดยราคาทองปิดตลาด เมื่อวานนี้ที่ 1,277.40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ลดลง 12.03 ดอลลาร์ ราคาทำจุดต่ำสุดและจุดสูงสุดที่ 1,277 และ 1,292 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามลำดับ ส่วนราคาซื้อขายทองคำแท่งในประเทศชนิด 96.5% เมื่อวานนี้ ขายออกที่บาทละ 19,800 บาท และรับซื้อคืนที่บาทละ 19,700 บาท กองทุน SPDR ไม่มีรายงานข้อมูลการเปลี่ยนแปลงปริมาณการถือทองคำ

 

โดยปัจจุบันกอง ทุนถือครองทองคำรวม 792.14 ตัน นักลงทุนต่างกลับเข้าซื้อเก็งกำไรการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนใน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จนทำให้ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ดีดตัวขึ้นในการซื้อขายช่วงเปิดตลาด และกดดันให้ราคาทองปรับตัวลง ปัจจัยต่างๆ โดยรวมยังไม่มีปัจจัยใหม่ การปรับตัวลงของราคาทองวานนี้ส่วนหนึ่งจึงคาดว่าเป็นแรงขายทางเทคนิคที่มี กลับออกมาหลังจากราคาทองอ่อนตัวลงมาเคลื่อนไหวต่ำกว่า 1,290 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

ส่วนประเด็นที่น่าสนใจในวันนี้อยู่ที่การประชุมของ คณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย ซึ่งคาดว่าจะมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยที่ 2.0% หลังจากในการประชุมครั้งก่อนมีมติให้ลดดอกเบี้ยลง แต่ด้วยการไหลเข้ามาเก็งกำไรในตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น ผลจากการประชุมของธนาคารแห่งประเทศไทยจึงไม่น่าจะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของ เงินบาทมากนัก

 

และนอกจากประเด็นดังกล่าวแล้วในวันนี้จะมีการรายงาน ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐฯและหลายประเทศในยุโรป ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะรายงานออกมาดีขึ้นกว่ารายงานครั้งก่อน ส่วนภาพเทคนิคของราคาทองจะมีสัญญาณขายยืนยันการปรับตัวลง หากว่าราคาทองคำไม่สามารถยืนเหนือแนวรับบริเวณ 1,275-1,280 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ และคาดว่าในระยะสั้นอาจมีแรงขายออกมามากจนราคาทองปรับตัวลงไปยังแนวรับ บริเวณ 1,260 และ 1,235-1,240 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ต่อไป

 

ส่วนการดีดตัวกลับที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างวัน มีแนวต้านบริเวณ 1,295 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ที่ควรระวังแรงขายที่อาจมีกลับมา.

 

 

 

 

 

ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ (23/04/2557)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณค่ะ คุณป๋า หายไป คิดถึงค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รหัส 5,35,9 แบบส่งสัญญานนำทาง ให้นั่งมองเฉยๆ คงน่าจะเริ่มเก็บได้ต้นอาทิตย์หน้า หวังไว้เช่นนั้น เพราะ ราคาทองมีปัจจัยเสี่ยงหลายๆอย่าง มากกว่า 2 ที่จะทำกำไรช่วงนี้ " อย่าเสี่ยงกันจนหมดหน้าตัก "

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รหัส 7,5,2 ณ. วันนี้ ผมต้องเชียร์ให้เส้นดำปักหัวลง เพื่อจะได้ทำให้เส้นแดงสลับมาอยู่ด้านบน ซึ่งตะกลายเป็นบ่งบอกสถานะ การเดินขึ้นไปข้างหน้าของราคาทอง เกิน 1300

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

ข่าววิ่ง - ข่าววิ่ง

ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโรและเยนเมื่อคืนนี้ (23 เม.ย.) เนื่องจากกิจกรรมภาคการผลิตของสหรัฐขยายตัวต่ำกว่าคาดในเดือนเม.ย.

