ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

10255120_699693740086412_1023714168408802594_n.jpg

ตะลุบ ตุบป่อง

สวัสดี วันหยุด คุณๆ เพื่อน ทุกคน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อุตุฯเผยรามสูรอ่อนกำลังเป็นดีเปรสชั่นแล้ว เตือน25จว.ยังมีฝนตกหนัก-ลมแรง

 

 

ข่าวทั่วไป สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม 2557 10:03:43 น.

กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศ "พายุ รามสูร" ฉบับที่ 16 ลงวันที่ 20 กรกฎาคม 2557 เมื่อเวลา 04.00 น.ของวันนี้ พายุโซนร้อน "รามสูร" บริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชั่นแล้ว และคาดว่าจะอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำตามลำดับในระยะต่อไป

สำหรับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ยังคงมีกำลังแรง ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบน และภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนโดยทั่วไป กับมีฝนตกหนักและลมแรงบางพื้นที่ บริเวณจังหวัดเลย หนองคาย บึงกาฬ อุดรธานี หนองบัวลำภู สกลนคร นครพนม มุกดาหาร ศรีสะเกษ อุบลราชธานี เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ พิษณุโลก อุตรดิตถ์ ตาก เพชรบูรณ์ จันทบุรี ตราด ระนอง และพังงา ขอให้ประชาชนในบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยในจังหวัดดังกล่าว เตรียมการป้องกัน ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนตกสะสมต่อเนื่อง อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันน้ำป่าไหลหลาก

ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน และอ่าวไทยตอนบน จะมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2 - 4 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบน ควรงดออกจากฝั่งไว้ด้วย

อินโฟเควสท์ โดย จำเนียร พรทวีทรัพย์ โทร.02-2535000 อีเมล์: jumnain@infoquest.co.th--

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันที่ 18 กรกฎาคม 2557 10:16

 

เบื้องลึก!คาดปมจีทูจีลวงโลกมัดยิ่งลักษณ์

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 

 

 

 

news_img_593815_1.jpg

 

ฟันอาญา"ยิ่งลักษณ์"จำนำข้าว มติปปช.7:0ส่งอัยการฟ้องคดี 'สมพร'คาดปมจีทูจีลวงโลกมัดยิ่งลักษณ์

 

ป.ป.ช.ลงมติเอกฉันท์ฟ้องอาญา "ยิ่งลักษณ์" มีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบในโครงการรับจำนำข้าว ระบุเป็นหัวหน้ารัฐบาล รับทราบปัญหาทุกอย่างและมีอำนาจยับยั้งแต่กลับไม่ทำ เตรียมส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดสัปดาห์หน้าเพื่อยื่นฟ้องศาลฎีกานักการเมือง ประเมินโครงการเสียหายไม่น้อยกว่า 5 แสนล้านบาท "นักวิชาการ"ชี้ปมทุจริตใหญ่สุดในขั้นตอนการระบายข้าว คาดปมจีทูจีเก๊ มัดอดีตนายกฯปฏิเสธความรับผิดชอบยาก "วรงค์"มั่นใจดิ้นไม่หลุด

หลังจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ได้ชี้มูลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในโครงการจำนำข้าว และได้เริ่มไต่สวนเพื่อตั้งข้อกล่าวหาในคดีอาญามาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ อดีตนายกฯกระทำผิดต่อหน้าที่และตำแหน่งในกระบวนการกฎหมายอาญาและกฎหมายของป.ป.ช.

นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกป.ป.ช. แถลงเมื่อวานนี้ (17 ก.ค.) ว่า จากการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ในคดีที่กล่าวหา นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวนั้น

ป.ป.ช.มีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 0 เห็นว่ามีความจริงในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1

ชี้ยิ่งลักษณ์ทราบทุจริตแต่ไม่ยุติโครงการ

นายวิชา กล่าวว่า มติเสียงข้างมากเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นหัวหน้ารัฐบาล ซึ่งกำหนดนโยบายนี้มาตั้งแต่ต้น และเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ได้กำหนดราคารับจำนำสูงกว่าราคาตลาด เมื่อมีการระบายข้าวที่รับจำนำได้เกิดผลขาดทุนจำนวนมาก และเกิดการทุจริตในทุกขั้นตอน

อีกทั้งยังปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีชาวนาที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวนับล้านครอบครัวที่ยังไม่ได้รับเงิน ทำให้ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย หลายรายถึงกับฆ่าตัวตาย จึงเป็นกรณีจำเป็นที่ผู้ถูกกล่าวหาในฐานะนายกรัฐมนตรีจะต้องพิจารณายับยั้งโครงการตั้งแต่เริ่มรับทราบว่ามีการทุจริต แต่ผู้ถูกกล่าวหากลับยืนยันที่จะดำเนินโครงการรับจำนำข้าวต่อไป

นายวิชา กล่าวด้วยว่า ในสัปดาห์หน้าจะส่งรายงานและเอกสารพร้อมความเห็นทั้งหมดไปให้อัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป

ประเมินโครงการเสียหาย 5 แสนล้าน

นายวิชา กล่าวต่อว่า ความเสียหายในโครงการนี้ไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท และการที่ออกมาแถลงชี้มูลความผิดนางสาวยิ่งลักษณ์ โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับกรณีที่อดีตนายกฯ จะเดินทางไปต่างประเทศ เนื่องจากเรื่องดังกล่าวเป็นหน้าที่ของคสช.ที่จะพิจารณา

นายวิชา กล่าวอีกว่า จากเดิมกำหนดการที่ป.ป.ช.ประกาศจะชี้มูลความผิดกรณีโครงการรับจำนำข้าวทั้งหมด ที่ระบุว่าไม่เกินเดือนก.ย.นั้น เป็นกรณีที่มีผู้เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นที่นอกเหนือจากนางสาวยิ่งลักษณ์ เช่น อดีตรัฐมนตรีพาณิชย์ นายบุญทรง เตริยาภิรมณ์ และบุคคลอื่นๆ แต่ในครั้งนี้เป็นการพิจารณาเฉพาะในกรณีของนางสาวยิ่งลักษณ์ เนื่องจากได้ไต่สวนข้อมูลข้อเท็จจริงและมีหลักฐานครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว หลังจากนี้จะส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุดในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้หากอัยการสูงสุดมีความเห็นไม่ตรงกับความเห็นที่ป.ป.ช.ดำเนินการส่งไป ทางอัยการสูงสุดก็สามารถตั้งคณะกรรมการร่วมขึ้นพิจารณาได้

อย่างไรก็ตามนายวิชา ยังกล่าวอีกว่า คดีอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับนางสาวยิ่งลักษณ์ ที่ยังคงค้างและอยู่ระหว่างการดำเนินการไต่สวนของป.ป.ช.มีทั้งสิ้น 35 คดี

"นิพนธ์"ย้ำจำนำข้าวทุจริตทุกขั้นตอน

นายนิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ให้สัมภาษณ์ "เนชั่นทีวี" ถึงความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว ซึ่ง ป.ป.ช.ระบุตัวเลขสูงถึงกว่า 5 แสนล้านบาทว่า การประมาณการตัวเลขมูลค่าความเสียหายในโครงการ เป็นเรื่องค่อนข้างลำบาก เพราะข้อมูลการจดทะเบียนชาวนาที่เข้าร่วมโครงการ การสวมสิทธิ์ของชาวนา หรือที่ผ่านมาโรงสีต่างๆ แอบซื้อขายข้าวในโครงการไปเป็นจำนวนสุทธิเท่าไร ไม่มีทางหาตัวเลขได้ เพราะเป็นพฤติกรรมการกระทำผิดแบบย่อยๆ

