ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
moddang

ข้อคิดคำคม - เกร็ดความรู้

โพสต์แนะนำ

บ้านหลังนี้เท่ห์มาก .... อยากอยู่จัง

1.jpg

 

2.jpg

 

4.jpg

 

6.jpg

 

7.jpg

 

8.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หัวข้อ : คนขี้บ่น

 

250121x9f4ez5xgq.gif

 

 

เรื่องการอยู่ กับคนขี้บ่นนี่ ใครไม่โดนกับตัวก็ไม่รู้สึก เป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้า และคายไม่ออกจริง ๆ เพราะคนที่บ่นนั้นส่วนมากจะเป็นคนที่มีอิทธิพลเหนือเรา หรือไม่เหนือเราก็จริง แต่เราก็ไม่อยากจะตอแยด้วย มันเป็นเรื่อง “ขี้ หมูรา ขี้หมาแห้ง” ไร้สาระและเสียเวลาเปล่า ที่จะไปตอแยกับคนขี้บ่น

 

ที่น่าแปลกแต่จริงก็คือ ถ้าเราฟังคนอื่นเขาบ่น เราก็เกิดความรำคาญ และแสนน่าเบื่อ น่าเอียน แต่คนที่บ่นมักไม่เบื่อ และที่ร้ายคือ มักจะไม่ยอมรับ หรือรู้ตัวว่าเป็นคนขี้บ่นเสียด้วยซ้ำไป

 

เล่ากันว่า ในสมัยของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ วัดบวรนิเวศวิหาร กทม. หลังจากทำวัตรเช้าในพระอุโบสถแล้ว วันหนึ่งท่านตรัสถามพระบวชใหม่ เป็นรายองค์ว่า

 

"เมื่อคืนจำวัดหลับไหม่ ?"

 

มีพระบวชใหม่องค์หนึ่ง ได้ทูลตอบว่า

"ไม่ค่อย หลับ ขอรับ"

 

สมเด็จฯ ได้ตรัสถามต่อไปว่า

"ทำไม จึงจำวัดไม่หลับ ?"

 

พระบวชใหม่ทูลตอบว่า

"สุนัขมันเห่าหอนทั้งคืน ขอรับ"

 

สมเด็จฯ ได้ทรงให้ข้อคิดว่า

"เอ้า… ก็ทีหูหมามันอยู่ใกล้ปากหมาแค่นั้น มันยังไม่รำคาญ เธอจำวัดอยู่บนกุฏิ ห่างปากหมาตั้งไกล ทำไมจึงรำคาญ ?"

 

ทรงแนะอุบายต่อไปว่า

"อย่าใส่ใจกับเสียงหมา ให้กำหนดลมหายใจเข้า – ออกไว้ที่จมูก มีสติระลึกอยู่เสมอ เสียงหมาจะหายไปเอง…"

 

วันรุ่งขั้น หลังทำวัตรสวดมนต์แล้ว สมเด็จฯ ได้ตรัสถามภิกษุรูปนั้นอีก ท่านได้ทูลตอบว่า จำวัดหลับสบายดี

 

การใส่ใจในเสียงหรือคำบ่น ทำให้เกิดความรำคาญ ถ้าเราไม่ใส่ใจก็จะไม่เกิดความรำคาญ นับว่าเป็นข้อคิด ที่ควรแก่การให้ความสนใจยิ่ง

 

การบ่น เป็นการแสดงออก ของคนที่มีความหงุดหงิดทางใจ เกิดจากความกดดัน การบ่นช่วยให้คลายความเครียดลงได้มาก เมื่อรู้สมุฏฐานของโรคขี้บ่น อย่างนี้แล้ว ก็ควรที่จะให้ความเมตตาแก่คนขี้บ่น มากกว่าที่จะไปรำคาญ หรือถึงกับโกรธตอบคนขี้บ่นมิใช่หรือ ?

 

แต่ถ้ามีทางทำได้ โดยสันติวิธี ก็ควรที่จะช่วยให้เขาเลิกบ่นซะ เพราะมีการเสียบุคลิกภาพ ที่นับว่าร้ายแรงยิ่ง เพราะการบ่นก็คือ การพูดคนเดียวนั่นเอง คนที่เขาไม่คุ้นเคยได้ยินเข้า เขาก็อาจจะเข้าใจว่า ถ้าจะเป็นคนอย่างว่า คือเป็นหนึ่งในห้าร้อยจำพวก ไปแล้วก็ได้ !

 

ว่าที่จริง ต้นเหตุที่จะให้เกิดความหงุดหงิดนั้น แท้จริงเกิดจากความปรารถนาดี อยากให้คนอื่นอยู่ในวินัย เรียบร้อย ขยัน ช่วยการงาน หรือทำอะไรให้ถูกใจเขา เป็นต้น

 

เมื่อรู้ต้นเหตุจริง ๆ อย่างนี้แล้ว เราก็น่าจะเพิ่มความรักคนขี้บ่นขึ้นอีกเป็นกอง จริงไหม ? ถ้าคนเขาไม่รักกันจริง เขาจะบ่นทำไมให้เมื่อยปาก เสียน้ำลายด้วย ด่าส่งไปเลยมิดีกว่าหรือ ?

 

ทางแก้

๑. สำรวจดูตัวเราเองสิว่า มีอะไรที่ทำให้เขาต้องบ่นบ้าง อย่าเข้าข้างตัว ถ้าเห็นว่ามันถูกของเขา ก็ควรที่จะขอบคุณเขา และแก้ไขเสีย คำบ่นก็จะหายไปเอง

 

๒. ถ้าสำรวจแล้ว ไม่เห็นความบกพร่องของเรา ก็ควรชี้แจงให้เขาฟัง ถึงความเข้าใจผิด ถ้าเขาไม่ยอมรับก็อย่าไปเอาใจใส่อีกต่อไป

 

๓. ควรนึกเมตตา และ สงสารเขา ที่ไม่ได้จ้างวานอะไรเลยก็ยังอุตส่าห์ยอมเสียบุคลิก เป็นคนขี้บ่นได้

 

๔. ถ้าคนบ่นเป็นผู้มีพระคุณ เช่น พ่อ แม่ ครู อาจารย์ ก็ไม่ควรจะโต้ตอบเด็ดขาด

 

๕. ควรฝึกสติ และสมาธิไว้ ถ้าเผลอใจอาจรำคาญถึงด่าว่าหรือโต้ตอบที่ร้ายแรงได้

 

๖. คำบ่นจะมีค่า ถ้าเราถือเป็นบท “ทดสอบ ธรรมะ” ถ้าเราเฉยได้ ทั้งภายนอกและภายใน ก็ถือว่า “สอบ ผ่าน” ถ้าหงุดหงิดรำคาญ หรือโต้ตอบ ก็ถือว่า “สอบตก”

 

๗. อารมณ์ทุกสิ่ง ที่มากระทบตัวเรา ทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี ถ้าจัดการอย่างถูกต้อง ก็ถือว่าเป็นการ “สร้าง บารมี” ทำนอง “มารไม่มี บารมีไม่แก่กล้า”

 

http://www.tlcthai.com/club/view_topic.php?club=Budha_page&club_id=1078&table_id=1&cate_id=579&post_id=2587

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

..... เพื่อน.....................481876qojaq5ujfk.gif.

