ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

สวัสดีค่ะคุณมดแดง ginger news และเพื่อนๆมือใหม่ทุกท่าน :wub:

เป็นยังงัยกันบ้างค่ะ น่าจะมีคนเมาคลื่น !45 ร่วงเหว !_cd ติดดอย และสับสนชีวิตกันบ้าง

ไม่ต้องกังวลกันไปถ้าไม่เล่นเกินตัว เพราะที่อ่านๆมาเพื่อนบางคนเล่นเกินตัว มันเจ็บนะ !064 ตั้งสติให้ไว

ความคิดส่วนตัวเพราะอ่านกราฟไม่เก่ง ให้ดูกราฟเป็นแนวอ่านข่าวสารประกอบ(คุณgingerเอามาฝากแล้ว !gd )ที่สำคัญไม่โลภตามระบบให้ดี คุณต้องรู้ว่าคุณเล่นกับไฟ อยู่ห่างๆพอให้อบอุ่น เข้าใกล้มากไปมันร้อน คนถือแท่งของจริงไม่ต้องห่วงเงินเย็น สบายๆลงก็เก็บเข้า แต่GFน่ากังวลมากเป็นห่วงนะ ขอให้ทุกคนโชคดีนะค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีค่ะคุณมดแดง ginger news และเพื่อนๆมือใหม่ทุกท่าน :wub:

เป็นยังงัยกันบ้างค่ะ น่าจะมีคนเมาคลื่น !45 ร่วงเหว !_cd ติดดอย และสับสนชีวิตกันบ้าง

ไม่ต้องกังวลกันไปถ้าไม่เล่นเกินตัว เพราะที่อ่านๆมาเพื่อนบางคนเล่นเกินตัว มันเจ็บนะ !064 ตั้งสติให้ไว

ความคิดส่วนตัวเพราะอ่านกราฟไม่เก่ง ให้ดูกราฟเป็นแนวอ่านข่าวสารประกอบ(คุณgingerเอามาฝากแล้ว !gd )ที่สำคัญไม่โลภตามระบบให้ดี คุณต้องรู้ว่าคุณเล่นกับไฟ อยู่ห่างๆพอให้อบอุ่น เข้าใกล้มากไปมันร้อน คนถือแท่งของจริงไม่ต้องห่วงเงินเย็น สบายๆลงก็เก็บเข้า แต่GFน่ากังวลมากเป็นห่วงนะ ขอให้ทุกคนโชคดีนะค่ะ

 

:D :wub: :lol:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ดัชนีตลาดรวมต่างประเทศ เงิน ทอง โลหะ น้ำมัน ตลาดหุ้น โภคภัณฑ์ เรือขนส่ง

การเงิน-หลักทรัพย์ - ตลาดหลักทรัพย์

Wednesday, 24 August 2011 10:29

Share this

Twitter Yahoo Googlize this Facebook

Hear this text

 

ตลาดหุ้นนิวยอร์ค : ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 2.97% จากความหวังเฟดหนุนศก.

 

ตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้นเกือบ 3% ในวันอังคารจากการคาดการณ์ที่ว่านายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะส่งสัญญาณความช่วยเหลือครั้งใหม่ต่อเศรษฐกิจสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งทำให้นักลงทุนมีความหวังว่าความผันผวนในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมากำลังใกล้จะสิ้นสุดลง

 

ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 322.11 จุดหรือ 2.97% สู่ 11,176.76, ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 38.53 จุดหรือ 3.43% สู่ 1,162.35 และดัชนี Nasdaq ปิดเพิ่มขึ้น 100.68 จุดหรือ 4.29% สู่ 2,446.06

 

ปริมาณการซื้อขายอยู่ที่ 9.35 พันล้านหุ้นในตลาดหุ้นนิวยอร์ค, ตลาดหุ้นอเมริกัน (American Stock Exchange) และตลาดหุ้น Nasdaq สูงกว่าปริมาณเฉลี่ยต่อวันของปีที่แล้วที่ 8.47 พันล้านหุ้น โดยมีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบ 6 ต่อ 1 ในตลาดนิวยอร์ค และ 5 ต่อ 1 ในตลาด Nasdaq

 

ข้อมูลที่อ่อนแอในตลาดอยู่อาศัยและภาคการผลิตทำให้มีการคาดการณ์ครั้งล่าสุดว่า นายเบอร์นันเก้จะดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้ทางเลือกของเฟดดูเหมือนมีอยู่จำกัดก็ตาม โดยนายเบอร์นันเก้จะแถลงสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมเฟดในวันศุกร์นี้ที่เมืองแจ๊คสัน โฮล รัฐไวโอมิ่ง(รอยเตอร์)

 

 

 

ตลาดน้ำมันนิวยอร์ค : น้ำมันดิบพุ่งขึ้น 1 ดอลล์,ตลาดจับตาเฟด

 

ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX พุ่งขึ้นกว่า 1 % ในวันอังคาร โดยได้รับแรงหนุนจากการทะยานขึ้นของตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ในขณะที่นักลงทุนคาดหวังว่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะส่งสัญญาณว่าจะให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่เศรษฐกิจสหรัฐ

 

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบส่งมอบเดือนต.ค.ทะยานขึ้น 1.02 ดอลลาร์ หรือ 1.21 % มาปิดตลาดที่ 85.44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 83.40-86.39 ดอลลาร์ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนต.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนปรับขึ้น 95 เซนต์ หรือ 0.88 % สู่ 109.31 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 107.20-109.79 ดอลลาร์

 

ราคาน้ำมันได้รับแรงหนุนจากการสู้รบอย่างต่อเนื่องในลิเบีย ถึงแม้ว่าพื้นที่หลายแห่งในกรุงทริโปลีอยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มกบกฏแล้วนอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้รับแรงหนุนจากปัญหาขัดข้องในการส่งออกน้ำมันของไนจีเรียด้วย

 

สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 19 ส.ค.ในวันพุธนี้ โดยโพลล์รอยเตอร์คาดว่าสต็อกน้ำมันดิบอาจเพิ่มขึ้น 800,000 บาร์เรล, สต็อกน้ำมันกลั่นอาจเพิ่มขึ้น 700,000 บาร์เรล, สต็อกน้ำมันเบนซินอาจลดลง 900,000 บาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันอาจทรงตัวที่ 89.1 %

 

หลังจากตลาด NYMEX ปิดทำการในวันอังคาร การปิโตรเลียมสหรัฐ (API)รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบลดลง 3.3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว, สต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 2 ล้านบาร์เรล, สต็อกน้ำมันเบนซินพุ่งขึ้น 6.4 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันทะยานขึ้น 1.8 % (รอยเตอร์)

 

 

 