ทั้งนี้ ข้อมูลสำคัญคือเรื่องการระบายข้าว เพราะเป็นอำนาจโดยตรงของรัฐมนตรีบางคน และมีความเป็นไปได้ที่นักการเมืองกับข้าราชการกลุ่มหนึ่ง ที่ไม่ได้มีอำนาจโดยตรง แต่สามารถเข้าไปเกี่ยวข้อง ร่วมทุจริตในบางขั้นตอนของโครงการได้ แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้ข้อมูลที่ชัดเจน เพราะการทุจริตเป็นการจ่ายเงินสด ไม่ผ่านธนาคาร ไม่มีใบเสร็จ และถ้าคนรับเงินไม่ซัดทอดก็ยิ่งเป็นเรื่องยาก

ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดว่าคดีนี้เมื่อไปถึงศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะมีหลักฐานมัดแน่นหรือไม่ นายนิพนธ์ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับการพิสูจน์พยานหลักฐานว่ามีความชัดเจนเพียงใด โดยเฉพาะการชี้ว่ามีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และสามารถระบุมูลค่าความเสียหายได้มากน้อยแค่ไหน ทั้งหมดขึ้นอยู่กับศาลที่จะวินิจฉัย

"สมพร"คาดปมจีทูจีลวงโลกมัดยิ่งลักษณ์

นายสมพร อิศวิลานนท์ นักวิชาการอาวุโสสถาบันคลังสมองของชาติ กล่าวว่าป.ป.ช.ได้พิจารณาจากพยานหลักฐานและความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยตัวเลขความเสียหายในโครงการ ที่ ป.ป.ช.ระบุว่าประมาณ 5 แสนล้านบาท เป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับนักวิชาการ ได้ออกมาให้ข้อมูลก่อนหน้านี้ โดยคำนวณจากต้นทุนการรับซื้อข้าวและต้นทุนการบริหารจัดการข้าวในสต็อกของรัฐบาล ซึ่งมีต้นทุนสูงถึงตันละ 23,000 บาท แต่ระบายข้าวออกไปได้ในราคาเฉลี่ยเพียงตันละ 12,000 บาทเท่านั้น ก่อให้เกิดความเสียหายจากการขาดทุนสูงมาก

นอกจากนั้นการตัดสินของ ป.ป.ช.ในครั้งนี้ที่เจาะจงไปที่ความผิดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ น่าจะเกิดจากความผิดเกี่ยวข้องกับเรื่องนโยบาย โดยเฉพาะการระบายข้าว เนื่องจาก ป.ป.ช.มีหลักฐานเส้นทางทางการเงินที่บ่งชี้ว่าการระบายข้าวไม่ได้เป็นการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) แต่เป็นการระบายข้าวในประเทศ ซึ่งเป็นการส่อเจตนาไปทางทุจริตในการระบายข้าวที่เอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้อง จนเกิดความเสียหายต่อรัฐ ซึ่งอดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้ เนื่องจากเรื่องนี้เป็นการทุจริตและเป็นคดีอาญา

จี้ฟันข้าราชการ-เอกชน-ที่ปรึกษา

อย่างไรก็ตามคาดว่าหลังจากนี้การดำเนินการเอาผิด กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าว กระบวนการทางกฎหมาย จะต้องนำผู้ที่เกี่ยวข้องในระดับปฏิบัติมาลงโทษทั้ง นักการเมือง ข้าราชการ เอกชน รวมทั้งนักวิชาการที่ปรึกษารัฐบาลที่เป็นคนให้ข้อมูลสนับสนุนโครงการรับจำนำข้าวมาโดยตลอดควรจะต้องมีส่วนรับผิดชอบในความเสียหายของโครงการนี้ด้วย

“โครงการรับจำนำข้าวเริ่มต้นโดยหลักคิดที่ผิด เพราะยกระดับราคาข้าวจากตันละ 10,000 บาท ขึ้นไปเป็น 15,000 บาท แล้วเอาข้าวไปเก็บไว้ในโกดังแทบไม่มีการระบายส่งออก ซึ่งทางเศรษฐศาสตร์ก็รู้ว่าหายนะ จะเกิดขึ้น แล้วผลที่ออกมาก็เป็นไปตามนั้น ดังนั้นผมมองว่าทุกคนที่มีส่วนสนับสนุนนโยบายนี้ทั้งนักวิชาการ นักการเมือง ข้าราชการระดับปลัดกระทรวง ที่มีส่วนในการบริหารจนเกิดความเสียหาย ก็ต้องมีส่วนในการรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นในทางใดทางหนึ่ง” นายสมพรกล่าว

"วรงค์"มั่นใจ"ยิ่งลักษณ์"ดิ้นไม่หลุด

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ผู้ที่เปิดข้อมูลทุจริตจำนำข้าวในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ และยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.ไต่สวนความผิด กล่าวว่า ตอนยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.นั้น เป็นคดีรัฐบาลขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) โดยมิชอบ แต่ช่วงนั้น ป.ป.ช.มีหลายคดีที่เกี่ยวข้อง จึงแยกออกเป็น 2 ส่วน

ส่วนแรกเป็นเรื่องที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ปล่อยปละละเลยให้มีการกระทำผิด (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157) ส่วนที่สองเป็นเรื่องการทุจริตของ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และพวก

ในส่วนของ นางสาวยิ่งลักษณ์ มีเอกสารยืนยันว่ารับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นในโครงการรับจำนำข้าวตลอดเวลา ในการชี้แจงของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ต่อ ป.ป.ช.ในขั้นไต่สวน ก็ยังรับแทนนายบุญทรงด้วย ตอนนั้นจำได้ว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชี้แจงผิดๆ ถูกๆ นั่นก็แสดงให้เห็นว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ปล่อยให้มีการทุจริตจนทำลายกลไกตลาด สร้างความเสียหายให้กับโครงการรับจำนำข้าว

"ผมจำได้ว่าเคยเป็นพยานการทุจริต และเตือนหลายรอบว่าโครงการรับจำนำข้าวมีการทุจริตทุกขั้นตอน ขอให้ตัดสินใจยุติโครงการ แต่คุณยิ่งลักษณ์กลับนิ่งเฉยปล่อยให้มีข้าวเน่า ข้าวเหลือง จนมาถึงตอนที่ตรวจสอบโกดังข้าว ก็พบว่าข้าวในโกดังเสียหายตามที่เคยเตือน" นายวรงค์ กล่าว และว่า มั่นใจ 100% ว่าจะสามารถเอาผิดกับ นางสาวยิ่งลักษณ์ ได้ เพราะในช่วงที่ดำเนินการตรวจสอบและไต่สวนมาตลอด 2-3 ปี คนของรัฐบาลไม่เคยแก้ข้อกล่าวหาได้เลย

Tags : ป.ป.ช.จีทูจีวิชา มหาคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนิพนธ์ พัวพงศกรสมพร อิศวิลานนท์นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม คาดหุ้นปลายปีแตะ1,600จุด บล.ไทยพาณิชย์ มองหุ้นปลายปี 57 แตะ 1,600 จุด จับตาเฟดขึ้นดอกเบี้ย เชื่อครึ่งปีหลังปัจจัยบวกมากกว่าลบ สศช.เตรียมทบทวนเศรษฐกิจไทยปี57ใหม่ สศช.เตรียมทบทวนภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 57 ใหม่ โดยมีแนวโน้มปรับอัตราการขยายตัวดีขึ้นจากเดิม บล.ไทยพาณิชย์มองหุ้นปลายปีแตะ1,600จุด บล.ไทยพาณิชย์ มองหุ้นปลายปี 57 แตะ 1,600 จุด จับตาเฟดขึ้นดอกเบี้ย เชื่อครึ่งปีหลังปัจจัยบวกมากกว่าลบ กสิกรชี้คสช.คงVATช่วยหนุนศก.ฟื้น คาดสัปดาห์หน้าเงินบาทแกว่ง32.00/30 คาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้าผันผวน คาดวอลุ่มครึ่งปีหลังแตะ4.5หมื่นล.

