ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
moddang

ข้อคิดคำคม - เกร็ดความรู้

โพสต์แนะนำ

รวมวิธีประหยัดน้ำ-ไฟรับหน้าร้อน แลกกับ"ใบแจ้งหนี้"ที่เย็นขึ้น

1064972qm293tz1zr.gif

 

 

- หน้าร้อนนี้ บิลค่าไฟ - ค่าน้ำของหลายครอบครัวคงจะพุ่งทะยานหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการใช้ งานเครื่องใช้ไฟฟ้า - อุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในบ้านให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงไปของโลกกลม ๆ ที่เราอาศัยอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสถานการณ์ที่โลกของเรากำลังขาดแคลนวัตถุดิบที่จะนำมาผลิตเป็นพลังงานให้ เราได้ใช้กันอย่างสะดวกสบายเหมือนเช่นในอดีต

 

แน่นอนว่าเทคนิคบางข้ออาจดูคุ้นตา แต่สาเหตุที่เรายังนำมารวบรวมไว้ก็เพราะว่า การรณรงค์ที่ผ่านมา ไม่ค่อยเกิดผลเท่าไรนักในแง่ของการปฏิบัติ ส่งผลให้ปัญหาการขาดแคลนพลังงานและทรัพยากรในปัจจุบันมีความรุนแรงมากขึ้น นั่นเอง

 

ดังนั้นแม้ว่าบางข้ออาจเป็นเรื่องที่ฟังมาแล้วหลายครั้ง แต่หากลองถามตัวเองว่าได้เคยปฏิบัติตามไหม และทำได้บ่อยหรือเปล่าก็อาจเป็นอีกหนึ่งการทบทวนที่ดีค่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เทคนิคที่นำมาบอกกล่าวจะมีอะไรบ้างนั้น ติดตามกันได้เลยค่ะ

 

1. สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการซักผ้าให้หอมสะอาด หากเสื้อผ้าที่สวมใส่แล้วยังไม่เยอะพอ ขอให้รอจนผ้าเยอะก่อนจึงค่อยซัก จะช่วยประหยัดน้ำได้ หรือหากจำเป็นต้องซักผ้าบ่อย ๆ โดยที่ผ้าไม่เต็มเครื่องนั้น อาจเปลี่ยนมาเป็นการซักด้วยมือ หรือปรับฟังก์ชันในการทำงานของเครื่องซักผ้าให้เหมาะสมแทนเพื่อลดการสิ้น เปลืองน้ำ

 

2. หากที่บ้านมีเครื่องล้างจาน (รวมถึงเครื่องซักผ้าบางรุ่น) ที่สามารถตั้งอุณหภูมิของน้ำได้ ก็ไม่ควรตั้งไว้สูงมาก เพราะจะสิ้นเปลืองพลังงานในการทำให้น้ำร้อน

 

3. แต่สำหรับการล้างจานโดยทั่วไปแล้ว แค่แช่ภาชนะที่ต้องการล้างในน้ำสัก 1 กะละมังเป็นเวลานาน ๆ ก่อนจะล้างตามปกติด้วยน้ำยาล้างจานและฟองน้ำก็เพียงพอ เพราะน้ำจะช่วยให้คราบสกปรกหลุดออกได้ง่ายกว่า

 

4. ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีแดดแรงมาก แต่เครื่องอบผ้าก็ยังขายได้ และมีหลายครอบครัวที่ซื้อเครื่องอบผ้ามาใช้งานด้วยเหตุผลต่าง ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความสะดวกสบาย หรือทำเลของบ้านไม่เหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น ครอบครัวที่อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียม หรือบ้านจัดสรร อย่างไรก็ดี ในหน้าร้อนนี้ ใช้แดดให้เป็นประโยชน์บ้างก็คงประหยัดไฟช่วยชาติได้อีกมากทีเดียว

 

5. ควรถอดปลั๊กโทรทัศน์ วิดีโอ เครื่องเสียง เมื่อไม่ใช้งาน แทนการเสียบปลั๊กเอาไว้ให้มันอยู่ในโหมดแสตนด์บาย เพราะจะช่วยประหยัดพลังงานได้ถึง 10% - 60% (อย่างไรก็ดี ข้อนี้แม้จะมีการรณรงค์กันค่อนข้างมาก แต่ในหลายครอบครัวก็ยังทำได้ยากอยู่ ซึ่งอาจมีหลายสาเหตุ เช่น การเสียบ - ถอดปลั๊กทำได้ไม่สะดวก อาจมองหาปลั๊กที่มีสวิตช์เปิดปิดมาใช้งานแทน)

 

6. หมั่นละลายน้ำแข็งในตู้เย็นเป็นประจำจะช่วยให้ตู้เย็นทำงานได้อย่างมี ประสิทธิภาพมากขึ้น

 

7. ยามค่ำคืน หากสามารถเปิดหน้าต่างให้ลมจากภายนอกพัดเข้ามาได้ก็จะเป็นการดี (ถ้าบ้านไม่มียุง หรือขโมยมารบกวน) เพราะนอกจากจะได้สัมผัสบรรยากาศการนอนที่แตกต่างจากการเปิดเครื่องปรับอากาศ แล้ว ยังช่วยให้อากาศในห้องมีการหมุนเวียนอีกด้วย แต่ถ้าร้อนจนเกินไป การมองหาพัดลมเป็นตัวช่วยพิเศษก็ช่วยประหยัดค่าไฟให้ได้มากเช่นกัน

 

8. หากมีสวนและต้องเปิดไฟในสวน ควรเลือกซื้ออุปกรณ์ให้แสงสว่างในสวนชนิดที่ประหยัดไฟ หรือใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกซื้อหาหลายแบบหลายชนิด นอกจากจะประหยัดค่าไฟแล้ว ยังช่วยลดค่าติดตั้ง เดินสายไฟ และไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้งานด้วย

 

9. การใช้งานหลอดไฟในบ้าน ไม่สำคัญว่าคุณใช้หลอดผอม หรือหลอดตะเกียบ แต่ทันทีที่ไม่ใช้งานห้องนั้น ๆ แล้วก็ไม่ควรเปิดไฟทิ้งไว้