 

ค่าเงินยูโรเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.3816 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.3802 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์ปรับลงสู่ระดับ 1.6781 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 1.6822 ดอลลาร์สหรัฐ

 

ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 102.42 เยน จากระดับ 102.63 เยน และลดลงเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.8832 ฟรังค์ จากระดับ 0.8851 ฟรังค์

 

ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียปรับลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.9284 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.9364 ดอลลาร์สหรัฐ

 

ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลงหลังจาก มาร์กิตระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นของสหรัฐในเดือนเม.ย.อยู่ที่ระดับ 55.4 ซึ่งลดลงจาก 55.5 ในเดือนมี.ค. และต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาด โดยดัชนีที่สูงกว่า 50 บ่งชี้ถึงการขยายตัว

 

นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังได้รับแรงกดดันจากยอดขายบ้านใหม่ที่ร่วงลง 14.5% สู่ระดับ 384,000 ยูนิตในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.ปีที่แล้ว และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ราว 450,000 ยูนิต

 

ส่วนเงินเยนฟื้นตัวขึ้นเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐ จากข้อมูลภาคการผลิตที่อ่อนแอของจีน โดยเอชเอสบีซี โฮลดิงส์เปิดเผยวานนี้ว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนในเดือนเม.ย.ขยับขึ้นแตะ 48.3 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน จาก 48.0 ในเดือนมี.ค. แต่ดัชนีที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่ากิจกรรมภาคการผลิตของจีนยังคงหดตัวลงจากเดือนก่อนหน้า

 

ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 24 เมษายน 2557)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ไทยโพสต์ * สรรพสามิตปัดปรับเกณฑ์จ่ายเงินรถคันแรก หลังลูกค้าค่ายรถยนต์ร้องได้รับเงินภาษีคืนไม่ครบ พร้อมหารือผู้ประกอบการเพื่อปิดโครงการ

 

แหล่งข่าวจากกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้รับการร้องเรียนจากผู้ได้สิทธิ์ในโครงการรถคันแรก ที่ซื้อรถยนต์มิตซูบิชิ มิราจ แล้วได้เงินคืนภาษีไม่ครบอย่างที่เซลล์ขายรถยนต์ระบุไว้ในช่วงที่ทำการจอง ซื้อ ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่จะทราบตอนที่ได้รับเอสเอ็มเอสคืนเงินจากกรมสรรพสามิต หลังจากที่ครอบครองรถครบ 1 ปี ว่าจะได้รับเงินคืนจากรัฐบาลเท่าไหร่ โดยเงินคืนที่ได้รับหายไปประมาณ 4-7 พันบาท และเมื่อสอบถามกลับไปยังค่ายรถยนต์ดังกล่าว ได้รับคำตอบว่าเกิดจากกรมสรรพสามิตเปลี่ยนหลักเกณฑ์รถยนต์คันแรกทำให้เงิน ที่ได้คืนน้อยลง

 

ทั้งนี้ กรมสรรพสามิตขอชี้แจงว่าไม่ ได้มีการเปลี่ยนหลักเกณฑ์ในการจ่ายเงิน หรือคำนวณภาษีใหม่ แต่เกิดจากค่ายรถยนต์เอง ซึ่งในการคำนวณภาษีนั้นจะคำนวณจากต้นทุนหน้าโรงงาน โดยช่วงแรกที่เปิดให้จองซื้อมิตซูบิชิ นำต้นทุนการผลิตช่วงปี 2553-2554 มาคำนวณ เพื่อโชว์ยอดภาษีที่จะได้คืนแก่ผู้สนใจซื้อ โดยตอนนั้นปริมาณการผลิตของรถยนต์รุ่นนี้ยังน้อย ต้นทุนการผลิตจึงสูงทำให้ภาษีสูง แต่เมื่อมีการผลิตจริงพบว่ามียอดจองเข้ามาสูงมาก และเมื่อผลิตในปริมาณที่มากขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตถูกลง ภาษีเลยลดลง