ดูข่าว ทั้งหมด icon-arrow-gray.gif

 

 

 

 

ข่าวยอดนิยม

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ธปท.วิจัยพบคนอีสาน-เหนือหนี้ครัวเรือนพุ่งสูง น่าเป็นห่วงโดยเฉพาะคนที่อยู่นอกภาคเกษตร

 

นายพิชิต ภัทรวิมลพร ผอ.ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปิดเผยว่า ทางธปท.อีสาน ได้จัดสัมมนาวิชาการเรื่อง “ปัญหาและทางออกหนี้ครัวเรือนไทย” เพื่อนำเสนอผลการศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทั้ง 3 สำนักงานภาค ได้แก่ สำนักงานภาคเหนือสำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และสำนักงานภาคใต้ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ณ โรงแรมเซ็นทาราคอนเวนชันเซ็นเตอร์ จ.อุดรธานี โดยพบว่า ภาวะหนี้ครัวเรือนไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง และเกิดขึ้นทั่วไปแต่มีความหนักเบาแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ โดยครัวเรือนภาคใต้มีภาระหนี้ต่ำที่สุดและยังไม่น่ากังวล ขณะที่ครัวเรือนภาคอีสานและภาคเหนือมีภาระหนี้ค่อนข้างสูง และมีแนวโน้มที่น่าห่วงมากขึ้น โดยกลุ่มอาชีพนอกภาคเกษตรมีหนี้สูง เนื่องจากกระแสการบริโภคนิยม ขณะที่ครัวเรือนภาคเกษตรมีหนี้สูงจากรายได้ต่ำ เพราะการผลิตพึ่งพาสภาพดิน ฟ้า อากาศที่มีความไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม ภาระหนี้ครัวเรือนเกษตรของภาคใต้ในอีกระยะ 4-5 ปีข้างหน้า มีโอกาสเกิดความเสี่ยงมากขึ้น จากราคาสินค้าเกษตรสำคัญ ได้แก่ ยางพารา หรือปาล์มน้ำมันอาจมีแนวโน้มลดลง

สำหรับประสบการณ์ที่เป็นทางออกของปัญหาหนี้ในส่วนครัวเรือนภาคเกษตร คือ 1) เพิ่มรายได้ โดยการลดความเสี่ยงจากการผลิตพืชหลายๆ อย่าง การนำเทคโนโลยีมาใช้ปรับปรุงผลิตภาพการผลิต การจับกระแสสังคมของผู้บริโภค รวมถึงการผสมผสานระหว่างการขยายพื้นที่เพาะปลูก การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ และการลดต้นทุน 2) ลดรายจ่าย โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้อดออมมากขึ้น 3) ทั้งเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายโดยการรวมกลุ่มเพื่อสร้างความเข้มแข็งทางการเงินของชุมชน ส่วนครัวเรือนนอกภาคเกษตร คือ 1) เพิ่มรายได้ โดยอาศัยความรู้และช่องทางการตลาด 2) ลดรายจ่าย โดยเปลี่ยนจากหนี้นอกระบบเป็นหนี้ในระบบ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าความสำเร็จในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนทั้งภาคเกษตรและนอกภาคเกษตร มีวิธีการที่แตกต่างกัน

แต่มีสิ่งหนึ่งที่สำคัญเหมือนกัน คือ ครัวเรือนมีการวางแผนทางการเงิน ซึ่งอยู่บนฐานของความรู้ทางการเงิน และเครื่องมือที่สำคัญ คือ การบันทึกบัญชีรายรับ-รายจ่ายของครัวเรือน

นอกจากนั้น ผลการศึกษามีข้อเสนอแนะเพื่อเป็นทางออกของหนี้ครัวเรือน คือ การยกระดับรายได้ โดยการปรับเปลี่ยนการผลิตให้มีความหลากหลาย การปรับปรุงวิธีการผลิตอย่างผสมผสาน และการหาช่องทางการตลาดเพื่อเพิ่มยอดขาย การส่งเสริมวินัยในการออมไม่ใช้จ่ายเกินความจำเป็น และการลดกระแสการบริโภคนิยม โดยอาศัยหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง นอกจากนี้ จากประสบการณ์ของผู้ที่ประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนทั้งภาคเกษตรและนอกภาคเกษตรมาจากการวางแผนทางการเงินที่ดี โดยใช้ทักษะความรู้ทางการเงิน และที่สำคัญคือการบันทึกบัญชีครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้น มาตรการสนับสนุนของภาครัฐควรดำเนินการอย่างเหมาะสม มุ่งเน้นให้มีการปรับตัว มีวินัย มีความรู้ อดออม และลงทุนอย่างชาญฉลาด เพื่อยกระดับรายได้และความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะปลูกฝังการจัดทำบัญชีครัวเรือนเพื่อสร้างวินัยให้ตระหนักถึงความสำคัญของการลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น

"สำหรับ ธปท. โดยศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) ร่วมกับส่วนคุ้มครองและให้ความรู้ผู้ใช้บริการทางการเงินของสำนักงานภาคต่างๆ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการให้ความรู้ทางการเงิน ที่จะเป็นเข็มทิศชี้นำให้ประชาชนสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงิน รวมถึงส่งเสริมให้ครัวเรือนได้รับความรู้ความเข้าใจทางการเงินให้สามารถบริหารการเงินและหนี้สินของตนเองได้อย่างเหมาะสม รู้จักวางแผนและบริหารจัดการทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ และได้จัดโครงการ “ปลุกคนไทย มีวินัยทางการเงิน” เพื่อกระตุ้นให้เห็นความสำคัญของการจัดสรรเงินให้เหมาะสมเพื่อไม่ต้องแบกภาระหนี้ด้วย ทั้งนี้ แนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน หากสามารถดำเนินการดังที่กล่าวอย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่องแล้ว ปัญหาหนี้ในสังคมไทยจะบรรเทาลงหรือหมดไป เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืนของไทยต่อไป"นายพิชิต กล่าว

Tags : อีสานหนี้ครัวเรือนธปท.ภาคเหนือเกษตร

รัฐบาลฟิลิปปินส์สั่งอพยพคนของตัวเองออกจากฉนวนกาซา ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งขึ้นเป็น 324 คน ในช่วง 12 วัน

 

กระทรวงสารนิเทศฟิลิปปินส์ออกแถลงการณ์วานนี้ (19 ก.ค.) ว่าภัยคุกคามด้านความมั่นคงที่ชาวฟิลิปปินส์ในฉนวนกาซาได้รับมีความรุนแรงอยู่ในระดับ 4 ซึ่งหมายความว่า ชาวฟิลิปปินส์ราว 109 คนได้รับคำสั่งให้อพยพออกโดยมีเจ้าหน้าที่สถานทูตฟิลิปปินส์ในกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ กรุงเทลอาวีฟของอิสราเอล และกรุงอัมมาน ประเทศจอร์แดน คอยให้ความช่วยเหลือร่วมกับองค์การสหประชาชาติ หรือยูเอ็น

