ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

ดัชนีและภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ ประจำวันที 5 พ.ค.2557

-- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (5 พ.ค.) ขานรับรายงานที่ว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐยังคงขยายตัวได้ดีในเดือนเม.ย. ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสามารถสกัดปัจจัยลบจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัว ของภาคบริการของจีน และผลประกอบการที่อ่อนแอของไฟเซอร์ ซึ่งบริษัทเวชภัณฑ์รายใหญ่ของสหรัฐ

 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 16,530.55 จุด เพิ่มขึ้น 17.66 จุด หรือ +0.11% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,138.06 จุด เพิ่มขึ้น 14.16 จุด หรือ +0.34% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,884.66 จุด เพิ่มขึ้น 3.52 จุด หรือ +0.19%

 

-- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (5 พ.ค.) เนื่องจากสถานการณ์รุนแรงในยูเครนยังคงเป็นแรงกระตุ้นความต้องการทองคำซึ่ง เป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย และช่วยหนุนสัญญาทองคำพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์

 

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.พุ่งขึ้น 6.4 ดอลลาร์ หรือ 0.49% ปิดที่ 1,309.3 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 2.5 เซนต์ ปิดที่ 19.571 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 7.70 ดอลลาร์ ปิดที่ 1448.40 ดอลลาร์/ออนซ์ ส่วนสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 4.10 ดอลลาร์ ปิดที่ 816.50 ดอลลาร์/ออนซ์

 

-- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (5 พ.ค.) หลังจากเอชเอสบีซี โฮลดิงส์เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีนยังคงหดตัวอย่างต่อเนื่องในเดือนเม.ย.

 

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย.ลดลง 28 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 99.48 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมิ.ย.ลดลง 92 เซนต์ ปิดที่ 107.67 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

-- ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลงเมื่อเทียบกับเงินเยนเมื่อคืนนี้ (5 พ.ค.) หลังจากภาคการผลิตจีนหดตัวต่อเนื่อง ซึ่งหนุนความต้องการสกุลเงินที่มีความปลอดภัย

 

ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.3877 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.3871 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์ทรงตัวที่ 1.6869 ดอลลาร์สหรัฐ

 

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลงเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 102.12 เยน จากระดับ 102.24 เยน และลดลงเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.8775 ฟรังค์ จากระดับ 0.8780 ฟรังค์

 

ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียปรับขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.9278 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.9267 ดอลลาร์สหรัฐ

 

** ตลาดหุ้นลอนดอนปิดทำการวันจันทร์ที่ 5 พ.ค. เนื่องในวัน Early May Bank Holiday

-- ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (5 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในยูเครน และการชะลอตัวลงของภาคการผลิตจีน

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ข่าววิ่ง - ข่าววิ่ง

สถานการณ์รุนแรงในยูเครน ได้กระตุ้นให้นักลงทุนยังเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง...

 

จากเหตุการณ์ปะทะกันอย่างรุนแรงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 43 ราย ในเมืองโอเดสซา ทางตอนใต้ของยูเครน โดยราคาทองปิดตลาดเมื่อวานนี้ที่ 1,308 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 8.74 ดอลลาร์ ราคาทำจุดต่ำสุดและจุดสูงสุดที่ 1,299 และ 1,315 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามลำดับ

 

ส่วนราคาซื้อขายทองคำแท่งในประเทศชนิด 96.5% เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ขายออกที่บาทละ 19,900 บาท และรับซื้อคืนที่บาทละ 19,800 บาท กองทุน SPDR รายงานว่า ได้ปรับลดปริมาณการถือครองทองคำลงจากวันศุกร์ที่ผ่านมา 2.7 ตัน โดยปัจจุบันกองทุนถือครองทองคำรวม 782.85 ตัน

 

สถานการณ์ในยูเครนมี ความรุนแรงมากขึ้น หลังรัฐบาลยูเครนพยายามใช้กำลังทหารยุติปัญหาความขัดแย้งจากกลุ่มประชาชน ที่ต้องการแยกตัวเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย และในช่วงค่ำของวันศุกร์รายงานเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นกลับมา เป็นปัจจัยบวกทำให้ราคาทองดีดตัวกลับลดช่วงติดลบที่ทำไว้ในระหว่างวันลง หลังจากรายงานข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ เดือน เม.ย.ออกมาดีกว่าที่นักลงทุนประเมิน

 

การจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน เม.ย. ของสหรัฐฯ มีจำนวนเพิ่มขึ้น 2.88 แสนตำแหน่ง สูงสุดตั้งแต่เดือน ม.ค. 2555 มากกว่าผลสำรวจที่ประเมินไว้ที่ 2.1 แสนตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานลดลงสู่ 6.3% จาก 6.7% ในเดือนก่อนหน้า แต่รายงานข้อมูลดังกล่าว กดดันราคาทองอ่อนตัวลงในช่วงสั้นๆ เนื่องจากนักลงทุนให้ความสนใจกับประเด็นความตึงเครียดในยูเครน ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

 

ราคาทองอ่อนตัวลงเข้าใกล้แนวรับบริเวณ 1,270 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในการซื้อขายวันศุกร์ ก่อนที่จะมีแรงซื้อกลับเข้ามา และกลับขึ้นมาเคลื่อนไหวเหนือแนวต้าน บริเวณ 1,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่งผลให้ภาพเทคนิคของราคาทองกลับมามีแนวโน้มฟื้นตัว

 

คาดว่ากรณีที่ราคาทองปรับฐานลงในระหว่างวัน ที่แนวรับบริเวณ 1,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ยังเป็นระดับแนวรับที่สามารถกลับเข้าซื้อเก็งกำไร โดยมีแนวต้านของวันอยู่ที่บริเวณ 1,320 และ 1,330 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามลำดับ.

