ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

ภาพตลาดหลัง QE 3

วรวรรณ ธาราภูมิ

Posted by วรวรรณ ธาราภูมิ on วันจันทร์, 17 กันยายน 2012

"เราเรียกมันว่า QE infinity ก็ไม่ผิด เพราะ FED จะพิมพ์เงินเข้าระบบทุกเดือนอย่างต่อเนื่องไป 3 ปี คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งใหญ่กว่า QE1 และ QE2 รวมกัน

 

การที่ FED ซื้อพันธบัตรคุณภาพดีออกจากมือของผู้ลงทุน ย่อมผลักให้คนมีเงินสดไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ และเมื่อมีข่าวร้ายในเชิงของปัจจัยพื้นฐานก็จะมี QE ออกมาพยุงหุ้น เพราะ FED"

 

สรุปบทความของ ดร ศุภวุฒิ สายเชื้อ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาที่ลงในกรุงเทพธุรกิจ ได้ว่า "การพยุงหุ้นคือการพยุงเศรษฐกิจ และนักลงทุนก็ Happy อย่างไรก็ตาม การพิมพ์เงินออกมามากๆ ทำให้เงินทะลักไปสู่การเก็งกำไรในสินค้าโภคภัณฑ์ อาหาร และน้ำมัน แล้วจะทำให้กำลังซื้อของประชาชนลด ลง ไม่ได้ช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัว และยิ่งไปซ้ำเติมคนจน ส่วนคนที่รวยที่สุด 10% ของประเทศก็ยังถือหุ้นมากถึง 75% ของหุ้นทั้งหมดอีกด้วย"

 

ใช่เลย เรากำลังอยู่ใน Risk On Mode ตลาดกำลังเป็น Red Bull Economy ที่พอได้ดื่มกระทิงแดงก็ซาบซ่าขึ้นมาเหมือนที่ Chris Mayer เล่าไว้ว่าพอหมดฤทธิ์ยาก็ห่อเหี่ยว

 

ที่ต้องมองไว้ก็คือ จะมีกระแสเงินทุนไหลเข้าและออกในตลาด เพราะเงินต้นทุนต่ำจาก QE3 และขณะนี้ต่างชาติได้เพิ่มการถือครองพันธบัตรรัฐบาล และ ธปท อย่างมาก ในขณะที่ ธพ.ไทย เริ่มกู้ยืมเงินต้นทุนต่ำจากต่างประเทศแล้ว

 

ใครเป็นนักเก็งกำไรระยะสั้นไปกับ Fund Flows ก็เล่นกับ SET50 ได้ แต่ต้องออกให้เป็น ออกให้ทัน

 

เพราะ Paul Krughman บอกว่าแม้ FED จะใช้มาตรการที่ดีและชัดเจนขึ้น แต่มันยังไม่เพียงพอ

 

Nouriel Rubini บอกว่า ตลาดที่ขึ้นทั้งจากข่าวดีและข่าวร้าย ไม่ใช่ตลาดที่มั่นคงเลย

 

Jim Rogers บอกว่า QE1 QE2 ล้มเหลวหมด แล้ว FED ก็ทำโง่ๆ อีกด้วยการออก QE3

 

Peter Schiff บอกว่า ตราบใดที่ FED ยังคงออก QE อยู่ เศรษฐกิจที่ถดถอยหรือตกต่ำก็จะยิ่งแย่ลง

 

ส่วน Marc Faber บอกว่า......ถ้าผมแย่อย่าง Ben Bernanke ผมจะรีบลาออกทันที เพราะนโยบาย QE ที่ออกมานั้นมันจะทำให้ตลาดดีขึ้นชั่วคราว แล้วจะตามมาด้วยความหายนะ นี่เป็นแนวโน้มที่อันตรายยิ่ง และผมจะยังคงขอต่อสู้กับรัฐบาลต่อไปในทุกระดับ ทุกเวที ทุกโอกาส เท่าที่จะทำได้ เพราะยิ่งรัฐบาลมีขนาดใหญ่เท่าใดก็จะยิ่งบิดเบือนระบบได้เท่านั้น

 

ผู้สั่งพิมพ์เงินออกมาต้องรับผิดชอบในความหายนะที่จะเกิดขึ้น ถ้าเรายังใช้แนวทางนี้อีก เราจะไม่เจอเพียง Fiscal Cliff แต่มันจะเข้าขั้น Fiscal Grand Canyon

 

นอกจากนี้ QE ที่ออกมาแบบไม่มีขีดจำกัด และมาตรการซื้อ MBS กับการต่ออายุ Operation Twist จะทำให้ราคาสินทรัพย์และโภคภัณฑ์สูงขึ้นโดยที่ความมั่งคั่งที่จะเกิดขึ้นนั้นมันจะไหลไปยัง Mayfair Economy (ภาวะที่คนร่ำรวยเท่านั้นที่มีโอกาสได้จากราคาสินทรัพย์ลงทุนที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่คนยากจนจะยิ่ง ยากจนลงไปเพราะราคาสินค้าจำเป็นที่แพงขึ้น) QE จะให้ประโยชน์แก่คนรวย แต่คนเดินถนนทั่วไปจะยิ่งลำบาก เศรษฐกิจโดยรวมจะถูกทำร้ายโดย QE

 

หากอยากจะช่วยคนส่วนใหญ่บนท้องถนน ก็ควรส่งเช็คไปให้ทุกครอบครัวแห่งละเป็นหลักล้านดอลลาร์จะดีกว่าออก QE

 