 

10. การปิดก๊อกน้ำระหว่างแปรงฟันช่วยให้ครอบครัวประหยัดน้ำได้ประมาณ 5 ลิตรต่อการแปรง 1 ครั้ง

 

11. สำหรับการรดน้ำต้นไม้ในสวน ลองเปลี่ยนจากการใช้สายยาง หรือหัวฉีดอัตโนมัติมาเป็นการใช้ฝักบัวรดน้ำ หรือใช้ขันตักน้ำราดต้นไม้จะช่วยประหยัดน้ำได้มากกว่า แถมยังได้ออกกำลังกายอีกด้วย

 

12. เลือกทำครัวด้วยอุปกรณ์ที่เหมาะสม หากอาหารที่ต้องการปรุง หรืออุ่นนั้นมีไม่เยอะมาก ก็ควรเลือกใช้ภาชนะขนาดพอดีกับปริมาณของอาหาร การใช้ภาชนะที่ใหญ่เกินไปจะทำให้เปลืองน้ำเวลาทำความสะอาด

 

13. ถ้าต้องการใช้น้ำร้อนในการทำอาหาร การต้มน้ำให้ร้อนก่อนด้วยกาต้มน้ำไฟฟ้า จะช่วยประหยัดพลังงานและเวลาได้มากกว่าการต้มน้ำในหม้อหรือภาชนะประกอบอาหาร โดยใช้แก๊ส

 

14. หากต้องการชงชา หรือกาแฟ และต้องใช้น้ำร้อนจากกาต้มน้ำไฟฟ้า ควรใส่น้ำในปริมาณที่ต้องการ ไม่ควรมากจนเต็มกา เพราะจะทำให้สิ้นเปลืองพลังงานและเวลาในการทำให้น้ำร้อนไปโดยเปล่าประโยชน์

 

15. การตั้งตู้เย็นในบ้าน ไม่ควรวางในที่ที่มีแสงแดดส่องถึง หรือตั้งใกล้กับเตาอบ เพราะจะทำให้ตู้เย็นทำงานหนัก นอกจากนั้น ควรวางห่างจากผนัง เพื่อที่จะได้มีพื้นที่สำหรับระบายความร้อนที่ตู้เย็นสร้างขึ้นให้ไหล ผ่านออกไปได้ง่าย

 

16. ไม่ควรเปิดประตูตู้เย็นทิ้งไว้นาน ๆ เพราะจะทำให้ความเย็นในตู้ไหลออก ส่งผลต่อการทำงานของระบบทำความเย็นที่ต้องทำงานหนักขึ้น กรณีของการปิดตู้เย็นไม่สนิทก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องระมัดระวังเช่นกัน

 

17. ไม่ควรนำอาหารปรุงสุกใหม่ ๆ หรืออาหารที่มีอุณหภูมิสูง ๆ เข้าแช่ในตู้เย็น เพราะความร้อนจากอาหารจะส่งผลต่อการทำงานของตู้เย็นให้ทำงานหนักขึ้น รอให้อาหารนั้น ๆ เย็นเสียก่อนค่อยนำเข้าเก็บในตู้เย็นก็ได้

 

18. มีบางครอบครัวที่เปิดคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้ทั้งคืนเพราะต้องการดาวน์โหลดไฟล์ แต่น้อยคนที่จะยอมปิดหน้าจอ หากต้องการประหยัดพลังงานจริง ๆ ควรปิดจอคอมพิวเตอร์ไปเลยทุกครั้งที่ไม่ใช้งาน เพราะอย่างน้อย การปิดจอก็ไม่ได้ทำให้การดาวน์โหลดนั้นขาดตอนแต่อย่างใด

 

19. การเปลี่ยนจอคอมพิวเตอร์จากแบบ CRT เป็นจอแบนชนิด LCD ก็ช่วยประหยัดไฟให้กับครอบครัวได้มากขึ้นเช่นกัน

 

20. เมื่อทำการชาร์จไฟให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ, ถ่านไฟ, กล้องวิดีโอ, ฯลฯ เสร็จสิ้นแล้ว อย่าลืมถอดแท่นชาร์จออกจากปลั๊ก

เรียบเรียงจาก Electricity Guide.co.uk

 

http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9530000040174

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

" ไม่หลงความคิด ไม่ติดความเห็น "

พระไพศาล วิสาโล.....

 

443081fwtx95sy3b.gif

 

บิดา ของ“วิทยา”เป็นคนสูบบุหรี่จัดจนเป็นมะเร็งปอด ระหว่างที่พ่อเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล เขาขอร้องให้พ่อเลิกสูบบุหรี่ตามคำแนะนำของหมอ พ่ออิดออดแต่ก็ยอมตามในที่สุด เมื่อรักษาครบกำหนด พ่อกลับมาพักฟื้นที่อพาร์ทเมนท์ที่ลูกเช่าให้ แต่อาการก็ทรุดลงตามลำดับ วันหนึ่งขณะที่มาเยี่ยมพ่อ เขาเห็นก้นบุหรี่หลายอันตกอยู่บนระเบียง จึงต่อว่าพ่อ แต่พ่อปฏิเสธ เขาโมโหมากที่พ่อปากแข็ง จึงใช้คำรุนแรงกับพ่อ หลังจากนั้นไม่นานพ่อได้เสียชีวิตด้วยโรคแทรกซ้อน เมื่อจัดงานศพเสร็จ เขามาเก็บข้าวของของพ่อที่อพาร์เมนท์ เขาแปลกใจที่พบว่ายังมีก้นบุหรี่ที่เพิ่งทิ้งใหม่ ๆ ตกอยู่ที่ระเบียง ในที่สุดเขาจึงรู้ว่าก้นบุหรี่ที่เห็นในวันนั้นไม่ใช่ของพ่อ แต่เป็นของห้องข้างบนที่โยนลงมาและคงโดนลมพัดปลิวมาตกที่ระเบียงห้องของพ่อ เขารู้สึกผิดมากที่ไม่เชื่อพ่อแถมกล่าวหาพ่อว่าดื้อดึงและปากแข็ง แต่สายไปแล้วที่จะไปขอขมาท่าน