 

 

 

ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ (06/05/2557)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เหตุการณ์ความตึงเครียดในยูเครน ประกอบกับมาตรการคว่ำบาตรหลายระลอกต่อรัสเซียจากสหรัฐอเมริกาและยุโรป เริ่มส่งผลกระทบต่อบริษัทสัญชาติอเมริกันที่ทำธุรกิจในภูมิภาคดังกล่าว

 

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า บริษัทสัญชาติอเมริกันที่มีธุรกิจอยู่ในรัสเซียแสดงความกังวลต่อสภาวะ เศรษฐกิจที่อ่อนแอของประเทศ การอ่อนตัวของค่าเงินรูเบิล และโอกาสที่วิกฤตการณ์ระหว่างยูเครนและรัสเซียจะเลวร้ายลง นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่า ชาวรัสเซียอาจจะตอบโต้ด้วยการกีดกันสินค้าจากตะวันตก

ผลกระทบจากปัญหาในรัสเซียเริ่มสะท้อนออกมาในผลประกอบการไตรมาสแรกของ บางบริษัท อย่างไรก็ดี เคลเมนต์ มิลเลอร์ นักยุทธศาสตร์การลงทุนจากวิลมิงตัน ทรัสต์ อินเวสต์เมนต์ แอดไวเซอร์ส กล่าวว่า "ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะเลวร้ายลงและมีความไม่แน่นอนมากขึ้น และลุกลามมาถึงช่วงไตรมาส 2 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการในอนาคตแน่นอน"

แมคโดนัลด์ ซึ่งนำเข้าวัตถุดิบประมาณครึ่งหนึ่งสำหรับร้านอาหารในรัสเซีย กล่าวว่า ค่าเงินรูเบิลที่อ่อนตัวส่งผลต่ออัตรากำไรของธุรกิจในรัสเซียถึง 2% ทำให้กระทบไปถึงอัตรากำไรของธุรกิจในภูมิภาคยุโรปของบริษัท "ถ้าสันนิษฐานว่าเงินรูเบิลจะอยู่ในระดับต่ำไปตลอดทั้งปี นั่นคือสิ่งที่เราจะต้องรับมือไปตลอดทั้งปีสำหรับกำไรในยุโรป" พีท เบนสัน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของแมคโดนัลด์ คอร์ป กล่าว

แมคโดนัลด์ ซึ่งปัจจุบันมีร้านอาหารอยู่ในรัสเซียกว่า 400 สาขา เป็นเชนฟาสต์ฟูดจากต่างชาติเชนแรกที่เข้ามาบุกเบิกตลาดรัสเซียที่จัตุรัสพุ ชกินในเมืองมอสโก ตั้งแต่ก่อนการล่มสลายของสหภาพโซเวียต จากรายงานประจำปี 2556 แมคโดนัลด์มองรัสเซียว่าเป็น 1 ใน 7 ตลาดสำคัญนอกสหรัฐฯ และแคนาดา

ด้านฟอร์ด มอเตอร์ กล่าวถึงแรงกดดันต่ออัตรากำไรจากค่าเงินเช่นเดียวกัน "แม้ว่าเราจะพยายามอย่างหนักที่จะซัพพลายชิ้นส่วนจากภายในประเทศเพิ่มมาก ขึ้น แต่ยังมีชิ้นส่วนอีกเป็นจำนวนมากของรถยนต์ที่เราผลิตในรัสเซียที่ต้องนำ เข้า" บ็อบ แชงก์ส ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของฟอร์ด กล่าว

แชงก์สกล่าวด้วยว่า ยอดขายในรัสเซียลดต่ำลงจากสภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ อย่างไรก็ดี ปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ในรัสเซียจนถึงขณะนี้ยังไม่ส่งผลกระทบมากนัก "แต่เราต้องคอยจับตามองว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป"

ฟอร์ด โซลเลอร์ส ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างฟอร์ดและผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติรัสเซีย โซลเลอร์ ประกาศเมื่อเดือนก่อนว่าจะลดจำนวนพนักงานลง 700 ตำแหน่งจากโรงงานผลิตใกล้กับเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เนื่องจากเศรษฐกิจของรัสเซียที่อ่อนแอและการอ่อนค่าของค่าเงินรูเบิล