นอกจากนี้ ทางการฟิลิปปินส์ยังสั่งให้พลเมืองของตัวเองกว่า 36,000 คนที่ทำงานอยู่ในอิสราเอลหลีกเลี่ยงไม่เข้าไปในรัศมี 15 กิโลเมตรของฉนวนกาซาอีกด้วย

สำหรับตัวเลขผู้เสียชีวิตจากความขัดแย้งครั้งล่าสุดระหว่างอิสราเอล และปาเลสไตน์ที่ดำเนินมาเป็นเวลา 12 วันแล้วนั้น เฉพาะในวันเสาร์วันเดียวก็มีผู้เสียชีวิตถึงกว่า 20 คน ทำให้ยอดรวมพุ่งขึ้นไปเป็น 324 คนแล้ว ขณะที่กองทัพอิสราเอลยังคงเดินหน้าใช้ปฏิบัติการภาคพื้นกวาดล้างกลุ่มติดอาวุธฮามาสในฉนวนกาซาต่อไปโดยไม่สนใจเสียงเรียกร้องจากนานาชาติให้ยุติความรุนแรงที่มีผู้บริสุทธิ์ โดยเฉพาะเด็ก เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

Tags : ฟิลิปปินส์ประชาชนอพยพฉนวนกาซา

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

10557007_718911978205755_6685863193514026654_o.jpg

สวัสดีวันจันทร์

 

World Markets: สรุปภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 21 กรกฎาคม 2557 06:15:00 น.

ดัชนีและภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ ประจำวันที่ 18 ก.ค. 2557

-- ดัชนีดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้นเมื่อวันศุกร์ (18 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในต่างประเทศ รวมถึงเหตุการณ์เครื่องบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ตกในยูเครน และเหตุการณ์สู้รบในฉนวนกาซา นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกูเกิล

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,100.18 จุด พุ่งขึ้น 123.37 จุด หรือ +0.73% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,432.15 จุด เพิ่มขึ้น 68.70 จุด หรือ +1.57% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,978.22 จุด เพิ่มขึ้น 20.10 จุด หรือ +1.03%

-- ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อวันศุกร์ (18 ก.ค.) เพราะได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มสายการบิน อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับข่าวเครื่องบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ ถูกยิงตกในยูเครน

ดัชนี Stoxx 600 ปรับตัวลง 0.1% ปิดที่ 339.66 จุด

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 9,720.02 จุด ลดลง 33.86 จุด หรือ -0.35% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,335.31 จุด เพิ่มขึ้น 19.19 จุด หรือ +0.44% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,749.45 จุด เพิ่มขึ้น 11.13 จุด หรือ +0.17%

-- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อวันศุกร์ (18 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากสัญญาทองคำพุ่งขึ้นแข็งแกร่งเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา อันเป็นผลมาจากความตื่นตระหนักเกี่ยวกับข่าวเครื่องบินของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ ถูกยิงตกในยูเครน

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ร่วงลง 7.5 ดอลลาร์ หรือ 0.57% ปิดที่ 1309.4 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ย.ปรับตัวลง 24.8 เซนต์ ปิดที่ 20.886 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค.ร่วงลง 13.8 ดอลลาร์ ปิดที่ 1489.9 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนก.ย.ร่วงลง 3.60 ดอลลาร์ ปิดที่ 881.50 ดอลลาร์/ออนซ์

-- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวลงเมื่อวันศุกร์ (18 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไร หลังจากที่คลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์เครื่องบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ถูกยิงตกในยูเครน นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐที่ปรับตัวลดลงด้วย

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค.ปรับตัวลง 6 เซนต์ ปิดที่ 103.13 ดอลลาร์/บาร์เรล

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนส.ค.ที่ตลาดลอนดอน ลดลง 65 เซนต์ ปิดที่ 107.24 ดอลลาร์/บาร์เรล

--สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (18 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเริ่มกลับเข้ามาช้อนซื้อดอลลาร์ หลังจากที่ดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์เครื่องบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ ถูกยิงตกในยูเครน

ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 101.37 เยน จากวันพฤหัสบดีที่ระดับ 101.31 เยน และแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.8980 ฟรังค์ จากระดับ 0.8976 ฟรังค์

ยูโรอ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.3526 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.3527 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.7094 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.7113 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 0.9398 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.9379 ดอลลาร์สหรัฐ

-- ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อวันศุกร์ (18 ก.ค.) เพราะได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ หลังจากมีรายงานว่าบริษัทไชร์ยอมรับข้อเสนอการซื้อกิจการจากบริษัท AbbVie

ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 6,749.45 จุด เพิ่มขึ้น 11.13 จุด หรือ +0.17%

ดัชนี DJIA ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 17,100.18 จุด เพิ่มขึ้น 123.37 จุด, +0.73%

ดัชนี NASDAQ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 4,432.15 จุด เพิ่มขึ้น 68.70 จุด, +1.57%

ดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 1,978.22 จุด เพิ่มขึ้น 20.10 จุด, +1.03%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,335.31 จุด เพิ่มขึ้น 19.19 จุด, +0.44%

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 9,720.02 จุด ลดลง 33.86 จุด, -0.35%

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,749.45 จุด เพิ่มขึ้น 11.13 จุด, +0.17%

ดัชนี SENSEX ตลาดหุ้นอินเดียปิดที่ 25,641.56 จุด เพิ่มขึ้น 80.40 จุด, +0.31%

ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ปิดที่ 3,310.53 จุด เพิ่มขึ้น 3.64 จุด, +0.11%

ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซียปิดที่ 5,087.01 จุด เพิ่มขึ้น 15.81 จุด +0.31%

ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดที่ 1,872.97 จุด ลดลง 10.17 จุด, -0.54%

ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดที่ 23,454.79 จุด ลดลง 66.08 จุด, -0.28%

ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ปิดที่ 6,853.07 จุด ลดลง 14.29 จุด, -0.21%

ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนปิดที่ 2,059.07 จุด เพิ่มขึ้น 3.48 จุด, +0.17%

ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 5,531.60 จุด เพิ่มขึ้น 9.20 จุด, +0.17%

ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดที่ 2,019.42 จุด ลดลง 1.48 จุด, -0.07%

ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดที่ 15,215.71 จุด ลดลง 154.55 จุด, -1.01%

ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันปิดที่ 9,400.97 จุด ลดลง 7.27 จุด, -0.08%

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

 

ภาวะตลาดทองแดงนิวยอร์ก: ทองแดงปิดลบ 1.1% เหตุวิตกอุปสงค์อ่อนแรง

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 21 กรกฎาคม 2557 08:26:16 น.

สัญญาทองแดงตลาดนิวยอร์กปรับตัวลดลงเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (18 ก.ค.) หลังจากจีนเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ และความวิตกเกี่ยวกับความขัดแย้งในภูมิภาคยุโรปตะวันออกที่อาจส่งผลให้อุปสงค์ทองแดงในตลาดโลกหดตัวลง

สัญญาทองแดงตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.ย. ปิดลบ 1.1% หรือ 3.60 เซนต์ ที่ 3.1845 ดอลลาร์/ปอนด์ ซึ่งเป็นสถิติต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 27 มิ.ย.

