ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
moddang

ข้อคิดคำคม - เกร็ดความรู้

โพสต์แนะนำ

แม่กูสอน ท่อนสุดท้ายจ๊าบมากๆ (ซึ้งกินใจ)

 

 

250121x9f4ez5xgq.gif

 

 

เพื่อน ๆ บอกผมว่า

ทำไม มึงดูหน้าตาไม่ค่อยฉลาด แต่เรียนเก่งจังวะ

ผมบอกเพื่อนผมว่า

แม่กูสอน ให้ขยันแล้วก็ตั้งใจเรียน

 

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า

ทำไมพอมึงมีตังค์ มึงชอบเอาไปทำบุญ แจกเด็ก เลี้ยงพระวะ

ผม บอกเพื่อนผมว่า

แม่กูสอน ให้รู้จักแบ่งปัน คนอื่น ถึงเราจะมีตังค์น้อย แต่ก็มีคนอื่นที่เขาลำบากกว่าเรา

 

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า

ทำไมมึงชอบเล่นกีฬา เล่นเป็นหลายอย่าง แล้วไม่เคยเห็นมึงป่วยนอนโรงพยาบาลเลยวะ

ผมบอกเพื่อนผมว่า

แม่กูสอน ให้กูออกกำลังกาย จะได้แข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วยง่าย ๆ เพราะเรามีตังค์น้อย เจ็บป่วยจะลำบาก

 

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า

ทำไม มึงอารมณ์ดี ไม่เครียด ไม่โกรธใครบ้างเลยหรือไงวะ

ผมบอกเพื่อนผมว่า

แม่ กูสอน ให้เป็นคนอารมณ์ดี ทำให้คนที่อยู่ใกล้เรามีความสุข แล้วจะสบายใจกันทุกคน

 

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า

ทำไมมึงพูดกับคนอื่น ดูสุภาพ อ่อนน้อม ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นลุงแก่ ๆ เป็นเด็กเสริฟอาหาร

หรือแม้แต่ขอทานที่มึงให้เศษ ตังค์แล้วเขาอวยพรให้มึง ทำไมมึงต้องขอบคุณขอทานวะ

ผมบอกเพื่อนผมว่า

แม่ กูสอน ให้พูดดี ๆ กับทุกคน ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เราพูดดี ๆ กับเขา เขาก็จะได้พูดดี ๆ กับเรา

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า

ทำไมพี่ ๆ น้อง ๆ มึงตั้งหลายคน ทำไมรักใคร่กันดี ไม่เคยทะเลาะกันเลยวะ

ผมบอกเพื่อนผมว่า

แม่กูสอน ให้พี่น้องรักกันทุกคน เพราะหมากับแมวที่อยู่บ้านเดียวกัน มันยังรักกันได้

ทำไมพี่น้องกัน จะรักกันไม่ได้

 

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า

ทำไมมึงถึงรักชาติ รักแผ่นดิน รักในหลวง มากมายนักวะ

ผมบอก เพื่อนว่า

แม่กูสอน ให้กูสำนึกถึงบุญคุณของแผ่นดิน บุญคุณของพระมหากษัติรย์ ทุกพระองค์

แม่กูสอน ให้กูรู้จักคำว่า จงรักภักดี ตั้งแต่กูยังไม่รู้ความหมาย จนทุกวันนี้ กูรู้แล้วว่า

คำว่า จงรักภักดี นั้น ยิ่งใหญ่เพียงใด

 

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า

ทำไมแม่มึงถึงสอนอะไรมึงมาก มายจังเลยวะ

ผมบอกเพื่อนว่า

ที่กูเป็นกูอยู่จนทุกวันนี้ ก็เพราะ ' แม่กูสอน '

แม่กูสอนอะไร กูทำตามแม่กูสอนทุกอย่าง

มีอย่างเดียวที่แม่ กูไม่ได้สอน แต่กูทำ แล้วกูทำมาตั้งแต่เด็กแล้ว

แม่กูไม่ได้สอนให้รักแม่ แต่......กูรักแม่ว่ะ

 

ใครไม่รัก..................กูรัก

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เคยโง่ม๊ะ..?...อยากฉลาดม๊ะ?...

 

:huh:

 

เคยโง่มะ

โง่ที่คิดว่า.....ความพยายามอยู่ที่ ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น

โง่ที่คิดว่า.....ใครบางคนให้ความสำคัญกับ ตัวเรามากกว่าคนอื่น

โง่ที่คิดว่า.....คนที่เรารัก เค้าจะรักเราคนเดียว

โง่ที่คิดว่า.....คนที่เราดีใจเมื่ออยู่ใกล้เค้า จะไม่ใช่คนเดียวกันกับคนที่ทำ

ให้เราเสียใจที่สุด

 

โง่ที่คิดว่า.....เรามีความสำคัญกับใครคนหนึ่งมากจน เค้าขาดเราไม่ได้

โง่ที่คิดว่า.....การโกหกจะไม่เกิดขึ้นระหว่างคู่รัก ที่รักกันจริงๆ

โง่ที่คิดว่า.....คำหวานจากปากเค้า เค้าพูดเพราะเป็นห่วงเราจริงๆ

โง่ที่คิดว่า.....เวลาที่เราต้องการเค้า ที่สุด เค้าจะอยู่กับเราเสมอ

 

อยากฉลาดมะฉลาดพอที่จะเข้าใจ ว่า.......ความพยายามบางครั้งมันก้อเป็นแค่ความพยายาม

ฉลาดพอที่จะเข้า ใจว่า......อย่าหวังว่าใครจะเห็นเราสำคัญมากไปกว่าตัวเค้าเอง

ฉลาดพอที่ จะเข้าใจว่า......คนที่เรารัก....บางทีเค้าก็มีคนที่เค้ารัก

ฉลาดพอที่ จะเข้าใจว่า......คนที่เราอยู่ใกล้เค้าแล้วมีความสุขอาจเป็นคนเดียวกันกับคน ที่ทำให้เราเสียใจที่สุด

 

ฉลาดพอที่จะ เข้าใจว่า......คำหวานจากปากเค้า

เค้าพูดเพียงเพราะเค้าชอบพูดคำหวานกับ ใครๆ เสมอ....ก็แค่นั้น

ฉลาดพอที่จะเข้าใจว่า......การโกหกเกิดขึ้นตลอด เวลาไม่ว่าใคร

ฉลาดพอที่จะเข้าใจว่า......คนที่เรารักอาจเป็นคนเดียวกัน กับคนที่ไม่เคยรักเรา

ฉลาดพอที่จะเข้าใจว่า......เวลาที่เราต้องการเค้า ที่สุดอาจเป็นเวลาเดียวกันกับเวลาที่เค้าหมดรักเราแล้ว

 

481876qojaq5ujfk.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

"ไม่จำนนต่อกรรมเก่า"

โดย พระไพศาล วิสาโล

443081fwtx95sy3b.gif

 

จักรชัยมีภรรยาที่ ขยันและใส่ใจในงานบ้าน เมื่อเขากลับจากที่ทำงานก็แทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะภรรยาดูแลกิจธุระต่างๆ ในบ้านให้หมด แต่แล้ววันหนึ่งภรรยาได้ล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งขั้นสุดท้าย มิหนำซ้ำแม่ยายซึ่งเป็นโรคอัลไซเมอร์ก็มีอาการรุนแรงขึ้น ทั้งสองคนช่วยตัวเองแทบไม่ได้เลย

 

จักรชัยซึ่งเคยมีชีวิตที่สบาย ต้องหันมาดูแลทั้งภรรยาและแม่ยาย แม้จะจ้างคนมาช่วย แต่เมื่อเขากลับจากที่ทำงาน ก็ต้องมาช่วยป้อนข้าว อาบน้ำ เช็ดตัว เช็ดอุจจาระ ให้ผู้ป่วย เพื่อนบ้านเห็นวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของจักรชัย ก็สรุปว่าเขากำลังใช้กรรม ชาติที่แล้วเขาคงจะทำอะไรไม่ดีกับภรรยาและแม่ยายเอาไว้ ชาตินี้จึงต้องมารับผลกรรมดังกล่าว

 

แต่จริงหรือที่จักรชัยกำลังชดใช้ กรรมเก่า ที่จริงน่าจะมองว่าเขากำลังทำกรรมใหม่ที่ดีงาม เพราะแทนที่เขาจะทิ้งภรรยา หรือนิ่งดูดายกับอาการของแม่ยายอย่างที่ผู้ชายจำนวนมากนิยมทำ เขากลับช่วยพยาบาลบุคคลทั้งสองอย่างไม่มีความรังเกียจ นี่คือการกระทำที่เสียสละและเปี่ยมด้วยเมตตา เป็นการทำดีที่เขาเป็นฝ่ายเลือกเอง ทั้งๆ ที่มีทางเลี่ยง

 

พูดเช่นนี้ ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องกรรมเก่า เป็นไปได้ว่าการที่ชีวิตครอบครัวของจักรชัยต้องมาประสบปัญหาเช่นนี้ อาจเป็นเพราะกรรมเก่าของเขาก็ได้ (ส่วนจะเก่าแค่ไหน ย้อนไปถึงชาติที่แล้วหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง) แต่ การที่เขาตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับปัญหาดังกล่าว ไม่ใช่เรื่องของกรรมเก่าอย่างแน่นอน เพราะเขาสามารถเลือกได้ว่าจะรับมือกับปัญหาหรือเพิกเฉยหลบหนี และเมื่อเขาตัดสินใจรับมือกับปัญหาด้วยการดูแลรับผิดชอบกับภรรยาและแม่ยาย นั่นคือกรรมใหม่หรือกรรมปัจจุบันที่ดีงาม อันสาธุชนควรสรรเสริญและเอาเป็นเยี่ยงอย่าง หาควรไม่ที่จะซ้ำเติมด้วยการอ้างกฎแห่งกรรม ซึ่งทำให้ความดีของเขากลายเป็นสิ่งไร้ค่า มีสภาพไม่ต่างจากการใช้โทษอย่างสาสม

