ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
moddang

ข้อคิดคำคม - เกร็ดความรู้

โพสต์แนะนำ

FW: ส่งต่อ: 20+1 เรื่องที่คุณ(อาจ)ไม่รู้เกี่ยวกับนายก อภิสิทธิ์

 

cid_1_4280222596web76113_mail_sg1_yahoo.jpg

 

 

การเมืองพลิกขั้ว กองเชียร์พลิกข้าง อารมณ์อมทุกข์เคว้งคว้างของหลายคนเริ่มทุเลาเบาคลาย เมื่อประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ของปี 2551(ปีเดียวใช้นายกฯ เปลืองถึง 3 คน) ชื่อ ‘นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ’

 

นอกจากรูปหล่อ อายุน้อย ที่เป็นเหมือน ‘ภาพ-คำ ประจำตัว’ แล้ว นายกฯ หนุ่มคนนี้มีเรื่องที่คุณอาจไม่เคยรู้อีกหลายประการ ไม่เชื่อ...เชิญอ่าน ‘20 เรื่องจริงของนายกฯ อภิสิทธิ์’ ได้ตามอัธยาศัย!

 

cid_2_4280222596web76113_mail_sg1_yahoo.jpg

 

1. นักเรียนอีตัน บัณฑิตออกซ์ฟอร์ด

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เกิดเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2507 ที่เมืองนิวคาสเซิ่ล ประเทศอังกฤษ เรียนชั้นประถมฯ ที่โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ เรียนชั้นมัธยมฯ ที่อีตัน และจบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาปรัชญา การเมืองและเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด โดยเป็นคนไทยคนที่ 3 ที่ได้เกียรตินิยมอันดับ 1 จากนั้นก็เรียนต่อที่เดิม จนจบปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์ นอกจากนี้ ยังได้รับดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขานิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหงอีกด้วย  

 

อนึ่ง หลังจากจบระดับปริญญาตรีจากออกซ์ฟอร์ด เขาได้ไป เป็นอาจารย์ที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เขาชะโงก จังหวัดนครนายก อยู่เกือบ 2 ปี จนได้รับพระราชทานยศเป็น ร้อยตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนี่คือเหตุที่เขาไม่ต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหาร แต่ก็ยังถูกโจมตีว่า ‘หนีทหาร’ จากฝ่ายตรงข้ามจนถึงทุกวันนี้

 

2. ทีมฟุตบอลในดวงใจ

เพราะเกิดที่เมืองนิวคาสเซิลละกระมัง ทำให้ทีมฟุตบอลในดวงใจตลอดกาลของนายอภิสิทธิ์คือทีมสาริกาดง นิวคาสเซิ่ล และกีฬาสุดโปรดของเขาก็คือ ฟุตบอล!

 

3. ร็อค-เพื่อชีวิต

เห็นท่าทางสุภาพๆ เนี้ยบๆ แบบนี้ แต่แนวดนตรีโปรดของนายอภิสิทธิ์คือ เพลง Rock ทุกครั้งที่มีการแสดงคอนเสิร์ตร็อคในประเทศไทย นายอภิสิทธิ์จะต้องหาโอกาสไปโยกในคอนเสิร์ตทุกครั้ง โดยวงดนตรีที่เขาชอบมากคือ R.E.M. กับ U2 เล่ากันว่าเวลานั่งอยู่ในรถ เขามักจะหยิบวอล์คแมนขึ้นมาฟังเพลงร็อคพร้อมกับโยกตัวไปตามเพลงแทบทุกครั้ง บางครั้งก็ร้องออกมาดังๆ (ไม่น่าเชื่อใช่ไหม) แต่ถ้าเป็นเพลงไทยละก็ เขาชอบเพลงเพื่อชีวิต ทุกครั้งที่ถูกขอให้ร้องเพลงบนเวที เพลงของพงษ์สิทธิ์ คำภีร์ กับพงษ์เทพ กระโดนชำนาญ คือเพลงหากิน ของนายกฯ คนที่ 27 คนนี้

 

4. อนุรักษ์นิยมไทย

ถึงแม้จะเกิดและเรียนที่เมืองนอกเป็นเวลาหลายสิบปี แต่นายอภิสิทิ์ ไม่นิยมการพูดไทยคำอังกฤษคำ แม้แต่ตัวเลข เขายังเขียนเป็นตัวเลขไทยทุกครั้ง

 

5. เมนูโปรด-ไม่ปลื้ม

อาหารจานโปรดของนายกฯ มาร์ค คือ ข้าวไข่เจียว แต่ที่ไม่ปลื้มเอาเสียเลยก็คือ ‘แตงโม’ ยกเว้นก็แต่ แตงโมที่หมายถึงภรรยาของเขา อาจารย์แตงโม-พิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะ (อิอิ) ทุกเช้าหลังตื่นนอนตอนตีห้าครึ่ง สิ่งแรกที่เขาทำเป็นประจำสม่ำเสมอจึงคือ การชงกาแฟให้คุณแตงโม และยังทำอยู่จนถึงทุกวันนี้ (หวานจริงๆ)

 

cid_3_4280222597web76113_mail_sg1_yahoo.jpg

 

6. นามสกุลพระราชทาน

เวชชาชีวะ (Vejjajiva) เป็นนามสกุลพระราชทาน [เวช (ยา) + อาชีวะ (อาชีพ)] ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 พระราชทานลงมาเป็นลำดับที่ 4,881 จากทั้งหมด 6,423 นามสกุล เหตุที่มีคำว่า ‘เวช’ ก็เพราะมีต้นตระกูลเป็นหมอ ได้แก่ รองอำมาตย์ตรีหลง (บุตรของนายจิ๊นเสง) ซึ่งเป็นแพทย์ประจำจังหวัดลพบุรี ส่วนบรรพบุรุษดั้งเดิมนั้นเป็นชาวจีนโพ้นทะเล ที่ล่องเรือมาตั้งรกรากใหม่บนแผ่นดินสยาม โดยมาขึ้นฝั่งที่จังหวัดจันทบุรี

 

7. เดี่ยว-โดด-เด่น

คุณอภิสิทธิ์สนใจการเมืองมาตั้งแต่เด็ก เขาเคยเป็นสมาชิกยุวประชาธิปัตย์มาก่อน หลังเรียนจบ    และผ่านการสอนหนังสือมาระยะหนึ่ง คุณอภิสิทธิ์ได้รับฉันทานุมัติจากพรรคประชาธิปัตย์ให้ลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งแรก เมื่อปี 2535 ในเขต 6 กรุงเทพมหานคร ตอนนั้นเขาอายุแค่ 27 ปี และได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนั้นเพียงคนเดียวของพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากพื้นที่ กทม. กำลังอยู่ในช่วงกระแส ‘จำลองฟีเวอร์’ เวลานั้นคุณอภิสิทธิ์ได้ชื่อว่าเป็น ส.ส. ที่อายุน้อยที่สุดในสภา!

 

มีคนเข้าใจว่า คุณมาร์คเป็นนายกฯ ที่หนุ่มที่สุดที่ประเทศไทยเคยมี แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ นายกรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดคือ ศาสตราจารย์ (พิเศษ) หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ผู้ก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ ในปี 2488 ด้วยอายุเพียง 40 ปี ส่วนนายกฯ ที่เด็กรองลงมาก็คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกฯ ในปี 2481 ตอนอายุ 41 ปี

 

 

8. รับโทรศัพท์

คุณอภิสิทธิ์เป็นหนึ่งในนักการเมืองที่มีชื่อเสียงเพียงไม่กี่คนที่รับโทรศัพท์ด้วยตนเอง ยกเว้นปัจจุบันที่มีนายศิริโชค โสภา คอยช่วยรับ และได้ฟังโทรศัพท์ด่าทอและข่มขู่มาแล้วหลายสาย!

 

9. โรคภัยไข้เจ็บ

แม้บิดาจะเป็นหมอ (น.พ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ) เช่นเดียวกับมารดา (พ.ญ.สดใส เวชชาชีวะ) แต่คนหนุ่มวัย 44 ย่าง 45 ปี อย่างคุณอภิสิทธิ์ก็ไม่วายมีโรคภัยไข้เจ็บประจำตัว นั่นคือ ‘เกาต์’

 

10. ยุงจอมยุ่ง

สิงสาราสัตว์หรือแม้แต่นักการเมืองด้วยกัน ต่อให้เขี้ยวลากดินขนาดไหน คุณอภิสิทธิ์ไม่เคยขยาด เพียงอย่างเดียวที่เขากลัวก็คือ ‘ยุง’ ที่แม้ถูกกัดเพียงนิดเดียว ก็จะบวมไปนานนับสัปดาห์

 

11. แรงบันดาลใจ

คุณอภิสิทธ์อยากเป็นนักการเมืองตั้งแต่อายุ 9 ขวบ แรงบันดาลใจที่สำคัญของเขาคือความรู้สึกสะเทือนใจขณะติดตามข่าวเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ทางโทรทัศน์

“มันเกิดอารมณ์สะเทือนใจ และเกิดแรงบันดาลใจขึ้นมาว่า เอ๊ะ! จริงๆ บ้านเมืองมันเป็นของเราทุกคนนะ เราเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ท้าทาย อยากเข้ามาทำงานทางการเมืองบ้าง” เขาบอก

 

12. หล่อตอนไหนก็ไม่รู้

สมัยเด็กๆ คุณอภิสิทธิ์เป็นเด็กที่ตัวเตี้ยที่สุดในชั้น ไม่ใช่เฉพาะในหมู่นักเรียนชายเท่านั้น แต่รวมถึงนักเรียนหญิงด้วย ไม่มีใครเคยชมว่าเขาหล่อ เขาเองก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองหล่อ ครั้งหนึ่ง ดร.วิษณุ เครืองาม ได้เห็นรูปนายอภิสิทธิ์ตอนเด็กๆ ถึงกับออกปากว่า “ขอประทานโทษนะ คุณอภิสิทธิ์ ทไมตอนเด็กๆ หน้าตาขี้ริ้วจัง”

 

cid_4_4280222597web76113_mail_sg1_yahoo.jpg

 

13. โดราเอมอน

คุณอภิสิทธิ์ชอบดูการ์ตูนโดราเอมอนมาก เขาบอกว่าดูมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก และปัจจุบันก็ยังดูอยู่

“โดราเอมอนเ็นการ์ตูนที่ดีมากนะ เพราะมันส่งเสริมจินตนาการ มันสะท้อนเรื่องความอยากได้ เรื่องความใฝ่ฝันของคนที่อยากมีของวิเศษ แล้วสุดท้ายมันก็ชี้ให้เห็นว่า ของวิเศษมันสร้างปัญหาได้ทุกเรื่อง อยู่ที่คนใช้มัน”

 

14. จดหมาย

คุณอภิสิทธิ์ได้รับจดหมายและอีเมลมากบ้างน้อยบ้างเป็นช่วงๆ แต่เขาจะอ่านมันทุกฉบับ โดยเฉพาะจดหมายด่าที่จะต้องคอยย้ำกับผู้ช่วยว่า ‘ห้ามทิ้ง’ เพราะอยากรู้ว่าคนที่เขียนมาด่านั้น กำลังมองเขาอย่างไร หรือเข้าใจอะไรผิดเกี่ยวกับตัวเขาอยู่บ้าง ส่วนจดหมายที่ทำให้แปลกใจที่สุด คือจดหมายของเด็กคนหนึ่งที่เขียนมาถามการบ้าน และอีกฉบับเป็นจดหมายของชายหนุ่ม ไม่นะ...ไม่ได้เขียนมาจีบ (แหะๆ) แต่เขียนมาขอยืมเงิน “เขาบอกมาว่าวันนี้ผมจะแต่งงาน อยากยืมเงินคุณอภิสิทธิ์ไปจัดงาน (หัวเราะ)”