 

 

** คน ที่เป็น เพื่อน **

 

ไม่จำ เป็นต้องจบการศึกษา

 

ระดับ เดียวกัน

 

ไม่จำ เป็นต้องมีฐานะ

 

เท่า เทียมกัน

 

ไม่จำ เป็นต้องมีตำแหน่งหน้าที่

 

การ งานเท่าเทียมกัน

 

ถ้าคิด แบบนั้น

 

คุณจะ ไม่มีเพื่อนแท้ดีๆ

 

เลย สักคน ................... !54

เพื่อนดีๆ คือเพื่อนอย่างไร

 

คอยเตือน ยามเพื่อนพลั้ง

 

คอยฟัง ยามเพื่อนขอ

 

คอยรอ ยามเพื่อนสาย

 

คอยพาย ยามเพื่อนพัก

 

คอยทัก ยามเพื่อนทุกข์

 

คอยปลุก ยาม เพื่อนท้อ

 

คอยง้อ ยามเพื่อนงอน

 

คอยสอน ยามเพื่อนผิด

 

คอยสะกิด ยามเพื่อนเผลอ

 

คอยเจอ ยาม เพื่อนหา

 

คอยลา ยาม เพื่อนกลับ

 

คอยปรับ ยามเพื่อนเปลี่ยน

 

คอยเรียน ยามเพื่อนเที่ยว

 

คอยเคี่ยว ยามเพื่อนเล่น

 

คอยเย็น ยาม เพื่อนร้อน

 

คอยหอน ยาม เพื่อนเห่า

 

คอยเฝ้า ยามเพื่อนฟุบ

 

คอยอุบ ยาม เพื่อนปิด

 

คอยคิด ยามเพื่อนถาม

 

คอยปราม ยาม เพื่อนหลง

 

คอยปลง ยามเพื่อนแกล้ง

 

คอยแบ่ง ยาม เพื่อนหมด

 

คอยอด ยามเพื่อนทาน

 

คอยคาน ยามเพื่อนล้ม

 

คอยชม ยามเพื่อนชนะ

 

คอยสละ ยาม เพื่อนชอบ

 

699271cdv95juxma.gif

เพื่อนที่รักเรา

 

หาไม่ง่ายเลย

 

ถ้าเพื่อนๆ คนไหนมีแล้ว

 

จงรักษา "เพื่อน" ไว้ให้ดีดี

 

รักกันไว้ให้ มากๆ

 

ไม่มีอีกแล้ว

 

ถ้า

 

เราเสียเพื่อนที่ดีไป

 

เพียงเพราะ

 

แค่เหตุผล โง่โง่

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คุณมดแดงขยันจังค่ะ

ชอบค่ะหัวข้อคนขี้บ่น ขอบคุณค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

!031 ห้องนี้มีแต่ของดีๆ ทั้งนั้นเลยนะครับ !thk !thk

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ต่ออายุความรัก....

 

ทำได้แบบนี้ รักนี้ก็ยาวาวาวาววววว นานานนนนนนนน...จ๊า.....

1064972qm293tz1zr.gif

 

ไม่โกรธพร้อมกัน

 

คงไม่ต้องถึงขั้นว่าเมื่อใดคนใดร้อนเป็นไฟ แล้วอีกคนต้องเย็นประดุจน้ำ

เพราะในความเป็นจริงแล้ว น้ำกับไฟอยู่ด้วยกันไม่ได้

แต่เป็นการเปรียบเปรยว่าหากคุณเกิดอารมณ์ร้อนขึ้นมา

เขาหรือเธอก็ควรจะนิ่งเสีย ไม่ใช่ว่าเธอแรงมาฉันก็แรงไป

ช่วยกันกระพืออุณหภูมิให้สูงยิ่งขึ้น

มันไม่ต่างกับการที่คนรักกัน แต่กลับมาสาดโคลนใส่กัน

ลองนึกภาพดูนะ หากคนสองคนอยู่ในอารมณ์โกรธทั้งคู่

คำพูดคำจาคงดุเดือดเชือดเฉือนกันน่าดู

ดังนั้นหลายๆ คู่จึงมักจะทำข้อตกลงไว้ก่อนว่าเราจะไม่โกรธพร้อมกันเด็ดขาด

 

 

ไม่โกรธข้ามคืน

 

ต่อเนื่องมาจากข้อแรก คือนอกจากจะไม่โกรธพร้อมกันแล้ว

ก็ไม่ควรจะโกรธกันข้ามวันข้ามคืนด้วย

แม้ว่าอารมณ์โกรธน่ะไม่เข้าใครออกใคร และก็ห้ามยาก

ทำได้อย่างมากก็แค่ ข่มอารมณ์โกรธไว้

แต่เมื่อโกรธขี้นมาแล้ว ก็อย่าเก็บเอามาเป็นเรื่องค้างคาใจ

เคลียร์ได้ก็ควรเคลียร์ให้จบภายในวันนั้น อย่าได้พกพาอารมณ์โกรธเข้านอนไปด้วย

เพราะนอกจากจะทำให้คุณนอนไม่หลับแล้วคู่ กรณีของคุณก็พลอยหลับไม่ลงไปด้วย

 

 

 

ไม่ขึ้นเสียงใส่กัน

 

ก็ยังเป็นผลสืบเนื่องจากอารมณ์โกรธอยู่นั่นเอง

ไม่ว่าจะโกรธเกรี้ยวขนาดไหน

หรือเพียงแค่เป็นความคุกรุ่นไม่พอใจอยู่ในอก

แต่น้ำเสียงที่สื่อสารออกมานั้น

จะมีความเข้มข้นหนักเบา และสะดุดหูต่างกันไป

ความดังของเสียงอาจจะเริ่มต้นจากพูดเสียงสะบัด

หางเสียงตวัดขึ้นสูงไปจนถึงขั้นตวาดแว้ดๆ ฟังไม่รู้เรื่องเลย

ส่วนคุณพ่อบ้าน ก็อาจจะเผลอเรอตะคอกใส่หน้าสุดที่รักได้

ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ก็เพียงเพราะอารมณ์พาไปทั้งนั้น

ดังนั้น เมื่อใดที่รู้ตัวว่าเก็บอารมณ์ไม่อยู่แล้วจริงๆ ให้ใช้วิธีนิ่งเสีย

แล้วก็ปลีกตัวออกห่างๆ จะเป็นการดีที่สุด

 

 

 

ไม่ยุแหย่ยั่วยุ

 