และ ลุงมาร์ค ก็ยังคงครองตำแหน่งขวัญใจของเราได้ไปตลอดกาล

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ระหว่างรอซื้อฟักดิบ มาดู "กำลังซื้อ" ของเงินสกุลต่างๆ และทองคำ ในสหรัฐอเมริกากันครับ

 

ที่มา : http://jessescrossro...currencies.html และ http://www.nowandfutures.com/

post-2564-0-94520700-1348009782_thumb.png

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทองยัดไส้มาอีกแล้วครับ

 

 

Tungsten-Filled 10 Oz Gold Bar Found In The Middle Of Manhattan's Jewelry District

 

 

fake%20gold%201.jpg

 

fake%20gold%203_0.jpg

 

 

 

http://www.zerohedge...ewelry-district

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ระหว่างรอซื้อฟักดิบ มาดู "กำลังซื้อ" ของเงินสกุลต่างๆ และทองคำ ในสหรัฐอเมริกากันครับ

 

ที่มา : http://jessescrossro...currencies.html และ http://www.nowandfutures.com/

 

เอารูปมาเสริมครับ ว่าสาเหตุที่กำลังซื้อของเงินสกุลต่างๆมันลดลงเพราะ Monetary Supply ที่มหาศาล

 

Monetary%20Supply_0.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ชื่อ อนุสรณ์

 

 

งานเข้าดอลล์อีกแล้ว

393581_389668931106844_303194758_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เข้าใจมาตลอดว่าไต้หวัน มักจะเอนเอียงไปทางสหรัฐ เพราะไม่ต้องการถูกครอบงำโดยจีน

หรือว่าตอนนี้กำลังมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ถึงได้ทำในสิ่งที่อาจจะทำให้สหรัฐไม่พอใจ

 

ชื่อ อนุสรณ์

 

 

งานเข้าดอลล์อีกแล้ว

.....

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ในเวบ SGTReport มีคนเอาทองสวิส (แพมพ์) ของตัวเองมาเจาะดูแล้ว

 

http://postimage.org/image/y88klyacj/

http://imgur.com/txUkL,FTuc6

 

ส่วนตัวมองว่า ถ้าเป็นแพมพ์ที่อยู่ในกรอบที่ปิดผนึกด้วยเครื่อง น่าจะปลอดภัยกว่า

ในต้นเรื่องที่มาจากซีโรเฮดจ์ เป็นแพมพ์ขนาดใหญ่ ที่อยู่ในกรอบพลาสติกธรรมดา

(เปิดปิดได้ด้วยมือ) ทำให้ง่ายต่อการเอามาแก้ไขโดยที่เจ้าของไม่รู้ตัว

 

ในเวบนอกหลายๆเวบ ถึงได้มีคนพูดตลอดว่าซื้อเหรียญทองคำ/เงิน ของสหรัฐเท่านั้น

เพราะขนาดมันเล็ก ไม่คุ้มค่าแก่การปลอม และเป็นที่รู้จักกว้างขวาง

 

 

ทองยัดไส้มาอีกแล้วครับ

 

 

Tungsten-Filled 10 Oz Gold Bar Found In The Middle Of Manhattan's Jewelry District

 

ถูกแก้ไข โดย wcg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Good Morning News จาก กองทุนบัวหลวง

 

20 กันยายน 2555

 

General News

 

• กรีซ มีแผนขายอาคารที่พักทูตในยุโรปตามแผนการขายสินทรัพย์ของรัฐตามเงื่อนไขการรับความช่วยเหลือทางการเงินจาก EU และ IMF และอาจขายหรือให้เช่าพระราชวงศ์เก่าใกล้กรุงเอเธนส์ ภายใต้แผนขายสินทรัพย์ให้ได้ 50 พันล้านยูโร (64 พันล้านดอลลาร์) ภายในปี 2020

 

• รัฐบาลสเปนเจอแรงกดดันให้ขอความช่วยเหลือทางการเงินจากต่างประเทศมากขึ้น หลังจากนักลงทุน

เทขายพันธบัตรรัฐบาลสเปนประเภทอายุ 10 ปีออกมา ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรดังกล่าวทะยานขึ้นสู่ระดับสูงกว่า 6% เนื่องจากนักลงทุนมองว่าสเปนจะสามารถชำระหนี้ของตัวเองได้ก็ต่อเมื่อ ธ.กลางยุโรป (ECB) เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสเปน

 

• รัฐบาลฝรั่งเศสวางแผนจะปิดสถานทูตฝรั่งเศส 20 แห่งเป็นการชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย เนื่องจากแมกกาซีน Charlie Hebdo ของฝรั่งเศสได้ลงการ์ตูนหน้าปกที่ลบหลู่พระศาสดาโมฮัมหมัด

 

• ธ.กลางอังกฤษ (BOE) คงวงเงินซื้อหลักทรัพย์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ระดับ 375 พันล้านปอนด์ (610 พันล้านดอลลาร์) และคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% หลังเชื่อมั่นว่ายังไม่จำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม แม้ว่ายังมีความเสี่ยงจากวิกฤตหนี้ยุโรปที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอังกฤษไปอีกระยะหนึ่ง และหากยืดเยื้อออกไปผลกระทบอาจเกิดกับเสถียรภาพระบบสถาบันการเงินโลกทั้งระบบ

 