 

15. หน้าจอ (หัวใจ)

คุณอภิสิทธิ์เปลี่ยนโทรศัพท์มือถือด้วยตัวเองเพียงครั้งเดียว ว่ากันว่าเขาเป็นบุคคลตัวอย่างที่ใช้โทรศัพท์มือถืออย่างคุ้มค่ามาก แต่สองเครื่องหลังที่ดูทันยุคทันสมัยขึ้นมาหน่อย ภรรยาเป็นคนซื้อให้ โดยกว่าจะได้เครื่องหลังสุดมา เขาเลือกที่จะทนใช้เครื่องเก่าเพื่อลากยาวให้ถึงวันเกิดของตัวเอง เพราะเชื่อว่าภรรยาจะทนไม่ได้ และซื้อเครื่องใหม่ให้เป็นของขวัญ เหมือนที่เคยทำ (ร้ายเหมือกันนะเนี่ย 555) ส่วนรูปหน้าจอโทรศัพท์นั้น มิใช่รูปใครอื่นไกล เป็น รูปของศรีภรรยากับลูกสุดที่รักนั่นเอง

16. ในห้วงรัก

หลังเพื่อนนักเรียนประถมฯ ต่างห้อง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับพิมพ์เพ็ญ ศกุนตาภัย ได้มาเจอกันในงานเลี้ยงรุ่นเพื่อนสาธิตจุฬาฯ ขณะนั้นหนุ่มมาร์คอยู่ในช่วงพักรอมหาวิทยาลัยเปิด ข้างสาวพิมพ์เพ็ญกำลังเรียนอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แค่มองตาทั้งคู่ก็รู้ใจและตัดสินใจคบหากันผ่านจดหมายข้ามทวีป ถึงขนาดส่งกันวันเว้นวันเลยทีเดียว และได้โทรศัพท์คุยกันสัปดาห์ละครั้ง (เพราะค่าโทรแพง) เมื่อเรียนจบปริญญาตรีจากเมืองนอก หนุ่มมาร์คก็มาเป็นทหาร (เป็นอาจารย์สอนโรงเรียนนายร้อย) รอสาวพิมพ์เพ็ญซึ่งกำลังเรียนทันตแพทย์อยู่ชั้นปีที่ 6 ก่อนจะตัดสินใจแต่งงานกันหลังสาวเจ้าเรียนจบ และหนุ่มมาร์คกำลังจะเดินทางไปเรียนปริญญาโทต่อที่ต่างประเทศ  

 

ทั้งคู่สมรสกันเมื่อปี พ.ศ. 2531 มีทายาท 2 คน คือ ปราง เวชชาชีวะ (บุตรสาว) กับ ปัณณสิทธิ์ เวชชาชีวะ (บุตรชาย) ครั้นเอ่ยถามว่า ‘จดหมายรัก’ ทั้งหลายยังอยู่มั้ย นายกฯ หนุ่มตอบเขินๆ ว่า “เก็บอยู่ แต่ว่าบ้านรกมาก ไม่รู้จะหาเจอหรือเปล่า (หัวเราะ)” ไปช่วยกันหาดีไหมเนี่ย...

 

17. คอข่าว

คุณอภิสิทธิ์เป็นคนที่ชอบติดตามข่าวสารมาก เว็บไซต์ข่าวสารที่เขาเข้าชมเป็นประจำก็คือ ผู้จัดการ เนชั่น และไอเอ็นเ อ็น ด้วยเหตุผลว่าเป็น 3 เว็บไซต์ที่อัพเดตข่าวตลอดเวลา ทำให้ตรวจสอบเหตุการณ์ต่างๆ ได้ง่าย คอลัมน์นิสต์ข่าวการเมืองที่คุณอภิสิทธิ์ยกให้เป็นมือหนึ่งของวงการ (ทั้งเนื้อหาและสไตล์การเขียน) คือ เปลว สีเงิน แห่งไทยโพสต์ เช่นเดียวกับเมื่ออ่านไทยรัฐ เขาอดไม่ได้ที่จะต้องเปิดไปหน้า 3 “ดูหน้าสามว่าวันนี้เขาจะด่าอะไรผมบ้าง เพราะเท่าที่ตามอ่านมาหลายปี ยังไม่เคยเห็นเขียนชมผมเลย (หัวเราะ)”

 

18. มิสเตอร์จุกจิก

นายกฯ มาร์ค ยอมรับว่าชอบกินของจุกจิกเหมือนเด็ก สิ่งที่เห็นแล้วอดไม่ได้ ต้องซื้อกินก็คือ ช็อกโกแลต “แต่ต้องเป็น ดาร์คช็อกโกแลต นะ ไวท์ช็อกโกแลตไม่กิน แล้วก็ชอบกินไอศกรีมรสช็อกโกแลตด้วย”

 

คุณอภิสิทธิ์สูง 167 เซนติเมตร น้ำหนักตัวคงที่อยู่แถวๆ 59-60 กิโลกรัม โดยก่อนหน้านี้สักสี่ห้าปี น้ำหนักตัวไม่เคยเกิน 50 กิโลกรัมมาก่อนเลย

 

19. เครือญาติ

บุคคลที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นเครือญาติกับคุณอภิสิทธิ์ 2 คนซึ่งเป็นที่รู้จักมากในยุคนี้ได้แก่ งามพรรณ เวชชาชีวะ นักแปลฝีมือเยี่ยมและผู้ประพันธ์นวนิยายรางวัลซีไรต์เรื่อง ‘ความสุขของกะทิ’ ที่กำลังเป็นภาพยตร์ที่จัดฉายอยู่ในขณะนี้ เป็นพี่สาวแท้ๆ ของคุณอภิสิทธิ์ ส่วนนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน (ลูกของลุง) ที่ปัจจุบันนายกฯ มาร์ค ยอมรับว่าคุยกันน้อยมาก (เพราะไม่ค่อยได้เจอกัน)

 

เล่ากันว่าเมื่อครั้งคณะนายทหารทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลทักษิณ เมื่อปี 2549 มีการส่งกำลังทหารพร้อมรถถังไปประจำหน้าบ้านบุคคลสำคัญๆ ของพรรคไทยรักไทยเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหว ปรากฏว่ารถที่ส่งไปให้เฝ้านายสุรนันทน์ไปจอดผิดบ้าน คือ ไปจอดหน้าบ้านคุณอภิสิทธิ์แทน (ไม่รู้จะขำดีมั้ย)

 

20. สุดยอดเจ้านาย

ไม่จำเป็น คุณอภิสิทธิ์ไม่เคยนอนค้างคืนที่ไหน เขาพร้อมจะกลับให้ถึงบ้าน ไม่ว่าจะไกลหรือดึกแค่ไหนก็ตาม เพื่อ “ให้ลูกได้เห็นเรา”

 

ครั้งหนึ่งคุณอภิสิทธิ์ไปช่วยลูกพรรคหาเสียงที่จังหวัดชุมพร แล้วต้องกลับกรุงเทพฯ ระหว่างตีรถกลับ ปรากฏว่า ‘เปี๊ยก’ คนขับรถคู่ใจสารภาพกับเจ้านายตรงๆ ว่า ‘ง่วง’ ทั้งๆ ที่ตอนกลางวัน เจ้านายอนุญาตให้นอนหลับเอาแรงให้เต็มที่ แต่สารถีคู่ใจก็สนุกไปกับการตั้งวงเม้าท์กับกระจิบกระจอกข่าวอย่างเพลิดเพลินจนลืมพักเอาแรง หลังลูกน้องบอกว่าง่วง เจ้านายก็สั่งให้หยุดรถ แล้วสลับที่กัน โดยเจ้านายเป็นคนขับ พาเปี๊ยกกลับถึงกรุงเทพฯ ตอนตีสามโดยสวัสดี!?!

 

 

 

20+1. รู้จักนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้เต็มอิ่มและรอบด้านได้ ในหนังสือ ‘ใครว่าผมอภิสิทธิ์’ โดยสมจิตต์ นวเครือสุนทร (มาตา วายุกานต์) ได้จากร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป หรือสั่งซื้อโดยตรงที่ 0 2940 3855-6 ต่อ 40

 

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

พลังแห่งการคิดในเชิงบวก

 

ข้อมูลใหม่จากวงการวิทยาศาสตร์

การคิดในเชิงบวก (Positive Thinking) มีผลต่อร่างกายมิใช่เพียงแค่จิตวิทยา หากมีผลเชิงกายภาพด้วย!

 

ความรู้ใหม่ที่เป็นข่าวดีสำหรับคนที่มีอารมณ์ดีเป็นนิจ เพราะมองโลกในแง่ดีเป็นนิสัย

แต่ก็เป็นข่าวร้ายสำหรับการศึกษาวิจัยของวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในการทดลองยาใหม่

ด้วยวิธีการใช้ “ยาหลอก” (Placebo) เพราะผลที่ได้ออกมา อาจไม่แม่นยำ ถูกต้อง ดังที่เคยเชื่อกันมา

 

 

ความคิดเชิงบวก มีพลังแค่ไหน?

 

ก่อนที่วงการวิทยาศาสตร์จะมีเทคโนโลยี ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถมองเห็นสภาพความเปลี่ยนแปลง

ที่เกิดขึ้นกับสมองอย่างละเอียดทุกขณะเวลาที่ต้องการ

หลักฐานเกี่ยวกับพลังความคิดเชิงบวก มักจะมาจากการศึกษาผลของการคิดเชิงบวกต่อสุขภาพกายโดยทั่วไป

ซึ่งออกมาในเชิงว่าการคิดเชิงบวกมีผลต่อสุขภาพกาย ทำให้อาการป่วยหายเร็วขึ้น

หรือคนที่ไม่ป่วยก็จะมีสุขภาพดีกว่าคนทั่วๆ ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มักจะมองโลกในแง่ร้าย

หรือมีความคิดเชิงลบเป็นนิจ คือ เป็นคนที่มักจะวิตกกังวลเป็นประจำ มีจิตใจหดหู่

เมื่อเจ็บป่วยขึ้นมาเพียงเล็กน้อยก็มักจะรู้สึกว่า กำลังเจ็บป่วยอย่างหนัก

 

หลักฐานที่ใช้สนับสนุนพลังความคิดเชิงบวก

ก่อนที่จะสามารถมองเห็นความเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะภายในร่างกายอย่างละเอียดดังเช่น สมอง

นอกเหนือไปจากหลักฐานที่ปรากฏของสุขภาพกายและสุขภาพจิตโดยทั่วไป

ก็จะมีหลักฐานจากการตรวจสอบระบบการทำงานของอวัยวะ เช่น หัวใจ ตับ ไต ฯลฯ

ว่าหัวใจเต้นแข็งแรงดีหรือไม่ ระบบการขับถ่ายของเสียจากร่างกายที่เป็นผลการทำงานของตับ ไต