ไม่ว่าหญิงหรือชาย เมื่อมีปากเสียงกันแล้ว นอกจากไม่ขึ้นเสียงใส่กัน

ทั้งคู่ควรระวังคำพูดที่จะทำร้ายซึ่งกันและกัน เพราะคำพูดที่ยั่วยุ

ยั่วอารมณ์ไม่ได้ทำให้ปัญหามีจบลงได้

ทั้งนี้ทั้งคู่ต้องอดทน หนักแน่นและหันหน้ามาพูดจากันดีๆดีกว่า

 

 

ไม่ลงไม้ลงมือ

 

สาเหตุหลักสำคัญประการหนึ่ง ที่ทำให้หลายคู่ต้องยุติชีวิตรักนั้น

มาจากการถูกทำร้ายร่างกายจากคนที่รัก

โดยเฉพาะฝ่ายหญิง ที่มักจะโดนท้าร้ายอยู่เสมอ

ดังนั้นไม่ว่าจะประสบปัญหาร้ายแรงสักเพียงใด

ขอให้ตระหนักไว้ว่า คนตรงหน้า คือคนที่เราตัดสินใจลงเรือลำเดียวกันแล้ว

เลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เพราะฉะนั้น “คนรักกัน จะไม่ทำร้ายกัน”

 

 

 

 

ไม่รื้อฟื้นเรื่องอดีต

 

เราอาจจะไม่สามารถควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่ก็เลือกจำเฉพาะส่วนที่ดีๆได้

เรื่องราวใดที่สร้างความบาดหมางใจ บั่นทอนความรักความรู้สึกดีๆที่มีต่อกัน

ก็ควรลืมมันเสีย เก็บไว้เป็นบทเรียนหรือประสบการณ์สอนใจ

ถ้าจะนั่งรำลึกความหลังก็ควรพูดถึงแต่เรื่องดีๆ ของเขาหรือเธอ

ก็จะทำให้คุณทั้งสองมีความรู้สึกที่ดีต่อกันอยู่เสมอ

 

 

 

ไม่เงียบเกินไป

 

เป็นบ้างไหม อยู่กันไปนานวันเข้า คุยกันแทบจะนับคำได้

ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องคุยมันหายไปไหนหมด

กลับเข้าบ้านก็เหมือนต่างคนต่างอยู่ อย่างนี้ไม่ดีแน่นอน

คุณอาจจะแย้งว่า อยู่กันมาหลายปี คุยกันจนหมดเรื่องคุยแล้ว

อันนี้คุณกำลังหลอกตัวเองอยู่แน่ๆ เรื่องคุยไม่มีวันหมดหรอก

ถามใจตัวเองดีกว่า ว่าความเงียบระหว่างสองเราที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเพราะอะไรแน่

ความเงียบจะนำมาซึ่งความห่างเหินและหมางเมิน

จนในที่สุด คุณอาจจะกลายเป็นคนแปลกหน้าที่อยู่ร่วมบ้านเดียวกันได้ในสักวัน

 

เพราะฉะนั้น หันหน้ามาคุยกันเถอะ เรื่องราวสัพเพเหระต่างๆ

ให้เขาหรือเธอ รู้สึกว่าคุณยังอยู่เคียงข้างเสมอ

เพียงเท่านี้ก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นในหัวใจได้แล้ว

 

 

 

ไม่ท้าทายเรื่องเลิก

 

สิ่งสุดท้ายที่สำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้

เพราะหากเราพูดจาท้าทายเรื่องเลิกกันหลายๆครั้ง

ความรู้สึกที่โดนท้าทาย อาจชินชาเข้าสักวัน

จนความรักที่อยู่มันถูกบั่นทอนไปไม่รู้ตัว

และในที่สุด ชีวิตรักก็จะสั้นลงกว่าที่คิดไว้

 

และสุดท้าย...คุณต้องส่งต่อเมล์ไปอีก 9 คน

แล้วความรักของคุณจะยืดยาว สมหวังทุกประการ

หากคุณไม่ส่งต่อ หรือ ลบเมล์นี้ทิ้ง คุณจะพบกับการพลัดพราก

หรืออกหักขึ้นคานไปตลอดชาติ นี่คือเรื่องจริงนะ

อยากน้อยๆคนที่คุณส่งให้เค้า เค้าก็จะมีความรู้สึกที่ดีต่อคุณ

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

"ความสุขที่แท้จริง"

 

730609a5m8rb3ah6.gif

 

 

ผม เคยอ่านนิทานเรื่องหนึ่งนานมาแล้ว เรื่องมีอยู่ว่า อาจารย์ท่านหนึ่งลากเส้นตรงขึ้นมาเส้นหนึ่ง แล้วบอกให้นักเรียนลองทำให้เส้นตรงเส้นนี้สั้นลงโดยไม่ต้องลบ นักเรียนต่างหาวิธีทำให้เส้นตรงนั้นสั้นลงไม่ได้เพราะทุกคนติดอยู่กับภาพ ลักษณ์ของการลบเส้นเดิมทิ้งไปเพื่อให้เส้นเดิมสั้นลงไป อาจารย์ท่านนั้นจึงขอให้นักเรียนรายหนึ่งเขียนเส้นตรงเส้นใหม่ที่ยาวกว่า เส้นเดิม ภายหลังจากที่นักเรียนลากเส้นตรงเส้นใหม่ที่ยาวกว่าเดิมแล้ว อาจารย์ท่านนั้นอธิบายให้นักเรียนฟังว่า

 

"การ ที่มีคนลากเส้นตรงขึ้นมาเส้นหนึ่ง ไม่ว่าเส้นตรงที่ลากมาจะยาวแค่ไหน เราสามารถทำให้เส้นตรงนั้นสั้นลงไปได้โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปลบเส้นของคน อื่นให้สั้นลง แต่เราสามารถทำให้เส้นของคนอื่นสั้นลงโดยที่เราลากเส้นของเราให้ยาวขึ้น ยิ่งเราลากเส้นยาวออกไปมากเท่าไหร่เส้นเดิมที่ลากไว้ก็จะสั้นลงไปทุกที เปรียบเหมือนการที่ใครซักคนทำในสิ่งหนึ่งที่ดีอยู่ประสบความสำเร็จอยู่ เราไม่ควรให้ความอิจฉาริษามาก่อให้จิตของเรารุ่มร้อนและหาทางกลั่นแกล้งคนๆ นั้นด้วยการหาทางทำลาย เหมือนกับการพยายามลบเส้นของคนอื่นให้สั้นลง ตรงกันข้ามควรจะยินดีกับความสำเร็จของคนอื่น เหมือนกับที่เรามองความยาวของเส้นตรงที่คนอื่นลากไว้ แต่เราหาทางพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆเหมือนกับการพยายามลากเส้นตรงเส้น ใหม่ให้ยาวขึ้นเรื่อยๆโดยไม่ไปลบเส้นของคนอื่น เส้นตรงที่เราลากก็จะยาวขึ้นเรื่อยๆ โดยเส้นเดิมที่เราลากไว้ก็จะสั้นลงไปเรื่อยๆโดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปลบออก ให้สั้นลง"

