ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

Gold nearly touched $1700 Friday on speculation Ben Bernanke and The Fed will soon publicly announce QE3.

While additional QE impacts the price of gold from a demand side standpoint with traders and investors acquiring the asset in order to

protect themselves from currency devaluation and debasement, gold’s supply side might have just experienced a black swan event, as 12,000 South African gold miners have followed their platinum miner counter-parts by going on strike from Gold Fields.

Gold Fields is the world’s 4th largest gold mine, and the strike is costing the firm 1,660 ounces of gold a day in lost production according to Gold Fields’ spokesman Sven Lunsche.

http://www.silverdoc...s-go-on-strike/

http://www.zerohedge.com/news/first-platinum-now-gold-south-african-miners-strike-spreads-thousands-ounces-remain-ground

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รบกวนกระจายข่าวนี้ถึงชาวนาไทยด้วยครับ

 

เฉลี่ย พื้นที่นา 1 ไร่ เราผลิตข้าวได้เพียง 461 กก. แต่จีนได้ไร่ 1,054 กก. เวียดนามได้ละ 875 กก. และอินโดนีเซียได้ไร่ละ 774 กก. อันนี้ไม่ร่วมกับสหรัฐอเมริกาที่ปลูกข้าวส่งออกด้วย

 

ปลูกข้าวให้ได้ผลผลิตสูง

 

ปลูกข้าวให้ได้ผลผลิตสูง : คอลัมน์ รู้มาเล่าไป : โดย ... ดลมนัส กาเจ

 

เมื่อ วันพุธที่แล้ว พูดว่าเรากำลังเสียแชมป์การส่งออกข้าวมากที่สุดในโลก และที่ผ่านมา ที่ไทยครองแชมป์ส่งข้าวออกไปยังตลาดโลกมายาวนาน ก็เพราะประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกข้าวมากที่สุดนั่นเอง ไม่ใช่เพราะไทยเรามีศักยภาพในการปลูกข้าวที่ให้ผลผลิตสูง หากแต่ผลผลิตของเราอยู่อันดับท้ายๆ เฉลี่ยพื้นที่นา 1 ไร่ เราผลิตข้าวได้เพียง 461 กก. แต่จีนได้ไร่ 1,054 กก. เวียดนามได้ละ 875 กก. และอินโดนีเซียได้ไร่ละ 774 กก. อันนี้ไม่ร่วมกับสหรัฐอเมริกาที่ปลูกข้าวส่งออกด้วย

แม้ ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ จะยืนยันและมั่นใจว่า ไทยยังเป็นแชมป์ส่งออกไปตลาดโลก เพราะครึ่งปีหลังจะส่งออกถึง 5 ล้านตัน เฉลี่ยทั้งปีจะไม่ต่ำกว่า 8 ล้านตัน จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจะส่งออกได้ถึง 9.5 ล้านตัน ก็ตาม แต่นั่นเป็นเพียงคาดการณ์ แต่ที่ฝ่ายยืนยัน ณ วินาทีนี้ไทยส่งออกข้าวน่าจะตกอยู่อันดับ 3 รองจากเวียดนาม และอินเดีย เพราะภาคการผลิตของเราต่ำนั่นเอง

เห็น แล้วน่าห่วงครับ ! ทั้งที่ความจริงบ้านเรานั้นอุดมสมบูรณ์ทั้งคุณภาพของดินและน้ำ ซึ่งในโอกาสนี้ผมมีข้อมูลที่ได้มากสำนักงานเกษตรจังหวัดหนองบัวลำภู แนะวิธีในการปลูกข้าว หรือทำนาให้มีผลผลิตสูงครับ เพียงของให้ชาวนาปฏิบัติคือ

1. การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ดี ที่มาหรือแหล่งเมล็ดพันธุ์ที่รับมานั้นต้องเชื่อถือได้ และได้รับการรับรองจากกรมวิชาการเกษตร มี การใช้เมล็ดพันธุ์ในอัตราที่เหมาะสม คือประมาณ 20-25 กก./ไร่ เพื่อต้นข้าวเจริญเติบโตได้ในระยะที่เหมาะสมและไม่แน่นจนเกินไป อันเป็นสาเหตุให้เป็นที่อยู่อาศัยของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ถือว่าศัตรูของต้นข้าวตัวร้ายทีเดียวครับ

2. ต้องปรับปรุงหรือบำรุงดิน ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า พื้นที่นานั้นเกิดปัญหาดินเสื่อมโทรมที่มาจากการเผาตอซังและฟางข้าวหลังการ เก็บเกี่ยว ฉะนั้นควรหันมาไถกลบหรือหมักฟางในนา ด้วยการเร่งการย่อยสลายด้วยปุ๋ยอินทรีย์หรือน้ำหมักชีวภาพ ซึ่งจะช่วยลดการใช้ปุ๋ยเคมีได้มาก ทั้งยังช่วยลดการระบาดของหนอนกอ การบำรุงดินด้วยปุ๋ยพืชสด อาทิ ปอเทือง พืชตระกูลถั่ว เป็นต้น

3. การใช้ปุ๋ยเคมีให้เหมาะสม หรือที่เรียกว่า การใช้ "ปุ๋ยสั่งตัด" นั่นเอง ใส่ปุ๋ยตามที่ดินต้องการ เพราะที่ผ่านมาปัญหาหนึ่งของเกษตรกรคือใช้ปุ๋ยเคมีผิดสูตร ในแต่ละปีเกษตรกรใช้ไนโตรเจนเกินจำเป็น มีมูลค่ากว่า 1.5 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ยังใช้ปุ๋ยผิดเวลาและผิดอัตรา ฉะนั้นต้องตรวจดูก่อนว่าดินเราขาดอะไร ก็ใส่ปุ๋ยตัวนั้น

4. การใช้สารเคมีฆ่าแมลงให้เหมาะสม เพราะการใช้สารฆ่าแมลงตามเหมาะสม ต้องไม่เกินความจำเป็น ก่อนใช้ควรสำรวจแมลงศัตรูข้าวก่อนฉีดพ่นสารฆ่าแมลงทุกครั้ง และต้องรักษาแมลงศัตรูธรรมชาติ เช่น แมลงปอ มวนจิงโจ้น้ำ แมงมุม ด้วย เพราะแมลงเหล่านี้จะช่วยกำจัดแมลงศัตรูพืช อาทิ จำพวกเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เป็นต้น

ถ้าเกษตรกร ปฏิบัติได้ นอกจากจะให้ข้าวเพิ่มผลผลิตแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนการผลิตอีกด้วย ทั้งเรื่องค่าปุ๋ยและยาฆ่าแมลง แต่ที่สำคัญอย่างหนึ่งเกษตรกรจะต้องเป็นคนทำนาเองด้วย

 

จำง่ายๆ ครับ การทำนา ถ้าเมล็ดพันธุ์ดี ดินดี ดูแลดี แค่นี้ก็มีชัยเกินครึ่งแล้วครับ

 

 

--------------------

(ปลูกข้าวให้ได้ผลผลิตสูง : คอลัมน์ รู้มาเล่าไป : โดย ... ดลมนัส กาเจ)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