• วิลเลี่ยม ซี ดัดเลย์ ประธาน FED นิวยอร์ก กล่าวว่า การประกาศใช้มาตรการ QE3 เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอมากกว่าที่คาด และหากไม่มีมาตรการดังกล่าวเศรษฐกิจสหรัฐฯจะขยายตัวในระดับต่ำในช่วงปลายปีข้างหน้า ซึ่งจะยิ่งทำให้เกิดอุปทานส่วนเกินสูงอย่างเนื่อง และทำให้อัตราการว่างงานยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 8%

 

• มูดี้ส์ ชี้ว่า มีความเป็นไปได้ 15% ที่สหรัฐจะเผชิญภาวะหน้าผาทางการคลัง หรือ Fiscal Cliff พร้อมกับเตือนว่าสถาบันการเงินต่างๆ ต้องดำเนินงานในเชิงรุกเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงในช่วงที่มีความไม่แน่นอน

 

• ยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐเดือน ส.ค.พุ่งขึ้น 7.8% สู่ระดับ 4.82 ล้านยูนิตต่อปี ซึ่งเป็นการขยายตัวในอัตราที่รวดเร็วที่สุดในรอบกว่า 2 ปี และเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ส่วนราคากลางของบ้านมือสองปรับตัวเพิ่มขึ้น 9.5% จากปีที่แล้ว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐเริ่มฟื้นตัวแล้ว

 

• ผลสำรวจรอยเตอร์ บ่งชี้ว่า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจของบริษัทชั้นนำในเอเชียร่วงลงเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน เนื่องจากความวิตกเกี่ยวกับอุปสงค์ทั่วโลกกำลังส่งผลกระทบต่อประเทศผู้ส่งออกของเอเชีย โดยภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ เทคโนโลยีและเดินเรือเป็นกลุ่มที่มีความเชื่อมั่นน้อยที่สุด ส่วนภาคธุรกิจซึ่งเกี่ยวข้องกับการขยายตัวภายในประเทศมีความเชื่อมั่นมากขึ้น

 

นอกจากนี้ อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ได้คะแนนสูงสุดในการสำรวจ ในทางตรงกันข้าม จีนมีระดับความเชื่อมั่นอ่อนแอที่สุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เริ่มการสำรวจในปี 2009

 

• ธ.กลางญี่ปุ่น (BOJ) เพิ่มวงเงินซื้อหลักทรัพย์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเป็น 55 ล้านล้านเยน (697 พันล้านดอลลาร์) จากเดิม 45 ล้านล้านเยน พร้อมคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0%-0.1% ซึ่งผิดไปจากที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ว่า BOJ จะคงวงเงินมาตรการดังกล่าว

 

• Fred Smith CEO ของ FedEx (เป็นบริษัทขนส่ง ที่กำไรของบริษัทถูกจัดให้เป็นดัชนีหนึ่งที่ใช้ชี้วัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ) ระบุว่า นโยบายต่างๆ ของยุโรป สหรัฐอเมริกา และจีน กำลังทำให้การส่งออกและการค้าทั่วโลกหดตัวลงในอัตราที่เร็วกว่า GDP

 

และสำหรับจีนนั้น สิ่งที่ผลักดันให้ขยายตัวเติบโตได้เร็วคือการส่งออก ดังนั้น เมื่อตลาดใหญ่ที่ซื้อสินค้าจากจีนอย่างยุโรปและสหรัฐชะลอตัวลงหรือหดตัว จีนก็จะกระทบมากจนให้การบริโภคภาคเอกชนของจีนในวันนี้ไม่ขยายตัวได้มากเท่าที่คนส่วนใหญ่คาดหวัง จึงเชื่อว่าคนกำลังประเมินผลกระทบเรื่องนี้ที่จะมีต่อเศรษฐกิจจีนโดยรวมไว้ต่ำเกินไป

 

• สงครามค่าเงิน (Currency War เป็นศัพท์ที่ Guido Mantega รัฐมนตรีคลังบราซิล เริ่มใช้เมื่อเดือน ก.ย. 2010 ซึ่งหมายถึงการที่ประเทศต่างๆ พยายามทำให้ค่าเงินของตนอ่อนลงเพื่อทำให้สินค้าส่งออกมีราคาถูกกว่าประเทศอื่น) กำลังจะเกิดขึ้นอีกในไม่ช้านี้ เมื่อธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ประกาศจะใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินด้วยการรับซื้อสินทรัพย์อีกครั้ง (QE) เป็นการเสริมนโยบายเดียวกันกับที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางสหรัฐ (FED) เพิ่งประกาศใช้ ในขณะที่การค้าทั่วโลกกำลังชะลอตัวลงอย่างที่ FedEx รายงาน

 

• การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในจีนเดือนสิงหาคมลดลง 1.4% จากปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 8.33 พันล้านดอลลาร์ และมูลค่าในช่วง 8 เดือนแรกปีนี้ ลดลง 3.4% มาอยู่ที่ 75 พันล้านดอลลาร์ สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่เศรษฐกิจจีนจะชะลอลงมากที่สุดในรอบ 22 ปี

 

• 'ออง ซาน ซู จี' แสดงความยินดีที่สหรัฐฯยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ พร้อมเรียกร้องว่าอย่าละเลยประเด็นปัญหาต่างๆ ที่ยังคงมีอยู่ในพม่า รวมถึงการพัฒนาหลักนิติรัฐ หรือ การปกครองโดยถือกฎหมายเป็นใหญ่ มิได้ปกครองถืออำนาจรัฐเป็นใหญ่ เป็นต้น

 

