ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

วรวรรณ ธาราภูมิ

 

5 ชั่วโมงที่แล้ว

Good Morning News จาก กองทุนบัวหลวง มิตรแท้ตลอดเส้นทางลงทุน

 

5 กรกฎาคม 2556

----------------------------------------------------------------------------

 

General News

 

• ธ.กลางยุโรป มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.5% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเป็นการตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับเดิมเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน นอกจากนี้ คณะกรรมการกำหนดนโยบายของธนาคารคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังคงอยู่ที่ระดับปัจจุบัน หรือระดับต่ำกว่านี้ต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง ซึ่งถือเป็นการปฏิเสธความเป็นไปได้เรื่องการขึ้นดอกเบี้ย และเปิดทางสำหรับการลดดอกเบี้ยลงอีกในอนาคตอันใกล้

 

• รัฐบาลสเปนสามารถระดมทุนได้ทั้งสิ้น 4 พันล้านยูโร ในการประมูลขายพันธบัตรระยะกลาง ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายสูงสุดที่วางไว้ในช่วง 3-4 พันล้านยูโร ขณะที่อัตราผลตอบแทนสูงกว่าการประมูลครั้งก่อน ส่วนความต้องการซื้อลดลง ท่ามกลางความวิตกกังวลว่า ปัญหาวุ่นวายทางการเมืองในประเทศโปรตุเกสอาจจุดให้วิกฤตหนี้ในภูมิภาคปะทุขึ้นอีกครั้ง

 

• ธ.กลางอังกฤษ ภายใต้การนำของผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษคนใหม่อย่างนายมาร์ค คาร์นีย์ มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.5% ภายหลังจากที่ได้อัดฉีดเงินเข้าระบบไปแล้วถึง 3.75 แสนล้านปอนด์มาตั้งแต่ปี 2552

 

• ก.พาณิชย์สหรัฐ ระบุว่า ยอดส่งออกในเดือน พ.ค. อยู่ที่ 187,100 ล้านดอลลาร์ หดตัวลง 0.3% จากเดือนก่อน ส่วนยอดนำเข้าอยู่ที่ 232,100 ล้านดอลลาร์ ปรับตัวขึ้น 2% จากเดือนก่อน ส่งผลให้ยอดขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น 12% จาก 40,100 ล้านดอลลาร์ในเดือน เม.ย. โดยนับเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2555 เป็นต้นมา

 

• ธ.กลางสหรัฐ อนุมัติข้อกำหนดที่เข้มงวดขึ้นเกี่ยวกับจำนวนเงินทุนสำรองที่ธนาคารพาณิชย์ควรถือครองไว้เพื่อรองรับกับการขาดทุนที่ไม่คาดคิด ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งเพื่อป้องกันระบบการเงินให้รอดพ้นจากความเสี่ยงต่างๆ โดยจะส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงบางประการในกฎหมายปฏิรูปด้านการเงินฉบับปี 2553 และจะสอดคล้องตามเกณฑ์บาเซิล 3

 

• นายอัดลี มานซูร์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญสูงสุดของอียิปต์ ได้สาบานตนเข้ารับตำแหน่งผู้นำรักษาการของประเทศ หลังจากที่กองทัพอียิปต์ได้เข้ายึดอำนาจและขับประธานาธิบดีโมฮาเหม็ด มอร์ซี ออกจากตำแหน่ง

 

• ธ.กลางญี่ปุ่น ระบุว่า จะยังคงใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินเชิงปริมาณและคุณภาพต่อไป เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% และได้ปรับเพิ่มมุมมองในการประเมิ นภาวะเศรษฐกิจระดับภูมิภาคใน 8 เขต จาก 9 เขต เมื่อเทียบกับ 3 เดือนก่อน ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่า นโยบายกระตุ้นเงินเฟ้อของรัฐบาลกำลังส่งผลบวกอย่างกว้างขวาง โดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวที่ดีขึ้นของความเชื่อมั่นในภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ รวมทั้งอุปสงค์ต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นด้วย

 

• หนังสือพิมพ์เซี่ยงไฮ้ ซิเคียวริตี้ส์ เจอร์นัล พบว่า ตลาดได้หันกลับมาให้ความสำคัญกับความเสี่ยงของภาวะขาลงของการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในระยะสั้น หลังจากความหวังในเรื่องการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องได้รับบทพิสูจน์แล้วว่ายังไม่มีวี่แวว โดยผลการสำรวจความคิดเห็นจากนักเศรษฐศาสตร์ 10 รายบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจจีนได้เคลื่อนตัวจากภาวะปกติเข้าสู่ภาวะที่ค่อนข้างจะซบเซา ซึ่งตอกย้ำถึงอัตราการขยายตัวที่อ่อนแรงลงอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ดีดตัวขึ้นเป็นระยะเวลาสั้นๆในไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว

 

• ผลสำรวจ CEO Survey Economic Outlook พบว่า ผู้บริหารส่วนใหญ่ 57% เห็นว่าอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจของ ไทย (GDP) ในปีนี้จะขยายตัวต่ำกว่า 4.5% ขณะที่ผู้ที่ถูกสำรวจ 1 ใน 4 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ 4.5-5.0% ซึ่งต่ำกว่าผลสำรวจเมื่อครั้งที่ผ่านมาที่ส่วนใหญ่คาดว่าจีดีพีจะสูงกว่า 4.5%

 

• นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ร่างพระราชบัญญัติกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ เพราะไม่ถือเป็นเงินแผ่นดิน และการกู้ในลักษณะนี้เคยทำมาแล้วหลายรัฐบาล โดยการกู้เงินตาม พ.ร.บ.นี้ จะสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา และรัฐบาลจะเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและด้านสุขภาพ

 

• ม.หอการค้าไทย ระบุว่า ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจของไทยอยู่ในช่วงชะลอตัวจากปัญหากำลังซื้อและการบริโภคในประเทศที่ซึมตัวลงนั้น รัฐบาลควรใช้มาตรการด้านการคลังเข้ามาเป็นตัวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และกระตุ้นการบริโภคในประเทศให้เพิ่มขึ้น

 

Equity Market

 

สรุปยอดสุทธิการซื้อขายของแต่ละกลุ่ม

กลุ่มนักลงทุน ล้านบาท

นักลงทุนสถาบัน -2,398.91

บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ 154.52

นักลงทุนต่างชาติ -9.35

นักลงทุนทั่วไป 2,253.75

 

• SET Index ปิดที่ 1,430.88 จุด ลดลง -12.69 จุด หรือ -0.88% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 44,212.08 ล้านบาท ปรับตัวสวนทางกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย หลังจากที่คณะกรรมการปฏิรูปกฏหมายออกมาชี้ว่าร่าง พ.ร.บ.การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาทอาจขัดกับรัฐธรรมนูญ