จำง่ายๆ ครับ การทำนา ถ้าเมล็ดพันธุ์ดี ดินดี ดูแลดี แค่นี้ก็มีชัยเกินครึ่งแล้วครับ

 

นึกถึงหนังสือ "ฟูกูโอกะคิด แต่ลุงแหวงลูกชาวนาทำสำเร็จในเมืองไทย" เลยครับ

ลุงแกเก่งมาก ทำนาโดยไม่ใช้ปุ๋ย และแทบจะไม่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเลย

ซึ่งแม้กระทั่งทำแบบนั้น ผลผลิตต่อไร่ของแก ก็สูงกว่าค่าเฉลี่ยของเมืองไทย

แถมไม่ต้องพึ่งพลังงานจากฟอสซิล, ปิโตรเคมีอีกด้วย แนวคิดแกน่าเอามาเผยแพร่มาก

แต่ถ้าทำจริงๆ บริษัทปิโตรเคมี, ปุ๋ย, และเมล็ดพันธ์คงไม่ยอมให้แนวคิดที่ผมมองว่า

เป็นเศรษฐกิจพอเพียงของจริง แบบนี้เป็นที่แพร่หลายได้ง่ายๆ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

จำง่ายๆ ครับ การทำนา ถ้าเมล็ดพันธุ์ดี ดินดี ดูแลดี แค่นี้ก็มีชัยเกินครึ่งแล้วครับ

 

นาดีๆต้องใช้ข้าวปลูกพันธุ์ดี

ข้าวปลูกไม่ดีก็ทำให้เสียที่นา

เก็บเกี่ยวไปขายไม่ได้ราคา

เสียเวล่ำเวลา เสียที่นาฟรีๆ

 

http://youtu.be/-tfzeKuznz4

ถูกแก้ไข โดย MOR LEK

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เหตุเพราะ บ้านเราเน้น....ราคาเป็นหลัก...เรื่องจำนวนข้าวต่อไร่...ก็ถูกสอนให้ใช้ปุ๋ยเคมีมากๆ....เพื่อเพิ่มปริมาณต่อไร่..คูณราคาต่อน้ำหนักเป็นตัวเงิน...ไม่เน้นคุณภาพ...เพราะชาวนา (แถบภาคกลาง) ขายข้าวเปลือกหมด...แล้วไปซื้อข้าวสารกิน...(แปลกไหม)ไม่เหมือนแถวอีสาน...

และเฉลี่ยต่อไร่...ก็ไม่ถูกต้อง...เพราะแถบภาคกลางมีชลประทาน...ได้ข้าวเฉลี่ยต่อไร่ 800-1200 /ไร่ ต่อการทำนาปีละ 2-3ครั้ง ได้มากน้อยต่างกัน..

วิธีแก้..ต้องแยกวิธีแก้ไข..ไม่ใช่เหมารวมแบบปัจจุบัน...( แบบส่วนกลางคิด...แต่ไม่ได้ทำนา ไม่มีการได้-เสีย..ก็ไม่ติดตามผลงาน...ตามไปแก้ไข)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

June Foodstamp Recipients Hit All Time High As Three Times As Many Americans Enter Poverty As Find Jobs

 

picture-5.jpg

 

 

Submitted by Tyler Durden on 09/04/2012 09:31 -0400

 

 

Following a brief period in which it seemed that US foodstamp recipients may have peaked, with those living in poverty maxing out at 46.514 million in December 2011, and then declining modestly for the next few months, June saw a new surge in those Americans living in poverty and thus eligible for foodstamps, with 173,600 new entrants into the system, bringing the total to a new all time high of 46.670 million and once again rising fast. Furthermore, with subsequent emergency events affecting the heartland due to the drought, the administration has made sure even more Americans will be eligible going forward. As a result expect the July and August numbers to promptly surpass 47 million on their way to the psychological resistance level of 50 million. Indicatively, the 173,600 increase in Foodstamps recipients in June was three times greater than Americans finding jobs (64,000, most of which part-time) according to the BLS. Finally, a new record was also breached for American households on foodstamps, which now hit 22.4 million, an increase of 106,298 households. The average benefit per household decline once more, this time to $276.5. Not an all time low, but just above it.

Persons on Foodstamps

Foodstamps%20June_0.jpg

Households on foodstamps

Foodstamp%20households_0.jpg

Source: SNAP

 

Average:

 

4.6

 

 

 

 

 

Your rating: None Average: 4.6 (10 votes)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

งานนี้ถ้าไม่โม้ ก็เจ๋งจริง

 

มาร์ติน อาร์มสตรองล่าสุดออกมาบอกว่า โปรแกรมคอมพิวเตอร์ของเขา ทำนายราคาที่ขึ้นที่ผ่านมา ตั้งหลายปีก่อนแล้ว

(มาร์ติน หากินด้วยการจัดสัมนา, ขายจดหมายเวียนเกี่ยวกับการลงทุน, และเป็นที่ปรึกษา ถ้ามองโลกในแง่ดี คือแกเก็บเนื้อๆไว้ให้คนที่เสียเงิน ถ้ามองโลกในแง่ร้าย ก็คือแกมั่วนิ่ม ตามกระแส)

 

เขายังบอกต่อด้วยว่า

  • ในปีที่แล้ว ที่ธนาคารกลางลุงแซมจะซื้อหนี้ที่สร้างขึ้นใหม่ถึงร้อยละ ๖๑ ถึงแม้ว่าทุกคนจะเห็นว่ามันจะทำให้เงินเฟ้อ แต่เงินทุนในตลาดก็ค่อยๆหายไปด้วย เพราะรัฐบาลแต่ละประเทศกำลังพยายามรีดเงินจากสาธารณะให้มากที่สุด และสินทรัพย์ของธนาคารที่มีมูลค่าลดลง แม้กระทั่งตอนนี้ ธนาคารก็ได้เริ่มย้ายระบบหลังบ้านไปที่โปแลนด์ และอินเดียแล้ว (รวมถึงธนาคารในสิงคโปร์ด้วย)
  • เมื่อเงินทุนรู้สึกตัวว่าโดนบีบให้ลงทุน ก็จะเห็นมูลค่าสินทรัพย์ที่สูงขึ้น, หนี้จะลดลงเพราะอัตราดอกเบี้ยต่ำมาก (ข้อนี้แปลเอง ก็งงเอง)
  • หลานๆของลุงแซมก็กำลังถูกไล่ออกจากธนาคารต่างๆทั่วโลก ด้วยความหวังของลุงแซมที่ว่าหลานๆจะเอาเงินกลับเข้าประเทศมาให้ลุงถลุง -- แต่เสียใจด้วย ทางออกของหลานๆพวกนั้นก็คือการซื้อสินทรัพย์นอกระบบธนาคาร เช่น ที่ดิน หุ้น และทองคำ (อย่าซื้อในฝรั่งเศส)
  • และเมื่อไหร่เงินทุนไหลออกจากธนาคาร และสินทรัพย์สาธารณะ มาสู่สินทรัพย์ส่วนบุคคล เมื่อนั้นเราก็จะเห็นเงินเฟ้อมาเคาะประตูที่หน้าบ้าน
  • เหตุการนี้น่าจะเกิดขึ้นในปี ๒๐๑๔ และเราจะเห็นราคาสินทรัพย์ขึ้นเป็นจรวดหลังจากนั้น เพราะฉะนั้น คิวอี ๓ เป็นเพียงแค่เครื่องยืนยันว่าแนวโน้มในตอนนี้กำลังหดตัว มันจะไม่ทำให้เงินเฟ้อไปมากกว่าคิวอี ๑ หรือ คิวอี ๒
  • สิ่งที่ไอ้งั่งพวกนี้ทำให้มันอันตรายก็คือ การที่พวกเขาบีบให้ดอกเบี้ยต่ำ พวกเขาจะไม่สามารถหาคนมาซื้อพันธบัตรเมื่อพวกเขาต้องการเงินได้ หลังจากนั้นก็ปูเสื่อรอดูได้เลย ไอ้งั่งพวกนั้นจะทำให้เกิดเงินเฟ้ออย่างรุ่นแรง ที่จะเกิดขึ้นเมื่อทุนเปลี่ยนจากสินทรัพย์สาธารณะ ไปสู่สินทรัพย์ส่วนตัว