ราคาทองแดงได้รับแรงกดดันจากความวิตกเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีน ซึ่งเป็นประเทศผู้ใช้ทองแดงรายใหญ่ที่สุดในโลก ที่อาจจะชะลอตัวลงหลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยว่า ราคาบ้านในหลายเมืองของจีนยังคงอยู่ในช่วงขาลงอย่างต่อเนื่องในเดือนมิถุนายน สะท้อนให้เห็นว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซาจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง

ข้อมูลจากสำนักงานระบุว่า ราคาบ้านเฉลี่ยใน 70 เมืองปรับตัวลดลง 0.47% จากเดือนก่อน ซึ่งสูงกว่าสถิติในเดือนพฤษภาคมที่ปรับตัวลดลง 0.15%

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย เกตุ โนนทิง/รัตนา โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

 

ภาวะตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ CBOT: ธัญพืชปิดร่วง หลังข่าวเครื่องบินตกไม่กระทบตลาด

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 21 กรกฎาคม 2557 07:46:43 น.

ภาวะตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ CBOT เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (18 ก.ค.) สัญญาสินค้าโภคภัณฑ์เกษตรปรับตัวลดลง โดยสัญญาข้าวสาลีร่วงลงหนักสุด

สัญญาข้าวโพดส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 8.75 เซนต์ หรือ 2.26% ปิดที่ 3.785 ดอลลาร์/บุชเชล ขณะที่สัญญาข้าวสาลีส่งมอบเดือนก.ย.ลดลง 18.5 เซนต์ หรือ 3.36% ปิดที่ 5.3225 ดอลลาร์/บุชเชล และสัญญาถั่วเหลืองส่งมอบเดือนพ.ย.ลดลง 8.75 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 10.8525 ดอลลาร์/บุชเชล

สัญญาข้าวโพดและข้าวสาลีปิดร่วงลง หลังการซื้อขายธัญพืชในเขตทะเลดำไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุเครื่องบินของสายการบินมาเลเซียถูกยิงตก ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ตลาดร่วงลงทั้งกระดานหลังจากที่เพิ่มขึ้นก่อนหน้านี้อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์

เดอะ โกลบอล ฟอร์แคสท์ ซิสเท็ม คาดว่าคลื่นความร้อนจะไม่แผ่ปกคลุมภาคกลางของสหรัฐสหรัฐนานไปจนถึงวันที่ 3 ส.ค. และตลอดทั้งเขตมิดเวสต์จะมีระดับความชื้นที่ดีขึ้นในช่วงอีก 1 สัปดาห์หรือครึ่งเดือนถัดไป ซึ่งจะเอื้ออำนวยต่อการเติบโตของถั่วเหลือง

นักวิเคราะห์กล่าวว่า การบรรลุข้อตกลงสว็อปค่าเงินระหว่างจีนและอาร์เจนตินาเมื่อเร็วๆนี้จะไม่ส่งผลให้ทุนสำรองของธนาคารกลางอาร์เจนตินามีมูลค่าลดลง ซึ่งจะช่วยลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อของเกษตรกรอาร์เจนตินาและกระตุ้นให้เกษตรกรนำถั่วเหลืองจากสต็อกออกมาขาย ซึ่งจะส่งผลให้ราคาถั่วเหลืองปรับตัวลดลง สำนักข่าวซินหัวรายงาน

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย เกตุ โนนทิง/รัตนา โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

 

 

สหรัฐ ชี้มาเลเซียแอร์ไลน์ถูกส่องด้วยขีปนาวุธจากพื้นสู่อากาศ

ข่าวต่างประเทศ RYT9.COM -- ศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม 2557 11:30:44 น.

iq643ba059b7f5ebce32132edbe44a1702.jpg

เจ้าหน้าที่สหรัฐ ยืนยัน เครื่องบินมาเลเซียแอร์ไลน์ที่ตกในยูเครนถูกยิงด้วยขีปนาวุธจากพื้นสู่อากาศ เร่งตรวจสอบวิถีโคจร

จากรณีโศกนาฏกรรมเครื่องบินโดยสารโบอิ้ง 777-200 อีอาร์ ของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH17 ประสบเหตุตกทางภาคตะวันออกของประเทศยูเครน เมื่อค่ำวันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม (ตามเวลาในประเทศไทย) เจ้าหน้าที่สหรัฐระบุว่า เครื่องบินดังกล่าวถูกยิงด้วยขีปนาวุธแบบยิงจากพื้นผิวสู่อากาศ ก่อนเครื่องจะตก พร้อมกำลังวิเคราะห์ถึงวิถีโคจรของขีปนาวุธลูกนี้อยู่ว่าถูกยิงมาจากทิศทางไหน และเชื่อว่ากลุ่มติดอาวุธในยูเครน ไม่มีศักยภาพพอที่จะยิงเครื่องบินที่บินในระดับสูงถึง 10,000 ฟุต (10 กิโลเมตร) ตกได้

สำหรับโศกนาฏกรรมครั้งนี้นับเป็นโศกนาฏกรรมร้ายแรงครั้งที่ 2 ที่เกิดกับเครื่องบินโดยสารของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ ในช่วงเวลาเพียงแค่ 4 เดือน หลังเที่ยวบิน MH370 หายไปลึกลับเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

อินโฟเควสท์ โดย สุดทีวัล สุขใส/ณัฐชญา อัครยรรยง โทร.02-253-5000 ต่อ 114 อีเมล์: natchaya@infoquest.co.th--

08:18 กลุ่มติดอาวุธฮามาสลักพาตัวทหารอิสราเอลในฉนวนกาซา กลุ่มติดอาวุธของฮามาสประกาศว่า ทางกลุ่มได้ลักพาตัวทหารอิสราเอลและได้จับกุมตัวทหารผู้นี้เอาไว…

08:16 กลุ่มผู้สังเกตการณ์ยุโรปเดินทางถึงพื้นที่เครื่องบิน MH17 ตกในยูเครนแล้ว ตัวแทนขององค์การเพื่อความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (OSCE) เปิดเผยว่…

08:15 US Economic Calendar รายสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 21-25 กรกฎาคม 2557 วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม 2557 (ตามเวลาประเทศไทย) 19.30 น. ดัชนีกิจกรรมก

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

bc.gif รมว.US ระบุชัดเจนจรวดที่สอย MH17 ส่งมาจากรัสเซีย ด้านกบฏยูเครนขนศพจากที่เกิดเหตุ bc.gif แผ่นดินไหว 6.2 เขย่าชายฝั่งตอ.เฉียงเหนือญี่ปุ่น-ไม่มีรายงานความเสียหาย bc.gif กองทัพปากีฯเปิดฉากกวาดล้างตอลิบานตามแนวชายแดนอัฟกัน ปลิดชีพนักรบหัวรุนแรงเกือบ 30 ศพ bc.gif The World This Week:ปฏิทินข่าวรอบโลกประจำสัปดาห์ bc.gif นานาชาติเตือน ชาวโซมาเลียเกือบ 3 ล้านคนใกล้อดตาย จากภาวะขาดแคลนอาหาร bc.gif

คอหวยเซ็ง! เจ้ามือหวยมาเลย์ “อั้นเลข” เที่ยวบินมรณะ MH17 หลังชาวบ้านแห่แทงอื้อicon_stream_sm.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

bc.gif สหรัฐฯกล่าวหาจีน ‘หักหลัง’ ข้อตกลงเกาะสคาร์โบโรโชล แท้จริงคือ ‘วอชิงตัน’เลิกเสแสร้งเล่นบท ‘คนกลาง’ bc.gif พวกบริษัทของ ‘ประเทศกลุ่มบริกส์’ มองเห็นลู่ทางโอกาสอันสดใส bc.gif ‘ชาวบ้าน’ ปากีสถานทุกข์ยากสาหัสเมื่อ ‘กองทัพ’ รุกโจมตี ‘ตอลิบาน’ bc.gif ‘สหรัฐฯ’ เรียกร้อง ‘ยูเครนหยุดยิง’ เพื่อสอบสวน ‘กรณีเครื่องบินมาเลย์ตก’ bc.gif กลุ่ม‘บริกส์’ เปิดตัวสถาบันแห่งใหม่ๆ เพื่อ ‘ประชาธิปไตยทางการเงิน’

 

 

พวกบริษัทของ ‘ประเทศกลุ่มบริกส์’ มองเห็นลู่ทางโอกาสอันสดใส

blank.gif โดย มาริโอ โอซาวา 19 กรกฎาคม 2557 04:37 น.