 

Fixed Income Market

 

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้นในเกือบทุกช่วงอายุ โดยเปลี่ยนแปลงอยู่ในช่วงระหว่าง 0.01% ถึง 0.05%

 

(แทน)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

จับตาเศรษฐกิจจีนชะลอแรง

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สั่ง Gold Valcambi 50 g ไป 1 อัน จากต่างประเทศ ได้รับแล้วครับ ไม่โดนภาษีโชคดีจัง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รวบรวมข้อมูลจากThanong Fanclub

 

----ลับลวงพรางเรื่องทอง

 

ตามตัวเลข อเมริกามีทองคำสำรอง 8,133.5 ตัน มากที่สุดในโลก แต่อเมริกาพิมพ์เงินดอลล่าร์กระดาษเปล่าๆให้โลกใช้โดยไม่ต้องใช้ทองคำมาหนุน

 

 

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการก่อตั้งระเบียบการเงินโลกใหม่ภายใต้การกำกับของWorld Bank/IMF ระบบการเงินโลกใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ โดยใช้ทองคำหนุนหลัง ใครถือดอลล่าร์สามารถขึ้นทองคำกับUS Federal Reserve ได้ ณ ราคา $35ต่อออนซ์

 

เงินดอลล่าร์ผงาดเป็นเงินสกุลหลักของโลก แทนเงินปอนด์ของอังกฤษ อังกฤษถอยฉากไปยืนอยู่ข้างหลัง คุมสหรัฐฯอีกทียอมเป็นพระรอง

 

แต่ปี 1971 ประธานาธิบดีเลิกระบบมาตรฐานทองคำเอาดื้อๆ สหรัฐฯพิมพ์ดอลล่าร์เปล่า โดยใครถือดอลล่าร์ไม่สามารถไปขึ้นทองที่หน้าต่างของUS Federal Reserveได้

 

สหรัฐฯได้ล้มระบบมาตรฐานทองคำ และสร้างระบบเงินกระดาษ Fiat Currency Systemเข้ามาแทน

 

ในธนบัตรเงินดอลล่าร์ เขียนว่า In God we trust.. แต่จริงๆ เขาจะบอกว่าให้เชื่อดอลล่าร์เถอะ เพราะพิมพ์มากับมือเอง

 

John Connally รมวคลังสมัยนิกสันบอกว่า: "The dollar is our money, but it's your problem."

 

"ดอลล่าร์เป็นเงินของเรา จะเอาไม่เอามันเป็นปัญหาของคุณเอง.

 

แสบดี

 

US Federal Reserve เลยตุนทองที่มีค่าและถือว่าเป็นเงินหรือของมีค่าที่แท้จริงของโลกมาเป็น หมื่นๆปีแล้ว แล้วก็พิมพ์กระดาษเปล่าๆให้โลกใช้

 

ถือว่าเป็นการปล้นและแหกตาชาวโลกครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะเอาเงินกระดาษสมมุติ มาแลกทองได้

 

ที่สำคัญFederal Reserve เจ้าของเป็นเอกชน อยู่ในคราบกึ่งรัฐบาลพิมพ์เงินกระดาษเปล่าๆที่ไม่มีทรัพย์สินอะไรหนุนหลัง ออกมาซื้อแบงค์ ธุรกิจและทรัพยากรของโลก

 

ทองคำสำรองในโลก (ตัน)

 

1 United States 8,133.5

2 Germany 3,391.3

3 International Monetary Fund(IMF) 2,814.0

4. Italy 2,451.8

5 France 2,435.4

6 China 1,054.1

7 Switzerland 1,040.1

8 Russia 957.8

9 Japan 765.2

10 Netherlands 612.5

11 India 557.7

12 European Central Bank 502.1

13 Taiwan 423.6

14 Portugal 382.5

15 Venezuela 365.8

16 Turkey 359.6

17 Saudi Arabia 322.9

18 United Kingdom 310.3

19 Lebanon 286.8

20 Spain 281.6

 

อ้างอิงhttp://www.silverdoctors.com/imf-forces-cyprus-to-sell-e400-million-worth-of-gold/

 

Thanong Fanclub

27 นาทีที่แล้ว

เยอรมันกำลังขนทองคำแท่งกลับบ้าน เตรียมทิ้งยูโร

 

เป็นข่าวใหญ่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เมื่อบุนเดสแบงค์ หรือธนาคารกลางของเยอรมันออกแถลงการณ์ว่า มีความประสงค์ที่จะขนทองคำแท่งที่ฝากไว้ในตู้นิรภัยของเฟดเดอรัลรีเชร์ฟแห่ง นิวยอร์คและธนาคารกลางของฝรั่งเศส เพื่อเอากลับมาเก็บดูแลรักษาในตู้นิรภัยของตัวเองที่แฟรงค์เฟร์ท ทำให้มีคำถามขึ้นมาว่า เยอรมันเตรียมทิ้งยูโรเพื่อกลับไปพิมพ์เงินมาร์คเหมือนเดิม โดยมีทองคำแท่งหนุนเพื่อความเชื่อมั่นหรือเปล่า?

 

ขณะนี้เยอรมันมีทองคำแท่ง3,400ตัน มากเป็นอันดับสองของโลกรองมาจากสหรัฐอเมริกา ก่อนปี 1990 เยอรมันเก็บทองคำแท่ง98%อยู่นอกประเทศ คือสหรัฐอเมริกา อังกฤษและฝรั่งเศส แต่หลังจากสงครามเย็นสงบลง เยอรมันค่อยๆทะยอยขนทองคำแท่งที่เพิ่มพูนขึ้นมาจากพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็ง แกร่งกลับบ้าน อีกประการหนึ่งเยอรมันได้เข้าร่วมเขตยูโร โดยใช้เงินสกุลยูโรแทนเงินมาร์คของตัวเองที่ยกเลิกไป ทำให้มีความจำเป็นน้อยลงในการเก็บทองที่ตู้นิรภัยในธนาคารกลางของสหรัฐฯ อังกฤษและฝรั่งเศส เพื่อช่วยในการบริหารเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ

 

เมื่อปี2000 เยอรมันได้ขอคืนทองคำแท่ง930ตันที่เก็บไว้ที่ธนาคารกลางของอังกฤษ แต่จะยังคงเก็บทองไว้ที่ธนาคารกลางอังกฤษ13%ของทองคำทั้งหมดที่เยอรมันมี อยู่ เริ่มปีนี้เยอรมันจะขนทองคำแท่ง300ตันที่ฝากไว้ที่นิวยอร์คกลับบ้าน และจะขนทองคำแท่งทั้งหมด374ตันที่ฝากไว้กลับธนาคารกลางของฝรั่งเศสไม่เหลือ หรอ