สำหรับระยะสั้นๆในตอนนี้

  • ทองคำน่าจะทำราคาสูงสุดภายในวันที่ ๗
  • สัปดาห์ที่สำคัญคือ ๑๗ ก.ย. และ ๑ ต.ค.
  • ความผันผวนจะเพิ่มขึ้นในเดือน ต.ค.
  • ยุโรปก็ยังไม่สามารถทำอะไรให้ดีขึ้นได้
  • นักการเมืองก็ยังไม่รู้เรื่อง และคิดว่าจะรีดเงินจากภาคเอกชน มาให้ตัวเองใช้จ่ายได้
  • แนวตานหลักของทองคำอยู่ที่ ๑๘๐๐-๑๘๑๐ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นแค่เรื่องทางเทคนิคเท่านั้
  • ถ้าต้นปีหน้าราคาลง ก็แสดงว่าการปรับฐานได้สิ้นสุดลงแล้ว

และ แน่นอน มาร์ตินยังไม่ลืมที่จะขายยา และบอกว่า ส่วนรายละเอียด และเป้าหมายราคาทั้งหมด เขาจะเล่าให้ฟังในงานสัมนาที่แซนดิเอโกในเดือน ก.ย. นี้

 

ที่มา : http://armstrongeconomics.com/armstrong_economics_blog/

post-2564-0-80416900-1346841105.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

โดย Johnny Pereira

 

เรามาช่วยกันหาแนวทางรับมือวิกฤตเศรษฐกิจ ครั้งที่เชื่อว่าจะเลวร้ายที่สุดในชั่วชีวิตของพวกเรากัน

ก่อนอื่น อย่าเพิ่งเชื่อใครที่ บอกคุณแบบนี้ครับ หาข้อมูลมากๆ อ่านบทวิเคราะห์เยอะๆ มีข้อสังเกตว่าอย่าพึ่งแต่ Mainstream Media (สือกระแสหลัก) เพราะเราจะไม่ได้ข้อเท็จจริงทั้งหมด อย่าเชื่อข้อมูลจากหน่วยงานของรัฐ เพราะจะเจอความจริงครึ่งเดียว และ โกหกสีขาว อยู่เต็มไปหมด ลองนึกถึงวิกฤตเศรษฐกิจครั้งที่ผ่านๆ มาในชีวิตเราที่เคยเจอมา สมัยเปรม วิกฤตต้มยำกุ้งวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ตอนเกิดวิกฤตพวกนี้ เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืนสำหรับคนไม่ติดตามปัญหา แทบไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว วันก่อนเป็นเศรษฐี แค่ชั่วข้ามคืนกลายเป็นยาจก

ปัญหาของการไม่อยู่ในกระแสหลัก ก็คือ มันมีกระแสย่อย ให้เลือกเยอะเลย แล้วอะไรหละ จะเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง ทีนี้ก็อยู่ที่การเลือกของแต่ละคนหละ ว่าอะไรถูกจริต อะไรที่ทำแล้วไม่ขัดขืนกับความเชื่อ background ของตัวเอง และ ทำบุญทำกรรมไว้แค่ไหน (หมายความตามตัวอักษรจริงๆ ไม่ได้พูดเอาขำ)

จากสื่อนอกกระแส (ที่เราสนใจอ่าน) ทุกสื่อฟันธงเหมือนกันคือ เศรษฐกิจโลกกำลังร่อแร่ และ ไม่น่ารอด การล่มสลายเกิดจาก Sovereign Debt (หนี้ภาครัฐ) ระดับมหาศาลของนานาประเทศ และ การล้มของธนาคารขนาดใหญ่หลายแห่งที่กำลังจะเกิดขึ้น รากเหง้าของปัญหา คือ นักการเมืองฉ้อฉล และ นักการเงินการธนาคาร ขี้โกง คนกลุ่มนี้คือคนที่เห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ สนใจแต่ความมั่งคั่งของตน และพร้อมฉกฉวยโอกาสในทุกวิกฤต และพร้อมเอาตัวรอดทุกเมื่อ เมื่อเหตุการณ์จวนตัว พูดมาตั้งนาน ยังไม่ได้บอกตรงๆ เลย ว่าทำอย่างไร

แนวทางต่อไปนี้ จะถูกต้องหรือเปล่า ไม่รู้ และหากเกิดวิกฤตแล้วจะช่วยให้รอดหรือไม่ ก็ไม่รู้ เอาเป็นว่าการเตรียมการพวกนี้ จะทำให้มีโอกาสรอดมากกว่าคนไม่เตรียมตัวก็แล้วกัน