 

ด้านนายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมกำลังเร่งตรวจสอบกรณีดังกล่าว โดยยืนยันว่ากรมไม่ได้มีการเปลี่ยนหลักเกณฑ์ใดๆ เกี่ยวกับโครงการรถยนต์คันแรก ซึ่งในวันที่ 29 เม.ย.นี้ ที่กรมจะหารือกับค่ายรถยนต์เพื่อปิดโครงการรถยนต์คันแรกนั้นคงจะได้มีการสอบ ถามและพูดคุยกันถึงเรื่องนี้.

 

ที่มา หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ (วันที่ 24 เมษายน 2557)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ไทยโพสต์ * กนง.มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง คงดอกเบี้ยไว้ที่ 2% ระบุเศรษฐกิจไทยเสี่ยงเพิ่มขึ้นจาก ปัญหาการเมืองเป็นหลัก หอการ ค้าไทยหนุนรัฐเร่งผลักดันค้าชาย แดน ตั้งเป้า 5 ปีมูลค่าโตเท่าตัวเป็น 2 ล้านล้านบาท ชดเชยเศรษฐกิจ-ส่งออกชะลอตัว

 

นายไพบูลย์ กิตติศรีกัง วาน ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบาย การเงิน ธนาคารแห่งประเทศ ไทย (ธปท.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กนง.มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ ประเทศหลัก โดยเฉพาะสหรัฐ ส่วนตลาดเกิดใหม่มีแนวโน้มขยายตัวต่ำลง รวมถึงเศรษฐกิจจีนชะลอลงจากการลงทุนและมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากภาคการเงิน

 

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/2557 มีแนวโน้มหดตัวมากกว่าที่ประเมินไว้ มาจากอุปสงค์ในประเทศ การลงทุนภาคเอกชนและการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอน ทางการเมือง คาด ว่าไตรมาส 1 เศรษฐกิจจะขยายตัวติดลบ และมีโอกาสติดลบต่อเนื่องในไตรมาส 2 หากสถาน การณ์การเมืองยังไม่มีความชัดเจน

 

"ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น มาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นหลัก ส่วนภาวะการเงินไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการใช้จ่ายในประเทศ และนโยบายการเงินในปัจจุบันยังผ่อนคลายเพียงพอที่จะสนับสนุนการฟื้นตัวของ เศรษฐกิจไทย ส่วนการประชุมครั้งต่อไปจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยลงหรือไม่ ต้องประเมินตามความจำเป็นอีกครั้ง โดย กนง. จะติดตามพัฒนาการทางเศรษฐ กิจและการเงินอย่างใกล้ชิด" นายไพบูลย์กล่าว

 

นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประ ธานกรรมการหอการค้าไทย และ ประธานสภาหอการค้าแห่งประ เทศไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจในปัจจุบันชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง จากการท่ายังไม่มีรัฐบาลถาวรเข้ามาบริหารประเทศ โดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดว่าในไตรมาสแรกเศรษฐกิจจะติดลบ 1% และไตรมาส 2 น่าจะเติบโตได้ 0-1% และทั้งปี หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ อาจจะโตไม่ถึง 2.5% ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจโดยรวมและการส่งออกตกต่ำลง ทั้งนี้ เห็นว่ารัฐบาลควรผลักดันการค้าชายแดนเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยการส่งออกโดยรวมที่ ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ

 

นายนิยม ไวยรัชพานิช รอง ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการส่งเสริมการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน กล่าวว่า หอการค้าไทยตั้งเป้าให้มีการผลักดันการค้าชายแดนเพิ่มขึ้นปีละ 20% หรือเพิ่มเท่าตัวเป็น 2 ล้านล้านบาท ภายใน 5 ปี.

 

ที่มา หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ (วันที่ 24 เมษายน 2557)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...