ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

d5f02ecd.gif d5f02ecd.gif d5f02ecd.gif

เวียดนาม ดอกเบี้ยเงินฝาก 13-15% เพื่อสู้เงินเฟ้อ ยังหยุดคนซื้อทองไม่ได้

 

แต่ยังไง ก็ขอขอบคุณคุณ Zagio ที่มาเตือนให้ใส่หมวกกันน๊อคไว้มั่ง 6e45ec9e.gif

 

สวัสดีครับ คุณ itums วันนี้ เรามาถกเถียงอย่างสร้างสรรค์ เพื่อมาหาเหตุผลให้เข้าใจในที่มาที่ไป เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการลงทุน และสิ่งต่างๆ นะครับ

 

กรณีของ ประเทศเวียตนาม เกิดปัญหาเงินเฟ้อที่สูงมาก 40-50% ทำให้มูลค่าของเงินด่องเกิดอาการ

ลดความน่าเชื่อถืออย่างมากในตลาดโลก และประเทศตัวเอง ทำให้มีการลดค่าเงินด่อง หลายๆ ครั้ง

เมื่อปีที่แล้วก็ประมาณ 3-4 ครั้ง และเมื่อมูลค่าของเงินด่อง ถูกลดทอนลง ประชาชนชาวเวียตนามผู้

มั่งคั่ง ซึ่งไม่อยากให้เงินตัวเองถูกลดมูลค่าไป ก็ต้องหาสิ่งที่สามารถมาเป็น สินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่ง

มี 2 อย่าง คือ ทอง และ US Dollar

 

ถ้าเป็นเด็กขายของอยู่ในเวียตนาม มีเงิน 2 ล้านด่อง กลัวจะเหลือมูลค่า 2 พันด่อง ก็ต้องหาซื้อ

ทั้ง US Dollars เพื่อมาใช้จ่ายซื้อของอุปโภคบริโภค ประทังชีวิต

 

และก็ ซื้อ ทอง เพื่อไว้แลก เป็น US Dollars เมื่อเงินหมดครับ เพราะต้องประทังชีวิต จะเอาทองไปแลก

รถยนต์ มือถือ บ้าน ก็คงเป็นเรื่องรอง ครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีครับ คุณ zagio

 

การเคลื่อนย้ายทองคำ จากซีกโลกตะวันตก (สหรัฐ, ยุโรป) มายัง ซีกโลกตะวันออก (อินเดีย, จีน) หลายๆ คน คงคิดว่า ประเทศใหญ่

ซื้อทองคำแท่งกันกระหน่ำ เพื่อการลงทุน ซื้อ-มา ขายไป เก็งกำไร แต่เปล่าเลย ประเทศที่นำเข้าทองคำเป็นจำนวนมาก ได้เอา

ทองคำมาทำเป็น Jewelry ทำสร้อยคอเครื่องประดับต่างๆ ทั้งประดับร่างกาย หรือ ประดับบ้าน เพื่อแสดงฐานะ

ดั่งเช่นในอินเดีย หรือ

ประเทศในตะวันออกกลาง ที่นำทองคำมาเป็นเครื่องใช้ในบ้าน เพื่อแสดงความร่ำรวย จากการขายน้ำมัน

 

หรือในภาคอุตสาหกรรม ก็เอามาทำเป็นตัวนำเครื่องอุปกรณ์อีเล็คโทรนิคต่างๆ ที่ประเทศจีน ได้ทำ MADE IN CHINA ส่งไปยัง

หลายๆ ประเทศทั่วโลก เช่น Ipad Iphone, อุปกรณ์เซ็นเซอร์ต่างๆ ที่ใช้เทคโนโลยี่ และมีส่วนของทองคำในการประสานการเดิน

สมองกล

 

การที่จึนไปหาซื้อเหมืองทอง ก็คงเหมือนกับ สหรัฐฯ ไปหาบ่อน้ำมันในประเทศอื่นๆ หรือแม้แต่ ปตท.ของไทยเรา ก็ยังไม่ขุดหา

น้ำมันในทะเล ทำไมล่ะ ก็เพื่อป้องกันธุรกิจต่อเนื่องของตนเองเท่านั้น ซึ่งเมื่อไม่สามารถหาน้ำมันดิบมาส่งโรงงานตัวเองได้ ก็

เหมือนโรงงานร้าง ซึ่งไม่มีวัตถุดิบมาผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูป ออกมาขายหากำไรเข้าบริษัทฯ ได้

 

ส่วนที่คนสงสัยว่า ทำไม ซีกโลกตะวันออก ไม่เก็บทองแท่ง Physical Gold แล้วจะให้เขาถือไว้ทำไมครับ

เพราะทุกวันนี้ เขามีแต่ Paper Gold ทั้ง Gold Future, Gold Spot แค่นี้ ก็มากกว่า Physical Gold หลายหมื่นเท่าแล้ว เพราะจุดประสงค์หลักคือสร้างรายได้ เหมือนบ่อนคาสิโน แทงขึ้น หรือ แทงลง ก็เท่านั้น

แทงถูกก็ได้เงิน แทงผิดก็โดนหัก Margin แล้วเงินพิมพ์ ก็ไม่ต้องมีทุนสำรองอะไรมารองรับ ในเมื่อราคาดีๆ ก็ส่งไปยัง ซีกโลกตะวันออก ดีกว่า

 

โปรดอย่าลืมนะครับ ว่า อดีต ทองคำ ก็คือ เครื่องประดับประเภท สร้อย แหวน กำไล เลี่ยมพระ

ส่วนทองแท่ง ก็ซื้อเพื่อเป็นสินสอดทองหมั้น ไว้ไปหมั้นสาว ตอนแต่งงาน แล้วคู่บ่าวสาวก็เอามา

ขายแลกเป็นเงินกลับไปใช้จ่าย

ถูกแก้ไข โดย เด็กขายของ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

กลยุทธ์ปั้นโลก ทุ่มหยวนสร้างโครงข่ายพญามังกร

ต้อนรับสู่ยุคเครือข่ายเศรษฐกิจจีน...!”

 

...ทีมข่าวต่างประเทศ

 

 

 

FF23FC0A600C426DBB93FA8C5B0ACC90.jpg

 

ต้อนรับสู่ยุคเครือข่ายเศรษฐกิจจีน...!”