 

ตารางของการขนทองคำแท่งของเยอรมันจากนี้ไปถึงปี 2536เป็นดังนี้ :

31 ธันวา 2555 31 ธันวา 2563

แฟรงค์เฟร์ท 31% 50%

นิวยอร์ค 45% 37%

ลอนดอน 13% 13%

ปารีส 11% 0%

 

ต้องเข้าใจว่าระบบการเงินกระดาษ (fiat currency) ของโลกเริ่มจะแกว่งไม่มีเสถียรภาพหลังวิกฤติปี2551 เพราะระบบธนาคารล้มละลาย มีหนี้เสียมาก เศรษฐกิจถดถอย ตลาดเงิน ตลาดทุนเกือบจะพัง ทำให้ธนาคารกลางในประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธนาคารกลางอังกฤษและเฟดเดอรัล รีเชร์ฟของสหรัฐอเมริกาต้องพิมพ์เงินเข้าไปอุ้มระบบการเงินไม่ให้ล้ม การพิมพ์เงินกระดาษโดยไม่มีทองคำหนุนหลัง ทำให้ความเชื่อมั่นในเงินกระดาษไม่ปกติ

 

ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจและค่าเงินยูโรลดลงอย่างมากหลังจากที่ประเทศ ยุโรปใต้หลายประเทศประสบภาวะวิกฤติต้องขอความช่วยเหลือทางด้านการเงินจากกอง ทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารกลางแห่งยุโรป ระบบธนาคารของเสปนและกรีซหนักที่สุดตอนนี้ เพราะว่าเงินกองทุนติดลบ จากหนี้เสียกองมหึมา มีความเป็นไปได้ว่าบางประเทศอาจออกจากเขตยูโรเพื่อตายเอาดาบหน้า โดยการหันกลับไปใช้เงินสกุลเดิมของตัวเอง ถ้าเหตุการณืที่เลวร้ายนี้เกิดขึ้นระบบการเงินยูโรจะยิ่งวิกฤติหนักขึ้นไป อีก

 

นี้จะเป็นข้ออ้างให้เยอรมันถอนตัวจากเขตยูโรเหมือนกัน เพราะว่าเยอรมันไม่สามารถจะอุ้มทุกประเทศที่มีปัญหาทางการเงินได้ ความเป็นไปได้ในเรื่องนี้สูงพอสมควร การขนทองคำแท่งกลับบ้านตัวเองก็เป็นข้อยืนยันอย่างหนึ่งว่า เยอรมันต้องมีทองคำสำรองระดับหนึ่งเพื่อหนุนหลังเงินมาร์ค ในกรณีที่ตัดสินใจทิ้งเงินยูโร

 

ทั้งจีน อินเดียและรัสเซียตอนนี้กำลังตุนทองกันยกใหญ่ เพราะรู้ดีว่าต่อไปเงินกระดาษจะมีความน่าเชื่อถือต้องมีทองหนุนหลัง ไม่ใช่พิมพ์ออกมาเปล่าๆ หรือมีดอลล่าร์กระดาษที่กำลังจะไร้ค่าหนุนหลัง

 

ระบบการเงินอังกฤษ และฝรั่งเศสต้องเซพอสมควรจากการที่เยอรมันเล่นขอถอนทองคำแท่งแบบนี้ เพราะว่าทองที่ประเทศอื่นฝากเอาไว้ถูกนำไปปล่อยกู้ยืมต่อเป็นทอดๆ แถมถูกใช้หนุนตราสารกระดาษอิงทองคำ คล้ายๆกันกับแบงค์ที่ถูกลูกค้ารายใหญ่ถอนเงิน ฐานะการเงินถึงกับเซได้ ถ้าหมุนเงินไม่ทัน และถ้าเอาทรัพย์สินอื่นมาอุดไม่เพียงพอ

http://www.cnbc.com/id/100382718

 

ส่วนบนของฟอร์ม

Thanong Fanclub

ถูกใจแล้ว · ประมาณ 1 ชั่วโมงที่แล้ว

IMFก็ตุนทองเป็นกระตั๊ก

 

IMFเป็นองค์กรที่หนุนหลังให้ดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของโลก ค้าขายและเปลี่ยนสินค้าบริการ เทรดหุ้น บอนด์เงินตรา น้ำมัน ทุกอย่างต้องผ่านดอลล่าร์หมด

 

แต่ทำไมIMFถึงไม่ตุนดอลล่าร์ แต่ตุนทองมหาศาล 2,814ตัน อันดับสามของโลก รองจากสหรัฐฯและเยอรมันนี

 

คงจะคอยจังหวะ เมื่อได้โอกาสIMFจะผลักดันตัวเองเป็นธนาคารกลางของโลก One World Central Bank ก่อนจะไปถึงตอนนั้นก็ต้องมีทองคำหนุนเป็นธรรมดา ให้มีความน่าเชื่อถือเวลาพิมพ์เงิน SDR (Special Drawing Rights) วึ่งเป็นหน่วยเงิน unit of money แต่ไม่มีธนบัตรหมุนเวียน

 

ถ้าดอลล่าร์มีอันต้องเป็นไป จากการทำ QE นิจนิรันดร์ IMFจะลุกขึ้นมาเสียบ สร้างระบบการเงินโลกใหม่ โดยที่กลุ่มAnglo-Americanยังคงคุมอำนาจเหมือนเดิม

 

เวลาเป็นOne World Central Bankได้สมใจอยาก ก็คงจะพิมพ์เงิน SDRเปล่าๆ เหมือนเฟดที่ทำตอนนี้ โดยไม่ต้องมีทองหนุนหลัง

 

เหมือนหนังหลอกเด็ก สกริ๊ปเดิม ทำซ้ำแล้ว ซ้ำอีก

Thanong Fanclub

28 นาทีที่แล้ว

เมื่อปี2554 เวเนซูเอล่าสร้างความฮือฮาด้วยการขอขนทองคำแท่ง99ตันที่ฝากไว้ที่อังกฤษกลับบ้านหมด

 

สาเหตุนี้อาจเป็นเหตุผลหลักทำให้สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่2แห่งอังกฤษ ต้องไปเยี่ยมเยือนตู้นิรภัยเก็บทองคำแท่งของธนาคารกลางของอังกฤษเมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อเรียกร้องความมั่นใจในระบบการเงิน การบริหารทองคำแท่งและตลาดทอง ซึ่งลอนดอนเป็นศูนย์กลางของโลก

 

ภาพที่สมเด็จพระราชินีอังกฤษเยี่ยมตู้นิรภัยเก็บทองคำแท่งออกมาอย่างจงใจมาก ผิดปกติ เพื่อให้ชาวโลกเห็นว่าทองคำแท่งยังมีอยู่ครบสมบูรณ์ และให้เชื่อมั่นในความเป็นศูนกลางทางการเงินและทองของลอนดอนต่อไป

หลังจากนั้นหลายๆประเทศเริ่มขอเอาทองกลับบ้านจากศูนย์กลางการเงินของโลก เพราะนาทีนี้ ไม่มีใครไว้ใจใครอีกแล้ว

https://www.facebook.com/groups/135029796643588/287781074701792/

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ความลับ : ทำไมราคาทองคำจึงขึ้นและตก และเมื่อใดจึงจะขึ้นอีก blank.gif โดย สุทธิพงษ์ ปรัชญพฤทธิ์ 4 กรกฎาคม 2556 15:40 น.