1. เตรียมอุปกรณ์ยังชีพ ข้าวปลา อาหารแห้ง น้ำดื่ม ยารักษาโรค พลังงาน ให้พร้อมสำหรับการอยู่ได้ไม่ต่ำกว่า 1 เดือน หลายคนอาจแปลกใจว่าภัยเศรษฐกิจ ทำไมต้องเตรียมอย่างกับจะมีภัยธรรมชาติ น้ำท่วมแผ่นดินไหว ก็อยากจะบอกว่า ก็เตรียมเผื่อรับมือภัยธรรมชาติไปด้วยไงหละ อิ อิ ภัยเศรษฐกิจระรอกนี้ (หากเกิดขึ้นจริง) จะเป็นภัยเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดของคน generation เราเลยทีเดียว และใครจะรู้ว่าภัยเศรษฐกิจขนาดใหญ่แบบนี้จะนำไปสู่อะไร อย่างต่ำที่สุด ก็ การจลาจลการปล้นจี้ และ สงครามครามก็มีโอกาสประทุขึ้น เพราะความอดอยากหิวโหยนี่แหละ นี่ยังไม่รวมถึงการล่มสลายของสกุลเงินบางสกุล ซึ่งจะทำให้กลไกแลกเปลี่ยนชะงักงัน ซื้อขายกันไม่ได้ เพราะไม่รู้จะอ้างอิงราคากันอย่างไร เพราะไม่มีเงินสกุลกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าโดยเฉพาะน้ำมัน เกิด Bank Holiday (ธนาคารปิดทำการ) เพราะประชาชนจะแห่ถอนเงินจากตู้เงินสด จากธนาคาร จนธนาคารต้องประกาศปิดตัวชั่วคราว หรืออย่างน้อยสุด ก็อาจกำหนดเพดานถอนเงินสูงสุดไว้ อย่าลืมว่า เงินฝาก 1 บาทที่ธนาคารมี ธนาคารเอาไปปล่อยกู้ได้ประมาณ 7 - 10 กว่าบาท (จำตัวเลขไม่ได้) หมายความว่า ธนาคารไม่มีทางที่จะมีเงินพอที่จะคืนเงินให้กับลูกค้าทุกคนได้ หากลูกค้าไปถอนเงินจากธนาคาร (เพราะธนาคารเอาไปปล่อยกู้ต่อออกไปแล้ว) อีกสาเหตุที่เงินฝากธนาคารเสี่ยง เพราะ เงินจำนวนมากของธนาคาร ถูกบังคับโดยกฏหมาย ให้ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และไอ้พันธบัตรรัฐบาลนี่หละ คือสาเหตุของการเจ๊งของหลายธนาคารในยุโรปที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ ยิ่งประเทศที่มีหนี้มาก ความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาลนั้นๆ ก็ถดถอย แล้วประเทศไทยพัฒนาไปทางไหนหละ หนี้ก็พอกพูนขึ้นสูงเป็นประวัติ การณ์ แถม เศรษฐกิจก็ทำถ่าจะถดถอยลง เจอไปสองแรงบวก อัตราหนี้ต่อ GDP จะยิ่งเลวร้ายลงหนัก ดังนั้น วิกฤตยุโรป อเมริการอบนี้ ประเทศไทย ไม่น่ารอด เพราะประเทศไทยแทบไม่เหลือภูมิคุ้มกันแล้ว

2. เตรียมเงินสดติดบ้านไว้ด้วยให้พอใช้จ่ายได้ไม่ต่ำกว่าครึ่ง เดือน เคยกดเงินจาก ATM ช่วงวันหยุดยาวไหม ไปกี่ตู้ กี่ตู้ เงินก็หมดตู้ ธนาคารก็ปิด สาขาย่อยคิวยาวเหยียด วิกฤตรอบนี้คาดการณ์ว่าจะเกิด Bank Holiday (ในสหรัฐและยุโรป และแน่นอน กระทบถึงไทยแน่) ไม่ต่ำกว่า 1 สัปดาห์ ตลาดหุ้นปิด ธนาคารปิด สถาบันการเงินทั้งหลายปิดกิจการ (บางแห่งอาจปิดชั่วคราว บางแห่งอาจถึงขั้นปิดถาวร) ปิดเพื่อประเมินผลกระทบของตลาด และรอจนกว่าระบบเข้าสู่สมดุล และนิ่งพอที่จะควบคุมความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ (คนแห่ถอนเงิน ขายหุ้น)

3. อย่าสร้างหนี้ และ ลดหนี้สินให้มากที่สุด(โดยเฉพาะหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัว) เมื่อคนถอนเงินออกจากธนาคาร ความสามารถในการปล่อยกู้ต่อของธนาคารก็จะลดลง ธนาคารจะต้องขึ้นดอกเบี้ย ทางหนึ่งเพื่อดึงดูดให้คนฝากเงินกับธนาคารมากขึ้น อีกทางหนึ่งก็เพื่อเร่งให้คนชำระคืนหนี้ หลายคนอาจยังจำได้ ช่วงต้มยำกุ้ง ดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารสูงถึงระดับเกือบๆ 20% ต่อปี

4. ลดการถือเงินสด เงินฝาก ประกันชีวิต หุ้นกู้ พันธบัตร นักเศรษฐศาสตร์(นอกกระแส) มองวิกฤต รอบนี้ออกเป็น 2 ค่าย

1. Hyperinflation (เงินเฟ้อในอัตราสูงมากๆ ข้าวของแพงขึ้น 50% หรือหลายร้อย% ใน 1 ปี) นักเศรษฐศาสตร์สายนี้ เชื่อว่าจะมีความจำเป็นต้องมีการอัดฉีดเงินจำนวนมหาศาล (infinity) จากธนาคารกลางหลายๆ แห่งทั่วโลก เข้าไปเพิ่มสภาพคล่องในตลาด ทำให้สภาพคล่องล้นตลาด ส่งผลให้ราคาน้ำมัน และ สินค้าโภคภัณฑ์มีราคาสูงขึ้นจากราคาระดับนี้หลายเท่าตัว (น้ำมันอาจถึง 180-250 เหรียญต่อบาร์เรล ทองคำอาจถึง 3500-5000 เหรียญต่ออนซ์ โลหะเงินน่าจะถึง 100 เหรียญต่อออนซ์) และเพราะการเพิ่มสูงขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์นี่เอง จะผลักดันราคาสินค้า อาหาร ฯลฯ ขึ้นทั้งกระดาน หลายสิบ หลายร้อยเปอร์เซนต์ในแต่ละปี

2. Stagflation (เงินฝืด) (ส่วนตัวผมเชื่อแบบนี้) Martin Armstrong ฟันธงว่า จะไม่เกิด Hyperinflation เพราะปริมาณเงินที่อัดฉีดเข้าไปโดยรัฐบาลกลาง จะไม่มีทางทัดเทียมได้กับ กำลังซื้อ และ มูลค่า ที่เสียหายไปจากวิกฤตเศรษฐกิจที่ จะเกิดขึ้น อย่าเพิ่งดีใจไป Stagflation หมายความว่าเราจะเจอทั้ง ภาวะถดถอย และ สินค้าแพง พร้อมๆ กัน น้ำมัน และ commodity ก็จะแพงขึ้น (เพราะการอัดฉีดของธนาคารกลาง quick/cheap money ก็จะไปเก็งกำไรในตลาดที่สร้างกำไร) ในขณะเดียวกัน ภาคเศรษฐกิจบางภาคก็จะยังถดถอยต่อไป เพราะความด้อยประสิทธิภาพ การแก้ไม่ตรงจุดของการอัดฉีดของรัฐนั่นเอง (แบบเดียวกับวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ที่เป็นไป)

จะเห็นว่า ไม่ว่าทางไหน มูลค่าของเงิน (currency) ก็จะถดถอยลง เทียบกับราคาสินค้าในตลาด ดอกเบี้ยที่น้อยนิด ที่ได้รับ ไม่มีทางไล่ทันกับอัตราเงินเฟ้อมหาศาลที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ เรากำลังจะถูกรัฐ (ของยุโรป สหรัฐ และ หลายๆ ประเทศ) ปล้น (เก็บภาษี) โดยไม่รู้ตัว ผ่านนโยบายอัดฉีดสภาพคล่องขนาดมหาศาลเข้าตลาด ทำให้คนทั้งโลกต้องจ่ายค่าสินค้าในราคาสูงขึ้น และนี่คือเหตุผล ที่นานาประเทศต่อต้านมาตรการ QE2 ของสหรัฐ และ QE3 to infinity ถูกชะลอมาเรื่อย (จนกว่าจะมีความชอบธรรมอีกครั้ง ซึ่งใกล้เข้ามามากแล้ว)