 

อาจจะไม่ผิดนักถ้าจะกล่าวเช่นนี้ เพราะเมื่อพิเคราะห์ถึงยุคนี้ ที่ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็จะเห็นความเชื่อมโยงของหลายๆ สิ่งที่ล้วนพุ่งบรรจบเข้าหาจีนทั้งสิ้น

 

หลังก้าวพ้นจากวิกฤตการเงินโลก จีนมานะพยายามสร้างหน้าใหม่ของบันทึกความเคลื่อนไหวของโลกในหลายๆ ทาง ทั้งด้านการเงิน การค้า แม้กระทั่งการเมือง ให้ปักกิ่งเป็นดั่งศูนย์กลางการบรรจบของทุกๆ สิ่ง

 

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ รัฐบาลหลายประเทศได้พบความจริงที่ว่า จีนเป็นพันธมิตรทางการค้าที่สำคัญมากกว่าสหรัฐ การสร้างสัมพันธ์ด้วยการเป็นคู่ค้า เป็นเพียงกลยุทธ์พื้นฐาน

 

ในวิถีแห่งพญามังกร การสร้างโครงข่ายทางเศรษฐกิจของพญามังกรมีใช้หลากหลายกลยุทธ์มากกว่าแค่สัมพันธ์ซื้อขาย

 

จีนลั่นปืนใหญ่ทางการเงินด้วยการหยิบยื่นความช่วยเหลือทางการเงินให้กับหลายประเทศ เพื่อพันผูกความสัมพันธ์ของจีนกับประเทศนั้นๆ ให้หยั่งรากลึกเพิ่มขึ้น นั่นถือเป็นกลยุทธ์หนึ่ง

 

ล่าสุด ยอดเงินปล่อยกู้ของธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งชาติจีน (China Development Bank) และธนาคารเพื่อการนำเข้าส่งออกจีน (China ExportImport Bank) สองธนาคารใหญ่ของจีนให้กับประเทศกำลังพัฒนาในช่วง 20092010 มีมูลค่าถึง 1.1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ สูงกว่ามูลค่าการปล่อยกู้ของธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์)

 

ทั้งที่ในอดีตจีนคือประเทศที่รับเงินกู้ยืมจากธนาคารโลกมากที่สุดประเทศหนึ่ง แต่ในวันนี้กลยุทธ์ในการปั้นโลกในแบบของมังกรทำให้ โรเบิร์ต โซลลิก ประธานธนาคารโลก ต้องเอ่ยหารือและร่วมปันประสบการณ์ในการสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาจากจีนเมื่อครั้งที่โซลลิกเดินทางเยือนจีนเมื่อปีที่แล้ว

 

สะท้อนให้เห็นถึงภาพของความพยายามในการกำกับรูปแบบและทิศทางโลกให้เป็นรูปแบบของจีน

 

ในเวลาเดียวกัน ปักกิ่งกำลังสร้างพื้นฐานและบทบาทของสกุลเงินหยวนในระบบตะกร้าการเงินสากลระหว่างประเทศ

 

หยวน มีอิทธิพลในเชิงการค้าและกระจายวงกว้างมากขึ้นชัดเจน

 

จีนเปิดเวทีการค้ากับหลายประเทศในโลกมากขึ้น โดยประเทศคู่ค้าของจีนได้รับการผลักดันภายใต้เงื่อนไขการซื้อขายและการชำระเงินด้วยสกุลเงินหยวน ไม่ว่าจะเป็นการค้าระหว่างจีนกับอาร์เจนตินา มาเลเซีย หรืออินโดนีเซีย

 

ล่าสุด แบงก์ ออฟ ไชนา ธนาคารรายใหญ่เป็นอันดับ 4 ของจีน ตามมูลค่าของสินทรัพย์ยังเปิดโอกาสให้การเข้าถึงเงินหยวนเป็นเรื่องง่ายขึ้นในสหรัฐ ด้วยการเปิดให้มีการแลกเปลี่ยน ฝาก ถอน ด้วยสกุลเงินหยวนผ่านสาขาธนาคารในนิวยอร์ก และลอสแองเจลิส แม้จะถูกมองว่าเป็นเพียงก้าวเล็กๆ บนหนทางที่สุดแสนยาวไกลก็ตาม

 

ทว่า สิ่งนี้ทวีภาพที่หลายฝ่ายเคยปรามาสว่าเป็นเพียงความฝันลางๆ ให้ความชัดเจนมากขึ้นว่า สกุลเงินหยวนจะกลายเป็นสกุลเงินที่สำคัญติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลกภายในปี 2012 ด้วยมูลค่าการทำธุรกรรมทางการค้าแต่ละปีราว 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ตามที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ไว้

 

กลยุทธ์การสร้างโครงข่ายทางเศรษฐกิจในรูปแบบที่สาม คือ การความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนที่ไม่ใช่แค่เพียงการขายเสื้อผ้า สินค้าอุปโภคบริโภค หรืออุปกรณ์ด้านเทคโนโลยีเท่านั้น

 

แต่เป็นการกระโดดเข้าไปช่วยขยายระบบสาธารณูปโภค และพลังงานในประเทศกำลังพัฒนาในหลายรูปแบบ ซึ่งมองเผินๆ แล้วแนวทางเหล่านั้นก็เป็นการสนับสนุนการค้าทั้งสองฝ่าย และเกี่ยวโยงสัมพันธ์กับปักกิ่งแน่นเฟ้นยิ่งขึ้น

 

ทว่า บนความสัมพันธ์และแรงผลักดันด้วยเงินจำนวนมหาศาล ย่อมหมายถึงการคำนวณและชั่งตวงถึงผลตอบแทนในระยะยาว ไม่ต่างจากแนวคิดและการหยิบยื่นของมหาอำนาจทางฝั่งตะวันตก

 

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การลงทุนสร้างท่อส่งก๊าซธรรมชาติคู่ขนานไปกับท่อส่งน้ำมันดิบระยะยาวกว่า 1,200 ไมล์ จากท่าเรือจ้าวผิ่ว ในอ่าวเบงกอล ทางออกสู่ทะเลอันดามัน ซึ่งอยู่ทางด้านชายฝั่งด้านใต้ของพม่า เชื่อมเข้าสู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ทางคุนหมิง ในมณฑลยูนนาน

 