 

 

การ คิดในเชิงสร้างสรรค์แบบนี้ทำให้จิตใจของเราโปร่งสบาย ไม่รุ่มร้อน เพราะเรารู้สึกว่าเราไม่ได้แข่งกับใครแต่เราแข่งกับตัวของเราเองอยู่ตลอด เวลาและเราไม่ได้ไปสร้างศัตรูหรือไปก่อเวรกับคนอื่น ตรงกันข้ามการแข่งขันระหว่างกันเป็นไปในทางเกื้อก้ลกันทำให้ระบบโดยรวมมีการ เติบโตอยู่ตลอดเวลาไปในทางที่เป็นบวก คงไม่สำคัญว่าคุณต้องชนะคนทั้งหมด สิ่งสำคัญคงอยู่ที่คุณพยายามชนะตัวของคุณเองอยู่ตลอดเวลาต่างหาก เพียงแต่เมื่อใดคุณสามารถชนะตัวของคุณเองได้ ชัยชนะที่ได้ก็จะมีความหมายและทำให้คุณเกิดความภูมใจ และถ้าคุณยังไม่หยุดพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง คุณก็จะชนะตัวคุณไปเรื่อยๆ เมื่อคุณมองย้อนกลับมาเมื่อไหร่คุณก็จะมีแต่ความใจในชัยชนะที่ขาวสะอาด ชัยชนะที่เป็นแรงขับดันให้คุณพยายามพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

 

การ ประสพความสำเร็จในชีวิตของแต่ละคนมีอยู่หลายวิธี บางครั้งผู้คนต่างพยายามเลียนแบบเส้นทางประสพความสำเร็จของผู้อื่น แต่เมื่อเดินตามเส้นทางนั้นกลับพบว่าไม่ประสพความสำเร็จนัก ความสำเร็จในชีวิตของผู้คนคงไม่จำเป็นต้องมีรูปแบบอย่างเดียวกันเสมอไป และเส้นทางไปสู่ความสำเร็จก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเส้นทางเดียวกันเสมอไป สิ่งสำคัญน่าจะอยู่ที่ความสุขใจที่ได้เลือกเส้นทางที่เหมาะกับตนเองมากที่ สุดมากกว่า

 

จง อย่าพยายามเลียนแบบเส้นทางไปสู่ความสุขของผู้อื่น เพราะนิยามความสุขของผู้คนต่างกัน ความสุขที่เราเห็นผู้คนอื่นมีความสุขกันอยู่ ถ้าเราไปอยู่ในสถานะนั้นเราอาจจะไม่มีความสุขอย่างที่เราเข้าใจก็ได้ สุขและทุกข์แท้จริงอยู่ที่ใจของเรากำหนดต่างหาก ลองมองทุกอย่าง อย่างเป็นกลางๆ ไม่เอาความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง อคติ มาครอบงำ แล้ววันหนึ่งเราอาจจะค้นพบความหมายของคำว่าความสุขที่แท้จริงของตัวเราเอง

 

http://www.love4home.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=109733&Ntype=4

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สาสน์จาก ท่าน Dalai Lama ที่ได้กล่าวไว้สำหรับปี 2008นี้

 

180778xnvtbs4jbw.gif

 

 

คุณใช้เวลาในการอ่านและคิดตาม เพียง 2-3 นาทีเท่านั้น

 

โปรดอย่าเก็บคำสอนนี้ไว้คนเดียว มิเช่นนั้นมนตราที่ส่งมานี้จะจากคุณไปภายใน 96 ชั่วโมง

 

แล้ว … คุณจะได้พบกับสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ที่คุณจะยินดีมาก

 

ข้อแนะนำในการดำเนินชีวิต :huh: :wub:

 

 

1. ระลึกเสมอว่า การจะได้พบความรักและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ก็ต้องประสบกับความเสี่ยงอันมหาศาลดุจกัน

 

2. เมื่อคุณแพ้ อย่าลืมเก็บไว้เป็นบทเรียน

 

3. จงปฏิบัติตาม 3 Rs

 

3.1 เคารพตนเอง ( Respect for self )

 

3.2 เคารพผู้อื่น ( Respect for others )

 

3.3 รับผิดชอบต่อการกระทำของตน ( Responsibility for all your actions )

 

4. จงจำไว้ว่า การที่ไม่ทำตามใจปรารถนาของตนบางครั้งก็ให้โชคอย่างน่ามหัศจรรย์

5. จงเรียนรู้กฎ เพื่อจะทราบวิธีการฝ่าฝืนอย่างเหมาะสม

 

6. จงอย่าปล่อยให้การทะเลาะเบาะแว้งด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อย มาทำลายมิตรภาพอันยิ่งใหญ่ของคุณ

 

7. เมื่อคุณรู้ว่าทำผิด จงอย่ารอช้าที่จะแก้ไข

 

8. จงใช้เวลาในการอยู่ลำพังผู้เดียวในแต่ละวัน

 

9. จงอ้าแขนรับการเปลี่ยนแปลง แต่อย่าปล่อยให้คุณค่าของคุณหลุดลอยจากไป

 

10. จงระลึกไว้ว่า บางครั้งความเงียบก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุด

 

11. จงดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อที่ว่าเมื่อคุณสูงวัยขึ้นและคิดหวนกลับมาคุณจะสามารถมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำลงไปได้อีกครั้ง

 

12. บรรยากาศอันอบอุ่นในครอบครัวเป็นพื้นฐานสำคัญของชีวิต

 

13. เมื่อเกิดขัดใจกับคนที่คุณรัก ให้หยุดไว้แค่เรื่องปัจจุบัน อย่าขุดคุ้ยเรื่องในอดีต

 

14. จงแบ่งปันความรู้ เพื่อเป็นหนทางก้าวสู่ความเป็นอมตะ

 

15. จงสุภาพกับโลกใบนี้

 

16. จงหาโอกาสท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ที่คุณไม่เคยไป อย่างน้อยก็ปีละครั้ง

 

17. จำไว้ว่า ความสัมพันธ์ที่ดีที่สุด คือความรักมิใช่ความใคร่

 

18. จงตัดสินความสำเร็จของตนด้วยสิ่งที่ต้องเสียสละ

 

19. จงเข้าใกล้ความรักด้วยการปล่อยวาง

 

 

 

โปรดส่งมนตรานี้ต่อ ๆ ไป อย่างน้อย 5 คน แล้วชีวิตของคุณจะดีขึ้นตามลำดับ ดังนี้

 

 

 

0-4 คน : ชีวิตของคุณจะดีขึ้นเล็กน้อย

 

5-9 คน : ชีวิตของคุณจะเป็นไปตามที่คุณต้องการให้เป็น

 

10-14 คน : คุณจะพบสิ่งที่ทำให้คุณประหลาดใจอย่างน้อย 5 อย่างในอีก 3 สัปดาห์ข้างหน้า

 

15 คนขึ้นไป : ชีวิตคุณจะดีขึ้นอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ และทุกสิ่งที่คุณฝันไว้จะเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

 

 

730609a5m8rb3ah6.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

....พรุ่งนี้อาจไม่มีเขา....