ดังเช่น ปัสสาวะ เป็นอย่างไร ร่างกายมีเหงื่อถูกขับออกอย่างเป็นปรกติหรือไม่

มีอาการปวดศีรษะ เหนื่อยง่าย เป็นประจำหรือไม่

 

สำหรับคำอธิบายของพลังการคิดเชิงบวกคือ

การมองโลกในแง่ดีที่ใช้กันมาก ก็มักเป็นเรื่องของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่มักจะอธิบายกันว่า

การคิดเชิงบวกทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรง จึงมีผลทำให้สุขภาพทั้งกายและจิตดี

 

ต่อมาหลังจากที่วงการวิทยาศาสตร์มีเทคโนโลยี

สามารถช่วยให้นักวิทยาศาสตร์มองเห็นสภาพความเปลี่ยนแปลง อย่างละเอียดที่เกิดขึ้นกับอวัยวะต่างๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมอง สามารถช่วยให้นักวิทยาศาสตร์มองเห็นได้ว่า

ขณะที่คนคนหนึ่งกำลังคิดอะไรอยู่ สมองส่วนไหนกำลังทำงาน ดังเช่น

เครื่อง พีอีที (PET หรือ Positronic Emission Tomography)

เครื่องเอ็มอาร์ไอ (MRI หรือ Magnetic Resonance Imaging)

เครื่อง เอฟเอ็มอาร์ไอ (FMRI หรือ Functional Magnetic Resonance Imaging) ที่เป็นเทคโนโลยีใหม่

พัฒนาต่อจากเครื่องเอ็มอาร์ไอทั่วไป สามารถตรวจเห็นการเปลี่ยนแปลงของเลือดเพียงเล็กน้อยในสมอง

วงการวิทยาศาสตร์ก็ได้ข้อมูลหลักฐานใหม่ สำหรับการศึกษาผลของการคิดเชิงบวกอย่างเป็นรูปธรรม

บอกได้ว่าผลของการคิดเชิงบวก เป็นผลเชิงจิตวิทยาเท่านั้น หรือเป็นผลที่เกิดกับร่างกาย (เชิงกายภาพจริงๆ)

และผลที่ได้ออกมาก็เป็นดังบทสรุปที่ถูกนำมาเปิดเรื่องวันนี้ คือ

การคิดเชิงบวก มีผลต่อร่างกาย มิใช่เพียงแค่เชิงจิตวิทยา หากมีผลเชิงกายภาพด้วย

 

 

ตัวอย่างผลการศึกษาที่สนับสนุนแนวคิดใหม่ที่ชัดเจน มีเช่น...

 

*รายงานผลการทดสอบ เมื่อเดือนตุลาคม 2005 จากมหาวิทยาลัยตอริโน ในประเทศอิตาลี

โดย ดร.ฟาบริโซ เบเนเดตติ (Fabrizio Benedetti) กับคนป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ พบว่าคนป่วยที่สูญเสียความจำ

จนกระทั่งจำไม่ได้ว่ากำลังได้รับยาแก้หรือลดความเจ็บปวดหรือไม่ สมองจะไม่ผลิตสารต้านความเจ็บปวด

ดังเช่น เอนดอร์ฟิน (Endorphin) ทำให้การใช้ยาลดความเจ็บปวดไม่ได้ผล...

 

ในขณะที่คนป่วย ซึ่งรู้ตัวหรือเชื่อว่าได้กิน หรือรับยาลดความเจ็บปวดเข้าไปในร่างกาย

สมองจะทำงานผลิตสารต้านความเจ็บปวดออกมา ทำให้ยาลดความเจ็บปวดได้ผลดีขึ้นมาก

 

*รายงานการศึกษาของคณะนักวิทยาศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน สหรัฐอเมริกา เมื่อปลายปี 2005

ที่ทำการศึกษาผลของความเชื่อว่า ตนกำลังได้รับยาต้านความเจ็บปวดหรือไม่ มีผลอย่างไรต่อการทำงานของสมอง

 

ในการทดลอง นักศึกษาชายที่สุขภาพแข็งแรง ถูกฉีดน้ำเกลือเข้าที่กราม ซึ่งจะทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวด

แล้วใช้เครื่องพีอีทีตรวจสอบการทำงานของสมองว่า มีการผลิตสารเอนดอร์ฟินแก้ความเจ็บปวดหรือไม่

กับนักศึกษาที่เชื่อว่าตนกำลังได้รับยาลดความเจ็บปวดหรือไม่

 

ผลของการศึกษาคือ นักศึกษาที่เชื่อว่าตนกำลังได้รับยาต้านความเจ็บปวด

ทั้งๆ ที่บางคนสิ่งที่ได้รับจริงๆ คือ ยาหลอก (Placebo) สมองจะหลั่งสารเอนดอร์ฟินออกมา

ทำให้ความรู้สึกเจ็บปวดลดลงไป เช่นเดียวกับคนที่ได้รับยาต้านความเจ็บปวด จริงๆ

 

รายงานการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศอังกฤษ เมื่อต้นปี 2007

สรุปผลการทดลองศึกษากับผู้หญิงทำงานแม่บ้านในโรงแรม 7 แห่ง จำนวน 84 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม...

 

กลุ่มหนึ่ง ได้รับการบอกกล่าวว่า

การทำงานตามหน้าที่ปรกติในแต่ละวัน เป็นการออกกำลังกายไปด้วยที่พอเพียงสำหรับสุขภาพ

ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง ไม่ได้รับการบอกกล่าวอะไรเลย

 

หลังจากนั้นเป็นเวลา 4 สัปดาห์ พบว่า

แม่บ้านโรงแรมกลุ่มแรก มีสุขภาพดีขึ้นอย่างชัดเจนน้ำหนักลดลงเกือบ 1 กิโลกรัม

ความดันเลือดลดลงเกือบ 10 เปอร์เซ็นต์

ส่วนแม่บ้านโรงแรมอีกกลุ่มหนึ่ง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ

 

ข้อมูลหลักฐานใหม่ความเกี่ยวพันระหว่างจิตใจกับร่างกาย

จึงดูจะเป็นข่าวร้ายสำหรับวิธีการทดสอบยาชนิดใหม่ โดยใช้ “ยาหลอก” เป็นตัวช่วยทดสอบ

เพราะความเข้าใจเดิมที่ว่า “ยาหลอก” ไม่มีผลต่อสุขภาพของผู้ใช้ ก็ไม่ถูกต้อง

 

อย่างไรก็ดี ได้มีการเตือนในวงการวิทยาศาสตร์การแพทย์วันนี้ว่า

ผลตามหลักฐานข้อมูลใหม่นี้ ก็ยังมีไม่มากที่จะสรุปออกมาได้ชัดเจนอย่างปฏิเสธไม่ได้

เพราะก็มีผลการทดลองในลักษณะดังกล่าวไปแล้ว ที่ไม่ชัดเจนเหมือนกรณีตัวอย่าง

แต่ก็เป็นเรื่องของวงการวิทยาศาสตร์ จะต้องตรวจสอบและประเมินวิธีการทดสอบคุณภาพยาชนิดใหม่

โดยใช้ “ยาหลอก”...

 

แต่ผลที่ดีอย่างปฏิเสธไม่ได้ของหลักฐานข้อมูลใหม่ ความเกี่ยวพันระหว่างการคิดเชิงบวกกับผลดีต่อสุขภาพกาย

คือการสร้างความเข้าใจและกำลังใจ ทั้งต่อคนมีสุขภาพปรกติธรรมดาและคนป่วยว่า

การคิดในเชิงบวก การมองโลกในแง่ดี การมีความเชื่อมั่นในวิธีการรักษาอาการเจ็บป่วย เป็นสิ่งที่พึงปฏิบัติ

 

ดังนั้น ถ้าคุณผู้อ่านที่ไม่ใช่คนป่วยอย่างชัดเจน แต่มักรู้สึกจิตใจไม่เป็นปรกติ เหนื่อยง่ายไม่สบายบ่อย

ก็ลองสำรวจตนเองดูว่า เป็นคนมองโลกในแง่ไหน

ถ้ารู้สึกหงุดหงิดมองอะไรขวางหูขวางตา รำคาญหมั่นไส้คนอื่นๆ เป็นประจำ

ก็ลองปรับเปลี่ยนเป็นคนมองโลกในแง่ดี คิดในเชิงบวกต่อทุกสิ่งทุกคนที่อยู่รอบตัวดู...

 

ส่วนท่านที่เป็นแพทย์ เป็นพยาบาล ก็มีหลักฐานที่ประจักษ์โดยทั่วไปอยู่แล้วว่า

คนป่วยของแพทย์ของพยาบาลที่ใจดี ที่เอาใจใส่ดูแลพูดคุยให้กำลังใจคนป่วยเป็นประจำ

คนป่วยก็มักจะหายป่วยเร็ว...กว่าปรกติ!

 

ขออนุญาติเจ้าของกระทู้ด้วยนะครับ !01

 

 

ข้อมูลโดย : http://www.posttoday.com

ที่มา : http://www.dmh.go.th

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ไม่น่าเชื่อ ....เส้นผมช่วยขจัดน้ำมันได้…

 

:mellow: :wub: :huh:

 

 

เรื่องของการ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมยังคงเป็นเรื่องที่ผู้คนทั่วโลกต่างให้ความสำคัญและร่วม รณรงค์ปลุกจิตสำนึกกันอย่างต่อเนื่อง อย่างล่าสุดมูลนิธิแมตเทอร์ ออฟ ทรัสต์ก็ได้ออกมารณรงค์ของความร่วมมือให้ช่างทำผม ช่างตัดแต่งขนสัตว์เลี้ยง และเกษตรกรทั่วโลก รวมพลังเก็บผมคนและขนสัตว์เพื่อช่วยดูดซับคราบน้ำมันในอ่าวเม็กซิโก

 

   

โดยผมคนและขนสัตว์เหล่านี้จะถูกนำไปบรรจุในถุงไนลอน เพื่อช่วยดูดซับคราบน้ำมันที่ทะลักขึ้นมาหลังจากการระเบิดของแท่นขุดเจาะ น้ำมันของบริษัทบีพีของอังกฤษนอกชายฝั่งมลรัฐลุยเซียนาของสหรัฐฯ ซึ่งทำให้มีน้ำมันรั่วไหลออกมาในอัตรา 5,000 บาร์เรลต่อวันนับจากวันที่ 20 เดือนที่แล้ว

 

 

 

    ทั้งนี้มูลนิธิแมตเทอร์ ออฟ ทรัสต์ ซึ่งเป็นผู้ประสานงานหลักสำหรับโครงการความร่วมมือนี้ผ่านทางเฟซบุ๊ก เผยว่ามีร้านทำผมเข้าร่วมด้วยราว 370,000 แห่ง จากฝรั่งเศส อังกฤษ สเปน บราซิล ออสเตรเลีย แคนาดา และสหรัฐฯ โดยเวลานี้ได้รับผมและขนสัตว์วันละ 204,000 กิโลกรัม ขณะที่มีอาสาสมัครทยอยมาลงชื่อเพื่อร่วมโครงการตลอดเวลา

 

 

     ลิซา โกธิเญร์ ผู้ร่วมก่อตั้งแมตเทอร์ ออฟ ทรัสต์ ให้ข้อมูงว่า เส้นผมนั้นเป็นวัสดุอย่างดีในการดูดซับน้ำมันทุกประเภท ซึ่งรวมถึงปิโตรเลียมด้วย การขอความร่วมมือในครั้งนี้ผู้ที่เป็นอาสาสมัครช่วยกันบรรจุผมและขนสัตว์ลง ในถุงไนลอนในโกดัง 15 แห่ง ใกล้พื้นที่อันตราย โดย ‘ไส้กรอกผม’ เหล่านี้จะถูกนำไปวางบนชายหาดเพื่อดูดซับคราบน้ำมันที่ถูกซัดมาเกยหาด

 

 

    สำหรับวิธีการสร้างทุ่นเพื่อดูดซับน้ำมันนี้ ได้รับการสนับสนุนจากแอปพลายด์ ฟาบริก เทคโนโลยีส์ ผู้ผลิตทุ่นน้ำมันใหญ่อันดับ 2 ของ โลก...