 

กฎแห่งกรรมนั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เราตระหนักว่า ชีวิตของเรานั้นสามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการกระทำของเราเอง มิใช่ด้วยการดลบันดาลของเทพยดาหรือพระเจ้า กล่าวอีกนัยหนึ่งกฎแห่งกรรมช่วยให้เราเห็นคุณค่าของความเพียร แต่ทุกวันนี้กฎแห่งกรรมถูกใช้เพื่อสะกดให้ผู้คนยอมจำนนกับปัญหา โดยไม่คิดที่จะทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงตนเองหรือสถานการณ์

เมื่อ ภรรยาถูกสามีทุบตีหรือข่มเหงทั้งกายและใจ คำแนะนำที่มักจะให้แก่ฝ่ายหญิงก็คือให้ยอมทนไปเรื่อยๆ เพราะนี้เป็นผลของกรรมเก่า (หรือวิบาก) ที่ต้องชดใช้ นี่คือตัวอย่างการใช้กฎแห่งกรรมที่ทำให้ผู้คนยอมจำนนต่อปัญหา อีกทั้งยังเป็นการกล่าวโทษฝ่ายหญิงแต่ฝ่ายเดียว จริงอยู่การเลือกผู้ชายเช่นนี้มาเป็นสามีย่อมเป็นความรับผิดชอบของฝ่ายหญิง ดังนั้น เมื่อถูกเขาข่มเหงจึงถือได้ว่าเป็นผลจากกรรมเก่าของเธอด้วยส่วนหนึ่ง แต่การทนให้เขาทำร้ายนั้น ไม่ใช่เรื่องของกรรมเก่าหรือการชดใช้กรรมแล้ว แต่เป็นการสร้างกรรมใหม่ และกรรมใหม่ที่ผู้หญิงเลือกที่จะทนให้ผู้ชายมากระทำย่ำยีนี้เอง ที่เป็นตัวการทำให้เธอต้องระทมทุกข์ พูดอีกอย่างก็คือ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับฝ่ายหญิงส่วนหนึ่งเป็นผลจากการกระทำในปัจจุบันของ เธอเอง ไม่ใช่เป็นเพราะกรรมเก่าในอดีต (ไม่ว่าในชาตินี้หรือชาติที่แล้ว)

 

กฎแห่งกรรมนั้นเน้นที่การสร้างกรรมใหม่หรือกรรมในปัจจุบัน เพราะกรรมใหม่อยู่ในวิสัยที่เราจะควบคุมได้ (แม้จะไม่ทั้งหมด เพราะการกระทำอะไรก็ตามย่อมอยู่ภายใต้เงื่อนไขหรือเหตุปัจจัยที่จำกัดเสมอ) กรรมใหม่นั้นเราสามารถเลือกได้ว่าจะทำหรือไม่ทำอะไร ทั้งหมดนี้อยู่ที่การตัดสินใจของเรา ในขณะที่กรรมเก่านั้นเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เพราะกลายเป็นอดีตไป แล้ว การที่กฎแห่งกรรมพูดถึงกรรมเก่านั้น ก็เพื่อให้เรารับผิดชอบกับการกระทำในอดีตของตนเอง จะได้ไม่โทษผู้อื่นหรือเทวดาฟ้าดินว่าเป็นตัวการทำให้เราทุกข์

 

แต่อีกด้านหนึ่งของกฎแห่งกรรมซึ่งเป็นจุด เน้นที่สำคัญของพุทธศาสนา ก็คือการสร้างกรรมใหม่ในปัจจุบันเพื่อปรับปรุงเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนให้เป็น ไปในทางที่ดีงาม แต่ความเข้าใจในปัจจุบันกลับไปเน้นที่กรรมเก่าและการยอมจำนนต่อกรรมเก่า

 

ทุกวันนี้ชาวพุทธจำนวนไม่น้อยมีความเข้า ใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของตนเองทั้งหมดล้วนเป็นเพราะกรรมเก่า ความคิดเช่นนี้แท้จริงแล้วขัดกับหลักการทางพุทธศาสนา พระพุทธองค์ได้ เคยตรัสไว้ว่า 1 ใน 3 ของลัทธินอกพุทธศาสนา ได้แก่ ลัทธิกรรมเก่า (ปุพเพกตเหตุวาท) คือความเชื่อที่ว่าสิ่งใดก็ตามที่ได้ประสบ จะเป็นสุขก็ตามทุกข์ก็ตาม มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ตาม ล้วนเป็นเพราะกรรมที่ได้ทำไว้ในปางก่อน ใช่แต่เท่านั้นพระองค์ยังทรงเตือนว่า "เมื่อบุคคลมายึดเอากรรมที่ทำไว้ในปางก่อนเป็นสาระ ฉันทะก็ดี ความพยายามก็ดี ว่าสิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ ก็ย่อมไม่มี"

 

อดีตกับปัจจุบันนั้นไม่อาจแยกขาดจากกันได้ฉันใด การกระทำในอดีตก็ย่อมส่งผลถึงปัจจุบันฉันนั้น แต่ปัจจุบันก็หาใช่เป็นทาสของอดีตไม่ เพราะเราสามารถเลือกได้ว่าจะทำอย่างไรกับสิ่งที่สืบเนื่องจากอดีต รวมทั้งสามารถเอาผลจากกรรมเก่านั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่เราได้ด้วย เช่น ความเจ็บป่วย อันที่จริงเหตุปัจจัยแห่งความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นมีหลายอย่าง ไม่ได้เกิดจากกรรมเก่าเท่านั้น หากยังเป็นผลจากดินฟ้าอากาศ (อุตุนิยาม) หรือกรรมพันธุ์ (พีชนิยาม) แต่ไม่ว่าจะเกิดจากอะไรก็ตาม ก็ใช่ว่าเราจะเป็นฝ่ายถูกความเจ็บป่วยมากระทำเท่านั้น หากเรายังสามารถใช้ความเจ็บป่วยให้เกิดประโยชน์ได้ด้วย ตรงนี้แหละเป็นเรื่องของการสร้างกรรมใหม่หรือกรรมในปัจจุบัน

มีคน จำนวนไม่น้อยเมื่อเจ็บป่วยแล้วแทนที่จะคร่ำครวญหรือเป็นทุกข์ กลับสามารถทำใจให้เป็นปกติได้ ยิ่งกว่านั้นก็คือกลับมีคุณภาพจิตที่ดีขึ้น เพราะได้อาศัยความเจ็บป่วยนั้นมาช่วยให้เกิดปัญญาจนแลเห็นความไม่เที่ยงของ ชีวิต ปล่อยวางจากทรัพย์สมบัติที่เคยยึดถือ และหันมาให้ความสนใจกับการพัฒนาจิตใจ ชีวิตที่เปลี่ยนไปหลังจากล้มเจ็บ ทำให้หลายคนบอกว่า "โชคดีที่เป็นมะเร็ง"

 

แน่นอนว่านอกจากความเจ็บ ป่วยแล้ว ยังมีสิ่งไม่พึงประสงค์อีกมากมายที่อาจเกิดจากการกระทำในอดีต เช่น ความพลัดพรากสูญเสีย หรือการถูกประทุษร้าย แม้เราจะหลีกหนีมันไม่พ้น แต่เราก็สามารถที่จะเอามันมาใช้ให้เกิดประโยชน์ พูดอีกอย่างคือ แทนที่เราจะถูกกรรมเก่ามากระทำย่ำยี เราสามารถใช้กรรมเก่านั้นให้เกิดประโยชน์ได้

 

พระนางสามาวดีซึ่งเป็น มเหสีของพระเจ้าอุเทนเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจในเรื่อง นี้ พระนางและบริวารเป็นผู้ใฝ่ในธรรมอย่างยิ่ง แต่กลับถูกไฟคลอกตายด้วยอุบายของมเหสีอีกองค์หนึ่งของพระเจ้าอุเทน ในคัมภีร์อรรถกถาอธิบายว่า พระนางสามาวดีและบริวารนั้นในอดีตชาติเคยทำกรรมหนักด้วยการจุดไฟคลอกและเผา ทำลายสรีระของพระปัจเจกพุทธเจ้า ผลจากกรรมดังกล่าวทำให้พระนางและบริวารต้องมีอันเป็นไปในลักษณะเดียวกัน

 

อย่าง ไรก็ตาม เรื่องไม่ได้มีแค่นี้ เพราะในขณะที่ไฟกำลังลุกท่วมปราสาทนั้น พระนางสามาวดีมีสติมั่นคง หาได้ตื่นตกใจไม่ กลับแนะให้บริวารกำหนดจิตบำเพ็ญภาวนา โดยถือเอาทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นมาเป็นอารมณ์กรรมฐาน บริวารทั้งหมดได้ทำตามคำแนะนำจนหมดลม ผลก็คือทั้งหมดได้บรรลุธรรม บ้างเป็นโสดาบัน บ้างเป็นสกทาคามี บ้างเป็นอนาคามี

 

พระพุทธองค์ได้ กล่าวถึงทั้งหมดในเวลาต่อมาว่า "อุบาสิกาเหล่านั้น ทำกาละ (ตาย) อย่างไม่ไร้ผล"

 

จากเนื้อเรื่องดังกล่าวจะเห็นได้ว่า พระนางสามาวดีและบริวารแม้จะหนีกรรมเก่าไม่พ้น แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้กรรมเก่ามากระทำฝ่ายเดียว หากยังใช้ประโยชน์จากกรรมเก่าด้วยการนำเหตุร้ายที่เกิดขึ้นมาเป็นอุปกรณ์ใน การยกระดับจิต จนเข้าสู่อริยภูมิขั้นสูง ถ้าหากว่ากรณีดังกล่าวคือการใช้กรรม ก็เป็นการใช้กรรมที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญ นั่นคือใช้กรรมเก่าให้เป็นประโยชน์ในการพัฒนาจิต มิใช่ยอมจำนนต่อกรรมเก่าอย่างคนจนตรอก

 

นี้คือท่าทีต่อกรรมเก่าที่ชาว พุทธควรใส่ใจให้มาก

 

...................................................................