 

พระไพศาล วิสาโล

 

:o :lol:

 

 

หลังจากที่ “หมวย” เรียนจบพยาบาลได้ไม่นาน ป้าก็ป่วยหนักและมารักษาตัวที่โรงพยาบาลของเธอ ป้าผู้นี้มีบุญคุณกับเธอมากเพราะได้ดูแลเธอแทนแม่จนเธอเรียนจบชั้นมัธยม หลังจากที่ย้ายไปเรียนจังหวัดอื่น เธอแทบไม่ได้พบหน้าป้าอีกเลยจนกระทั่งป้าล้มป่วย แต่ช่วงที่ป้ารักษาตัวที่ห้องไอซียูนั้น เธอมีเวลาไปเยี่ยมป้าน้อยมากเพราะงานรัดตัว ตั้งใจว่าวันเสาร์อาทิตย์จะไปเยี่ยมป้า แต่แล้วเพื่อน ๆ ก็ชวนเธอไปเที่ยวพัทยา เธออยากเล่นน้ำทะเลอยู่แล้ว จึงตัดสินใจไปเที่ยวกับเพื่อน คิดว่าเช้าวันจันทร์ไปเยี่ยมป้าก็ยังไม่สาย แต่พอเธอกลับถึงบ้านค่ำวันอาทิตย์ ก็ได้ข่าวว่าป้าเสียชีวิตแล้ว ผ่านมานับสิบปีแล้วเธอก็ยังรู้สึกผิดที่ไม่ได้ไปดูแลป้า ทั้ง ๆ ที่เป็นพยาบาลดูแลคนอื่นได้มากมาย แต่กลับไม่มีเวลาให้กับผู้มีพระคุณ

 

ตอนเรียนมัธยม “สมใจ” สนิทสนมกับ “ชัย”มาก แต่เมื่อเรียนจบทั้งสองก็แยกย้ายกันไปเรียนมหาวิทยาลัยคนละแห่ง มีช่วงหนึ่งที่ชัยโทรศัพท์มาคุยกับเธอแทบทุกคืน แต่ละครั้งคุยนานมาก คืนหนึ่งเธอรู้สึกเพลีย อยากพักผ่อน แต่ชัยก็ยังไม่เลิกคุย เธอรำคาญจึงพูดตัดบท แต่เขาก็ยังคุยต่อ เธอจึงต่อว่าเขาด้วยความโมโห แล้ววางหู วันรุ่งขึ้นขณะที่เธอกำลังเดินเข้าห้องเรียน แม่ของชัยก็โทรศัพท์มาบอกว่าชัยเสียชีวิตแล้วจากอุบัติเหตุรถยนต์หลังจากคุยกับเธอได้ไม่นาน เธอตกใจและรู้สึกเสียใจมากที่พูดไม่ดีกับชัยเมื่อคืน มันเป็นเสมือนบาดแผลในใจที่ยังอยู่จนทุกวันนี้

 

ทั้งหมวยและสมใจพูดตรงกันว่า หากรู้ว่าคนที่เธอรักจะต้องจากไปอย่างกะทันหันเช่นนั้น เธอจะไม่ทำอย่างที่ได้ทำไป หมวยจะใช้เวลาอยู่กับป้าให้นานที่สุดและอย่างดีที่สุด ส่วนสมใจก็จะพูดคุยกับชัยด้วยความใส่ใจและอย่างนุ่มนวล แต่ในโลกนี้มีใครบ้างที่สามารถรู้อนาคตล่วงหน้า

 

ความตายของคนที่เรารักมักจะมาอย่างไม่คาดฝัน มันพร้อมจะมาได้ทุกเวลา และไม่เลือกว่าจะเกิดกับผู้ใหญ่ก่อนเด็ก ใครที่มองข้ามความจริงข้อนี้ จะต้องพบกับความเสียใจอย่างสุดซึ้ง มิใช่เพียงเพราะคนรักจากไปอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะเขาได้พลั้งเผลอทำสิ่งที่ไม่สมควร(หรือไม่ได้ทำสิ่งที่สมควร )กับผู้ที่จากไป โดยไม่มีโอกาสขอโทษหรือแก้ตัวได้เลย สิบปีอาจนานพอที่จะเยียวยาความเศร้าใจที่สูญเสียคนรักไป แต่ยากจะลบเลือนความรู้สึกผิดที่ได้ทำสิ่งไม่สมควรกับคนรัก

 

หากไม่อยากมีบาดแผลในใจ ก็ควรปฏิบัติต่อคนที่เรารักอย่างดีที่สุด อ่อนโยนและใส่ใจกับความรู้สึกของเขาให้มาก ๆ แต่ปัญหาก็คือยิ่งเราสนิทสนมคุ้นเคยกับใคร เราก็ยิ่งคำนึงถึงความรู้สึกของเขาน้อยลง และทำตามอารมณ์ของเรามากขึ้น (ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่ค่อยคุ้นเคย เรามักจะสุภาพและนุ่มนวลกับเขามากกว่า) ผลก็คือเรามักจะลืมตัวทำสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควรกับเขา

 

ความลืมตัวเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ช่วยไม่ให้เผลอทำสิ่งที่ไม่สมควรกับคนที่เรารัก นั่นคือการเตือนใจตนเองเสมอว่าพรุ่งนี้เขากับเราอาจจะต้องพรากจากกัน วันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายที่เขากับเราจะได้อยู่ด้วยกัน ขณะที่เขากำลังอยู่ต่อหน้าเราตอนนี้อาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะได้ทำสิ่งดี ๆ ให้แก่เขา

 

การเตือนใจเช่นนี้จะกระตุ้นเตือนให้เราปฏิบัติต่อเขาอย่างนุ่มนวล ไม่ทำตามอำเภอใจ รับฟังและใส่ใจกับความรู้สึกของเขามากขึ้น เมื่อเราทำอย่างดีที่สุดกับเขา หากใครเกิดมีอันเป็นไปในวันข้างหน้า ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องรู้สึกผิดต่อกัน จะว่าไปแล้วการเตือนใจเช่นนี้ไม่ควรทำเฉพาะกับคนที่เรารักเท่านั้น แต่ควรทำกับทุกคนที่เรารู้จักหรือติดต่อสัมพันธ์ด้วย

 