 

ข้อมูล  http://www.dek-d.com/

 

!53 !54

 

 

 

Human hair soaks up oil spill in the Gulf

 

resized_oil7.jpg

 

 

Volunteers are stuffing ladies nylons with human hair that will be used to soak up oil that is still spilling out from the bottom of the ocean from an oil rig explosion.

 

Walter-Todd Salon in North Park in San Diego, is participating in the project started by the public charity Matter of Trust that is asking salons and retailers throughout the country to collect hair clippings and donating them to the program.

 

"There's a lot of oil out there that needs to be absorbed, and this is just a great renewable way to get it up," Todd Bradley, Owner of Walter-Todd Salon told NBCSanDiego.

 

The nylons, which are called booms when they are stuffed with human hair by volunteers, are then taken to the gulf, where they trap oil and prevent it from spreading. Each pound of hair will soak up a quart of oil.

 

"They can wring them out and reuse them up to 100 times. Human hair is hydrophobic, meaning that it deflects water, but still absorbs oil."

 

Currently, many different ideas are being used to collect the oil, but the oil is still spewing out from the bottom of the ocean. Today, the BP PLC, which is in charge of the cleanup, will try attaching a 100-ton concrete-and-steel box over the blown-out well to stop the gushing oil.

 

If it works, it will be able to collect as much as 85 percent of the oil spilling into the ocean and funneling it into a tanker. Workers are also drilling another well to deal with another smaller leak on the ocean floor.

 

The operation will be very difficult as the "outhouse" looking box will need to be dropped 5,000 feet and secured over the leak with robots. They estimate the whole procedure will take two days.

 

The oil spill began when the drilling rig Deepwater Horizon exploded on the Gulf of Mexico on April 20th and killed eleven workers on board.

 

It has been estimate that 200,000 gallons a day are coming out of the hole and is the biggest oil leak since the Exxon Valdez in Alaska in 1989.

 

The EPA reports there is 726 million gallons of oil spilled in the ocean annually. Please take a few minutes to watch the below video to see how effective hair is in absorbing oil.

 

Hair soaks up oil spills

 

 

 

 

 

http://www.examiner.com/x-18953-San-Diego-Headlines-Examiner~y2010m5d7-Human-hair-soaks-up-oil-spill-in-the-Gulf

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

:: กรุ๊ปเลือด อ่านคน ::

 

A B O AB

 

ในอดีตกาล สมัยที่การแพทย์ยังไม่เจริญก้าวหน้าเช่นทุกวันนี้ เรื่องการศึกษาเกี่ยวกับกรุ๊ปเลือด ในร่างกายมนุษย์ ยังอยู่ในวงจำกัด ผู้คนส่วนมากไม่เคยได้รับรู้ด้วยซ้ำว่า ตัวเขามีกรุ๊ปเลือดอะไรไหลวนเวียนอยู่ภานในร่างกาย และคำว่ากรุ๊ปเลือดมีความสำคัญอย่างไรต่อตัวเขาบ้าง

 

แต่ในปัจจุบัน เรื่องของกรุ๊ปเลือดได้ถูกกล่าวขวัญถึงอย่างกว้างขวาง ทั้งในวงการแพทย์ซึ่งเกี่ยวข้องกับปัญหากรุ๊ปเลือดโดยตรง และในแวดวง ของประชาชนผู้สนใจโดยทั่วไป ทั้งนี้เพราะ กรุ๊ปเลือดเป็นเรื่องที่กำหนดโดยพันธุกรรม ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลง หรือกำหนดขึ้นเองได้ตามความพอใจ ซึ่งหากจะนำมาเปรียบเทียบ กับความเชื่อถือที่มีมาแต่โบราณกาลของมนุษย์ กรุ๊ปเลือดก็มีสภาพคล้ายคลึงกับโชคชะตา ที่เราเชื่อว่าถูกลิขิตไว้ตั้งแต่เราเกิดนั่นเอง

 

เมื่อพูดถึงการทำนาย หรือการพยากรณ์ ในหลักของโหราศาสตร์นั้นความจริงแล้วก็คือ ผลสรุปของข้อมูลทางสถิติที่คนในอดีตรวบรวมไว้นั่นเอง โดยการใช้วันเดือนปีเกิดของมนุษย์เป็นสมมุติฐาน แล้ววิเคราะห์ว่า ผู้คนที่เกิดเมื่อวันนั้นๆ จะมีลักษณะนิสัยที่คล้ายกัน หรือต่างกันอย่างไรบ้าง แล้วเมื่อพบว่าส่วนใดที่คล้ายคลึงกัน หรือมีปรากฏในแทบทุกคนที่เกิดในวันนั้นๆ ท่านก็จะจดจำเป็นข้อสรุปว่า เป็นลักษณะนิสัยของคนที่เกิดในราศีนั้นๆ

 

การทำนาย อ่านคนจากกรุ๊ปเลือดก็เช่นกัน เป็นผลสรุปจากการรวมรวมข้อมูลทางสถิติ ว่าด้วยลักษณะนิสัยของบุคคลในกรุ๊ปเลือดต่างๆ แล้วจึงนำมาวิเคราะห์ โดยอาศัยวิชาจิตวิทยาว่า บุคคลที่มีกรุ๊ปเลือด มีพื้นฐานด้านจิตใจอารมณ์เช่นนั้น ควรจะมีพฤติกรรมออกมาในรูปแบบใดบ้าง

 

การอ่านคนจากกรุ๊ปน่าจะเป็นประโยชน์บ้าง ในการที่จะใช้ศึกษาอุปนิสัยของบุคคลในกรุ๊ปเลือดต่างๆ เพื่อที่จะได้นำไปสู่ความเข้าใจที่จะใช้ปรับปรุงตนเอง และผู้อื่นได้

170301c7zifsub1b.gif

 

A

คนกรุ๊ปเลือดเอ

ผู้ไม่ชอบทะเลาะกับใคร

 

อันบุคคลที่มีเลือดกรุ๊ป เอ นั้น เป็นคนที่มี ความเชื่อมั่น ในตนเอง จึงไม่ค่อย โต้เถียง หรือแสดง ความคิดเห็น ขัดแย้งกับใคร เพราะเชื่ออยู่เสมอว่า ความคิดของตน ถูกต้องแล้ว จึงไม่ต้องไป ขอความคิดเห็น จากใครอีก แต่ยังดี ที่คนกรุ๊ปเลือด เอ ส่วนมากจะเป็น คนเอาใจเก่งเห็นใจ และตามใจคนอื่นเสมอ ดังนั้น โอกาสที่จะพบว่า เขาไปทำให้ ขุ่นข้องหมองใจนั้น จึงไม่ค่อย ได้ปรากฏ ให้เห็นบ่อยนัก

 

แต่คนกรุ๊ปเลือด เอ ก็มีข้อเสียอยู่บ้าง ตรงที่เป็นคนขาดความคิดริเริ่ม ซึ่งหากเป็นชาย ที่บังเอิญ ได้หญิงฉลาด ทำงานเก่ง มาเป็นคู่ครอง ฝ่ายหญิงจะรู้สึกผิดหวัง ในตัวเขาอยู่บ้าง แต่สำหรับชาวกรุ๊ปเลือด เอ ที่เป็นหญิงแล้ว ลักษณะเช่นเดียวกันนี้ ก็อาจจะเป็นผลดี สำหรับเธอ เพราะทำให้เธอ กลายเป็นแม่ศรีเรือน ถนัดในการดูแลบ้านช่อง ปรนนิบัติสามี อบรมบุตรหลาน เรียกว่า เพรียบพร้อมคุณสมบัติ ของความเป็นแม่บ้าน นั่นแหละ

 

แต่มีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่ง สำหรับหญิงเลือดกรุ๊ป เอ นั่นก็คือ ในเวลาที่หัวใจ ของเธอ มีความรักนั้น เธอจะรักชนิด ทุ่มเทให้หมด ทั้งสี่ห้องหัวใจ เลยทีเดียว แต่ถ้าเมื่อใด ที่น้ำผึ้ง เปลี่ยนรส จากหวานกลายเป็นขม เธอก็พร้อมที่จะสลัด คุณออกไปจากหัวใจ อย่างคนที่มี ความเข้มแข็ง เพราะสำหรับเธอแล้ว ให้เจ็บปวด ปางตายเสียยังจะดีกว่า ต้องมางอนง้อ ขอให้ใคร เมตตาสงสาร

 

นอกจากเป็นคนมีอารมณ์รุนแรงแล้ว สตรีเลือดกรุ๊ป เอ ยังเป็นคนที่ รักสวยรักงาม ชอบแต่งตัวชนิด สาวสวยสมัยใหม่ อยู่เสมอ แถมยังมี รสนิยมดีซะด้วย คือ สวยอย่างคนมีระดับ ว่างั้นเถอะ

 

B

คนกรุ๊ปเลือด บี

มีนิสัยร่าเริงเป็นสัญลักษณ์

ตามตำราท่านว่า ผู้ที่มีเลือดกรุ๊ป บีนั้น จะเป็นบุคคล ที่พร้อมจะหัวเราะ ได้ทุกเวลา เพราะมีนิสัยร่าเริง รักอิสระเสรี ตามใจตัวเอง ไม่แคร์ต่อสายตาประชาชี ใครจะหมั่นไส้ ใครจะค้อนก็ช่าง ฉันพอใจเสียอย่าง ใครจะทำไม เพราะฉะนั้น คนกรุ๊ปเลือด บี จึงชอบทำงาน ประเภท "วันแมนโชว์" คือไม่นิยม เข้าหุ้นกับใคร ลักษณะนิสัย ของคนกรุ๊ปเลือด บี นั้นสามารถจะเป็น ศิลปิน นักประพันธ์ หรือผู้สื่อข่าว ที่ประสบความสำเร็จได้ หรือหากจะทำงาน ในองค์การใหญ่ โอกาสเป็นผู้บริหาร ก็มีมาก ทั้งนี้ก็เพราะ เขาเป็นคนเด็ดเดี่ยว ใจกว้าง และกล้าแสดง ความคิดเห็น อย่างไม่หวั่นเกรงผู้ใด

 

ผู้ชายในกรุ๊ปเลือด บี จะเป็นคนประเภท สังคมเก่ง มีเพื่อนหญิงเป็นโหล ๆ แต่อย่าคิดว่า เขาเป็นคนไม่จริงจัง กับความรักล่ะ เขาจริงจังมาก แต่เสียนิดเดียว คือเขาจะจริงจัง ไปหมดเสียทุกคน นี่สิถึงจะเป็นปัญหา