• จีนเรียกร้องให้ญี่ปุ่นรับผิดชอบผลกระทบทางการค้า จากความขัดแย้งระหว่างทั้งสองประเทศหลังจากเกิดความตึงเครียดขึ้นเกี่ยวกับหมู่เกาะที่เป็นข้อพิพาท

 

• The Telegraph รายงานข่าวว่า ฝูงชนชาวจีนประมาณ 50 คนโจมตีอาคารและรถทูตที่จอดอยู่นอกอาคารสถานทูตสหรัฐในปักกิ่ง จน รปภ.ต้องคุ้มกันทูตอเมริกันหนีออกไปได้โดยไม่ได้รับอันตราย โดยมีสาเหตุปะปนกันระหว่างความโกรธแค้นที่เชื่อว่าอเมริกันหนุนญี่ปุ่นให้ซื้อเกาะเตียวหยู กับเรื่องที่เชื่อว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่จีนถืออยู่จำนวนมากนั้นไม่มีค่าเหลืออยู่

 

• ซัมซุง อิเล็คทรอนิคส์ ผู้ผลิตชิพความจำอันดับ 1 ของโลก เตรียมลดการลงทุนด้านโรงงานในธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ลงครึ่งหนึ่งในปีหน้า หลังจากวางแผนลดค่าใช้จ่ายที่เป็นทุน และปรับลดการลงทุนในส่วนโรงงานลง 50% ในปี 2556

 

• ส.อ.ท. คาดว่ายอดการผลิตยานยนต์ปีนี้จะอยู่ที่ 2.2 ล้านคัน และรถจักรยานยนต์อยู่ที่ 2.5 ล้านคัน โดยอุตสาหกรรมยานยนต์จะยังเติบโตต่อเนื่องแม้ว่าตลาดในประเทศมีกำลังซื้อจากปีหน้าบางส่วนที่ถูกดึงมาในปีนี้

 

ทั้งนี้ การส่งออกยานยนต์จะยังเป็นตัวสำคัญที่ช่วยพยุงการส่งออกของไทยไว้ โดยตั้งแต่เดือน ม.ค.-ส.ค.ที่ผ่านมามียอดส่งออกของสินค้ายานยนต์และชิ้นส่วนเติบโตขึ้น 21.21% ซึ่งคาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าไทยจะมียอดผลิตรถยนต์อยู่ที่ 3 ล้านคัน/ปี และก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตรถยนต์มากที่สุดติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก

 

• ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค.ปรับลดลงต่ำสุดในรอบ 8 เดือน ลงมาอยู่ที่ระดับ 98.5 ซึ่งเป็นผลจากยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ปริมาณการผลิตและผลประกอบการที่ลดลง สะท้อนว่าผู้ประกอบการไม่มั่นใจต่อการประกอบการซึ่งสอดคล้องกับหลายหน่วยงานที่ได้ปรับเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงจากประมาณการเดิมในช่วงต้นปี

 

 

Equity Market

 

• SET Index ปิดที่ 1,285.46 จุด เพิ่มขึ้น 12.60 จุด หรือ 0.99% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 31,319 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 633.54 ล้านบาท ทั้งนี้ ทิศทางตลาดหุ้นไทยเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดในภูมิภาค หลังธ.กลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยที่ 0-0.1% และตัดสินใจเพิ่มจำนวนเงินในโครงการซื้อสินทรัพย์ไว้ที่ 80 ล้านล้านเยน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

 

• Jim Chanos ผู้ก่อตั้งและประธาน Kynikos Associates Ltd. ที่บริหารเงินลงทุน 6 พันล้านดอลลาร์ (ผู้มีชื่อเสียงมากจากการ Short หุ้น ENRON ก่อนที่ ENRON จะล้มละลาย) กล่าวว่า เขาค้นพบหุ้นของบริษัทที่คาดว่าจะมีราคาตลาดลดต่ำลงในอนาคต ซึ่งจะถูกมากเมื่อเทียบกับกำไรที่จะทำได้แม้เศรษฐกิจสหรัฐจะดีกว่า ที่อื่นๆ ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ ผู้ผลิตเหล็ก Hewlett-Packard และ Coinstar เป็นต้น โดยจะขาย Short และรอซื้อกลับคืนในราคาที่ถูกกว่าในอนาคตเพื่อทำกำไร

 

 

Fixed Income Market

 

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวลดลงในช่วงระหว่าง -0.02% ถึง 0.00% สำหรับวันนี้มีการประมูลพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทยอายุ 3 ปี วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท

 

• กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวว่า หลังสหรัฐฯดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบ 3 (QE3) เงินบาทแข็งค่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แต่ยังแข็งค่าน้อยกว่าสกุลอื่นในภูมิภาค และเชื่อว่า ธปท. ยังสามารถดูแลเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้

 

นอกจากนี้ การเกินดุลการค้าและการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่ลดลงของไทยยังเป็นปัจจัยที่ช่วยลดแรงกดดันการแข็งค่าของเงินบาทด้วย ซึ่งภาครัฐก็พยายามส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในภาคเศรษฐกิจจริงมากขึ้น โดยเฉพาะการนำเข้าเครื่องมือเครื่องจักรและวัตถุดิบ

 

Gold Corner

 