ซึ่งสอดคล้องกับแผนการก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูงเข้าสู่พม่าเชื่อมต่อจากพื้นที่ตอนใต้ของจีนด้วย

 

พันธสัญญานี้ไม่เพียงทำหน้าที่เป็นประตูสู่การนำน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากตะวันออกกลางเข้าสู่จีน โดยที่สามารถย่นย่อระยะทางได้มากกว่าครึ่ง แต่เป็นการกรุยทางรอให้นักธุรกิจจีนเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ในดินแดนที่ยังคงด้วยผลประโยชน์อย่างพม่า

 

อีกทั้งยังแฝงไว้ด้วยกลยุทธ์ทางภูมิศาสตร์การเมือง เลี่ยงไม่ให้ใครมาปิดทางนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติสู่จีนได้ ในกรณีที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไม่ปกติ

 

นอกจากนี้ จีนยังร่วมทำสัญญากับบังกลาเทศ ร่วมลงทุนสร้างทางรถไฟเชื่อมระหว่างคุนหมิงและท่าเรือน้ำลึกคอกซ์บาซา ซึ่งรัฐบาลบังกลาเทศเองก็มีท่าทีกระตือรือร้นในการร่วมเซ็นสัญญาดังกล่าว ดั่งได้โชค โดยประกาศจะดันโครงการดังกล่าวให้เสร็จสิ้นในปี 2014 ด้วยมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 260 ล้านเหรียญสหรัฐ

 

เช่นเดียวกันกับลาว โครงการที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “สัญลักษณ์แห่งความสัมพันธ์อันแนบแน่นของจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

 

ลาว ที่กำลังเป็นลูกค้ารายสำคัญของจีน เมื่อเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา สภาแห่งชาติลาวได้อนุมัติโครงการสร้างรถไฟความเร็วสูงมูลค่าการก่อสร้างกว่า 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เชื่อมระหว่างคุนหมิงไปยังเวียงจันทน์ เมืองหลวงของลาว โดยรัฐบาลลาวยอมรับข้อเสนอด้วยการปล่อยให้จีนถือครองผลประโยชน์ในอัตราส่วน 70% ขณะที่ลาวถือหุ้นอยู่เพียง 30% เท่านั้น

 

กรณีดังกล่าวเป็นตัวอย่างหนึ่งของความมุมานะในการสร้างเครือข่าย และนิยามของการลงทุนที่ต้องมีผลประโยชน์ หรือผลตอบแทน...!

 

ขณะที่ชาวลาวกำลังตื่นเต้นกับการพัฒนาสาธารณูปโภคครั้งใหญ่ภายในประเทศที่มังกรหยิบยื่นให้ แต่ในสายตาประชาคมโลกกลับกำลังกังวลถึงผลประโยชน์ที่จีนกำลังได้จากข้อตกลงเหล่านั้น

 

โครงการสร้างรถไฟความเร็วสูงของลาวถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการรถไฟความเร็วสูงที่ทางรัฐบาลไทยอยู่ในระหว่างการพิจารณาด้วยเช่นกัน ซึ่งไทยตั้งเงื่อนไขว่า สัดส่วนการถือหุ้นระหว่างไทยและจีนที่จะต้องไม่น้อยไปกว่า 51:49

 

ทั้งการควักกระเป๋าให้กู้ การผลักเงินหยวนเข้าสู่ตลาดการค้าโลก และการร่วมสร้างสาธารณูปโภคและพลังงาน ล้วนเป็นกลยุทธ์ที่จีนพยายามแทรกซึม สร้างเครือข่าย ที่เมื่อพลิกปูม รื้อเบื้องลึกแล้ว จะเห็นถึงวิถีการกรุยทางในสไตล์ของพญามังกรที่ฝังรากลึกของผลลัพธ์ให้วิ่งเข้าหาประเทศทั้งสิ้น

 

ท้ายที่สุด แม้ต้องยอมรับว่า อารยธรรมการสร้างเครือข่ายของพญามังกรจะส่งผลดีต่อประเทศกำลังพัฒนา รวมทั้งไทย แต่ “ของฟรีไม่มีในโลก” สัจธรรมอย่างหนึ่งที่ยังคงเป็นอมตะ โดยเฉพาะในธุรกิจ และเงินๆ ทองๆ ก็เป็นเรื่องที่ควรพึงระลึกไว้เสมอ

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

http://www.posttoday.com/วิเคราะห์/ต่างประเทศ/71118/เงินเฟ้ออาการสาหัส-นักลงทุนตั้งการ์ดรับ

 

ปัญหาเงินเฟ้อกำลังลุกลามไปทั่วโลก ประเดิมด้วยกลุ่มตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย เหยื่อรายล่าสุดในภูมิภาคนี้ คือ สิงคโปร์ ซึ่งเปิดเผยตัวเลขช่วงเดือน ธ.ค. 2553 กระโดดขึ้นมาอยู่ที่ 4.6% จาก 3.8% ช่วงเดือน พ.ย. นับเป็นการปรับขึ้นในอัตราที่รวดเร็วที่สุดในรอบ 2 ปี

 

สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลง เมื่อปัญหานี้ได้ระบาดไปถึงยุโรปแล้ว หลังจากที่มีการเปิดเผยอัตราเงินเฟ้อของกลุ่ม Eurozone ช่วงเดือน ธ.ค. ปี 2553 ซึ่งปรับขึ้นมาอยู่ที่ 2.2% สูงกว่าเป้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) กำหนดไว้ที่ 2%ขณะสถานการณ์เงินเฟ้อในอังกฤษส่อเค้าน่าเป็นห่วงเช่นกัน เพราะขึ้นมาอยู่ที่ 3.7% และคาดว่าจะทะลวงขึ้นมาเหนือระดับ 4% ในอีกไม่นานซึ่งสูงกกว่าเป้าที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) กำหนดไว้ถึง 2 เท่า

 

ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษคือ ประเทศที่กำลังเผชิญกับวิกฤตหนี้สาธารณะกลับต้องพบกับปัญหาเงินเฟ้อซ้ำเติม ดังเช่นกรณีของไอร์แลนด์ ที่ต้องรับทั้งความช่วยเหลือจาก EU และ IMF แต่ความช่วยเหลือนับหมื่นล้านยูโร ไม่อาจสกัดกั้นเงินเฟ้อที่ทะลุ 1.3% ได้ จากตัวเลขเดือน พ.ย. ที่ 0.6% นับเป็นการปรับเพิ่มถึงเท่าตัว