 

ส่วนผู้หญิงที่มีเลือดกรุ๊ป บี นั้น ก็เก่งไม่แพ้ผู้ชายเหมือนกัน คือ หัวใจไม่เคยว่าง ชอบเข้าสังคม ไม่แคร์เสียงนกเสียงกา แต่ถ้าเธอลองปักใจ รักใครเข้าสักคนละก็ ใจเธอจะแน่วแน่มั่นคง ไม่มีวันเสื่อมคลายเชียวหล่ะ แต่แย่หน่อยนะ ตรงที่เธอเป็นคนชอบเพ้อฝัน รักความหรูหราฟู่ฟ่า ไม่ค่อยเห็นความสำคัญ ของขนบธรรมเนียมประเพณี เท่าใดนัก แถมเป็นคนเอาอะไร ก็จะเอาให้ได้ โดยไม่สนใจว่า จะต้องแลกเปลี่ยนด้วยอะไร เพราะฉะนั้น จึงไม่แปลกที่บางครั้งเจ้าหล่อน จะถึงขั้นขายเพื่อน หรือไม่ก็ขายตนเอง เพียงเพื่อยกตัวเอง ให้ไปถึงจุดสุดยอด ตามที่ต้องการ

 

http://www.payakorn.com/blood_result.php?btype=1&btype=1&group=a

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

O

คนกรุ๊ปเลือด โอ

บุคคลผู้มีความสุขุมเยือกเย็น

 

 

อันที่จริงนิสัยทั่วไปของคนกรุ๊ปเลือด โอ ก็คล้ายนิสัยของผู้ชายทั่ว ๆ ไปนั่นแหละคือมีความสุขุมรอบคอบ ตัดสินใจด้วยเหตุผล เชื่อมั่นสมองมากกว่าหัวใจ ไม่ชอบเพ้อฝัน และค่อนข้างไปทางวัตถุนิยมหน่อย ๆ ดังนั้น คนที่มีเลือดกรุ๊ป โอ จึงมักเป็นบุคคล ที่มีงานทำเป็นหลักเป็นฐาน แถมหน้าที่การงาน ก็มักจะดีเป็นพิเศษซะด้วย เช่น เป็นทนายความ เป็นผู้ตรวจสอบบัญชี หรืออะไรก็ตาม ที่มีความมั่นคงมาก ๆ

 

โดยปกติแล้ว คนกรุ๊ปเลือด โอ เป็นคนไม่ค่อยมีจินตนาการเท่าใดนัก ความคิดความอ่าน ตลอดจนการกระทำของพวกเขา จะตั้งอยู่บนรากฐาน ของความจริงเสมอ คือถ้าตาไม่ได้เห็น มือไม่ได้จับละก็ อย่าหวังว่าเขาจะยอมเชื่อ และคงเพราะ เหตุนี้กระมัง พวกเขาจึงสามารถ สร้างครอบครัวได้เป็นปึกแผ่น ไม่เหลวเป็นน้ำ เหมือนพวกชอบฝันกลางแดด

 

แม้ว่าจะเป็นคนเค็มนิด ๆ ก็เถอะ แต่คนกรุ๊ปเลือด โอ ก็มีนิสัยโอบอ้อมอารี รักเพื่อนพ้อง เป็นผู้บังคับบัญชาที่ดี เป็นกำลังสำคัญ ของหน่วยงาน และเป็นที่รักใคร่ โปรดปรานของเจ้านาย

 

ส่วนหญิงที่มีเลือดกรุ๊ป โอ นั้น ก็เป็นคนที่จริงจัง ต่อชีวิตและความรัก ยินดีต่อการได้เป็น ภรรยาและแม่เพราะเธอมีความคิด ที่จะอุทิศร่างกาย และวิญญาณ เพื่อคนที่เธอรักอยู่แล้ว เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ก็อย่าเข้าใจผิด คิดว่าผู้หญิงกรุ๊ปเลือด โอ จะใจง่าย มอบกายให้ใครเชยชมง่าย ๆ ตรงกันข้าม เธอเป็นคนรักนวลสงวนตัว จนบางครั้งถูกหาว่า โบราณคร่ำครึด้วยซ้ำ แต่ถ้าชายที่มารักเธอนั้น มีความเข้าใจ และหัวเก่าพอ ๆ กับเธอละก็ เขาจะเป็นคนที่โชคดีทีเดียวล่ะ ที่ได้หญิงที่มีความรักความจริงใจ อย่างเธอไปเป็นคู่ครอง

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

AB

คนกรุ๊ปเลือด เอบี

คนที่ไม่มีความแน่นอน

:blush: :blink:

 

เวลาจะให้คนที่มีกรุ๊ปเลือด เอบี ตัดสินใจอะไรสักอย่าง เขามักจะทำให้เราผิดหวัง หรือไม่เข้าใจในตัวเขา อยู่เสมอ ทั้งนี้ ก็เพราะคนเลือดกรุ๊ป เอบี นั้น เป็นคนที่มี อารมณ์อ่อนไหว คิดมาก หรือไม่ก็คิดไกล จนคนอื่นตามไม่ทัน เป็นเหตุให้ ผู้ที่อยู่ใกล้ชิด ไม่อาจเดาใจได้ถูก

 

คนกรุ๊ปเลือด เอบี เป็นคนแปลก เวลาที่ประสบความสำเร็จ เขาจะผยองลำพอง โอ้อวดความสามารถของตนไปทั่ว แต่ถ้าพบกับความผิดหวัง แม้เพียงน้อยนิด เขาก็จะกลับกลายเป็นคนละคน ปิดประตูลั่นกุญแจ ตีอกชกหัวอยู่คนเดียว มิใยใครจะปลอบใยน ก็ไม่ยอมคลาย ความเศร้าโศก ซึ่งนิสัยประหลาดแบบนี้ แม้แต่เจ้าตัวของคนกรุ๊ปเลือด เอบี เองก็ให้คำอธิบายไม่ได้เหมือนกันว่า เพราะเหตุใดกันแน่ และเพราะความไม่เข้าใจตัวเอง นี่แหละที่ทำให้ บางครั้งก็เกิดปัญหา เช่น เขาไม่สามารถ ควบคุมอารมณ์ หรือความคิดของตนเองได้

 

แต่จะอย่างไรก็ตาม คนเลือดกรุ๊ป เอบี ก็เป็นคนมีใจเมตตา เห็นใจในความทุกข์ของผู้อื่นเสมอ และยินดีเสนอตัว เข้าช่วยแก้ปัญหาให้ แต่การช่วยเหลือ ของเขานั้น ออกจะน่ากลุ้ม อยู่สักหน่อย คือเขาจะถือ ความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่ สมมติตัวเป็นเจ้าทุกข์ หรือเจ้าของปัญหาเสียเอง เรียกว่าถ้าจะให้ช่วยก็ยินดี แต่ต้องช่วยด้วยวีธีของฉันนะ

 

ในด้านอารมณ์นั้น คนเลือดกรุ๊ป เอบี จัดว่าเป็นบุคคลประเภท อารมณ์รุนแรง รักใครก็รักสุดขั้วหัวใจ เกลียดใครก็เกลียด เข้ากระดูกดำไปเลย แต่ถึงกระนั้น คนกรุ๊ปเลือด เอบี ก็มีความเป็นอัจฉริยะอยู่ไม่น้อย เพราะเขามีสมอง ที่ปราดเปรื่อง สามารถประดิษฐ์ คิดค้นสิ่งแปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่จะนำชื่อเสียงมาสู่เขา และวงศ์ตระกูลได้

 

แต่คนเลือดกรุ๊ป เอบี มักไม่ประสบความสำเร็จในการขอร้องใคร กล่าวคือ ถ้าเอ่ยปาก ขอความช่วยเหลือ สักสิบครั้ง จะถูกปฎิเสธ เสียเก้าครั้ง ทั้งนี้อาจจะเพราะ คนอื่นเขาเข็ดขยาด ในความไม่แน่นอนของแก ก็เลยขี้เกียจ พาตัวเข้าไป ข้องแวะด้วย

 

ส่วนในด้านของความรักนั้น เนื่องจากคนกรุ๊ปเลือด เอบี ไม่ค่อยมีความจริงใจ ต่อเพศตรงข้ามเท่าใดนัก ความรักจึงไม่ค่อย ยั่งยืนเท่าที่ควร

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

โทรศัพท์ ...จากแม่

 

:lol: :blush: :blink:

 

ถ้าเพื่อนๆได้อ่านบทความนี้แล้ว อย่าลืมหาเวลาว่างโทรคุยกับแม่-พ่อ บ้างนะจ๊ะ คนที่รักเราที่สุดคือท่า... ',-o] ถ้าเพื่อนๆได้อ่านบทความนี้แล้ว อย่าลืมหาเวลาว่างโทรคุยกับแม่-พ่อ บ้างนะจ๊ะ คนที่รักเราที่สุดคือท่านทั้งสอง คนอื่นถึงจะบอกรักสักปานใด ก็ไม่เท่ากับพ่อแม่รักนะครับ พ่อ แม่ทำได้ทุกอย่างให้ลูกๆมีความสุข และลูกอย่างพวกเราๆล่ะ ตอบแทนให้ความสุขความสบายใจกับท่านหรือยัง ไม่ต้องรอวันพ่อวันแม่หรอกครับ เพราะท่านไม่ได้รักเราแค่วันเดียวใน1ปี ท่านรักเราทุกวัน ท่านเอาใจใส่เราตั้งแต่ยังไม่ลืมตามองโลกเน่าๆใบนี้ด้วยซ้ำ ท่านเฝ้าฟูมฟัก ทนุทนอมตั้งแต่อยู่ในท้อง ท่านไม่เคยบ่นว่าเหนื่อย ท้อแท้เลย กลับมีมานะในการทำงาน มีกำลังใจในการทำงานมากขึ้น เมื่อลูกเกิดท่านทั้งสองก็ต้องดิ้นรนเพื่อหาความสุขความสบายให้กับลูก บางคนไปกู้หนี้-ยืมสิน มาเพื่อให้ลูกได้สบาย พ่อโตขึ้นมาก็อยากได้นู่น-อยากได้นี่ พ่อแม่ก็ต้องดิ้นรนขวนขวายไปหามาให้ พอเริ่มโต ก็มีแฟน อยากได้รถอยากได้สร้อย พ่อแม่ก็ต้องหามาให้กลัวว่าลูกจะอายคนอื่นเขา กลัวลูกจะเสียหน้า อ่ะ เพื่อนๆเอาบทความนี้ไปอ่านละกัน มันอาจทำให้คนที่ลืมคิดถึงความต้องการของพ่อแม่ได้กลับมาคิดได้บ้าง

 

คงไม่สายเกินไป หากจะส่งข้อความนี้ให้ทุกๆคนได้อ่าน อยากให้ทุกคนได้อ่านและตระหนักถึงความสำคัญของ "เธอ" อ่านแล้วอย่าร้องเหมือนเรานะ......

คงไม่สายเกินไป หากจะส่งข้อความนี้ให้ทุกๆคนได้อ่าน

อยากให้ทุกคนได้อ่านและตระหนักถึงความสำคัญของ "เธอ"

 

 

อ่านแล้วอย่าร้องเหมือนเรานะ...