• Frank Holmes ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและหัวหน้าทีมผู้จัดการกองทุนของ U.S. Global Investors ระบุว่า ทุกสัญญาณในขณะนี้บ่งชี้ให้ซื้อหุ้นเหมืองทองคำและซื้อทองคำเพื่อปกป้องกำลังซื้อ โดย Morgan Stanley สำรวจแนวคิดการลงทุนในทองคำของผู้ลงทุนสถาบัน 140 แห่งในสหรัฐได้คำตอบที่หนักแน่นที่สุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค.ปีที่แล้ว กับมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นเดือนต่อ เดือนสูงที่สุดในรอบ 3 ปีว่า “ทองคำกำลังเข้าสู่ตลาดกระทิง” นอกจากนี้ Credit Suisse ยังระบุว่ามีคนเข้าซื้อ Gold ETF จำนวนมากในเดือน ส.ค. ที่ผ่านมานี้ด้วย

 

 

Guru Corner

 

• Milton Friedman นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลปี ค.ศ.1976 ผู้เชื่อมั่นในระบบทุนนิยมเสรี และไม่ไว้ใจให้รัฐบาลหรือธนาคารกลางเข้ามาแทรกแซงเศรษฐกิจมหภาค เคยกล่าวไว้ว่า “มีแต่รัฐบาลเท่านั้นที่สามารถนำหมึกคุณภาพเยี่ยมไปพิมพ์บนกระดาษดีๆ แล้วทำให้สิ่งดีๆ ทั้งสองอย่างนี้เมื่อมารวมกันแล้วหมดค่าไป”

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ส้มโอมือ หอมเย็นชื่นใจ

 

 

ข้อมูลบางส่วนทีอยู่ในโอกาสเงินของเงินจริงๆ3

wcg

 

โพสต์ 18 มิถุนายน 2012 - 10:45

 

ได้มีโอกาสคุยกับคนที่ลงทุนในโลหะมีค่าในเมืองลุงแซมมา มีประเด็นที่่ผมคิดว่าน่าสนใจมาเล่าให้ฟังครับ (บางเรื่องคุณเน็กซ์ก็เล่าให้ฟังไว้แล้ว)

 

นักลงทุนมือใหม่ส่วนมาก มักจะชอบซื้อซิลเวอร์ อีเกิ้ล หรือ เงินเหรียญ/แท่ง ใหม่ๆสวยๆ แต่เขามองว่าซื้อ "Junk Silver" จะดีกว่า เพราะ ถ้าเทียบน้ำหนัก ต่อ น้ำหนักแล้ว ซื้ออย่างหลังเสียค่าพรีเมี่ยมน้อยกว่าเหรียญใหม่ๆ เยอะ (Junk Silver พรีเมี่ยมเริ่มต้นที่ ประมาณร้อยละ ๘ และลดลงตามประมาณที่ซื้อ ส่วนเหรียญซิลเวอร์ อีเกิ้ล พรีเมี่ยมเริ่มต้นที่ร้อยละ ๑๐ ถึง ๑๕ แล้วแต่ร้าน -- ถ้าเป็นกรณีบ้านเรา ซื้อเม็ดเงินน่าจะเหมาะสุด ภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗ ก็นับว่าไม่แพงมาก เมื่อเทียบกับค่าพรีเมี่ยมของฝรั่ง)

 

Junk Silver คือเหรียญที่รัฐบาลผลิตมาใช้งานจริงในสมัยก่อน โดยที่มีส่วนผสมของโลหะเงินอยู่ประมาณ ร้อยละ ๙๐ ของน้ำหนัก และได้เลิกใช้งานไปแล้ว เพราะค่าของโลหะเงินมีค่าสูงกว่ามูลค่าหน้าเหรียญ

 

ถึงแม้ว่าจะเลิกใช้งานไปแล้ว ยังไงก็ไม่มีทางที่มูลค่าจะเป็น ๐ เพราะมีการตราราคาหน้าเหรียญไว้ ว่าอย่างไรก็สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามราคาหน้าเหรียญ

 

คนๆนี้ขายทองคำในคลังออกทั้งหมดตอน ที่ราคาทองคำขึ้นไปถึง ๑๘๕๐ และเปลี่ยนเป็นโลหะเงินแทน โดยใช้วิธีดูอัตราส่วนระหว่าง ทองคำ/โลหะเงิน ทองคำ/ดาวโจร และ ทองคำ/แพลตินัม เขาบอกว่า ตราบใดที่อัตราส่วน ทองคำ/โลหะเงิน ยังอยู่สูงๆแบบนี้ เขาบอกว่า สิ่งที่ดีที่สุดคือการลงทุนกับ โลหะสีขาว (เงิน/แพลตินัม) เพราะมันถูกกดราคาอยู่

 

เมื่อตอนที่น้ำมันขึ้นไป ๑๕๐ แล้วโดนทุบลงมาเหลือ ๓๐ เขาก็ ชอร์ต ไว้ได้เงินโขอยู่เหมือนกัน

แพลตินัม กับ เพลเลเดียม ในการใช้งานเป็นตัีวเร่งทางเคมีนั้น โลหะทั้งสองชนิดนี้ สามารถใช้ทดแทนกันได้ โดยทดแทนกันที่อัตราส่วนประมาณ ๔ ต่อ ๑ (จำไม่ได้ว่าอะไรต่ออะไร) ดังนั้น การเก็งกำไรกับโลหะสองชนิดนี้ต้องดูให้ดี เพราะส่วนมาก เป็นการใช้งานในอุตสาหกรรม ถ้าหากโลหะตัวใดแพงมาก ก็สามารถเปลี่ยนไปใช้อีกตัวได้

 

พอคุยถึงเรื่องว่าเขามองเห็นอะไร ถึงได้ขายทองคำทิ้ง และชอร์ตน้ำมันได้ทันเวลา เขาบอกว่า

 