 

แนวโน้มที่เริ่มน่าเป็นห่วงในยุโรป ยังผลให้ ECB ต้องออกโรงเสริมความมั่นใจให้กับทุกฝ่าย โดยฌอง โคลด ตริเชต์ กล่าวผ่านหนังสือพิมพ์วอลสตรีต เจอร์นัล ว่า “ในสถานการณ์ที่มีภาวะเงินเฟ้อเป็นภัยคุกคามต่อสินค้าโภคภัณฑ์ ธนาคารกลางทุกแห่งจะต้องใช้ความรอบคอบ และระมัดระวังว่าจะไม่มีผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อรอบที่ 2”

 

อย่างไรก็ตาม คำกล่าวของตริเชต์บ่งชี้ว่า ECB กังวลกับปัญหานี้ แต่ยังเชื่อว่าเป็นเพียงปฏิกิริยาระยะสั้น หรือเป็นเพียงเงินชั่วครั้งคราว ไม่มีรอบที่ 2 (ซึ่งหมายความว่า เป็นปัญหาเงินเฟ้อในระยะยาวอย่างแน่นอน) ไม่เพียงเท่านั้นคำพูดนี้แฝงนัยบางประการ ซึ่งจะกล่าวต่อไปในส่วนถึงมูลเหตุที่ทำให้ปัญหาเงินเฟ้อรุนแรงยิ่งขึ้น

 

ทั้งนี้ ไม่เพียงเกิดภาวะแพร่ระบาดของภาวะเงินเฟ้อเท่านั้น แต่ปริมณฑลของผลกระทบยังสั่นสะเทือนไปถึงกลุ่มคนที่หลากหลายมากขึ้น

 

แต่แรกเริ่มนั้นผู้บริโภคเป็นกลุ่มแรกที่ต้องบอบช้ำจากราคาสินค้าและบริการที่แพงขึ้น โดยเฉพาะผู้บริโภคที่มีรายได้น้อย อันเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ยังผลให้รัฐบาลต้องเร่งรักษาเสถียรภาพด้านราคา เพื่อป้องกันเหตุวุ่นวายทางสังคม อันจะกระทบไปถึงสถานะทางการเมืองของรัฐบาลนั้นๆ

 

ในเวลาต่อมา กลุ่มนักลงทุนเริ่มเป็นฝ่ายที่ได้รับผลกระทบบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ลงทุนกับพันธบัตรของรัฐบาล ซึ่งกำลังเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อ เนื่องจากเงินเฟ้อเป็นปัจจัยลบโดยตรงต่อการลงทุนประเภทนี้

 

ขณะนี้ประชาชนส่วนใหญ่และนายทุนส่วนน้อย จึงต่างรับผลกระทบจากปัญหาเดียวกันและด้วยความวิตกที่คล้ายคลึงกันนั่นคือ กำลังซื้อของตัวเองกำลังถดถอยลงอย่างรวดเร็ว

 

จากการสำรวจโดยบริษัท Northern Trust พบว่า นักลงทุนทั่วโลก 62 ราย เชื่อว่าปัญหาเงินเฟ้อจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในช่วง 6 เดือนต่อจากนี้ และอีก 53 รายเชื่อว่า จะมีการขึ้นดอกเบี้ยภายในช่วงไตรมาสแรก

 

ปัญหาเงินเฟ้อส่วนหนึ่ง (ซึ่งอาจเป็นส่วนใหญ่เสียด้วยซ้ำ) มาจากการที่ประเทศตะวันตกพิมพ์และปั๊มเงินเข้าสู่ระบบอย่างล้นหลาม ทั้งสหรัฐและยุโรป โดยเฉพาะสหรัฐที่อ้างสิทธิในการพิมพ์ธนบัตรโดยไม่ต้องอิงกับทองคำสำรองได้ตามใจชอบ ดังที่ล่าสุดได้ใช้มาตรการ QE2 และอาจมี QE3 ติดตามมาอีกในอนาคต

 

การพิมพ์ธนบัตรในกรณีของสหรัฐนั้น มีจุดประสงค์ก็เพื่อซื้อพันธบัตรของตัวเอง นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่จีนจะเข้ามาระดมซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอย่างต่อเนื่อง เพราะยังมีความน่าเชื่อถือ อีกทั้งยังเป็นโอกาสในการมีอิทธิพลเหนือเศรษฐกิจสหรัฐในทางอ้อม แต่แล้วเงินเหรียญสหรัฐกลับยิ่งอ่อนค่าลงยังผลให้นักลงทุนเริ่มผละหนี

 

ส่วนสถานการณ์ของยุโรป การอัดเงินเข้าสู่ระบบยิ่งทำให้นักลงทุนแห่หนีไปยังตลาดเกิดใหม่ที่มีความคึกคักและปลอดภัยกว่า เนื่องจากพันธบัตรของยุโรปแทบไม่เหลือความน่าเชื่อถืออีกต่อไปในหลายๆ ประเทศ เว้นเพียงเยอรมนี และอาจกล่าวได้ว่า อนาคตของ Eurozone อยู่ในกำมือของเยอรมนี ซึ่งมีสถานะทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ดังจะเห็นได้จากระดับความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ปรับขึ้นมาเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน และสูงสุดนับตั้งแต่เยอรมนีรวมชาติเมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว

 

อนึ่ง การที่ ECB ไม่แสดงอาการร้อนอกร้อนใจต่อทิศทางเงินเฟ้อ ก็เพราะยังจำเป็นจะต้องพิมพ์ธนบัตรต่อไปเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนมากกว่า ทว่า การทำเช่นนี้เท่ากับดึงประเทศที่ไม่มีปัญหาให้ต้องแบกรับปัญหาไปด้วย ดังเช่นเยอรมนีที่คัดค้านการกระทำเช่นนี้มาโดยตลอด

 

นอกจากนี้ เยอรมนีเพียงประเทศเดียวไม่ช่วยทำให้อะไรดีขึ้น เพราะนี่คือสิ่งเกิดขึ้นกับ “กลุ่ม”มิใช่ “ปัจเจก” นักลงทุนจึงผละหนีเช่นกัน และเข้าทำนองหนีเสือปะจระเข้โดยแท้ เพราะช่วงที่สหรัฐเผชิญกับวิกฤตการเงินและเศรษฐกิจถดถอยนั้น นักลงทุนฝากความหวังไว้ที่ยุโรปค่อนข้างมาก ว่าจะเป็นทางเลือกที่ “น่าจะ” ปลอดภัยกว่า