คัด ลอกมาจาก ::

หนังสือพิมพ์มติชน รายวัน

คอลัมน์ มองอย่างพุทธ

วัน ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2548 ปีที่ 28 ฉบับที่ 10025

_________________

-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คัดจากบท "คำขอที่ยิ่งใหญ่"

 

1201157543.jpg

 

...การขอโทษมิใช่เครื่องหมายแสดงความอ่อนแอ

มี แต่ในอาณาจักรสัตว์เท่านั้นที่ตัวอ่อนแอเป็นฝ่ายคืนดีก่อน

แต่สำหรับ มนุษย์ผู้มีวัฒนธรรมแล้ว

ผู้ที่เอ่ยปากขอโทษก่อนต่างหาก คือผู้ที่เข้มแข็งกว่า

เข้มแข็งเพราะเขากล้ารับผิด

เข้มแข็งเพราะเขา กล้าขัดขืนคำบัญชาของอัตตา

ที่ต้องการประกาศศักดาเหนือผู้อื่น...

 

ไม่ มีการขออะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าการขอโทษ

เพราะเป็นการขอที่ไม่ได้ออกมาจากจิต ที่เห็นแก่ตัว

แต่มาจากจิตที่มีมโนธรรมสำนึก รู้สึกรู้สากับความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์

และอ่อนน้อมถ่อมตน ไร้อหังการ

เป็น การขอที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสูญเสียเลยแม้แต่น้อย

 

คำขอโทษเป็นประดิษฐกรรมอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์

ไม่ใช่เพราะมันทำ ให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์เท่านั้น

หากยังเพราะช่วยให้มนุษย์คืนดีและอยู่ ร่วมกันอย่างสันติ

โดยไม่ใช้ความฉลาดที่ได้มาเพื่อการทำลายล้างกันเท่า นั้น...

 

 

967977eyyq78pmbq.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เคยโง่ม๊ะ..?...อยากฉลาดม๊ะ?...

 

:huh:

 

เคยโง่มะ

โง่ที่คิดว่า.....ความพยายามอยู่ที่ ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น

โง่ที่คิดว่า.....ใครบางคนให้ความสำคัญกับ ตัวเรามากกว่าคนอื่น

โง่ที่คิดว่า.....คนที่เรารัก เค้าจะรักเราคนเดียว

โง่ที่คิดว่า.....คนที่เราดีใจเมื่ออยู่ใกล้เค้า จะไม่ใช่คนเดียวกันกับคนที่ทำ

ให้เราเสียใจที่สุด

 

โง่ที่คิดว่า.....เรามีความสำคัญกับใครคนหนึ่งมากจน เค้าขาดเราไม่ได้

โง่ที่คิดว่า.....การโกหกจะไม่เกิดขึ้นระหว่างคู่รัก ที่รักกันจริงๆ

โง่ที่คิดว่า.....คำหวานจากปากเค้า เค้าพูดเพราะเป็นห่วงเราจริงๆ

โง่ที่คิดว่า.....เวลาที่เราต้องการเค้า ที่สุด เค้าจะอยู่กับเราเสมอ

 

อยากฉลาดมะฉลาดพอที่จะเข้าใจ ว่า.......ความพยายามบางครั้งมันก้อเป็นแค่ความพยายาม

ฉลาดพอที่จะเข้า ใจว่า......อย่าหวังว่าใครจะเห็นเราสำคัญมากไปกว่าตัวเค้าเอง

ฉลาดพอที่ จะเข้าใจว่า......คนที่เรารัก....บางทีเค้าก็มีคนที่เค้ารัก

ฉลาดพอที่ จะเข้าใจว่า......คนที่เราอยู่ใกล้เค้าแล้วมีความสุขอาจเป็นคนเดียวกันกับคน ที่ทำให้เราเสียใจที่สุด

 

ฉลาดพอที่จะ เข้าใจว่า......คำหวานจากปากเค้า

เค้าพูดเพียงเพราะเค้าชอบพูดคำหวานกับ ใครๆ เสมอ....ก็แค่นั้น

ฉลาดพอที่จะเข้าใจว่า......การโกหกเกิดขึ้นตลอด เวลาไม่ว่าใคร

ฉลาดพอที่จะเข้าใจว่า......คนที่เรารักอาจเป็นคนเดียวกัน กับคนที่ไม่เคยรักเรา

ฉลาดพอที่จะเข้าใจว่า......เวลาที่เราต้องการเค้า ที่สุดอาจเป็นเวลาเดียวกันกับเวลาที่เค้าหมดรักเราแล้ว

 

481876qojaq5ujfk.gif

:blush: เคยโง่ แต่ตอนนี้ทำความเข้าใจได้แล้ว :lol:

อ่านข้อความนี้แล้วโดน อ่ะ คุณมดแดง

แต่ได้รู้จักความรัก ก็ไม่เสียใจหรอก

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นำมาเตือนสติกันหน่อย ......แง่คิดในการเล่นทอง

 

ลอกมาหลายต่อค่ะ !031 http://www.thaigold.info/forum/index.php?topic=3316.3590

 

ตอบ #3592 เมื่อ: มกราคม 26, 2010, 10:59:26 am »

 

ลอกเขามาให้อ่านครับ อีกต่อหนึ่งครับ บทความนี้รู้สึกว่าเขียนเมื่อ 2 ปีก่อนครับ

 

 

Source - http://www.namchiang.com/th/content/view/70/6/

ในเช้าวันที่สดใส คุณตื่นขึ้นมาบิดขี้เกียจแล้วลุกจากที่นอนไปดูหน้าจอ ตกใจกับราคาที่เห็น [น่าซื้ออะไรขนาดนี้]

 

คุณ มองดู chart ที่เต็มไปด้วยตัวชี้วัดทางเทคนิคมากมาย ทุกตัวบอกว่า oversold เข้าเขตขายมากไปแล้ว และมันกำลังโน้มน้าวให้คุณเชื่อว่า นี่มันโอกาสเข้าซื้อชัดๆ

คุณเคาะซื้อทันทีอย่างสุดมั่นใจจนไม่ได้คิดจะตั้ง stop loss ราคาคงที่อยู่สักสองสามนาที และคุณกำไรแล้ว 5 เหรียญ หรือมากกว่านั้น

 

คุณมีความสุขสุดๆ แต่ยังรู้สึกว่ามันน่าจะขึ้นไปต่ออีกนะ หลังราคาคงตัว คุณเดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตาอย่างแสนสดชื่น

พอกลับมาดูหน้าจออีกที อะไรกันนี่ ขาดทุนไป 10 เหรียญแล้ว คุณโกรธแทบจะขว้างจอทิ้ง รีบเช็คข่าว แต่ไม่มี..ไม่มีข่าวอะไรเลย

คุณ รีบเช็คข่าวรอยเตอร์ หาข่าวอะไรก็ตามเกี่ยวกับที่ราคาร่วงลงมา สิ่งที่คุณเจอก็คือ มันเป็นการเทขายทำกำไร หรือ ราคาถึง stop loss พอดี

คุณเริ่มคิดว่าใครนะที่เอากำไรไปจากคุณ และที่สำคัญก็คือ มันเกิดขึ้นได้ยังไง!!

เบื้องหลังของเรื่องทั้งหมดนี้ก็คือ "การควบคุมตลาด"

อะไรคือการควบคุมตลาดที่ว่า

 

ถ้า พระเจ้าได้สร้างโลก และใครบางคนสร้างตลาดเหล่านี้ เขาย่อมไม่ได้สร้างให้คนทุกคนได้กำไร กำไรย่อมต้องเป็นของเขา คนสร้างตลาดนี่แหละคือเจ้ามือควบคุมตลาด

นอกจากนี้ เขายังมีทีมงานที่คอยช่วยให้ราคาในตลาดเป็นไปตามที่ต้องการ อาจเพื่อกำไรของใครสักคน หรือเหตุผลใดก็สุดรู้

แล้วใครล่ะเป็นเจ้ามือที่ว่า

 

เจ้ามือก็คือคนสร้างตลาดนั่นแหละ ถ้าถามแหล่งข่าวว่าที่มาที่ไปของเรื่องพวกนี้จากประเทศไหนบ้าง ก็ อเมริกา อิสราเอล (พวกชนชั้นผู้บริหารประเทศ) รัสเซีย ในเอเชียก็มีจีน อินเดีย และอีกหลายประเทศที่เราไม่รู้

คนเหล่านี้ทำงานลับสุดยอดที่ว่าอยู่ใน อเมริกา แหล่งข่าวกล่าวว่า รัฐบาลอเมริกา เฟด และธนาคารกลางของประเทศดังกล่าวเองก็เป็นพวกนี้เหมือนกัน เพราะเขาสามารถเข้าถึงอุปสงค์และอุปทานในสกุลเงินและโลหะมีค่าเหล่านี้ได้ ตัวการสำคัญก็คือรัฐบาลสหรัฐและอิสราเอล

เขาทำมันอย่างไร

 

มันมีองค์กรพิเศษที่มีคนเป็นพันนั่งอยู่หน้าจอ โชว์จำนวนคนซื้อและคนขายทั้งหมด ถ้าคนซื้อมีมากกว่า 70% และคนขายมีน้อยกว่า 30% องค์กรนี้ก็จะใช้เทคนิคเข้าตบแต่งตลาด ซึ่งเราไม่ทราบว่าเขาใช้เทคนิคอะไร(ซึ่งไม่ใช่การซื้อขาย)เข้าจัดการ แต่เขามีเป้าหมายอยู่ว่าจะลงมือเมื่อไหร่ และที่ราคาไหน