 

วิทยาไม่เชื่อพ่อเพราะมั่นใจใน ความคิดของตนเอง เมื่อเห็นก้นบุหรี่ที่ระเบียงห้องของพ่อ เขาก็สรุปทันทีว่าพ่อไม่ยอมเลิกบุหรี่ เขาไม่ยอมมองมุมอื่น ทั้ง ๆ ที่พ่อยืนกรานว่าไม่ได้สูบบุหรี่ ความเชื่อมั่นในความคิดของตนนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่มึนตึงกับพ่อ จนกลายเป็นตราบาปในใจเขา รูปการน่าจะเป็นอย่างที่วิทยาคิด แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ หากวิทยาไม่ด่วนสรุป หรือเผื่อใจไว้บ้างว่า ความจริงอาจไม่เป็นอย่างที่เขาคิด เขาคงไม่กล่าวหาและใช้คำรุนแรงกับพ่อเช่นนั้น นี้คือบทเรียนราคาแพงของเขา

 

เมื่อเห็นหรือได้ยินอะไรก็ตาม เรามิได้รับรู้เฉย ๆ แต่มักจะมีความคิดหรือข้อสรุปเกี่ยวกับสิ่งนั้นตามมาด้วย ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ยิ่งเป็นเรื่องที่เราถือว่าสำคัญ ก็อดไม่ได้ที่จะต้องตีความหรือคิดต่อจากสิ่งที่เห็นและได้ยิน นี้เป็นเรื่องธรรมดา แต่ปัญหามักเกิดขึ้นเมื่อเราเชื่อมั่นในความคิดหรือข้อสรุปนั้น จนบางครั้งเผลอทึกทักว่าเป็นความจริง

 

ความเข้าใจผิดมักเกิดจากการด่วน สรุปและติดยึดในความคิดจนไม่สามารถยอมรับความจริง(หรือความเห็น)ที่สวนทาง กับความคิดนั้น คู่รักมักกล่าวหาอีกฝ่ายว่านอกใจเพียงเพราะเห็นเขา(หรือเธอ)หัวร่อต่อกระซิก กับเพศตรงข้ามในร้านอาหาร เพียงแค่ทักเพื่อนแล้วเขาไม่ทักตอบแถมมีสีหน้ามึนตึง ก็สรุปแล้วว่าเขาไม่พอใจเรา เราก็เลยมึนตึงกับเขาเป็นการตอบโต้

 

ความคิดกับความจริงนั้นไม่ใช่ สิ่งเดียวกัน แม้ความคิดสามารถนำเราไปสู่ความจริง เช่นเดียวกับแผนที่ที่พาเราไปถึงจุดหมายปลายทาง แต่เราก็พบบ่อยมิใช่หรือว่าแผนที่(โดยเฉพาะที่ทำอย่างหยาบ ๆ และโดยคนที่ไม่รู้จริง)สามารถพาเราไปผิดทิศผิดทางได้ ในทำนองเดียวกันความคิดบางอย่างก็กลับพาเราเหินห่างจากความจริง ดังนั้นจึงไม่ควรหลงเชื่อความคิดเสียทีเดียวนัก ควรหัดทักท้วงความคิดบ้าง อย่าลืมว่าแผนที่ที่ดีที่สุดไม่สามารถเป็นตัวแทนของความจริงได้ครบร้อย เปอร์เซ็นต์ ถึงอย่างไรก็ยังมีข้อมูลหรือรายละเอียดสำคัญที่ขาดหายไป

 

อย่าว่าแต่ความคิดเลย แม้แต่ภาพที่ปรากฏแก่สายตาของเรา ก็ยังเชื่อไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเป็นความจริง หรือไม่สามารถยืนยันได้ว่าตรงกับความเป็นจริงร้อยเปอร์เซ็นต์

 

ริชาร์ด ดอว์กินส์ (Richard Dawkins) นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังชาวอังกฤษ เล่าว่า คราวหนึ่งเขาถูกชวนให้ดูคลิปวีดีโอความยาว ๒๕ วินาที เป็นภาพหนุ่มสาว ๖ คนใส่เสื้อขาวและดำยืนเป็นวงกลม ต่างผลัดกันโยนลูกบอลให้แก่กันและกัน ระหว่างนั้นแต่ละคนจะสลับตำแหน่ง รวมทั้งเดินเข้าและออกจากวงตลอดเวลา ก่อนฉายคลิปดังกล่าว ผู้จัดได้บอกเขาและเพื่อน ๆ ว่า ต้องการทดสอบความสามารถในการสังเกตของทุกคน จึงขอให้นับดูว่ามีการโยนลูกบอลให้กันรวมทั้งหมดกี่ครั้ง เมื่อดูจบทุกคนก็เขียนคำตอบลงบนกระดาษ

 

หลังจากผู้จัดเก็บผลการนับของแต่ละคนแล้ว ก็ถามขึ้นมาประโยคหนึ่งซึ่งดอว์กินส์งงงันมาก นั่นคือ “มีกี่คนที่เห็นกอริลลา?” เช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่ที่ได้ดูคลิปวีดีโอ ดอว์กินส์ตอบว่าไม่เห็นกอริลลาเลยสักตัว ผู้จัดจึงฉายวีดีโอคลิปอีกครั้ง พร้อมกับแนะให้ทุกคนดูอย่างสบาย ๆ ไม่ต้องนับอะไรทั้งสิ้น ทุกคนประหลาดใจมากเพราะได้เห็นคนสวมชุดกอริลลาเดินฝ่าวงที่กำลังโยนลูกบอล แถมยังหันหน้ามาที่กล้อง พร้อมกับตีอก ราวกับจะเย้ยหยันคนดู แล้วก็เดินออกไป ทั้งหมดใช้เวลานานถึง ๙ วินาที แต่ปรากฏว่าคนดูส่วนใหญ่มองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้เลย

 

การทดลองดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า แม้แต่สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าต่อตาเรา ก็ยังหลุดลอดสายตาของเราหรือเลือนหายไปจากการรับรู้ของเราได้ โดยเฉพาะเวลาเราจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สิ่งอื่นก็อาจถูกปัดออกไปจากสายตาของเราโดยไม่รู้ตัว

 

มีการทดลองคล้าย ๆ กันซึ่งทำโดย ดาเนียล ไซมอนส์ (Daniel J.Simons) คนเดียวกับที่ทำคลิปวีดีโอดังกล่าว ผู้ทดลองทำทีเข้าไปสอบถามทางกับชายคนหนึ่งที่กำลังเดินอยู่บนทางเท้า ระหว่างที่กำลังคุยกันอยู่ ก็มีชายสองคนขนประตูหรือวัตถุขนาดใหญ่เดินผ่ากลางอย่างไร้มารยาท จังหวะนั้นเองผู้ทดลองก็สลับบทบาทกับหนึ่งในสองคนนั้น คือขนประตูแทน และให้อีกคนมายืนคุยกับชายผู้นั้น ผลการทดลองปรากฏว่าร้อยละ ๕๐ ของฝ่ายหลังไม่เฉลียวใจเลยว่าตนกำลังคุยกับอีกคนหนึ่ง

 

การรับรู้ของเราแม้เห็นด้วยตาแท้ ๆ ก็ยังมีข้อจำกัด เรารับรู้เพียงบางสิ่ง และตัดทอนอีกหลายสิ่งออกไปโดยไม่รู้ตัว นี้คือเหตุผลที่ครึ่งหนึ่งของคนเดินเท้าในการทดลองข้างต้นคิดว่าตนกำลัง คุยอยู่กับคนเดียวกันกับที่มาถามทางตอนต้น ถ้ามีใครมาบอกเขาว่าความจริงไม่ใช่เช่นนั้น เขาคงยืนยันหัวชนฝาว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะเขาเชื่อสายตาของเขา

 

เช่นเดียวกับภาพที่ปรากฏแก่สายตาของเรา ความทรงจำก็เชื่อไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่าว่าแต่ความจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่นานเป็นปีเลย แม้แต่เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อชั่วครู่ที่แล้ว ความจำของเราก็อาจคลาดเคลื่อนได้

 

ขณะที่อาจารย์ผู้หนึ่งกำลังบรรยายวิชาอาชญาวิทยา จู่ ๆ ชายพร้อมอาวุธก็บุกเข้ามาในห้องบรรยาย พร้อมกับฉกชิงกระเป๋าเอกสารของอาจารย์ไป หลังจากที่โจรวิ่งออกไปแล้ว อาจารย์ซึ่งมีสีหน้าเรียบเฉย ถามนักศึกษาซึ่งตกตะลึงทั้งชั้น ว่าโจรผู้นั้นมีลักษณะอย่างไร

 

ปรากฏว่าคำตอบที่ได้แตกต่างกันไปคนละทิศละทาง โจรมีทั้งรูปร่างผอมและอ้วน ทั้งใส่และไม่ใส่แว่นตา มีทั้งผมดำและผมบลอนด์ มีทั้งสูง ๕ ฟุตครึ่งไปจนถึง ๖ ฟุตครึ่ง มีทั้งใส่เสื้อ

เชิร์ตกางเกงยีนส์และสวมเสื้อหนังและกางเกงสีน้ำตาล

 

เฟรด อินเบา (Fred Inbau) คืออาจารย์ผู้นี้ เขาต้องการชี้ให้เห็นว่าคำให้การของประจักษ์พยานนั้นไม่สามารถเชื่อถือได้ ทั้งหมด ส่วนหนึ่งก็เพราะเราเห็นความจริงแต่บางแง่ ส่วนที่เหลือหากไม่มองข้ามไปก็เติมแต่งเอาเอง

 

ความทรงจำในสมองของเราจึงมีทั้งความจริงและความคิดปรุงแต่งปะปนกัน ทั้งโดยตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ยิ่งไปกว่านั้นความทรงจำของเราแปรเปลี่ยนได้ตลอดเวลา และง่ายที่คนอื่นจะมาต่อเติมหรือแทรกแซงได้ด้วย ในการทดลองคราวหนึ่ง มีหลายคนเห็นอุบัติเหตุเกิดขึ้นตรงสี่แยกขณะที่สัญญาณจราจรเป็นสีแดง หลังจากนั้นครึ่งหนึ่งของคนกลุ่มนี้ได้รับการบอกเล่าว่าสัญญาณจราจรเป็นสี เขียว เมื่อมีการสอบถามคนกลุ่มนี้ในเวลาต่อมาว่าสัญญาณเป็นสีอะไร คนที่ได้รับการบอกเล่ามาก่อนมีแนวโน้มจะตอบว่าสัญญาณเป็นสีเขียว

 

ทั้งหมดนี้ชี้ว่า “ความจริง”ในสายตาหรือการรับรู้ของเรานั้น มักจะมีความคิดเจือปนหรือปรุงแต่งไม่มากก็น้อย ดังนั้นจึงมักจะไม่ตรงกับความเป็นจริง ที่ควรตั้งเป็นข้อสังเกตก็คือตัวอย่างที่ยกมานี้เป็นเหตุการณ์กลาง ๆ ที่ไม่เกี่ยวพันกับอคติของผู้สังเกต หากเป็นเรื่องที่ผู้สังเกตมีอคติหรือความคิดล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้ว ก็จะเห็นความจริงคลาดเคลื่อนยิ่งไปกว่านี้ เช่นถ้าชอบใคร(ฉันทาคติ)ก็เห็นเขาดีไปหมด มองไม่เห็นด้านร้ายของเขาเลย หรือถ้าโกรธใคร (โทสาคติ)ก็เห็นแต่ด้านร้ายของเขา มองไม่เห็นความดีของเขาเลย

 