สำหรับน้ำมัน เขาเห็นกราฟพุ่งขึ้นไปสูงมาก เร็วมาก เขาเชื่อว่าจะต้องโดนทุบ และ สิ่งที่ยืนยันความคิดของเขาก็คือ บรรดาพรีเซนเตอร์(คนอ่านข่าว)ของ ซีเอนบีซี ออกมาใส่หมวกปาร์ตี ฉลองนำมันราคาขึ้นกระฉูด

 

สำหรับทองคำ เขาก็เห็นกราฟพุ่งขึ้นไปสูง และเร็วมาก ทำให้เชื่อได้ว่าจะต้องโดนทุบ และ สิ่งที่ยืนยันความคิดของเขาก็คือ บรรดา "นักวิเคราะห์" ในแต่ละสำนัก ออกมาเชียร์เป็นเสียงเดียวกันว่าปีนี้ทะลุ ๒๐๐๐ แน่ๆ

ส่วนที่โดนๆทุบมา ไม่ต้องตกใจ ให้ดูกราฟราคาใน ล็อกสเกล จะเห็นว่า ราคาขึ้นแบบนิ่มๆ สบายๆ ไม่เป็นฟองสบู่อย่างที่เห็นในกราฟปกติ

 

เขายังเน้นเรื่องเทคนิคการบริหารเงิน (ซึ่งกูรูในเวบนี้หลายๆท่าน ก็เน้นเรื่องการบริหารเงิน) ของเขาให้ฟังตามนี้

 

ซื้อของจริง รับของจริงเท่านั้น ถ้าเล่นกระดาษ เอาไว้ชอร์ตอย่างเดียว

 

เงินที่เอาไปซื้อของ ต้องเป็นเงินเย็นเจี๊ยบเท่านั้น และต้องรักษาสภาพคล่องของตัวเองไว้เสมอ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องโดนบังคับขาย เวลาจำเป็นต้องใช้เงิน แต่ราคามันตก

 

ไม่ต้องกลัวว่าเงินกระดาษที่กันไว้จะหมดค่าเวลา เกิดเรื่อง เพราะเป็นการป้องกันความเสี่ยงอย่างหนึ่ง และเมื่อถึงเวลาแล้ว กำไรที่ได้จากโลหะมีค่า ก็จะมาถัวชดเชยกับเงินกระดาษที่หมดค่าไป ทำให้อย่างไรก็ไม่ขาดทุน

 

เวลาซื้อของจริง เขาจะแบ่งเงินที่กันไว้ซื้อของเป็นสองก้อน ก้อนแรก เอาไปซื้อของเข้า ก้อนที่สอง เอากองไว้ข้างๆของที่ซื้อมา

 

วิธีที่เขามองก็คือ ในตลาดที่โดนทุบกันง่ายๆโดยขาใหญ่แบบนี้ เราไม่รู้ว่ามันจะตกลงเมื่อไหร่ การที่เก็บกระดาษไว้นั้น เป็นสิ่งที่ดี เพราะเมื่อขาใหญ่เขาทุบให้เรา นับว่าเป็นบุญ ควรดีใจว่ายังมีกระดาษเหลือ และซื้อเข้าเพิ่มเติม

 

ผมมองเหมือนกับเขาว่า โลหะมีค่า downside ไม่เท่า upside เพราะฉะนั้น ถ้าซื้อแล้วมันหล่น ไม่น่ากลัวเท่าไหร่ เพราะเขามองว่าถ้ามันหล่น ก็หล่นไม่เกิน ๑๑๐๐(ทอง) และ ๒๑(เงิน) แต่โอกาสที่มันจะขึ้นได้นั้นมหาศาล

เวลาซื้อเหรียญเงิน ให้ซื้อ junk silver เพราะพรีเมี่ยมต่ำ, มีมูลค่าในตัวเอง และมูลค่าตามหน้าเหรียญ และ ที่สำคัญที่สุดคือ มีหลายขนาด ตั้งแต่ ๑ เหรียญ, ๕๐, ๒๕ และ ๑๐ เซนต์ เพราะเวลาที่ราคาโลหะเงินขึ้นไปสูงมากๆ การเอาเงินแท่งละ ๑๐/๑๐๐ ออนซ์ หรือแม้กระทั่งเหรียญ ๑ ออนซ์ มาซื้อขายแลกเปลี่ยนนั้นเป็นเรื่องลำบาก การที่มีโลหะเงินในหน่วยเล็กๆนั้น จะทำให้ใช้จ่ายได้สะดวกขึ้น (ลองนึกภาพคนเอาธนบัตร ๑๐๐๐ บาท ไปซื้อ ถั่วต้มที่หาบเร่มาขาย)

 

เรื่องปริมาณการซื้อ และการเก็บรักษา เขาบอกว่า

 

พอซื้อโลหะมีค่าเก็บไว้เรื่อยๆ เขาเริ่มกังวลและนอนไม่หลับ ไม่ใช่เพราะกังวลว่าจะโดนขโมย แต่เป็ินเพราะกังวลว่าเงินกระดาษที่เหลืออยู่ มันจะหมดค่าไปอีกซักเท่าไหร่

 

หุบปากไว้ ไม่ต้องบอกใครว่าซื้อขายโลหะมีค่า หรือเก็บของไว้ที่ไหน (ผมต้องไปรีบย้ายของออกจากตุ่มที่ฝังดินไว้ซะแล้ว) มีผู้ค้าเหรียญคนนึง มีโจรบุกเข้าไปถึงบ้านเพื่อที่จะปล้นของในสต๊อก ตอนนั้นลูกชายเขาอยู่บ้าน เลยโดนฆ่า แต่เจ้าตัวรอด