เขาไม่ได้ควบคุมเฉพาะฝ่ายใดโดยเฉพาะ แต่จัดการทั้งฝ่ายซื้อและฝ่ายขายเลย

ถ้า ตลาดมีการขาย short ออกมามาก ราคาก็จะถูกลาก โดยมากก็ลากลงซะมากกว่าขึ้น ส่วนใหญ่คนคิดว่าเจ้ามือก็คือ market maker ซึ่งพวกนี้ชักจูงตลาดโดยใช้เทคนิคทางกายภาพเข้าซื้อขาย แต่ก็ทำได้ไม่มากนักเมื่อเทียบกับองค์กรเจ้ามือนี้ กับดักขาขึ้นหรือ bull trap และ กับดักขาลงหรือbear trap ก็เป็นฝีมือขององค์กรเจ้ามือนี้นั่นเอง

เขาทำมันไปเพื่ออะไร มีใครเกี่ยวข้องบ้าง

 

เงิน ที่ผู้คนได้มาและเสียไปอยู่ในตลาด ท้ายที่สุดก็กลับไปอยู่ที่ธนาคารกลาง ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่ได้มีหน้าที่ผลิตเงินเราใช้แต่มีหน้าที่ในการปั่นตลาด เงินที่ได้มาถูกแบ่งกันอยู่ระหว่างธนาคารที่เป็นสมาชิก เจ้าหน้าที่ระดับล่างสุดที่มีเอี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือพวก broker และนักเขียนบทความทั้งหลาย พวกเขาถูกสั่งให้แจ้งข้อมูลเท็จกับลูกค้าให้ long ถ้ามีลูกค้าหน้าใหม่มาเป็นเหยื่อก็จะได้รับคำแนะนำดีๆสักครั้งสองครั้งก่อน หลังจากนั้นก็ได้แต่คำแนะนำที่เชื่อไม่ได้ พวกนักเขียนบทความวิเคราะห์ตามหนังสือพิมพ์หรือ web site บางแห่งก็เป็นหนึ่งในพวกนี้ด้วย คนเหล่านี้ตีพิมพ์บทความอันเป็นเท็จโดยเฉพาะเวลาตลาดเข้าใกล้จุดสูงสุด

เขาทำงานกันตอนไหน

 

ตั้งแต่นิวยอร์คเปิดจนถึง London PM fix (ขออภัย ผู้แปลไม่ทราบว่ากี่โมง ผู้รู้กรุณาช่วยเติมให้ด้วย ขอบคุณค่ะ)

น่าเชื่อได้ว่าธนาคารกลางของอังกฤษเองก็เป็นพวกนี้ แต่แหล่งข่าวไม่อาจยืนยันได้

หากข้อมูลจากแหล่งนี้เชื่อได้จริง พวกเขาเริ่มทำงานประมาณ 2 ชั่วโมงก่อนตลาด NY จะเปิด

จะรับมือกับพวกนี้ได้ยังไง

 

จริงๆแล้วมันคงยากที่จะรับมือ แต่วิธีการมาตรฐานบางอย่างสามารถช่วยลดการสูญเสียได้

1. ใช้ stop loss

2. ลงทุนระยะยาว และถือของจริง อย่าถือกระดาษ

3. เลิก trade

4. อ่านบทวิเคราะห์ของเอกชน

5. คิดแบบเจ้ามือ

6. อย่าฟัง broker มากนัก

วันไหนและตลาดไหนบ้างที่โดนเจ้ามือจัดการ

 

พวกเขาไม่ได้ยำเราทุกวัน เขามีแบบแผนการเข้าโจมตี วันที่มักจะโดนก็คือ

 

วันที่ 1 , 2 , 8 , 9 , 11 , 17 , 18 , 19*(วันนี้โดนไม่บ่อย)

และ 20 , 26 , 27 , 29

 

โดยพวกนี้จะเลือกลงมือประมาณ 8-9 วันจากวันเหล่านี้ ไม่ใช่ทุกวัน

 

ตลาดที่ถูกควบคุมก็คือ ทอง เงินจากตลาดโลหะ และ USD จากตลาดเงินตรา โดยเฉพาะตลาดซื้อขายล่วงหน้า

ลูกไม้เก่าๆก็คือไม่เปิดโอกาสให้คุณได้ clear position ก่อนครบเวลาสัญญาล่วงหน้า

สมมติ ว่าคุณซื้อไว้ที่ราคาสูง คุณถือสัญญาไว้และหวังว่าในวันที่ครบกำหนด ราคามันจะพุ่งสูงไปกว่านี้ พวกนี้ก็จะเข้ามาทุบราคาจนกว่าสัญญาจะถูกปิดลง

การควบคุมนี้มีจุดมุ่งหมายอะไร

 

1. เงิน

2. กดเงินเฟ้อระหว่างที่เข้าทุบตลาด (ใช่ที่เรากำลังโดนกันอยู่ไหมนะ)

สรุปว่า เราหยุดเขาไม่ได้ แต่พอจะลดความเสียหายของกระเป๋าคุณได้ ฺ By King of Gold

 

443081fwtx95sy3b.gif443081fwtx95sy3b.gif

 

แปลโดยคุณ thumbelina

 

http://www.thaigold.info/th/index.php?option=com_smf&Itemid=4&topic=285.msg3766#msg3766

Here you're:

 

"Manipulation - The Dark Side of the Markets

 

Its a fine morning and you wake up and stretch out. You get up from your bed and have a look at the screen. You are shocked to see such a good price to buy. You look at your charts with some big technical indicators. They are all oversold. Your are convinced this is definitely good buy. You buy immediately without setting a stop loss(over confident of your trade). Then price stabilizes for a few minutes and you are up 5$ or more. You are very happy but feel that there is more upside. You go to the bathroom to freshen up since price action is stable. Then you look at your screen again and BAM!! you are down 10$. You are very angry and feel like throwing the screen away. You check out the news and there is no news. you go and check out Reuters and find out the article regarding the fall. The reason given was profit taking or stop losses were hit. Well you must be thinking who took the profit me or someone else to my profits? What was all this...how did it happen!!. The reason behind all this is MANIPULATION.

 

First of all what is Manipulation?

 

If god created the world then someone has created these markets. The creator has not created the markets so that everyone else earns profits. It is for his/her own gain. The creator here is the manipulator. Under him are some people who help him with this. Hence manipulation means artificially affecting price action for personal gains or other unknown reasons.

 

Who are the manipulators?

 

The creator/creators is/are the manipulator. According to source a few countries are involved in such act. The names of countries are U.S.A , Israel(members of US govenrment and not the CB) , Russia and others. Others here are some unknown Asian Countries. Some known Asian countries are China and India. The group of some men from these countries work secretly in the USA. Sources also blame the members of US government and FED who affect the price action. The Central Bank of the countries mentioned above are also inside the group since they have the access to the supply/ demand of currencies and precious metals. The most active member is the US government and Israel.

 

How and where do they do it?

 

They have a special place where 1000's of monitors are placed in front of them and 1000's of employees of their organisation work under them. The screens contain the number of people on the buy side and number of people on sell side. If the buy side is 70%+ and sell side it is less than 30% then they artificially affect the market using their own techniques(mostly nothing is physical here - that is there is no buying and selling). The technique is unknown at the moment but they have certain days and price targets to be achieved. They do not manipulate one side. Manipulation is both the sides. If the market is heavily short then the price is pulled up and vice versa. Mostly it is the downside rather than the upside. Often people mistake manipulation with market makers. Market makers move market using physical technique and the amount of movement is relatively less. Bear traps and bull traps are set by manipulators

 

Why do they do it and who else is involved in it?

 

The money which people make or lose goes to the Central Banks at the end. They are not here to serve us money hence they affect the market artificially. The entire money collected is shared by the banks involved. The people involved at the lowest level in the field of manipulations are the brokers and editors. They give instruction to the broker to give wrong information regarding the market to their clients. Suppose the manipulators want to push the markets lower they will tell the brokers to tell their clients to go long. Also when the there are new clients they will give good advice for the first two time and from thereon their advice will be bad. Some editors of newspapers and websites are involved as well. They publish wrong reports and they usually publish these type of reports once a top is nearing.

 

What are the Working hours?

 

New York open to London PM fix. It is believe that the UK central Bank has joined the group but the source has not given us the confirmation. If the news is confirmed then the group enters 2 hours before New York open.

 

How to tackle manipulators?

 

Basically its difficult to tackle but there are some standard methods which will prevent you from losing a high amount.

1.Use stop loss

2.Trade long term and hold physical

3.Do not trade

4.Read non-official article

5.Think like the manipulator

6.Never listen to your broker. Do the opposite(DYODD)

 

Which all days they usually manipulate and which markets are mostly manipulated?

 

They do not manipulate everyday. They have special days and patterns. The days they usually enter are: 1 , 2 , 8 , 9 , 11 , 17 , 18 , 19*, 20 , 26 , 27 , 29

* Rare date of occurrence

The enter only 8 to 9 days from the above dates and not all the days.

The most manipulated market is gold and silver from precious metals and the US$ from currencies. They usually affect the futures market. One of their old tricks is that they will not let you clear your position unless the future contract gets over. Suppose you have a buy position at a high price. You hold it thinking the contract end date is far off and price will go up. They will suppress the price till the contract ends.

 

Aim for manipulation?

1.Money

2.Reduce Inflation(when they suppress)

Conclusion: Manipulation cannot be prevented but the monetary result from manipulation can be improved. "

by KOG...