5. เปลี่ยนเงินสดเป็น hard asset เช่น น้ำมัน ที่ดิน สินค้าโภคภัณฑ์ และ โลหะมีค่า ทองคำ น่าจะเป็น Hard Asset ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะใช้พื้นที่ในการจัดเก็บน้อย ที่สุด แลกเปลี่ยนได้ง่ายที่สุด ในสภาวะที่เงินเฟ้อสูง มูลค่าของ Hard Asset ก็จะลอยสูงขึ้นไปด้วย บางตัวมาก บางตัวน้อย และ เพราะความนิยมของทองคำ ทองคำน่าจะเป็นตัวที่มีอัตราการเพิ่มมูลค่าสูงเป็นอันดับต้นๆ ของ hard asset

‎6. เศรษฐกิจพอเพียง พึ่งตัวเอง มีทองคำ แต่ไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำ ก็ไม่อาจรอดได้ เรียนรู้แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง เรียนรู้การใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ลดการพึ่งพาผู้อื่น เศรษฐกิจทรุดตัว ธุรกิจปิดตัว บางคนอาจตกงานไม่รู้ตัว หางานใหม่ก็แสนยากเย็น เตรียมพร้อมเสียแต่เนิ่นๆ

7. ปืน อาจฟังดูสุดโต่ง (ผมเองก็ยังไม่มี ได้แต่มองๆ หาอยู่) แต่ในภาวะที่เลวร้าย จลาจล ข้าวยากหมากแพง คุณอาจเตรรียมตัวมาดี มีอาหารกิน มีน้ำดื่ม แต่เพื่อนข้างบ้านคุณไม่มี คุณอาจพร้อมจะให้ได้บางมื้อ แต่ไม่ใช่ทุกมื้อแน่ ถึงตอนนั้นเพื่อน อาจกลายเป็นศัตรู ที่พร้อมจะช่วงชิงทรัพย์สิน อาหาร ที่คุณอุตสาห์ลงแรงตระเตรียมไว้ หามาตรการป้องกันทรัพย์สิน อาหาร และ น้ำดื่มของคุณไว้เสียแต่เนินๆ ดีกว่าเสียใจภายหลัง

หวังว่าข้อเขียนนี้จะเป็นประโยชน์ ขาดตกบกพร่อง ผิดพลาดประการใดขออภัยล่วงหน้าครับ

 

 

------------------Johnny Pereira เดี่ยวเข้าใจผิด เอกสารนี้เขียนขึ้นเองจากความเข้าใจของตัวเอง ไม่ได้แปลมานะครับ ส่วนบทความของ Martin Armstrong นั้นใช้อ้างอิงสาเหตุ และ วันเวลา ที่คาดการณ์ว่าวิกฤตจะปะทุขึ้นเท่านั้นครับ------

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อย่าว่าแต่วันหยุดยาวเลยครับ ช่วงน้ำท่วมที่ผ่านมา บางพื้นที่ ตู้เอทีเอ็มทั้งเงินหมด ทั้งใช้การไม่ได้

 

เสริมนิดนึง ตุนน้ำมันเก็บไว้นี่ต้องเอาของเก่ามาเปลี่ยนใช้เรื่อยๆนะครับ

ที่เคยอ่านมา น้ำมันมีอายุประมาณ ๓-๔ เดือน และยิ่งถ้าเป็นแกสโซฮอล อายุจะยิ่งสั้นลงไปอีก

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

JIM WILLIE: 60,000 METRIC TONS OF ALLOCATED GOLD LIKELY USED BY CARTEL TO SETTLE ASIAN MARGIN CALLS

 

 

http://www.silverdoctors.com/jim-willie-60000-metric-tons-of-allocated-gold-likely-used-by-cartel-to-settle-asian-margin-calls/#more-13036

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอโทษนะครับ พอดีผมมีข้อสงสัยครับ .......จากที่ได้ฟังนักวิเคาระห์หลายท่านมองสามารถแยกได้เป็น 2 กลุ่ม เกี่ยวกับการคาดเดาราคาทอง

1.คือกลุ่มที่เชื่อว่าทางเฟดจะพูดถึงQE3 ในวันที่ 12-13 ก.ย.นี่

2.คือกลุ่มที่เชื่อว่าอาจจะยืดไปหลังเลือตั้ง

ซึ่งหลาคนมองว่าเฟดอาจจะรอดูวันที่ 6/9/55 ว่าทางด้านยุโรปออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่ ถ้ามีทางอเมริกาก็อาจจะเก็บมาตรการคิวอี 3 ไว้ก่อน

รวมทั้งวันที่ 7/9/55 ดูอัตราการจ้างงานนอกภาคการเกษตรว่าเป็นในทิศทางที่ดีขึ้นหรือแย่ลง (เกี่ยวเนื่องจากการกล่าวสุนทรพจน์ในวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมาว่าจะดูอัตราการว่างงานเป็นหลัก)

 

 

ทำให้ผมมีคำถามในใจเกี่ยวการการเหวี่ยงของราคาในช่วงนี้และอนาคตว่า: .

 

1.ถ้าวันที่6/9/55นี้ยุโรปมีมาตรการอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาในระบบ และวันที่7/9/55นี้อัตราการจ้างงานของสหรัฐดีขึ้น จนทำให้วันที่12-13 การออกคิวอี 3 ถูกเลื่อนออกไป หรือมีการออกมาตรการอัดฉีดด้านอื่นแทน ............ มุมมองนี้เป็นไปได้หรือไม่ครับ และราคาทองคำควรจะไปในทิศทางใดครับ?

 

 

2.ถ้าวันที่6/9/55นี้ ยุโรปไม่มีมาตรการใดๆน่าสนใจ และวันที่7/9/55นี้อัตราการจ้างงานของสหรัฐดีขึ้น ......นักลงทุนจะมองไปในด้านใดครับ เพราะหลังๆทองคำมักสัมพันธ์กับเงินยูโร หรือว่านักลงทุนมองข้ามประเด็นนี้เพื่อไปรอวันที่ 12-13 เพื่อรอผลคิวอี 3 เลยครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอโทษนะครับ พอดีผมมีข้อสงสัยครับ .......จากที่ได้ฟังนักวิเคาระห์หลายท่านมองสามารถแยกได้เป็น 2 กลุ่ม เกี่ยวกับการคาดเดาราคาทอง

1.คือกลุ่มที่เชื่อว่าทางเฟดจะพูดถึงQE3 ในวันที่ 12-13 ก.ย.นี่

2.คือกลุ่มที่เชื่อว่าอาจจะยืดไปหลังเลือตั้ง

ซึ่งหลาคนมองว่าเฟดอาจจะรอดูวันที่ 6/9/55 ว่าทางด้านยุโรปออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่ ถ้ามีทางอเมริกาก็อาจจะเก็บมาตรการคิวอี 3 ไว้ก่อน

รวมทั้งวันที่ 7/9/55 ดูอัตราการจ้างงานนอกภาคการเกษตรว่าเป็นในทิศทางที่ดีขึ้นหรือแย่ลง (เกี่ยวเนื่องจากการกล่าวสุนทรพจน์ในวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมาว่าจะดูอัตราการว่างงานเป็นหลัก)

 

 

ทำให้ผมมีคำถามในใจเกี่ยวการการเหวี่ยงของราคาในช่วงนี้และอนาคตว่า: .