 

blank.gif (เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

 

BRICS size up big opportunities

By Mario Osava

15/07/2014

 

เวทีทางธุรกิจของประเทศกลุ่ม “บริกส์” อันประกอบด้วย บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน, และแอฟริกาใต้ จัดการประชุมหารือกันเมื่อต้นสัปดาห์นี้ ในเวลาใกล้เคียงกับที่พวกผู้นำของทั้ง 5 ประเทศเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่เหล่านี้ ประกาศการก่อตั้งสถาบันทางการเงินแห่งใหม่ๆ ของพวกเขาอย่างเป็นทางการ เหล่านี้คือการตอกย้ำให้เห็นลู่ทางโอกาสอันสดใสซึ่งกำลังเปิดกว้าง ขณะที่พวกบริษัททั้งหลายของ 5 ชาติเหล่านี้หาทางสานสายสัมพันธ์ระหว่างกันให้ลึกซึ้งเหนียวแน่นยิ่งขึ้นอีก

 

ฟอร์ตาเลซา, บราซิล - ประเทศเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่ทั้ง 5 อันได้แก่ บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน, และแอฟริกาใต้ ซึ่งมารวมตัวกันโดยใช้ชื่อว่า กลุ่มบริกส์ (BRICS) กำลังเริ่มต้นก่อตั้งสถาบันต่างๆ ของกลุ่มนี้ขึ้นมาอย่างเป็นทางการ ถึงแม้ยังดูจะต้องใช้ความพยายามอีกมาก ในการลดความผิดแผกแตกต่างกันในทางเป็นจริงของพวกเขา ทั้งนี้ส่วนประกอบประการหนึ่งซึ่งน่าจะมีบทบาทในการประสานประเทศเหล่านี้เข้าด้วยกันอย่างมีชีวิตชีวา ได้แก่ สายสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างบริษัทธุรกิจของ 5 ประเทศเหล่านี้นั่นเอง

 

เวทีทางธุรกิจของประเทศกลุ่มบริกส์ (BRICS Business Forum) ได้จัดการประชุมหารือขึ้นในวันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม โดยถือเป็น 1 ในการประชุมพบปะหลายๆ ด้านซึ่งจัดขึ้นก่อนหน้าการประชุมซัมมิตประจำปีครั้งที่ 6 ของผู้นำแห่งรัฐทั้ง 5 ที่กำหนดเบิกโรงเริ่มต้นขึ้นในวันอังคารที่ 15 กรกฎาคม ณ เมืองฟอร์ตาเลซา (Fortaleza) ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของแดนแซมบ้า และปิดการเจรจาหารือในวันพุธที่ 16 กรกฎาคม ณ กรุงบราซิเลีย เมืองหลวงของบราซิล

 

การประชุมถกเถียงกันในเวทีทางธุรกิจของประเทศกลุ่มบริกส์คราวนี้ มีสมาชิกในแวดวงเข้าร่วมมากกว่า 700 คนทีเดียว ขณะเดียวกันก็มีการประกาศการจับมือทำข้อตกลง ทั้งในภาคการเกษตร, โครงสร้างพื้นฐาน, โลจิสติกส์, เทคโนโลยีสารสนเทศ, สุขภาพ, และพลังงาน คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 3,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

 

เวทีทางธุรกิจของประเทศกลุ่มบริกส์ เริ่มต้นดำเนินงานตั้งแต่เมื่อ 5 ปีก่อน

 

มาร์คอส แจงค์ (Marcos Jank) ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการบรรษัท (corporate affairs) ของ บีอาร์เอฟ (BRF) ซึ่งเป็นบริษัทข้ามชาติสัญชาติบราซิลที่เป็นผู้ส่งออกเนื้อสัตว์ชั้นนำ กล่าวแสดงความเห็นว่า ในระหว่างประเทศกลุ่มบริกส์ด้วยกันนั้น มีสิ่งที่เป็นส่วนหนุนเสริมกันและกันอยู่มากมาย ซึ่งสามารถนำเอามาใช้อย่างเหมาะสม เพื่อก่อให้เกิดผลประโยชน์อันใหญ่โตแก่ทุกๆ ชาติ

 

“จีนมีตลาดขนาดมหึมา ส่วนบราซิลก็มีทรัพยากรธรรมชาติที่ยังไม่ได้นำออกมาใช้ประโยชน์อยู่มากมายกว้างขวาง” อีกทั้งมีผืนดินอันอุดมสมบูรณ์ซึ่งสามารถเลี้ยงดูประชากรจำนวนมากๆ ได้ เขากล่าวยกตัวอย่าง

 

นี่เป็นอีกวิธีหนึ่งในการมองดูสิ่งที่ผู้คนจำนวนมากวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการค้าที่ไม่สมดุล โดยที่สินค้าส่งออกของบราซิลในทางเป็นจริงแล้วแทบจะมีแต่พวกสินค้าโภคภัณฑ์เท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถั่วเหลือง และสินแร่เหล็ก ขณะที่สินค้าที่แดนแซมบ้านำเข้าจากจีนส่วนใหญ่คือพวกสินค้าผลิตจากโรงงานอุตสาหกรรม

 

อย่างไรก็ตาม แจงค์โต้แย้งว่า จากความร่วมมือกันระหว่างประเทศในกลุ่มบริกส์ แม้แต่ในภาคการเกษตรและธุรกิจปศุสัตว์ ก็สามารถที่จะมีการบูรณาการทางด้านสายการผลิตและเพิ่มมูลค่าในสินค้าส่งออกให้สูงขึ้นได้ เขาแจกแจงว่า แทนที่แดนมังกรจะนำเข้าถั่วเหลืองของแดนแซมบ้า เพื่อนำเอาไปเลี้ยงสัตว์สำหรับผลิตเป็นเนื้อสัตว์ออกมา จีนสามารถที่จะนำเข้าเนื้อสัตว์จากบราซิลได้โดยตรงเลย

 

แจงค์ร้องเรียนว่า ปัญหาอยู่ที่ว่าอุปสรรคใหญ่ซึ่งคอยขัดขวางการค้าขายและการบูรณาการทางการผลิตระหว่างพวกประเทศกลุ่มบริกส์ไม่ให้เจริญเติบโตขยายตัวนั้น มีทุกชนิดทุกประเภททีเดียว ทั้งที่เป็นกำแพงกีดกันในรูปภาษีศุลกากรและทั้งที่มิได้อยู่ในรูปภาษี, ทั้งกำแพงกีดกันในทางเทคนิค, ทั้งที่อยู่ในรูปของมาตรการอุดหนุน และมาตรการแบบกีดกันการค้าอื่นๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบกระเทือนการค้าขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านผลิตภัณฑ์การเกษตร