ด้วยเหตุที่เรามีข้อจำกัดในการรับรู้ จึงไม่ควรยึดติดถือมั่นว่าการรับรู้ของเราถูกต้อง ส่วนของคนอื่นนั้นผิด ในทำนองเดียวกันความคิดหรือข้อสรุปใด ๆ ก็ไม่ควรด่วนสรุปหรือมั่นใจว่าถูกต้อง ควรเผื่อใจไว้เสมอว่าเรายังเห็นความจริงไม่ครบถ้วนและสิ่งที่เราคิดนั้นอาจ ผิดก็ได้ จริงอยู่เราคงทำอะไรไม่ได้เลยหากไม่มีข้อสรุปบางอย่างหรือเชื่อว่าบางสิ่ง บางอย่างเป็นความจริง แต่ระหว่างที่เราทำไปตามความคิดหรือความเชื่อนั้น ก็ควรเปิดใจรับรู้สิ่งที่แตกต่างไปจากความคิดและความเชื่อนั้นบ้าง

 

ในพุทธศาสนามีหลักธรรมข้อหนึ่ง ที่เกื้อกูลต่อการพัฒนาปัญญา ได้แก่ “สัจจานุรักษ์” คือการพร้อมรับฟังความคิดความเห็นของผู้อื่นด้วยใจเป็นกลาง ไม่ด่วนตัดสินว่าเป็นเท็จ และไม่ยึดติดหรือยืนกรานว่าสิ่งที่ตนรู้หรือคิดเห็นเท่านั้นถูกต้องเป็นจริง

 

สัจจานุรักษ์หากใช้คู่กับกาลาม สูตรก็จะช่วยให้เราไม่ตกเป็นทาสของความคิด พร้อมเปิดใจกว้างเพื่อเข้าถึงความจริงให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะข้อที่พระพุทธองค์ตรัสว่า “อย่าปลงใจเชื่อเพราะตรรกะ...เพราะการอนุมาน....เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่ พินิจแล้ว...เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ รวมทั้งอย่าปลงใจเชื่อด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล”

 

ถ้าเราไม่ด่วนสรุปหรือหลงเชื่อ ความคิดของตน แม้จะดูมีเหตุผลเพียงใด เราจะทะเลาะวิวาทหรือทำร้ายกันน้อยลง แม้กระทั่งกับคนที่เรารักหรือรักเรา

 

นิตยสารสารคดี : ฉบับที่ ๓๐๐ :: กุมภาพันธ์ ๕๓ ปีที่ ๒๕

คอลัมน์รับอรุณ : ไม่หลงความคิด ไม่ติดความเห็น

พระไพศาล วิสาโล

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Pet airways สายการบินเฉพาะน้องเหมียว และพี่ตูบ

[/size]

34_20100519165314..jpg

 

สายการบินแห่งแรกและแห่งเดียวในโลก ทางเลือกใหม่ให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงที่มีความประสงค์จะพาน้องหมาน้องแมว โดยสารเครื่องบิน...

แต่ เดิมนั้นหากเจ้าของจะพาน้องหมา น้องแมว เดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือนอกประเทศโดยอาศัยเครื่องบินเป็นยานพาหนะ น้องหมา น้องแมวจะถูกบรรทุกอยู่ใต้ท้องเครื่องบินในสถานที่คับแคบไม่สะดวกสบาย สร้างความกังวลให้กับเจ้าของไม่น้อย และแล้วความสะดวกสบายก็บังเกิดกับน้องหมาน้องแมวเสียที เมื่อมีนักธุรกิจชาวอเมริกันคนหนึ่งได้จัดสายการบินไว้บริการสำหรับสัตว์ เลี้ยงโดยเฉพาะ

 

สายการบินนี้มีชื่อว่า Pet Airways เป็นก่อตั้งโดย Dan และ Alysa Binder นักธุรกิจชาวอเมริกัน ซึ่งพวกเขาต้องการนำเสนอทางเลือกใหม่ให้กับเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่มีความ ประสงค์จะพาน้องหมาน้องแมวโดยสารเครื่องบินอย่างสะดวกสบาย โดยไม่ต้องทนอยู่ในสถานที่คับแคบในคาร์โก้เก็บสินค้าอย่างแต่ก่อน

 

Pet Airways เป็นสายการบินแบบเฟิร์สคลาสที่เปิดให้บริการสำหรับผู้โดยสารที่เป็นสัตว์ เลี้ยงเท่านั้น โดยจะเปิดเที่ยวบินแรกที่เมือง นิวยอร์ก วอชิงตัน ดีซี ชิคาโก เดนเวอร์ และลอสแองเจลิส ในอัตราค่าโดยสารเริ่มต้นที่ตัวละ $ 149 หรือประมาณ 5,000 บาท

 

นอกจากนี้ สายการบิน Pet Airways ยังมีพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินคอยทำหน้าที่ดูแลน้องหมาน้องแมว และอำนวยความสะดวกให้แก่น้องหมาน้องแมวอย่างเต็มที่ แม้กระทั่งเรื่องการขับถ่ายทั้งก่อนและระหว่างการเดินทางอีกด้วย และที่สำคัญสัตว์เลี้ยงทุกตัวจะมีที่นั่ง (กรงชั้นเยี่ยม) ส่วนตัว ที่สะอาดได้มาตรฐานถูกและสุขลักษณะ ปลอดภัยอย่างแน่นอน

 

สายการบิน Pet Airways มีเครื่องบินไว้คอยบริการน้องหมาน้องแมว จำนวนทั้งหมด 20 ลำ หากเจ้าของมีความต้องการจะใช้บริการ สามารถจองผ่านทางระบบออนไลน์แล้วนำสัตว์เลี้ยงไปเช็คอินที่ Pet Lounge ซึ่งตั้งอยู่ภายในสนามบิน นอกจากนั้น เจ้าของยังสามารถตรวจสอบการเดินทางของน้องหมาน้องแมวสุดรักผ่านทางระบบออ นไลน์ได้อีกด้วย

 