 

1.ถ้าวันที่6/9/55นี้ยุโรปมีมาตรการอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาในระบบ และวันที่7/9/55นี้อัตราการจ้างงานของสหรัฐดีขึ้น จนทำให้วันที่12-13 การออกคิวอี 3 ถูกเลื่อนออกไป หรือมีการออกมาตรการอัดฉีดด้านอื่นแทน ............ มุมมองนี้เป็นไปได้หรือไม่ครับ และราคาทองคำควรจะไปในทิศทางใดครับ?

 

 

2.ถ้าวันที่6/9/55นี้ ยุโรปไม่มีมาตรการใดๆน่าสนใจ และวันที่7/9/55นี้อัตราการจ้างงานของสหรัฐดีขึ้น ......นักลงทุนจะมองไปในด้านใดครับ เพราะหลังๆทองคำมักสัมพันธ์กับเงินยูโร หรือว่านักลงทุนมองข้ามประเด็นนี้เพื่อไปรอวันที่ 12-13 เพื่อรอผลคิวอี 3 เลยครับ

 

วิเคราะห์มุมมองระยะสั้นต้องเป็นทางTAครับ พื้นฐานต้องระยะยาวครับ เพราะสุดท้ายทุกสิ่งทุกอย่างจะไปยังจุดที่ควรจะเป็นของสิงนั้น

 

----คำถามคุณทั้งหมดมีคำว่าถ้ากี่คำ มีคำว่าอาจจะ หรือมีการออกมาตรการอัดฉีดด้านอื่นแทน(มาตรด้านอื่นแทนแรงหรือค่อยขนาดไหนแล้วจะวิเคราะห์ได้ไง

 

 

เฉพาะเหตุผลที่คุณมองยังมีคำว่าถ้าต้องเยอะ อาจจะเยอะ แล้วเหตุผลอื่นที่คุณไม่กล่าวมีอีกมั้ย แล้วถ้าเอาเหตุการณ์อื่นมาร่วมด้วยจะมีถ้าและอาจจะอีกแค่ไหน เอาปัจจัยพื้นฐานหลายปัจจัยมาคำนวณระยะสั้นจะไหวหรือครับ

 

 

------ประเด็นหลักคือQE3 ในวันที่ 12-13 ก.ยแค่นี้ก็ยังไม่ชัดเจน ถ้าออกสรุปเลยขึ้น อย่าเอามากมายมาสร้างโจทย์แล้วมีคำว่าถ้าและอาจจะเยอะ สุดท้ายจะสับสนและจะโดนข่าวที่เขาจงใจปล่อยมาปั่นหัว

-----สำคัญของการลงทุนคือจิตวิทยา ซึ่งก็ต้องมีจิตใจหนักแน่นพอ ถ้าตามข่าวเยอะมากมายขนาดนั้น จิตใจจะนิ่งมั้ยครับ ถอยออกมาอีกนิดจากรายละเอียดของข่าว มองเฉพาะประเด็นหลักน้อยที่สุด มองแนวโน้มยาวพอควรสำหรับประเด็นหลัก

 

----อย่าเอาข่าวมาวิเคราะห์ครับ เอาเรื่องจริงที่ต้องเกิดแน่แต่ไม่รู้ว่าเวลาไหนเป็นตัวตั้ง ถ้ามั่นใจว่าเรื่องนี้เกิดแน่ อะไรจะเกิดแน่ แล้วจะต้องเตรียมตัวไง ซึ่งวิธีนี้จะต้องมองระยะยาว แต่เตรียมตัวยาวไปก็อาจจะแย่

 

 

 

-------------------------

ยกตัวอย่างประกอบ

 

----ผมเชื่อว่าถ้าคะแนนสำรวจของโอบามาแพ้คู่แข่งเมื่อไหร่ โอบามาจะทำทุกอย่างที่เขาทำได้เพื่อให้เขาชนะ รวมทั้งสั่งให้เฟดออกคิวอี3ทันทีถ้าเขาชี้นิ้วสั่งเฟดได้ แค่เนื้อหาแค่นี้ก็วิเคราะห์ไม่ง่ายแล้ว

 

1)ถ้าคะแนนสำรวจของโอบามาแพ้คู่แข่งเมื่อไหร่ โอบามาจะทำทุกอย่างที่เขาทำได้เพื่อให้เขาชนะอันนี้ผมเชื่อว่าจริง

2)ถ้าผลสำรวจผลิกอย่างมากตอนเหลือเวลาน้อยมากถึงออกคิวอี3ก็ไม่ส่งผลแล้ว โอบามาจะทำมั้ย

3)โอบามาชี้นิ้วสั่งเฟดได้100%มั้ย เฟดอาจอาจเลือกแนวว่าใครชนะก็อยู่ข้างนั้นก็ได้

4)ถ้าคะแนนผลิกมากจนเฟดคิดว่าออกQEก็ช่วยโอบามาไม่ได้ เฟดจะออกมั้ยหรือวางตัวเป็นพันธมิตรกลับฝ่ายที่มาใหม่ดี

5)ถ้าคะแนนผลิกอย่างมากและเหลือเวลาน้อยมากจนQEไม่น่าจะช่วยการเลือกตั้ง เฟดจะออกหรือ หรือพลิกไปอยู่กับอีกฝ่ายจะดีกว่า

6)ถ้าอีกฝ่ายขึ้นเขาจะปลดประธานเฟดมั้ย

7)มีการติดต่อจากอีกฝ่ายมั้ยว่า คุณพยายามอย่าออกคิวอีนะ ผมขึ้นผมให้คุณอยู่ในตำแหน่งต่อ

8)ผมไม่มีทราบความสำพันธ์ระหว่างประธานเฟดกับทั้ง2พรรค ถ้าเป็นแบบเข้ากันไม่ได้เลยแบบเหลืองกับแดงอันนั้นชัวร์ แต่ถ้าความสัมพันธ์อยู่ระดับ50/50 60/40 40/60ละ

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เอาบทความเก่ามาฝาก

 

วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2555

 

<a name="4501961983337270853">

ปู่แจ๊ค อดีต CEO บลจ. Vanguard ผู้รังเกียจนักพนันใน Wall Street

 

 

คุณวรวรรณ ธาราภูมิ

CEO บลจ. บัวหลวง

 

30 ธันวาคม 2554

 

 

ก่อนคริสต์มาส 3 วัน John C. Bogle ที่คนมักเรียกว่า Jack Bogle ออกมาบอกว่าแม้คนจะเข้าใจว่าเขาเป็นคนในกลุ่ม 1% ผู้ร่ำรวยที่สุดในอเมริกา แต่เขาเห็นใจและสนับสนุนแนวคิดของพวก 99% ที่กำลัง Occupy Wall Street

 