 

ด้วยปัจจัยรุมเร้ารอบด้านยังผลให้เม็ดเงินเหล่านั้นเริ่มไหลทะลักไปยังภูมิภาคต่างๆ โดยเฉพาะเอเชีย ทำให้เงินเฟ้อในภูมิภาคทะลุเป้าในทันตา สิ่งที่ตามมาคือ รัฐบาลของนานาประเทศพยายามปิดกั้นกระแสไหลบ่าของทุนนอก นับว่าเป็นอีกคราที่นักลงทุนเริ่มตระหนักว่า ปริมาณเงินที่ล้นทะลักในระบบเศรษฐกิจโลกนั้น เป็นภัยคุกคามต่อตัวเองมากเพียงใด

 

ด้วยเหตุนี้นักลงทุนจึงหันไปลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์กันอย่างโกลาหล ไม่ว่าจะเป็นทองคำ น้ำมัน ซึ่งมีความปลอดภัยสูง ดังจะเห็นได้ว่า หลังจากที่ตลาดเกิดใหม่เริ่มตั้งปราการสกัดทุนนอก ปรากฏว่าราคาน้ำมันถีบตัวขึ้นมาในทันที และเมื่อใดก็ตามที่น้ำมัน สินค้าทุกประเภทจะแพงตามไปด้วย เนื่องจากเป็นต้นทุนการผลิตที่สำคัญที่สุด

 

ในระยะแรกนั้นราคาทองคำและน้ำมันปรับขึ้นต่อเนื่อง แต่ไม่นับว่าหวือหวารุนแรง จนกระทั่งมีปัจจัยลบเข้ามารุมเร้าทำให้สถานการณ์เลวร้ายกว่าที่คาด เพราะประจวบเหมาะกับที่ยุโรปมีสภาพการณ์ที่ย่ำแย่ลง มิหนำซ้ำสินค้าโภคภัณฑ์หลายตัวยังได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ ตั้งแต่สินค้าเกษตรไปจนถึงพลังงาน อย่างเช่นถ่านหิน กลายเป็นแรงกระหน่ำให้การลงทุนในตลาดโภคภัณฑ์ร้อนแรง

 

นายทุนหรือนักลงทุน เป็นกลุ่มคนที่พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้สะดวกกว่าผู้บริโภคทั่วๆ ไป การที่นักลงทุนโยกย้ายหนีปัจจัยลบจากประเทศหนึ่งสู่อีกประเทศหนึ่ง จากตลาดหนึ่งสู่อีกตลาดหนึ่ง แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นนี้ได้เป็นอย่างดี

 

ในช่วงเวลาที่เงินเฟ้อกำลังคุกคามรอบด้าน นักลงทุนกลุ่มหนึ่งอาจเริ่มได้รับผลกระทบ แต่มีอีกจำนวนไม่น้อยที่เชื่อมั่นว่า ตลาดโภคภัณฑ์คือตลาดที่มั่นคงที่สุด ยิ่งเงินเฟ้อรุนแรงเพียงใด ยิ่งสามารถกอบโกยได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ

 

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังมีเหตุผลที่จะต้องกังวลกับปัญหานี้ อย่างน้อยในฐานะผู้บริโภค และอย่างน้อยปัญหาเงินเฟ้อจะส่งผลสะเทือนต่อเสถียรภาพทางการเงิน หากเกิดความวุ่นวายถึงขั้นจลาจลดังที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 3 ปีก่อน ซึ่งขณะนี้ ประธานาธิบดี นิโกลาส์ ซาร์โกซี ในฐานะประธานกลุ่ม G20 ถึงกับต้องกำหนดแนวทางเพื่อสกัดกั้นราคาสินค้าแพง และป้องกันจลาจลจากวิกฤตอาหารที่สุ่มเสี่ยงจะปะทุขึ้นอยู่รอมร่อ

 

ด้วยเหตุนี้ต่อให้การลงทุนมีความยืดหยุ่นหรือรู้หลบเป็นปีกเพียงใด ย่อมหลีกไม่พ้นความเสี่ยงที่กำลังก่อตัวขึ้นรอบด้าน

 

ถึงที่สุดแล้วปัญหาเงินเฟ้อจะกลับมาเป็นหอกทิ่มแทงนักลงทุนเอาง่ายๆ

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

น้องเล็กเห็นด้วยนะคะว่าเหรียญมีสองด้าน . แต่ที่ฟองสบู่จะแตกน่าจะยังไม่ใช่เวลาอันใกล้นี้มั้งคะ

 

หนูืำทำตัวเลขการเข้าถือครองทองของ SPDR เมื่อปี 2553 เข้าถือครองทองเพิ่ม 153.7796 ตัน ปี 2554 ขายสุทธิ 51.14105 ยังอีกตั้งไกลกว่าจะขายของปี 2553 หมด

 

แล้วที่ถือครองก่อนหน้านั้นอีก 1xxx กว่าตัน คงต้องขายอีกหลายปีมั้งคะ . ไม่อย่างนั้นทองอาจกลายเป็นที่ทับกระดาษก็ได้ (ขำขำนะคะ อย่าคิดมาก)

ขออนุญาติคุณพี่ zagio จับตัวพี่เด็กขายของกลับห้องหน่อยนะคะ...

พี่เด็กขายของกลับห้องด่วน น้องๆ รอข้อมูลอยู่ค่ะ (เจอกันที่ห้องอ.ทองใหม่นะกะ...)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณครับ เปิดหูเปิดตาดีแท้ :rolleyes: :rolleyes: :rolleyes:

 

ตอนนี้ผมอยกรู้ว่าล่าสุด จีนจะขยับตัวอย่างไหรต่อ เพราะพี่แกขยับที่ไหร ฟองได้สั่นทุกที :huh:

ถูกแก้ไข โดย leo_attack

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอเรียนคุณ zagio. ว่า สามารถที่จะเปลี่ยนชื่อกระทู้ใหม่ได้ไหมครับ ปรึกษาเฉยๆ ว่า เช่น จริงหรือ ทองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย. จริงหรือ ทองไม่มีล้ม.