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

~ เป็นสุขในทุกความเปลี่ยนแปลง ~พระไพศาล วิสาโล

 

695072k2m8tfrqy2.gif

 

 

คนเราย่อมปรารถนาความเปลี่ยนแปลง หากว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นอยู่ในอำนาจของเรา หรือสอดคล้องกับความต้องการของเรา ไม่มีใครอยากขับรถคันเดิม ใช้โทรศัพท์เครื่องเดิม หรือ

 

อยู่กับที่ไปตลอด มิจำต้องพูดถึงการอยู่ในอิริยาบถเดิม ๆ เราต้องการสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ แต่ความจริงอย่างหนึ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ก็คือ มีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่เราไม่ต้องการแต่หนีไม่พ้น ความ

 

เปลี่ยนแปลงอย่างนี้แหละที่ผู้คนประหวั่นพรั่นพรึง วิตกกังวลเมื่อนึกถึงมัน และเป็นทุกข์เมื่อมันมาถึง

 

แต่ยังมีความ จริงอีกอย่างหนึ่งที่เราพึงตระหนักก็คือ สุขหรือทุกข์นั้น มิได้ขึ้นอยู่กับว่า มีอะไรเกิดขึ้นกับเรา แต่อยู่ที่ว่า เรารู้สึกอย่างไรกับสิ่งนั้นต่าง

 

หาก แม้มีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับเรา แต่ถ้าเราไม่รู้สึกย่ำแย่ไปกับมัน หรือวางใจให้เป็น มันก็ทำให้เราเป็นทุกข์ไม่ได้ กนกวรรณ ศิลป์สุข เป็นโรคธาลัสซีเมียตั้งแต่เกิด ทำให้เธอมีร่างกายแคระ

 

แกร็น กระดูกเปราะและเจ็บป่วยด้วยโรคแทรกซ้อนนานาชนิด ซึ่งมักทำให้อายุสั้น แต่เธอกับน้องสาวไม่มีสีหน้าอมทุกข์แต่อย่างใด กลับใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เธอพูดจากประสบการณ์ของตัวเองว่า...

 

“มันไม่สำคัญหรอกว่าเราจะเป็น อย่างไรหรือมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิต แต่สำคัญที่ว่าเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว เราคิดกับมันยังไงต่างหาก สำหรับเราสองคน ความสุขเป็น

 

เรื่องที่หาง่ายมาก ถ้าใจของเราคิดว่ามันเป็นความสุข”

 

lotus2.jpg

 

โอโตทาเกะ ฮิโรทาดะ เกิดมาพิการ ไร้แขนไร้ขา แต่เขาสามารถช่วยตัวเองได้แทบทุกอย่าง ในหนังสือเรื่อง ไม่ครบห้า เขาพูดไว้ตอนหนึ่งว่า “ผมเกิดมาพิการแต่ผมมี

 

ความสุขและสนุกทุกวัน” ใครที่ได้รู้จักเขาคงยอมรับเต็มปากว่าเขาเป็นคนที่มีความสุขคนหนึ่ง อาจจะสุขมากกว่าคนที่มีอวัยวะครบ (แต่กลับเป็นทุกข์เพราะหน้ามีสิว ผิวตกกระ หุ่นไม่กระชับ)

 

ในโลกที่ซับซ้อนและผันผวนปรวนแปรอยู่เสมอ เราไม่สามารถเลือกได้ว่าจะต้องมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นกับเราตลอดเวลา แต่เราเลือกได้ว่าจะมีปฏิกิริยากับสิ่งนั้นอย่างไร รวมทั้งเลือกได้ว่าจะยอมให้มันมีอิทธิพลต่อ

 

เราอย่างไรและแค่ไหน

 

 

ในวันที่แดดจ้าอากาศร้อนอ้าว บุรุษไปรษณีย์คนหนึ่งยืนรอส่งเอกสารหน้าบ้านหลังใหญ่ หลังจากเรียกหาเจ้าของบ้านแต่ไม่มีวี่แววว่าจะมีคนมารับ เขาก็ร้องเพลงไปพลาง ๆ เสียงดังชัดเจนไป

 

ทั้งซอย ในที่สุดเจ้าของบ้านก็ออกจากห้องแอร์มารับเอกสาร เธอมีสีหน้าหงุดหงิด เมื่อรับเอกสารเสร็จเธอก็ถามบุรุษไปรษณีย์ว่า “ร้อนแบบนี้ยังมีอารมณ์ร้องเพลงอีกเหรอ” เขายิ้มแล้วตอบว่า “ถ้าโลกร้อน

 

แต่ใจเราเย็น มันก็เย็นครับ ร้องเพลงเป็นความสุขของผมอย่างหนึ่ง ส่งไปร้องไป” ว่าแล้วเขาก็ขับรถจากไป

 

เราสั่งให้อากาศเย็นตลอดเวลาไม่ได้ แต่เราเลือกได้ว่าจะยอมให้อากาศร้อนมีอิทธิพลต่อจิตใจของเราได้แค่ไหน นี้คือเสรีภาพอย่างหนึ่งที่เรามีกันทุกคน อยู่ที่ว่าเราจะใช้เสรีภาพชนิดนี้หรือไม่ พูดอีกอย่างก็

 

คือ ถ้าเราหงุดหงิดเพราะอากาศร้อน นั่นแสดงว่าเราเลือกแล้วที่จะยอมให้มันยัดเยียดความทุกข์แก่ใจเรา

 

ถึงที่สุดแล้ว สุขหรือทุกข์อยู่ที่เราเลือก มิใช่มีใครมาทำให้ ถึงแม้จะป่วยด้วยโรคร้าย เราก็ยังสามารถมีความสุขได้ โจว ต้า กวน เด็กชายวัย

 

๑๐ ขวบ เป็นโรคมะเร็งที่ขา จนต้องผ่าตัดถึง ๓ ครั้ง เขาได้เขียนบทกวีเล่าถึงประสบการณ์ในครั้งนั้นว่า เมื่อพ่อแม่จูงมือเขาเข้าห้องผ่าตัด เขาเลือก “น้องสงบ” เป็นเพื่อน (แทนที่จะเป็น “น้องกังวล”)

 

เมื่อเขาห้องผ่าตัดครั้งที่สอง เขาเลือก “ลุงมั่นคง”เป็นเพื่อน (แทนที่จะเป็น “ป้ากลัว”) เมื่อพ่ออุ้มเขาเข้าห้องผ่าตัดครั้งที่สาม เขาเลือก “ชีวิต” (แทนที่จะเป็น “ความตาย”) ด้วยการเลือกเช่นนี้มะเร็ง

 

จึงบั่นทอนได้แต่ร่างกายของเขา แต่ทำอะไรจิตใจเขาไม่ได้

 

เมื่อใดก็ตามที่ความเปลี่ยนแปลงอันไม่พึง ประสงค์เกิดขึ้น หากเราไม่สามารถสกัดกั้นหรือบรรเทาลงได้ ในยามนั้นไม่มีอะไรดีกว่าการหันมาจัดการกับใจของเราเอง เพื่อให้เกิดความทุกข์น้อยที่สุด หรือใช้มัน

 

ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ด้วยวิธีการต่อไปนี้...

 

lotus2.jpg

 

๑. ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว

การยอมรับความจริงที่ไม่พึงประสงค์ ทำให้เราเลิกบ่น ตีโพยตีพาย หรือมัวแต่ตีอกชกหัว ซึ่งมีแต่จะเพิ่มความทุกข์ให้แก่ตนเอง คนเรามักซ้ำเติมตัวเองด้วยการบ่นโวยวายในสิ่งที่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้

 

เรามักทำใจยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นแล้วไม่ได้ เพราะเห็นว่ามันไม่ถูกต้อง ไม่น่าเกิด ไม่ยุติธรรม (“ทำไมต้องเป็นฉัน ?”) แต่ยิ่งไปยึดติดหรือหมกมุ่นกับเหตุผลเหล่านั้น เราก็ยิ่งเป็นทุกข์ แทนที่จะเสียเวลาและพลังงานไปกับการบ่นโวยวาย ไม่ดีกว่าหรือหากเราจะเอาเวลาและพลังงานเหล่านั้นไปใช้ในการรับมือกับสิ่ง ที่เกิดขึ้นแล้ว

 

เด็ก ๓ คนได้รับมอบหมายให้ขนของขึ้นรถไฟ แต่ระหว่างที่กำลังขนของ เด็กชาย ๒ คนก็ผละไปดูโทรทัศน์ซึ่งกำลังถ่ายทอดสดการชกมวยของสมจิตร จงจอหอ นักชกเหรียญทองโอลิมปิค เมื่อมีคนถามเด็กหญิงซึ่งกำลังขนของอยู่คนเดียวว่า เธอไม่โกรธหรือคิดจะด่าว่าเพื่อน ๒ คนนั้นหรือ เธอตอบว่า “หนูขนของขึ้นรถไฟ หนูเหนื่อยอย่างเดียว แต่ถ้าหนูโกรธหรือไปด่าว่าเขา หนูก็ต้องเหนื่อยสองอย่าง”

 

ทุกครั้งที่ทำงาน เราสามารถเลือกได้ว่าจะเหนื่อยอย่างเดียว หรือเหนื่อยสองอย่าง คำถามคือทุกวันนี้เราเลือกเหนื่อยกี่อย่าง นอกจากเหนื่อยกายแล้ว เรายังเหนื่อยใจด้วยหรือไม่

 

การยอมรับความจริง ไม่ได้แปลว่ายอมจำนนต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเลือกที่จะไม่ยอมทุกข์เพราะความเปลี่ยนแปลง อีกทั้งยังทำให้สามารถตั้งหลักหรือปรับตัวปรับใจพร้อมรับความเปลี่ยนแปลง นั้นอย่างดีที่สุด

 

๒. ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

นอกจากบ่นโวยวายกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว เรามักทุกข์เพราะอาลัยอดีตอันงดงาม หรือกังวลกับสิ่งเลวร้ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต สุดท้ายก็เลยไม่เป็นอันทำอะไร

 

ไม่ว่าจะอาลัยอดีตหรือกังวลกับอนาคต เพียงใด ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น กลับทำให้เราย่ำแย่กว่าเดิม สิ่งเดียวที่จะทำให้อะไรดีขึ้นก็คือการทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ทางข้างหน้าแม้จะยาวไกลและลำบากเพียงใด แต่

 

เราไม่มีวันถึงจุดหมายเลยหากไม่ลงมือก้าวเสียแต่เดี๋ยวนี้ รวมทั้งใส่ใจกับแต่ละก้าวให้ดี ถ้าก้าวไม่หยุดในที่สุดก็ต้องถึงที่หมายเอง

 