ตลาดโลหะมีค่านิวยอร์ค : ทองดิ่งลงหลังทำนิวไฮที่ 1,911.46 ดอลล์

 

ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐดิ่งลงในวันอังคาร หลังจากพุ่งขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ที่ 1,911.46 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในการซื้อขายช่วงข้ามคืน โดยการดิ่งลง 3.7 % ของราคาทองในวันอังคารถือเป็นการรูดลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 18 เดือน หรือนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2010 ในขณะที่การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นส่งผลให้เทรดเดอร์หลายรายมองว่า ราคาทองพุ่งขึ้นมากเกินไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา

 

ราคาสัญญาทองเดือนธ.ค.ปิดตลาดดิ่งลง 1.6 % หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,829.10-1,917.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

วอลุ่มการซื้อขายอยู่ใกล้ 370,000 สัญญา และส่งผลให้วันอังคารเป็นหนึ่งในวันที่มีการซื้อขายหนาแน่นที่สุดในปีนี้

 

นักวิเคราะห์กล่าวเตือนว่า ราคาทองอาจปรับฐานลงอย่างรุนแรง เนื่องจากราคาทองพุ่งขึ้นถึง 8 % ในช่วง 3 วันทำการที่ผ่านมา และทะยานขึ้นมาแล้วกว่า 400 ดอลลาร์นับตั้งแต่เดือนก.ค.

 

สำหรับราคาโลหะมีค่าที่ตลาด COMEX ในวันอังคารมีดังต่อไปนี้

 

ปิดที่ระดับ (ดอลลาร์/ออนซ์) เปลี่ยนแปลง (ดอลลาร์)

 

ทองเดือนธ.ค. 1,861.30 - 30.60

 

เงินเดือนก.ย. 42.291 -103.40 (เซนต์)

 

พลาตินั่มเดือนต.ค. 1,880.10 - 25.60

 

พัลลาเดียมเดือนก.ย. 764.40 - 0.70 (รอยเตอร์)

 

 

 

ตลาดเงินนิวยอร์ค : ดอลล์ร่วงหลังคาดเฟดอาจผ่อนคลายนโยบายลงอีก

 

ดอลลาร์ร่วงลงในวันอังคารจากความหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะผ่อนคลายนโยบายการเงินลงอีกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซา ขณะที่ข้อมูลการผลิตที่ดีเกินคาดของเยอรมนีและจีนช่วยคลายความวิตกเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก

 

ทั้งนี้ ดอลลาร์อยู่ที่ 76.640 เยน เทียบกับระดับปิดวันจันทร์ที่ 76.840 เยน ส่วนยูโรอยู่ที่ 1.4442 ดอลลาร์ และ 110.71 เยน เทียบกับระดับปิดวันจันทร์ที่ 1.4358 ดอลลาร์ และ 110.32 เยน

 

นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมประจำปีที่เมืองแจ๊คสัน โฮล รัฐไวโอมิ่งในวันศุกร์นี้ โดยในการกล่าวสุนทรพจน์ในปีที่ผ่านมา นายเบอร์นันเก้ได้เปิดเผยต่อตลาดเกี่ยวกับโครงการซื้อพันธบัตรวงเงิน 6 แสนล้านดอลลาร์

 

มาตรการดังกล่าวจะเพิ่มจำนวนดอลลาร์ในระบบ ซึ่งจะถ่วงดอลลาร์ลงโดยช่วยหนุนการส่งออกของสหรัฐ และกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์อื่นๆที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า

 

ยูโรปรับตัวขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ โดยได้แรงหนุนจากดัชนีการผลิตที่แข็งแกร่งของเยอรมนี

 

สกุลเงินที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ อาทิ ดอลลาร์ออสเตรเลียและดอลลาร์นิวซีแลนด์ปรับตัวขึ้น

 

ยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ขณะที่นักลงทุนยังคงวิตกว่าธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ (SNB) อาจเข้าแทรกแซงตลาดอีกครั้งเพื่อสกัดกั้นความแข็งแกร่งของฟรังก์

 

ดอลลาร์อ่อนลงเมื่อเทียบกับเยน แม้ตลาดวิตกเกี่ยวกับการแทรกแซงตลาดเพื่อขายเยนของทางการญี่ปุ่นก็ตาม (รอยเตอร์)

 

 

 

ตลาดเงิน Emerging Asia : สกุลเงินเอเชียดีดตัวรับข้อมูล PMI จีน

 

วอนและดอลลาร์สิงคโปร์แข็งค่าขึ้น โดยกลุ่มนักเก็งกำไรอินเตอร์แบงก์เข้าซื้อเงินเอเชีย ขณะที่หุ้นในภูมิภาคดีดตัวขึ้น และหลังจากข้อมูลผลสำรวจภาคการผลิตของจีนไม่ได้ออกมาเลวร้ายเท่ากับที่หลายคนวิตก แต่นักลงทุนก็ยังคงไม่ต้องการเพิ่มสถานะการลงทุนในเงินเอเชียมากเกินไป ท่ามกลางความวิตกที่ยังคงมีอยู่เกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และวิกฤติหนี้ยูโรโซน

 

วอนดีดตัวขึ้น ขณะที่กลุ่มนักเก็งกำไรอินเตอร์แบงก์ขายดอลลาร์ออกมามากขึ้นจากการดีดตัวขึ้นอย่างมากของหุ้นเกาหลีใต้ และจากการเข้าซื้อพันธบัตรอย่างต่อเนื่องของนักลงทุนต่างชาติ

 

ดอลลาร์สิงคโปร์ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง หลังจากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมากเกินคาดในเดือนก.ค. ซึ่งกดดันธนาคารกลางสิงคโปร์ให้ดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดต่อไป และปล่อยให้ดอลลาร์สิงคโปร์แข็งค่าขึ้นอีก แม้เศรษฐกิจชะลอตัวก็ตาม

 

เปโซดีดตัวขึ้นจากความต้องการของกองทุนมหภาค ขณะที่กลุ่มนักเก็งกำไรอินเตอร์แบงก์เข้าซื้อเช่นกัน

 

บาท/ดอลลาร์ภาคบ่ายยังทรงตัวจากช่วงเช้า โดยแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบ เพื่อรอผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) รวมถึงผลการประชุมประจำปี ของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ในช่วงปลายสัปดาห์ บาท/ดอลลาร์ อยู่ที่ 29.83/85 จาก 29.83/86 ช่วงเช้า ขณะที่ในตลาด offshore อยู่ที่ 29.78/87 จาก 29.83/85 ช่วงเช้า (รอยเตอร์)

 

 

 

ดัชนีค่าระวางเรือ (Baltic Dry Index)

ปิดวานนี้ (23 ส.ค.) บวก 50 จุด หรือ 3.3% สู่ระดับ 1565

 