คราว หนึ่ง “เขมานันทะ” ได้จาริกไปประเทศพม่า และได้รู้จักกับพระไทยใหญ่รูปหนึ่ง เมื่อไปถึงเจดีย์ชเวดากอง ท่านได้ชวนเขมานันทะถ่ายรูปคู่กัน แต่เขมานันทะนั้นไม่ชอบธรรมเนียมแบบนี้จึงเดินหนี แต่พระไทยใหญ่ขอร้องให้เขาไปถ่ายรูปด้วย คำพูดประโยคเดียวของท่านที่ทำให้เขมานันทะเปลี่ยนใจก็คือ “ชีวิตนี้เราอาจได้พบกันเพียงครั้งเดียว” เขมานันทะจึงยอมถ่ายรูปด้วย หลังจากเขมานันทะกลับมาเมืองไทยไม่นานก็มีจดหมายมาแจ้งข่าวว่า พระไทยใหญ่รูปนั้นมรณภาพแล้ว เขมานันทะเล่าในเวลาต่อมาว่าคำพูดประโยคนั้นสะเทือนอารมณ์ของตนมาก เพราะทำให้ได้คิดว่าคนเราเอาแต่แบ่งแยกเป็นเราเป็นเขา มัวแต่แก่งแย่งผลประโยชน์กัน จนลืมไปว่าคนที่อยู่ต่อหน้าเราอาจได้พบกันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

การ ปฏิบัติต่อผู้คนที่เข้ามาในชีวิตของเราราวกับว่าเขาอาจพลัดพรากจากเราไปใน วันพรุ่งนี้ ไม่เพียงช่วยป้องกันมิให้เกิดบาดแผลในใจเราในวันข้างหน้าเท่านั้น หากยังช่วยสร้างสุขให้แก่เราในวันนี้ อันเป็นผลจากสัมพันธภาพที่ราบรื่นและงดงามทั้งกับคนใกล้และคนรอบตัว ยิ่งกว่านั้นมันยังทำให้ทุกวันที่คนรักยังอยู่กับเราเป็นวันที่มีความหมาย ยิ่งกว่าเดิม วันนี้จะกลายเป็นวันพิเศษ เพราะวันพรุ่งนี้อาจไม่มีเขาอยู่กับเราก็ได้

หญิงผู้หนึ่งเล่าว่า เพียงแค่ได้เห็นสามีและลูก ๆ ทุกคนพร้อมหน้าที่บ้าน เธอก็มีความสุขอย่างยิ่งแล้ว เพราะเธอไม่แน่ใจว่าพรุ่งนี้จะมีโอกาสแบบนี้อีกหรือไม่ สำหรับเธอ ไม่มีอะไรที่ทำให้มีความสุขเท่านี้อีกแล้ว

 

ความสุขนั้นไม่ได้อยู่ไกล และไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าให้เหนื่อยยาก เพราะแท้จริงความสุขนั้นมีอยู่กับเราในขณะนี้แล้ว นั่นคือการที่คนรักยังอยู่กับเรา และให้โอกาสแก่เราได้ทำความดีกับเขาอย่างเต็มที่ อย่ามองข้ามความสุขอย่างนี้ และอย่าปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือเราไป

 

 

นิตยสารซีเครท : No.38 26 January 2010 Vol.2

 

Joyful Life & Peaceful Death พรุ่งนี้อาจไม่มีเขา

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วิธีคิด ไม่ธรรมดา ของ  มาร์ติน วีลเลอร์ บัณฑิตเกียรตินิยม อันดับหนึ่ง เคมบริดจ์

 

" คนไทยมีพระเจ้าอยู่หัว มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีศาสนาพุทธที่ดีมาก ทั้ง ๓ อย่างนี้ พยายามรักษาเอาไว้ให้ได้ "

 

 

 

 

นิยามความรวยกับความจน

 

มันเป็นเรื่องแปลกนะที่ประเทศไทยคนยากจนมี หนี้สินเยอะ   ที่อังกฤษมีแต่คนรวยที่มี หนี้สิน  

 

คนจนไม่มีหนี้เพราะเขาไม่ให้คนจนยืมเงิน   เนื่องจากกลัวจะไม่มีปัญญาใช้คืน จึงไม่มีสิทธิ์มีหนี้สิน  

 

แต่คนรวยยืมเงินได้   คำว่ารวยกับคำว่าจน มันคืออะไรกันแน่

 

ที่ขอนแก่น เขาว่าผมบ้าบ้าง ฝรั่งยากจนบ้าง ฝรั่งตกอับบ้าง ฝรั่งขี้นก ฝรั่งไม่มีเงิน

 

แต่ผมบอกว่าไม่ใช่ ผมรวยนะ เขาถามว่ารวยได้ยังไง ผมบอกว่า

 

๑ . ผมมีบ้าน  

 

ผมทำบ้านเล็ก ๆ เป็นกระท่อมน้อย ๆ เอาหญ้ามามุงหลังคา ชาวบ้านเรียกว่าเถียงนา ไม่ใช่บ้านหรอก

 

ผมบอกว่าใช่ มันบ้านของผม ไม่ใช่บ้านเจ้านาย ราคาหนึ่งหมื่นสองพันบาท อยู่ได้ครับ

 

มันกันแดด - กันฝนได้ แค่นั้นผมก็รวยแล้ว

 

๒ . มีที่ดินแค่ ๖ ไร่เท่านั้นเอง  

 

ที่นั่นเขาบอกว่ากระจอกมีนิดเดียว แต่สำหรับฝรั่งมันเยอะมาก

 

จริง ๆ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ   เป็นพื้นฐานของชีวิต  

 

เราต้องมีที่อยู่อาศัยเป็นของเรา ไม่ใช่ของเจ้านาย

 

เพราะว่าถ้ามันเป็นของเจ้านาย เราต้องไปหาเงินให้เขา  

 

ถ้าเราไม่มีเงินเขาก็ไล่เราออก   เราไม่มีที่อยู่นะ  

 

เพราะฉะนั้นต้องมีบ้านเป็นของตัวเองไว้ก่อน

 

ซึ่งผมก็มีบ้าน คิดว่าลูกของผมจะต้องมีบ้านแน่ ๆ ด้วย

 

เรื่องเกษตรผมทำไม่เก่ง

 

แต่ที่ทำได้ง่าย คือปลูกต้นไม้ ไม้ประดู่ ไม้สะเดา ไม้ยาง ปลูกไว้ให้ลูกสร้างบ้าน  

 

ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้โตเร็วมาก  แค่ ๒๕ - ๓๐ ปี ตัดได้แล้ว

 

ไม่เหมือนอังกฤษ ๒๐๐ ปีได้เท่านี้เอง เพราะอากาศเย็น  

 

เป็นเรื่องแปลกที่คนไทยจะบ่น โอ๊ย ... มันร้อน ๆ

 

ผมว่ากลับเป็นเรื่องดี แสงแดดเยอะจะทำการเกษตรได้ตลอดเวลา ๑ ปี ทำได้ทุกวัน

 

แต่คนไทยจะบ่นว่าร้อน ๆ ไม่เอา .. ไม่เอา .. อยากเป็นคนผิวขาวดีกว่า

 

แต่คนอังกฤษเขาถือคนผิวขาวเป็นคนจน  เพราะว่าไม่มีปัญญาจะไปเมืองนอก

 