จริงหรือ ทองดีกว่าใคร. ทอง หนทางที่ไม่เหลืออะไร เป็นต้น เพราะความหมาย

ฟองสบู่ บางทีไม่เข้าใจความหมายของมัน ตรงๆไปเลย เด็กขายของ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตอบไปยัง tiny. เรื่อง SPDR ยังคงมีทองเหลือเยอะ 12xx. Tons ถูกต้อง

แต่อย่าลืมว่า SPDR ETF เป็นหุ้นตัวหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ คาถือหุ้นมีในหลายประเทศ เกิดวันหนึ่งลุกขึ้นมาบอกว่า ฉันเลิกทำแล้ว ปิดกองทุน ทุกคนมาแบ่งสรรปันส่วนทรัพย์สินกองทุน แค่นี้ก็จบแล้วครับ มีข่าวหนึ่งยังบอกว่า การลงทุนในทองคำสร้างผลกำไรให้น้อยกว่าการไปปั่นอย่างอื่น SPDR CEO บอกอย่างนั้นมาเร็วๆนี้ ลอง search ใน google. ดูนะครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

10 Signs That Gold Is In A Bubble That Is Going To Burst

 

Read more: http://www.businessinsider.com/reasons-why-the-gold-bubble-will-burst-2010-10#gold-has-no-earnings-yield-3#ixzz1CDs3n2jx

 

1.It has very few industrial uses.

 

2.Gold has no dividend yield.

 

3.Gold has no earnings yield.

 

4.The US should start selling its gold to pay down its debt.

อันนี้ก็น่ากลัว พี่มีทองอยู่ 8000 ตัน เอามาขายสัก 1000 ทองคงร่วงกรู

 

5.Interest rates are at zero and the Fed is printing money.

หมายถึงว่า ขนาดเฟดปั้มเิงิน+ ดอกเบี้ย 0%

 

ถ้าเฟดหยุดพิมพ์เงินปุ้บ + ขึ้นดอกเบี้ยสัก 2-3% ทองก็น่ามืด

 

6.Soros has even begun reducing his position in the gold ETF, GLD. He also reduced his position in Novagold (NG)

คงรวมถึง SPDR ด้วย

 

7.Gold production is rising. in 2009

ถามใจจริง ๆ ว่าหากไม่มีเงิน ใครจะขุด

 

8.Gold sentiment is at an all-time bullish high.

 

9.Assets in the GLD ETF, the ETF which tracks gold, are also reaching a level usually associated with a top:

 

10.Warren Buffett ไม่ซื้อทอง จากเหตุผลข้อ 2-3

แต่เหตุผลเค้าดีนะ บอกว่า ระหว่างให้ซื้อทอง ขอซื้อเป็นบริษัทที่มี productivity ดีกว่า

เป็นเหตุผลคล้าย ๆ ว่า ทองกินไม่ได้

 

ปล.กระทู้มันเปลี่ยนชื่อได้ด้วยหรือครับ คุณเด็กขายของ

 

ต้องดูค่าเงินดอลล่าห์ดี ๆ นะครับ ถ้าเกิดแข็งไปสัก 90-100 คงได้เวฟ 2 ยักษ์ กันทั่วไปหมด

 

ต้องระวัง goldmansach กัน JP morgan ไว้ด้วยนะครับ 2 บริษัทนี้ช็อตไว้มหาศาลตั้งแต่ 800-1400

 

ถ้าทองลงมาเหลือ สัก 600 คงรวยพุงปลิ้นสุด ๆ

 

แต่ทองไปถึง 1500 เราคงจะได้เห็นการล้มของ 2 บริษัทนี้

 

ถ้าให้ผมเลือกข้าง ขอเลือกฝ่าย 2 บริษัทนี้ดีกว่า ผลงานมีทั้ง oil nasdaq dow ผลงานดี ๆ ทั้งนี้น

 

อีกอย่าง 2 บริษัทนี้เป็นผูุ้ถือหุ้นของ FED ด้วย อย่างไงก็คงมีผลประโยชน์ซ้อนทับแน่ ๆ

 

 

plan ก็คือ ถ้าทอง เกิน 1500 ค่อยตามซื้อครับ ได้เห็นแน่ ๆ 2000 ถ้าผ่านไปได้

ถูกแก้ไข โดย zagio

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

http://www.posttoday.com/วิเคราะห์/ต่างประเทศ/71118/เงินเฟ้ออาการสาหัส-นักลงทุนตั้งการ์ดรับ

 

ปัญหาเงินเฟ้อกำลังลุกลามไปทั่วโลก ประเดิมด้วยกลุ่มตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย เหยื่อรายล่าสุดในภูมิภาคนี้ คือ สิงคโปร์ ซึ่งเปิดเผยตัวเลขช่วงเดือน ธ.ค. 2553 กระโดดขึ้นมาอยู่ที่ 4.6% จาก 3.8% ช่วงเดือน พ.ย. นับเป็นการปรับขึ้นในอัตราที่รวดเร็วที่สุดในรอบ 2 ปี

 

สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลง เมื่อปัญหานี้ได้ระบาดไปถึงยุโรปแล้ว หลังจากที่มีการเปิดเผยอัตราเงินเฟ้อของกลุ่ม Eurozone ช่วงเดือน ธ.ค. ปี 2553 ซึ่งปรับขึ้นมาอยู่ที่ 2.2% สูงกว่าเป้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) กำหนดไว้ที่ 2%ขณะสถานการณ์เงินเฟ้อในอังกฤษส่อเค้าน่าเป็นห่วงเช่นกัน เพราะขึ้นมาอยู่ที่ 3.7% และคาดว่าจะทะลวงขึ้นมาเหนือระดับ 4% ในอีกไม่นานซึ่งสูงกกว่าเป้าที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) กำหนดไว้ถึง 2 เท่า

 

ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษคือ ประเทศที่กำลังเผชิญกับวิกฤตหนี้สาธารณะกลับต้องพบกับปัญหาเงินเฟ้อซ้ำเติม ดังเช่นกรณีของไอร์แลนด์ ที่ต้องรับทั้งความช่วยเหลือจาก EU และ IMF แต่ความช่วยเหลือนับหมื่นล้านยูโร ไม่อาจสกัดกั้นเงินเฟ้อที่ทะลุ 1.3% ได้ จากตัวเลขเดือน พ.ย. ที่ 0.6% นับเป็นการปรับเพิ่มถึงเท่าตัว