 

สิ่งที่ดีที่สุดคือการซื้อแบบเงินสด ของมา เงินไป เพราะไม่มีหลักฐานที่จะบอกให้โลกรู้ว่า นาย ก. อยู่บ้านนี้ ซื้อของไว้เยอะเชียว

เขา มองว่าการเก็บโลหะมีค่าไว้กับธนาคารในอเมริกา ยังค่อนข้างปลอดภัยอยู่ (อันนี้ผมไม่แน่ใจ เพราะไม่รู้ว่าลุงแซมอยากจะยึดทองเมื่อไหร่) ส่วนการเก็บโลหะมีค่าไว้ที่บ้านนั้น ก็ควรมีเก็บไว้บ้าง และเก็บไว้ในประมาณที่รู้สึกอุ่นใจ ปลอดภัย ฯลฯ ที่สำคัญ ควรมีเงินสดให้พอใช้จ่ายประมาณ ๒ เดือนเป็นอย่างน้อย กรณีที่เกิดกลียุค

 

หมดแล้วครับ ไว้นึกออกว่าลืม/ขาด อะไรไปจะมาพิมพ์เพิ่มให้

-----------------------------------------------------------------------------------

สนใจอ่านข้อมูลทั้งหมดไปที่http://www.facebook....35029796643588/ ด้านบนขวาใต้ภาพสมาชิกมีคำว่าไฟล์ กดที่ไฟล์ จะมีไฟล์ข้อมูลต่างๆให้อ่านครับ

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Prachachat Online

 

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

13480295771348029601thumbnail.jpg

 

วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

 

 

 

 

เฟดฉีดยาแรงกระทุ้งเศรษฐกิจ ใครได้ประโยชน์จาก QE3

 

updated: 19 ก.ย. 2555 เวลา 11:48:23 น.

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบ 3 (QE3) ที่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด คลอดออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะการว่างงาน สร้างความแปลกใจและความหวังให้หลายฝ่าย เพราะโปรแกรมซื้อตราสารครั้งนี้แตกต่างจาก 2 ครั้งก่อน ตรงที่ไม่จำกัดวงเงิน โดยเฟดให้คำมั่นว่าจะดำเนินมาตรการไปจนกว่าจะเห็นสัญญาณกระเตื้องของตลาดแรง งาน แต่หลายคนยังกังขายาแรงของเฟดจะส่งอานิสงส์ต่อเศรษฐกิจมากน้อยแค่ไหน และใครที่ได้รับประโยชน์กันแน่

 

วอลล์สตรีต เจอร์นัลระบุว่า เฟดตั้งเป้าซื้อตราสารหนี้จดจำนองเดือนละ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ในระยะยาวเฟดอาจผลาญเงินไปไม่ต่ำกว่าหลักล้านล้านดอลลาร์กับมาตรการครั้ง นี้

 

ไดแอน สว็อง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากเมซิโรว์ ไฟแนนเชียล ให้ความเห็นว่า "นี่จะจบลงด้วยการทุ่มทุน 1 ล้านล้านดอลลาร์" ซึ่งมากกว่ามูลค่า 6 แสนล้านดอลลาร์ของ QE2 โดยวิเคราะห์ว่า เฟดอาจต้องดำเนินโปรแกรมนี้ไปอีกอย่างน้อย 2 ปี กว่าอัตราว่างงานจะลดลงสู่ระดับที่ยอมรับได้จากอัตรา 8.1% ในปัจจุบันแต่สว็องเชื่อว่า QE3 จะช่วยหนุนเศรษฐกิจสหรัฐและภาพรวมการจ้างงาน เพราะรอบนี้มุ่งไปที่ตราสารหนี้จดจำนอง ซึ่งจะส่งอานิสงส์ต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์

 

อย่างไรก็ตาม ไมเคิล ซินเดอร์ บล็อกเกอร์ นักวิจัยและนักเคลื่อนไหวด้านเศรษฐกิจและสังคม มองอีกมุมว่า มีกลุ่มคนแค่หยิบมือเดียวที่จะได้รับประโยชน์จากยาแรงรอบ 3 ของเฟดหลักฐานจาก QE ทั้ง 2 รอบก่อนหน้าชี้ให้เห็นว่า รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนยังลดต่ำเป็นสถิติ สิ่งเดียวที่การซื้อตราสาร 2 รอบแรกทำสำเร็จคือ ผลักดันให้ราคาสินทรัพย์ทางการเงินสูงขึ้น ใครที่มีหุ้นอยู่ในครอบครองรับผลตอบแทนเข้ากระเป๋าอย่างงามในช่วง 2-3 ปีมานี้ และคนที่มีหุ้นส่วนใหญ่ก็คือคนรวย ผลการสำรวจพบว่า 82% ของหุ้นที่ถือโดยรายย่อยอยู่ในมือของคนอเมริกันร่ำรวยที่สุด 5%

 

ผู้ ที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ก็กระเป๋าตุงไม่แพ้กันในไม่กี่ปีมานี้ ราคาทองคำ โลหะเงิน น้ำมันเชื้อเพลิง และสินค้าเกษตรพากันขยับขึ้น แต่นั่นหมายความว่าชนชั้นกลางทั่วไปต้องจ่ายแพงขึ้นสำหรับสิ่งจำเป็นพื้นฐาน มาตรการ QE 2 ครั้งแรกจึงทำให้คนที่รวยอยู่แล้วยิ่งรวยขึ้น และส่งผลให้มาตรฐานการครองชีพของคนทั่วไปแย่ลง มีเหตุผลอะไรทำให้เชื่อได้ว่า QE3 จะแตกต่างออกไป