ปู่แจ๊ค อายุ 82 ปีแล้ว เป็นผู้ก่อตั้ง Vanguard ซึ่งเป็นบริษัทจัดการกองทุนหรือ บลจ.ที่เน้นวิธีบริหารแบบ Passive Management ที่ ประสบความสำเร็จด้วยต้นทุนบริหารต่ำมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านมรสุมเศรษฐกิจและความรุ่งเรืองมาจนทุกวันนี้ได้อย่างสง่างาม

 

ปู่แจ๊ค เป็นคนแรกที่ก่อตั้งกองทุนรวมแบบ Index Fund ซึ่งเป็นสไตล์การบริหารกองทุนรวมแบบ Passive Management ที่ไม่สนใจที่จะทำให้ผลตอบแทนชนะดัชนีหรือ Index แต่จะพยายามหาโมเดลที่ทำให้ผลตอบแทนกองทุนเท่ากับ Index ที่เลือกใช้ในแต่ละกองทุน ปู่แจ๊ค ออกกองทุน Index Fund กองแรกให้กับวงการในปี 1976 และประสบผลสำเร็จจนทำให้ Vanguard มีสินทรัพย์ภายใต้กองทุนอเมริกันที่บริหาร 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ (โอย ... น้ำเดาไหลด้วยความริษยาแล้ว) และปู่ก็ลงจากเก้าอี้ CEO มา 15 ปีแล้ว

 

วันนี้ปู่แจ๊คก็ยังร่ำรวยอยู่ แม้จะน้อยกว่าช่วงที่ปู่ยังเป็น CEO มากมาย แต่ปู่ยังได้รับค่าตอบแทนอีกส่วนในการบริหารศูนย์วิจัย Vanguard's Bogle Financial Markets Research Center ซึ่งเป็นมันสมองชั้นเลิศให้ Vanguard Group

 

หากมีใครมาถามปู่ว่าแก่ป่านนี้แล้วทำไมยังไม่หยุดทำงาน ก็จะโดนแว้ดกลับไปว่า

 

“มันน่าอายมากที่จะหยุดทำงาน ในเมื่อยังไม่นอนแบ่บเป็นผักปู่ก็ยังทำงานได้อีกนานเว่ย แล้วก็ทำงานทุกวันด้วย ไม่ได้ขี้เกียจอย่างแกนี่”

ขณะนี้ปู่แจ๊คกำลังเขียนหนังสือเล่มที่ 10 เรื่อง "The Clash of Cultures: Investment vs. Speculation" แปลง่ายๆ ภาษาบ้านก็คือ“การล่มสลายทางวัฒนธรรม : การลงทุน กับ การเก็งกำไร” และปู่ก็ยังให้สุนทรพจน์ในงานที่ได้รับเชิญอยู่เนืองๆ

เห็น ไหม แก่แล้วแม้เรี่ยวแรงจะถดถอย แต่ยังมีสมอง มีความคิดดีๆ ต่อคนอื่น และมีประสบการณ์ที่มีประโยชน์ที่เอามาถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังได้ แก่แบบนี้น่าเอาเยี่ยงอย่างเพราะไม่ได้หายใจทิ้งไปวันๆ หรือคอยแต่เรียกร้องให้คนกราบไหว้ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรน่ากราบสักหน่อย นอกจากกราบหูดเหี่ยวๆ บนหน้าและลำคอ

ปู่แจ๊ค รำพึงว่า “เฮ้อ ... ตลาดทุนของเรามันชักจะบ้าไปกันใหญ่แล้ว มีการเก็งกำไรมากกว่าการลงทุนที่แท้จริงตั้ง 200 เท่าแน่ะ

และ ปู่ก็ให้ความสนใจมากมายกับนโยบายภาษีของสหรัฐที่ปู่เห็นว่าไม่เป็นธรรมเพราะ เอื้อประโยชน์แก่คนส่วนน้อยบนความเสียเปรียบของคนส่วนใหญ่

ชัวร์ป้าด ... ปู่กินยาผิดแหง ไม่งั้นไวอะกร้าก็ออกฤทธิผิดที่ ก็รวยขนาดนั้นแล้วทำไมถึงได้ดิ้นรนจะเสียภาษีมากๆ หรือว่าอยากไปเป็นยาจกกับพวก Occupy นั่น Occupy นี่ ละฮึ

“เบื๊อกเอ๊ย นี่แกไม่คิดถึงหัวจิตหัวใจคนอื่นๆ บ้างรึไง ก็โครงสร้างภาษีที่ตกทอดมาจาก ไอ้บักจอร์ช บุช นั่นละ ที่ทำให้ นักพนันใน Wall Street เสียภาษีบนกำไรจากการลงทุนแค่ 15% ในขณะที่คนทำงานงกๆ เหงื่อหยดติ๋งๆ อย่างซื่อสัตย์ต้องเสียภาษีจากเงินได้สูงสุดได้ถึง 35% มันเป็นไปได้ยังไง ที่นักพนันพวกนั้นจะเสียภาษีในอัตราแค่ 15% เท่ากับคนงานก่อสร้าง ฮึ

ใช่ เลย อัตราภาษีมันเปลี่ยนได้ แต่เราก็ต้องดูด้วยว่ามันเป็นรายได้จากอะไร มีที่มาอย่างไร และอะไรควรเสียภาษีเท่าใด เงินปันผลน่าจะเสียภาษีอัตราเดียวกับเงินได้ปกติอื่นๆ แต่กำไรที่ได้รับจากการลงทุนมันต้องแยกประเภทเป็นการลงทุนของคนที่ก่อตั้งธุรกิจจริงๆ และให้คุณค่าแก่สังคม กับกำไรจากการพนันของพวก Wall Street ด้วย ไม่ใช่รวมมาเป็นพวกเดียวกันหมดแบบนี้ ไอ้อย่างหลังที่ทำเพื่อเก็งกำไรระยะสั้นควรโดนอัตราภาษีที่สูงกว่าอัตราภาษีเงินได้ปกติในขั้นสูงสุดด้วยซ้ำ

แล้วปู่มองพวก Occupy Wall Street ยังไง

“ปู่ดีใจที่จะบอกว่ารายได้ในทุกวันนี้ของปู่ทำให้ปู่เป็นพวก 99% ไม่ใช่ 1% แล้ว นี่อาจเป็นเหตุให้ปู่รู้สึกไม่มีความสุขก็ได้

ปู่ว่าผู้ประท้วงใน Occupy Wall Street (OWS) ก็มีเด็กหนุ่มสาวมากนะ เด็กพวกนี้หลายคนต้องกู้หนี้ยืมสินไปเรียนจนจบ แต่พอจบออกมาดันไม่มีงานทำ ปู่ว่าการออกมาประท้วงของกลุ่ม OWS มันทำให้ปัญหาหนักที่เคยซ่อนอยู่ใต้พรมมันออกมาลอยหราบนพื้นเลยละ ปัญหาที่ว่านี่ก็คือความไม่เท่าเทียมกันในเรื่องโอกาสกับรายได้”

“เออ ไอ้หลาน แกเคยเด็กไหมล่ะ”