 

แนวโน้มที่เริ่มน่าเป็นห่วงในยุโรป ยังผลให้ ECB ต้องออกโรงเสริมความมั่นใจให้กับทุกฝ่าย โดยฌอง โคลด ตริเชต์ กล่าวผ่านหนังสือพิมพ์วอลสตรีต เจอร์นัล ว่า “ในสถานการณ์ที่มีภาวะเงินเฟ้อเป็นภัยคุกคามต่อสินค้าโภคภัณฑ์ ธนาคารกลางทุกแห่งจะต้องใช้ความรอบคอบ และระมัดระวังว่าจะไม่มีผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อรอบที่ 2”

 

อย่างไรก็ตาม คำกล่าวของตริเชต์บ่งชี้ว่า ECB กังวลกับปัญหานี้ แต่ยังเชื่อว่าเป็นเพียงปฏิกิริยาระยะสั้น หรือเป็นเพียงเงินชั่วครั้งคราว ไม่มีรอบที่ 2 (ซึ่งหมายความว่า เป็นปัญหาเงินเฟ้อในระยะยาวอย่างแน่นอน) ไม่เพียงเท่านั้นคำพูดนี้แฝงนัยบางประการ ซึ่งจะกล่าวต่อไปในส่วนถึงมูลเหตุที่ทำให้ปัญหาเงินเฟ้อรุนแรงยิ่งขึ้น

 

ทั้งนี้ ไม่เพียงเกิดภาวะแพร่ระบาดของภาวะเงินเฟ้อเท่านั้น แต่ปริมณฑลของผลกระทบยังสั่นสะเทือนไปถึงกลุ่มคนที่หลากหลายมากขึ้น

 

แต่แรกเริ่มนั้นผู้บริโภคเป็นกลุ่มแรกที่ต้องบอบช้ำจากราคาสินค้าและบริการที่แพงขึ้น โดยเฉพาะผู้บริโภคที่มีรายได้น้อย อันเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ยังผลให้รัฐบาลต้องเร่งรักษาเสถียรภาพด้านราคา เพื่อป้องกันเหตุวุ่นวายทางสังคม อันจะกระทบไปถึงสถานะทางการเมืองของรัฐบาลนั้นๆ

 

ในเวลาต่อมา กลุ่มนักลงทุนเริ่มเป็นฝ่ายที่ได้รับผลกระทบบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ลงทุนกับพันธบัตรของรัฐบาล ซึ่งกำลังเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อ เนื่องจากเงินเฟ้อเป็นปัจจัยลบโดยตรงต่อการลงทุนประเภทนี้

 

ขณะนี้ประชาชนส่วนใหญ่และนายทุนส่วนน้อย จึงต่างรับผลกระทบจากปัญหาเดียวกันและด้วยความวิตกที่คล้ายคลึงกันนั่นคือ กำลังซื้อของตัวเองกำลังถดถอยลงอย่างรวดเร็ว

 

จากการสำรวจโดยบริษัท Northern Trust พบว่า นักลงทุนทั่วโลก 62 ราย เชื่อว่าปัญหาเงินเฟ้อจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในช่วง 6 เดือนต่อจากนี้ และอีก 53 รายเชื่อว่า จะมีการขึ้นดอกเบี้ยภายในช่วงไตรมาสแรก

 

ปัญหาเงินเฟ้อส่วนหนึ่ง (ซึ่งอาจเป็นส่วนใหญ่เสียด้วยซ้ำ) มาจากการที่ประเทศตะวันตกพิมพ์และปั๊มเงินเข้าสู่ระบบอย่างล้นหลาม ทั้งสหรัฐและยุโรป โดยเฉพาะสหรัฐที่อ้างสิทธิในการพิมพ์ธนบัตรโดยไม่ต้องอิงกับทองคำสำรองได้ตามใจชอบ ดังที่ล่าสุดได้ใช้มาตรการ QE2 และอาจมี QE3 ติดตามมาอีกในอนาคต

 

การพิมพ์ธนบัตรในกรณีของสหรัฐนั้น มีจุดประสงค์ก็เพื่อซื้อพันธบัตรของตัวเอง นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่จีนจะเข้ามาระดมซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอย่างต่อเนื่อง เพราะยังมีความน่าเชื่อถือ อีกทั้งยังเป็นโอกาสในการมีอิทธิพลเหนือเศรษฐกิจสหรัฐในทางอ้อม แต่แล้วเงินเหรียญสหรัฐกลับยิ่งอ่อนค่าลงยังผลให้นักลงทุนเริ่มผละหนี

 

ส่วนสถานการณ์ของยุโรป การอัดเงินเข้าสู่ระบบยิ่งทำให้นักลงทุนแห่หนีไปยังตลาดเกิดใหม่ที่มีความคึกคักและปลอดภัยกว่า เนื่องจากพันธบัตรของยุโรปแทบไม่เหลือความน่าเชื่อถืออีกต่อไปในหลายๆ ประเทศ เว้นเพียงเยอรมนี และอาจกล่าวได้ว่า อนาคตของ Eurozone อยู่ในกำมือของเยอรมนี ซึ่งมีสถานะทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ดังจะเห็นได้จากระดับความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ปรับขึ้นมาเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน และสูงสุดนับตั้งแต่เยอรมนีรวมชาติเมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว

 

อนึ่ง การที่ ECB ไม่แสดงอาการร้อนอกร้อนใจต่อทิศทางเงินเฟ้อ ก็เพราะยังจำเป็นจะต้องพิมพ์ธนบัตรต่อไปเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนมากกว่า ทว่า การทำเช่นนี้เท่ากับดึงประเทศที่ไม่มีปัญหาให้ต้องแบกรับปัญหาไปด้วย ดังเช่นเยอรมนีที่คัดค้านการกระทำเช่นนี้มาโดยตลอด

 