ระดับสูงสุดของปีนี้อยู่ที่ 1693 และระดับต่ำสุดของปีนี้อยู่ที่ 1043

 

ระดับสูงสุดตลอดกาลอยู่ที่ 11793 และระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 554

 

ความเคลื่อนไหวของดัชนีในช่วง 5 วันทำการที่ผ่านมามีดังนี้ :-

 

วันที่ ระดับปิด เปลี่ยนแปลง (จุด)

 

22 ส.ค. 1515 +53

 

19 ส.ค. 1462 +48

 

18 ส.ค. 1414 +43

 

17 ส.ค. 1371 +27

 

16 ส.ค. 1344 +38 (รอยเตอร์)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เรียนถามหน่อยค่ะ ว่าตอนที่อเมริกาประกาศ QE 2 วันนั้นทองขึ้นพรวดเดียวเลย หรือลงก่อนแล้วค่อย ๆ ขึ้นคะ

ถูกแก้ไข โดย เจน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทำไมราคาในตลาด Gold Future มันลงฮวบฮาบแบบขาสั่นแบบนี้ล่ะค่ะ วันนี้ series Z ราคาปรับลงมา -1400 แล้ว

ติดดอยสูงมาก หนาวจัง ไม่รู้จะทำไงดีค่ะ

post-3846-070224900 1314168075.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทำไมราคาในตลาด Gold Future มันลงฮวบฮาบแบบขาสั่นแบบนี้ล่ะค่ะ วันนี้ series Z ราคาปรับลงมา -1400 แล้ว

ติดดอยสูงมาก หนาวจัง ไม่รู้จะทำไงดีค่ะ

 

ผมก็แย่เหมือนกันครับ ติดดอยที่ V

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อยากเรียนถามคุณ News, คุณModdang และนักวิเคระห์ท่านอื่นๆ ว่าไปเรียนวิเคราะห์กันที่ไหนบ้างคะ เพราะกำลังมองหาอยู่ ไม่รู้ว่าเฮียกัมพล เปิดสอนมั๊ย รบกวนคุณ News, คุณModdang และนักวิเคระห์ท่านอื่นๆ หรือผู้รู้ช่วยให้ข้อมูลหน่อยค่ะ

ขอบคุณค่ะ

 

เพิ่มเติมนะคะ

 

ที่เพื่อนๆบอกมาแล้วนั้น พยายามอ่านผ่านๆ ให้เข้าใจบ้าง อันไหนไม่เข้าใจผ่าน แล้วมาอ่านทีละเรื่อง แต่ต้องปฏิบัติกะกราฟ ถ้าอ่านเฉยๆ ไม่ลองลากลองทำ ไม่เป้นแน่นอน

อยากรู้ว่าการสร้างกราฟอย่างไร มีหัวข้อให้เลือกตามชอบเพียบ

 

ส่วนที่ถามว่าคุณกัมพลสอนใหม ตอนนี้ยังไม่มีแววมั๊ง ถึงอย่างไรที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่าสอนพื้นฐานแบบอนุบาลไม่ใช่ แต่คุณต้องมีพื้นฐานเกี่ยวกะ mt 4 หรือบทเรียนตามลิงค์ ลองหาอ่านดูนะคะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดร่วง 408.74 จุด หลังนลท.ขายหุ้นบ.ประกันจีน

 

 

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 24 สิงหาคม 2554 15:33:50 น.

ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดลดลงอย่างหนักในวันนี้ ตามทิศทางตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ปรับตัวลงหลังจากที่ญี่ปุ่นถูกมูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ลดอันดับความน่าเชื่อถือ ขณะเดียวกัน นักลงทุนพากันเทขายหุ้นบริษัทประกันจีนที่รายงานผลประกอบการย่ำแย่กว่าคาด

 

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนีฮั่งเส็งร่วง 408.74 จุด หรือ 2.06% ปิดที่ 19,466.79 จุด หลังจากเคลื่อนไหวระหว่าง 19,452.65-19,876.67 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 7.545 หมื่นล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ราว 9.68 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)

 

 

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปรียพรรณ มีสุข/ปนัยดา

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

(เพิ่มเติม) ดัชนี SET ภาคบ่ายร่วง 10 จุด ตามตลาดภูมิภาคส่วนใหญ่, ต่างชาติยังขาย

 

 

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 24 สิงหาคม 2554 15:03:24 น.

ภาวะตลาดหุ้นไทยภาคบ่ายร่วง 10 จุดต่อเนื่องจากภาคเช้า ตามตลาดภูมิภาคที่ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงเช่นกัน แม้ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% มาที่ 3.25% ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้แล้ว

 

เมื่อเวลา 14.50 น.ดัชนี SET มาอยู่ที่ 1,047.20 จุด ลดลง 10.08 จุด (-0.95%)

 

ล่าสุดเมื่อ 14.59 น.ดัชนี SET อยู่ที่ 1,047.88 จุด ลดลง 9.40 จุด(-0.89%)

นายภาดล วรรณรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงบ่ายนี้ปรับตัวลงกว่า 10 จุด เป็นผลจากนักลงทุนต่างชาติยังขายอยู่ ทำให้ตลาดบ้านเราตอนนี้ดูอ่อนกว่าตลาดภูมิภาคและตลาดยุโรปที่แกว่งตัวในกรอบแคบ

 

ทั้งนี้ เป็นเพราะตลาดหุ้นไทยมีการเทรด P/E ที่สูง และที่ผ่านมาก็ปรับตัวลงน้อยกว่าตลาดอื่นในภูมิภาคเอเชีย ทำให้นักลงทุนต่างชาติยังคงปรับพอร์ตลงทุน สังเกตุได้จากหุ้นในกลุ่มพลังงานและแบงก์ที่ปรับตัวลง

 

พร้อมให้แนวรับ 1,040 จุด แนวต้าน 1,050 จุด

--อินโฟเควสท์ โดย พรเพ็ญ ดวงเฉลิมวงศ์/รัชดา/ศศิธร

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

In Focus: เงินหยวน กับเส้นทางรุกคืบสู่เวทีสากล ท่ามกลางวิกฤติโลก

 

 

ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 24 สิงหาคม 2554 13:03:00 น.