บรู๊ซ เคอร์บี นักไต่เขา พูดไว้อย่างน่าสนใจว่า “ทุกอย่าง มักจะดูเลวร้ายกว่าความจริงเสมอเมื่อเรามองจากที่ไกล ๆ เช่น หนทางขึ้นเขาดูน่ากลัว....บางเส้นทางอาจดูเลวร้ายจนคุณระย่อและอยากหัน

 

หลัง กลับ นานมาแล้วผมได้บทเรียนสำคัญคือ แทนที่จะมองขึ้นไปข้างบนและสูญเสียกำลังใจกับการจินตนาการถึงอันตรายข้าง หน้า ผมจับจ้องอยู่ที่พื้นใต้ฝ่าเท้าแล้วก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว”

 

๓. มองแง่บวก

มองแง่บวกไม่ ได้หมายถึงการฝันหวานว่าอนาคตจะต้องดีแน่ แต่หมายถึงการมองเห็นสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าเจ็บป่วย ตกงาน หรืออกหัก ก็ยังมีสิ่งดี ๆ อยู่รอบตัวและในตัวเรา รวมทั้ง

 

มองเห็นสิ่งดี ๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ในความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นด้วย

แม้กนกวรรณ ศิลป์สุข จะป่วยด้วยโรคร้าย แต่เธอก็มีความสุขทุกวัน เพราะ “เราก็ยังมีตาเอาไว้มองสิ่งที่สวย ๆ มีจมูกไว้ดมกลิ่นหอม ๆ มีปากไว้กินอาหารอร่อย ๆ แล้วก็มี

 

ร่างกายที่ยังพอทำอะไรได้อีกหลายอย่าง แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่เราจะมีความสุข” ส่วนจารุวรรณ ศิลป์สุข น้องสาวของเธอ ซึ่งขาหักถึง ๑๔ ครั้งด้วยโรคเดียวกัน ก็พูดว่า “ขาหักก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องไป

 

โรงเรียน ได้อยู่กับบ้าน ฟังยายเล่านิทาน หรือไม่ก็อ่านหนังสือ อยู่กับดอกไม้ กับธรรมชาติ กับสิ่งที่เราชอบ ก็ถือว่ามีความสุขไปอีกแบบ”

 

โจว ต้า กวน แม้จะถูกตัดขา แต่แทนที่จะเศร้าเสียใจกับขาที่ถูกตัด เขากลับรู้สึกดีที่ยังมีขาอีกข้างหนึ่ง ดังตั้งชื่อหนังสือรวมบทกวีของเขาว่า “ฉันยังมีขาอีกข้างหนึ่ง”

 

หลายคนพบว่าการที่เป็นมะเร็งทำให้ตนเองได้มาพบธรรมะและความสุขที่ลึกซึ้ง จึงอดไม่ได้ที่จะอุทานว่า “โชคดีที่เป็นมะเร็ง” ขณะที่บางคนบอกว่า “โชคดีที่เป็นแค่มะเร็งสมอง” เพราะหากเป็น

 

มะเร็งปากมดลูกเธอจะต้องเจ็บปวดยิ่งกว่านี้

 

ถึงที่สุด ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเรา ก็ล้วนดีเสมอ อย่างน้อยก็ดีที่ไม่แย่ไปกว่านี้

 

๔. มีสติ รู้เท่าทันตนเอง

เมื่อความเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น เรามักมองออกนอกตัว และอดไม่ได้ที่จะโทษคนโน้น ต่อว่าคนนี้ และเรียกหาใครต่อใคร

 

มาช่วย แต่เรามักลืมดูใจตนเอง ว่ากำลังปล่อยให้ความโกรธแค้น ความกังวล และความท้อแท้ครอบงำใจไปแล้วมากน้อยเพียงใด เราลืมไปว่าเป็นตัวเราเองต่างหากที่ยอมให้เหตุการณ์ต่าง ๆ รอบตัวยัดเยียด

 

ความทุกข์ให้แก่ใจเรา ไม่ใช่เราดอกหรือที่เลือกทุกข์มากกว่าสุข การมีสติ ระลึกรู้ใจที่กำลังจมอยู่กับความทุกข์ จะช่วยพาใจกลับสู่ความปกติ เห็นอารมณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นโดยไม่ไปข้องเกี่ยว จ่อมจม หรือยึด

 

ติดถือมั่นมัน อีกทั้งยังเปิดช่องและบ่มเพาะปัญญาให้ทำงานได้เต็มที่ สามารถเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี หรือมองเห็นด้านดีของมันได้

 

สติและปัญญาทำให้เรามีเสรีภาพที่จะเลือกสุข และหันหลังให้กับความทุกข์ ใช่หรือไม่ว่าอิสรภาพที่แท้คือความสามารถในการอนุญาตให้สิ่งต่าง ๆ มีอิทธิพลต่อชีวิตของเราได้เพียงใด ความเปลี่ยน

 

แปลงของร่างกาย ของทรัพย์สิน ของผู้คนรอบตัว รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงในบ้านเมือง ไม่สามารถทำให้เราทุกข์ได้ หากเราเข้าถึงอิสรภาพดังกล่าว แทนที่เราจะมัววิงวอนเรียกร้องให้เกิดความเปลี่ยนแปลง

 

ที่ถูกใจเรา ไม่ดีกว่าหรือหากเราพยายามพัฒนาตนบ่มเพาะจิตใจให้เข้าถึงอิสรภาพดังกล่าว ควบคู่ไปกับการสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้เกิดขึ้นแก่ตนเองและสังคม

lotus2.jpg

 

***จาก www.visalo.org/

 

 

ข้อมูลจาก http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=maekai&date=01-01-2010&group=2&gblog=55

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

:blush: เคยโง่ แต่ตอนนี้ทำความเข้าใจได้แล้ว :lol:

อ่านข้อความนี้แล้วโดน อ่ะ คุณมดแดง

แต่ได้รู้จักความรัก ก็ไม่เสียใจหรอก

 

 

ดีค่ะ และขอบคุณ.... ที่ข้อความที่นำมาถ่ายทอดนั้น สามารถเตือนสติเพื่อนๆได้ เหมือนเตือนตัวเองด้วยค่ะ

 

443081fwtx95sy3b.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

wub.gif ซึ้ง..เรื่องแม่อ่ะค่ะ ขอเติมว่าพ่อก็สอนแบบเดียวกัน

 

โชคดีที่ได้เกิดเป็นลูกพ่อกับแม่......ขอบคุณคุณมดแดงค่ะ

 

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อยากให้ทุกคนอ่าน (แล้วจะรู้สึกดี ๆๆๆๆ) กับชีวิต

 

เรื่องเล่าดีดี...ความจน ความรวย

2051195l4myowfnbv.gif

 

มหาเศรษฐีเกือบจะชราผู้หนึ่ง

สุดแสนจะภูมิใจที่ลูกชาย

วัยห้าขวบของเขากำลังจะได้

เข้าเรียนในโรงเรียนชื่อดัง

ซึ่งระดับเศรษฐีอย่างพวกเขาเท่านั้น

โดยส่วนตัวของเขาเอง

ก็อยากจะสอนให้ลูกชายรู้จักกับชีวิตจริงในโลก

ควบคู่ไปกับการสอนทฤษฏีในโรงเรียน

ในวันหยุดเขาจะตระเวนพาลูกชายคนเดียวไป

ท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ

แล้ววันหนึ่งเขาก็คิดถึงหัวข้อการสอนเรื่อง

”ความยากจน”

เพราะเขามีความเชื่อว่า

ลูกชายของเขาคงไม่มีวันรู้จักแน่นอน

เขาจึงพอลูกชายไปเยี่ยมครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่ง

และพักอยู่กับชาวนาเป็นเวลา 1 วัน 1 คืน

 

เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ของเขาในวันต่อมา

มหาเศรษฐีก็จะทดสอบว่า

ลูกชายได้อะไรบ้างจากการไปพักแรมกับชาวนาผู้ยากจน

ลูกชายตอบคำถามผู้เป็นบิดา ว่า

เขาขอขอบคุณเป็นอย่างมากที่ได้พาเขาไปพบกับชาวนา

และพักแรมที่นั่น

ซึ่งทำ ให้เขาได้พบว่า....

ชาวนามีที่ทำงานเป็นท้องนาที่กว้างใหญ่

ในขณะที่พ่อมีเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่ว่ากว้าง

แต่ก็ยังน้อยกว่าห้องทำงานของชาวนา

 

อาหารที่ชาวนารับป ระทานสามารถหาได้ตลอดเวลา

รอบๆบริเวณบ้านโดย ไม่ต้องซื้อหา

ในขณะที่บ้านของเรามีตู้เย็นเท่านั้น ที่เป็นที่เก็บอาหาร

เวลารับประทานอาหารก็มีเพื่อน

คุยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก

ในขณะที่ตัวเองก็ต้องนั่งทานอาหาร

กับโต๊ะอาหารที่ยาวเกือบสิบเมตร

และ มีเก้าอี้ว่างเปล่าทั้งสองด้าน

 

ลูกชาวนา ที่ซ้อนท้ายจักรยานของพ่อเขา

ต้องกอดเอวพ่อให้แน่น

เพื่อจะได้ไม่ตกจากจักรยาน

 

แต่เขาเอง ต้องนั่งในรถที่ใหญ่โต

อยู่ข้างหลังเพียงลำพังโดยมีคนขับรถพาไปทุกที่

 

ชาวนามีแสงดาวแสงจันทร์เป็นโคมไฟ

ส่องสว่างตลอดเวลาในเวลากลางคืนโดยไม่ขาดแคลน

แต่เขา ก็มีเพียงแสงจากโคมไฟที่ต้องซื้อด้วยเงิน

......... ชาวนามีรั้วบ้านเป็นแม่น้ำภูเขาที่กว้างสุดลูกหูลูกตา

แต่เขาเองกลับมีเพียงแค่กำแพงบล๊อคในพื้นที่ไม่กี่ไร่

ลูกชาวนาได้มีเพื่อนเล่นเป็นจิ้งหรีดหิ่งห้อยนับร้อยนับพัน

แต่เขาเองกลับไม่มีใครเลย

 

เขาขอบคุณพ่ออีกครั้งที่ทำให้เขารู้คำตอบว่า.....