ซึ่งกลับกันเลย แม้แต่พ่อของผมเขาก็ยัง มีเครื่องอาบแดดเพื่อให้ผิวเป็นสีแทน

 

ให้ดูเป็นแบบคนมีสตางค์ แต่คนไทยกลับอยากมีผิวขาว

วิธีคิดไม่ธรรมดาของมาร์ติน วีลเลอร์

 

มมีลูก ๓ คน ชาย ๒ หญิง ๑

 

สิ่งสำคัญที่สุด ๒ เรื่องในชีวิตของเรา คือ

๑ . ต้องมีบ้านเป็นของตัวเองให้ได้   จึงจะถือว่าชีวิตประสบความสำเร็จ

๒ . ต้องมีงานทำทุกวัน  ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็น งานอะไร แต่ขอให้มีงานทำทุกวัน ชีวิตจึงจะไม่สูญเปล่า

 

วิธีเดียวที่รับประกันได้ว่าลูกมีงานทำ คือการมีที่ทำกินให้เขา และเราต้องช่วยให้เขาทำเป็น

 

ผมคิดว่าคนชนบทจริง ๆ  ใครมีที่ดินทำกินแล้วจะ ไม่ตกงาน

 

เว้นแต่คนขี้เกียจ ซึ่งบางคนมีที่ดินเยอะแต่ไม่ยอมทำ

 

ถ้าเราสั่งสอนให้ลูกรู้จักทำมาหากินเขาก็ไม่ตกงาน

 

ผมถือว่างานที่อิสระและมีประโยชน์มากที่สุด คืองานเกษตร ซึ่งช่วยให้เรากินอิ่มทุกวัน

 

คนอังกฤษกินไม่อิ่มเยอะมากนะ  ผมไม่อยากให้ลูกของผมอดอาหาร  

 

อยากให้ลูกกินอิ่มในลักษณะที่ส่งเสริมสุขภาพด้วย

 

กินอาหารที่ไม่มีสารพิษ กินอาหารแบบเรียบง่ายก็ได้แต่อิ่มทุกวัน

 

เมื่อมีบ้าน มีงาน มีอาหาร   ลูกของผมก็จะรวยที่สุด ... ฯลฯ

 

จุดอ่อน - จุดแข็งของคนไทย

 

ผมคิดว่าคน ไทยส่วนมากยังไม่เข้าใจระบบทุนนิยม เห็นฝรั่งที่ไหนก็คิดว่า รวยหมด

 

คิดว่าการพัฒนาในระบบทุนนิยมจะทำให้ทุกคนมีเงิน

 

ไม่เข้าใจว่าประเทศที่พัฒนาระบบทุนนิยมนานแล้ว เช่น อังกฤษ, สหรัฐ มีปัญหาเยอะมาก

 

แต่คนไทยก็คิดว่าเมืองนอกดีกว่า อันนี้จุดอ่อนครับ  

 

คือคนไทยสนใจเมืองนอก ไม่ได้สนใจประเทศไทย

 

ผมเป็นฝรั่ง คุณเลยนั่งฟังผม

 

ถ้าผมเป็นชาวบ้าน คุณจะไม่สนใจผม อันนี้เป็นจุดอ่อนนะ

 

แต่จุดแข็งคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

 

แผ่นดินประเทศไทยอุดมสมบูรณ์มาก ๆ  

 

มีดินเยอะมาก   น้ำเยอะมาก   แสงแดดเยอะมาก   ทำเกษตรอยู่รอดแน่  

 

เป็นพลังแผ่นดิน ใคร ๆ ก็อยากได้ประเทศไทย

 

ผมก็ได้ถึง ๖ ไร่

คนไทยโชคดีมาก ๆ ที่ได้ในหลวงเป็นผู้นำ  

 

พระองค์ท่านเป็นคนที่ทำงานหนักมากเพื่อช่วยให้คนคิดได้ ช่วยให้คนอยู่ได้  

 

จะหากษัตริย์ในประเทศอื่นไม่ค่อยมีแบบนี้  

 

ปัญหาคือคนไทยส่วนมากนับถือในหลวง   แต่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสอนของในหลวง

 

พระองค์ท่านบอกมา ๒๗ ปีถึงเศรษฐกิจพอเพียง

 

แต่คนไทยก็ไม่รู้จักพอเพียง เอาอย่างเดียว

 

ถึงยกมือไหว้ในหลวง แต่เวลาดำรงชีวิตไม่ได้ทำตามในหลวง

 

ก็ในหลวงบอกไว้แล้วว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็น เสือ ขอให้มีอยู่มีกินไว้ก่อน

 

ถ้าทุกคน เริ่มคิดจริง ๆ ถึงสิ่งที่ในหลวงพูด เราน่าจะช่วยให้ประเทศไทยอยู่ได้

 

เพราะความคิดของในหลวง เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงต้องอาศัยพลังแผ่นดิน

 

ทำได้เฉพาะประเทศไทยนะเศรษฐกิจพอเพียง

 

ที่อื่นทำไม่ได้หรอกเพราะเขาไม่มีที่ดิน ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเยอะเหมือนประเทศไทย

 

พวกคุณโชค ดีที่ได้แผ่นดินดี ๆ   ได้ผู้นำ ( ในหลวง ) ที่ดีด้วย

 

และเรื่องที่ ๓ เรื่องศาสนา  

 

ผมคิดว่า ศาสนาพุทธมีความสำคัญมาก ๆ สำหรับคนไทย

 

ไม่ใช่แค่นับถือไหว้พระ แค่นั้นไม่พอ

 

แต่อยู่ที่การปฏิบัติด้วยนะ มักน้อย สันโดษ พอเพียง  

 

ธรรมะคือธรรมชาติ เป็นเรื่องง่าย ๆ   พึ่งตนเองก็ได้  

 

ปรัชญาของศาสนาพุทธทำได้นะ แต่คนไทยจำนวนน้อยที่เข้าใจ  

 

จริง ๆ แล้วศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ออกแบบให้เหมาะสมสำหรับคนบ้านนอก

 

ให้ใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติโดยไม่ทำลาย ไม่เอาเปรียบ แต่ให้เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

 

อยากบอกอะไรคนไทย

คุณโชคดีมาก ๆ ที่เกิดในประเทศไทยที่อุดมสมบูรณ์

 

ไม่ต้องไปรบกับใคร ไม่ต้องไปเอาน้ำมันจากใคร ไม่ต้องไปเบียดเบียนคนอื่น

 

ประเทศไทยอยู่ได้ กินอิ่ม มีเหลือแจกด้วย อย่าไปคิดเรื่องเงินอะไรมาก

 

อย่าลดคุณค่าความเป็นไทยของตัวเองลง

 

คนไทยส่วนมากนิสัยดีจริง ๆ   คนไทยมีน้ำใจ หายากนะ

 