 

 

ความรู้สึกของน้องคนหนึ่งที่บรรยายออกมาจากใจ

 

 

ในขณะที่.... ผมก็เป็นเช่นเด็กวัยรุ่นทั่วๆ ไป เรียน เที่ยว นอน กิน

 

ดึกๆ ผมก็โทรคุยกับแฟนของผม

 

ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้มันก็เป็นกิจวัตรประจำวันของผม

 

และผมก็เชื่อว่าใครๆ เค้าก็ทำแบบนี้กัน

 

'จ้า ตัวเอง วันนี้กินข้าวรื้อยาง'

 

'กินกับอะไรบ้าง แล้วตอนกินตัวเองคิดถึงเค้ามั้ยเนี่ย'

 

'รู้มั้ยตัวเอง ถ้าเค้าเป็นผีเนี่ย เค้าอยากเป็นกระสือที่รักจะได้เห็นใจไง'

 

'ตัวเองวางก่อนดิ ก่อนดิ'

 

ประโยคต่างๆ ที่ผมได้คิดและคัดสรรเตรียมพร้อมมาต่างๆ ก่อนโทร

 

ผมยังคงใช้เวลาส่วนใหญ่ตอนดึกไปกับการคุยโทรศัพท์

 

ระยะเวลาอันผมได้ใช้ไปในแต่ละครั้งนั้น

 

พอรู้สึกอีกทีก็ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว

 

แต่ผมก็ไม่ชอบนะ หากใครจะมาว่าผมไร้สาระ

 

ก็ไม่เห็นหรอคนส่วนใหญ่เค้าก็ทำกัน

 

'เอ้อ เกือบลืมไปอีกอย่าง กิจวัตรอีกอย่างนึงของผมก็คือ

 

แม่ของผมมักชอบโทรหาผมทุกวัน' 'ตอนนี้ลูกอยู่หอรึยัง'

 

'เย็นนี้กินข้าวอิ่มมั้ย' 'วันนี้เรียนเป็นยังไงบ้าง' 'อย่าไปเที่ยวที่ไหนไกลนะ'

 

โธ่!คำถามเดิมๆ ผมก็ตอบไปแบบเดิมๆ

 

แม่ผมก็ไม่เบื่อซักที ยังคงโทรหาผมเป็นประจำ

 

โชคดีที่ผมพยายามตัดบทคุย

 

ผมกับแม่น่ะคุยกันไม่กี่นาทีก็วางแล้ว

 

ก็มันไม่มีอะไรจะคุยจะให้ผมทำยังไง

 

จนกระทั่งวันนั้น 'ตัวเองตอบเค้าได้รึยังว่ารักเค้ามั้ย'

 

'เร็วๆสิ เค้ายังอุฒส่าห์บอกรักตัวเองไปแล้วนะ'

 

'แล้วยังจะใจร้ายไม่บอกรักเค้าอีกหรอ'

 

ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ เสียงจากโทรศัพท์บอกผมว่ามีสายซ้อน

 

ผมมองไปที่หน้าจอมันขึ้นชื่อว่า 'Home'

 

'โธ่ แม่โทรมาทำไมตอนนี้เนี่ย กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเลย'

 

ผมไม่สลับสายผม ผมยังคงคุยกับสุดที่รักของผมต่อไป

 

เพราะผมรู้ว่าสิ่งที่แม่จะคุยกับผมก็คงเป็นประโยคเดิมๆ

 

'และนั่นก็เป็นโอกาสสุดท้าย ที่ผมจะมีโอกาสฟังเสียงของแม่'

 

หลังจากนั้นไม่นานทางญาติของผมโทรมาแจ้งผมว่า

 

เมื่อคืนนี้บ้านของผมถูกขโมยเข้า และแม่ของผมขัดขืน

 

และได้ต่อสู้กับโจร จึงถูกโจรใช้มีดแทงเข้าที่ท้อง

 

แม่เสียชีวิตเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว

 

ญาติของผมเล่าอีกว่าตอนไปพบศพแม่นั้น

 

ในมือของแม่กำโทรศัพท์ไว้แน่น

 

และเบอร์โทรออกล่าสุดของเธอไม่ใช่โทรแจ้งตำรวจ

 

หรือเรียกรถพยาบาล แต่แม่เลือกที่จะโทรหา 'ผม'

 

สิ่งสุดท้ายในชีวิตที่แม่ผมเลือกที่จะทำคือ โทรศัพท์หาผมเพื่อฟังเสียงของผม

 

วินาทีนั้นน้ำตาของผมไหลอาบแก้ม ผมพูดอะไรไม่ออก มือและตัวของผมสั่น

 

วันนั้นผมเลือกที่จะคุยกับแฟนผม ดีกว่าที่จะคุยกับแม่ของผม

 

ผู้หญิงคนเดียวในโลก ที่คุยกับผมเป็นคนแรกในชีวิต

 

ผู้หญิงคนเดียวที่ผม สามารถที่จะคุยกับเธอได้ทุกเวลา

 

โดยที่ผมไม่ต้องเตรียมบทพูดใดๆ ไม่ต้องกังวลว่าเธอจะประทับใจหรือไม่

 

ไม่ต้องมีมุข ไม่ต้องมีคำหวานใดๆ

 

คนเดียวในโลก ที่โทรมาหาผมเพียงแค่ฟังผมพูดประโยคเดิมๆ

 

คนเดียวในโลก ที่ไม่ว่าโทรศัพท์เธอจะโปรโมชั่นแพงแค่ไหนก็ยังโทรหาผม

 

'และคนเดียวในโลก ที่เลือกคุยกับผมในวินาทีสุดท้ายในชีวิต'

 

ในบางครั้งประโยคที่ว่า 'ไม่มีคำว่าสาย หากเราคิดที่จะแก้ตัว'

 

มันก็ไม่เป็นความจริง 'เพราะบางปรากฏการณ์ในโลก เกิดขึ้นได้แค่ครั้งเดียว'

 

อาจเป็นเพราะเวรกรรมของผม

 

หลังจากนั้นไม่นานแฟนผมที่ผมใช้เวลาคุยกับเธอวันหลายๆ ชั่วโมงก็ทิ้งผมไป

 

วันนี้ผมเริ่มเข้าใจชีวิตมากขึ้น

 

หลายๆ อย่างที่คนส่วนใหญ่ทำ มิได้หมายถึงสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป

 

เพราะตัวเราเท่านั้นที่เป็นผู้ต้องรับผลการกระทำของเราเอง

 

'เราจะรู้ว่าสิ่งใดสำคัญ ก็ต่อเมื่อเราต้องเสียมันไป'

 

ทุกวันนี้ผมนั่งมองโทรศัพท์

 

รอที่จะตอบคำถามเดิมๆ ให้ผู้หญิงคนหนึ่งฟัง

 

แต่ผู้หญิงคนนั้นคงไม่มีอีกแล้ว

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

9 คำสอนของพ่อ( พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว)

:wub: :wub: :wub:

 

 

1. ความเพียร

 

การสร้างสรรค์ตนเอง

การสร้างบ้านเมืองก็ตาม

มิใช่ว่าสร้างในวันเดียว

ต้องใช้เวลาต้องใช้ความเพียร

ต้องใช้ความอดทน เสียสละ

แต่สำคัญที่สุดคือความอดทน

คือไม่ย่อท้อ ไม่ย่อท้อในสิ่งที่ดีงาม

สิ่งที่ดีงามนั้น ทำมันน่าเบื่อ

บางทีเหมือนว่าไม่ได้ผล ไม่ดัง

คือดูมันครึทำดีนี่ แต่ขอรับรองว่า

การทำให้ดีไม่ครึต้องมีความอดทน

เวลาข้างหน้าจะเห็นผลแน่นอน

ในความอดทนของตนเอง

 

พระบรมราโชวาท

พระราชทานแก่นักเรียน นักศึกษา ครู

และอาจารย์ในโอกาสเข้าเฝ้าฯ

วันที่ 27 ตุลาคม 2516

 

2. ความพอดี

 

ในการสร้างตัวสร้างฐานะนั้น

จะต้องถือหลักค่อยเป็นค่อยไป

ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง

และความพอเหมาะพอดี

ไม่ทำเกินฐานะและกำลัง

หรือทำด้วยความเร่งรีบ

เมื่อมีพื้นฐานแน่นหนารองรับพร้อมแล้ว

จึงค่อยสร้างค่อยเสริม

ความเจริญก้าวหน้าในระดับสูงขึ้น

ตามต่อกันไปเป็นลำดับผลที่เกิดขึ้นจึงจะแน่นอน

มีหลักเกณฑ์ เป็นประโยชน์แท้และยั่งยืน

พระบรมราโชวาท

ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร

ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น

วันที่ 18 ธันวาคม 2540

 

3. ความรู้ตน

เด็กๆ ทำอะไรต้องหัดให้รู้ตัว

การรู้ตัวอยู่เสมอจะทำให้เป็นคนมีระเบียบ

และคนที่มีระเบียบดีแล้ว

จะสามารถเล่าเรียนและทำการงานต่างๆ

ได้โดยถูกต้องรวดเร็ว จะเป็นคนที่

สร้างความสำเร็จและความเจริญ

ให้แก่ตนเองและส่วนรวม

ในอนาคตได้อย่างแน่นอน

 

พระบรมราโชวาท

พระราชทานลงพิมพ์ในหนังสือ

วันเด็ก ประจำปี 2521

 

4. คนเราจะต้องรับและจะต้องให้

คนเราจะเอาแต่ได้ไม่ได้

คนเราจะต้องรับและจะต้องให้

หมายความว่าต่อไป และเดี๋ยวนี้

ด้วยเมื่อรับสิ่งของใดมา

ก็จะต้องพยายามให้ ในการให้นั้น

ให้ได้โดยพยายามที่จะสร้าง

ความสามัคคีให้หมู่คณะและในชาติ

ทำให้หมู่คณะและชาติประชาชนทั้งหลาย

มีความไว้ใจซึ่งกันและกันได้

ช่วยที่ไหนได้ก็ช่วย

ด้วยจิตใจที่เผื่อแผ่โดยแท้

พระบรมราโชวาท

พระราชทานแก่นักศึกษา

มหาวิทยาลัยขอนแก่น

วันที่ 20 เมษายน 2521

 

5. อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ

ในวงสังคมนั้นเล่า ท่านจะต้องรักษามารยาทอันดีงาม

สำหรับสุภาพชน รู้จักสัมมาคารวะ ไม่แข็งกระด้าง

มีความอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ

พร้อมจะเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อส่วนรวม

พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร

ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 25 มิถุนายน 2496

 

6. พูดจริง ทำจริง

ผู้หนักแน่นในสัจจะพูดอย่างไร ทำอย่างนั้น

จึงได้รับความสำเร็จ พร้อมทั้งความศรัทธาเชื่อถือ

และความยกย่องสรรเสริญ จากคนทุกฝ่าย

การพูดแล้วทำ คือ พูดจริง ทำจริง

จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมเกียรติคุณ

ของบุคคลให้เด่นชัด และสร้างเสริมความดี

ความเจริญ ให้เกิดขึ้นทั้งแก่บุคคลและส่วนรวม

พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร

ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 10 กรกฎาคม 2540

 