 

 

blank.gif 556000008557601.JPEG blank.gif ผู้เขียนได้ติดตามการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นประเทศต่างๆ ค่าเงินประเทศต่างๆ การเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ เช่น ราคาทองคำ ราคาน้ำมัน ได้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของราคาต่างๆ มีความสัมพันธ์ต่อกัน การเกิดวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ของภูมิภาคต่างๆ และของทั้งโลก เกี่ยวข้องกันทั้งหมดมีต้นเหตุมาจากเรื่องเดียวกัน

 

จุดเริ่มต้นความเสื่อมทางเศรษฐกิจของโลก เริ่มขึ้นในปี 2000 เริ่มต้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จากการพังทลายของตลาด NASDAQ ในปี 2000

 

กลไกนี้ เป็นเรื่องที่น่าจะทำความใจ และจดจำไว้ เมื่อ ตลาดหุ้นประเทศใดพังทลาย จะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้นพังทลายด้วย ค่าเงินไม่ได้รับความเชื่อมั่น จะละทิ้งเงินสกุลนั้น ไปถือเงินสกุลอื่น หรือสินทรัพย์ในรูปสกุลอื่น ทำให้สภาพคล่องระบบของประเทศนั้นเสียหาย ทำให้เอกชนล้มลง ทำให้หนี้เสียเพิ่มขึ้น ทำให้อัตราส่วนการว่างงานสูงขึ้น ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น จะเกิดกับประเทศไหน ก็เป็นแบบเดียวกันทุกประการ

 

แต่เมื่อมันมาเกิดกับประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีระบบ เศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก กับสกุลเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเสมือนเป็นสกุลเงินของโลกด้วย มันจึงส่งผลกระทบกระเทือนไปทั้งโลก

 

ผู้อ่านสามารถกลับไปศึกษาย้อนหลัง การพังทลายของตลาด NASDAQ และค่าเงินเหรียญสหรัฐจากบทความที่ผ่านมาของผู้เขียนได้ จะได้ทราบว่าเหตุการณ์พังทลายของตลาดหุ้น และค่าเงินของประเทศสหรัฐเมริกาเกิดอย่างไร เกิดเมื่อใด เสียหายอย่างไร เสียหายเท่าใด และส่งผลกระทบต่อโลกอย่างไรบ้าง

556000008557602.JPEG blank.gif การพังทลายของค่าเงินเหรียญสหรัฐ ผู้คนไม่ทราบว่า ต้นเหตุอะไรที่ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐพังทลาย พังทลายแบบไหน อย่างไร และเท่าใด เงินยูโรเป็นสกุลที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสกุลเงินเหรียญสหรัฐ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกัน จึงมีนัยสำคัญ จากภาพจะเห็นว่าค่าเงินเหรียญสหรัฐเริ่มพังทลายตั้งแต่ปี 2000 ซึ่งเกิดขึ้นหลังพังทลายของตลาด NASDAQ นั่นเอง เงินเหรียญสหรัฐพังทลายลงถึง 48 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับเงินยูโร

 

จะมีใครสงสัยบ้าง สกุลเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ของประเทศที่เป็นหัวขบวนทุนนิยมอันดับ 1 ของโลก ตกลงถึง 48 เปอร์เซ็นต์ เป็นไปได้อย่างไร ทำไมค่าเงินจึงตกแรงเช่นนี้ ปล่อยให้ค่าเงินตัวเองถูกโจมตีได้อย่างไร ศักดิ์ศรีของประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่ตรงไหน ประเทศสหรัฐอเมริกาอาจจะยิ่งใหญ่ในสายตาของคนโลก แต่แท้ที่จริงเป็นแค่เพียงตัวตลกของผู้ที่ทุบ NASDAQ และทุบเงินดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น เพราะไม่ทราบเรื่องจึงไม่อาย หากทราบถึงต้นเหตุการณ์พังทลายของ NASDAQ และ USD แล้ว ไปถึงไหนก็ต้องอายไปถึงนั่น คนทุบอเมริกาก็คือคนอเมริกันนั่นเอง Hedge Funds ของอเมริกาทุบอเมริกา แม้ศาสตร์อื่นอเมริกาจะเก่งที่สุดในโลก แต่เรื่องนี้ประเทศสหรัฐอเมริกาโง่อย่างเดียว

 

13 ปีผ่านไปแล้ว ประเทศสหรัฐอเมริกายังงมโข่ง แก้ปัญหาที่ปลายเหตุอยู่เหมือนเดิม ความเสียหายทางเศรษฐกิจของอเมริกา ส่งผลกระทบกระเทือนเดือดร้อนไปทั่วโลก

 

ผลกระทบจากการพังทลายของค่าเงินเหรียญสหรัฐ

 

เงินทุนไหลออกจากประเทศสหรัฐอเมริกา ไปแลกเป็นเงิน EURO ส่งผลให้ระหว่างปี 2000 - 2008 เงิน EURO แข็งค่าขึ้น 93 เปอร์เซ็นต์ (เงินเหรียญสหรัฐตกลง 48 เปอร์เซ็นต์)

556000008557603.JPEG blank.gif แล้วก็ไปไล่ซื้อสินทรัพย์ในรูปเงินสกุล EURO เช่นตลาดหุ้นยูโรโซน 39 ประเทศ ส่งผลให้ตลาดหุ้นยุโรประหว่างปี 2001- 2007 สูงขึ้น 356 เปอร์เซ็นต์ แล้วจึงพังทลายลงรุนแรงในปี 2008 (Hamburger crisis) ตกลงถึง 71 เปอร์เซ็นต์ทำให้ประเทศทั่วทั้งยุโรปประสบวิกฤตเศรษฐกิจ หลายประเทศต้องเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่าง ประเทศ (IMF)

556000008557604.JPEG blank.gif แต่แท้ที่จริงแล้ว เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับประเทศในยูโรโซนเท่านั้น แต่เกิดขึ้นกับทั้งโลก เงินทุนที่ไหลออกจากประเทศสหรัฐอเมริกาไหลออกมาท่วมโลก ส่งผลให้สกุลเงินต่างทั่วโลกสูงขึ้น ตลาดหุ้นทั่วโลกสูงขึ้น (G91 index) แล้วก็พังทลายลงระหว่างปลายปี 2007 – ต้นปี 2009 (Hamburger crisis)