 

อินเดียนั้นจัดเก็บภาษีศุลกากรจากเนื้อไก่บราซิลแบบสุดโหดชนิดมุ่งไม่ให้ค้าขายกันเลย โดยที่มีหลายรายการสูงถึง 100% ขณะที่แอฟริกาใต้ “อยู่ในสภาพปิดตาย” ส่วนรัสเซียเป็นตลาดที่ “ขึ้นลงวูบวาบ” และเดี๋ยวก็เปิดให้นำเข้าเนื้อสัตว์บราซิล แต่อีกแป๊บเดียวก็ประกาสปิดเสียแล้ว เขาร้องทุกข์ต่อ

 

แต่แม้จะมีอุปสรรคต่างๆ เหล่านี้ การค้าระหว่างประเทศบริกส์ทั้ง 5 ก็ยังสามารถเพิ่มขึ้นได้ถึง 10 เท่าตัวในช่วงระหว่างปี 2002 ถึงปี 2012 จนกระทั่งอยู่ในระดับ 276,000 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ตามข้อมูลตัวเลขขององค์การการค้าโลก ขณะเดียวกัน สัดส่วนของกลุ่มบริกส์ในการค้าโลกก็เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าตัว จาก 8% เป็น 16% ในช่วงระหว่างปี 2001 ถึงปี 2011

 

นอกจากนั้น สถาบันทางการเงินใหม่ๆ 2 แห่งซึ่งมีการประกาศจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในการประชุมซัมมิตคราวนี้ ก็เป็นสิ่งซึ่งขัดแย้งกับทัศนะของหลายๆ ฝ่ายที่ว่า กลุ่มบริกส์แทบไม่มีโอกาสที่จะบูรณาการรวมตัวกันได้อย่างแท้จริง เนื่องจากมีความแตกต่างกันมากทั้งในทางการเมืองและในทางประวัติศาสตร์ รวมทั้งยังมีระดับของการพัฒนาซึ่งผิดแผกกันเหลือเกิน และแม้กระทั่งยุทธศาสตร์ในเชิงพาณิชย์ก็ยังไปกันคนละทาง

 

สถาบันทางการเงินทั้ง 2 ดังกล่าวนี้ ได้แก่ ธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่ (New Development Bank ใช้อักษรย่อว่า NDB) และข้อตกลงจัดเตรียมกองทุนสำรองฉุกเฉิน (Contingency Reserve Arrangement ใช้อักษรย่อว่า CRA) ที่เป็นเงินทุนกองกลางเอาไว้ใช้สำหรับต่อสู้กับวิกฤตการณ์ทางการเงิน

 

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่ากลุ่มบริกส์เพิ่งมีความก้าวหน้าปรากฏให้เห็นกันในระยะเวลาไม่กี่ปีหลังๆ มานี้เอง นับตั้งแต่ที่นักเศรษฐศาสตร์ผู้หนึ่งในวาณิชธนกิจแห่งหนึ่งของสหรัฐฯได้เขียนบทวิเคราะห์ว่าด้วยประเทศเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่ และเสนอแนะคำว่า บริก (BRIC) ขึ้นมา (BRIC มาจากตัวอักษรตัวแรกของ 4 ชาติเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่ อันได้แก่ บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, และจีน ในเวลาต่อมามีการดึงแอฟริกาใต้เข้าร่วมด้วย ชื่อของกลุ่มนี้จึงเพิ่มอักษรย่อของแอฟริกาใต้ และกลายเป็น BRICS –ผู้แปล) แต่จากการที่กลุ่มบริกส์ก้าวหน้าพัฒนาต่อไปได้เช่นนี้ ก็ทำให้มันแตกต่างเป็นตรงกันข้ามกับการจับกลุ่มเป็นพันธมิตรรูปแบบอื่นๆ ซึ่งต่างประสบภาวะชะงักงัน เป็นต้นว่า เวทีสนทนา อิบซา (IBSA Dialogue Forum) ที่พยายามนำเอาอินเดีย, บราซิล, และแอฟริกาใต้ เข้ามารวมตัวกัน แต่แล้วเวทีนี้ก็หยุดการประชุมซัมมิตกันไปในปี 2011

 

“สิ่งที่ทำให้พวกประเทศเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ในกลุ่มบริกส์มารวมตัวกันได้ ก็เพราะว่าการรวมกลุ่มทำให้พวกเขามีอำนาจ” นารินเดอร์ วัธวา (Narinder Wadhwa) กรรมการบริหารของ เอสเคไอ แคปิตอล เซอร์วิเซส (SKI Capital Services) ในอินเดีย กล่าวให้ความเห็น

 

ทั้งนี้เมื่อรวมตัวกัน กลุ่มบริกส์จะมีจำนวนประชากรทั้งสิ้นเท่ากับ 46% ของประชากรโลก และมีดินแดนที่เป็นผืนแผ่นดินคิดเป็น 26% ของผืนแผ่นดินในโลก ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของพวกประเทศกลุ่มบริกส์ ซึ่งคำนวณโดยใช้หลักความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ (purchasing power parity หรือ PPP) จะสูงกว่าของสหรัฐฯหรือของสหภาพยุโรปมาก “ด้วยเหตุนี้จึงเป็นธรรมดาอยู่เอง ที่พวกเขาควรจะต้องเรียกร้องให้พวกเขาได้เข้ามีส่วนร่วมเพิ่มมากขึ้น ในองค์กรตัดสินใจแห่งต่างๆ” วัธวา แจกแจงให้สำนักข่าวอินเตอร์เพรสเซอร์วิส (Inter Press Service ใช้อักษรย่อว่า IPS)ฟัง

 

ข้อนี้เองดูจะเป็นเชื้อเพลิงทำให้กลุ่มนี้มีอัตราความก้าวหน้าในระดับสูง นับตั้งแต่ที่พวกเขาจัดการประชุมซัมมิตครั้งแรกขึ้นมาเมื่อปี 2009

 

ปัจจัยอีกประการหนึ่งที่ส่งผลให้กลุ่มบริกส์เกิดอัตราเร่งในการบูรณาการ ได้แก่ศักยภาพในการแลกเปลี่ยนทางการค้าและการลงทุน เนื่องจากประเทศเหล่านี้ต่างเป็นชาติใหญ่ที่มีจำนวนประชากรรวมกันสูงถึงเกือบๆ 3,000 ล้านคน แถมส่วนที่เป็นผู้บริโภคชนชั้นกลางก็กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะไม่กี่สิบปีหลังๆ มานี้อีกด้วย

 

จากเหตุผลข้อนี้เอง วัธวา บอกว่า ทำให้เขา “มองการณ์ในแง่ดี” เกี่ยวกับอนาคตของสิ่งที่ผู้คนจำนวนมากเรียกขานว่าเป็น “กลุ่ม” (bloc) ไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งๆ ที่ในทางเป็นจริงบริกส์ยังไม่ได้มีการลงนามในสนธิสัญญาใดๆ ที่จะทำให้ใช้คำๆ นี้ได้อย่างถูกต้องชอบธรรม รวมทั้งรัฐบาลของชาติเหล่านี้เองก็ยังมีความลังเลไม่ค่อยอยากจะให้ถูกพิจารณาว่าพวกเขาเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน

 