7. หนังสือเป็นออมสิน

หนังสือเป็นการสะสมความรู้และทุกสิ่งทุกอย่าง

ที่มนุษย์ได้สร้างมา ทำมา คิดมา แต่โบราณกาลจนทุกวันนี้

หนังสือจึงเป็นสิ่งสำคัญ เป็นคล้ายๆ ธนาคารความรู้

และเป็นออมสิน เป็นสิ่งที่จะทำให้ มนุษย์ก้าวหน้าได้โดยแท้

พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะสมาชิกห้องสมุดทั่วประเทศ

ในโอกาสที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท วันที่ 25 พฤศจิกายน 2514

 

 

8. ความซื่อสัตย์

ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นพื้นฐานของความดีทุกอย่าง

เด็กๆ จึงต้องฝึกฝนอบรมให้เกิดมีขึ้นในตนเอง

เพื่อจักได้เติบโตขึ้นเป็นคนดีมีประโยชน์ และมีชีวิต

ที่สะอาด ที่เจริญมั่นคง

พระบรมราโชวาท พระราชทานเพื่อเชิญลงพิมพ์

ในหนังสือวันเด็ก ปี พุทธศักราช 2531

 

9. การเอาชนะใจตน

 

ในการดำเนินชีวิตของเรา

เราต้องข่มใจไม่กระทำสิ่งใดๆ

ที่เรารู้สึกด้วยใจจริงว่าชั่วว่าเสื่อม

เราต้องฝืนต้องต้านความคิด

และความประพฤติทุกอย่างที่รู้สึกว่าขัดกับธรรมะ

เราต้องกล้า และบากบั่นที่จะกระทำสิ่งที่เราทราบ

ว่าเป็นความดีเป็นความถูกต้อง และเป็นธรรม

ถ้าเราร่วมกันทำเช่นนี้ ให้ได้จริงๆ

ให้ผลของความดีบังเกิดมากขึ้นๆ

ก็จะช่วยค้ำจุนส่วนรวมไว้มิให้เสื่อมลงไป

และจะช่วยให้ฟื้นคืนดีขึ้นได้เป็นลำดับ

 

พระบรมราโชวาท พระราชทานเพื่อเชิญไปอ่าน

ในพิธีเปิดการประชุมยุวพุทธิกสมาคมทั่วประเทศ ครั้งที่ 12

ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วันที่ 12 ธันวาคม 2513

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

10 สายพันธุ์สุนัขที่ฉลาดที่สุดในโลก....

:huh: :wub:

 

โดยปกติการประเมินว่าสุนัขตัวใดมีความเฉลียวฉลาดมากน้อยเพียงไหนนั้น มักวัดจากการที่สุนัข

สามารถเข้าใจคำสั่งใหม่ ๆ และเชื่อฟังคำสั่งได้เร็ว และมากน้อยเพียงใด สำหรับสุนัขที่ได้รับการ

ยอมรับว่าฉลาดที่สุด 10 อันดับแรกของโลกนั้น มีความสามารถเรียนรู้และเข้าใจคำสั่งใหม่ ๆ ได้

อย่างรวดเร็วอย่างน้อยไม่เกิน 5 ครั้งก็สามารถจำคำสั่งได้ และเชื่อฟังคำสั่งได้ทันทีในครั้งแรก โดย

เฉลี่ย อย่างน้อย 95% ของเวลาที่ใช้ฝึก ต่อไปนี้คือ การจัดลำดับสุนัขที่ฉลาดที่สุด

 

ถ้าจะบอกว่าสุนัขเป็นสัตว์ที่นิยมเลี้ยงกันมากที่สุดก็คงไม่ผิด และสุนัขบางชนิดยังฉลาดมากซะด้วย

ฉะนั้นวันนี้เรามาดูหมาที่ฉลาดที่สุดในโลกกัน

10.australian cattle

 

australian_cattle_dog_h05.jpg

 

ออสเตรเลียน แคทเทิล ด็อก หรือ ออสเตรเลียน ควีนแลนด์ เป็นสุนัขที่ได้ชื่อว่า อายุยืนที่สุดในโลก ( มากที่สุด 29 ปี ) และเป็นสุนัข ที่มีความกล้าหาญ มุ่งมั่น แต่เดิมใช้ต้อนฝูงโค สามารถคุมฝูงโคได้ดี โดยไม่ต้องส่งเสียงเห่าหรือวิ่งพล่านรอบตัวโค

 

เป็นสุนัขที่มีสายพันธุ์เกี่ยวเนื่องกับ สุนัขดิงโก มีถิ่นกำเนิดในอยู่ในประเทศออสเตรเลีย เกิดขึ้นประมาณปี ค.ศ. 1800

 

ลักษณะประจำพันธุ์สุนัขพันธุ์นี้ จะมีใบหูใหญ่ทรงสามเหลี่ยมตั้งขึ้น ช่วงลำคอหนา ตลอดทั้งลำตัว โดยเฉพาะส่วนหัว จะมีขนสีขาว ๆ

ขึ้นแซมประปราย หางยาวไม่ถึงข้อขา ลักษณะหางจะตกโค้งเล็กน้อย

 

9. rottweiler

Rottweiler14.jpg

 

สุนัข พันธุ์นี้ไม่ปรากฎหลักฐานแน่ชัดว่ามีถิ่น กำเนิดอยู่ที่ใดเป็นสุนัขที่มีประวัติเก่าแก่ พันธุ์หนึ่งในสมัยโรมัน เมื่อชาวโรมันยกทัพไปรุกรานชาติอื่น มักจะเดินทางรอนแรมนับเดือน และจะต้องเตรียมสเบียงอาหารไปด้วย โดยการพาฝูงสัตว์ติดไปด้วย ในสมัยนั้น ชาว

โรมันนิยมใช้สุนัขพันธุ์ ROTTWEILER ช่วยต้อนฝูงสัตว์ และเป็นสุนัขเฝ้ายามใน เวลากลางคืน ชื่อ ROTTWEILER ได้มาจากชื่อ

เมือง ROTTWELL ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าสัตว์ในสมัยศตวรรษที่ 12 ปัจจุบันนิยม นำสุนัขพันธุ์นี้มาใช้ในกิจกรรมของกรมตำรวจ

ทหาร ตลอดจนเลี้ยงไว้เฝ้าบ้านด้วย..

 

8. papillon

evol-papillon-l.jpg

คำว่า PAPILLON อ่านว่า ปา-ปิ-ยอง เป็นคำ ในภาษาฝรั่งเศสหมายถึงผีเสื้อ สุนัขพันธุ์นี้ เป็นสุนัข SPANIEL ที่มีขนาดเล็กกว่า SPANIEL ขนาดธรรมดามาก นิยมเลี้ยง กันอย่างแพร่หลาย ในคริสตศตวรรษที่ 16 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่สตรีผู้สูงศักดิ์ เช่น

MADAME POMPADOUR และ MARIE ANTOINETTE ในสมัยนั้น มีการค้าขายสุนัขพันธุ์ นี้กันอย่างกว้างขวางโดยมี SPAIN

เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุด ส่วนหูของ PAPILLON มีลักษณะ คล้ายผีเสื้อ

 

ลักษณะนิสัย เป็นสายพันธุ์ที่ฉลาดอย่างน่าทึ่ง แข็งแรง กล้าหาญกว่าที่คิด รักเจ้าของ และพร้อมจะปกป้องเจ้าของ จากผู้บุกรุก

ชนิดยอมตายถวายชีวิตเลย ขี้เล่นและกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งรอบข้าง เป็นมิตร สง่างาม ลักษณะการเดินหรือท่าทางน่ารัก

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

7. Labrador Retriever

:lol: :wub:

 

labrador-retriever3.jpg

ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ นิสัยเป็นมิตร ฉลาด และตอบสนองคำสั่งได้อย่างรวดเร็ว เป็นสุนัขที่มีหางต่างจาก สุนัขพันธุ์รีทรีฟเวอร์ทั่วไป คือ มีโคนหางใหญ่หนาและเรียวไล่ลงจนถึงปลายหางโดยไม่มีพู่หาง แต่เดิมใช้เพื่อช่วยงานชาวประมงลากอวนเข้าฝั่ง ต่อมาได้ถูก

พัฒนาความสามารถให้เป็นสุนัขนำทางคนตาบอด และตรวจค้นยาเสพติด,วัตถุระเบิด สุนัขพันธุ์นี้มีถิ่นกำเนิดในนิวฟาวนด์แลนด์

ประเทศแคนาดา กำเนิดในราว ค.ศ. 1800

 

สุนัข พันธุ์นี้จะรูปร่างเหมือนกับสุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ สีขนจะเป็นสีเดียวกับทั่วทั้งลำตัว มีทั้งสีดำ ขาว น้ำตาลอ่อน และน้ำตาล

เข้ม ลักษณะขนสั้นเป็นสองชั้น ส่วนหัวกว้าง ขอบบนของเบ้าตาเป็นสันนูนขึ้นเล็กน้อย มีช่วงไหล่ที่กว้าง

6. shetland sheepdog

Shetland_Sheepdog.jpg

 

อาจจะสืบเชื้อสายมากจาก Rough Collies ซึ่งถูกนำไปที่เกาะ Scottish Island ของ Shetland และผสมข้ามสายพันธุ์กับ Icelandie Yakkin สุนัขเกาะตัวเล็ก (ปัจจุบันไม่ได้รับการยอมรับต่อไป) โดยนำไปบนเรือของชาวประมง ใน ค.ศ.1700 สายพันธุ์ได้รับการพัฒนาจนสมบูรณ์ เป็นเวลาร่วมศตวรรษที่สุนัขเล็กเหล่านี้ถูกให้ต้อนแกะและอารักขาฝูงแกะของ Shetland เกาะที่มีพายุแยกออกไปจากชายฝั่งทะเลที่ซึ่งสัตว์จำนวนมากมายค่อนข้างเล็กน้อยด้านความสูง ความประณีตของการผสมได้มักเกิดขึ้นเป็นส่วนใหญ่ ในศตวรรษที่ 20 ภายหลัง Shetland ถูกส่งออกไป Scotland ซึ่งเป็นแผ่นดินใหญ่ของประเทศอังกฤษและประเทศไกลโพ้น Sheltie ตัวเล็กเหล่านี้ เป็น สุนัขอ่อนโยนมากเมื่อต้อนปศุสัตว์ตัวเล็ก เป็นหนึ่งของสายพันธุ์ที่แข่งขันการเชื่อฟังได้ยอดเยี่ยม Sheltie เป็นสุนัขทำงานที่สง่างาม และตั้งใจ พวกเขาได้รับการยอมรับครั้งแรกในประเทศอังกฤษใน ค.ศ.1909 และจดทะเบียนครั้งแรกในอเมริกาใน ค.ศ.1911 เพราะ นิสัยที่ใจดี ทุกวันนี้กลายเป็นหนึ่งของสุนัขที่เป็นเพื่อนซึ่งได้รับความนิยมมากที่สุด ความสามารถพิเศษของ Sheltie ได้แก่ การตามรอย ต้อนสัตว์ เฝ้าบ้าน อารักขา ฉลาดเฉลียว แข่งขันการเชื่อฟังและเล่นกล

 