วิกฤติระหว่างรัสเซียและชาติตะวันตกที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่สงครามเย็น กำลังสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจรัสเซียที่เปราะบางอยู่แล้ว ผลการสำรวจชี้ว่าความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจในรัสเซียลดต่ำที่สุดในรอบ 6 ปี เงินทุนยังคงไหลออกจากประเทศอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ค่าเงินรูเบิลลดลงไปแล้ว 8% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ นับตั้งแต่ต้นปี

ค่าเงินที่อ่อนลงเพิ่มต้นทุนให้กับบริษัทต่างชาติที่มีฐานการผลิตในรัสเซีย ในการนำเข้าสินค้าและโภคภัณฑ์ที่จำเป็น แม้แต่บริษัทที่ยังไม่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจนต่อผลประกอบการจากวิกฤติ การณ์ ก็กล่าวเตือนถึงความไม่แน่นอนในอนาคต "เราหวังว่าสถานการณ์จะคลี่คลายอย่างสันติ แต่ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจทั่วโลกอาจได้รับผลกระทบ การค้าและจีดีพีโลกอาจชะลอตัวลงถ้าสถานการณ์เลวร้ายไปกว่านี้" ดั๊ก โอเบอร์เฮลแมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท แคทเธอร์พิลลาร์ฯ ผู้ผลิตอุปกรณ์ก่อสร้าง ซึ่งฉลองครบรอบ 100 ปีการทำธุรกิจในรัสเซียไปเมื่อปี 2556 กล่าว

สหรัฐฯ และยุโรปประกาศมาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่รัสเซียพร้อมที่จะตอบโต้มาตรการดังกล่าว ซึ่งนักวิเคราะห์บางรายเตือนว่า อาจจะส่งผลย้อนกลับทำให้ชาวรัสเซียไม่เลือกใช้สินค้าจากผู้ผลิตสหรัฐฯ ที่ดำเนินธุรกิจในตลาดรัสเซีย

อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้มีบริษัทสัญชาติอเมริกันบางรายที่ยังสามารถทำผลงานได้ดีในรัส เซีย เป๊ปซี่โค ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์อาหารบรรจุหีบห่อและน้ำอัดลม 9 ใน 50 อันดับแรกในตลาดรัสเซีย มีรายได้ในตลาดดังกล่าวเพิ่มขึ้น 10% ในไตรมาสแรก อินดรา นูยี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเป๊ปซี่โค กล่าวว่าบรรยากาศการทำธุรกิจในรัสเซียเป็นไปอย่างเป็นมิตรและบริษัทมี สัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาล

 

ที่มา หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ (วันที่ 4 - 7 พฤษภาคม 2557)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

"ปลัดคลัง" หวังเงินได้ภาษีนิติบุคคลกู้ชีพหลังเดือนเม.ย. พื้นที่เศรษฐกิจโชว์จัดเก็บเกินเป้าเกินเป้า สรรพากรส่งมือปราบลุยตรวจรายใหญ่ เล็งขยายฐานเครือข่ายกิจการรัฐ-ลงทุนขนาดใหญ่-ควบรวมรายใหม่ “สรรพสามิต” เล็งปรับอัตราภาษีแอร์, ชาเขียว, เครื่องดื่มชูกำลัง “สุทธิชัย” ลั่นเอาแน่สินค้ามือสอง จ่อเก็บแวตรถมือสองคันละ 1 พัน ดูด 3หมื่นล้านต่อปี ค้าส่งโบ๊เบ๊แนะรัฐนัดถกแจงนโยบายก่อนงัดภาษีเพิ่ม

 

จากกรณีกระทรวงการคลัง ได้ประเมินว่าในปีงบประมาณ 2557 ( 1ตุลาคม 2556-30 กันยายน 2557 ) รัฐจะเก็บภาษีได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 1.5 แสนล้านบาท จากเป้าหมายประมาณการที่ 2.275 ล้านล้านบาท ภายใต้เหตุการณ์ไม่เป็นไปตามสมมติฐานเดิมก่อนการจัดทำงบประมาณปี 2557 ทำให้ช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมานายกรัฐมนตรี ได้แสดงความเป็นห่วงต่อประเด็นดังกล่าวและได้เรียกหารือด่วนระหว่าง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงการคลัง สำนักงาน เศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และ 3 กรมภาษีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บให้มากขึ้น และอุดช่องรั่วไหล ดังที่"ฐานเศรษฐกิจ" นำเสนอ " สรรพากร ลุยสำเพ็ง ... " ฉบับที่ 2,943 วันที่ 27-30 เมษายน 2557

*วัดจัดเก็บภาษีนิติฯก่อนวัดเป้า

ต่อเรื่องนี้นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยกับ " ฐานเศรษฐกิจ" ถึง แผนปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ 3 กรมภาษี ( กรมสรรพากร ,สรรพสามิต และศุลกากร) ว่า ขณะนี้ 3 กรมภาษีได้เสนอแผนทั้งมาตรการระยะสั้นและระยะยาว และได้พิจารณาแล้วเบื้องต้นว่าในปีงบประมาณ 2557 จะยังคงเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ตามเอกสารงบประมาณที่ 2.275 ล้านล้านบาท ส่วนจะปรับลดเป้าหมายหรือไม่นั้น ต้องรอประเมินผลหลังการยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลที่จะสิ้น สุดในเดือนพฤษภาคมนี้