556000008557605.JPEG blank.gif ยางเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ทางการเกษตรการพังทลายของค่าเงินเหรียญสหรัฐใน ปี 2000 หรือเงินเหรียญสหรัฐมีค่าเล็กลง ซึ่งจะต้องใช้เงินเหรียญสหรัฐมากขึ้นในการซื้อยางแผ่นดิบที่มีปริมาณเท่า เดิม จึงทำให้เห็นว่าราคายางสูงขึ้น เงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่ามากเท่าใด ราคายางก็สูงขึ้นมากเท่านั้น จะเห็นว่าราคายงเริ่มขึ้นในปี 2001จากการพังทลายของค่าเงินเหรียญสหรัฐจากราคาประมาณ 20 บาทต่อกิโลกรัม ขึ้นไปสูงสุดในปี 2011 ที่ราคาเกือบ 180 บาทต่อกิโลกรัม หรือราคาสูงขึ้นประมาณ 800 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นราคายางก็พังทลายลง

 

รูปแบบการสูงขึ้นของราคายางเป็นไปในทิศทางเดียวกันแบบ เดียวกันกับการขึ้นและตกลงของราคาทองคำ นั่นคือ ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินเหรียญสหรัฐแบบเดียวกัน

556000008557606.JPEG blank.gif น้ำมันเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ด้านพลังงาน การพังทลายของค่าเงินเหรียญสหรัฐในปี 2000 หรือดอลลาร์มีค่าเล็กลง ซึ่งจะต้องใช้เงินเหรียญสหรัฐมากขึ้นในการซื้อน้ำมันที่มีปริมาณเท่าเดิม จึงทำให้เห็นว่าราคาน้ำมันสูงขึ้น เงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่ามากเท่าใด ราคาน้ำมันก็สูงขึ้นมากเท่านั้น จะเห็นว่าราคาน้ำมันเริ่มขึ้นในปี 2000 จากราคา 16.97เหรียญต่อบาร์เรล ขึ้นไปสูงสุดในปี 2008 ที่ราคาประมาณ 145.6 เหรียญต่อบาร์เรล หรือราคาสูงขึ้น 768 เปอร์เซ็นต์จากนั้นก็พังทลายลงรุนแรงตั้งแต่กลางปีถึงปลายปี 2008 (Hamburger crisis)

 

ปี 2008 ราคาน้ำมันตกพร้อมๆ กับการตกลงของตลาดเงิน ตลาดทุนทั่วโลก (G91 index) Hamburger crisis

556000008557607.JPEG blank.gif ทองคำเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ด้านโลหะ การพังทลายของค่าเงินเหรียญสหรัฐในปี 2000 หรือดอลลาร์มีค่าเล็กลง ซึ่งจะต้องใช้เงินเหรียญสหรัฐมากขึ้นในการซื้อทองคำที่น้ำหนักเท่าเดิม จึงทำให้เห็นว่าราคาทองคำสูงขึ้น เงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่ามากเท่าใด ราคาทองคำก็สูงขึ้นมากเท่านั้น จะเห็นว่าราคาทองคำเริ่มขึ้นในปี 2000 จากราคา 256 เหรียญต่อออนซ์ ขึ้นไปสูงสุดในปี 2011 ที่ราคาประมาณ 1,900 เหรียญต่อออนซ์ หรือราคาสูงขึ้น 642 เปอร์เซ็นต์

 

จากข้อมูลที่นำเสนอข้างต้น บอกว่าค่าเงินเหรียญสหรัฐเริ่มแข็งค่าขึ้นในปี 2008 ราคาทองคำก็ควรจะเริ่มตกลงในปี 2008 แต่ปรากฏว่าราคาทองยังขึ้นต่อเนื่องไปอีก แต่ที่ปี 2008 – 2012 ค่าเงินเหรียญสหรัฐก็ยังขึ้นอย่างจริงจังไม่ได้ เมื่อมีการพิมพ์เงินออกมาใช้ (QE) ก็ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐตกลงเป็นช่วงๆ ทำให้ราคาทองคำยังตกลงไม่ได้ ที่สำคัญที่คนทั่วไปไม่ทราบ คือมีการทำราคาของบรรดา Hedge Funds ให้เป็นไปตามที่เขาต้องการได้

 

ไม่ว่าราคาหุ้น ราคาน้ำมัน ราคาทองคำจะถูก Hedge Funds สวมรอยปั่นตลอดเวลา ภาษาในตลาดหุ้นเรียกว่า ลากขึ้นไปเชือด เขารู้แล้วว่าค่าเงินเหรียญสหรัฐเริ่มแข็งค่าขึ้นในปี 2008 เขาก็ลากขึ้นไปให้สูงที่สุด จากนั้นทิ้งราคาลงมา จากปี 2011 มาถึงกลางปี 2013 ราคาทองคำตกลงแล้ว 37 เปอร์เซ็นต์

 

การที่ราคาทองคำขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลายาวนานเป็นเวลากว่า 10 ปีและมีผู้สวมรอยทำให้ราคามันสูงขึ้นด้วยกระตุ้นให้คนทั่วโลกหันมาสนใจทองคำ ทำให้เกิดการหวังผลและการเก็งกำไรกัน คนไทยก็เข้าไปซื้อทองคำที่ราคาสูงๆ ในปี 2011 -2012 โดยที่ราคาทองทำในรูปดอลลาร์อยู่ระหว่าง 1,600-1,900 เหรียญต่อออนซ์ หลังจากซื้อได้แล้ว ราคาก็ตกลงมาอย่างเดียว

556000008557608.JPEG blank.gif ตามสถิติระหว่างปี 1976-1979 ราคาทองคำขึ้นจาก 50 เหรียญต่อออนซ์ ไปที่ 750 เหรียญต่อออนซ์ ราคาเพิ่มขึ้นมา 1,400 เปอร์เซ็นต์ ราคาขึ้นมาแรงและเร็ว จากนั้นใช้เวลาตก 21 ปี จากปี 1979 ถึงปี 2000 ราคาตกลงจาก 750 มาเป็น 256 เหรียญต่อออนซ์ หรือตกลง 66 เปอร์เซ็นต์

 

ครั้งหลังนี้ ราคาทองคำขึ้นจาก 256 ในปี 2001 มาสูงสุดที่ราคา 1,900 เหรียญต่อออนซ์ในปี 2011 หรือราคาเพิ่มขึ้นมา 642 เปอร์เซ็นต์

 

ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมทั้งราคาทองไต่ระดับขึ้นมาประมาณ 10 ปีติดต่อกัน เนื่องจากค่าเงินเหรียญสหรัฐพังทลายระหว่างปี 2000 - 2008 จากนั้นค่าเงินเหรียญสหรัฐกำลังแข็งค่าขึ้น จึงส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมทั้งราคาทองคำก็ตกลง

 

ทองคำที่แท้จริงแล้ว ไม่ใช่สินค้าเพื่อการบริโภคทั้งหมด ส่วนหนึ่งถูกเก็บไว้เป็นทุนสำรองของประเทศต่างๆ ต่างจากน้ำมันที่ใช้เพื่อการบริโภคทั้งหมด

 

ถามว่า ครั้งหลังนี้ราคาทองคำจะตกลงไปที่เท่าใด ถ้าอ้างอิงสถิติในอดีตที่ตกลง 66 เปอร์เซ็นต์ จากราคา 1,900 เหรียญต่อออนซ์ ราคาทองคำก็จะตกไปที่ 646 เหรียญต่อออนซ์

 

ถามว่า ครั้งหลังนี้ราคาทองคำจะสูงขึ้นเมื่อใด ตอบ สูงขึ้นเมื่อค่าเงินเหรียญสหรัฐพังทลายลงอีกครั้ง คงบอกได้ยากว่าค่าเงินเหรียญจะเสียหายอีกเมื่อใด

 

ที่จั่วหัวเรื่องว่า ความลับ : ทำไมราคาทองคำจึงขึ้นและตกและเมื่อใดจึงจะขึ้นอีก แท้ จริงไม่ใช่ความลับอะไร เพียงแต่ต้องการกระตุ้นให้ผู้ที่สนใจและเข้าใจถึง “ต้นเหตุ” การขึ้นและตกของราคาทองคำอย่างจริงจังเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ทราบได้ หาใช่ความลับแต่อย่างใดไม่ อย่างที่ผู้เขียนนำเสนอถึงความสัมพันธ์การตกและขึ้นของค่าเงินเหรียญสหรัฐ ว่ามีความสัมพันธ์ต่อการขึ้นและตกของตลาดหุ้นโลก ค่าเงินสกุลต่างๆ ของโลก รวมทั้งการขึ้นและตกของราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลก เช่น ยาง น้ำมัน และทองคำ มีเหตุมีผลที่เข้าใจได้เมื่อเข้าใจแล้ว จะสามารถนำไปบริหารจัดการการลงทุนในทองคำ น้ำมัน ยาง ฯลฯ รวมทั้งการลงทุนสกุลเงินตราต่างๆ และตลาดหุ้นประเทศต่างๆ ได้ด้วย

 

แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนทั่วไปจะเข้าใจถึงความสัมพันธ์ การเปลี่ยนแปลงของตลาดเงินตลาดทุน และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และก็ไม่ทราบว่าจะไปหาข้อมูลเรื่องเหล่านี้ได้แบบไหน อย่างไร โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน ที่เป็นเรื่องยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจและที่สำคัญจะต้องติดตามดูข้อมูลแบบต่อ เนื่องยาวนานด้วย

 

จากข้อมูลที่นำเสนอ แสดงให้เห็นถึงการแกว่งตัวที่รุนแรงของตลาดทุนโลก ตลาดเงินตราโลก และราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลก เป็นความเสียหายมากกว่าจะเป็นความเจริญ โลกอยู่ในภาวะของความเสื่อมและความเสียหายมีมาตั้งแต่มีการพังทลายของตลาด NASDAQ และค่าเงินเหรียญสหรัฐในปี 2000 เงินเฟ้อสูงขึ้นรุนแรงตลอดเวลา ทำให้มีคนเดินขบวนประท้วงไปทั่วโลก เงินเฟ้ออาจจะดีขึ้นบางช่วง เมื่อค่าเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่า แต่เมื่อเงินเหรียญสหรัฐพังทลายอีก เงินเฟ้อโลกก็จะสูงขึ้นอีก ความผิดพลาดในการบริหารระบบเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ก็จะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้นเสียหาย เงินเฟ้อก็จะสูงขึ้นการซื้อขายกระดาษ (Paper trade) คือต้นเหตุความเสียหายหลักรอดูว่าจะมีประเทศใดที่สามารถเอาตัวเองออกจากขุม นรกทุนสามานย์ของโลกนี้ได้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

มีหลายคนอยากทราบค่าพรีเมี่ยมราคาทองคำในตลาดโลก นายกสมาคมผู้ค้าทองคำบอกว่า ความต้องการทองคำในตลาดโลกยังอยู่ในระดับสูง สังเกตจากค่าพรีเมียมสำหรับคำสั่งซื้อหากใครต้องการสินค้าเร็วขึ้นจะต้อง เสียค่าพรีเมียมเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 1.00-1.50 ดอลลาร์ต่อตัน เป็น 6-8 ดอลลาร์ต่อตัน เป็นข่าวที่หลายคนอยากได้ แต่ข่าวที่ท่านนายกฟันธงว่าราคาทองคำโลกไม่หลุด 1,100 ดอลลาร์/ออนซ์ หลายคนฟังแล้วคงเสียววาบ

 

 

ฟันธง! ราคาทองคำโลกไม่หลุด 1,100 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับต้นทุนผลิต blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 กรกฎาคม 2556 16:16 น.

 

 

blank.gif TabOver.gif คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น 556000008618001.JPEG

blank.gif blank.gif นายกสมาคมค้าทองฯ มั่นใจราคาทองคำโลกไม่หลุด 1,100 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับราคาต้นทุน ลุ้นครึ่งปีหลังรีบาวนด์ทดสอบ 1,500-1,600 ดอลลาร์/ออนซ์ เชื่อความต้องการยังสูง และราคาจะไม่ต่ำกว่าหน้าเหมือง ส่วนประเด็นข่าวที่กองทุนหลายแห่งขายทองคำออกมา มองว่าเป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวถึงสถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก โดยมั่นใจว่า ภายในปีนี้ราคาทองคำจะไม่หลุดต่ำกว่า 1,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เนื่องจากระดับดังกล่าวใกล้เคียงกับราคาต้นทุน

 

นอกจากนี้ ยังคาดว่าราคาทองคำจะมีโอกาสทดสอบแนวต้านบริเวณ 1,500-1,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เนื่องจากความต้องการทองคำในตลาดโลกยังอยู่ในระดับสูง สังเกตจากค่าพรีเมียมสำหรับคำสั่งซื้อหากใครต้องการสินค้าเร็วขึ้นจะต้อง เสียค่าพรีเมียมเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 1.00-1.50 ดอลลาร์ต่อตัน เป็น 6-8 ดอลลาร์ต่อตัน

 