5. doberman pinscher

 

doberman_pinscher.jpg

นี่คือสายพันธุ์ที่มีจุดกำเนิดเมื่อไม่นานมานี้ เขาถูกพัฒนาใน ค.ศ.1860 พอสันนิษฐานได้ว่าเป็นการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่า German Pinschers กับ Rottweilers, Beauceron Pinschers} Greyhounds และ English Greyhound เพื่อสร้าง Doberman Pinscher ที่ผอมและมีสติปัญญาสูง ผู้ให้กำเนิดของการผสมข้ามพันธุ์คือคนเก็บภาษีชาวเยอรมันชื่อ Louis Doberman ซึ่งได้เดินทางผ่านพื้น ที่ที่มีโจรรังควาญบ่อยๆเลยตัดสินใจที่จะสร้างสุนัขเฝ้าบ้านและสุนัขอารักขา ซึ่งสามารถรับมือกับทุกสถานการณ์ซึ่งอาจเกิดขึ้น มีการอ้างอิงชื่อผู้ให้กำเนิดของเขา Doberman ได้รับการนำเสนอครั้งแรกที่สนามโชว์สุนัขใน ค.ศ.1876 ซึ่งเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ทันที

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

4. golden retriever

 

:) :P

 

golden_retriever_4.jpg

 

โกลเดน รีทรีฟเวอร์ ,รีทรีฟเวอร์ขนสีเหลือง หรือ รัสเซียน รีทรีฟเวอร์ เป็นสุนัขที่ตื่นตัว และตอบสนองคำสั่งได้อย่างรวดเร็ว แต่เดิม ใช้งานเพื่อหานกที่ถูกยิงตกนำมาให้เจ้าของ เนื่องจากมีสีขนสวยงามจึงทำให้ได้รับความนิยมมาก สุนัขพันธุ์นี้มีถิ่นกำเนิดในประเทศอังกฤษ ว่ากันว่าพัฒนามาจากสุนัขในคณะละครสัตว์ของชาวรัสเซีย กำเนิดราว ค.ศ. 1800 แต่เดิมมีชื่อว่า สุนัขพันธุ์ขนเรียบทองจนในปี ค.ศ. 1900 ได้ถูกตั้งชื่อให้ว่า โกลเดนรีทรีฟเวอร์

 

ลักษณะประจำพันธุ์ สุนัขพันธุ์นี้จะมีลักษณะหัวกว้างและมีช่วงปากที่แข็งแรง ตาสีน้ำตาล หูค่อนข้างใหญ่เป็นรูปสามเหลี่ยม ปรกลงมา

ด้านข้าง มีขน2แบบคือ เรียบกับเป็นลอน ขาหน้าตรงแข็งแรง เท้ากลมคล้ายเท้าแมว ลักษณะหางชี้ตรงระดับเดียวกับหลัง ขนบริเวณ

หางจะยาวและหนา

 

 

3. german shepherd

 

german_shepherd_h02.jpg

 

เยอรมัน เชพเพิร์ด หรือ ดอยต์เชอ เชฟเฟอร์ฮุนด์ หรืออีกชื่อที่นิยมเรียกกัน คือ อัลเซเซียน นั่นเอง สุนัขพันธุ์นี้ถือว่าเป็นสุนัขที่คนนิยมเลี้ยงกันมากที่สุดในโลกก็ว่าได้ เพราะมีความฉลาด สอนง่าย และกระตือรือร้นตลอดเวลา แต่เดิมคนใช้สุนัขพันธุ์นี้ไว้ต้อนแกะแต่ปัจจุบันได้นำมาพัฒนาเพื่อใช้งานหลายด้าน เนื่องจากฉลาดในการรับรู้สิ่งต่างๆ เป็นสุนัขที่มีมีถิ่นกำเนิดในอยู่ในประเทศเยอรมัน

เกิดขึ้นประมาณปี ค.ศ. 1800

 

ลักษณะประจำพันธุ์ สุนัขพันธุ์นี้มีลำตัวค่อนข้างยาว มีช่วงปากที่ยาวเกินครึ่งของความยาวใบหน้า ลักษณะหูตั้ง ปลายหูเรียวเล็ก

บริเวณใบหน้า ลงมาถึงจมูก จะมีสีขนที่เข้ม ขาหลังมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ลักษณะหางจะตกและมีขนหนา

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

2.poodle

 

:rolleyes: :wub:

 

standard-poodle-0006.jpg

 

 

ในบรรดาพันธุ์สุนัขทั้งหลาย พันธุ์ poodle ที่ถูกเพาะมาอย่างดี ถือเป็นพันธุ์ที่เฉลียวฉลาด และมีความรับผิดชอบสูงที่สุด poodle

ทั้ง 3 ชนิดเป็นสุนัขที่ร่าเริง ขี้เล่น ช่างประจบเอาใจ มีพลังงานเหลือล้น มีสเน่ห์ และต้องการเป็นที่พอใจของเจ้าของตลอดเวลาี่เมื่อ

เลี้ยงแล้ว เค้าจะมีความผูกพันธุ์สูงมากกับเจ้าของ เรียกได้ว่า รักถวายชีวิตทีเดียว ดังนั้น การเลี้ยงเค้าไม่ได้ตลอดไป หรือต้องให้

เค้าไปอยู่กับผู้อื่นเมื่อเค้าโตขึ้น จะเป็นสิ่งที่ทำร้ายจิตใจเค้ามาก และอาจนำพา มาสู่พฤติกรรมที่ผิดปกติได้

 

เค้าจะชอบที่จะทำงานมีส่วนร่วมกับเจ้าของ และเข้ากันได้ดีกับสัตว์ชนิดอื่น Minature และ Toy Poodle จะเข้ากันกับคนแปลกหน้า

และเด็กได้ดีกว่า Standard Poodle แต่อย่างไรก็ตาม ลักษณะของการกัดคนแปลกหน้ามักพบใน Minature และ Toy ได้มากกว่า

 

1.border collie

bordercollie_hogan2.jpg

 

เป็นสุนัขเลี้ยงแกะ ที่มีความสามารถมาก มีความสามารถขนาดไหน ถ้านึกไม่ออก ให้นึกถึง ภาพยนตร์เรื่อง Babe สุนัขที่สอนหมูให้

ต้อนฝูงแกะไง... นั่นแหละบอร์เดอร์ คอลลี นอกจากนี้ บอร์เดอร์ คอลลี ยังถูกใช้เป็นสุนัขตามหา คนที่หลงทางในภูเขา และนำทาง

คนตาบอดอีกด้วย

 

ต้นกำเนิดของบอร์เดอร์ คอลลีมาจากสก็อตแลนด์ เช่นเดียวกับคอลลีพันธุ์อื่นๆ ความสามารถพิเศษของบอร์เดอร์ คอลลี คือ การ

ทำงานได้อย่างเงียบเชียบ นุ่มนวล มันมักจะคืบคลาน หัวและหางเรี่ยอยู่ระดับพื้นดิน ใช้สายตาจ้องมองฝูงสัตว์ พร้อมจะกระโจนไล่

ต้อนฝูงสัตว์ หากได้รับคำสั่งจากเจ้านาย จากลักษณะดังกล่าวนี้เอง จึงคาดกันว่า บอร์เดอร์ คอลลี น่าจะเกิดจากการผสม ข้ามพันธุ์

ระหว่างคอลลี กับเซตเตอร์ หรือพอยเตอร์ หรือสเปเนี่ยน สุนัขพันธุ์นี้ถูกใช้เป็นสุนัขต้อนฝูงแกะมานาน โดยเฉพาะบริเวณชายแดน

ระหว่างอังกฤษ กับสก็อตแลนด์ จนเป็นที่มาของชื่อ บอร์เดอร์ คอลลี แต่มาตรฐาน ของสุนัขพันธุ์นี้ เพิ่งเป็นที่ยอมรับของสมาคมผู้

เลี้ยงสุนัข แห่งอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1976

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีทุกท่านค่ะ !Hi..

170301c7zifsub1b.gif

ไหนๆก็ผ่อนคลายด้วยเรื่องของสัตว์ที่ใกล้ชิดกับมนุษย์ที่สุดมาหลายวันแล้ว ก็ขอแถมอีกนิดก็แล้วกันนะคะ

 

สุนัขทรงเลี้ยง โชว์ความสามารถ....

คุณแกงนพเก้า

_MR64806.JPG

 

 

_MR65089.JPG

 

 

_MR64949.JPG

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คุณข้าวตอกดอกไม้

 

uuu.jpg

 

 

dog.gif

 

วันนี้ (18 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน คุณข้าวตอกดอกไม้ สุนัขทรงเลี้ยง ให้มาแสดงความสามารถในงานมหกรรมสัตว์เลี้ยงแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 9 ณ สวนสามพราน โรงแรมโรสกาเด้น ริเวอร์ไซค์ จ.นครปฐม โดยมี นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิด ท่ามกลางความสนใจของผู้นิยมสัตว์เลี้ยงเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเด็กนักเรียนจากโรงเรียนต่าง ๆ เดินทางมาชมความสามารถเป็นจำนวนมาก เต็มทั้ง 2 ฝั่งอัฒจันทร์

 

ขณะครูฝึกได้นำสุนัขทรงเลี้ยงลงสู่สนาม แสดงความสามารถ เสียงปรบมือจากผู้เข้าชมดังกึกก้องทั่วสนาม ทำให้คณะกรรมการผู้จัดงาน และครูฝึกต่างยิ้มแย้มด้วยความสุข สุนัขทรงเลี้ยงได้แสดงความสามารถในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ กระโดดเปิดป้าย แสดงความสามารถเชื่อฟังตามคำสั่งการเดินถอยหลัง หมอบ คลาน นั่งสวัสดี กระโดดลอดบ่วง เดินซิกแซก เดินไต่อุปกรณ์ เดินบนปากขวด เดินไต่ลวดสลิง ไต่ตอดอกเหมย เดินบนสะพานเหล็ก เดินบนคานเหล็กคู่ และการแสดงกระโดดลอดบ่วงไฟ หลังจบการแสดงได้จับรายชื่อเด็กนักเรียนผู้โชคดี 20 คน เพื่อถ่ายภาพหมู่กับสุนัขทรงเลี้ยงไว้เป็นที่ระลึก สร้างความประทับใจให้กับผู้เข้าชมทุกคน

 

คุณข้าวตอกดอกไม้ เป็นสุนัขหลวงเพศผู้ พันธุ์ไทย-บาเซนจิ ลูกของคุณแม่ทองหยอดกับคุณพ่อน้ำชา เกิดเมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ.2547 เป็นลำดับที่ 2 จากพี่น้องทั้งหมด 8 สุนัข ปัจจุบันอายุ 5 ปี 11 เดือน มีลักษณะขนสั้นสีน้ำตาล ขนสีขาวรอบปาก มีขนสีขาวคาดบริเวณคอซ้าย มีขนสีขาวเป็นวงบริเวณหน้าผาก หูตั้ง หางม้วน ปลายหางเป็นสีขาว รูปร่างค่อนข้างท้วม ถุงเท้ายาวสองขาหน้า ถุงเท้าสั้นสองขาหลัง อุปนิสัยเรียบร้อย น่ารัก มีวินัยในการฝึกสูง

 

ส่วน ในวันเสาร์วันที่ 19 ธ.ค.52 เวลา 15.00 น. จะมีการแสดงความสามารถของสุนัขหลวง จำนวน 2 สุนัข ได้แก่ คุณนิลนนท์ ลูกของคุณแม่หิรัญวารี และคุณพ่อทองพลุ และสุนัขหลวงในพระบรมราชานุเคราะห์ คุณน้องทองหลาง.

 

เครดิต เดลินิวส์

 

 

คุณน้องหลาง

 

IMG_0723.JPG

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...