แต่การที่จะทำให้ศักยภาพดังกล่าวนี้กลายเป็นของจริงขึ้นมาได้นั้น จำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงผลในทางปฏิบัติให้มากๆ นี่คือคำเตือนของ เซอร์กี คาตืย์ริน (Sergy Katyrin) ประธานของสภาธุรกิจกลุ่มบริกส์ (BRICS Business Council) ในรัสเซีย และ รูเบนส์ เดอ ลา โรซา (Rubens de La Rosa) แห่งสภาธุรกิจกลุ่มบริกส์ของบราซิล และก็เป็นกรรมการบริหารของ มาร์โคโปโล (Marco Polo) บริษัทข้ามชาติสัญชาติบราซิลซึ่งเป็นผู้ผลิตยานยนต์ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถบัส

 

ทางด้าน แพตริก มอตเซเป (Patrice Motsepe) ประธานสภาธุรกิจแอฟริกา (African Business Council) บอกกับสำนักข่าวไอพีเอสว่า สำหรับแอฟริกานั้นถือเป็นพรมแดนใหม่สำหรับการค้าและการลงทุนของโลก โดยที่ในหมู่ประชากรซึ่งมีรายได้ระดับกลางๆ กำลังมีการบริโภคเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

มอตเซเป นักธุรกิจทรงอิทธิพลทางด้านเหมืองแร่ ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นอภิมหาเศรษฐีระดับพันล้านดอลลาร์ชาวแอฟริกาใต้ที่เป็นคนผิวดำคนแรก เขาคือผู้ที่เป็นประธานของคณะทำงานจัดทำรายงานว่าด้วยศักยภาพทางธุรกิจของทั้ง 5 ประเทศ โดยที่มีการเน้นหนักศักยภาพอันสูงเด่นของแอฟริกามากเป็นพิเศษ

 

ตามข้อมูลของธนาคารพัฒนาแอฟริกา (African Development Bank) การค้าระหว่างทวีปนี้กับพวกประเทศกลุ่มบริกส์ ไต่ขึ้นสู่ระดับ 340,000 ล้านดอลลาร์ทีเดียวในปี 2012 และได้รับการคาดหมายว่ายังจะพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วจนอยู่ที่ 500,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2015 โดยที่ 60% ของการค้านี้จะเป็นการทำการค้ากับจีน

 

สภาธุรกิจกลุ่มบริกส์ของแต่ละประเทศนั้น ประกอบด้วยผู้คนในแวดวงธุรกิจจำนวน 25 คน บุคคลเหล่านี้จะไปจัดตั้งคณะทำงานขึ้นมารวม 5 กลุ่ม เพื่อทำการศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อตั้งวิสาหกิจทำธุรกิจร่วมกันใน 5 ภาค ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐาน, บริการทางการเงิน, การผลิตทางอุตสาหกรรม, พลังงาน, และการพัฒนาความสามารถ

 

เหล่าผู้นำทางธุรกิจเหล่านี้ยอมรับว่า ยังต้องทำอะไรอีกมากเพื่อเพิ่มพูนการบูรณาการทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศในกลุ่มบริกส์ ซึ่งในทางปฏิบัติที่ผ่านมาในอดีต อยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่าไม่รู้จักกันเอาเลย

 

เดอ ลา โรซา กล่าวว่า ในบรรดาข้อเสนอต่างๆ ที่เวทีทางด้านธุรกิจยื่นต่อที่ประชุมซัมมิตฟอร์ตาเลซาของเหล่าประมุขแห่งรัฐนั้น เรื่องหนึ่งคือขอให้ส่งเสริมสนับสนุนการทำการค้าด้วยสกุลเงินตราแห่งชาติของประเทศในกลุ่มบริกส์ เพราะเมื่อทำเช่นนี้จะ “ลดค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรม” และเป็นประโยชน์แก่การค้าและการลงทุน

 

ทางด้าน ร็อบสัน อันดราเด (Robson Andrade) ประธานของสมาพันธ์อุตสาหกรรมแห่งชาติของบราซิล (Brazilian National Confederation of Industry ใช้อักษรย่อว่า CNI) ซึ่งเป็นองค์การผู้จัดเวทีด้านธุรกิจขึ้นในบราซิลคราวนี้ เปิดเผยว่า สิ่งที่เขาเสนอแนะต่อที่ประชุมซัมมิตของเหล่าผู้นำประเทศทั้ง 5 มีดังเช่น การอำนวยความสะดวกในการออกวีซาสำหรับการเดินทางเพื่อธุรกิจ, การทำให้มาตรฐานต่างๆ ในทางเทคนิคเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน, การเพิ่มการติดต่อสื่อสารระหว่างบริษัทที่อยู่ในประเทศต่างๆ กัน, และการเอาชนะอุปสรรคด้านต่างๆ เป็นต้นว่า ความล่าช้าในระบบราชการ

 

สิ่งที่พวกนักอุตสาหกรรมชาวบราซิลมีความเป็นห่วงมากที่สุด ได้แก่เรื่องที่บราซิลขาดดุลการค้ากับชาติคู่ค้า โดยที่ขาดดุลเป็นจำนวนสูงถึง 101,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2013 เท่ากับ 21% ของปริมาณการค้าของบราซิลทีเดียว

 

กว่า 70% ของสินค้าส่งออกที่บราซิลส่งไปยังจีน, อินเดีย, รัสเซีย, และแอฟริกาใต้ คือ ถั่วเหลือง, สินแร่เหล็ก, และน้ำมัน ในทางตรงกันข้าม 95% ของสินค้าที่บราซิลนำเข้าจากประเทศเหล่านี้คือพวกสินค้าอุตสาหกรรม ทั้งนี้ตามข้อมูลของ CNI

 

ข้อเขียนชิ้นนี้มาจาก สำนักข่าวอินเตอร์เพรสเซอร์วิส (ไอพีเอส) http://www.ipsnews.net ซึ่งเป็นสถาบันเพื่อการสื่อสารระหว่างประเทศที่มีสำนักข่าวระดับโลกเป็นแกนกลาง ไอพีเอสก่อตั้งขึ้นในปี 1964 มีความชำนาญเป็นพิเศษในการเสนอข่าวด้านพัฒนาการทางสังคมและเศรษฐกิจ, สิทธิมนุษยชน, สิ่งแวดล้อม, ตลอดจนเรื่องนโยบายการต่างประเทศของพวกมหาอำนาจพัฒนาแล้ว ซึ่งมองจากแง่มุมของการที่พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับพวกประเทศกำลังพัฒนา

blank.gif blank.gif ข่าวล่าสุด ในหมวด bullet_circle.gif พวกบริษัทของ ‘ประเทศกลุ่มบริกส์’ มองเห็นลู่ทางโอกาสอันสดใส bullet_circle.gif ‘ชาวบ้าน’ ปากีสถานทุกข์ยากสาหัสเมื่อ ‘กองทัพ’ รุกโจมตี ‘ตอลิบาน’ bullet_circle.gif ‘สหรัฐฯ’ เรียกร้อง ‘ยูเครนหยุดยิง’ เพื่อสอบสวน ‘กรณีเครื่องบินมาเลย์ตก’ bullet_circle.gif กลุ่ม‘บริกส์’ เปิดตัวสถาบันแห่งใหม่ๆ เพื่อ ‘ประชาธิปไตยทางการเงิน’ bullet_circle.gif จาก ‘นักรบกบฏศรีลังกา’กลายมาเป็น ‘ช่างตัดผม’ มีฝีมือ blank.gif all.gif blank.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...