ส่วนประเด็นข่าวการชะลอมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (คิวอี) มองว่าให้นักลงทุนอย่าเพิ่งวิตกกังวลกับประเด็นดังกล่าวมากจนเกินไป เนื่องจากการชะลอมาตรการยังไม่เกิดขึ้นจริง ถึงแม้ว่าเกิดขึ้นจริงก็ยังไม่สนับสนุนให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วทันที

 

“มองว่าข่าวต่างๆ ที่ออกมาทำให้ราคาทองปรับตัวลดลงในช่วงนี้ มาจากการปั่นกระแสข่าวจากกองทุนต่างๆ เนื่องจากในปัจจุบัน บรรดากองทุนมีการซื้อขายในสินค้า Gold Futures ที่เป็นใบกระดาษมากขึ้น”

 

ทั้งนี้ ราคาทองคำเป็นไปได้ยากที่จะต่ำกว่าหน้าเหมือง เพราะเมื่อ 10 กว่าปีก่อนราคาทองคำหลุดต่ำลงไปอยู่ที่ 257 ดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าราคาหน้าเหมืองเพียง 300 ดอลลาร์ ทำให้เหมืองทองเริ่มขาดทุน ซึ่งเป็นผลให้ราคาทองคำขยับเพิ่มขึ้นได้

 

ดังนั้น ในกรณีปัจจุบันนี้จึงคาดว่าราคาทองคำคงไม่ต่ำกว่าราคาหน้าเหมือง และความต้องการยังคงมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่วนประเด็นข่าวที่กองทุนหลายแห่งขายทองคำออกมา มองว่าเป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ต้นทุนการผลิตทองคำ...บล.โกลเบล็ก blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 กรกฎาคม 2556 15:30 น.

 

 

blank.gif blank.gif

blank.gif

หลังจากเหล่าสถาบันการเงินต่างๆปรับมุมมองราคาทองคำโลกลงทั้ง ของปี 2013 และ 2014 เป็นครั้งที่ 3 ตั้งแต่ต้นปี สาเหตุก็อย่างที่ทุกคนทราบคือความกังวลว่าเฟดจะยุติมาตรการ QE และห่วงว่าดอกเบี้ยสหรัฐกำลังจะกลับตัวเป็นขาขึ้นอีกครั้งหลังเศรษฐกิจสหรัฐ เริ่มฟื้นตัว ทำให้เกิดแรงขายทองคำออกมาโดยเฉพาะจากกองทุน SPDR Gold Trust ที่ทยอยขายออกมาต่อเนื่อง ทำเอาตลาดเริ่มวิตกว่าทองคำกำลังจะเข้าสู่ช่วงพักฐานนานเป็นสิบปีกว่าจะมี การปรับขึ้นมาใหม่อีกรอบเหมือนในช่วงหลัง ค.ศ.1980 หรือไม่

 

ประเด็นที่นักลงทุนเป็นห่วงกันมากที่สุดคือ ราคาทองคำจะลงไปต่ำสุดที่เท่าไหร่

 

ก่อนหน้านี้เคยเกริ่นไว้บางส่วนแล้วว่าต้นทุนหน้าเหมืองของแต่ละบริษัทใน แต่ละประเทศอาจจะไม่เท่ากัน แต่จะอยู่ราวๆ $900-1,290 เหรียญต่อออนซ์ แต่ตรงแถว $1,200-,1290 เหรียญต่อออนซ์นี่เป็นต้นทุนของพวกเหมืองที่ประสบปัญหาค่าแรงสูงเพราะมีการ ประท้วงกัน แต่หากไปดูเหมืองใหญ่ๆจริงๆแล้ว ราคาต้นทุนทองคำจะอยู่ราวๆ $900-1,150 เหรียญ

 

ยกตัวอย่าง 4 บริษัทเหมืองทองคำที่ใหญ่ๆของโลกเช่น

บริษัท Goldcorp ต้นทุนอยู่ที่ $1,135 เหรียญต่อออนซ์

บริษัท Newmont ต้นทุนอยู่ที่ $1,115 เหรียญต่อออนซ์

บริษัท Kinross ต้นทุนอยู่ที่ $1,038 เหรียญต่อออนซ์

บริษัท Barrick ต้นทุนอยู่ที่ $1,038 เหรียญต่อออนซ์

 

ต้นทุนเหล่านี้นอกจากรวมต้นทุนค่าขุดเจาะเหมืองแล้วก็ยังรวมค่าปฏิบัติงาน อื่นๆด้วย รวมถึงการป้องกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน ฯลฯ ซึ่งใครที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่า มีวิธีการ Hedge หรือป้องกันความเสี่ยงทั้งราคาทองคำและอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีกว่า หรือเรียกว่ามี Efficiency ก็จะมีต้นทุนการผลิตทองคำที่ต่ำกว่าคู่แข่ง

 

เนื่องจากต้นทุนเหมืองอยู่ระดับที่โชว์ข้างต้น ทำให้โอกาสที่ราคาทองคำโลกจะลงต่ำกว่าก็คงยากพอสมควร เพราะถ้าลงมาต่ำกว่าต้นทุนเหมือง การลดกำลังการผลิตทองคำเพื่อพะยุงราคาทองคำไม่ให้ตกลงเหมือนเวลากลุ่มโอเปก ทำกับราคาน้ำมันก็คงเกิดขึ้นบ้าง แต่ควรระมัดระวังเหมือนกันเพราะในอดีต ราคาทองคำตลาดโลกเคยต่ำกว่าต้นทุนหน้าเหมืองก็เคยมีในช่วงภาวะตลาดทองคำ เงียบเหงามากๆ

 

"ราคาต้นทุนทองคำหน้าเหมือง เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยหนุนราคาทองคำไม่ให้ตกต่ำไปมากกว่านี้เท่าไหร่ แต่ถ้าคุณเป็นนักเก็งกำไรทางเทคนิค ซื้อด้วยกราฟ คุณก็ควรขายด้วยกราฟ ถ้าคุณเป็นนักลงทุนสะสมทองคำในระยะยาว ราคาทุนหน้าเหมืองจะเป็นตัวช่วยบอกคุณว่า ราคาต่ำกว่า $1,250 ลงไปเป็นจังหวะสะสมทองคำแท่งแล้ว จะเลือกลงทุนด้วยเหตุผลอะไร เลือกให้เหมาะสมกับนิสัยตัวเองก่อน แล้วอย่าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไม่งั้นก็คงไม่ต่างกับแมงเม่าทั่วๆไปในตลาดเก็งกำไรทั่วๆไปในตลาดเก็งกำไร"

 

สัญญา หาญพัฒนกิจพาณิช

ผู้อำนวยการทีมพัฒนาธุรกิจตลาดอนุพันธ์ บล.โกลเบล็ก

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สมาคมค้าทองฯ มั่นใจราคาทองคำโลกไม่หลุด 1,100 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับราคาต้นทุน ลุ้นครึ่งปีหลังรีบาวนด์ทดสอบ 1,500-1,600 ดอลลาร์/ออนซ์ เชื่อความต้องการยังสูง และราคาจะไม่ต่ำกว่าหน้าเหมือง ส่วนประเด็นข่าวที่กองทุนหลายแห่งขายทองคำออกมา มองว่าเป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

......