1_display.jpg

 

petairlines02.jpg

 

petairlines05.jpg

 

petairlines06.jpg

 

petairlines03.jpg

 

pet_airways_01.jpg

 

pet_airways_04.jpg

ขอบคุณข้อมูลข่าวจากVoice TV http://www.voicetv.co.th

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

โรงแรมลอยฟ้า....สุดหรู

 

มาดูไอเดียใหม่โรงแรมบนเครื่องบินยักษ์ว่าจะเริ่ดซักแค่ไหน

 

 

ไอเดียใหม่โรงแรมบนเครื่องบินยักษ์ หรูมากมายอ่ะพี่นัทว่าน่าขึ้นไปนอนเล่น ซักคืนนะ แต่ท่าทางคงหมดตัวแหง

 

 

untitled_2.jpg

 

ณ ท่าอากาศยานแห่งหนึ่ง

 

1_13.jpg

 

แต่...เอ๋ มันใช่เครื่องบินหรือเปล่าเนี่ย ใหญ่ซะ

 

2_7.jpg

 

อะฮ้าๆ....มันทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว

 

3_5.jpg

แต่ว่าข้างในไม่มีที่นั่ง มีแต่ห้องนอน

 

4_4.jpg

 

เตียงนอนอันแสนอบอุ่น นุ่มสบาย

5_4.jpg

 

นั่นโน้ตบุ๊คใคร ขอได้ป่ะ

 

6_4.jpg

 

สุขาอยู่หนใด มันก็ยัง...ถ่ายได้

 

เดี๋ยวนี้เครื่องบินเขาพัฒนาแล้ว..ว...ว...ว อิอิ

 

 

ข้อมูล http://www.dek-d.com

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ปลุกพลังบวก เปลี่ยนประเทศ

 

เพื่อนที่ทำบริษัทโฆษณาส่งมาให้ดู เป็นโฆษณาที่ชอบ ตรงประเด็นดี แต่รู้สึกว่าจะไม่ได้ออกอากาศค่ะ

 

http://www.bansuanporpeang.com/node/2841

 

เราทำอะไรผิดไปหรือเปล่า…

รุนแรงไปหรือเปล่า…

ฟังความข้างเดียวหรือเปล่า…

ทำหน้าที่ของตัวเองหรือเปล่า…

คิดถึงประชาชนหรือเปล่า…

โกงหรือเปล่า…

เอาเปรียบหรือเปล่า…

ให้ปัญญาประชาชนหรือเปล่า…

เสื่อมหรือเปล่า…

รักเงินมากกว่าความถูกต้องหรือเปล่า…

แล้วรอการช่วยเหลืออย่างเดียวหรือเปล่า…

 

ถ้าจะต้องมีคนผิด… ก็คงเป็นเราทั้งหมดที่ผิด…

ขอโทษประเทศไทย…

และถ้าจะต้องแก้ไข… ก็คงต้องเป็นเราคนไทยที่ลุกขึ้นมาแก้…

 

จดจำความสูญเสียไว้ในใจ…

แล้วเปลี่ยนให้เป็นพลัง.

 

ปลุกพลังบวก เปลี่ยนประเทศไทย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณนะคะ คุณ little devil เลยได้เซพเว็บดีๆ ไว้อีก

 

" มองกันคนละมุม "

 

แอบประทับใจนิทานที่ คุณ aom จาก ลานธรรมนำมาเล่าต่อ เลยขอนำมาแปะไว้ที่บล๊อกนี้ด้วยนะคะ

 

~*~* อ า ก ง*~*~

 

443112qznln8fnnl.gif

 

 

อากงแก่ๆ คนหนึ่ง รับหน้าที่เลี้ยงดูหลานที่กำลังอยู่ในวัยซนทั้งสี่ หลานทั้งสี่ก็เล่นกันบ้าง ตีกันบ้างตามประสาเด็ก แต่ครั้งหนึ่งรุนแรงจนถึงขนาดที่อากงต้องออกโรงห้ามปราม เมื่ออารมณ์ทุกฝ่ายสงบลง อากงจึงเรียกหลานๆ มานั่งล้อมโต๊ะคุยกัน

 

อากงบอก 'เอาล่ะหลานๆ หลับตานะ หลับตา'

 

พอหลานๆ หลับตาอากงก็เดินกลับเข้าไปห้องเก็บของแล้วหยิบตะเกียงเก่าๆ ออกมาอันหนึ่ง อากงเปิดฝาครอบ จุดไฟ แล้วปิดฝาครอบ

 

อากงบอกหลานทั้งสี่ให้ลืมตา 'บอกซิว่าโคมไฟสีอะไร ?'

 

เด็กทั้งสี่ลืมตาขึ้น เห็นเปลวไฟในตะเกียงสี ต่างแย่งกันตอบ

 

 

คนที่นั่งด้านหนึ่งบอก สีแดง

 

อีกด้านหนึ่งบอกว่า สีเขียว

อีกด้านหนึ่งบอก สีเหลือง

 

และอีกด้านหนึ่งเห็น สีน้ำเงิน

 

:rolleyes: :blink:

 

จากคำตอบเล็กๆ กลายเป็นเสียงถกเถียง และเริ่มทะเลาะกันอย่างรุนแรงขึ้นอีกครั้ง จนเกือบกลายเป็นกรณีพิพาท อากงนิ่ง ปล่อยให้อารมณ์ราวกับพายุของหลานทั้งสี่เริ่มสงบลง

 

หลานคนหนึ่งจึงเอ่ยปากถามว่า 'อากงของอย่างเดียวกัน ทำไมจึงมีตั้งหลายสี ?' อากงยิ้มแล้วบอกว่า 'อากงจะทำอะไรให้ดู'

 

อากงเดินไปที่โต๊ะหยิบฝาครอบตะเกียงออก แล้วหมุนฝาครอบนั้นให้หลานๆ ดู

 

ปรากฏว่าฝาครอบตะเกียงนั้น ทั้งสี่ด้าน มีสีที่แตกต่างกันไป.. สีแดง สีเหลือง สีเขียว สีน้ำเงิน

 

อากงถามอีกว่า 'คราวนี้บอกอากงซิว่า เห็นตะเกียงเป็นสีอะไร ?