จริงๆ แล้ว.......เรายากจนกว่าชาวนามาก

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เช็กโทรศัพท์สามี :

ชนวนความขัดแย้งชีวิตคู่ / สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน

656141lnpn1783bj.gif

 

เมื่อไม่นานนี้ดิฉันได้อ่านพบข้อความหนึ่งเขียนถึงเรื่องผู้หญิงที่ แต่งงานแล้วมักจะชอบเช็คโทรศัพท์มือถือของสามี ตัวเลขวิจัยพบว่าสูงถึง 90% ด้วยสาเหตุเพราะอยากรู้ว่าสามีแอบไปมีกิ๊กนอกบ้านหรือไม่

 

ทีแรกเห็นบทความชี้ว่าตัวเลข 90% ก็ยังไม่อยากเชื่อ ไม่ได้สนใจเป็นพิเศษ จนกระทั่งมีเพื่อนโทรศัพท์มาเล่าให้ฟังว่าสามีของเธอจับได้ว่าเธอไปเช็ค โทรศัพท์มือถือ และโกรธมาก ถึงขั้นจะขอเลิกกันอีกต่างหาก เธอตกอกตกใจเพราะไม่คิดว่าเรื่องนี้จะขยายผลไปจนถึงขั้นขอแยกทางกัน

 

เดชะบุญ…เธอยังไม่มีลูก แต่เธอก็รวดร้าวใจเหลือเกิน และเธอก็บอกว่าเรื่องเช็คโทรศัพท์ของสามีเป็นเรื่องปกติ เพราะใครๆ ก็ทำกัน…!!

จากนั้นดิฉันก็นึกคึก ลองสอบถามเพื่อนๆ ที่แต่งงานแล้วถึงเรื่องการเช็คโทรศัพท์มือถือของสามีประมาณ 10 คน

 

ไม่น่าเชื่อ…ทุกคนตอบตรงกันว่า เคยเช็คมาแล้วทุกคน ต่างกันก็ตรงที่ใครเช็คมาก ใครเช็คน้อย บางคนก็บอกว่าเป็นการเช็คเล่นๆ เพื่อความสบายใจ แต่เธอไม่คิดว่าเป็นเรื่องผิดปกติ เพียงแต่ไม่ให้สามีรู้เด็ดขาด เพราะถ้ารู้ล่ะก็…เป็นเรื่อง

 

จริงล่ะหรือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา…!!

 

ว่าแล้วก็ต้องกลับไปอ่านบทความชิ้นนั้น ซึ่งมี คุณหมอประเวช ตันติพิวัฒนสกุล จิตแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงพฤติกรรมอยากรู้อยากเห็น เช่น เช็คโทรศัพท์มือถือหรือกระเป๋าสตางค์ของแฟน สามี หรือภรรยา แสดงถึงความระแวง ซึ่งแต่ละคนจะมีมากน้อยต่างกัน แต่ส่วนมากผู้หญิงจะเป็นมากกว่าผู้ชาย เพราะโดยวิวัฒนาการ สัตว์เพศผู้ถูกออกแบบมาให้ทำหน้าที่แพร่สายพันธุ์ของตนเองให้ดำรงต่อไป ในขณะที่สัตว์เพศเมียมีธรรมชาติในการคัดเลือกสัตว์เพศผู้ คือเลือกความมั่นคงให้กับตนเอง เพื่อช่วยเหลือในการดูแลลูกให้อยู่รอดปลอดภัย

 

ด้วยธรรมชาติตรงนี้ ผู้ชายจึงมักจะไปมีกิ๊กมากกว่าผู้หญิง การมีกิ๊กสำหรับผู้ชายเป็นเรื่องสนุกสนานตื่นเต้น แต่ผู้หญิงถือว่าพฤติกรรมอย่างนี้เป็นการคุกคามอย่างมาก

 

ประกอบกับสมองของผู้หญิงนั้นสามารถเชื่อมสมองซีกซ้ายขวา เชื่อม โยงความคิดได้ดี และใช้ความรู้สึกมากกว่าผู้ชาย ผู้หญิงจึงมีแรงจูงใจที่ทำให้เกิดความระแวงมากกว่า เราจึงพบว่าถ้ามีโอกาส ผู้หญิงจะเป็นฝ่ายที่ตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ชาย

 

แม้ บางครั้งการตรวจสอบเป็นครั้งคราว เพื่อความสบายใจ แต่บางครั้งก็เกิดปัญหาความสัมพันธ์ เช่น ผู้ชายไม่ได้มีกิ๊ก แต่ผู้หญิงไม่ยอมหยุดเช็ค หรือเช็คบ่อยๆ ซ้ำๆ มากเกินไป ก็เกิดเป็นปัญหาเรื่องล้ำเส้น จากเรื่องเล็กๆ กลายเป็นระหองระแหง

 

จริงๆ เรื่องนี้ไม่ใช่เฉพาะบ้านเราเท่านั้นที่ภรรยาชอบเช็กโทรศัพท์ของสามี ล่าสุดแม่บ้านชาวญี่ปุ่น 61% ของผู้หญิงที่แต่งงานแล้ววัย 20-39 ปี จากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 500 ราย ยอมรับว่าได้เช็กการใช้โทรศัพท์มือถือของสามี เพราะต้องการตรวจสอบว่าสามีได้ปกปิดหรือซุกซ่อนอะไรเป็นความลับไว้หรือเปล่า โดยเช็กบันทึกการใช้โทรศัพท์ การส่งข้อความอีเมล และการบันทึกข้อมูลต่างๆ ตามฟังก์ชันการใช้งานของโทรศัพท์ที่อาจแตกต่างกันในแต่ละยี่ห้อและรุ่น

 

ผู้หญิงจำนวน 35% ให้เหตุผลว่าต้องการสืบดูว่าสามีแอบไปมีกิ๊กหรือเปล่า 28% เพื่อเช็คว่าสามีได้ปกปิดอะไรไว้เป็นความลับหรือไม่ และอีก 34% บอกว่าทำไปเพราะความอยากรู้อยากเห็น ไม่มีจุดมุ่งหมายอะไรเป็นพิเศษ

 

อย่างไรก็ตาม ด้วยเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือที่พัฒนารุดหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง โดยเฉพาะในญี่ปุ่น จึงเป็นเรื่องยากที่ฝ่ายหญิงจะจับได้ไล่ทันฝ่ายสามี เพราะปัจจุบันโทรศัพท์มือถือเกือบทุกรุ่นในญี่ปุ่นจะมีโหมดเก็บความลับ “secret mode” ซึ่งสามารถเลือกซ่อนข้อมูลต่างๆ ได้ ทั้งเรื่องบันทึกการใช้โทรศัพท์ การส่งข้อความ และอีเมล ไว้อย่างมิดชิด ชนิดที่บางยี่ห้อรับรองได้ว่าไม่มีทางเช็คเจอแน่นอน

 

และอีกสิ่งหนึ่งที่บรรดาฝ่ายหญิงไม่มีทางรู้เลยก็คือ คุณสามีส่วนใหญ่มักแอบมีโทรศัพท์มือถือเครื่องที่สองพกติดตัวไว้

แล้วเหตุใดทำไมผู้หญิงต้องเช็กโทรศัพท์มือถือสามี ทั้งที่การกระทำ แบบนั้นสุ่มเสี่ยงต่อการเป็นชนวนสร้างความขัดแย้งในชีวิตคู่

ความจริงกฎของการใช้ชีวิตคู่ เป็นเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายต้องมี แม้จริงอยู่ฝ่ายหญิงมักเกิดความอยากรู้อยากเห็น และมักจะเป็นฝ่ายคิดมาก มีอะไรมาสะกิดใจก็มักจะจินตนาการเกินกว่าความเป็นจริง

แต่หลักการครองเรือนก็จำเป็นต้องมีอยู่ ถ้ามีการสร้างความเชื่อมั่น และความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ก็เป็นเรื่องที่ดียิ่งสำหรับชีวิตคู่ แต่ทั้งสิ้นทั้งปวงต้องอยู่บนพื้นฐานความรัก ความผูกพัน รวมถึงความเข้าใจ

 

เรื่องที่ควรรู้ของคู่รัก ก่อนเช็กโทรศัพท์มือถือของอีกฝ่าย

 

หนึ่ง.. พื้นฐานของมนุษย์ไม่ชอบให้ใครแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ หรือแสดงความไม่วางใจ ถ้ามีการล่วงรู้ว่าอีกฝ่ายพยายามหรือแอบเช็กข้อมูลของอีกฝ่าย รับรองว่าเขาจะแสดงความไม่พอใจอย่างแน่นอน เพราะรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายกำลังล้ำเส้น และหากอีกฝ่ายไม่ได้มีอะไรผิดปกติ เรื่องการเช็คโทรศัพท์ก็จะเป็นชนวนเหตุของการใช้ชีวิตคู่ต่อไป

 

สอง... ลองคิดดูว่าถ้าอีกฝ่ายก็แอบเช็คข้อมูลของเราเหมือนกัน เราจะรู้สึกอย่างไร เรายังไม่ชอบเลย เพราะฉะนั้น จำเป็นต้องรักษาระยะห่างของพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองเอาไว้ด้วย

 

สาม... ถ้าอดใจไม่ได้ จะเป็นจะตายแน่ๆ ถ้าไม่ได้เช็กอีกฝ่ายหนึ่ง ก็ต้องทำให้แนบเนียนที่สุดที่จะไม่ให้อีกฝ่ายรับรู้ได้ พร้อมทั้งเตรียมเผื่อใจรับไว้ด้วยว่า ถ้าหากวันใดที่อีกฝ่ายล่วงรู้ก็ต้องยอมรับถึงผลที่จะตามมาไม่ว่าจะทางใดทาง หนึ่ง