คนไทยมีพระเจ้าอยู่หัว มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีศาสนาพุทธที่ดีมาก ทั้ง ๓ อย่างนี้ พยายามรักษาเอาไว้ให้ได้

 

ชีวิตที่ ไม่ทะเยอทะยานเกินไป คือชีวิตที่มีคุณภาพ ชาวบ้านทุกคนทำได้

 

ผมเองถึงยังทำไม่สำเร็จแต่มั่นใจว่า จะทำได้แน่ในอนาคต

 

ถ้าผมทำได้ คนอื่นก็คงทำได้ง่ายกว่าผมเยอะ

 

ทุกอย่างอยู่ที่เรา ถ้าเราไม่อยากได้อะไรมากเกินไปในชีวิต ชีวิตมันก็ง่าย

 

พยายามทำให้ชีวิตมันง่ายขึ้น อย่าให้มันสับสน อย่าให้มันลำบาก

 

พยายามรักษาสิ่งแบบนี้ให้ดี และอย่าเชื่อฝรั่งมากเกินไป

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก chaiyo.com

1image002.jpgimage003.jpg

 

                                                           หน้าบ้าน หลังเก่าของเขา เมื่อครั้งมาอยู่ใหม่ๆ

 

[

แทบทุกเช้า ที่เขาและครอบครัว ใส่บาตรพระด้วยความศรัทธา

 

image005.jpg

 

กว่าจะถึงวันนี้ ที่ความภาคภูมิใจของชีวิต

 

แล้วสามารถโชว์ความดีงามให้ประจักษ์ แก่บัณฑิต และบุคคลสาธารณะ

 

 

image007.jpg

 

นิสิต นศ . มาดูงานและชื่นชมเขาและครอบครัวอยู่เสมอ

 

image008.jpg

 

มาติน กำลังพาหลวงพ่อสังคม ชื่นชมผลงานเกษตรพอเพียงของเขา

 

image009.jpg

 

Martin and Family in England

 

image010.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

image001.jpg

 

                  ปรากฏการณ์ธรรมชาติดอกไม้น้ำแข็ง

 

Ice Flowers เป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ ธรรมชาติที่สร้างความตกตลึงให้แก่ผู้พบเห็น

เนื่องจากมันจะเกิดขึ้นบนทะเลที่กลายเป็นน้ำแข็ง

และ เกิดมีเกร็ดน้ำแข็งที่ก่อตัวขึ้นมาเป็นช่อดอกไม้สีขาวกลีบบางผุดขึ้นมาเต็ม พื้นน้ำแข็ง

image002.jpg

 

สาเหตุ ของการเกิด ปรากฏการณ์ธรรมชาติดอกไม้น้ำแข็ง

 

* ปรากฏการณ์ธรรมชาติดอกไม้น้ำแข็ง เป็นหนึ่งในรูปแบบของแผ่นน้ำแข็งที่เพึ่งก่อตัวขึ้นใหม่

* เมื่อไอน้ำอิ่มตัว (Saturated Water Vapors) ที่แทรกตัวขึ้นมาตามรอยแตกของแผ่นน้ำแข็ง

* เมื่อไอน้ำอิ่มตัว สัมผัสกับอากาศเย็นจัดด้านบนก็จะเริ่มก่อตัวเป็นเกร็ดน้ำแข็ง

* ส่วนเกลือบนที่อยู่บนผิวของเกร็ดน้ำแข็งก็จะเกิดการตกผลึก เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยบนผิวของเกร็ดน้ำแข็ง

* ผลึก เกลือที่เกิดขึ้นจะเป็นเสมือนแกนให้ให้ไอน้ำอิ่มตัว ที่เหลือเกาะเป็นเกร็ดน้ำแข็งใหม่ขึ้นสลับไปมาจนซ้อนทับกันจนคล้าย กลีบดอกไม้

 

image004.jpg

 

              ปรากฏการณ์ ธรรมชาติ หินเดินได้

 

Sailing Stones เป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ยังคงเป็นปริศนาที่เกิดขึ้นที่อุทยานแห่ง ชาติ

เดท วัลลี่ย์ (Death Valley National Park) ในรัฐแคลิฟอร์เนีย (California) ประเทศสหรัฐอเมริกา

ส่งที่พบก็คือ จะพบร่องรอยการเคลื่อนที่ของก้อนหิน ที่ทิ้งไว้บนดินเหนียวที่แห้งเป็นทางยาว

โดยปรากฏการณ์ธรรมชาตินี้จะ เกิดขึ้นทุก 2 - 3 ปี / ครั้ง

และหินบางก้อนก็ใช้เวลากว่า 3 - 4 ปีในการเคลื่อนที่

 

image005-1.jpg

 

              ปรากฏการณ์ หินเดินได้ เกิดจากมนุษย์ หรือสัตว์ หรือไม่

 

จากลักษณะรูปร่างของร่องรอยการไถลของ หินนั้นบ่งบอกได้ว่า หินก้อนนั้นต้องเคลื่อนที่ในช่วงที่

พื้นของเรซแทรค พลาย่านั้น ถูกปกคลุมด้วยดินเหนียวอ่อนนุ่ม ถ้าเป็นฝีมือของคนหรือสัตว์

จะ ต้องมีร่องรอยของการเหยียบย่ำรบกวนชั้นดินเหนียวด้วย แต่ในบริเวณดังกล่าวไม่ปรากฏหลักฐานร่องรอย

จากคนหรือสัตว์ที่จะช่วยให้ หินเคลื่อนที่เลย มีเพียงร่องรอยการไถลของหินเท่านั้น

 

 

                  ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ไอซ์เซอร์เคิล (Ice Circle)

Ice Circle ไอซ์เซอร์เคิล เป็น ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่พบเห็นได้ยาก

และสมมุติฐานที่เป็นที่ยอมรับ กันถึงสาเหตุการเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติ ไอซ์เซอร์เคิล นี้

เกิดจากการที่ ผิวน้ำเริ่มก่อตัวเป็นน้ำแข็งจากบริเวณกึ่งกลางของผิวน้ำ แล้วค่อยๆ ก่อตัวตามขอบเพิ่มขึ้น

เรื่อยๆ และต้องประกอบกับแหล่งน้ำจะต้องไหลเอื่อยๆ เพื่อให้เกิดน้ำแข็ง สามารถก่อตัวบริเวณขอบ

ขณะหมุนขยายตัวออกมาเรื่อยๆ จนไปชนกับขอบน้ำแข็งแผ่นอื่นๆ

ไอซ์เซอร์เคิล บางแผ่นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 150 เมตร อาจจะพบอยู่เดี่ยวๆ หรือเป็นกลุ่มก็ได้

 

image008-1.jpg

            ไอซ์เซอร์เคิล วงนี้ถ่ายที่ Norwalk เมื่อปี 2003

 

image009.jpg

            ไอซ์เซอร์เคิล วงนี้ถ่ายที่ Amasa, Michigan in 2006

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...