 

'สีของไฟ' หลานๆ ตอบเป็นเสียงเดียวกัน

 

'อากงขอถามอะไรสักสองข้อ เมื่อสักครู่นี้ ใครตอบผิด ?'

 

หลานๆ ตอบโดยพร้อมเพรียงกัน 'ไม่มีใครผิด'

 

:blink: :blush:

 

อากงจึงกล่าวต่อไปว่า 'เจ้าทั้งสี่นั่งอยู่ในที่เดียวกัน มองของอย่างเดียวกันในเวลาเดียวกัน ยังเห็นไม่เหมือนกัน นั่นก็เพราะคนทุกคนมองตะเกียงจากมุมมองของตัวเอง มองในสิ่งที่ตัวเองเห็น และก็เชื่อมั่นในสิ่งที่เห็น'

 

'แต่ถ้าเจ้าอยากรู้ว่า ทำไมคนอื่นจึงเห็นไม่เหมือนเรา แตกต่างกับเรา ก็จงเดินไปดูที่มุม ของเขา แล้วเราก็จะรู้ จะเข้าใจว่า เขาเห็นอย่างไร เห็นและคิดได้อย่างที่เขาเห็น'

 

'ต่อไปในอนาคต เวลาที่พวกหลานๆ ต้องเข้าไปอยู่ในสังคม จะต้องพบคนต่างๆ มากมายที่ มองสิ่งเดียวกัน แต่กลับเห็นไม่เหมือนกัน เพราะมีมุมมองที่ต่างกัน ก็อย่าไปโกรธเขา'

 

'เพราะนั่นเพียงแต่เป็นการมองต่างมุม ไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด'

 

'และอย่าไปกลัวว่า ตัวเองจะผิดที่มองไม่เห็นเหมือนคนอื่นเพราะแต่ละคนก็จะเห็นสิ่งต่างๆ ด้วยขอบข่ายจากประสบการณ์และจากสิ่งแวดล้อมของตนเอง'

 

'ถ้าเราอยากเข้าใจว่า ทำไมคนอื่นถึงคิดแบบนั้น เห็นแบบนั้น ก็จงเดินไปที่มุมของเขา เราก็จะรู้ว่าเขาคิดอะไรทำให้เราเข้าใจคนอื่นได้มากขึ้น และเมื่อเราเข้าใจคนอื่นมากขึ้น จะทำให้คนอื่นยอมที่จะเดินมาและเข้าใจหลานเช่นกัน'

 

อากงถามต่อ 'แล้วสิ่งที่เห็นครั้งแรกกับครั้งหลังเป็นของอย่างเดียวกันไหม ?'

 

หลานๆ ตอบ 'อย่างเดียวกัน แต่ไม่เหมือนกัน'

 

'อย่างไร ?' อากงถาม

 

หลานตอบว่า 'ครั้งแรกเราเห็นแต่ฝาครอบตะเกียง แต่ครั้งหลังเราเห็นเปลวไฟที่อยู่ในตะเกียง'

 

อากงจึงกล่าวว่า

 

 

'นี่เป็นการบอกว่า จงอย่ามองสิ่งต่างๆ เพียงแค่ที่เห็น...แต่จงเข้าใจทุกสิ่งอย่างที่มันเป็น'

 

 

http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=kingmaithai&date=15-12-2005&group=27&gblog=8

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คลายเครียด .....ไปเทียวกันดีก่า

 

โรงแรมใต้ทะเลแห่งแรกของ โลก...สวยมากๆ

 

m113704.jpg

 

"โพไซดอน อันเดอร์ซี รีสอร์ต" โรงแรมใต้ทะเลแห่งแรกของโลก!

ที่ตั้ง : บริเวณเกาะนอร์ทเธิร์นลาอู ทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศฟิจิ ในมหาสมุทรแปซิฟิก

เปิดรอให้อภิมหา เศรษฐีใจถึงจากทั่วโลก ลงทะเบียนจองคิวเข้าพักอาศัยได้นับตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม พ.ศ.2550 เป็นต้นไป

คู่รักมหาเศรษฐีที่พร้อมจ่ายเงินก้อนโตมา ฮันนีมูนใต้น้ำ เป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายที่ผู้บริหารโรงแรมเล็งไว้เป็นลูกค้าหลัก

"บรู ซ โจนส์" เจ้าของแนวคิดโรงแรมใต้สมุทรแห่งแรกของโลก เชื่อมั่นว่าจะมีลูกค้ามหาเศรษฐี เข้าคิวควักเงินจองที่พักในมูลค่าสัปดาห์ละ 600,000 บาทมากพอ และสร้างกำไรให้กับกลุ่มผู้ลงทุนเกือบ 20 เจ้าอย่างแน่นอน!

 

"บรูซ โจนส์" นักธุรกิจชาวอเมริกัน มีอายุครบ 50 ปีเต็ม

ตั้งแต่ยังเด็ก โจนส์มีความฝันอยากสร้างที่พักแบบถาวรในทะเล

หลายปีที่ผ่านมา โจนส์วิ่งระดมเงินทุนจากสถาบันการเงิน นักลงทุนเอกชน 17 เจ้า

และ นำทรัพย์สินส่วนตัวเข้าไปค้ำประกันกู้เงินมาได้ประมาณ 4,200 ล้านบาท

สร้าง โรงแรมระดับ 5 ดาว ตั้งอยู่บนบก 22 ห้อง และใต้ทะเลอีก 22 ห้อง

ที่ทีม วิศวกรของโจนส์ต้องทำงานหนักก็คือ โครงสร้างห้องพักในทะเลจำนวน 22 ห้อง

ซึ่ง ยึดเรียงติดกันเป็นแถวยาวผ่านโครงสร้างหลักที่โจนส์เรียกว่า "กระดูกสันหลัง"

ห้อง พักและโรงแรมที่อยู่ใต้ทะเลมีระบบปรับแรงดันอัตโนมัติ และมีระบบเข้าออกแบบ "แอร์ล็อก"