นอกจากนี้ เยอรมนีเพียงประเทศเดียวไม่ช่วยทำให้อะไรดีขึ้น เพราะนี่คือสิ่งเกิดขึ้นกับ “กลุ่ม”มิใช่ “ปัจเจก” นักลงทุนจึงผละหนีเช่นกัน และเข้าทำนองหนีเสือปะจระเข้โดยแท้ เพราะช่วงที่สหรัฐเผชิญกับวิกฤตการเงินและเศรษฐกิจถดถอยนั้น นักลงทุนฝากความหวังไว้ที่ยุโรปค่อนข้างมาก ว่าจะเป็นทางเลือกที่ “น่าจะ” ปลอดภัยกว่า

 

ด้วยปัจจัยรุมเร้ารอบด้านยังผลให้เม็ดเงินเหล่านั้นเริ่มไหลทะลักไปยังภูมิภาคต่างๆ โดยเฉพาะเอเชีย ทำให้เงินเฟ้อในภูมิภาคทะลุเป้าในทันตา สิ่งที่ตามมาคือ รัฐบาลของนานาประเทศพยายามปิดกั้นกระแสไหลบ่าของทุนนอก นับว่าเป็นอีกคราที่นักลงทุนเริ่มตระหนักว่า ปริมาณเงินที่ล้นทะลักในระบบเศรษฐกิจโลกนั้น เป็นภัยคุกคามต่อตัวเองมากเพียงใด

 

ด้วยเหตุนี้นักลงทุนจึงหันไปลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์กันอย่างโกลาหล ไม่ว่าจะเป็นทองคำ น้ำมัน ซึ่งมีความปลอดภัยสูง ดังจะเห็นได้ว่า หลังจากที่ตลาดเกิดใหม่เริ่มตั้งปราการสกัดทุนนอก ปรากฏว่าราคาน้ำมันถีบตัวขึ้นมาในทันที และเมื่อใดก็ตามที่น้ำมัน สินค้าทุกประเภทจะแพงตามไปด้วย เนื่องจากเป็นต้นทุนการผลิตที่สำคัญที่สุด

 

ในระยะแรกนั้นราคาทองคำและน้ำมันปรับขึ้นต่อเนื่อง แต่ไม่นับว่าหวือหวารุนแรง จนกระทั่งมีปัจจัยลบเข้ามารุมเร้าทำให้สถานการณ์เลวร้ายกว่าที่คาด เพราะประจวบเหมาะกับที่ยุโรปมีสภาพการณ์ที่ย่ำแย่ลง มิหนำซ้ำสินค้าโภคภัณฑ์หลายตัวยังได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ ตั้งแต่สินค้าเกษตรไปจนถึงพลังงาน อย่างเช่นถ่านหิน กลายเป็นแรงกระหน่ำให้การลงทุนในตลาดโภคภัณฑ์ร้อนแรง

 

นายทุนหรือนักลงทุน เป็นกลุ่มคนที่พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้สะดวกกว่าผู้บริโภคทั่วๆ ไป การที่นักลงทุนโยกย้ายหนีปัจจัยลบจากประเทศหนึ่งสู่อีกประเทศหนึ่ง จากตลาดหนึ่งสู่อีกตลาดหนึ่ง แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นนี้ได้เป็นอย่างดี

 

ในช่วงเวลาที่เงินเฟ้อกำลังคุกคามรอบด้าน นักลงทุนกลุ่มหนึ่งอาจเริ่มได้รับผลกระทบ แต่มีอีกจำนวนไม่น้อยที่เชื่อมั่นว่า ตลาดโภคภัณฑ์คือตลาดที่มั่นคงที่สุด ยิ่งเงินเฟ้อรุนแรงเพียงใด ยิ่งสามารถกอบโกยได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ

 

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังมีเหตุผลที่จะต้องกังวลกับปัญหานี้ อย่างน้อยในฐานะผู้บริโภค และอย่างน้อยปัญหาเงินเฟ้อจะส่งผลสะเทือนต่อเสถียรภาพทางการเงิน หากเกิดความวุ่นวายถึงขั้นจลาจลดังที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 3 ปีก่อน ซึ่งขณะนี้ ประธานาธิบดี นิโกลาส์ ซาร์โกซี ในฐานะประธานกลุ่ม G20 ถึงกับต้องกำหนดแนวทางเพื่อสกัดกั้นราคาสินค้าแพง และป้องกันจลาจลจากวิกฤตอาหารที่สุ่มเสี่ยงจะปะทุขึ้นอยู่รอมร่อ

 

ด้วยเหตุนี้ต่อให้การลงทุนมีความยืดหยุ่นหรือรู้หลบเป็นปีกเพียงใด ย่อมหลีกไม่พ้นความเสี่ยงที่กำลังก่อตัวขึ้นรอบด้าน

 

ถึงที่สุดแล้วปัญหาเงินเฟ้อจะกลับมาเป็นหอกทิ่มแทงนักลงทุนเอาง่ายๆ

 

 

ข่าววันนี้แน่นเชียว อ่านแล้วต้องตระหน้ก หนักแน่น กับทองคำมาก ๆ ขอบคุณคะพี่ขายของ ติดตามต่อปายคะ.

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คุณ Zagio ลองเข้าไปที่กระทู้อันแรก แล้วลองกดแก้ไขดูนะครับ ว่า สามารถเปลี่ยนแปลงได้ไหม

แล้วก็กดบันทึกสิ่งที่แก้ไข อีกครั้งหนึ่งครับ

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์เองครับ

 

ปีนี้ผมเดาว่าน้อง ทอง ต้องเกิน 1500 us แน่นอน

 

ฟันธง คอนเฟิร์ม

 

 

บางคนมีเงิน 1 ล้านบาท ยังว่าไม่เยอะ ยังจะขวนขวายหาไปเรื่อยๆ เป็น 1 ร้อย พัน หมื่นล้านบาท

 

มัรถยนต์ 1 คัน ยังไม่พอ ยังจะซื้อเพิ่ม อีก 4 -5 คัน

 

เสื้อผ้า รองเท้า กางเกง ก็มีเป้น 100 ชุด ก็ยังจะซื้อเพิ่มขึ้น อีก เรื่อยๆ

 

ทองคำมี 1 บาท ก็ยังอยากจะซื้อให้มีมากกว่านี้

 

ทุกอย่างผมว่าไม่พอสำหรับ คนบนโลกนี้หรอกครับ

 

ไม่ว่าจะ เงินบาท เงิน US เงินสกุลต่างๆ ทองคำ รถยนต์ อาหาร น้ำสะอาด บ้าน ฯลฯ :rolleyes: :rolleyes: :rolleyes:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...