 

สี่ บางครั้งอีกฝ่ายทำตัวไม่ชอบมาพากล ก็เป็นธรรมดาที่อีกฝ่ายรู้สึกไม่สบายใจและเกิดความสงสัย รวมถึงพยายามจะหาวิธีล่วงรู้ให้ได้ว่าสามีมีอะไรปิดบังหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่จะต้องมีเทคนิคในการจัดการในรูปแบบอื่นๆ ที่เนียนๆ ก็ได้ มีหลากหลายวิธีที่สามารถทำได้ โดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัดจนเกินไป เพราะถ้าสิ่งที่อีกฝ่ายคิดมากเกินไป โดยที่อีกฝ่ายไม่มีอะไร จะกลายเป็นเรื่องล่อแหลมและระหองระแหงตามมาได้อยู่ดี

 

ห้า... เชื่อเถอะค่ะ ว่าถ้าคุณเช็คโทรศัพท์ของคุณสามีที่สุดแสนจะเจ้าชู้แล้วเขาจับได้ เขาก็ต้องมีวิธีในการซุกข้อมูลอื่นๆ อยู่ดี เรียกว่าแล้วคุณจะไล่ตามไปถึงเมื่อไร เพราะสุดท้ายเมื่อเขาไม่ซื่อสัตย์ ทำอย่างไรก็ไม่ซื่อสัตย์ แล้วเราจะแบกความทุกข์วิ่งไล่ตามทำไม สิ่งที่ควรทำ คือลุกขึ้นมาพูดกันอย่างตรงไปตรงมาคือทางออกที่ดีที่สุด

 

หก การพูดกันตรงไปตรงมา การให้เกียรติซึ่งกันและกัน เป็นเรื่องสำคัญในชีวิตคู่มีหลายคู่มีสามีแอบไปมีกิ๊ก แต่สุดท้ายก็ต้องเลิกราไปเอง เพราะต้องแพ้ทางและแพ้ใจอีกฝ่ายที่ปฏิบัติตัวด้วยความซื่อสัตย์ เต็มไปด้วยความรักและความจริงใจ

 

ใคร ก็อยากมีชีวิตคู่ที่ดี แต่หลักการครองเรือนไม่มีสูตรสำเร็จ เป็นเรื่องที่แต่ละคู่ก็มีเงื่อนไขและบริบทของชีวิตคู่ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะจัดการกับมันได้อย่างไร เพียงแต่อย่าให้ความอยากรู้อยากเห็นจนล้ำเส้น กลายเป็นชนวนของความขัดแย้งของครอบครัว

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

มารยาทในการใช้อินเทอร์เน็ต

 

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

 

730609a5m8rb3ah6.gif

 

 

จรรยามารยาทบนอินเทอร์เน็ต (Netiquette) ทุกวันนี้อินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทและส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ ของมนุษย์ในแทบทุกด้าน รวมทั้งได้ก่อให้เกิดประเด็นปัญหาขึ้นในสังคม ไม่ว่าในเรื่อง ความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย เสรีภาพของการพูดอ่านเขียน ความซื่อสัตย์ รวมถึงความตระหนักในเรื่องพฤติกรรมที่เราปฏิบัติต่อกันและกันในสังคมอิน เทอร์เน็ต ในบทความนี้ผู้เขียนขอทบทวนเรื่อง จรรยามารยาทบนอินเทอร์เน็ตหรือที่เรียกกันในกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตว่า “Netiquette” เพื่อให้เป็นของฝากสำหรับสมาชิกใหม่ที่เรียกกันว่า “Net Newbies” และให้เป็นของแถมเพื่อการทบทวนสำหรับนักท่องเน็ตที่เป็น “ขาประจำ”

Netiquette คืออะไร

 

Netiquette เป็นคำที่มาจาก “network etiquette” หมายถึง จรรยามารยาทของการอยู่ร่วมกันในสังคมอินเทอร์เน็ต หรือ cyberspace ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ผู้คนเข้ามาแลกเปลี่ยน สื่อสาร และทำกิจกรรมรวมกัน ชุมชนใหญ่บ้างเล็กบ้างบนอินเทอร์เน็ตนั้น ก็ไม่ต่างจากสังคมบนโลกแห่งความเป็นจริง ที่จำเป็นต้องมีกฎกติกา (codes of conduct) เพื่อใช้เป็นกลไกสำหรับการกำกับดูแลพฤติกรรมและการปฏิสัมพันธ์ของสมาชิก

[แก้] บัญญัติ 10 ประการสำหรับผู้เริ่มต้น

ถ้าศึกษาค้นคว้าในเรื่อง Netiquette บนเว็บ จะพบการอ้างอิงและกล่าวถึง The Core Rules of Netiquette จากหนังสือเรื่อง “Netiquette” เขียนโดย Virginia Shea ซึ่งเธอได้บัญญัติกฎกติกาที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตพึงตระหนักและยึดเป็นแนว ปฏิบัติ 10 ข้อ ดังนี้

* Remember the Human

 

กฏข้อที่ 1 เป็นข้อเตือนใจสำหรับผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ในขณะที่เรานั่งพิมพ์ข้อความเพื่อติดต่อสื่อสารผ่านจอคอมพิวเตอร์นั้น ต้องไม่ลืมว่าปลายทางอีกด้านหนึ่งของการสื่อสารนั้นที่จริงแล้วก็คือ “มนุษย์”

 

* Adhere to the same standards of behavior online that you follow in real life

 

กฎข้อที่ 2 เป็นหลักคิดง่าย ๆ ที่อาจจะยึดเป็นแนวปฏิบัติ หากไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไร ก็ให้ยึดกติกามารยาทที่เราถือปฏิบัติในสังคมมาเป็นบรรทัดฐานของการอยู่ร่วม กันแบบออนไลน์

 

* Know where you are in cyberspace

 

กฎข้อที่ 3 เป็นข้อแนะนำให้เราใช้งานอย่างมีสติ รู้ตัวว่าเรากำลังอยู่ ณ ที่ใด เมื่อเข้าในพื้นที่ใหม่ ควรศึกษาและทำความรู้จักกับชุมชนนั้น ก่อนที่จะเข้าร่วมสนทนาหรือทำกิจกรรมใด ๆ

 

* Respect other people's time and bandwidth

กฎข้อที่ 4 ให้รู้จักเคารพผู้อื่นด้วยการตระหนักในเรื่องเวลา ซึ่งจะสัมพันธ์กับขนาดช่องสัญญาณของการเข้าถึงเครือข่าย นั่นคือ ให้คำนึงถึงสาระเนื้อหาที่จะส่งออกไป ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มสนทนาหรือการส่งอีเมล เราควรจะ “คิดสักนิดก่อน submit” ใช้เวลาตรึกตรองสักหน่อยว่า ข้อความเหล่านั้นเหมาะสมหรือมีสาระประโยชน์กับใครมากน้อยเพียงใด

 

* Make yourself look good online

กฎข้อที่ 5 เป็นข้อแนะนำผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับการเขียนและการใช้ภาษา เนื่องจากปัจจุบันวิธีการสื่อสารบนเน็ตใช้การเขียนและข้อความเป็นหลัก การตัดสินว่าคนที่เราติดต่อสื่อสารด้วยเป็นคนแบบใด จะอาศัยสาระเนื้อหารวมทั้งคำที่ใช้ ดังนั้น ถ้าจะให้ “ดูดี” ก็ควรใช้ถ้อยคำที่เหมาะสมและตรวจสอบคำสะกดให้ถูกต้อง

 

* Share expert knowledge

 

กฎข้อที่ 6 เป็นข้อแนะนำให้เรารู้จักใช้จุดแข็งหรือข้อได้เปรียบของอินเทอร์เน็ต นั่นคือ การใช้เครือข่ายเพื่อเปิดโอกาสในการแลกเปลี่ยน ”ความรู้” รวมทั้งประสบการณ์กับผู้คนจำนวนมาก ๆ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ถือว่าเป็นจุดกำเนิดของอินเทอร์เน็ตนั่นเอง

 

* Help keep flame wars under control

กฎข้อที่ 7 เป็นข้อคิดที่ต้องการให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตได้ร่วมมือกันเพื่อช่วยควบคุมและ ลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการส่งความคิดเห็นด้วยการใช้คำที่หยาบคาย เติมอารมณ์ความรู้สึกอย่างรุนแรงจนเป็นชนวนให้เกิดกรณีทะเลาะวิวาทกันใน กลุ่มสมาชิก ซึ่งรู้จักกันในกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตว่า “flame”

 

* Respect other people's privacy

กฎข้อที่ 8 เป็นคำเตือนให้เรารู้จักเคารพในความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น เช่นไม่อ่านอีเมลของผู้อื่น เป็นต้น

 

* Don't abuse your power

กฎข้อที่ 9 เป็นคำเตือนสำหรับผู้ที่ได้รับสิทธิพิเศษ เช่น ผู้ดูแลระบบบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งมักจะได้รับสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่น บุคคลเหล่านี้ก็ไม่ควรใช้อำนาจหรือสิทธิ์ที่ได้รับไปในทางที่ไม่ถูกต้องและ เป็นการเอาเปรียบผู้อื่น

 

* Be forgiving of other people's mistakes

 

กฎข้อที่ 10 เป็นคำแนะนำให้เรารู้จักให้อภัยผู้อื่น โดยเฉพาะพวก newbies ในกรณีที่พบว่าเขาทำผิดพลาดหรือไม่เหมาะสม และหากมีโอกาสแนะนำคนเหล่านั้น ก็ควรจะชี้ข้อผิดพลาดและให้คำแนะนำอย่างสุภาพ โดยอาจส่งข้อความแจ้งถึงผู้นั้นโดยตรงผ่านทางอีเมล

 

http://cc.swu.ac.th/ccnews/content/e1624/e1950/e3918/e3949/index_th.html

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...