ป้องกัน ไม่ให้น้ำทะเลไหลทะลักเข้ามาภายในตัวโรงแรมยามที่แขกเข้า-ออกไปดำน้ำชม ปะการัง

ส่วนเซ็กชั่นร้านอาหาร-บาร์ใต้ทะเล ขนาด 3,000 ตารางฟุต ก็ออกแบบให้หมุนได้ เพื่อเปลี่ยนทิวทัศน์

ในกรณีที่ห้องพักเสียหาย ช่างซ่อมบำรุงสามารถปลดสลักถอดห้องแต่ละห้องขึ้นมาซ่อมแซมบนบกได้

ส่วน ห้องพักบนบกมีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมสรรพ

ทั้งสระว่ายน้ำ ร้านจำหน่ายอุปกรณ์ดำน้ำ สนามเทนนิส ร้านอาหาร ฯลฯ

นอกจากนั้น ก็ยังมีส่วนห้องรับรองส่วนกลาง ร้านอาหาร ห้องสมุด ห้องประชุม

โบสถ์ จัดงานวิวาห์ และห้องสปา ไว้คอยบริการ

 

m113705.jpg

 

แผนที่ประเทศฟิจิ ในมหาสมุทรแปซิฟิก ที่ตั้งของโพไซดอน รีสอร์ท

อยู่บริเวณเกาะนอร์ทเธอร์นลาอู ทางทิศตะวันออกของกรุงซูวา

*** แผนที่ ตั้งของโรงแรม ***

 

 

ในช่วงแรกของการ เริ่มต้นโครงการโพไซดอน อันเดอร์ซี รีสอร์ต

โจนส์มองทำเล เหมาะๆ ไว้หลายแห่ง อาทิ หมู่เกาะแถบบาฮามาส

แต่ผลสุดท้าย ตัดสินใจเลือกที่ตั้งโรงแรมในฝันที่เกาะส่วนบุคคล บริเวณเกาะนอร์ทเธิร์นลาอู

ทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศฟิจิ ในมหาสมุทรแปซิฟิก

m113706.jpg

 

เหมือนคนอยู่ในตู้ แล้วปลามาดูคนเลยแฮะ

*** ส่วนนึงของโถงทางเดิน ***

 

การเดินทางจากบน บกลงมาใต้น้ำ โดยสารผ่านอุโมงค์ลิฟต์แก้ว

ซึ่งแยกเป็นของแขก 1 อุโมงค์ ของพนักงานอีก 1 อุโมงค์

เทคโนโลยีที่นำ มาใช้สร้างโรงแรมใต้ทะเล เป็นชนิดเดียวกับที่ใช้ต่อตัวถึงเรือดำน้ำ

โจนส์ กล่าวว่า โชคดีที่ธุรกิจเรือดำน้ำของตนได้รับความเชื่อถือมาก

เวลาไปติดต่อขาย แนวคิดโครงการโพไซดอน อันเดอร์ซี รีสอร์ต จึงง่ายขึ้น

 

m113707.jpg

 

*** ลักษณะห้องพักใต้ทะเล หรูหราไม่แพ้โรงแรม 5 ดาวบนบก ***

 

ในส่วนของห้อง พักใต้ทะเล ซึ่งก่อสร้างอยู่ลึกลงไปจากระดับผิวน้ำทะเล 40 ฟุตนั้นก็สะดวก สบายไม่แพ้กัน

ขนาดของห้องพักมีความกว้างและพื้นที่ใช้สอย 550 ตารางฟุต

เนื่องจากโครง สร้างส่วนใหญ่ร้อยละ 70 ของโรงแรมเป็นกระจกอะครีลิกความหนา 4 นิ้ว

จึง ต้องมีการติดตั้งระบบฉีดน้ำทำความสะอาดกระจกให้ใส-สะอาดอยู่เสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้ตะไคร่ สาหร่าย

หรือสิ่งสกปรก อื่นใดใต้ทะเล มาบดบังทัศนียภาพของลูกค้า

ราคาห้องพักใต้ ทะเลที่แพงที่สุด คือ ห้องสูทนอติลุส

สนนราคาค่า บริการ 15,000 เหรียญสหรัฐ หรือ 600,000 บาทต่อ 1 คืนเท่านั้น

m113708.jpg

 

ดีนะมีแต่ปลา ถ้ามีนักประดาน้ำนี่ แย่เลย !!!

 

 

*** ห้องน้ำสุดหรู ***

 

ภายในห้องพักใต้ บาดาลแห่งนี้มีทั้งอ่างอาบน้ำจากุซซี่ ห้องที่โดยรอบติดตั้งกระจกใสทำจากวัสดุอะครีลิก

ทำให้ผู้พักอาศัยมอง เห็นบรรยากาศใต้ท้องทะเล รวมถึงปะการังสีสันสวยงามแบบ "ชัดแจ๋ว" ด้วยระบบไฟส่องสว่าง

m113709.jpg

 

ถ้าหลุดไปมีหวังเสร็จ เจ้าพวกนั้นแน่ ๆ

 

 

*** ลอยไปเรื่อยๆ ***

 

ระบบให้อาหาร สัตว์น้ำโดยตรงจากห้องพัก

แต่ปริมาณอาหารจะถูกจำกัดจำนวนในแต่ละวัน

ป้องกัน ไม่ให้มีเศษอาหารตกค้างมากเกินไปในทะเล

ขณะที่บรรดาปลาทั้งหลายใน พื้นที่จะได้กินแต่พออิ่ม

 

ข้อมูล: http://www.dek-d.com/content/lifestyle/19971/โพไซดอน-อันเดอร์ซี-รีสอร์ต-โรงแรมใต้ทะเลแห่งแรกของโลก.php

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คมมีดจากลมปากมนุษย์...ข้อคิดดี มากๆ

 

 

ATT00000.jpg

 

ATT00001.jpg

 

ATT00002.jpg

 

ATT00003.jpg

 

ATT00004.jpg

 

ATT00005.jpg

 

ATT00006.jpg

 

ATT00006.jpg

 

ATT00007.jpg

 

ATT00008.jpg

 

ATT00009.jpg

 

ATT00010.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...