"สาเหตุที่กระทรวงการคลัง ยังคงเป้าจัดเก็บรายได้ที่ 2.275 ล้านล้านบาท เพราะตามรายงานผลจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลในเดือนเมษายน 2557 ของกรมสรรพากร โดยเฉพาะในเขตพื้นที่เศรษฐกิจ เช่น สรรพากรพื้นที่ 16 ประเวศ,บางนา ฯลฯ สามารถจัดเก็บรายได้ๆสูงกว่าเป้าประมาณการ ขณะเดียวกันทั้ง 3 กรมภาษี ยังได้เชื่อมโยงฐานข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อร่วมกันตรวจสอบและอุดช่องโหว่มากขึ้น จากที่ผ่านมาที่ยังติดขัดเรื่องข้อกฎหมาย " ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าว

*จ่อขยายฐานธุรกิจใหญ่-ควบรวม

เพราะขณะนี้กรมสรรพากร มีมาตรการเร่งรัดการจัดเก็บภาษีรายได้เชิงรุกด้วยวิธีการตรวจสอบภาษีล่วง หน้าในกลุ่มเป้าหมาย 100 รายแรก อาทินิติบุคคลรายใหญ่, นิติบุคคลที่มีรายได้หรือยอดขายตั้งแต่ 2 พันล้านบาทขึ้นไปและกิจการในเครือข่าย รวมถึงรัฐวิสาหกิจหรือกิจการที่สังกัดภาครัฐ เช่น ธนาคารเฉพาะกิจ( แบงก์รัฐ ) กิจการวิเทศธนกิจ ,กิจการพาณิชย์นาวี , ปิโตรเลียม และนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับโครงการขนาดใหญ่

ตลอดจนภาษีรายได้จากการควบรวมธุรกิจรายใหม่ โดยจะเข้มตรวจสอบในทุกพื้นที่ เพื่อให้การจัดเก็บรายได้ภาษีเป็นไปตามเป้าหมายมากสุด ซึ่งผู้ประกอบการเหล่านี้มีผลประกอบการในปี 2556 ค่อนข้างดี และเป็นความหวังของการจัดเก็บรายได้ในปีนี้ เพราะหากจะต่ำกว่าเป้าหมายก็คงไม่มาก

*ฟันค่าปรับยื่นเสียภาษีช้า

นอกจากนี้กรมสรรพากรยังได้วางมาตรการทั้งระยะสั้น-ยาว โดยจะเสนอคณะรัฐมนตี (ครม.)พิจารณาต่ออายุมาตรการคงภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต)ที่ 7% (จากเพดานที่ 10%) ซึ่งจะสิ้นสุดมาตรการในเดือนกันยายนนี้ , การจัดเก็บภาษีตลาดรถยนต์มือสอง, ตรวจสอบการยื่นแบบแสดงภาษีให้ครบถ้วน กล่าวคือหากผู้เสียภาษียื่นแบบฯ เกินกว่าเวลาที่กฎหมายกำหนดจะต้องเสียค่าปรับไม่เกิน 2 พันบาท และในกรณีมีภาษีที่ต้องจ่ายภาษีเพิ่ม ต้องชำระเพิ่มอีก 1.5% ต่อเดือนของวงเงินภาษีที่ต้องชำระ

ส่วนมาตรการในระยะยาว ได้ลงทุนพัฒนานำไอทีเข้ามาตรวจสอบจัดเก็บภาษีให้มากขึ้น เช่น การพัฒนาระบบ GIS ตรวจสอบข้อมูลทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ,แผนการบริหารจัดเก็บภาษีอากร โดยนำหลักบริหารความเสี่ยง Compliance Risk Management (CRM) ตามคำแนะนำของ IMF และการศึกษาแก้ไขกฎระเบียนมาตรการเร่งรัดการจัดเก็บภาษีรายได้

สำหรับทางด้านกรมสรรพสามิต นายรังสรรค์ กล่าวว่า ได้มอบนโยบายให้กลับไปทบทวนแนวทางปรับปรุงอัตราภาษีสินค้าต่างๆ ที่เคยศึกษาไว้ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่ม ,เครื่องดื่มชูกำลัง โดยให้ไปศึกษาว่าจะสามารถดำเนินการในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวได้อย่างไรบ้าง หรือสามารถแก้ไขข้อติดขัดในประเด็นใดได้บ้างเพื่อเตรียมพร้อมรอรัฐบาลใหม่

ส่วนกรมศุลกากร ซึ่งรายได้หายไปจากปริมาณและมูลค่าการนำเข้าในช่วงที่ผ่านมาลดลง ดังนั้นจึงได้ให้เพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบกระบวนการตรวจสอบ ก่อนและหลังปล่อยสินค้านำเข้าให้เข้มงวดมากขึ้น รวมถึงใช้วิธีการประสานงานกับผู้ประกอบการ ด้วยวิธีการสมัครใจให้เข้ามาแสดงตัว เพื่อชำระภาษีให้ถูกต้องด้วย