บทบาทที่เพิ่มขึ้นของจีนในเวทีเศรษฐกิจโลกปัจจุบันนับเป็นเรื่องที่ไม่อาจปฏิเสธได้ และนับวันก็ยิ่งทวีความโดดเด่นมากขึ้น ขณะที่กลุ่มประทศอุตสาหกรรมชั้นนำอย่างสหรัฐและสหภาพยุโรปต่างมีสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ อันเป็นผลจากปัญหาหนี้สินภาคสาธารณะ ซึ่งไม่เพียงแต่ยังไม่มีแนวโน้มที่จะยุติลง แต่ยังส่อเค้าที่จะลุกลามยืดเยื้อออกไปในวงกว้างมากขึ้น ส่วนญี่ปุ่นเองก็ไม่ได้มีความแข็งแกร่งดังแต่ก่อน หลังจากเผชิญเหตุแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อวันที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น แถมพ่วงมาด้วยวิกฤตินิวเคลียร์ที่โรงไฟฟ้าฟูกูชิมะ ไดอิชิ ที่เป็นผลพวงจากแผ่นดินไหวและส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตที่เป็นหัวใจสำคัญของประเทศที่พึ่งพาการส่งออก

 

 

เมื่อดอลลาร์เสื่อมมนต์ขลัง

แม้ว่าประเทศเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐจะสามารถรอดพ้นจากภาวะผิดนัดชำระหนี้ด้วยการผ่านแผนเพิ่มเพดานหนี้สินและลดยอดขาดดุลได้แบบเฉียดฉิวกับกำหนดเส้นตายในวันที่ 2 ส.ค.ที่ผ่านมา แต่หลายฝ่ายมองว่านั่นเป็นเพียงการซื้อเวลาสำหรับระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่สายชนวนพร้อมจะทำงานอยู่ตลอดเวลา และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (S&P) ก็ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐลงจาก AAA เป็น AA+ ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าปัญหาเชิงโครงสร้างของสหรัฐมีอยู่จริง!

 

สถานการณ์ที่ไม่แน่นอนดังกล่าวได้สั่นคลอนความเชื่อมั่นที่มีต่อดอลลาร์สหรัฐ ทั่วโลกเริ่มกังขาว่าดอลลาร์จะยังคงเป็นสกุลเงินสำรองระหว่างประเทศที่มีความปลอดภัยเช่นที่เคยเป็นมาอยู่หรือไม่ สกุลเงินทางเลือกอย่าง "เงินหยวน" จึงได้รับการพิจารณาจากนักลงทุนทั่วโลกว่าอาจก้าวขึ้นมามีอิทธิพลสำคัญมากขึ้นในระบบการเงินระหว่างประเทศ เนื่องจากเศรษฐกิจจีนมีการขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง และนั่นส่งผลให้เงินหยวนแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 11 ส.ค.2554 เงินหยวนแข็งค่าแตะระดับสูงสุดในรอบ 17 ปีเมื่อเทียบดอลลาร์ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศว่าจะตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำต่อไปจนถึงกลางปี 2556 เป็นอย่างน้อยที่สุด ประกอบกับการคาดการณ์ที่ว่าจีนจะปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นเพื่อรับมือกับเงินเฟ้อในประเทศ โดยหยวนแข็งค่าเกินกว่า 6.4 หยวน/ดอลลาร์

 

มุ่งมั่นวางรากฐานอย่างเป็นระบบ

เมื่อเศรษฐกิจของจีนแข็งแกร่งและมีการขยายตัวมากขึ้น สิ่งที่ทางการจีนต้องการเห็นคือบทบาทของเงินหยวนที่เพิ่มมากขึ้นด้วย และจีนได้มุ่งมั่นดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการวางรากฐานและกำหนดนโยบายอย่างเป็นระบบเพื่อปูทางให้เงินหยวนก้าวขึ้นมามีความสำคัญในระบบเศรษฐกิจโลก เริ่มต้นด้วยการทำให้เงินหยวนมีการใช้กันอย่างกว้างขวางมากขึ้นในภูมิภาคเอเชีย โดยได้เริ่มดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมมาตั้งแต่ปี 2552

 

สำหรับแนวทางการดำเนินการโดยหลักๆของจีนตั้งแต่ช่วงเริ่มแรกและความคืบหน้าจนถึงปัจจุบัน เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวมีดังนี้:-

 

การชำระบัญชีข้ามพรมแดนด้วยสกุลเงินหยวน

จีนอนุญาตให้เงินหยวนเป็นสกุลเงินที่ใช้ชำระบัญชีการซื้อขายข้ามพรมแดน เพื่อให้มีการใช้เงินหยวนอย่างแพร่หลายมากขึ้น โดยเมื่อวันที่ 8 เม.ย.2552 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีจีนอนุมัติให้นครเซี่ยงไฮ้ และ 4 เมืองใหญ่ในมณฑลกวางตุ้ง ซึ่งได้แก่ กวางโจว, เสิ่นเจิ้น, จูไห่ และตงกวน เป็นเขตทดลองนำร่องใช้เงินหยวนเป็นสกุลเงินหักชำระบัญชีสินค้าระหว่างประเทศ หลังจากนั้นจึงได้ขยายไปยังพื้นที่ใกล้เคียง โดยอนุญาตให้ผู้ประกอบการจีนสามารถใช้เงินหยวนทำธุรกรรมการค้ากับผู้ประกอบการในฮ่องกง, มาเก๊า และ 6 ประเทศในอาเซียน ซึ่งได้แก่ ไทย, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์และเวียดนาม และจีนได้ขยายขอบเขตพื้นที่ของการชำระบัญชีสกุลเงินหยวนอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในปีนี้ธนาคารกลางจีนระบุว่าอยู่ระหว่างร่างมาตรการเพื่อขยายขอบเขตการชำระบัญชีด้วยสกุลเงินหยวนให้ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ แม้ว่าจะยังไม่มีกรอบเวลาที่ชัดเจนก็ตาม

 

นักวิเคราะห์แสดงทัศนะว่า การใช้เงินหยวนทำการค้าระหว่างประเทศ นอกจากจะช่วยบรรเทาความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินแล้ว ยังกระตุ้นให้เกิดการซื้อขายมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ก็จะปูทางยกระดับให้เงินหยวนเป็นสกุลเงินสากล

 

ในช่วงครึ่งปีแรกของ 2553 มีการใช้เงินหยวนทำการค้าข้ามพรมแดนทั้งสิ้น 7 หมื่นล้านหยวน ซึ่งเพิ่มขึ้น 20 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับครึ่งปีหลังของปี 2552 ซึ่งฮ่องกงมีส่วนแบ่งสูงถึง 3 ใน 4 ของการทำธุรกรรมเงินหยวนทั้งหมด แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการค้าโดยรวมของจีนแล้ว ธุรกรรมเงินหยวนมีส่วนแบ่งเพียงร้อยละ 0.76 ของมูลค่าส่งออกและนำเข้าทั้งหมดของจีนเท่านั้น อย่างไรตาม มีสัญญาณบ่งชี้ว่าบทบาทของเงินหยวนนั้นน่าจะมีเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