 

ซีเอ็นบีซีอ้างผล การศึกษาของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ซึ่งพบว่า มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณของ BOE ซึ่งคล้ายคลึงกับ QE ของเฟดส่งผลดีต่อคนรวยเท่านั้น โปรแกรม QE ช่วยเพิ่มมูลค่าหุ้นและตราสารหนี้ชนิดต่าง ๆ 26% หรือราว 9.7 แสนล้านดอลลาร์ โดย 40% ของมูลค่าดังกล่าวไหลเข้ากระเป๋าครัวเรือนรวยที่สุด 5% ของอังกฤษ

 

แม้แต่โดนัลด์ ทรัมป์ มหาเศรษฐีด้านอสังหาริมทรัพย์ชื่อก้องของสหรัฐ ยังยอมรับหลังเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟด ประกาศผุด QE3 ว่า "ผู้คนแบบผมนี่แหละที่จะได้ประโยชน์จากมาตรการนี้"การอีดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ ผ่านการซื้อตราสารหนี้โดยธนาคารกลางมาจากแนวคิดที่ว่า ธนาคารพาณิชย์สร้างเงินเพิ่มขึ้นเมื่อปล่อยสินเชื่อ ยิ่งให้กู้มากเท่าไหร่ ปริมาณเงิน (money supply)

 

ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ถ้าสถาบันการเงินไม่ยอมปล่อยกู้ ปริมาณเงินก็จะเติบโตอย่างเชื่องช้าเหมือนในสหรัฐตอนนี้ การใช้ยาแรงของเฟดเป็นเพียงการเพิ่มความเป็นไปได้ที่จะเกิดการสร้างเงินใน ระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ธนาคารพาณิชย์ต้องนำเงินที่มีอยู่ไปปล่อยกู้ มาตรการ QE จึงจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตามความตั้งใจของเฟด

 

แต่เห็นได้ชัด ว่าทุกวันนี้ สถาบันการเงินไม่เต็มใจปล่อยสินเชื่อกันมากนัก เฟดสามารถซื้อตราสารหนี้ได้มากเท่าที่ต้องการ แต่เงินที่ทุ่มไปอาจสูญเปล่าถ้า เงินที่เฟดพิมพ์ออกมาใหม่เพื่อใช้ซื้อตราสารหนี้แทนที่ไปช่วยสร้างกิจกรรม ทางเศรษฐกิจ กลับย้อนกลับมาพักอยู่ในคลังของเฟดเอง

 

เพราะสถาบันการ เงินเลือกที่จะนั่งอยู่บนภูเขาเงินสดมากกว่าจะปล่อยกู้ มาตรการ QE1 และ 2 จึงทำให้เงินสดสำรองส่วนเกินที่ภาคธนาคารนำไปฝากไว้กับเฟดสูงพุ่งพรวด จากระดับใกล้ศูนย์ มาเป็นมากกว่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ และหนึ่งในสาเหตุสำคัญของปัญหาคือ เฟดยังคงจ่ายดอกเบี้ยให้กับเงินที่ธนาคารเหล่านั้นนำมาฝากไว้ ซึ่งมองอีกแง่หนึ่งก็เหมือนเป็นการให้รางวัลที่ไม่นำเงินไปปล่อยกู้

 

ใน เมื่อธนาคารกลางยังจ่ายผลตอบแทนให้เงินที่ถูกนำมาพักไว้ แล้วทำไมแบงก์พาณิชย์จะต้องเสี่ยงปล่อยสินเชื่อให้ครัวเรือนหรือภาคธุรกิจ ถ้าเฟดต้องการให้ธนาคารหันมาปล่อยกู้อีกครั้ง สิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปกับมาตรการ QE คือหยุดให้รางวัลสถาบันการเงินที่ไม่ยอมให้สินเชื่อ

 

ที่จริงแล้วหาก เงินมากกว่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ หลั่งไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในฉับพลัน จะนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อขนานใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อน นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมอัตราเงินเฟ้อจึงไม่ขยับขึ้นมากอย่างวิตกหลังผุด QE1 และ QE2 เพราะเงินดอลลาร์ 13 หลัก ถูกพักอยู่ที่เฟดนั่นเอง

 

QE3 มีแนวโน้มจะกดดันให้ราคาสินค้าเกษตรและน้ำมันเชื้อเพลิงสูงขึ้น เช่นเดียว QE 2 รอบก่อน และมีความเป็นไปได้น้อยมากที่บรรดาพนักงานกินเงินเดือนจะได้รับค่าจ้างเพิ่ม ในสัดส่วนเท่ากับการเพิ่มขึ้นของค่าครองชีพ ซึ่งหมายความว่าคนอเมริกันและในหลายประเทศทั่วโลกที่ต้องนำเข้าอาหารหรือ น้ำมันจะมีมาตรฐานการครองชีพลดลง

 

ซินเดอร์มองว่า เฟดกำลังเสพติดการพิมพ์เงินเพิ่ม และเพราะเฟดเชื่อว่ามาตรการ QE จะช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจได้ ทิศทางเดียวที่เบอร์นันเก้จะมุ่งไปคือเพิ่มปริมาณยา แทนที่จะเปลี่ยนวิธีรักษาคนไข้ที่ชื่อสหรัฐ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...