*สั่งลุยเก็บแวตสินค้ามือสอง

ขณะที่นายสุทธิชัย สังขมณี อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพากรได้ตัดสินใจที่จะเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT ) จากส่วนต่างของราคาจากการซื้อขายรถยนต์มือสอง โดยขณะนี้ได้สั่งให้สำนักนโยบายภาษีของกรมสรรพากรศึกษารูปแบบและวิธีการใน การจัดเก็บภาษี เพื่อปิดช่องโหว่ของธุรกิจรถยนต์มือสอง ทั้งนี้เพื่อเป็นโครงการนำร่องหรือต้นแบบในการเก็บภาษีแวตจากการซื้อขาย สินค้ามือสอง ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่มาก เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์ ,พระเครื่อง, มือถือ ฯลฯ

*นำร่องรถมือ2เป้า3หมื่นล.

ทั้งนี้กรมสรรพากร จะนำร่องจัดเก็บภาษีแวตจากการซื้อขายรถยนต์มือสองก่อน เป็นอันดับแรกเพราะทำได้ง่ายและมีผู้เกี่ยวข้องไม่กี่ราย ที่สำคัญคือการซื้อขายหรือเปลี่ยนมือรถยนต์มือสองมีหน่วยงานกลางคือ กรมขนส่งขนทางเป็นผู้รับจดทะเบียนรถยนต์ ทำให้ระบบการตรวจเช็กข้อมูลทำได้ง่ายกว่าสินค้าประเภทอื่น

"ปัจจุบันรถยนต์มือสอง มีการซื้อขายหมุนเวียนในตลาดผ่านเต็นท์รถยนต์ บริษัทห้างร้านและประชาชนทั่วไป ประมาณปีละ 3 ล้านคัน หากกรมสรรพากรเก็บภาษีจากการซื้อขายรถยนต์มือสองได้เพียงคันละ 1 พันบาทก็จะเท่ากับมีเงินไหลเข้าสู่ระบบภาษีปีละ 3 หมื่นล้านบาท "

*เต็นท์รถไม่ขัดข้องขอให้ศก.ดีก่อน

นอกจากนี้ภายหลังการหารือกับผู้ประกอบการรถยนต์มือสอง ค่ายใหญ่ต่างไม่ขัดข้อง แต่ได้ขอให้กรมสรรพากรชะลอการจัดเก็บภาษีไปก่อน เพราะภาวะเศรษฐกิจไม่ดี แต่กรมสรรพากร เห็นว่าเป็นข้ออ้างของผู้ประกอบการที่ไม่ต้องการเสียภาษี แต่ทั้งนี้ยังต้องหารือกับกระทรวงการคลังด้วย เนื่องจากการเก็บภาษีแวตจากสินค้ามือสองนั้น ต้องมีการแก้ไขกฎหมายและนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาฯ ซึ่งหากกฎหมายผ่าน กรมสรรพากรจะเสนอให้กรมการขนส่งทางบก เป็นผู้จัดเก็บภาษีแทนเพื่อปิดช่องโหว่

*ผู้ค้าโบ๊เบ๊โอดยอดขายหด 30%

สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่สรรพากรอยู่ระหว่างศึกษาเพื่อจะขยายฐานภาษี โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจค้าส่งย่านโบ๊เบ๊ สำเพ็ง พาหุรัด ประตูน้ำ และวรจักร ประเด็นดังกล่าว "ฐานเศรษฐกิจ" ได้สอบถามไปยัง นายพระขรรชัย ศรีภวาทิกุล ประธานศูนย์บริการส่งออกโบ๊เบ๊-สำเพ็ง เขากล่าวยอมรับว่า เท่าที่สอบถามผู้ประกอบการในพื้นที่ ได้รับรายงานว่าที่ผ่านมามีเจ้าหน้าที่จากกรมสรรพากรได้ลงพื้นที่มาสำรวจใน ลักษณะ ( Knock down) ซึ่งได้รับความร่วมมือด้วยดีจากผู้ประกอบการ

แต่เห็นว่า การจะเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อขยายฐานการจัดเก็บรายได้อย่างได้ผลจริง สรรพากรควรจะเรียกประชุมเพื่อทำความเข้าใจ ชี้แจงถึงนโยบายของภาครัฐให้กับผู้ประกอบการสร้างความเตรียมพร้อมก่อน การมาในลักษณะ Knock down อาจไม่ได้ผล เพราะเจ้าหน้าที่รัฐมีน้อย การตรวจตราอาจไม่ทั่วถึง อีกทั้งตนเชื่อว่าหน่วยงานรัฐเองในขณะนี้ไม่ว่ากรมสรรพากร ,กรมส่งเสริมการค้า, กระทรวงพาณิชย์หรือ สำนักงานสถิติแห่งชาติ ฯลฯ ยังไม่มีฐานข้อมูลเพียงพอทั้งด้านโครงสร้าง ผู้ค้าและยอดขายที่ถูกต้องที่จะใช้เป็นฐานอ้างอิงได้