สังเกตจากค่าพรีเมียมสำหรับคำสั่งซื้อหากใครต้องการสินค้าเร็วขึ้นจะต้อง เสียค่าพรีเมียมเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 1.00-1.50 ดอลลาร์ต่อตัน เป็น 6-8 ดอลลาร์ต่อตัน

 

  1. จ๊ากกก ....ท่านนายกบอกไม่หลุด ๑๑๐๐ เหรียญลุงแซม ... เดี๋ยวคืนนี้ไปขุดทองมาเทขายรอ ๘๐๐ ก่อนนะครับ
    :_cd :065 :065 :065 :065
  2. ๑ เมตริกตัน = ๓๒,๑๕๑ ทรอย ออนซ์, พรีเมี่ยม ๘ เหรียญ
    หรือ ๐.๐๐๐๒๕ เหรียญ / ๐.๐๐๗๕ บาท ต่อ ๑ ทรอย ออนซ์ ฟังดูแล้วมันน้อยมาก
    เดาว่าท่านนายก หรือไม่ก็นักข่าว คงเขียนผิด

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
  1. ๑ เมตริกตัน = ๓๒,๑๕๑ ทรอย ออนซ์, พรีเมี่ยม ๘ เหรียญ
    หรือ ๐.๐๐๐๒๕ เหรียญ / ๐.๐๐๗๕ บาท ต่อ ๑ ทรอย ออนซ์ ฟังดูแล้วมันน้อยมาก
    เดาว่าท่านนายก หรือไม่ก็นักข่าว คงเขียนผิด

เพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 1.00-1.50 ดอลลาร์ต่อตัน เป็น 6-8 ดอลลาร์ต่อตัน

 

 

ส่วนตัวแปลว่า จากราคาที่ซื้อตามปกติซึ่งเป็นราคาSPOT +ผลต่างซึ่งน่าจะค่อนข้างคงที่ =ราคาที่เคาะขาย แต่ถ้าต้องการของทันทีเมื่อก่อนต้องบวก1.00-1.50 ดอลลาร์ต่อตันจากราคาที่เคาะ(ถ้าไม่อยากเสียส่วนนี้ก็รอตามคิว หรือต้องรอไปเรื่อยๆเพราะเขาบอกว่าของยังไม่พอแบ่ง) แต่ตอนนี้ถ้าต้องการของทันทีต้องบวกเพิ่ม6-8 ดอลลาร์ต่อตันจากราคาที่เคาะ

 

เพื่อนๆท่านใดอยู่ในวงการนี้และมีข้อมูล ช่วยอธิบายด้วยครับ เรื่องผลต่างระหว่างราคาของจริงในตลาดโลกกับราคาทองคำกระดาษ เป็นอะไรที่น่าสนใจมากครับ

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Thanong Fanclub

 

2 ชั่วโมงที่แล้ว

แล้วไทยแลนด์ที่รักของเรามีทองแค่ใหน

 

ธนาคารแห่งประเทศไทยมีทองอยู่ประมาณ 250ตัน และได้เก็บ150ตันเอาไว้ที่ลอนดอนเพื่อช่วยในการบริหารสภาพคล่องเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ

 

มีบัญชีหลวงตามหาบัวฝากที่ นิวยอร์ค

 

คงยังสายไปเสียแล้วสำหรับธนาคารแห่งประเทศไทยที่จะต้องเริ่มตุนทองเพื่อใช้หนุนธนบัตรเงินบาทเพื่อความเชื่อมั่นในอนาคต

 

ตอนนี้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ$172,000ล้านที่ธนาคารแห่งประเทศไทยบริหารพอจะจำแนกได้ดังนี้

1. ในรูปดอลล่าร์ พันธบัตรและทรัพย์สินอื่นๆ ต่ำกว่า50%

2. ในรูปยูโรบอนด์หนุนโดยสวิส เยอรมัน 20%

3. ในรูปเยน ต่ำกว่า10%

4. ในรูปสกุลเงินอาเซี่ยน 20%

5. ทอง 3%

 

นี่คือportfolioของธนาคารแห่งประเทศไทย ตัวเลขไม่เป๊ะนะครับ ประมาณเอาจากเท่าที่เคยคุยมากับท่านผู้ว่าฯเมื่อหลายเดือนมาแล้ว ตอนนี้คงอาจจะเปลี่ยนไปบ้าง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
  1. จ๊ากกก ....ท่านนายกบอกไม่หลุด ๑๑๐๐ เหรียญลุงแซม ... เดี๋ยวคืนนี้ไปขุดทองมาเทขายรอ ๘๐๐ ก่อนนะครับ
    :_cd :065 :065 :065 :065

ราคาทองคำกำลังเลือกทาง เจอข่าวนี้เข้าไป ลงเหวเลย

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Thanong Fanclub

 

ประมาณ 1 ชั่วโมงที่แล้ว

แก๊งพิมพ์เงิน

 

แก๊งพิมพ์เงินมีสมาชิกตือUS Federal Reserve, Bank of England, European Central Bank, Bank of Japan.

 

พวกนี้ทำให้เกิดฟองสบู่ในระบบการเงินโลกและเงินเฟ้อ

 

ระหว่างปี2001เป็นต้นมา แก๊งพิมพ์เงิน พิมพ์กันแล้วรวมประมาณ$9ล้านล้าน

 

ระยะเวลาเดียวกัน ราคาทองก็พุ่งทะยานตามปริมาณเงินที่เพิ่มจากแก๊งพิมพ์เงิน

 

ดูชาร์ตที่สอง จาก$200กว่าเหรียญต่อออนซ์ช่วงต้นของทศวรรษ2000 ราคทองทำสถิติเกือบ$1,900 เดือนกันยายน 2011

 

ตอนนี้ทองโดนทุบเหลือ $1,234

 

แก๊งพิมพ์เงินพิมพ์เงินไม่ลดละ แต่ราคาทองตกกว่า30% จากสถิติสูงสุด

 

แสดงว่ามีการปั่นในตลาดทองนั่นเอง เทขายทองกระดาษให้ราคาทองตก แล้วค่อยๆเก็บทองคำแท่งเข้ากระเป๋า

 

ทองแท่งเป็นของฉัน เศษกระดาษเป็นของเธอ

998160_142280842634965_1784949962_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

85% ของวันศุกร์ ทองถูกทุบ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...