อ้าวปู่อ่ะ ถามงี้ชกหน้ากันเลยดีกว่า หรือพอปู่เกิดก็แก่เลยล่ะ

“กร๊วก .. เด็กบ้านแกสิที่คลอดมาก็แก่เลย ปู่จะถามว่าจำได้ไหมว่าตอนแกเด้กๆ น่ะ แกมีความคิดบรรเจิดอย่างไร”

“ปู่กำลังจะบอกว่าตอนเด็กๆ ในวัยหนุ่มสาว เราจะมีแนวคิดที่มีอุดมคติ มีอุดมการณ์ แต่พอเราแก่ลงเราจะเห็นว่ามันเลื่อนลอย เพ้อฝัน เป็นจริงได้ยาก ทีนี้พวก OWS เขาก็เป็นพวกกินอุดมการณ์ไงเรื่องที่เขาต้องการมันจะเป็นจริงได้เหรอ แต่แล้วคนอื่นจะเดือดร้อนไปทำไมล่ะ ปู่ คิดไม่ออกเลยว่าหากอเมริกาไร้คนรุ่นหลังในวัยหนุ่มสาวที่มีอุดมการณ์ มีความใฝ่ฝันแบบนี้ ประเทศนี้มันจะเจริญไปได้อย่างไร และมันจะเน่าไปกว่านี้ได้ขนาดไหน ปู่จึงเคารพรักในศรัทธาของพวกเขา คารวะการทำภารกิจของเขา แต่ด้านลบก็คือพวกเขาสู้มาอย่างหนักและยาวนานเกินไป มันยากที่จะสำเร็จหากไม่มีผู้นำม็อบ”

เออ ... ปู่กำลังเขียนหนังสืออะไรอยู่ล่ะตอนนี้

“กำลัง เขียนเรื่องที่ระบบการเงินของเรามันแหกโค้งไปนอกรางไงล่ะ เดิมทีเราเชื่อว่าระบบตลาดทุนเป็นแหล่งทุนสำหรับธุรกิจใหม่ๆ ที่ไม่มีทุนพอ หรือขอกู้ได้ยากหรือดอกเบี้ยแพงไป และเป็นแหล่งทุนที่บริษัทเดิมในตลาดทุนจะระดมเงินทุนไปขยายกิจการได้ ซึ่งเงินทุนที่ต้องการไปทำอย่างนั้นมันประมาณปีละ 200,000 ล้านดอลลาร์ มันก็สามารถระดมผ่าน Wall Street หรือกู้แบงค์ได้ แต่ตอนนี้เรากลับมีการเก็งกำไรกันเฉลี่ยปีละ 40 ล้านล้านดอลลาร์ บ้าไหมล่ะ เรา มีนักพนันที่ขายการลงทุนให้คนอื่น แล้วคนอื่นก็ซื้อกิจการจากนักพนันด้วยความคิดที่จะเอาไปขายต่อให้ได้กำไรมาก ขึ้น แล้วมันเกิดคุณค่าอะไรต่อสังคมละวะ ไม่มี้.... แถมมันยังลดคุณค่าด้วย เพราะไอ้ตัวกลางที่เป็นนักพนันพวกนี้ละที่ปล้นเอาค่าของมันไปในระหว่างทาง

“Hedge Fund ละตัวดี มีที่ไหนว้า ให้ผลตอบแทนตั้งเกิน 100% ต่อปี ลงทุนอะไรฟะที่ให้ผลตอบแทนขนาดนั้น ยาบ้าเรอะไง ก็ตอนที่ปู่ยังทำงานเป็นผู้บริหารกองทุนอยู่น่ะได้ 18% ก็เยี่ยมมากแล้ว ปู่เลยคิดว่า เราต้องเก็บภาษีเวลามีการขายแบบเก็งกำไรระยะสั้น เราต้องวางกรอบล้อมการเก็งกำไรแบบนั้นไว้ในระบบการเงินของเรา ไม่อย่างนั้นแล้ว คนที่รวยที่สุดก็คือพวก Wall Street นี่แหละ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำงานเหงื่อตกอย่างธุรกิจอื่นเขา แต่กลับมีช่องทางร่ำรวยมหาศาลจากการเป็นตัวกลางทางการเงิน การลงทุน แล้วเสียภาษีต่ำกว่าในส่วนที่เก็งกำไร

โอ้ย ปู่แจ๊คอ่ะ เดี๋ยวสรรพากรมาอ่าน เขาจะเก็บภาษีเราเอานา

“เอ๊า ... กลัวไรว้า หากไม่ใช่เก็งกำไรแบบนักพนันสั้นๆ อย่างพวกเห็ดฟันด์ เราก็ไม่ได้เอาเปรียบสังคมนี่นา”

เปลี่ยนเรื่องดีกว่าปู่แจ๊ค ปู่มองว่าการลงทุนปีหน้าจะเป็นไง

“อืม ... ก็ยากอยู่นะ ถ้าหลานลงทุนในหุ้นอเมริกาหรือทางยุโรปด้วยไอเดียว่าจะลงทุนสักปีแล้วค่อย ออกมาละก็ ให้รีบไปถอนออกมาเลย เพราะไม่ควรลงทุนในกรอบสั้นแค่ปีเดียว อาจจะขาดทุนได้ และถ้ามีกรอบเวลา 5 ปี ปู่ก็ยังกังวลอยู่ว่าควรลงทุนหรือเปล่า”

อ้าว เฮ้ย 5 ปียังน่ากลัวอีกเหรอปู่

“คือ อย่างงี้นะ ในการลงทุนเราต้องคิดมากไปกว่าจะกังวลเรื่องเดียวว่าตลาดจะพังโครมลงมาเมื่อ ไหร่ เราต้องพิจารณาผลสุดท้ายของเงินออมของเราว่ามันจะไปได้สักเท่าไรจึงจะพอใช้ เมื่อกลัวความเสี่ยงจากหุ้นก็ต้องไปพันธบัตร เงินฝาก แต่ดอกเบี้ยต่ำเตี้ยเรี่ยดินจนจะเป็นศูนย์ไปอีกนานแบบนี้ แกก็ต้องทำใจยอมรับไปก่อนหากไม่เอาหุ้น”

ปู่อ่ะ !!! นี่มันคำแนะนำอะไรเนี่ยะ ฮึ ?

“เอ๊อ แกชอบคำโกหกใช่ไหม ไอ้หลานโง่ ในเมื่อเศรษฐกิจมันห่วยแตกขนาดนี้ หากเป็นเงินปู่ ปู่จะระวังให้มากๆ เพราะการใช้สอยของคนอเมริกันกับยุโรปมันหวังไม่ได้เลยว่าจะดีใน 2-3 ปีข้างหน้า คนไม่มีเงินจะใช้ และโลกในวันนี้ก็ไม่มีอะไรให้เชื่อมั่นได้เลย”

อ้าว ปู่ ถ้ารัฐบาลทำให้ความเชื่อมั่นเกิดขึ้นมาได้ล่ะ มันจะดีขึ้นไหม

“ก็ดีอยู่หรอก อย่าลืมล่ะว่าความเชื่อมั่นมันเพิ่มขึ้นได้ แต่เงินน่ะมันจะเพิ่มได้จากที่ไหนละวะไอ้หนู”

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...