"การเสียภาษีที่ผ่านมาของผู้ค้า จะเป็นเหมาจ่าย โดยเทียบยอดขายค้าส่งทั้งตลาด กับจำนวนรายผู้ประกอบการ ถัวเฉลี่ยยอดขายจะอยู่ที่ 1.8 ล้านบาทต่อปี แต่ในสถานการณ์การเมืองและภาวะเศรษฐกิจซบเซา ทำให้ยอดขายหดลงกว่า 30% ดังนั้นหากจะมีการเรียกเก็บภาษีเพิ่มก็ควรจะมีการเรียกประชุมผู้ค้าเพื่อแจง ให้ทราบ "

*เล็งเครื่องปรับอากาศ/ชาเขียว

ขณะที่นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพาสามิต กล่าวว่า สรรพสามิต กำลังพิจารณาทบทวนการศึกษาปรับอัตราภาษีโดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่ไม่ได้ปรับ ขึ้นภาษีมานานแล้ว แต่ราคาสินค้ากลับปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของประชาชน แต่ภาคธุรกิจเหล่านี้มีกำไรเพิ่มขึ้นทุกปี ทั้งนี้เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค เช่น เครื่องปรับอากาศ , เครื่องดื่มชาเขียว ฯลฯ

ส่วนการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของครม. ซึ่งก่อนหน้ากรมฯ เคยเสนอปรับขึ้น 1 บาท คาดว่าจะจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น 2 หมื่นล้านบาท

ส่วนการจ่ายเงินรถคันแรก หลังจากครม. อนุมัติ 3.1พันล้านบาท คาดว่าจะจ่ายได้ถึงเดือนกรกฎาคมนี้เท่านั้น ยังเหลืออยู่อีก 5.1 พันล้านบาท โดยประมาณว่าในวันที่ 9 พฤษภาคม 2557 จะจ่ายประมาณ 3 พันล้านบาท ดังนั้น กรมได้ ปิดโครงการดังกล่าวภายในวันที่ 30 กันยายน นี้ คาดว่า จะต้องใช้งบประมาณในปี 2558 ดำเนินโครงการนี้อีกทั้งสิ้น 3 หมื่นล้านบาท โดยจะเสนอครม. เพื่อพิจารณาต่อไป พร้อมกันนี้หากไม่สามารถปรับขึ้นอัตราภาษีได้ จะต้องปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บให้เข้มข้นมากขึ้น

* 6 เดือน เก็บต่ำเป้า 5.5 หมื่นล.

ผลการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2557 (ตุลาคม 2556-มีนาคม 2557) รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 9.24 แสนล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 5.51 หมื่น ล้านบาท หรือ 5.6% สาเหตุหลักมาจากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ได้ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่ แล้ว เนื่องจากอุปสงค์รถยนต์ในประเทศที่ชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจและการส่งมอบรถ ยนต์สำหรับโครงการรถยนต์คันแรกได้เกือบครบทั้งโครงการแล้วในปีงบประมาณก่อน หน้า รวมทั้งในปีที่แล้ว มีการนำส่งรายได้จากการประมูลให้ใช้คลื่นความถี่ 3G ย่าน 2.1 GHz จำนวน 2.08 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ดีก่อนหน้านี้ นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังหรือสศค. ประเมินว่าหากสถานการณ์การเมืองลากยากไปกว่าไตรมาส 3 ของปีนี้และทำให้เศรษฐกิจเติบโตในอัตราน้อยกว่า 2.6% การจัดเก็บรายได้อาจทำได้ต่ำกว่าเป้าหมาย ( 2.275 ล้านล้านบาท ) มากกว่า 1 แสนล้านบาท

 

ที่มา หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ (วันที่ 4 - 7 พฤษภาคม 2557)

 

 

 

ข่าวยางพาราล่าสุด

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปรับตัวลง 0.15% เปิดที่ 2,024.26 จุดในวันนี้ หลังจากเอชเอสบีซี โฮลดิงส์เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีนในเดือนเม.ย.ขยับขึ้นเล็กน้อยแตะ 48.1 จากระดับ 48.0 ในเดือนมี.ค. แต่ลดลงจากการประเมินเบื้องต้นที่ 48.3 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคการผลิตของจีนปรับตัวย่ำแย่เป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน

 

 

 

 

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06/05/2557)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลงเมื่อเทียบกับเงินเยนเมื่อคืนนี้ (5 พ.ค.) หลังจากภาคการผลิตจีนหดตัวต่อเนื่อง ซึ่งหนุนความต้องการสกุลเงินที่มีความปลอดภัย

 

ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.3877 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.3871 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์ทรงตัวที่ 1.6869 ดอลลาร์สหรัฐ

 

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลงเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 102.12 เยน จากระดับ 102.24 เยน และลดลงเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.8775 ฟรังค์ จากระดับ 0.8780 ฟรังค์

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 พฤษภาคม 2557)

 