การพัฒนาตราสารหนี้สกุลเงินหยวน

แรกเริ่มนั้นจีนอนุญาตให้มีการออกตราสารหนี้สกุลเงินหยวนเพื่อระดมทุนระหว่างทางการจีนและธนาคารพาณิชย์ในฮ่องกงที่มีสาขาในจีนเท่านั้น แต่ต่อมาได้ขยายขอบเขตให้บริษัทข้ามชาติสามารถออกตราสารหนี้สกุลเงินหยวนในฮ่องกง หรือ “ติ่มซำบอนด์" โดยนับเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จีนได้ใช้กรุยทางในการนำพาเงินหยวนสู่ความเป็นสากล ย้อนหลังไปเมื่อเดือนก.ย.2552 จีนได้ประเดิมขายพันธบัตรรัฐบาลสกุลเงินหยวนนอกประเทศ ซึ่งก็คือที่ฮ่องกง เป็นครั้งแรกมูลค่า 6 พันล้านหยวนหรือราว 880 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเสนออัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงเทียบเท่ากับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก

 

ในเดือนก.พ.2554 จีนได้ผ่อนคลายกฎระเบียบให้สถาบันใดๆก็ตามสามารถออกตราสารหนี้สกุลเงินหยวนในฮ่องกงได้ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องไม่นำเม็ดเงินที่ระดมได้จากขายพันธบัตรนั้นกลับไปยังประเทศจีน โดยติ่มซำบอนด์ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว จาก 1.6 หมื่นล้านหยวน ในปี 2552 พุ่งขึ้นเป็น 4.1 หมื่นล้านหยวน ในปี 2553 และในปี 2554 คาดว่าจะทวีความร้อนแรงขึ้นมากถึง 169% เป็น 1.08 แสนล้านหยวน หรือ 5 แสนล้านบาท

 

ในปัจจุบันนี้ มีบริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่หลายรายที่ออกติ่มซำบอนด์ในฮ่องกง อาทิ แมคโดนัลด์ ซึ่งเป็นบริษัทอาหารฟาสต์ฟู้ดยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ขายตราสารหนี้สกุลเงินหยวน 200 ล้านหยวน เมื่อเดือน ก.ย. 2553 ซึ่งนับเป็นบริษัทต่างชาติในฮ่องกงรายแรกที่ประกาศขายตราสารหนี้สกุลเงินหยวน ตามด้วยแคทเทอร์พิลลาร์ บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในสหรัฐ ได้ออกตราสารหนี้ 1,000 ล้านหยวนในเดือน พ.ย. 2553 ขณะที่โฟล์คสวาเกน บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของยุโรปในแง่ยอดขาย ได้ประกาศเมื่อกลางเดือน พ.ค. 2554 ว่าจะขายตราสารหนี้สกุลเงินหยวน 1,500 ล้านหยวน และแม้แต่สถาบันการเงินระหว่างประเทศ อย่างธนาคารโลก ก็ประกาศแผนเมื่อต้นปีนี้ว่าตั้งเป้าจะระดมทุน 500 ล้านหยวน หรือ 76 ล้านดอลลาร์สหรัฐผ่านทางการออกติ่มซำบอนด์

 

การออกพันธบัตรรัฐบาลสกุลเงินหยวนในฮ่องกงนี้จะช่วยยกระดับสถานภาพสกุลเงินหยวนในตลาดสากล และช่วยสร้างมาตรฐานราคาให้แก่การขายพันธบัตรสกุลเงินหยวนของสถาบันการเงินจีนในฮ่องกงอีกด้วย

 

นายจาง หยิง นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของแบงก์ ออฟ ไชน่า ในฮ่องกง กล่าวว่า จุดเด่นของการลงทุนในพันธบัตรก็คือ รายได้ที่มั่นคงและปัจจัยด้านความปลอดภัยที่สูงกว่า ซึ่งเป็นที่พึงพอใจของตลาด นอกจากนี้ การออกพันธบัตรจะเป็นการเพิ่มเครื่องมือด้านการลงทุนสำหรับนักลงทุนในฮ่องกง โดยเฉพาะธนาคารที่มีกองทุนเงินหยวนจำนวนมาก

 

การพัฒนาศูนย์กลางทางการเงินสำหรับการซื้อขายเงินหยวน

แนวทางนี้นับว่ามีความเกี่ยวข้องกับการชำระบัญชีการค้าและการส่งเสริมการพัฒนาตราสารหนี้สกุลเงินหยวนชนิดที่แยกกันไม่ออก หลังจากที่จีนอนุญาตให้มีการชำระบัญชีการค้าเป็นสกุลเงินหยวนได้ตั้งแต่ปี 2552 นั้น ฮ่องกงนับเป็นศูนย์กลางเพียงแห่งเดียวในการทำธุรกรรมสกุลเงินหยวนนอกประเทศจีน หรือตลาดออฟชอร์ และการที่จีนส่งเสริมให้ฮ่องกงเป็นศูนย์กลางการซื้อขายเงินหยวนในตลาดต่างประเทศหรือ CNH นั้นก็ส่งผลให้มีการออกตราสารหนี้สกุลเงินหยวนหรือติ่มซำบอนด์จำนวนมากด้วย

 

ในอนาคตเมื่อการทำธุรกรรมสกุลเงินหยวนขยายวงกว้างขึ้น จีนอาจมีการขยายศูนย์กลางการซื้อขายเงินหยวนนอกประเทศไปยังประเทศอื่นๆ เช่น สิงคโปร์หรือแม้แต่ในลอนดอน ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับโลกอยู่แล้ว โดยทางสิงคโปร์เองก็ดูเหมือนมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นศูนย์กลางการซื้อขายเงินหยวนในต่างประเทศรายต่อไป รองจากฮ่องกง ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่า ปัจจัยที่ช่วยหนุนความได้เปรียบของสิงคโปร์คือความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับจีน ซึ่งทำให้สิงคโปร์มีภาษีดีกว่าเมื่อเทียบกับศูนย์กลางการเงินอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ลอนดอนหรือนิวยอร์ค ซึ่งเริ่มเล็งเห็นความสนใจของกลุ่มนักลงทุนในการซื้อขายเงินหยวน

 

ล่าสุดเมื่อกลางเดือนส.ค.นี้ ธนาคารกลางไต้หวันได้ประกาศเป้าหมายที่จะก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการทำธุรกรรมสกุลเงินหยวนนอกประเทศแห่งที่ 2 โดยอาศัยสายสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างจีนและไต้หวันที่ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ โดยนับแต่ประธานาธิบดีหม่า อิง-จิวของไต้หวันขึ้นบริหารประเทศในปี 2551 ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างจีนและไต้หวันนับว่าดีที่สุดในรอบหลายทศวรรษ

 

เดินหน้าพลิกวิกฤติสู่โอกาส

การดำเนินการตามแนวทางต่างๆที่จีนได้วางแผนไว้นับเป็นขั้นตอนที่จีนได้คิดพิจารณามาแล้วอย่างรอบรอบตั้งแต่ช่วงตั้งไข่ ช่วงหัดเดิน ไปจนถึงช่วงที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ขณะที่ประเทศยักษ์ใหญ่ในระบบเศรษฐกิจโลกเผชิญพิษเศรษฐกิจรุมเร้าชนิดที่ยังสางไม่ออก จีนจึงไม่รอช้าที่จะเร่งเดินหน้าสานต่อในสิ่งที่ได้วางรากฐานไว้

 

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นายหลี่ เคอเฉียง รองนายกรัฐมนตรีจีน ได้เดินทางเยือนฮ่องกงในระหว่างวันที่ 16-18 ส.ค.พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ระดับสูง ซึ่งรวมถึงนายโจว เสี่ยวฉวน ผู้ว่าการธนาคารกลางจีนและนายเฉิน เต๋อหมิง รมว.พาณิชย์จีน การเดินทางดังกล่าว ได้ปรากฏผลอย่างเป็นรูปธรรมนั้นก็คือการประกาศมาตรการใหม่ๆเพื่อส่งเสริมการพัฒนาตลาดฮ่องกง ซึ่งรวมถึงการประกาศขายพันธบัตรสกุลเงินหยวนในฮ่องกง หรือติ่มซำบอนด์เป็นครั้งที่ 3 และนับเป็นครั้งใหญ่ที่สุดเมื่อวันที่ 17 ส.ค.ในวงเงิน 2 หมื่นล้านหยวน (3.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นในการจองซื้อจากนักลงทุนสถาบัน หลังจากที่เคยออกพันธบัตรสกุลเงินหยวนในฮ่องกงเป็นครั้งแรกในวงเงิน 6 พันล้านหยวนเมื่อปี 2552 และครั้งที่ 2 ในวงเงิน 8 พันล้านหยวนเมื่อปีที่แล้ว

 

นายหลี่กล่าวว่า การออกพันธบัตรสกุลเงินหยวนในฮ่องกงจะเป็นภารกิจในระยะยาวของรัฐบาลกลาง โดยรัฐบาลจะค่อยๆปรับเพิ่มขนาดของการออกพันธบัตร และจะดำเนินการเพื่อปรับปรุงตลาดพันธบัตรเงินหยวนในฮ่องกง ซึ่งนับเป็นการยืนยันถึงสถานภาพของฮ่องกงในฐานะศูนย์กลางทางการเงินและศูนย์กลางการทำธุรกรรมสกุลเงินหยวน

 

นอกจากนี้ นายหลี่เขายังกล่าวว่า จะมีเปิดตัวโครงการนำร่องสำหรับธนาคารต่างชาติในการเพิ่มทุนด้วยเงินหยวน และวิสาหกิจของฮ่องกงจะได้รับการสนับสนุนให้ลงทุนโดยตรงในจีนแผ่นดินใหญ่ด้วยเงินหยวน สำหรับนักลงทุนสถาบันต่างชาติที่มีคุณสมบัติเหมาะสมก็จะได้รับการอนุมัติให้ลงทุนในตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ด้วยวงเงินขั้นต้น 2 หมื่นล้านหยวน (3.1 พันล้านดอลลาร์)

 

นายเหลียน ผิง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของแบงก์ ออฟ คอมมิวนิเคชั่นส์ กล่าวว่า การออกพันธบัตรครั้งนี้จะช่วยขยายตลาดพันธบัตรเงินหยวนในฮ่องกงให้กว้างขึ้นได้อย่างแน่นอน เมื่อพิจารณาจากมูลค่าที่มากเป็นประวัติการณ์ ขณะที่การออกพันธบัตรเงินหยวนเมื่อปี 2553 และ 2552 คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 38% และ 22% ของมูลค่าพันธบัตรเงินหยวนทั้งหมดที่ออกในแต่ละปี ซึ่งการออกพันธบัตรครั้งล่าสุดนี้จะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อตลาด

 

โจทย์ท้าทายที่รอการไขปม

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจีนได้ดำเนินนโยบายต่างๆย่างเป็นรูปธรรมในการทำให้เงินหยวนก้าวสู่ความเป็นสากลมากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะผ่อนคลายกฎระเบียบด้านการเงินและการลงทุนทั้งในและต่างประเทศต่อไปอย่างต่อเนื่อง แต่นโยบายดังกล่าวก็ยังไม่ใช่นโยบายการเปิดเสรีเงินหยวน ซึ่งจะส่งผลให้เงินหยวนเป็นสกุลเงินที่ซื้อขายกันโดยปราศจากข้อจำกัด เพราะถึงจีนจะอนุญาตให้มีการซื้อขายเงินหยวนอย่างเสรีมากขึ้นในฮ่องกง แต่เงินทุนต่างประเทศที่จะไหลเข้าออกจีนยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของทางการ จีนมีข้อจำกัดสำหรับการทำธุรกิจของธนาคารต่างชาติในจีน ทั้งการตั้งสาขาและการให้บริการต่างๆ ที่ต้องผ่านการพิจารณาหลายขั้นตอน ซึ่งทำให้ธนาคารต่างชาติเผชิญอุปสรรคมากมายและเสียเปรียบด้านการแข่งขันกับธนาคารท้องถิ่นจีน ทั้งๆที่จีนได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกมาตั้งแต่ปี 2544 และมีการตกลงเปิดเสรีด้านการเงินและการธนาคารแล้วก็ตาม ในปัจจุบันนี้ จีนได้อาศัยฮ่องกงเป็นสถานที่ทดสอบสำหรับการผ่อนคลายการควบคุมทางการเงินอย่างระมัดระวัง

 

การที่หน่วยงานต่างๆของจีนยังคงควบคุมตลาดการเงิน เช่น ตลาดซื้อขายเงินตราต่างประทศค่อนข้างมาก หมายความว่าจีนยังไม่ได้เปิดเสรีบัญชีทุน แต่มีการเปิดเสรีเฉพาะบัญชีเดินสะพัดเท่านั้น เงินทุนจากต่างประเทศจึงยังไม่สามารถเคลื่อนย้ายเข้าและออกจากจีนได้อย่างเสรีเหมือนประเทศอื่นๆที่มีการเปิดเสรีบัญชีทุนแล้ว และการเปิดเสรีบัญชีทุนนี้นับเป็นเงื่อนไขสำคัญในการเป็นสกุลเงินสำรองของโลก นั่นทำให้แนวคิดในการทำให้เงินหยวนเป็นหนึ่งในเงินสกุลสำรองที่สำคัญของโลก ถึงขนาดที่เทียบรุ่นขึ้นมาแทนที่ดอลลาร์สหรัฐ ดูจะเป็นเรื่องที่ไกลเกินเอื้อมสำหรับจีนในขณะนี้