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ไทยโพสต์ * นักวิเคราะห์เผยแนวโน้มทองสัปดาห์นี้ให้จับตาปัจจัยจากต่างประเทศเป็นหลัก แนะรอจังหวะดีดตัว หากไม่ผ่านแนวต้านให้เปิดสถานะขาย รอเก็งกำไรเมื่อราคาย่อตัว

 

นักวิเคราะห์จากบริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มราคาทองคำในสัปดาห์นี้ ให้ติดตามสถานการณ์จากต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐที่กำลังฟื้นตัว รวมถึงการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดขนาดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ลง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สู่ระดับ 45,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือน ตามความคาดหมาย ส่งผลให้ราคาทองคำได้รับแรงกดดัน

 

ทั้งนี้ มองว่าการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐในครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณที่น่าพึงพอใจที่แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจกำลังปรับตัวไปในทิศ ทางที่ดีขึ้น ยิ่งส่งผลให้แรงซื้อที่เข้ามายังตลาดทองคำเบาบางลง

 

อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำเมื่ออ่อนตัวลง ยังมีแรงช้อนซื้อเก็งกำไรระยะสั้นเข้ามาบ้าง เนื่องจากความวิตกเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดในยูเครน ทั้งนี้ หากราคาทองคำหากไม่สามารถผ่านแนวต้าน 1,300 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ได้ จะทำให้ราคาอ่อนตัวลงมา แนะนำให้รอจังหวะการดีดตัวขึ้นไม่ผ่านแนวต้านอาจเปิดสถานะขาย และปิดสถานะทำกำไรเมื่อราคาย่อตัวลง โดยหากรับความเสี่ยงได้ สามารถซื้อเก็งกำไรระยะสั้นพร้อมตั้งจุดตัดขาดทุน

 

ขณะที่หากราคาทองคำยืนเหนือบริเวณแนวรับ 1,268 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ได้ ในระยะสั้นราคาทองคำยังมีโอ กาสขยับขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,300 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ โดยนักลงทุนที่สะสมทองคำไว้อาจมีการขายทำกำไรบางส่วนออกมาบ้าง โดยให้ดูว่าราคาจะผ่านแนวต้านได้หรือไม่ ซึ่งนักลงทุนยังคงต้องระมัดระวังแรงขายทำกำไร แต่ถ้าสามารถผ่านไปได้ ให้นักลงทุนที่รับความเสี่ยงสูงได้แนะนำให้ถือต่อไป เพื่อไปขายทำกำไรที่แนวต้านถัดไป

 

ส่วนนักลงทุนที่รอซื้อทองคำ อาจรอดูการตั้งฐานของราคาโดยประเมินแนวรับไว้ที่ 1,268-1,260 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ยังคงเน้นการซื้อขายในระยะสั้นจากการแกว่งตัวของราคา

 

ทั้งนี้ รายงานสภาวะตลาด ทองคำเมื่อวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา ราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบที่ระดับ 1,281.90-1,284.61 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ขณะที่โกลด์ฟิวเจอร์ส GFM14 อยู่ที่ 19,840 บาท โดยราคาปรับตัวลดลง 90 บาท จากวันก่อนหน้าที่ระดับ 19,930 บาท ขณะที่ซิวเวอร์ฟิวเจอร์ SVM14 อยู่ที่ 627 บาท โดยราคาไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อนหน้าที่ระดับ 627 บาท.

 

ที่มา หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ (วันที่ 6 พฤษภาคม 2557)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รายงานของธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ที่เปิดเผยเมื่อกลางสัปดาห์นี้ (30 เม.ย.) ชี้ว่าจีนกำลังมุ่งหน้าสู่การเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก แทนที่สหรัฐอเมริกาภายในปี 2557 นี้ ขณะเดียวกับที่อินเดีย ก็กำลังขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 3 แทนที่ญี่ปุ่น

รายงานภายใต้หัวข้อ International Comparison Program หรือ ICP ซึ่งเปรียบเทียบข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศต่างๆในปี 2011 (พ.ศ. 2554) โดยมุ่งไปที่การประเมินตัวเลขพีพีพี (PPP) หรือภาวะความเสมอภาคของอำนาจซื้อ (Purchasing Power Parity) รวมทั้งตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพี ของจีนที่ขยายตัวขึ้นมาคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 87 % ของจีดีพีของสหรัฐอเมริกา ขณะที่อินเดียก็ไต่อันดับขึ้นอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่เคยอยู่ในอันดับที่ 10 ในปี 2548 ก็ไล่ตามเบียดญี่ปุ่นมาติดๆ ข้อมูลในปี 2554 ชี้ว่า จีดีพีของโลกซึ่งรวมทั้งสินค้าและบริการมีมูลค่าสูงกว่า 90 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้มาจากประเทศที่มีรายได้ต่ำและรายได้ปานกลาง

"สหรัฐอเมริกายังคงเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก แต่ก็ถูกตามมาติดๆด้วยประเทศจีนหากวัดกันที่ตัวเลขพีพีพี และขณะนี้อินเดียก็มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก โดยสามารถแซงหน้าประเทศญี่ปุ่นมาได้" รายงานไอซีพีระบุ พร้อมทั้งอธิบายว่า ผลที่ออกมาเช่นนี้แสดงให้เห็นว่ามีเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่ครองเค้กจีดีพี โลกก้อนใหญ่ที่สุด โดยเห็นได้ชัดว่าสัดส่วนจีดีพีของจีนและอินเดียนั้นเติบโตขึ้นกว่า 2 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับจีดีพีสหรัฐฯ

ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2557 นี้ เศรษฐกิจของจีนเติบโตที่อัตรา 7.4 % ซึ่งชะลอตัวจากที่เคยทำได้ถึง 7.7 % ในไตรมาส 4 ของปี 2556 แต่กระนั้นก็ยังถือว่ามีการเติบโตมากกว่าจีดีพีของประเทศพัฒนาแล้ว และทำให้จีนและอินเดียเป็น 2 ประเทศในเอเชียที่มีการขยับอันดับสูงขึ้นอย่างน่าจับตา รายงานไอซีพีของเวิลด์แบงก์ยังระบุด้วยว่า ประเทศรายได้ระดับกลางที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก 6 ประเทศ ได้แก่ จีน อินเดีย รัสเซีย บราซิล อินโดนีเซีย และเม็กซิโก มีจีดีพีรวมกันคิดเป็นสัดส่วน 32.3% ของมูลค่าจีดีพีรวมของโลก (ข้อมูล ณ ปี 2011) ขณะที่ 6 ประเทศอุตสาหกรรมพัฒนาแล้วที่มีรายได้ในระดับสูงของโลก ได้แก่ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เยอรมนี ฝรั่งเศส อังกฤษ และอิตาลี มีมูลค่ารวมกันคิดเป็นสัดส่วนเพียง 32.9% ของจีดีพีโลก

"ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดไม่ใช่ประเทศร่ำรวยที่สุด ดังจะเห็นได้จากอันดับที่เรียงจากตัวเลขเฉลี่ยจีดีพีต่อหัว ประเทศรายได้ระดับกลางที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่และมีประชากรจำนวนมาก นับเป็นกลุ่มที่มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง" รายงานของเวิลด์แบงก์ระบุ

ในส่วนของตัวเลขงบดุลนั้น จีนใช้งบ 27% เพื่อการลงทุน ขณะที่สหรัฐอเมริกาใช้ 13% ส่วนอินเดียและญี่ปุ่นตามมาที่ 7% และ 4% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์กล่าวว่า ตัวเลขพีพีพีและข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงข้อมูลส่วนหนึ่งที่ใช้ในการพิจารณา ความสามารถทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆในโลก แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด ดังนั้นทั้งจีนและอินเดีย ยังจำเป็นต้องทำอีกหลายอย่างจึงจะไล่ตามประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯและ ญี่ปุ่นได้ทัน จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ

 

ที่มา: ฐานเศรษฐกิจ(วันที่ 6 พค.57)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (5 พฤษภาคม 2557) สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.พุ่งขึ้น 6.4 ดอลลาร์ หรือ 0.49% ปิดที่ 1,309.3 ดอลลาร์/ออนซ์

 

ทองคำนิวยอร์กได้รับแรงกระตุ้นจากสถานการณ์รุนแรงในยูเครนที่ส่งผลให้นักลง ทุนเข้าซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย โดยเมื่อวานนี้นายอาร์เซนีย์ ยัตเซนยุค นายกรัฐมนตรีของยูเครน กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า รัสเซียควรเป็นผู้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ปะทะกันอย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 40 รายในเมืองโอเดสซา ทางตอนใต้ของยูเครน

 

 

 

 

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจออนไลน์ (06/05/2557)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณครับป๋า

 

บาทอ่อนไปก็ดี แถมมีกราฟรหัสเชีบร์ขึ้นอีก

 

เย่

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตลาดหุ้นยุโรปคาดเปิดตลาดอ่อนตัว นลท.จับตาผลประกอบการ

 

 

ตลาดหุ้นยุโรปมีแนวโน้มว่า จะเปิดตลาดอ่อนตัวลงในวันนี้ โดยนักลงทุนให้ความสนใจกับการเปิดเผยข้อมูลผลประกอบการของบริษัทต่างๆ

ดัชนี Euro Stoxx 50 บวก 0.4% แตะ 3,144 เมื่อเวลา 7.17 น.ตามเวลาลอนดอน

หุ้นยูบีเอส อาจจะปรับตัวขึ้นภายหลังจากที่แบงก์ได้รายงานกำไรไตรมาสแรกที่สูงกว่าคาดการณ์ ส่วนหุ้นลาฟาร์จต อาจจะปรับตัวลงภายหลังจากที้ได้รายงานตัวเลขรายได้ที่สวนทางกับการคาดการณ์

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ฝรั่งให้แนวทางขาเสี่ยงตามด้านล่างนี้ โดยตรงจุด 1316 เป็นต้านที่ถ้าผ่านไปได้ ก็ไป

 

SHORT GOLD below 1316 SL 1319 TP 1305-1300-1296

LONG GOLD above 1318 SL 1315 TP 1326-1328-1331

Good luck!

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...