 

แม้มีสัญญาณเริ่มต้นที่ดีสำหรับเงินหยวนในระบบการค้าระหว่างประเทศ โดยเงินหยวนเป็นสกุลเงินที่ได้รับความนิยมในตลาดการเงินมากขึ้น แต่การที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของจีนยังคงคุมเข้มอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนทำให้ยังเป็นอุปสรรคสำคัญในที่เงินหยวนจะได้รับการยอมรับในวงกว้าง เนื่องจากการเคลื่อนไหวของเงินหยวนไม่เป็นไปตามกลไกตลาดอย่างที่ควรจะเป็น

 

โจทย์สำคัญและไม่ง่ายนักที่จีนต้องขบคิดก็คือ จีนจะกล้าปล่อยให้เงินหยวนมีการปรับตัวตามแรงผลักดันของตลาดและอนุญาตให้มีการเปิดเสรีบัญชีทุนหรือไม่ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการผลักดันเงินหยวนสู่เวทีโลก เพราะหากจีนกล้าเสี่ยงเช่นนั้น จีนก็ต้องยอมรับผลที่จะเกิดขั้นนั้นก็คือเงินทุนที่ไหลเข้าออกจีนอาจจะผันผวนตามการคาดการณ์ทิศทางอัตราแลกเปลี่ยน อันจะนำมาซึ่งความเปราะบางและความอ่อนไหวของเศรษฐกิจจีนต่อปัจจัยต่างๆในตลาดโลก และทำให้จีนดำเนินนโยบายเศรษฐกิจได้ยากขึ้น แต่ก็มีประโยชน์ที่จีนจะได้รับ ถ้าเงินหยวนเป็นสกุลเงินสำรองของโลก ซึ่งจะช่วยลดความจำเป็นในการที่จีนต้องถือครองทุนสำรองในรูปของสินทรัพย์สกุลดอลลาร์ โดยจะลดความเสี่ยงจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ ขณะเดียวกันสถานภาพและอิทธิพลของจีนในระบบเศรษฐกิจโลกก็จะได้รับการยกระดับขึ้นอีกขั้นหนึ่ง... และทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่จีนต้องชั่งน้ำหนักความสำคัญ แต่ท้ายที่สุดจีนก็คงเลี่ยงไม่ได้ว่าจะต้อง “เลือก" หรือยอม “แลก"!!!

 

--อินโฟเควสท์ โดย พันธุ์ทิพย์ คำเพิ่มพูล/รัตนา

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ผมก็แย่เหมือนกันครับ ติดดอยที่ V

 

ดอยด้วยคนครับ หนาวสุดๆๆ จะขึ้นมารับไหมนี่...

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ดอลลาร์เคลื่อนไหวเหนือระดับ 76 เยน ขณะกระแสวิตกการแทรกแซงตลาดคลี่คลาย

 

 

ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 24 สิงหาคม 2554 12:34:46 น.

เงินดอลลาร์สหรัฐเคลื่อนไหวอยู่เหนือระดับ 76 เยนในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตราโตเกียววันนี้ เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ว่าญี่ปุ่นจะเข้าแทรกแซงตลาดด้วยการเทขายเงินเยนนั้น เริ่มคลี่คลายลง และตลาดก็ไม่มีปฏิกิริยาต่อกรณีที่รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศมาตรการใหม่เพื่อบรรเทาผลกระทบการแข็งค่าของเงินเยน

 

 

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวที่ระดับ 76.61- 76.67 เยน เมื่อเทียบกับระดับ 76.60 - 76.70 เยนที่ตลาดนิวยอร์ก และ 76.64 - 76.66 เยนที่ตลาดโตเกียว ณ เวลา 17:00 น.ของเมื่อวานนี้

 

เงินยูโรซื้อขายที่ระดับ 1.4394 - 1.4395 ดอลลาร์ และ 110.30 - 110.32 เยนเมื่อเทียบกับระดับ 1.4437 - 1.4447 ดอลลาร์ และ 110.66 - 110.76 เยนที่ตลาดนิวยอร์ก และ 1.4464 - 1.4466 ดอลลาร์ และ 110.85 - 110.89 เยนที่ตลาดโตเกียวเมื่อบ่ายวานนี้

 

โดยก่อนหน้านี้ เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า รัฐบาลญี่ปุ่นอาจแทรกแซงตลาดหลังมีรายงานว่า นายโยชิฮิโกะ โนดะ รัฐมนตรีคลังญี่ปุ่นจะจัดการประชุมเพื่อชี้แจงถึงการรับมือการแข็งค่าของเงินเยนเมื่อช่วงที่ผ่านมา แต่เขากลับไม่ได้ระบุถึงความเป็นไปได้ในการเข้าแทรกแซงตลาดด้วยการเทขายเงินเยนในเร็วๆนี้ หากแต่ประกาศเปิดตัวโครงการมูลค่า 1 แสนล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนให้บริษัทเอกชนญี่ปุ่นแลกเปลี่ยนเงินเยนกับสกุลเงินของประเทศอื่นๆ ซึ่งกระตุ้นให้นักลงทุนในตลาดหลายรายเข้าซื้อคืนเงินเยน

 

ขณะเดียวกัน เช้าวันนี้มูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือพันธบัตรของรัฐบาลญี่ปุ่นลง 1 ขั้น สู่ระดับ Aa3 จากระดับ Aa2 ซึ่งทำให้เงินเยนอ่อนค่าลงเล็กน้อย

 

อย่างไรก็ตาม มาซายูกิ โฮชินะ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากบริษัทหลักทรัพย์โอกาซาน ซีเคียวริตี้ กล่าวว่า ตลาดเงินมีปฏิกิริยาเพียงเล็กน้อยต่อความเคลื่อนไหวดังกล่าว เพราะเป็นสิ่งที่คาดการณ์ไว้แล้ว

 

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย อรษา สงค์พูล/รัตนา โ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดี จ้า

 

ตอนนี้ sto ราย 4 ทำท่ากลับตัวแล้ว รอลุ้นจะขึ้นถึงไหนต้องมาลุ้น rsi ยังไม่มีแรงเท่าไรนะ ไว้ว่างๆก่อนจะมาหาแนวรับให้ แต่ตอนนี้เตรียมจัดพอร์ทไว้รับมือถ้าหล่น จริง

 

post-21-094975900 1314177388.gif

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สรุปราคาซื้อขายทองคำ และ Gold Futures ภายในประเทศ ณ วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554 เวลา 09.00 น.

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ ThaiPR.net -- พุธที่ 24 สิงหาคม 2554 13:14:34 น.

กรุงเทพฯ--24 ส.ค.--เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์

ทิศทางราคาทองคำ

ราคาทองคำเปิดตลาดที่ระดับ 1897 เหรียญ/ออนซ์ ค่าเงินบาท 29.79 บาท/ดอลลาร์ กับ 29.82 บาท/ดอลลาร์

 

ราคาสมาคมเปิดที่ 26750 บาท กับ 26850 บาท และกลับมาปิดที่ 26600 บาท กับ 26700 บาทปริมาณการซื้อขาย Gold Futures 50 บาท อยู่ที่ 37959 คู่สัญญา แบบ 10 บาท อยู่ที่ 36212 คู่สัญญา และ Silver Futures อยู่ที่ 996 คู่สัญญา Open Interest แบบ 50 บาท เพิ่มขึ้น 7 % แบบ 10 บาท เพิ่มขึ้น 9 % และ Silver Futures Open Interest เพิ่มขึ้น 14 % GFQ11 เปิดที่ 26740 บาท และ GFV11 เปิดที่ 27850 บาท และGF10Q11 เปิดที่ 26750 บาท และGF10V11 เปิดที่ 27860 บาท SVQ11 เปิดที่ 1290 บาท

 

 

 

สัญญา Comex ปิดลดลง 30.6 ดอลลาร์ ปิดที่ระดับ 1861.3 ดอลลาร์/ออนซ์ Silver ปิดลดลง 1.034 เหรียญ ปิดที่ระดับ 42.291 ดอลลาร์/ออนซ์ SPDR ถือครอง 1259.569 ตัน ( ขายออก 24.8 ตัน) น้ำมัน NYMEX ปิดเพิ่มขึ้น 1.02 ดอลลาร์ ปิดที่ระดับ 85.44 ดอลลาร์/บาร์เรล ดาวโจนส์ปิดบวก 322.11 จุด ปิดที่ระดับ 11176.76 จุด Ratio Gold / Silver เท่ากับ44 ต่อ 1

 

ข่าวสำคัญ

- มูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ของรัฐบาลญี่ปุ่นลง 1 ขั้น สู่ระดับ Aa3 โดยระบุว่ารัฐบาลญี่ปุ่นมียอดขาดดุลงบประมาณในระดับที่สูงมาก ซึ่งทำให้รัฐบาลเผชิญกับปัญหาหนี้สินที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2552

 

- ไมค์ ดาลีย์ นักวิเคราะห์ด้านทองคำจากบริษัทพีเอฟจีเบสท์ กรุ๊ป ในเมืองชิคาโกกล่าวว่า นักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากสัญญาทองคำพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันจันทร์ นอกจากนี้ ข้อมูลในภาคการผลิตที่แข็งแกร่งของจีนและเยอรมนี ยังเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนลดการถือครองทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาดูการประชุมธนาคารกลางโลกซึ่งจะมีขึ้นที่รัฐไวโอมิงในวันศุกร์นี้ โดยมีการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะส่งสัญญาณการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ในการประชุมครั้งนี้ด้วย

 

ตัวเลขที่สำคัญที่ต้องติดตาม

- Core Durable Goods Orders m/m เดิมอยู่ที่ระดับ 0.4% นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ระดับ - 0.3%

 

- Durable Goods Orders m/m เดิมอยู่ที่ระดับ 1.9% นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ระดับ 2.1%

 

วิเคราะห์ทางเทคนิค

ทองคำ — ราคาทองคำปรับตัวลดลงในตลาดเอเชีย และComexอย่างต่อเนื่องหลังจากแตะที่ระดับ 1900 เหรียญ โดยที่ราคาทองคำขึ้นไปชนแนวต้านจิตวิทยาที่สำคัญที่ระดับ 1912 เหรียญ และเมื่อคืนทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1822 เหรียญ เช้านี้อยู่ที่ระดับ 1853 เหรียญ ราคาทองคำดูจะเข้าสู่ช่วงการปรับฐานทำกำไรควรปิดทำกำไรมากกว่าเปิด Position เพิ่มโดยมีแนวรับที่ระดับ 1820 เหรียญ เเละแนวต้านที่ระดับ 1880 เหรียญ ภาพรวมเป็นการปรับฐานระยะสั้นๆโอกาสที่ราคาจะปรับขึ้นไป 1900 เหรียญ ในเร็วๆอาจเป็นไปได้ยาก คาดว่าเป็นการสะสมพลังไปก่อน

 

Silver — ปรับตัวลดลงเช่นเดียวกัน โดยมีแนวรับที่ระดับ 41.3 เหรียญ และมีแนวต้านที่ระดับ 43.5 เหรียญ

 

ราคาทองคำแท่งของไทย ปิดตลาดที่ระดับ 26600 บาท และ 26700 บาท Spot ปิดตลาดที่ระดับ 1880 เหรียญ

 

ราคาทองคำแท่งของไทย จะมีแนวรับสำคัญอยู่ที่ระดับ 26300 บาท และมีแนวต้านสำคัญอยู่ที่ระดับ 26500บาท

 

Gold Futures Q11 จะมีแนวรับที่ระดับ 26400 บาท และแนวต้านที่ระดับ 26600 บาท

Gold Futures V11 จะมีแนวรับที่ระดับ 27450 บาท และแนวต้านที่ระดับ 27700 บาท

Silver Futures Q11 จะมีแนวรับที่ระดับ 1270 บาท และแนวต้านที่ระดับ 1320 บาท

MARKET RECOMMEND

คำแนะนำ การลงทุน Gold(ทองคำ)

Daily - เก็งกำไรในภาวการณ์การแกว่งตัวเชื่อว่าราคาทองคำน่าจะแกว่งตัวช่วง1835 — 1860 เหรียญ ขอให้ระมัดระวังการแกว่งตัวในทิศทางขาลง

 

Weekly - ขายทำกำไรให้หมด รอจังหวะช้อนซื้อบริเวณแนวรับสำคัญเท่านั้น ถือครองพอร์ทที่ 5% เท่านั้น

 

Monthly - รอช้อนซื้อบริเวณแนวรับเท่านั้น ถือครองพอร์ทที่ 0%

สรุปได้ว่า เชื่อว่าทองคำยังเข้าสู่ทิศทางปรับฐานทำกำไร ไม่ควรเข้าช้อนซื้อมากนัก นักลงทุนที่ถือ Long Position มากกว่า70 % ควรพิจารณาขายทำกำไรไปบ้าง ให้ระมัดระวังการแกว่งตัวอย่างมากเช่นเดียวกับเมื่อวาน

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...